ขอบคุณมากค่ะสำหรับพระบรมรูปสมเด็จพระนเรศวรมหาราช
นั่งจ้องมองแล้ว คิดถึงว่าพระองค์ท่านพระองค์นี้แหละที่
ต้องฝึกฝนพระองค์เองอย่างหนักในเชิงยุทธ์เพื่อจะชิงเอาบ้านเอาเมืองคืน
ต้องก้มหน้าอยู่ในแดนศัตรูอย่างอดสูพระทัย
ต้องเห็นพระญาติพระวงศ์ตกเป็นเชลยในแดนศัตรู
ต้องเสียพระทัยที่พระพี่นางต้องเสด็จไปเพื่อแลกให้พระองค์ท่านได้กลับบ้าน แต่พระพี่นางต้องจากบ้านไปแทน (น้ำตาจะไหล)
ต้องทรงคิดว่าจะทำอย่างไรให้บ้านเมืองฟื้นคืน เพราะบ้านเมืองยามนั้นเหลือแต่โครง
ต้องทรงเป็นผู้นำในขณะที่พระองค์ก็ยังอยู่ในช่วงรุ่น 16 ชันษา ต้องทรงเก่งกาจ เหล่าทหารเก่าจึงจะยอมรับ
ต้องปลุกความกล้าของคนไทยในเวลานั้นที่กลัวพม่ามาก พระองค์ท่านจะต้องนำ ทรงเด็ดเดี่ยว
ต่างชาติต่างภาษาเข้ามาท่านก็ไม่รังเกียจ พระองค์พยายามเข้าใจวัฒนธรรมของแต่ละชาติและคบเป็นมิตรหมด
แม้กาลเวลาจะผ่านมานานถึงกว่า 400 ปีแล้วพระองค์ท่านก็ยังทรงห่วงประเทศชาติ
วันนี้คุยกันถึงความเป็นกษัตริย์นั้นต้องเป็นผู้มีบุญญาธิการ บางพระองค์ก็คือกษัตริยาธิราชโบราณแล้วทรงเสด็จจุติมาช่วยขจัดทุกข์เข็ญ
แม้องค์สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชเองก็ตาม ทางสายธาตุก็ยังเชื่ออย่างยิ่งว่าพระองค์ท่านมีเชื้อสายกษัตริย์
เพราะผู้ที่บุญญาธิการเท่านั้นจึงจะทรงในตำแหน่งสูงส่งและศักดิ์สิทธิ์ยิ่งนี้ได้
ขอกราบแทบเบื้องพระบาทองค์สมเด็จพระนเรศวรมหาราชและเบื้องพระบาทสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช
ทุกๆพระองค์ยังทรงคุ้มครองประชาชนและแผ่นดินนี้ เป็นพระมหากรุณาอย่างหาที่สุดมิได้ (น้ำตาปริ่ม)
ขอเชิญท่านที่มีความจงรักภักดีและเทิดทูนในสมเด็จพระนเรศวรมหาราช
ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย จงรักภักดี, 28 เมษายน 2009.
หน้า 38 ของ 233
-
-
คุณโมเย เขียนอีกกระทู้นะคะ จะได้ขึ้นหน้าใหม่
เพลงพระนเรศวรมหาราชจะได้อยู่กระทู้แรกหน้า 40
แล้วลบความเห็นที่ 780 เพื่อให้ความเห็นนี้ของทางสายธาตุ เป็นความเห็นที่ 780 แทนนะคะ ^^
เพลงมันตีกัน อิอิ -
ถวายความภักดี พระนเรศวรมหาราช
[MUSIC]http://palungjit.org/attachments/a.739395/[/MUSIC]
เพลง พระนเรศวรมหาราช
กัญญนัทธ์ ศิริ เนื้อร้อง/ทำนอง/ ขับร้อง
สงวนลิขสิทธ์ มีนาคม 2552
สงวนสิทธ์ ในการนำไปใช้ในการประกอบผลทางธุรกิจ หรือหาผลประโยชน์ส่วนตน<!-- google_ad_section_end -->
ไฟล์ที่แนบมา:
-
-
สายพระโลหิต
สมเด็จพระนเรศวรมหาราช(หรือสมเด็จพระเอกาทศรถ?) -> สมเด็จพระเจ้าปราสาททอง -> สมเด็จพระนารายณ์มหาราช -> สมเด็จพระเจ้าเสือ ->สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ ->สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช (ตามที่หลวงพ่อจรัญเล่าโปรดญาติโยม)
สมเด็จพระนเรศวรมหาราช(หรือสมเด็จพระเอกาทศรถ?) -> เจ้าแม่วัดดุสิต -> เจ้าพระยาโกษาปาน -> เจ้าพระยาวรวงษาธิราช(ขุนทอง) -> พระยาราชนิกูล(ทองคำ) ->สมเด็จพระปฐมบรมมหาชนก(ทอง) -> พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก(ทองด้วง)
ยังหาหลักฐานเป็นลายลักษณ์อักษรไม่ได้ว่า แม่อิน มีลูก 2 คนเพียงแต่อ่านจากสัญญลักษณ์สีและลายดอกไม้ของเสาโบสถ์วัดชุมพล แต่ลูกแม่อินเป็นสมเด็จพระเจ้าปราสาททองแน่นอน ใครคือพระราชบิดา
พระปรางค์น้อยเจ้าแม่วัดดุสิตอยู่ที่วัดไชยวัฒนาราม ที่สมเด็จพระเจ้าปราสาททองสร้างถวายพระราชมารดา แม่อิน ปรางค์น้อยนี้ใครมาสร้างเพิ่มเติมภายหลังหรือ ? สร้างเพราะความสัมพันธ์ของทั้งสองพระองค์หรือไม่ ? เจ้าแม่วัดดุสิตมีพระฐานะเป็นอะไรกับพระเจ้าปราสาทอง ?
วัดไชยวัฒนารามเป็นวัดที่ดำรงไว้ในความทรงจำของคนโบราณสมัยอยุธยาว่า เจดีย์ของพระอัครมเหสีจริงหรือไม่ ? หากจริง แม่อิน คือใครกันแน่?
ถ้าเชื่อแผนที่ฝรั่ง วัดไชยวัฒนารามคือเจดีย์ขององค์อัครมเหสี ดังนั้น แม่อิน เคยดำรงพระฐานะที่องค์อัครมเหสีหรือ? เป็นองค์อัครมเหสีของพระองค์ใด ?
สมเด็จพระเอกาทศรถมีพระอัครมเหสีชื่อ พระสวัสดี มีพระโอรส 2 พระองค์ คือ เจ้าฟ้าสุทัศน์ กับ เจ้าฟ้าศรีเสาวภาคย์
ดังนั้นมีโอกาศสูงยิ่งว่า แม่อิน คือพระอัครมเหสีของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ชื่อ พระนางมณีรัตนา ตามคำให้การขุนหลวงหาวัด แต่ที่มีสุวัฒน์นำหน้านั้นคงเพื่อให้เป็นมงคลนาม เหมือนชื่อของเจ้าแม่วัดดุสิต พระยศคือ ท้าวสมศักดิ์วงษามหาธาตี
จากบทความที่เคยคาดกันว่า เจ้าแม่วัดดุสิตเป็นพระธิดาของพระองค์ใด ระหว่าง
1 สมเด็จพระมหาธรรมราชา
2 สมเด็จพระเอกาทศรถ
3 สมเด็จพระนเรศวรมหาราช
อ้างอิงเรื่องราวของเจ้าแม่วัดดุสิตที่เคยกล่าวถึงมาก่อนหน้านี้แล้วค่ะ http://palungjit.org/threads/ขอเชิญ...ด็จพระนเรศวรมหาราช.184672/page-16#post2315620
เคยกล่าวถึงเรื่องนี้ครั้งหนึ่ง เมื่อมาถึงตรงนี้หลักฐานก็มีเพิ่มขึ้นอีกจำนวนหนึ่ง ทางสายธาตุได้หลักฐานไปพร้อมๆกับเขียนกระทู้ไป เพราะตั้งแต่เรื่องพระมาลาทองคำเป็นต้นมาที่เริ่มเล่าในกระทู้นี้ เป็นการเจอพร้อมๆกันไปกับการเขียนกระทู้
ตอนไปจดทะเบียนลิขสิทธิ์วรรณกรรม (กลัวคนเอาพล็อตเรื่องไปเขียนนิยาย) ยังไปจดภายใต้ชื่อ เจ้าขรัวมเหสีจันทร์ในความทรงจำของข้าพเจ้า ตอนนั้นยังไม่เจอหลักฐานมากเท่านี้เลยค่ะ ตอนนั้นยังไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าพระองค์ท่านจะเป็นองค์เอกอัครมเหสีของสมเด็จพระนเรศวรมหาราชหรือไม่ แต่ตอนนี้หลักฐานเริ่มมีขึ้นมาจึงเขียนต่อมาได้เรื่อยๆจนบัดนี้นะคะ
ตอนนี้น้ำหนักของหลักฐานจึงมีมากที่จะกล่าวว่า เจ้าแม่วัดดุสิต ทรงเป็นพระราชธิดาในสมเด็จพระนเรศวรมหาราช อันเกิดจากองค์อัครมเหสี พระนางสุวัฒน์มณีรัตนา -
ได้อ่านพบบทความของท่าน ศ.ดร.
ลิขิต ธีรเวคิน เกี่ยวกับพระบรมราโชวาทของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ที่คนไทยทุกคน ทุกหมู่เหล่า ควรรับไว้เหนือเกล้า จึงขออัญเชิญมาไว้ในกระทู้
เพื่อความเป็นศิริมงคลและเป็นธรรมสำหรับการดำรงตน เพื่อให้เกิดความสุขความเจริญต่อตนเอง ต่อครอบครัว ต่อสังคมและประเทศชาติโดยรวม
<TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>พระบรมราโชวาทที่ควรรับไว้เหนือเกล้า </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1></TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย ศ.ดร.ลิขิต ธีรเวคิน</TD><TD class=date vAlign=baseline align=left>28 ตุลาคม 2552 15:14 น.</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle></TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=bottom align=left height=12></TD></TR><TR><TD bgColor=#cccccc><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle bgColor=#ffffff><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=7 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในฐานะทรงเป็นพระประมุข มีพระเนตรอันยาวไกล มีความเข้าพระทัยต่อสังคมไทยและการบริหารราชการแผ่นดิน พระบรมราโชวาทที่ทรงพระกรุณาให้กับประชาชนชาวไทยทั่วไป หรือต่อข้าราชการนั้น เป็นสิ่งที่ทุกคนควรรับเหนือเกล้านำไปพินิจพิเคราะห์และนำไปปฏิบัติ สิ่งซึ่งพระองค์ทรงกล่าวเน้นก็คือ ผลประโยชน์ ความเจริญรุ่งเรืองของประเทศชาติ ความสุขของประชาชน และการพัฒนาสังคม โดยพระองค์ท่านทรงเน้นถึงความซื่อสัตย์สุจริต การทำงานที่จริงจังการเสียสละเพื่อประโยชน์ส่วนรวม การหลีกเลี่ยงจากการประพฤติปฏิบัติที่ก่อให้เกิดความเสียหาย
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการแก้ปัญหาสังคมต้องแก้ด้วยภูมิปัญญา และสังคมจะพัฒนาได้นั้นจะต้องมีความสามัคคีปรองดองกัน นอกจากนั้นการแก้ปัญหาจะต้องแก้ให้ถูกทาง มิฉะนั้นอาจจะทำให้เกิดความสับสนวุ่นวายและเพิ่มปัญหามากยิ่งขึ้น พระองค์ทรงเน้นถึงการกระทำสิ่งที่ถูกต้อง สร้างความยุติธรรมในสังคม มีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่และเอื้ออาทรต่อกัน ที่สำคัญที่สุด การกระทำอันใดก็ตามจะต้องเป็นการกระทำที่เกิดประโยชน์ต่อแผ่นดิน
พระบรมราโชวาทของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว นอกจากสะท้อนถึงความมีพระปรีชาสามารถในเรื่องการปกครองบริหารแล้ว ยังถือได้ว่าประหนึ่งคำสอนที่เป็นธรรมะสำหรับการดำรงตนเพื่อให้เกิดความสุขความเจริญต่อตนเอง ต่อครอบครัว แต่ที่สำคัญที่สุดคือต่อสังคมและประเทศชาติโดยรวม
สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรในยุคที่นายอุทัย พิมพ์ใจชน เป็นประธานรัฐสภา ได้มีการตัดตอนย่อพระบรมราโชวาทบางส่วนมาเพื่อเป็นแนวทางการปฏิบัติตามรอยพระยุคลบาท โดยมีการตีพิมพ์เมื่อเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2545 บางส่วนของพระบรมราโชวาทที่ได้มีการยกเอาส่วนที่ครอบคลุมหัวข้อดังกล่าวมาเบื้องต้นมีดังต่อไปนี้ คือ
“...ประเทศของเรามีเอกราชอธิปไตยและความเจริญมั่นคงมาได้จนทุกวันนี้ เพราะคนไทยทุกหมู่เหล่ายึดมั่นในชาติบ้านเมือง และรู้จักทำหน้าที่ของแต่ละฝ่ายแต่ละคนให้ประสานส่งเสริมกัน...”
“…การที่จะให้ประเทศชาติมีความมั่นคง มีความสุขและความเจริญ ย่อมต้องอาศัยความสามัคคีและช่วยเหลือซึ่งกันและกัน สำหรับผู้ที่ยังไม่เดือดร้อนนักก็ควรจะช่วยผู้ที่เดือดร้อนมากกว่า...”
“...การดำรงรักษาชาติประเทศนั้นมิใช่หน้าที่ของบุคคลผู้ใดหมู่ใดโดยเฉพาะ หากแต่เป็นหน้าที่ของทุกๆ ฝ่าย ทุกๆ คน ที่จักต้องร่วมมือกระทำพร้อมกันไป โดยสอดคล้องกัน เกื้อกูลกัน และมีจุดมุ่งหมาย มีอุดมคติร่วมกัน...”
“...ความเจริญผาสุกและความตั้งมั่นของบ้านเมือง เป็นสิ่งสำคัญสูงสุดที่บุคคลพึงรำลึกถึงและพึงประสงค์ และความเจริญมั่นคงนั้นจะเกิดขึ้นได้ ก็ต่อเมื่อประชาชนในชาติมีความอยู่ดีเป็นปกติสุขปราศจากทุกข์ยากเข็ญ...”
“...ความสามัคคีพร้อมเพรียงกันเป็นพื้นฐานที่สำคัญยิ่งในการปฏิบัติบริหารงานใหญ่ๆ เช่น งานของแผ่นดิน และความสามัคคีนี้จะเกิดมีขึ้นมั่นคงได้ ก็ด้วยบุคคลในหมู่ในคณะมีคุณธรรมเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวผูกพันจิตใจของกันและกันไว้...”
“...เมื่อใดมีความเข้มแข็งมีความสามัคคีก็จะทำให้บ้านเมืองมีพลังยิ่งขึ้นเมื่อนั้น เมื่อบ้านเมืองมีพลังยิ่งขึ้น ก็สามารถที่จะทำให้พวกเราเองมีความปลอดภัยและมีความก้าวหน้าในที่สุด”
“...ผู้ที่ปฏิบัติงานโดยดีโดยบริสุทธิ์แล้ว ย่อมได้มีส่วนในการช่วยประเทศชาติให้อยู่เย็นเป็นสุข...”
“...ความมีใจจริงที่ขาดไม่ได้ในการทำงานมีสองประการ ประการที่หนึ่ง คือ ความจริงใจต่อผู้ร่วมงาน ซึ่งมีลักษณะประกอบด้วยความซื่อตรง เมตตา หวังดี พร้อมเสมอที่จะร่วมมือช่วยเหลือและส่งเสริมกันทุกขณะ ทั้งในฐานะผู้มีจุดประสงค์ที่ดีร่วมกัน และในฐานะที่เป็นเพื่อนมนุษย์ร่วมชาติร่วมโลกกัน ประการที่สองได้แก่ ความจริงใจต่องาน มีลักษณะเป็นการตั้งสัตย์อธิษฐานหรือการตั้งใจจริงที่จะทำงานให้เต็มกำลัง...”
“...ถ้าเราจะเอาแต่ชนะ มันก็ต้องมีแพ้ แต่ถ้าเราปรองดองกัน มีแต่ชนะไม่มีแพ้...”
“...การแก้ไขปัญหานั้น ถ้าไม่ทำให้ถูกเหตุถูกทาง ด้วยความรอบคอบระมัดระวัง มักจะกลายเป็นการเพิ่มปัญหาให้มากและยุ่งยากขึ้น...”
“...ประโยชน์ส่วนรวมนั้นเป็นประโยชน์ที่แต่ละคนพึงยึดถือเป็นเป้าหมายหลักในการปฏิบัติตนปฏิบัติงาน เพราะเป็นประโยชน์อันยั่งยืนแท้จริง ซึ่งทุกคนมีส่วนได้รับทั่วถึงกัน...”
“...เมื่อมีปัญหาเกิดขึ้น ทุกคนชอบที่จะทำความคิดความเห็นให้สอดคล้องกัน ร่วมกันพิจารณาหาทางแก้ไขด้วยเหตุและผลตามเป็นจริงบนพื้นฐานอันเดียวกัน ก็จะเห็นแนวทางปฏิบัติแก้ไขได้อย่างเที่ยงตรง ถูกต้อง และเหมาะสม...”
“...งานรักษาความมั่นคงของประเทศเป็นงานที่กว้างขวางและละเอียดลึกซึ้งเกี่ยวเนื่องถึงงานของบ้านเมืองทุกๆ ส่วน ทั้งยังต้องปรับเปลี่ยนแผนและกระบวนการปฏิบัติให้ถูกต้องทันตามสถานการณ์เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา...”
“...ความเพียรที่ถูกต้องเป็นธรรมและพึงประสงค์นั้น คือ ความเพียรที่จะกำจัดความเสื่อมให้หมดไป และระวังป้องกันมิให้เกิดขึ้นใหม่ อย่างหนึ่ง กับความเพียรที่จะสร้างสรรค์ความดีความเจริญให้เกิดขึ้น และระวังรักษามิให้เสื่อมสิ้นไปอย่างหนึ่ง ความเพียรทั้งสองประการนี้ เป็นอุปการะอย่างสำคัญแก่การปฏิบัติตนปฏิบัติงาน...”
“...การยึดมั่นในผลประโยชน์ของแผ่นดิน และความถูกต้องเป็นธรรม เป็นสิ่งสำคัญยิ่งในการปฏิบัติหน้าที่ของข้าราชการ...”
“...การทำหน้าที่ได้สมบูรณ์เป็นทั้งรางวัลและประโยชน์อย่างประเสริฐ จะทำให้บ้านเมืองไทยของเราอยู่เย็นเป็นสุขและมั่นคง...”
“...ไม่ว่าจะปฏิบัติภาระหน้าที่อันใดทั้งส่วนน้อยส่วนใหญ่ขอให้ปรารภประโยชน์ของชาติบ้านเมืองเป็นจุดหมายสูงสุด...”
“...เมื่อพบอุปสรรคใดๆ อย่าเพิ่งท้อแท้จะหมดกำลังใจง่ายๆ จงตั้งใจทำให้ดี คิดหาทางที่จะแก้ไขผ่อนคลายอุปสรรคต่างๆ ด้วยเหตุผลและหลักวิชา ไตร่ตรองด้วยความสุขุมรอบคอบ และเยือกเย็นงานก็จะลุล่วงไปได้ด้วยดี...”
“...การช่วยเหลือสนับสนุนประชาชนในการประกอบอาชีพและตั้งตัว ให้มีความพอกินพอใช้ก่อนอื่นเป็นพื้นฐานนั้นเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งยวด เพราะผู้ที่มีอาชีพและฐานะเพียงพอที่จะพึ่งตนเอง ย่อมสามารถสร้างความเจริญก้าวหน้าระดับที่สูงขึ้นต่อไปได้โดยแน่นอน...”
“...ความสุขความเจริญที่แท้จริงอันควรหวังนั้น เกิดขึ้นได้จากการกระทำและความประพฤติที่เป็นธรรม มีลักษณะสร้างสรรค์ คือ อำนวยผลที่เป็นประโยชน์ทั้งแก่ตัวแก่ผู้อื่น ตลอดถึงประเทศชาติโดยส่วนรวมด้วย...”
“...ความทุกข์เดือดร้อนของประชาชนนั้น มิใช่เป็นความรับผิดชอบของผู้หนึ่งผู้ใดโดยเฉพาะ แต่เป็นความรับผิดชอบร่วมกัน ที่จะต้องช่วยกันแก้ไขป้องกันโดยเต็มกำลัง...”
“...ความสุขความเจริญอันแท้จริงนั้น หมายถึงความสุขความเจริญที่บุคคลแสวงหามาได้ด้วยความเป็นธรรม ทั้งในเจตนาและการกระทำ ไม่ใช่ได้มาด้วยความบังเอิญหรือด้วยการแก่งแย่งเบียดบังมาจากผู้อื่น...”
“...การที่จะทำงานให้สัมฤทธิผลที่พึงปรารถนา คือ ที่เป็นประโยชน์และเป็นธรรมด้วยนั้น จะอาศัยความรู้แต่เพียงอย่างเดียวมิได้จำเป็นต้องอาศัยความสุจริต ความบริสุทธิ์ใจ และความถูกต้องเป็นธรรมประกอบด้วย...”
“...ปัญหาทุกอย่างไม่ว่าเล็กหรือใหญ่ มีการแก้ไขได้ ถ้ารู้จักคิดได้ดี ปฏิบัติได้ถูก...”
“...ผู้ที่ทำงานดี มีความซื่อสัตย์สุจริตอย่าท้อใจ...”
จากพระราชดำรัสและพระบรมราโชวาทที่ยกมาข้างต้น นอกจากจะสะท้อนถึงพระราชดำรัสอันลึกซึ้งขององค์พระประมุข ยังสะท้อนถึงความเข้าพระทัยอย่างดีในปัญหาสังคม ระบบราชการ การบริหาร
ถ้าหากว่าประชาชนทั่วไปโดยเฉพาะอย่างยิ่งข้าราชการผู้ปฏิบัติหน้าที่รับใช้ประชาชนและสังคม นำเอาประเด็นต่างๆ ที่กล่าวมาเบื้องต้นอันเป็นส่วนสำคัญของพระบรมราโชวาทที่ทรงมีไว้หลายครั้ง น่าจะเป็นแนวทางสำหรับการทำงานที่จะเอื้ออำนวยประโยชน์และได้ผลในที่สุด
มนุษย์โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้มีหน้าที่รับผิดชอบต่องานสังคมและของประเทศชาติ อาจจะต้องตั้งตัวอยู่ในความไม่ประมาท จะต้องมีการเตือนสติตนเองถึงเรื่องศีลธรรมและจริยธรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อแนวทางปฏิบัติที่ได้มีการกลั่นกรองมาแล้วเป็นอย่างดี ดังที่ปรากฏอยู่ในพระบรมราโชวาทที่กล่าวมาเบื้องต้น
ขอขอบคุณ Daily News - Manager Online
</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=right height=10></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE> -
สาธุ ขออนุโมทนากับคุณทางสายธาตุ ครับ -
ขอขอบคุณ คุณโมเย สำหรับเพลงพระนเรศวรมหาราช เป็นศิริมงคล
สูงสุดแก่กระทู้ "ขอเชิญท่านที่มีความจงรักภักดีและเทิดทูนในสมเด็จ
พระนเรศวรมหาราช" ครับ -
-
ตามอ่านอยู่นะคะ
-
ข่าวสมเด็จพระเทพฯ ได้รับการโหวตจากชาวจีน ให้เป็น "มหามิตร" ของคนจีน
จากสองสามวันที่ผ่านมา นอกจากจะยิ้มที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงหายจากพระอาการประชวรแล้ว
วันนี้ยังยิ้มได้อีกค่ะ สมเด็จพระเทพฯได้รับคะแนนโหวตกว่าสองล้านเสียง ให้เป็นมหามิตรของคนจีนเป็นอันดับสอง รองจากประธานโอลิมปิค
หลังจากที่พระองค์ได้รับพระสมัญญาว่าเป็น "ทูตสันถวไมตรีไทย-จีน"มาแล้ว เป็นข่าวที่พสกนิการไทยสุดปลื้มปิติยินดีอย่างยิ่ง และถือเป็นประวัติศาสตร์อีกหน้าหนึ่งที่โลกและชนสองชาติคือ ไทย-จีน ต้องจารึกไว้
นับเป็นพระราชนิกูลพระองค์เดียวในโลกที่เสด็จเยือนจีนมากที่สุด ทำให้ทรงเป็นประดุจสัญลักษณ์ของมิตรภาพอันแน่นแฟ้นระหว่างไทย-จีน
อีกทั้งสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ยังทรงสนพระทัยในภาษาจีน รวมทั้งให้ความสำคัญกับวัฒนธรรมของจีนอย่างมาก ส่งผลให้ความสัมพันธ์ของไทย - จีน กระชับแน่นและมีความพัฒนามากขึ้นเป็นทวีคูณ
ข้าพระพุทธเจ้ารู้สึกปลื้มปิติในฐานะคนไทยคนหนึ่งที่ได้เห็นพระจริยวัตรอันงดงามในองค์สมเด็จพระเทพฯ
ขอพระองค์ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน -
อ่านหนังสือจิ้มก้องและการค้า ได้เห็นการเมืองระหว่างประเทศในสมัยนั้น
ขบวนการต้านชิงกู้หมิง กระจายตัวอยู่ในภูมิภาคนี้
กระจายตามหมู่เกาะน้อยใหญ่และเมืองท่าสำคัญๆ
แกนนำหลักอยู่ที่เกาะฟอร์โมซา(ไต้หวัน)
จะมีคนตระกูลเจิ้งเป็นผู้นำ ส่วนในประเทศสยามประเทศเวลานั้น
คือต้นรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช จะมีคนตระกูลเฉินภายใต้การนำของท่าน
เฉินกง (ท่านผู้เฒ่าเฉิน)และลูกๆ เป็นผู้นำการเคลื่อนไหวอยู่ในสยามประเทศ
อย่างที่เคยเรียนให้ทราบเกี่ยวกับหลักการอ่านอักษรจีน ตัวเขียนเดียวกันแต่จะออกเสียงต่างกันตามแต่ละท้องถิ่นนะคะ ดังนี้
ตระกูลเฉิน (อ่านแบบจีนกลาง) = ตระกูลตั้ง (อ่านแบบจีนแต้จิ๋ว) = ตระกูลตัน (อ่านแบบจีนฮกเกี้ยน)
แต่ยังอ่านไม่จบจึงยังไม่สามารถเขียนอะไรได้มากนะคะ -
ไทย-จีน มิใช่อื่นไกลพี่น้องกัน
อ่านจากความเห็นอาจารย์เทาชมพูในเวปไซด์เรือนไทย คนไทยไม่ถือว่าคนจีนเป็นชาวต่างชาติ เห็นได้จากการไม่ห้ามการแต่งงานกันระหว่างคนไทยกับคนจีน แต่ห้ามชาติอื่นๆ ในความเห็นอาจารย์ดังนี้
เทาชมพู:
เริ่มต้นจิบชา แล้วเล่าความหลัง เรื่องจีน-ไทย มิใช่อื่นไกลพี่น้องกัน ดีกว่า เป็นการอุ่นเครื่อง
จีนกับไทยเริ่มต้นติดต่อกันแต่ครั้งไหน ไม่ทราบ แต่ทราบว่าเมื่อมีอาณาจักรสุโขทัย เราก็มีการติดต่อกับจีนแล้ว หลักฐานจากการทำถ้วยชามที่เรียกว่า "สังคโลก" ไงล่ะคะ เป็นสินค้าออกขึ้นชื่ออย่างหนึ่งของไทย นัยว่าได้กรรมวิธีมาจากจีน
เคยมีความเชื่อว่าพ่อขุนรามฯเคยเสด็จไปเมืองจีนด้วย แต่หลังๆก็ไม่เชื่อกัน แต่ไม่ว่าเสด็จไปเองหรือส่งใครไปจีนก็ตาม ก็แสดงว่าจีนกับ "เซียมก๊ก" รู้จักกันมานานอย่างน้อยก็ ๗๐๐ ปีแล้ว
ไม่พูดเรื่องความเชื่อว่าไทยเดิมอพยพมาจากจีนนะคะ เดี๋ยวจะกลายเป็นต้องถกเถียงอีกเรื่อง ไม่ใช่เรื่องสัมพันธ์จีน-ไทย
จีนเคยส่งทูตมาถึงขอม สมัยยังเรืองอำนาจอยู่ในดินแดนแหลมทอง มีบันทึกเอาไว้ คนในคณะทูตเจ้าของบันทึก ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ออกเสียงว่า "เจียวต้าก๋วน" แต่ทางจีนออกเสียงอย่างไร ใครทราบช่วยบอกด้วย
ตลอดสมัยอยุธยา จีนก็ยังติดต่อกับไทยมาตลอดด้านการค้าขาย คนจีนเข้ามาตั้งถิ่นฐานอยู่ในอาณาจักรศรีอยุธยา กลมกลืนเข้ากับไทยได้ดี จนคนไทยไม่ถือว่าเป็นคนต่างด้าว เห็นได้จากกฎหมายสมัยกรุงศรีฯระบุไว้ชัดเจนห้ามหญิงไทยแต่งงานกับชาวต่างประเทศ คือ"“ ฝรั่ง อังกฤษ วิสันตา ชวา มลายู อันต่างศาสนาและเป็นมิจฉาทิฐินอกศาสนา...” แต่ไม่มีคนจีนรวมอยู่ด้วย หญิงไทยแต่งงานกับคนจีนได้เหมือนแต่งกับคนไทยด้วยกันเอง
ลูกจีนที่ถือกำเนิดในไทย กลายมาเป็นบุคคลสำคัญที่สุดคนหนึ่งในประวัติศาสตร์ไทย คือพระเจ้าตากสินมหาราช พระชนกมาจากตำบลไหฮอง ทางตอนใต้ของจีน ว่ากันว่าแซ่แต้ พระมารดาคือท่านนก***************ง คนจีนเรียกมหาราชพระองค์นี้ว่า "แต้อ๋อง"
เมื่อสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ ไทยกับจีนก็ยัง "เจริญสัมพันธไมตรี" กันด้วยดี ต่อเนื่องจากสมัยอยุธยา ไทยส่งคณะทูตไปจีนเกือบจะทุกปี เป็นพวกขุนนางสังกัดกรมท่าซ้าย ตำแหน่งขุนนางบางตำแหน่งคนจีนผูกขาด อย่าง "ขุนท่องสื่อ" คนอื่นไม่มีสิทธิ์เป็น เพราะท่องสื่อคือล่าม ขุนท่องสื่อก็คือล่ามจีนที่เข้ารับราชการไทย
เจ้ากรมท่าซ้าย สมัยนี้คงจะเรียกว่าอธิบดี มีบรรดาศักดิ์เป็นพระยาโชฎึกราชเศรษฐี คือใครมารับตำแหน่งนี้ก็ได้เป็นพระยาโชฎึกฯกันทุกคน เป็นหัวหน้าคนจีนในไทย มีหน้าที่ดูแลด้านการค้าขาย การทูตกับจีนและควบคุมดูแลคนจีนในไทยด้วย พระยาโชฎึกฯบางคนก็เก่งเรื่องหนังสือ มาช่วยแปลเรื่อง "สามก๊ก"
เชื้อสายที่สืบมาจากพระยาโชฎึกราชเศรษฐี เท่าที่พบหลักฐาน มีอย่างน้อย ๒ สกุลที่ได้รับพระราชทานนามสกุลจากรัชกาลที่ ๖ คือ "โชติกเสถียร" สืบมาจากพระยาโชฎึกฯ(เล่าเถียน) และ โชติกะพุกกะนะ สืบมาจากพระยาโชฎึกฯ (พุก)ค่ะ
ย้อนกลับมาเรื่องไมตรีไทย-จีน มีข้อเข้าใจที่กลับตาลปัตรกันอยู่อย่างหนึ่งคือ ไทยเราคิดว่า เราส่งคณะทูตไป "เจริญสัมพันธไมตรี" แต่ทางจีนเข้าใจว่า อาณาจักรเราส่งทูตไป "อ่อนน้อม" เป็นเมืองขึ้น เรียกว่า "จิ้มก้อง" ในเมื่อสื่อสารกันตามความเข้าใจของตัวเอง ต่างคนต่างก็ติดต่อกันมาด้วยดีไม่มีใครรังเกียจรังงอนจนสิ้นรัชกาลที่ ๔
เคยถามอาจารย์ประวัติศาสตร์ว่า เรามีความจำเป็นอะไรจะต้องไป "เจริญสัมพันธไมตรี"บ่อยนัก ในเมื่อค้าขายก็ทำกันได้คล่องๆมาตั้งแต่อยุธยา อาจารย์บอกว่าเป็นธรรมเนียมจีนที่ว่า เมื่อบ้านเมืองไหนมาอ่อนน้อมถวายบรรณาการ โดยมารยาทฮ่องเต้จะต้องตอบแทนน้ำใจด้วยบรรณาการที่สูงค่ามากกว่าที่ให้มา และสิ่งที่ทางฝ่ายไทยนับเป็นของดีจากจีน คือแพรไหมที่จีนทำได้สวยงามมาก เราเอามาตัดเป็นเสื้อขุนนางไทยใช้ในโอกาสพิเศษต่างๆ
ด้วยความที่เราไป "เจริญสัมพันธไมตรี" กับจีนได้ผลดีแบบนี้ ไทยจึงขยันส่งทูตไปจีนแทบจะทุกปีจนจีนต้องบอกว่าน้อยๆหน่อยไม่ต้องมาถวายบรรณาการบ่อยนักก็ได้
ความมาแตกเอาตอนต้นรัชกาลที่ ๕ เมื่อจีนทราบว่าไทยผลัดแผ่นดิน ก็มีพระราชสาส์นมาว่าให้ "อ๋อง" องค์ใหม่ไปจิ้มก้องตามธรรมเนียม คราวนี้ล่ามจีนฝ่ายไทยแปลได้ถูกต้อง ไทยเลยรู้ว่าเข้าใจกันคนละทางมาตลอด พระเจ้าอยู่หัวก็ทรงงด "การเจริญสัมพันธไมตรี" กับจีน แต่การค้าขายยังทำกันด้วยดีเหมือนเดิม ก็ไม่เห็นฮ่องเต้ราชวงศ์ชิงว่าอะไรนะคะที่ไทยไม่ได้ไปแบบทางการอีก
เรามารื้อฟื้นสัมพันธไมตรีเป็นทางการอีกครั้งก็ภายหลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ ค่ะ
ป.ล. แซ่แต้ เป็นเสียงอ่านแบบแต้จิ๋ว ก็คือ แซ่เจิ้ง ตามเสียงอ่านแบบจีนกลางนั่นเอง
ความสัมพันธ์จีน-ไทย มิใช่อื่นไกลพี่น้องกัน -
ติดดาวที่ชื่อเพราะระบบคัดกรองมังคะ
จะเขียนชื่อท่าน น ก เ อี้ ย ง นะคะ
ส่งอีกทีจะได้ดาวอีกหรือไม่ เพี้ยง -
ฉากขบวนพยุหยาตราทางชลมารค ในหนังตำนานสมเด็จพระนเรศวร ภาค 3
ภาพยนตร์ประวัติศาสตร์ “ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช” ภาค 3 และ 4 “สงคราม ยุทธหัตถี” เดินหน้าถ่ายทำอย่างต่อเนื่อง “ผู้พันเบิร์ด-แอฟ” พร้อมนักแสดงสมทบกว่า 1,000 คน ร่วมฉากใหญ่ “กระบวนพยุหยาตราทางชลมารค” สร้างเรือพระที่นั่ง พร้อมเรือร่วมขบวนอย่าง สมพระเกียรติ โดยใช้เวลาในการสร้างเรือกว่า 1 ปี เพื่อความสวยงาม อลังการ และสมบูรณ์แบบที่สุด
“เบิร์ด-พ.ต. วันชนะ สวัสดี” ผู้รับบท “สมเด็จพระนเรศวรมหาราช” ในภาพยนตร์ “ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช” กล่าวถึงฉากกระบวนพยุหยาตราทางชลมารคว่า “สำหรับฉากนี้เป็นฉาก ต่อเนื่องจากที่ข้ามแม่น้ำสะโตงในภาค 2 ที่สมเด็จพระนเรศวร ทรงเสด็จจากเมืองพิษณุโลก กลับมาที่กรุงศรีอยุธยาทางแม่น้ำเจ้าพระยา โดยได้เทครัวกวาดต้อนชาวบ้าน พร้อมเสบียงมาด้วย ซึ่งความยิ่งใหญ่ของฉากนี้ นอกจากจะมีนักแสดงเข้าร่วมขบวนเรือจำนวนมากแล้ว ท่านมุ้ยยังได้สร้างเรือที่ใช้ในการเข้าฉากเลียนแบบของจริงจำนวน 6 ลำ เช่น เรือนารายณ์ทรงสุบรรณ มีความยาว 40 เมตร ใช้ฝีพายประมาณ 70 คน,เรือเอกไชยเหินหาว ยาว 30 เมตรใช้ฝีพาย 46 คน, เรือเอกไชยหลาวทอง, เรือรูปสัตว์ เป็นต้น”
ส่วนความประทับใจในการเข้าร่วมฉากยิ่งใหญ่ฉากนี้ ผู้พันเบิร์ด กล่าวต่อว่า “ที่เป็นความประทับใจอีกอย่างหนึ่งก็คือ วิธีการพายเรือ ที่มีระเบียบแบบแผนที่คนไทยเคยเห็นจาก พระราชพิธีกระบวนพยุหยาตราทางชลมารค ท่านมุ้ยต้องการให้ฉากนี้ออกมาเหมือนจริง และยิ่งใหญ่มากที่สุด จึงขอให้ผู้เชี่ยวชาญจากกองทัพเรือเข้ามาดูแล และฝึกซ้อมวิธีการพายเรือพระที่นั่งของฝีพายประจำเรือที่เป็นนักแสดงประกอบ ที่รับบทโดยทหารจากกองพลทหารราบที่ 9 ค่ายสุรสีห์ ซึ่งนักแสดงทุกคนมีความภาคภูมิใจอย่างมากที่ได้เข้าร่วมแสดงฉากนี้”
ผู้พันเบิร์ดเล่าถึงการถ่ายทำในครั้งนี้ว่า “การถ่ายทำในวันนั้นทุกคนล้วนมีความอดทนอย่างมาก แม้อากาศจะร้อน และต้องนั่งอยู่ในเรือตลอดทั้งวัน เขาก็ไม่มีบ่นกัน นอกจากความยิ่งใหญ่แล้ว สิ่งที่ยากที่สุดของฉากนี้ คือ การบังคับเรือให้อยู่กับที่ เพราะในกองถ่าย พร้อมมิตร ฟิล์ม สตูดิโอ จ.กาญจนบุรี ลมแรงมาก กว่าจะกำหนดจุดจอดได้ต้องใช้เวลาครับ”
มาที่ด้านนางเอกของเรื่อง “แอฟ-ทักษอร ภักดิ์สุขเจริญ” รับบท “มณีจันทร์” ที่ร่วมเดินทางจากเมืองพิษณุโลกกับสมเด็จพระนเรศวรมหาราชด้วยนั้น
แอฟได้เผยว่า“ฉากนี้เป็นฉากที่มณีจันทร์เดินทางมาทางเรือพร้อมกับสมเด็จพระนเรศวร เพื่อจะกลับไปยังกรุงศรีอยุธยา โดยระหว่างที่เดินทางสมเด็จพระนเรศวรจะกังวลเรื่องการศึกมาก เพราะมีเวลาเตรียมกองทัพน้อย มณีจันทร์ก็จะคอยให้กำลังใจ พร้อมกับเป็นคู่คิดในการศึกด้วย”
“ซึ่งฉากนี้แอฟว่าความสวยงามอยู่ที่เรือพระที่นั่ง ที่ท่านมุ้ยทรงสร้างได้อย่างเหมือนจริง อลังการมาก อยากให้ทุกคนได้ดูกันค่ะ แต่เห็นสวยงามอย่างนี้ ตอนถ่ายทำทรมานมาก เพราะเราถ่ายในน้ำ แสงพระอาทิตย์ที่ส่องลงมาทำให้น้ำระยิบระยับ แสบตามาก แต่ก็สู้ค่ะ”
ภาพยนตร์เรื่อง“ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช”เป็นภาพยนตร์ที่สร้างปรากฏการณ์ใหม่ ให้แก่วงการภาพยนตร์ไทยในหลายด้าน ทั้งการนำเทคนิคพิเศษรูปแบบใหม่จากต่างประเทศมาใช้ในการก่อสร้างฉาก และจัดทำอุปกรณ์ประกอบฉาก ที่ช่วยประหยัดทั้งเวลาแรงงาน และค่าใช้จ่าย รวมถึงงานด้านแสงเสียงพร้อมการสร้างสรรค์และจัดทำ visual effects, special effects ตลอดจนการใช้ computer graphics ที่โดดเด่น
นอกจากนี้ยังได้นำเข้าม้าจากต่างประเทศที่ได้รับการฝึกฝนและดูแลเป็นพิเศษเพื่อแสดงภาพยนตร์แนว action โดยเฉพาะ โดยในภาค 1 และ 2 มีทีมผู้เชี่ยวชาญมืออาชีพที่มีประสบการณ์สูง ในแต่ละด้านจากหลายประเทศมาช่วยถ่ายทอดความรู้และเทคนิคให้แก่ทีมงานคนไทย ซึ่งดำเนินการต่อในภาค 3 และ 4 อันเป็นการพัฒนาและยกระดับมาตรฐานการสร้างภาพยนตร์ไทยให้ทัดเทียมต่างประเทศ ทั้งยังมีการคิดค้นและปรับประยุกต์เครื่องมือใหม่ๆ ที่มีประสิทธิภาพสำหรับใช้ในการถ่ายทำ
ขอบคุณ : "ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช" สุดอลังการ! “ท่านมุ้ย” จำลองฉากยิ่งใหญ่เหมือนจริง “กระบวนพยุหยาตราทางชลมารค"
สวยดีค่ะ นำมาชมกันวันหยุด
ในรัชสมัยของพระองค์มีกระบวนพยุหยาตราทางชลมารค เท่าที่สืบค้นได้ 3 ครั้งนะคะ อ้างอิงรายละเอียดเรื่องนี้ที่หน้า 9 ความเห็นที่ 170-174 ของกระทู้นี้ค่ะ -
ถนนพระยาพระคลัง ย่านการค้าบาร์ซาร์แห่งกรุงศรีอยุธยา
ทำไมจึงแปล Barcelon ว่าพระยาพระคลัง ในแผนที่หน้า 38 ทางสายธาตุลืมบอกที่มาที่ไป
C : Rue da Barcalon = Street of Praklang = ถนนพระยาพระคลัง
เอาข้อมูลมาจากหนังสือ จิ้มก้องและกำไร การค้าไทย-จีน โดย ดร.สารสิน วีระผล หน้า21
แต่เดิมนั้นพระคลังมีหน้าที่ไม่มากนักเพราะรายได้สำคัญของรัฐอยู่ในรูปแรงงานเกณฑ์ อย่างไรก็ดี เมื่อการค้าพัฒนามากขึ้น พระคลังก็กลายเป็นกรมที่สำคัญที่สุดกรมหนึ่งในการปกครอง มาถึงรัชสมัยพระเจ้าทรงธรรม เจ้าพระยาโกษาธิบดี (ชื่อเรียกอย่างเป็นทางการของหัวหน้าพระคลัง ผู้เป็นที่รู้จักทั่วไปในหมู่ชาวตะวันตกง่ายๆว่า พระยาพระคลัง หรือ Barcelon ที่แผลงมาจากภาษาโปรตุเกส ในการติดต่อสื่อสารอย่างเป็นทางการกับจีน ก็ถูกเรียกว่า ต้าคู่ซื่อ ได้เข้ามาดูแลกรมนี้ และนับแต่นั้นก็ถูกอ้างถึงในฐานะ "เจ้าท่า" (Port Master)Click to expand...
สืบค้นตำแหน่งบ้านรับแขกเมืองของพระยาพระคลัง
หมอแกมเฟอร์ เขียนเล่าต่อว่า ขบวนเรือแล่นเลียบกำแพงพระนครขึ้นไปตามลำน้ำสักประเดี๋ยวหนึ่ง ก็เลี้ยวไปสู่บ้านของท่านพระยาพระคลัง อันเป็นที่ซึ่งท่านออกรับแขกเมืองอย่างสง่าสมเกียรติ เราขึ้นบกทางด้านนี้ และเดินต่อไปจนถึงบ้าน ลานบ้านอยู่ค่อนข้างจะสกปรกและอับๆ แต่ยังดีกว่าบ้านอีกแห่งหนึ่งของท่าน ซึ่งเราได้ไปเยี่ยมคำนับท่านเป็นส่วนตัวมาแล้วก่อนหน้านี้ 2-3 วัน พอเข้าไปในบริเวณลานบ้าน เราก็เห็นเรือนหรือห้องเปิดโล่งหลังหนึ่งอยู่ทางซ้ายมือทำเกือบเป็นรูปจัตุรัส ไม่มีผนัง พื้นปูกระดาน มีคนอยู่เต็ม บ้างก็นั่ง บ้างก็เดินคุยกัน ทางขวามือเห็นช้างเชือกหนึ่ง ผูกครบยืนอยู่ในโรง ตรงกันข้ามกับทางเข้ามีบันไดหินขึ้นสู่เรือนพระยาพระคลัง
บันทึกของหมอแกมเฟอร์ ตอนนี้บอกให้เรารู้ว่า ขบวนเรืออัญเชิญพระราชสาสน์มี 6 ลำ จัดเรียงขบวนกันเป็น 1 : 3 : 1 : 1 โดยที่ขบวนเรือแล่นเลียบกำแพงพระนครขึ้นไปในชั่วเวลาไม่นาน ก็เลี้ยวไปสู่บ้านของพระยาพระคลัง
<CENTER><TABLE><TBODY><TR><TD></TD></TR><TR><TD>ภาพขยายจากแผนที่ข้างต้น คือ ส่วนของคลองประตูเทพหมีที่เห็นรูปลำคลองมีความโค้งเหมือนคันธนู ตรงส่วนกลางของคลองเป็นสะพานวานร ในภาพเขียนนี้มีช่องใต้สะพานจำนวน 5 ช่อง เป็นสะพานที่ใหญ่ที่สุดและปัจจุบันยังมีสภาพเป็นสะพานที่มีความสมบูรณ์มากที่สุดของบรรดาสะพานโบราณทั้งหลายของพระนครศรีอยุธยา บนสะพานคือถนนคนเดินที่เชื่อมโยงพื้นที่ระหว่างฟากตะวันออกกับตะวันตกของพื้นที่ตอนใต้ ของพระนครศรีอยุธยาในอดีต</TD></TR><TR><TD></TD></TR><TR><TD>ภาพเขียนสีน้ำมันสมัยกรุงศรีอยุธยา โดย โยฮันเนส วิงโบนส์ จิตรกรชาวดัชท์ ภาพนี้เขียนขึ้นราวปี พ.ศ.2208 ตามความประสงค์ของบริษัทอินเดียตะวันออก ฮอลันดา (VOC) ในภาพแสดงรูปพรรณสัณฐานของกรุงศรีอยุธยา ทางตอนล่างของภาพคือ คลองประตูเทพหมีสถานที่ตั้งมหาวิทยาราชภัฏพระนครศรีอยุธยาในปัจจุบัน</TD></TR></TBODY></TABLE></CENTER>
ถ้าเราสร้างจินตนาการภาพประกอบกับการคิดเชิงเหตุผลในลักษณะของความเป็นไปได้ ก็จะเห็นภาพของเรือแล่นทวนกระแสน้ำเจ้าพระยาเลียบกำแพงเมืองด้านทิศใต้ผ่านคลองนายก่าย (คลองมะขามเรียงในปัจจุบัน) ขบวนเรือแล่นเลียบกำแพงอีกชั่วประเดี๋ยวเดียวก็ถึงคลองน้ำสายใหญ่ ถึงตรงนี้ขบวนเรือเลี้ยวขวาเข้าประตูใหญ่ของคลองน้ำที่ชื่อว่าคลองประตูเทพหมี หรือคลองประตูเทษมี ซึ่งเป็นคลองน้ำที่ใหญ่ที่สุดของกรุงศรีอยุธยา ดูจากในภาพเขียนของฝรั่ง สะพานวานรหรือสะพานเทพหมีมีช่องใต้สะพานอยู่ 5 ช่อง ซึ่งสะพานโดยปกติจะมีช่องส่วนนี้อยู่เพียงช่องเดียวหรือสามช่องเท่านั้น ขนาดความยาวของสะพานก็คือขนาดของความกว้างของคลอง ดังนั้นคลองประตูเทพหมีจึงน่าจะมีความกว้างประมาณ 12 เมตรเศษ ซึ่งพอเพียงที่จะให้เรือ ในขบวนอัญเชิญพระราชสาส์นเคลื่อนขบวนเรียงสาม เข้ามาได้
คลองที่ถัดไปอีกหนึ่งคลองคือคลองฉะไกรน้อย มีขนาดเล็กกว่ากันมาก คลองนี้อยู่ด้านตะวันออกของวัดบรมพุทธาราม ซึ่งคลองฉะไกรน้อยนี้ขบวนเรือคงจะเข้าไปไม่ได้ทั้งหมดเว้นแต่ว่าจะเข้าไปทีละลำ ฉะนั้นขบวนเรือคงจะไม่ได้ไปขึ้นบกที่คลองฉะไกรน้อย เนื่องจากคลองฉะไกรน้อยอยู่ไกลออกไปอีกมากด้วย ในบันทึกบอกว่าสักประเดี๋ยวหนึ่ง
ขบวนเรืออัญเชิญพระราชสาสน์จอดเทียบท่า หรือสะพานที่เชิงสะพานวานรแล้วขบวนแห่พากัน เดินขึ้นบกไปตามทางเดินเพื่อไปยังบ้านรับแขกเมืองของพระยาพระคลัง ซึ่งในแผนที่ฝรั่งยุคปลายกรุงศรีอยุธยา จะมองเห็นแนวทางเดิน (ถนน) นี้เป็นถนนที่เชื่อมต่อระหว่างสะพานวานรกับสะพานหน้าวัดบรมพุทธาราม อย่างชัดเจน -
เรื่องเจ้าหน้าที่การค้าและคนงานตามท่าเรือต่างๆในการติดต่อการค้า ตอนแรกทางสายธาตุคิดว่าคงเป็นเพียงกำลังเจ้าหน้าที่การค้าและคนงานของครอบครัวไจ้เซี่ยง(ไจ้เซี่ยงเป็นตำแหน่งทางการของท่านอัครมหาเสนาบดี ข้าราชการระดับสูง ได้รับป้ายหยกยู่อี่ เป็นชั้นยศพิเศษ เข้าใจว่าท่านน่าจะเปลี่ยนแซ่จากจางเป็นเฉินเพื่อความปลอดภัย เหมือนที่ท่านฉี่ยี่กง องค์ชายสองแห่งราชวงศ์ชิง ที่เปลี่ยนจากแซ่อ้ายซินเจี๋ยหลอ เป็นแซ่ ฉี)
เจ้าหน้าที่การค้าและคนงานตามท่าเรือต่างๆที่เข้าใจว่ามีเพื่อประสานงานด้านการค้าเท่านั้น พออ่านหนังสือจิ้มก้องและกำไร คิดว่าเจ้าหน้าที่การค้าเหล่านี้คงมีหน้าที่อย่างอื่นในทางการเมืองสมัยนั้นด้วย จึงกระจายอยู่ทั่วภูมิภาคซึ่งการใช้จ่ายเพื่อการดำเนินการการค้านี้มิใช่น้อยและคิดว่าแต่ละท่านคงมีอุดมการณ์ร่วมกัน
ตอนไปฮ่องกง ศาลเจ้าแห่งหนึ่งมีชื่อเสียงมากคือ ศาลเจ้าท่านแชก้ง อ่านออกเสียงแบบกวางตุ้งแบบนี้ แชแปลว่ารถ ก้งแปลว่าท่านผู้เฒ่า ท่านเป็นขุนพลทหารสมัยราชวงศ์หมิง ลี้ภัยจากราชวงศ์ชิงบนแผ่นดินใหญ่ไปอยู่ที่เกาะฮ่องกง และทุกวันนี้ชาวฮ่องกงและมาเก๊าเคารพท่านเป็นเทพเจ้าคุ้มครองเกาะฮ่องกง คนฮ่องกงเชื่อว่าถ้ามาเซ่นไหว้ท่านแชก้งทุกปีๆแล้ว พายุจะไม่เข้าเกาะฮ่องกง ซึ่งก็จริงนะคะ ไม่เคยได้ยินว่าพายุใหญ่พัดเกาะฮ่องกงจนเสียหายหนักสักที ขุนทหารราชวงศ์หมิงท่านหนึ่งก็คือ ท่านแชก้งแห่งเกาะฮ่องกง นี่แหละค่ะ แต่ไม่ทราบว่าจะอยู่ในยุคเดียวกับท่านอัครเสนาบดีหรือไม่นะคะ
ตอนนี้ทางสายธาตุพอจะเห็นและรู้สึกได้ว่า เจ้าขรัวมณีจันทร์นั้นพระองค์ท่านทรงอิทธิพลในด้านการค้าและกองกำลังพอสมควร และมากพอที่จะอภิบาลพระองค์บัวและพระองค์ไลให้ปลอดภัยได้ภายใต้ภาวะคับขันต่างๆที่เกิดขึ้นในเวลานั้น -
ทางสายธาตุ said: ↑เรื่องเจ้าหน้าที่การค้าและคนงานตามท่าเรือต่างๆในการติดต่อการค้า ตอนแรกทางสายธาตุคิดว่าคงเป็นเพียงกำลังเจ้าหน้าที่การค้าและคนงานของครอบครัวไจ้เซี่ยง(ไจ้เซี่ยงเป็นตำแหน่งทางการของท่านอัครมหาเสนาบดี ข้าราชการระดับสูง ได้รับป้ายหยกยู่อี่ เป็นชั้นยศพิเศษ เข้าใจว่าท่านน่าจะเปลี่ยนแซ่จากจางเป็นเฉินเพื่อความปลอดภัย เหมือนที่ท่านฉี่ยี่กง องค์ชายสองแห่งราชวงศ์ชิง ที่เปลี่ยนจากแซ่อ้ายซินเจี๋ยหลอ เป็นแซ่ ฉี)
เจ้าหน้าที่การค้าและคนงานตามท่าเรือต่างๆที่เข้าใจว่ามีเพื่อประสานงานด้านการค้าเท่านั้น พออ่านหนังสือจิ้มก้องและกำไร คิดว่าเจ้าหน้าที่การค้าเหล่านี้คงมีหน้าที่อย่างอื่นในทางการเมืองสมัยนั้นด้วย จึงกระจายอยู่ทั่วภูมิภาคซึ่งการใช้จ่ายเพื่อการดำเนินการการค้านี้มิใช่น้อยและคิดว่าแต่ละท่านคงมีอุดมการณ์ร่วมกัน
.............................................................................
ข้อแรก เจ้าหน้าที่การค้าและคนงานเหล่านี้น่าจะเป็นกองกำลังเพื่อทำหน้าที่คุ้มกันและป้องกัน คงจะมีฝีไม้ลายมือกันพอสมควรทีเดียว ในยามปกติก็ทำงานกันไปตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย อาจจะมีบางคนต้องทำหน้าที่หาข่าวสารไปด้วย เมื่อเกิดเหตุการณ์คับขันก็จะรวมตัวกันเป็นกองกำลังตามแผนที่ได้เตรียม
กันไว้ล่วงหน้าแล้วClick to expand... -
มีเรื่องเล่าเกี่ยวกับเทศกาลกินเจที่เกี่ยวข้องกับเรื่องการล่มสลายของราชวงศ์หมิงด้วยค่ะ คิดว่าชาวฮั่นในช่วงนั้นคงทุกข์ใจกันมาก การกินเจเป็นการกินอุทิศกุศลให้บ้านเมืองของตนด้วยมังค่ะ เท่าที่พอจะรู้ เจ้าขรัวฯเองทรงกินเจตลอดพระชนม์ชีพเหมือนกัน คงเพื่ออุทิศให้ทั้งสองแผ่นดิน แผ่นดินบ้านเกิด และแผ่นดินที่อาศัยอยู่
ชาวจีนนำเรื่องนี้ไปเกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์จีน จนมีเรื่องเล่าขานต่อมาแตกต่างกันไป ชาวจีนเชื่อว่าการที่ชนกลุ่มน้อย เช่นชาวแมนจูมามีอำนาจเหนือชาวฮั่น ในปลายสมัยราชวงศ์หมิง เป็นความทุกข์โศกอันยิ่งใหญ่ พวกต่อต้านราชวงศ์ชิงของชาวแมนจูจึง มีคำติดปากว่า “ฝั่นชิงฝูหมิง” คือล้มราชวงศ์ชิงฟื้นฟูราชวงศ์หมิง
เมื่อครั้งราชวงศ์ชิงยึดราชวงศ์หมิงที่ปักกิ่ง ข้าราชการที่มีความจงรักภักดีต่อราชวงศ์หมิงต่างหนีการจับกุม โดยตั้งกลุ่มศาสนาเป็นการบังหน้าตามหัวเมืองต่าง ๆ และบางกลุ่มย้ายมาทางเอเชียอาคเนย์ กลุ่มเหล่านี้หวังจะฟื้นฟูราชวงศ์หมิง จึงจัดเทศกาลทางศาสนาตามที่พวกตนนับถือ โดยเลือกวันที่ 9 เดือน 9 เป็นวันทำพิธี ในประเทศจีนก็มีเทศกาลวันที่ 9 เดือน 9 เรียกว่า “ฉงหยางเจี๋ย” แปลว่า วันที่เป็นหยางซ้อนกัน 2 วัน จึงเรียกว่า “ฉงหยางเจี๋ย”
ขณะที่กลุ่มภักดีต่อราชวงศ์หมิงที่ย้ายมาทางเอเชียอาคเนย์พวกเขาได้เซ่นไหว้พระมหากษัตริย์ของราชวงศ์หมิง 9 พระ องค์สืบต่อกันมา พวกเขามีบทสวดมนต์ที่เรียกว่า “ไท้หยางจิง” คำว่า “จิง” แปลว่าบทสวดมนต์ คำว่า “ไท้หยาง” แปลว่าพระอาทิตย์ หมายถึงบทสวดมนต์ พระอาทิตย์และมีบทสวดมนต์ที่เรียกว่า “ไท้อันจิง” เรียกว่าบทสวดพระจันทร์ พระอาทิตย์กับพระจันทร์รวมกันอ่านว่า “หมิง” ซึ่งไปพ้องกับคำว่า “หมิง” ของราชวงศ์
นอกจากนี้ในบทสวดมนต์ดังกล่าวยังเอ่ยคำว่า “ไท้หยาง หมิง หมิง จูกวงโฝว” คำว่า “จูกวงโฝว” ตัวนี้แปลว่า พระรัศมีของพระศรีศากยมุนี มีเสียงไปพ้องกับพระนามพระเจ้า จูหยวนจาง ซึ่งเป็นปฐมบรมกษัตริย์ของราชวงศ์หมิง นอกจากนี้คำว่า “จูกวงโฝว” ยังแปลได้อีกความหมายหนึ่งว่า แสงแห่งราชวงศ์จู ซึ่งหมายถึงแสงแห่งราชวงศ์หมิง กำลังจะฟื้นคืนมานั่นเอง
อีกด้านหนึ่งของความเชื่อว่า การกินเจวันที่ 9 เดือน 9 เกี่ยวกับพระโอรสองค์ที่ 9 ของทายาทราชวงศ์หมิง ที่เรียกกันว่า “จิ่ว หวาง” มีอยู่ครั้งหนึ่งได้ข่าวว่า ราชวงศ์ชิงยกทัพมาปราบกบฏที่มณฑลฮกเกี้ยน พระโอรสองค์ที่ 9 จึงชวนสมัครพรรคพวกไปซุ่มดูอยู่บนภูเขา ระหว่างที่ไพร่พลของราชวงศ์ชิงเข้ามา พรรคพวกยังหาวิธีกำจัดทหารแมนจูไม่ได้ โอรสองค์ที่ 9 เกรงว่าจะไม่ทันการ กลัวว่าทหารแมนจูจะเข้าไปฆ่าฟันผู้คน จึงตัดสินใจฆ่าตัวตายก่อนที่ทหารราชวงศ์ชิงจะมาถึงตัว หลังจากนั้นทหารได้จัดงานศพให้โอรสองค์ที่ 9 โดยอ้างว่าเป็นการจัดงานศพของเจ้าอาวาสของวัดที่อยู่บนภูเขา เมื่อทหารราชวงศ์ชิงมาถึง ไม่พบหลักฐานการก่อกบฏ ประชาชนก็ปลอดภัย เพื่อเป็นการระลึกถึงโอรสองค์ที่ 9 ประชาชนจึงใส่ชุดขาว กินเจ เพื่อส่งผลบุญให้กับทายาทราชวงศ์หมิง
เหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของความเชื่อที่เกิดขึ้นในจีนแผ่นดินใหญ่ แต่มีข้อมูลอีกด้านหนึ่งว่า ประเพณีกินเจแท้จริงแล้วกำเนิดขึ้นในเมืองไทยนั่นเอง มีหลักฐานว่าหมู่บ้าน “เซิ่ง อันไจ่” อยู่ในอำเภอเฉิงไห มณฑลกวางตุ้ง มีพิธีกินเจ แบบบ้านเรา ทั้งนี้เล่ากัน มาว่าในช่วง ค.ศ.1473 หรือ รัชศกเฉียนหลงปีที่ 8 มี ชาวแต้จิ๋วอพยพเข้ามาในแผ่น ดินไทยมาก และได้นำรูปของ “จิ่วหวางต้าตี้” หรือพระเจ้าองค์ที่ 9 แห่งราชวงศ์หมิงกลับไปด้วยClick to expand...
http://blog.eduzones.com/jipatar/print.php?content_id=10174
คนราชวงศ์หมิงคงทุกข์ใจมากเป็นทุกข์ของคนไม่มีแผ่นดิน แต่สุดท้ายรัฐบาลแห่งชาติซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวฮั่นก็ได้กลับมาปกครองจีนดังเดิม
เป็นตัวอย่างอันดีให้ชาวไทยดู หากไม่รู้รักสามัคคี ไม่รักแผ่นดิน หากสูญเสียไปแล้วจะร้องไห้อย่างไรก็จะไม่มีวันหวนคืน -
ข้อแรก เจ้าหน้าที่การค้าและคนงานเหล่านี้น่าจะเป็นกองกำลังเพื่อทำหน้าที่คุ้มกันและป้องกัน คงจะมีฝีไม้ลายมือกันพอสมควรทีเดียว ในยามปกติก็ทำงานกันไปตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย อาจจะมีบางคนต้องทำหน้าที่หาข่าวสารไปด้วย เมื่อเกิดเหตุการณ์คับขันก็จะรวมตัวกันเป็นกองกำลังตามแผนที่ได้เตรียม
กันไว้ล่วงหน้าแล้ว<!-- google_ad_section_end -->Click to expand... -
“ความยิ่งใหญ่ของสมเด็จพระนเรศวร” ในหลักฐานต่างชาติ
“ความยิ่งใหญ่ของสมเด็จพระนเรศวร” ในหลักฐานต่างชาติ
พระปรีชาสามารถตลอดจนเกียรติประวัติอันยิ่งใหญ่ของสมเด็จพระนเรศวรนั้น ดูจะเป็นที่รับรู้กันโดยทั่วไปโดยเฉพาะอย่างยิ่งจากหลักฐานประเภทพระราชพงศาวดารของฝ่ายไทยเอง และงานนิพนธ์ยุคต่อมา อาทิ “ลิลิตตะเลงพ่าย” ของสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส หรือ “ไทยรบพม่า” ของสมเด็จฯกรมพระยาดำรงราชานุภาพ
ทว่าความยิ่งใหญ่ของสมเด็จพระนเรศวรไม่ได้เป็นที่รับรู้เพียงแต่ชาวสยามเท่านั้น ในหลักฐานทางประวัติศาสตร์ซึ่งบันทึกโดยชาวต่างชาติที่เข้ามามีความสัมพันธ์กับอยุธยาในรัชสมัยของพระองค์ก็ได้กล่าวถึงความยิ่งใหญ่ของพระองค์ไว้ด้วยเช่นกัน มาดูกันว่าบันทึกเหล่านั้นบอกเล่าความยิ่งใหญ่ของพระองค์ไว้อย่างไรบ้าง
การปกครองเข้มงวดที่สุดนับตั้งแต่เคยมีมาในสยาม
ในรัชสมัยของสมเด็จพระมหาธรรมราชา พระราชบิดา และรัชสมัยของสมเด็จพระนเรศวรเอง พระองค์ได้ทรงปกครองบ้านเมืองไพร่ฟ้าประชาชนอย่างเข้มงวดจนฝังแน่นอยู่ในความทรงจำของผู้คน
ดังปรากฏในพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา พ.ศ.2182 ซึ่งบันทึกโดย เจเรเมียส ฟานฟลีต (วันวลิต) ชาวดัตช์ซึ่งดำรงตำแหน่งเป็นหัวหน้าสำนักงานของบริษัทอินเดียตะวันออกของดัตช์ (V.O.C.) ในรัชสมัยพระเจ้าปราสาททองความว่า
“...ชาวมลายูขนานนามพระองค์ว่า “ราชาอปี” (Raadje Apij เป็นภาษามลายูแปลว่า พระเจ้าอัคคี) และชาวสยามขนานพระนามว่า “องค์ดำ” รัชสมัยของพระองค์เป็นสมัยที่ปกครองแบบทหารและเข้มงวดที่สุดเท่าที่เคยมีมาในสยาม...”
ซึ่งสิ่งที่วันวลิตบันทึกไว้คงเป็นเรื่องที่ไม่ผิดไปจากความเป็นจริงเท่าใดนัก เนื่องจากในเวลานั้นเป็นช่วงที่กรุงศรีอยุธยาต้องรับศึกจากกรุงหงสาวดี สมเด็จพระนเรศวรจึงจำเป็นต้องทำการปกครองอาณาจักรอย่างเข้มงวดและเด็ดขาด เพื่อสร้างความเข้มแข็งให้แก่กรุงศรีอยุธยา และความเข้มงวดของพระองค์นี่เองที่ได้ทำให้อาณาจักรอยุธยาฟื้นตัวขึ้นมาอีกครั้ง
ดอกผลของความเข้มงวดคือกองทัพที่ไร้ผู้ต่อต้าน
จุดพลิกกลับของการทำสงครามเพื่อกอบกู้บ้านเมืองของสมเด็จพระนเรศวรนั้น อยู่ที่สงครามกับพระเจ้านันทบุเรงในปีพ.ศ.2128-2130 โดยแกสแปโร บัลบี (Gasparo Balbi) พ่อค้าอัญมณีชาวเวเนเทียน (Venetian) ได้กล่าวถึงผลจากความเข้มงวดในการปกครองของสมเด็จพระนเรศวรที่ก่อให้เกิดความมั่นใจแก่ไพร่พลในการรบกับทัพหงสาวดีไว้ในรายงานของเขาว่า
“...ชาวสยามไม่เคยหวั่นเกรงอีกเลยในเรื่องที่ว่า พระเจ้าหงสาวดีพระองค์นี้จะเอาชนะพวกเขาได้ เพราะพระราชบิดาของพระองค์ (บุเรงนอง) ที่เคยเอาชนะชาวสยามได้นั้น, แม้จะได้นำทัพมาด้วยพระองค์เองและมีกำลังไพร่พลถึง ๘๐๐,๐๐๐ คน ก็คงไม่สามารถเข้ายึดพระนครศรีอโยธยาได้, ถ้าไม่ใช่เพราะการที่ขุนนางสยามหักหลังกันเอง...”
หลักฐานทางฝ่ายพม่าเองก็ได้ยอมรับถึงพระราชอำนาจของสมเด็จพระนเรศวรกับความเข้มงวดที่มีต่อขุนนางและไพร่ฟ้าประชาชน จนก่อให้เกิดกองทัพที่แม้ฝ่ายหงสาวดีจะมีกำลังมากกว่าหลายเท่าก็ยากจะเอาชนะได้ ดังข้อความตอนหนึ่งที่พญาลอ แม่ทัพฝ่ายหงสาวดีได้กราบทูลพระเจ้านันทบุเรงความว่า
“...แม้กำลังไพร่พลของพระนครศรีอโยธยาจะนับได้สักหนึ่งในสี่ของไพร่พลเมืองหงสาวดีก็หาไม่, แต่กระนั้นก็ตาม, สมเด็จพระมหาอุปราชและนายทัพนายกองก็ได้ประจักษ์ความจริงแล้วว่าเป็นเรื่องยากนักที่จะรบชนะชาวสยาม เพราะว่าพระราชอำนาจของสมเด็จพระนริศ (พระนเรศวร) ที่มีเหนือขุนนางของพระองค์นั้น ยิ่งใหญ่เป็นล้นพ้นจนกระทั่งว่า ถ้าชาวสยามเผชิญหน้ากับข้าศึกศัตรู เขาก็ยอมสละชีวิตดีกว่าจะยอมถอยหลัง. อันว่าการสงครามนั้นใช่ว่าจะได้ชัยชนะเพราะมีไพร่พลมากกว่าเพียงประการเดียว หากอยู่ที่ความกล้าหาญและชาญเชี่ยวในยุทธวิธี...”
การฟื้นตัวของอาณาจักรสยาม
ปีเตอร์ วิลเลียมสัน ฟลอริส (Peter Williamson Floris) ชาวดัตช์ผู้เป็นลูกจ้างบริษัทอินเดียตะวันออกของอังกฤษ (E.I.C.) ซึ่งเข้ามาในสมัยต้นพระเจ้าทรงธรรม กล่าวถึงการฟื้นตัวของอาณาจักรอยุธยาในรัชสมัยของสมเด็จพระนเรศวรไว้ในจดหมายเหตุของ
เขาว่า
“…นี่คือเรื่องราวย่อๆ เกี่ยวกับความพินาศลงของอาณาจักรพะโค (หงสาวดี) ในขณะที่ราชอาณาจักรสยามฟื้นตัวขึ้นอีกครั้งหนึ่งหลังจากได้เสื่อมโทรมลงไปมาก เพราะพะโคได้เข้ามาเป็นเจ้าเข้าครอง. พระองค์ดำทรงปราบปรามกัมพูชา, ล้านช้าง, เชียงใหม่, นครศรีธรรมราช, ปัตตานี, ตะนาวศรี, รวมทั้งแว่นแคว้นและอาณาจักรอื่นๆ เข้าไว้ในอำนาจ. ครั้นถึงปี พ.ศ. ๒๑๔๘ พระองค์ก็สิ้นพระชนม์ลง โดยมิได้มีพระราชโอรส พระองค์ทรงมีพระสติปัญญาล้ำเลิศ และได้ทิ้งพระราชอาณาจักรไว้แก่สมเด็จพระอนุชาธิราช...”
โดยพระนาม “พระองค์ดำ” (Black King) นั้นเป็นพระนามที่ชาวต่างชาติส่วนใหญ่ใช้กล่าวถึงสมเด็จพระนเรศวร ควบคู่ไปอีกพระสมัญนามในภาษามลายูซึ่งฟลอริสได้บันทึกไว้ว่า “Raja Api” ซึ่งมีความหมายว่า “พระราชาแห่งไฟ”
กองทัพเรือสยามที่เป็นใหญ่เหนือน่านน้ำ
นอกจากหลักฐานต่างชาติฝ่ายตะวันตกที่ได้อธิบายถึงความยิ่งใหญ่ของสมเด็จพระนเรศวรแล้ว ยังมีหลักฐานทางฝ่ายจีนอีกเช่นกันซึ่งได้ฉายภาพความของความยิ่งใหญ่ของรัชสมัยของพระองค์ไว้อย่างชัดเจน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องกองทัพเรือ
บันทึกของจีนสมัยราชวงศ์หมิงในช่วงรัชศกว่านลี่แห่งรัชกาลจักรพรรดิเสินจง (พ.ศ.1911 – 2187) มีเรื่องราวเกี่ยวกับความยิ่งใหญ่ของสมเด็จพระนเรศวรปรากฏในบันทึกของจีน 3 ฉบับดังนี้
1.เจิ้งสือ (ประวัติศาสตร์ราชวงศ์ฉบับหลวง) ในส่วนที่ว่าด้วยสยาม ได้บันทึกตอนหนึ่งว่า
“...กษัตริย์ผู้สืบราชสมบัติ (สมเด็จพระนเรศวร) ได้หมายมั่นจะแก้แค้นให้จงได้ ในระหว่างรัชศกว่านลี่กองทัพข้าศึกได้ยกทัพเข้ามาอีก กษัตริย์ได้จัดกองทัพเข้ากระหน่ำตีจนข้าศึกแตกพ่ายไปราบคาบ และได้ฆ่าราชโอรส (พระมหาอุปราชมังกะยอชวา) ของกษัตริย์ตงหมานหนิวด้วย (พระเจ้านันทบุเรง) ทหารที่เหลือก็แตกทัพหลบหนีไปในความมืดตอนกลางคืน จากนั้นเป็นต้นมาสยามก็ครองความยิ่งใหญ่ผงาดในน่านน้ำทางทะเล...ครั้งนั้นญี่ปุ่นเข้าย่ำยีเกาหลีในโอกาสเดียวกันนี้ สยามได้เข้าถวายเครื่องราชบรรณาการ ราชฑูตประเทศนี้ขออาสาส่งกองทัพเข้าช่วยทำศึกสงคราม...”
2.สือลู่ (จดหมายเหตุประจำรัชกาล) บันทึกตอนหนึ่งว่า
“...เมื่อวันที่ 6 เดือนอ้าย ปีที่ 21 (พ.ศ.2136) แห่งรัชศกว่านลี่..มีฑูตบรรณาการมาขออาสาต่อทางกลาโหมขอนำกองทัพช่วยทำศึกสงคราม..อั
นฑูตบรรณาการแห่งสยามมีความโกรธแค้นต่อการกระทำที่ผิดทำนองคลองธรรมนี้จึงได้แสดงความจงรักภักดีโดยอาสายกกองทัพไปช่วยรบ จักรพรรดิทรงมีพระบรมราชโองการให้ชมเชยความจงรักภักดีและเมตตาธรรมเช่นนี้...”
3.บันทึกทะเลตะวันออกและตะวันตกของจางเซี่ย ยกย่องว่า
“...รัชกาลพระนเรศวรนั้น สยามเริ่มเป็นผู้เกรียงไกรบนท้องทะเลแดนไกล ต่อแต่นั้นไปทำศึกสงครามทุกปีจนสามารถดำรงความเป็นใหญ่เหนือประเทศทั้งหลาย...”
โดยสาเหตุที่กองทัพเรือในรัชสมัยของสมเด็จพระนเรศวรมีความเข้มแข็งนั้น เพราะต้องปกป้องการค้าในระบบรัฐบรรณาการที่ส่งเรือสำเภาหลวงของราชสำนักสยามไปยังประเทศจีนอยู่เสมอ ทั้งยังต้องคอยปราบโจรสลัดที่คุกคามความปลอดภัยในการเดินเรือของพ่อค้า และจากความเข้มแข็งอันนี้เองที่ทำให้สยามกล้าทูลส่งกองทัพไปช่วยจักรพรรดิจีนรบกับญี่ปุ่นซึ่งนำโดยโชกุนโทโยโตมิ ฮิเดโยชิ ซึ่งนำกองทัพเข้ารุกรานเกาหลี ทว่ากองทัพเรือสยามก็ไม่ได้ออกไปช่วย เพราะราชสำนักหมิงเห็นว่า ลำพังกองทัพจีนก็น่าจะเพียงพอแล้ว
บ้านเมืองรุ่งเรือง เพราะทรงเป็นนักรบ
ความยิ่งใหญ่ของรัชสมัยของสมเด็จพระนเรศวรนั้น อาจเป็นเพราะพระองค์ทรงเป็นนักรบที่เข้มแข็งสอดคล้องกับวิกฤตการณ์ของบ้านเมือง และเพื่อค้ำจุนแผ่นดินพระองค์ได้ใช้เวลาเกือบทั้งรัชสมัยของพระองค์อยู่ในสนามรบ ดังความตอนหนึ่งที่วันวลิตเขียนไว้ในบันทึกของเขาว่า
“พระนเรศราชาธิราชเป็นพระเจ้าแผ่นดินนักรบ ทรงได้ชัยชนะในการรบหลายครั้งคราว...ทรงประชวรและสิ้นพระชนม์หลังจากนั้นไม่นาน เมื่อพระชนมายุได้ ๕๕ พรรษา เสวยราชย์อยู่ ๒๐ ปี แต่ไม่ได้ประทับอยู่ที่กรุงศรีอยุธยาเกิน ๒ ปีเลย เวลาที่เหลืออยู่อีก ๑๘ ปี ทรงใช้ในการทำสงครามและประทับอยู่ในสถานที่ดังกล่าว...”
และวันวลิตก็ได้บรรยายถึงประโยคสุดท้ายเกี่ยวกับรัชสมัยของสมเด็จพระนเรศวร เป็นประโยคสั้นๆง่ายๆ แต่แสดงถึงบ้านเมืองที่รุ่งเรืองว่า
“...ในรัชสมัยของพระองค์ประเทศเจริญรุ่งเรืองและประสบแต่โชคชัย...”
สมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงยิ่งใหญ่ เป็นทั้งนักรบและนักปกครองที่เก่งกาจมาก
หน้า 38 ของ 233