ขอถามเรื่องการทำสมาธิค่ะ

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย siamgirl, 5 พฤศจิกายน 2008.

  1. siamgirl

    siamgirl เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กันยายน 2007
    โพสต์:
    1,682
    ค่าพลัง:
    +2,742
    สวัสดีค่ะขอถามพี่ๆที่รู้ นะค่ะ ว่าทำไมเวลาทำไปเเล้ว จะไม่รู้สึกตัวร่างกายตัวเองค่ะ เหมือนกะไม่มีไร เเล้วเหมือนตัวใหญ่ขึ้น หน้าบานขึ้น เเละก็ได้กลิ่นเหม็นๆเน่าๆอ่ะค่ะ เป็นเเบบนี้ทุกครั้งเลยค่ะ จะได้กลิ่นอะไรไม่รู้ เเละก็กลัวมาก พอถึงตรงนี้จะหยุดทำเลยค่ะ เพราะว่ากลัว ไม่กล้าทำต่อ กลัวหลายๆ อย่าง ขอคำเเนะนำจากพี่ๆด้วยค่ะ ขอบคุณค่ะ
     
  2. วิญญาณนิพพาน

    วิญญาณนิพพาน ทีมงานอาสาฯ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2008
    โพสต์:
    22,310
    กระทู้เรื่องเด่น:
    51
    ค่าพลัง:
    +21,002
    อย่าไปกลัวครับ เรากําลังทําความดี อาจต้องมีอะไรมาผจญกับเราบ้างเพื่อพิสูจน์จิตใจ พี่ทําดีอยู่เเล้ว อย่าไปท้อเลยครับ ดีซะอีกที่ได้มีประสบการณ์ในเรื่องเหล่านี้ ผมทํามาตั้งนานยังไม่มีเลย เคยได้เเค่เหมือนตัวเบาๆ เห็นเขาบอกว่าเป็นปีติกัน อ้อ เเต่เรื่องทําสมาธินั้น ทางที่ดี ไม่ว่าเราจะเห็นหรือสัมผัสกับอะไรก็ตาม อย่าไปตามเขาเลยครับ เอาใจจดจ่ออยู่กับลมหายใจเเล้วทุกอย่างจะดีเองครับ ขอให้ทัาต่อไปนะครับ พี่มาูถูกทางเเล้วครับ อนุโมทนาครับ
     
  3. บุคคลทั่วไป 3 คน

    บุคคลทั่วไป 3 คน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,938
    ค่าพลัง:
    +1,253
    เวลาปฏิบัติสมาธิ จะเกิดการรวมมาอยู่ที่จุดๆหนึ่ง อยู่กึ่งกลางระหว่างทวารทั้ง6
    จึงเหมือนอยู่ระหว่างกลาง อยู่ตรงกลาง แต่ไม่ใช่ตัวตน ไม่รู้สึกว่ามีความเป็น
    ตัวตน เหมือนกับภาวะปรกติทีเราอาศัยการหมายว่า กายเนื้อเราคือตัวตน

    ในภาวะที่เป็นกลาง หยุดอยู่ตรงกลาง แต่ขอบเขตตัวตนตามทัศนะเดิมๆ ไม่มี จึง
    เริ่มเห็น กายเราใหญ่บ้าง กายเราเล็กบ้าง มือ แขน ขา หายไปบ้าง ตรงนี้อุปทาน
    ที่ชื่อสักกายทิฏฐิจะยกป้ายปะท้วงว่าที่เห็นนั้นไม่จริง จะชักชวนให้เรารักษาตัวตน
    ให้กลับไปมีอัตตา หากเราฝุ้งซ่านจิตจนทนไม่ไหว ก็ฝืนการหายไปของตัวตนไม่ได้
    ก็จะหยุดการภาวนา

    การที่ทำสมาธิแล้วไปเห็นอะไรบ้าง ได้ยินอะไรบ้าง ของ จขกท ได้กลิ่น ลองนึกดูอีก
    ทีนะครับว่า มันได้กลิ่นเฉพาะตอนที่นั่งสมาธิเท่านั้นใช่ไหม หากออกจากสมาธิแล้ว
    เอาจมูกฝุดฝิตดมดู จะไม่มีกลิ่น แบบนี้ก็แปลว่า กลิ่นเกิดสัญญาสังขารในขันธ์ มัน
    ผุดขึ้นมาเอง โดยปฏิฆานุสัย เป็น อนุสัยที่เราไม่ชอบเรื่องกลิ่นไม่ดี ออกมาขวาง
    การหลุดพ้นของเรา พออาสวะเขาลงทุนดึงอนุสัย ซึ่งเป็นปฏิฆะไม่ชอบเรื่องกลิ่น
    ขึ้นมา เรียกว่า มันรู้ทางเรา พอเราหยุดภาวนาเพราะสภาวะนี้บ่อยๆ เราจะถดถอยลง
    เรื่อยๆ แล้วจะเกิดการเกาะกุมจิต ย้อมจิตติดว่า การปฏิบัตินั้นไม่ดี จนเราเผลอเลิกปฏิบัติ

    เห็นไหมครับ กิเลส เขาเก่ง ทำหน้าที่อย่างซื่อตรง ในหารเชญเราลงจากโพธิบัลลังค์

    วิธีผ่านก็ง่ายๆ มีสองตัว ให้ระลึกดูปฏิฆะสัญญา ให้รู้ตนว่ามีปฏิฆะสัญญา เป็นอนุสัย
    ฝังรากอยู่โดยเราไม่รู้ เพราะเคยชิน และคุ้นเคยในการใช้ ในการผลัก ในการหนี พอระ
    ลึกบ่อยๆ เราก็จะเท่าทันปฏิฆะ หากไม่หยุดการปฏิบัติ ทำผ่านได้ก็จะผ่านเลย เรียกว่า
    อนุสัยมันลงทุนแล้วขาดทุนย่อยยับ แต่มันไม่หยุดนะครับ อาจจะเอาอนุสัยตัวอื่นมาเล่น
    งานต่อ

    พอทำได้ กลิ่นจะอยู่อย่างเดิม แต่เราระลึกรู้ มีสติระลึกเห็น แต่กลิ่นไม่สามารถย้อมเข้า
    มาครอบงำผู้รู้ผู้ดูให้ถลำเข้าไปเหม็นจนไม่ชอบ สภาวะนี้คือ การพ้นจากกิเลส ห่างจาก
    กิเลส และการพ้น หรือ ห่างจากกิเลสแบบนี้แหละที่เรียกว่า กิเลสดับ อนุสัยขาด ภพชาติ
    คนไม่ชอบกลิ่นเหม็นดับหายไป แต่ก็จะมีอนุสัยญาติโกโหติกายกขบวนมาเล่นงานต่อ
    จนกว่าจะครบเครือ ครบกลุ่ม ก็จะเรียกว่า พ้นสังโยชน์(กลุ่ม กองกิเลส)

    มาย้อนดูสังโยชน์ดูอีกครั้ง ตรงเห็นตัวตนหายไป ตอนนั้นรบกับสักกายทิฏฐิ ตอนที่ได้
    กลิ่นแล้วสงสัยว่าต้องทำอย่างไรต่อ คอยความหาทางแก้ แทนที่จะรู้ทุกข์(เพื่อเห็นอริยสัจจ)
    ก็คือการรบกับ วิจิกิจฉา การล้มเลิกการภาวนาแล้วเห็นว่าต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อแก้
    กรรม เหมือนเข้าใจว่ามีเจ้ากรรมนายเวร จะเกิดการยึดมั่นทำศีลพรต
    ก็คือ รบกับ สีลลัพตปรามาส

    การภาวนาเจริญปัญญาจะเห็นว่า อยู่ที่การรู้....รู้อะไร....รู้ทุกข์..อย่าหนีทุกข์...อย่าแก้ทกุข์
    ...หากรู้ทุกข์ได้อย่างถูกต้องตามความเป็นจริงจะพบว่า สมุทัยจะละของมันเองทันทีที่แจ้ง
    ชัดในทุกข์ จะประจักษ์นิโรธน เจริญมรรค ณ ขณะจิตนั้นๆ

    การรู้ทุกข์ ทำไมทนไม่ไหว อยากล้มเลิกเสียก่อน....ก็เพราะจิตไม่สามารถตั้งมั่นในการรู้ทุกข์
    ตามความเป็นจริงได้ เหตุเพราะใจขาดกำลัง ก็ต้องทำสมถะเพิ่มเติมให้พอแก่การตั้งมั่นของ
    จิตใจ ไม่จำเป็นต้องทำสมถะให้พ้นการเห็นทุกข์(จนกลิ่นดับ เวทนาดับ สัญญาดับ) เพราะ
    ทุกข์มันอยู่ที่ขันธ์ ก็ต้องทำสมาธิให้พอรู้เห็นขันธ์ อย่าไปตั้งให้ขันธ์ดับ ให้รู้ทุกขในขันธ์
    แล้วสมุทัยมันจะละเองตามที่กล่าวเกริ่นไปในวรรคก่อน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 พฤศจิกายน 2008
  4. Nyan Vitee

    Nyan Vitee Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    138
    ค่าพลัง:
    +68
    ความรักคือต้นเหตุของความทุกข์ --> ไม่ใช่หรอกท่าน

    อย่าส่งจิตออกนอก

    วิปัสสนากรรมฐานในโลกนี้นั้นสั้นนัก

    อย่าลืมพึงปฎิบัติวิปัสสนากรรมฐานบนโลกมนุษย์นี้ด้วยนะท่าน


     
  5. Mr.Boy_jakkrit

    Mr.Boy_jakkrit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    2,065
    ค่าพลัง:
    +2,682
    อนุโมทนาครับ สำหรับ จขกท

    ไม่ต้องทําอะไรมากไปกว่ามีสติให้มากๆ มีสติและตามดูจิต มีสติให้มั่น ตามดูมันไป ทํากิจกรรมอันใดก็จงตามดูจิตมันไป หน้าที่ของเราตอนนี้คือการมีสติอยู่ที่อิริยาบถที่กําลังกระทําอยู่นะ ถ้าอยากนั่งสมาธิ ก็จงนั่งและก็ดูลมหายไปใจเรื่อยๆ ลืมตาบ้างก็ได้ แต่ขออย่างเดียวที่จะต้องคงเอาไว้ก็คือ "สติ" จริงๆ แล้ว การนั่งสมาธินานๆ ไม่จําเป็นที่จะต้องทําให้มันนานๆ แล้วไปบังคับให้นิ่งๆ ก็ได้ เวลานั่ง ก็จงนั่งสบายๆ หลับตาสบายๆ หายใจเข้ารู้ หายใจออกรู้ ทําไปเรื่อยๆ มีสติตามดูลมหายใจไปเรื่อยๆ พอมันเปลี่ยนแปลงมีใยผ้าอะไรขึ้นมา ก็ไม่ต้องไปยุ่งกับมัน รู้ว่ามันมีแค่นี้พอ จากนั้นก็กลับมาที่ลมหายใจต่อไป อย่าคิดว่ามันจะต้อหาย ฉันจะต้องนั่งให้ได้ต่อเนื่องกันโดยที่ไม่มีอะไรมาขัดขวางจึงจะเป็นการนั่งสมาธิที่ดีเลิศ อย่าไปคิดว่ามันจะต้องหายๆๆๆๆ แต่ขอให้รู้ตอนที่มันเกิด เมื่อมันมีอะไรเกิด มีใยอะไรๆ เกิด ก็จงรู้หนอเสีย รู้แล้วก็กลับมา จะลืมตาก็ได้ และก็ดูลมหายใจมันต่อไป พร้อมแล้วก็หลับตา คือ บางคนน่ะ คิดว่าเวลานั่งสมาธิ 30 นาที ฉันจะต้องนั่งให้ได้ต่อเนื่องกันโดยที่ไม่มีอะไรมาขวางจึงจะเรียกว่าการนั่งครั้งนั้นให้บุญเยอะ หรือพาเข้าถึงนิพพานเร็วขึ้น คือ นั่ง 30 นาที ฉันจะต้องนั่งให้นิ่งๆๆๆๆๆๆๆ ตลอด 30 นาทีเลย ขอจงเข้าใจเสียใหม่ เพราะถ้าหวังอะไรอย่างนี้แล้วมันไม่เป็นไปตามที่หวัง มันก็จะเอาแต่วิ่งหาว่าเมื่อไหร่มันจะหมดไป เมื่อไหร่ฉันจะนิ่ง...

    เอาใหม่ สติสําคัญที่สุด การนั่งสมาธินั้น ขอให้ใช้โอกาสในเวลานั่งสมาธินั้นในการมีสติ และเมื่อเราดูลมหายใจจนจิตไม่วอกแวกไปไหน เราก็จะเห็นจิตชัดเจน เมื่อเห็นจิตชัดเจน เมื่อมีอะไรปรุงแต่งเข้ามา ทําให้จิตสั่นสะเทือน เราก็จะรู้ได้และสกัดได้ มีพลังพอที่จะสกัดได้ เข้าใจมั้ย นี้ล่ะ โอกาสนี้ จงใช้โอกาสนี้ในการตามดูการปรุงแต่งที่เกิดขึ้นและดับไป ไม่ต้องทําอะไรมากไปกว่าการเฝ้าดูลมหายใจอย่างมีสติในตอนที่นั่งสมาธิ หรือว่ามันมีอย่างอื่นที่จะต้องทํามากกว่าการมีสติ หือ?

    เข้าใจมั้ย ลองนําไปไตร่ตรองพิจารณาดู


    ภิกขุโย ผู้เขียนหนังสือ "ประหารกิเลศสู่ โสดาบัน ก่อนตาย"
     
  6. porrawee

    porrawee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    285
    ค่าพลัง:
    +779
    อนุโมทนาบุญคับ สาธุ ขอให้เจริญนิพพานยิ่งๆขึ้นไปเทอญฯ
     
  7. siamgirl

    siamgirl เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กันยายน 2007
    โพสต์:
    1,682
    ค่าพลัง:
    +2,742
    ขอบคุณค่ะ
     
  8. jinny95

    jinny95 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    6,075
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +9,666
    เป็นเรื่องธรรมดา เรียกว่า ปิติ ถ้าหยุดทำต่อ จะเข้าไม่ถึงความสงบ ^-^
     
  9. Mr.Boy_jakkrit

    Mr.Boy_jakkrit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    2,065
    ค่าพลัง:
    +2,682
    จงทำตัวเป็นแค่คนพายเรือ ...
    อย่าได้ไปเหมาว่าทุกคนจะต้องเห็นจะต้องเป็นอย่างเราทุกอย่างเสมอ
    คนไม่เห็น ไม่ได้ยินอะไร ก็เคยนิพพานมาแล้ว เพราะฉนั้น คนผ่านจุึดนั้นไปแล้วแค่คอยบอกคอยตบให้เข้าทางก็พอ

    ปิดปากให้เงียบ สำรวม กาย วาจา ใจ..และปฏิบัติ
    อย่าได้มาเปรียบเทียบสภาวะธรรมกัน เอาแค่้สอบทานก็พอ ตอบแค่รู้ ไม่รู้ก็ไม่ต้องไป search หามาตอบ ... ขืนไปบอกเึค้าว่าต่อๆไปจะเจออะไรๆ..อย่างนี้ปัญญามันก็ไม่เกิดน่ะสิ มันจะเป็นการปรุงแต่งซะมากกว่า เหมือนหลายๆคนในนี้หลงติดเพราะ ปรุงมากไป..เอาล่ะๆ

    ขอให้จงพิจารณาด้วยเถิด

    ขออนุโมทนาในการปฏิบัติุทุกท่านครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...