ข้อความจาก กลุ่มประสานงานเพื่อการเตือนภัย(เขากะลา)(ปิดกระทู้)

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย สุดใจเขากะลา, 9 สิงหาคม 2007.

  1. Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    ตอนเด็กๆ ผมจะเป็นคนที่มีอารมณ์ขันมากๆเลย และอยากรู้อยากเห็นไปหมดทุกเรื่อง
    แถมความถนัด ความชอบก็จะหลากหลาย เรียนเก่งทั้งวิชาคณิตศาสตร์
    วิทยาศาสตร์ และศิลปศาสตร์ โดยเฉพาะเกี่ยวกับการปั้น การวาด และการแต่งกลอน

    ผมเคยชนะการประกวดแต่งกลอน 8 และวาดภาพในงานวิทยาศาสตร์ประจำโรงเรียนมาแล้ว
    รวมทั้งได้เป็นตัวแทนโรงเรียนไปตอบปัญหาวิทยาศาสตร์ระดับจังหวัดด้วยนะเนี่ย

    สมัยเด็กๆค่อนข้างหน้าตาดี ก็มีไม่น้อยทีเดียว ที่ติดเรื่องรักสวยรักงาม..

    ทีนี้หละเริ่มเข้าเรื่องแล้วนะ..
    มีช่วงอายุหนึ่ง ที่ติดรักสวยรักงามดีนัก ก็เลยมีสิวขึ้นเต็มหน้าเลย
    รักษาอย่างไร กินยาหมอไหน ก็ไม่ทุเลาเลย มิหนำซ้ำอายุยังเพิ่ง 18 เท่านั้นเอง
    ผมก็เริ่มหงอกแล้ว..จะย้อมไว้ยังไงก็ไม่อยู่..จนแล้ว จนรอด ก็เลยต้องปล่อยมัน
    ส่องกระจกทีไร ก็อายกระจกมาก จนอยากจะทุบทิ้งซะทุกบานอย่างนั้นแหละ
    นี่..ขนาดเข้าห้องน้ำสาธารณะที่มีกระจกอยู่ด้วย ก็ยังแทบไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมาสบตากับกระจกเลยนะเนี่ย!

    ยิ่งสมัยก่อนนะ ผมจะเหมือนวัยรุ่นทั่วๆไป ที่ชอบเที่ยวชอบเฮฮาบ้าง กินเหล้าเมายา
    มีกิ๊ก มีกุ๊ก อะไรก็ว่ากันไป นับไม่ถ้วนเลย จนทุกวันนี้ขี้เกียจนับแล้ว

    บ่อยครั้งเวลาเมา เข้ามาล้างหน้าในห้องน้ำ เงยหน้าขึ้นดูหน้าตัวเองในกระจก

    โอ้โฮ..

    มึ้ง!!..หน้ามึงก็แก่ออกปานนี้! หัวก็งอกจะหมดหัวอยู่แล้ว หน้าตาก็ขี้เหร่ออกปานนี้
    มึ้ง..ยังจะคิดว่าใคร้เขาจะมาชอบมึงอีก! อายเค๊าไหม๊เนี่ย!!

    (นี่..นี่มันเป็นความคิดในหัวของผมเอง หรือเป็นเสียงใครมาด่าผมในหัวผมเอง
    ผมก็ไม่ค่อยแน่ใจนักนะเนี่ย)

    พอคิดได้แบบนี้..หดหมดเลยครับ..แทบอยากจะหนีกลับบ้านไปเลยเชียว..
     
  2. Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    บททดสอบหลัก ที่เกิดขึ้นพร้อมๆกับที่กลุ่มประสานงานเพื่อการเตือนภัย(เขากะลา)
    ได้เริ่มถูกฝึกกัน ของผม ก็เกิดขึ้นในปี 2542 เหมือนกัน แต่จำเดือนไม่ได้
    ของกลุ่มเขากะลา เริ่ม มีนา 2542 แต่ของผมน่าจะราวๆนั้นเหมือนกัน

    เริ่มต้นทีเดียวคือ ก่อนหน้านั้นยังเป็นคนที่หลงไหลในแสง สี เสียง อยู่มาก
    เที่ยวกลางคืนหัวราน้ำเหมือนกัน เงินเดือนตอนนั้น 18000 บาท ไม่เคยพอใช้ครับ
    เดือนชนเดือนทีเดียว เพราะลงขวดเหล้า ขวดเบียร์หมด สติปัญญาก็พอใช้ได้
    แต่ความรู้สึกมั่นใจ เชื่อมั่นในตัวเองนี่ เกิน 100% อีโก้ และความยึดมั่นถือมั่นในตัวเอง
    ก็เกิน 100% เช่นกัน ไอ้เรื่องที่จะมาให้ห้อยพระห้อยเจ้าที่คอนี่ ลืมไปได้เลย
    หัวเด็ดตีนขาดก็ไม่เอา ไอ้พวกงมงาย พวกเรียนมาน้อยก็ให้มันห้อยไป
    แต่ตัวข้าจบมหาลัย ข้ารู้ดีกว่าพวกนั้นเยอะ ฯลฯ จะให้เชื่อถืออะไร เรื่องพวกนี้
    พูดได้คำเดียวว่า Just say no เลยทีเดียว

    จนกระทั่งระบบจัดแบบฝึกหัดมาให้ทำนั่นแหละ..

    "ไม่เห็นโลงศพ ไม่หลั่งน้ำตา"

    เดี๋ยวเช็คเรทติ้งก่อนนะ..ว่าที่โม้มานี่ มีใครเขาอยากฟังบ้างไหมเนี่ย
    ถ้าไม่มีก็จะได้เลิกโม้ซะที..อายเขาเหมือนกันนะเนี่ย!

    แต่ก็เอ..อายทำไม? คนเยอะแยะนะ?? ว่าไหม๊??

    แหะ แหะ...
     
  3. Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    ใครบอก!!..
    ลงชื่อไปตั้งนานแล้วนา...
    หรือว่าหัวหน้าห้อง (คุณ mead) จะเช็คชื่อเราตกไปหละเนี่ย!!
     
  4. p.apichart เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    401
    ค่าพลัง:
    +4,041
    เข้ามาทักทายครับ

    ตอนนี้พอจะมีเวลาเลยเข้ามาดู แค่ไม่กี่วันอ่านแทบไม่ทันเลยครับ ต้องขออนุโมทนาบุญกับทุกๆ ท่านที่พี่สุดใจแจ้งว่าเป็นคนระบบนะครับ รอฟังคุณchayuttอยู่ด้วยอีกคนนะครับ แต่ช่วงรอขอแทรกนิดครับ

    อ้างอิง:
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ มะพร้าวกะทิ
    ..... ถ้าหากเราไม่ได้เป็น 1 ใน 5000 คน เราควรจะปฎิบัติอย่างไรให้พ้นภัยพิบัติได้ค่ะ


    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    เห็นคุณมะพร้าวกะทิได้ตั้งถามไว้ และหลายท่านก็ได้ตอบไปแล้ว ส่วนผมก็อยากจะร่วมแจมนิดเดียวละครับว่า 5000 คน ก็คือคนที่ต้องทำงานเพื่อการช่วยเหลือเรื่องภัยพิบัติ ส่วนคนที่เหลือก็คือคนที่ได้รับการช่วยเหลือไงครับ ถึงขนาดได้พบเจอกระทู้นี้ และได้เข้ามาติดตามอ่านแล้วก็คงสบายใจได้นะครับ ปฏิบัติธรรมทำปัจจุบันให้ดีที่สุด และติดตามข่าวสารก็เพียงพอแล้วครับ
     
  5. Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    ไม่มีเสียงตอบจากสวรรค์..

    เอ๊า.!! ไม่เป็นไร..ยังไง "เขา" ก็จะให้ผมเล่าอยู่ดีแหละ
    เพราะรู้สึกแบบนี้มาหลายวันแล้ว แต่ฝืนไว้เฉยๆ..บ่ายเบี่ยงมานานแล้ว !

    แบบฝึกหัด..เริ่มต้นที่..มีอยู่วันหนึ่งบังเอิญลงมาทานข้าวข้างล่างตึกที่พักอยู่
    ตอนนั้นสายตาสั้นแล้ว แต่แค่ 125 ยังสั้นไม่มากนัก ก็เลยไม่ได้ใส่แว่นลงมาด้วย
    คิดว่าพอกินข้าวเสร็จก็จะกลับขึ้นไปนอนหละ แถมยังใส่กางเกงขาสั้นและเสื้อยืดเพียงตัวเดียว
    กางเกงในก็ไม่ได้ใส่ลงมาด้วยเลยด้วยซ้ำไป..แต่บังเอิ๊น บังเอิญ มาเจอเพื่อนร่วมงานขาเหล้าเข้าพอดี
    ก็เลยต้องมานั่งเป็นเพื่อนเขาอยู่หลายแบนทีเดียว พอกินเสร็จแล้ว ก็เลยต้องขับรถไปส่งเพื่อนด้วย
    ที่พักผม กับที่พักเพื่อนก็ห่างกันแค่ 1 กิโลเมตรเท่านั้นเอง ก็เลยไม่ได้กลับขึ้นไปเอาแว่นตา

    พอส่งเพื่อนแล้ว ขากลับมา ขับรถก็แค่ประมาณ 60 กิโลเมตร/ชม.หรือช้ากว่านั้นด้วยซ้ำไป
    ก็มีเสียงดัง "โครม" ใหญ่เลย ทำให้ผมกับเพื่อนอีกคนหนึ่งที่นั่งกลับมาด้วยซึ่งกำลังเขย่าหัวไปกับเพลงร็อก
    ที่เปิดในรถเสียงดังลั่นอยู่นี่หันมามองหน้ากันว่า "เอ๊ะ! เสียงอะไรวะ" พอตั้งสติได้ ก็เห็นคนมายืนมุงดูรถเราเต็มไปหมดเลย
    "พระแม่เจ้า!! นี่เราขับรถไปชนท้ายใครเข้าก็ไม่รู้ ??" เขากำลังจอดอยู่กลางทางพอดี
    เตรียมตัวจะเลี้ยว แต่เราไม่เห็นรถคันนั้นเลยทั้ง 2 คนที่นั่งมาด้วยกัน เลยไม่ได้แตะเบรคเลย แม้แต่นิดเดียว
    ปรากฎว่ากระโปรงรถของผมพับมาครึ่งหนึ่ง หม้อน้ำแตก รถไปไหนไม่ได้เลย ต้องลงมาเคลียร์ด้วยความงงๆ
    มิหนำซ้ำเพื่อนผู้หญิงที่นั่งมาด้วยกัน ด้วยสัญชาติญาณดิบ ก็เลยลงไปด่าเขาซะยกใหญ่ พยายามจะให้เขาผิดให้ได้

    สรุปว่าสุดท้าย ต้องลากรถเข้าโรงพัก ตำรวจตัดสินให้ต้องจ่ายค่าซ่อมให้เขา รวมเงินที่ต้องจ่าย
    ทั้งค่าซ่อมของตัวเองด้วยก็ราวๆ 53000 บาท นั่นแหละคือจุดเริ่มต้นของการเป็นหนี้เลยหละครับ
    ทำไงหละ เงินเก็บก็ไม่มี ก็ต้องไปบากหน้ากู้ยืมเงินดอกเบี้ยร้อยละ 20 ในโรงงานมาใช้เขา

    และนับแต่นั้นมา เงินเดือน 18000 บาทที่ได้มาแต่ละเดือน ก็ถูกแบ่งเป็นค่าดอกเบี้ยประมาณ 10000 บาท
    ค่างวดรถอีก 6200 กว่าบาท ค่าห้องเช่ารวมค่าน้ำค่าไฟอีกประมาณ 1800 บาท ที่เหลือคือค่ากิน
    (อันที่จริงไม่มีเหลือเป็นค่ากินเลยด้วยซ้ำไป เพราะเงินเดือนออกมาปุ๊บ ก็ติดลบปั๊บเลยทีเดียว เงินที่ใช้กินข้าวก้คือต้องยืมเขาใหม่อีก)

    ซึ่งช่วงนั้นจำได้ว่าดิ้นรนอยู่ทุกวิถีทาง ที่จะให้หลุดพ้นจากภาวะตรงนี้ ด้วยการยืมเงินเจ้านั้น มาจ่ายเจ้านี้
    รวมทั้งพยายามกู้เงินธนาคาร(สินเชื่อบุคคลอะไรแบบนี้) ซึ่งดอกเบี้ยถูกว่า มาให้ได้
    แต่ก็พบว่ากู้ไม่เคยสำเร็จเลย ยิ่งเดือนไหนมีค่าใช้จ่ายอะไรพิเศษๆหน่อย หรือเผลอจ่ายเดินตัวหน่อย
    (เพราะยังติดนิสัยหรูหราฟุ่มเฟือยอยู่..คือ..จนไม่ลงว่างั้นเถอะ) ก็ยิ่งติดลบหนักไปอีก

    ชีวิตที่เงินเดือนติดลบนี่ เป็นมาตลอด จนกลายเป็นคนที่หันมาเล่นหวย เล่นไพ่ เพื่อหวังจะรวยทางลัดบ้าง
    แต่ยิ่งหวัง ก็ยิ่งพบว่า ยิ่งห่างไกล เพราะยิ่งเล่นก็ยิ่งเสียหนักไปอีก ติดหนี้เพิ่มไปอีก เป็นเท่าทวีคูณ

    ยิ่งหวั่นไหว ยิ่งกลัวว่า "เดือนนี้ถ้าไม่ถูกหวย ต้องแย่แน่ๆเลย" นั่นแหละ "โป๊ะ" เลย เจอเข้าเต็มๆ
    มิหนำซ้ำ ยังมีแถมมาอีกแบบไม่คาดคิด ทำให้ต้องติดลบหนักไปอีก เดือนไหน คาดว่าจะติดลบหนักมากๆ
    และหวังจะได้รายได้จากการเล่นไพ่มาช่วยบ้าง..ก็จะเสียตลอด..ทุกข์เรื่องเงินนี่..
    เป็นมาแบบนี้อยู่นานพอสมควร...

    เดี๋ยวต่อครับ..
     
  6. axzon47 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    737
    ค่าพลัง:
    +3,155
    เล่ามาเยอะๆน่ะครับอยากฟังๆ
     
  7. Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    บางช่วงก็กู้เงินในระบบได้แล้ว..กะว่าคราวนี้แหละเราจะเอาไปลงทุน
    หารายได้พิเศษ จะได้พ้นหนี้สินซะที...
    ที่ไหนได้..เจ๊งครับ..คือไปลงทุนขายข้าวต้มกุ๊ย เปิดร้านอยู่ริมลานจอดรถของห้างฯแถวบ้าน
    ขายอยู่ได้ประมาณ 3-4 เดือน แม้ว่าจะทุ่มเทมากก็ตาม งานประจำก็ยังทำอยู่
    คือตื่นมา 7 โมงกว่า ก็รีบเข้างาน ตอนพักเที่ยง ก็แทบไม่ได้พักกับเขา เพราะต้องรีบ
    ไปจ่ายตลาดซื้อของกลับห้อง ทิ้งไว้ให้เด็กที่มาช่วยขายจัดการหั่นผัก หั่นหมู ต้มข้าวต้มไว้รอที่ห้อง
    ตกเย็นเลิกงานมา 5 โมงเย็น ก็รีบกลับมาช่วยกันขนของลงไปขายที่ร้าน (เสียค่าทำร้านและค่าเช่าที่ด้วยนะ)
    ขายเสร็จก็ 6 ทุ่ม หรือ ตี 1 เก็บของเสร็จก็ตี 2-3 กว่าจะได้นอน ตื่น 7 โมงไปทำงานอีก นี่แหละความลำบาก
    สุดท้ายก็ไปไม่รอดครับ ..

    มิหนำซ้ำช่วงเวลาเดียวกันนั้น ด้วยความที่จับงานหลายอย่าง ทั้งงานประจำและงานขายของ
    เวลาที่จะทุ่มเทให้กับอย่างใดอย่างหนึ่งก็ไม่พอ เจ้านายก็เพ่งเล็ง ด่าเช้าด่าเย็น จนเคยร้องไห้มาแล้ว 2 ครั้ง
    แถมตอนนั้นยังมาอกหักซ้ำไปอีก กิ๊กที่ทะนุทะนอมปานแก้วตาดวงใจ รักมากกว่าสิ่งใด
    ไม่เคยรักใครมากขนาดนี้มาก่อนเลย ไม่เคยนั่งคุกเข่าให้ใครเหมือนคนนี้เลย ไม่เคยยอมใครเหมือนคนนี้เลย
    ไม่เคยเรียกใครว่า "ที่รัก" หรือ "คนดี" เหมือนคนนี้มาก่อนเลย ก็มาทิ้งไปเสียงั้นแหละ เวลาเราจน

    โอ้โห..ตอนนั้นนะ..สุดจะบรรยายครับ..

    เดี๋ยวต่อครับ
     
  8. Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    จากที่เป็นหนี้เริ่มต้นที่ 5 หมื่นกว่าๆ ก็ตอนนี้ แสนกว่าแล้ว
    ชีวิตจากที่เคย "ต้อง" ใส่เสื้อผ้าที่มียี่ห้อดังๆเท่านั้น ก็เลยมาเปลี่ยนไป
    เป็นใส่อะไรก็ได้แล้ว 199 บาท หรือ 99บาท หรือ 59 บาท
    อะไรก็ตามแต่ไม่ใช่สาระสำคัญอีกต่อไปแล้ว..

    ยังไม่จบง่ายยังงั้นหรอกครับ..ในช่วงที่ผมจนๆอยู่นี่ คุณเชื่อไหม๊?
    ว่า ผมเป็นระดับหัวหน้างาน ผมต้องไปกู้เงินดอกเบี้ยร้อยละ 20 กับลูกน้องตัวเอง
    ในไลน์ผลิตหนะ ชื่อเสียง เกียรติยศที่เคยหยิ่งยะโสโอหังนี่ ต้องเอาแอบไว้ข้างหลังเลย
    เพราะไม่รู้จะเอาอะไรไปโอหังแล้ว มันป่นปี้หมดแล้ว เพราะไม่งั้นก็คงไม่กล้าที่จะ
    ไปนั่งขายข้าวต้มกุ๊ยได้หรอกครับ และคุณเชื่อไหม๊ ว่าช่วงนั้นผมมานั่งนึกอิจฉาลูกน้องตัวเอง
    ที่เป็นพนักงานรายวัน ที่ได้ค่าจ้างวันละไม่กี่ร้อยบาท ที่เขาไม่มีหนี้มีสิน และดูเขาก็มีลูกมีเมีย
    ท่าทางมีความสุขกันดี แม้ว่ารายได้เขาจะน้อย แต่เขาก็มีพอกินพอใช้อยู่ เมื่อหันมามองดู
    ตัวผมตอนนั้นแล้ว เงินเดือนเกือบ 2 หมื่น แต่กลับเหลือเงินเอาไว้กินข้าวสำหรับตัวเอง
    น้อยกว่าค่าจ้างรายวันที่ลูกน้องผมได้รับซะอีก แล้วอะไรหละ? คือความยิ่งใหญ่ของผม
    อะไรหละ ? คือสิ่งที่ผมมีเหนือกว่าพวกเขา ? ผมมีความวิเศษกว่าพวกเขาตรงไหนกัน?
    หากจะเทียบความสุขที่พวกเขามีแล้ว พวกเขามีมากกว่าผมซะอีก ผมต่างหากที่แบกแต่ความทุกข์
    เรื่องหนี้สินนี้อยู่ตลอดเวลา..

    ในช่วงนั้น..ถ้าจะให้ย้อนนึกถึงรายละเอียดปลีกย่อยอื่นๆ ก็อาจจะนึกไม่ค่อยออกแล้วครับ
    แต่ที่รู้สึก และตระหนักอยู่เสมอคือ "ยิ่งกลัวจะเจอเหตุร้ายอะไร หรือยิ่งกังวลปัญหาใดอยู่
    ก็ยิ่งจะเจอปัญหานั้นแบบเต็มๆ จนแทบหงายหลังทุกที" บางทีไม่ได้กังวลเลย แต่ปัญหาที่ทำ
    ให้ต้องหงายหลังก็จะมาเยือนอยู่บ่อยๆเช่นเดียวกัน และจำได้ว่า จนทำให้ผมสงสัย
    และนึกโทษฟ้าดินมาโดยตลอด (อยู่พักหนึ่ง) ว่าทำไมต้องเป็นผมด้วยที่โชคร้ายแบบนี้
    ทั้งๆที่ผมเองไม่ใช่คนทำผิดเรื่องนั้นๆเลย แต่ผมทำไมต้องเป็นผู้ที่คนอื่นเห็นว่าเป็นคนผิดด้วย อะไรแบบนี้
    บางวัน ในขณะที่ชีวิตก็เซ็งๆอยู่แล้ว คือรู้สึกว่าแทบไม่เหลืออะไรดีในชีวิตอยู่แล้ว
    เดินข้ามถนนไปจะไปทานข้าวเที่ยงที่ฝั่งตรงข้าม รถมอเตอร์ไซด์ โผล่มาจากไหนก็ไม่รู้
    มาชนเข้าให้โครมใหญ่ จนล้มกลิ้งไปเลย แต่ในใจไม่ได้นึกโกรธเขาเท่าไหร่ เพราะไหนๆก็
    ไม่เหลืออะไรอยู่แล้ว ก็เลยปล่อยเขาไปซะ..ไม่เอาเรื่องเอาราวด้วย..
     
  9. Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    หลังจากใช้ชีวิตเบลอๆ เอ๋อๆ กับความทุกข์ กับเหตุการณ์รุมเร้าในชีวิตมาได้ระยะหนึ่ง
    ไม่แน่ใจว่ากี่เดือน น้องที่ทำงานก็เลยพูดแหย่มาว่า

    "โอ้โห..พี่! ซวยขนาดนี้ทำไมไม่ไปบวชล้างซวยซะ" แล้วเขาก็หัวเราะชอบใจ

    แต่สำหรับผมนี่ ปิ๊ง!! เลยครับ จากที่ไม่เคยคิดจะบวชพระเลย ในชีวิตนี้ ก็เลยต้องมาคิดใหม่
    ภายใน 2 สัปดาห์ต่อมา อย่างเร่งด่วนผมก็กลับไปบวชพระที่บ้าน วันที่ 5 ก.ค.2542
    ตอนบวชนั้น ได้บวชในวัดป่าสายพระอาจารย์มั่น ฉันมื้อเดียว ที่เหลือทั้งวันก็ว่าง
    ก็มาเดินจงกลม นั่งสมาธิ อ่านหนังสือธรรมะไปตามเรื่อง แต่ที่ได้ทำแล้วประทับใจคือ
    ได้อ่านหนังสือวินัยสงฆ์ 227 ข้อจบทั้งเล่ม เพราะอยากรู้ว่าเรามาบวชนี่ เราต้องทำอย่างไรบ้าง
    และเมื่อรู้แล้ว ก็ได้ประพฤติปฏิบัติไม่ให้ขาดตกบกพร่อง ได้พอใจระดับหนึ่งทีเดียว
    ส่วนเรื่องสมาธินั้นก็นั่งทุกวัน แต่ตอนนั้นนั่งได้แค่ 30 นาทีก็ถือว่าหรูแล้ว
    สรุปว่าตอนบวชไม่ค่อยได้อะไรเป็นชิ้นเป็นอันเท่าไหร่..

    แต่ไอ้ที่จะได้จริงๆ..ก็..ตอนสึกออกมาแล้วโน่น..
     
  10. Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    ตอนสึกออกมาแล้ว ผมก็ไปได้หนังสือของท่านพุทธทาส และได้ขอของหลวงตามหาบัว ญาณสัมปัณโณ
    จากคุณแม่ ซึ่งท่านเคารพศรัทธาอยู่แล้ว (เพราะอยู่ จ.อุดรธานีครับ) มาด้วย

    กลับมาทำงานต่อ ก็มานั่งอ่าน นอนอ่าน ที่ห้องพักหลังเลิกงาน
    ก็เอ..ชักติดแฮะ..คือ..มันเป็นอะไรที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อนเลย จากนั้นก็เริ่มมองหาหนังสือธรรมะ
    เล่มอื่นๆ ตามตลาดนัดบ้าง ตามร้านหนังสือบ้างมาอ่าน

    โอ้โห..ช่วงนั้นนะครับ จะอธิบายอย่างไรดีหละ
    ความรู้สึกนี่บอกออกมาเลยว่า

    "นี่แหละ!! นี่เลย!! ใช่แล้ว !! ทางนี้แหละ ที่เราเสาะหามาตลอดชีวิต
    เราได้พบแล้ว เราจะไม่ละจากทางนี้ไปไหนอีกเลย"

    ใจมันบอกออกมาแบบนี้จริงๆเลย

    พี่สุดใจก็เคยเล่าให้ผมฟังว่า มันจะมีช่วงหนึ่ง ที่ต้อง Download ข้อมูลเรื่องธรรมะเข้าไปในหัวเรา
    หมายถึง ระบบ จะให้เรามีความรู้สึกอยากอ่าน อยากรู้ อยากเห็น เรื่องพวกนี้มากๆๆๆ
    ก็เลยต้องตะบี้ตะบันอ่านกันยกใหญ่ว่างั้นเถอะ (ต้องรอคุณ No.9 มาเล่าเรื่องนี้บ้างครับ)

    ผมเองก็เช่นกัน ในช่วงนั้นนะ พอได้อ่านหนังสือธรรมะเข้าเล่มไหนนะ ก็จะอ่านอย่างใจจดใจจ่อมาก
    เหมือนว่าสิ่งที่เราได้โหยหา ได้อยากรู้มานาน กำลังตอบคำถามเราอยู่ในเล่มนี้เอง
    และพอวันไหนอ่านได้ไปถึงใกล้ๆจะจบเล่มแรกๆ ผมจะต้องรีบไปหาซื้อเล่มอื่นๆมาสำรองไว้
    เผื่อว่าอ่านจบเล่มนี้แล้ว จะได้อ่านเล่มอื่นต่อไป ไม่ให้ขาดช่วงว่างั้นเถอะ
    มิหนำซ้ำ พออ่านไปใกล้ๆหน้าสุดท้ายของแต่ละเล่มนะ ใจมันจะลุ้นอยู่ตลอดเวลา ว่า

    "อย่าเพิ่งจบเลย อย่าเพิ่งจบเลย ไม่อยากให้รีบจบเลย" แบบนั้นเลยนะครับ

    ดังนั้นในช่วงเวลานั้นๆ (เป็นอยู่เป็นปีเหมือนกันนะเนี่ย) ก็จะนั่งสมาธิได้ดีพอสมควร
    และได้อ่านหนังสือธรรมะเยอะมากที่สุดในชีวิต อย่างที่ตัวผมเองยังไม่คิดว่าตัวเองจะอ่าน
    มาได้ขนาดนี้ คือภายในระยะไม่นานผมก็อ่านมาแล้วร่วม 100-200 เล่มเลยทีเดียว
    จนพอเข้าร้านหนังสือนี่ เข้าไปในหมวดจิตวิทยาและศาสนาอย่างเดียวเลย และจนคิดว่า

    "ไม่มีหนังสือที่เกี่ยวกับประเด็นที่เราอยากรู้ ที่เรายังไม่ได้อ่านเหลืออยู่อีกแล้ว ในร้านนี้"

    คือประมาณว่า
    ถ้านับเรื่องเกี่ยวกับกฏแห่งกรรม เป็น 1 เรื่อง ไม่ว่าใครจะแต่ง ใครจะเขียนมาก็ตามแต่
    และถ้านับเรื่องภพ ภูมิ เป็น 1 เรื่อง ในทำนองเดียวกัน และเรื่องการฝึกสมาธิ ก็นับในทำนองเดียวกัน
    ในขณะนั้น ผมจนรู้สึกว่าเซ็งๆแล้ว เพราะไม่มีหนังสืออะไรใหม่ๆ ประเด็นใหม่ๆเหลือให้ผมอ่านอีกแล้ว
    เพราะผมอ่านมาหมดแล้ว กล้าพูดอย่างนั้นเลยนะ ของสำนักไหน มหายาน หินยาน
    ศาสนาพุทธ หรือศาสนาอื่น ฯลฯ

    ..อ่านมาหมดแล้ว..
     
  11. Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    ในช่วงที่ถูก Download ข้อมูลให้อยู่นั้น ก็ปฏิบัติตัวแบบนักพรตอยู่พักหนึ่งเหมือนกัน
    คือถือศีล 8 ตลอดพรรษา ทุกๆพรรษาบ้าง นอกพรรษาก็ศีล 5 นั่งสมาธิ 2 เวลาคือเช้า ตี 3 หรือ 4 จำไม่ได้
    เป็นเวลา 1-2 ชม.และตอนเย็น (โดยเฉพาะช่วงที่ถือศีล 8 ไม่ต้องกังวลเรื่องอาหารเย็น)
    กลับจากทำงานมาก็เดินจงกลม-นั่งสมาธิในห้องอย่างเดียวเลย 2-3 ชม. และจากที่ไม่เคยมี
    ปณิธานเกี่ยวกับการอยากบรรลุมรรค ผล นิพพาน เลย ก็เริ่มมาตั้งปณิธานบ้าง

    และจากที่ได้อ่านประวัติพระศาสดาและพระสาวกทั้งหลายมา ก็ในตอนนั้นนะ
    ตอนที่ยังไม่ค่อยรู้อิโหน่อิเหน่อะไรเกี่ยวกับพุทธภูมิเลย ก็ในใจรู้สึกขึ้นมาเองว่า
    เราไม่อยากเป็นพระสาวกธรรมดาหรอก เป็นแบบพระอสีติมหาสาวกก็ยังน้อยไป
    เป็นแบบพระอัครมหาสาวกเหมือนพระโมคคัลลานะ พระสารีบุตร ก็ว่ายังไม่ยิ่งใหญ่พอ
    แต่ถ้าจะให้ถึงขนาดพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น ก็กลัวจะยากไป นานเกินไปด้วย แต่ใจก็อยาก
    จะรู้โลกให้แจ่มแจ้ง ดังนั้นเอาแบบพระปัจเจกพุทธเจ้าก็น่าจะดีนะ..ว่างั้นนะ..

    พอวันนี้ หลังจากที่ได้คลุกคลีอยู่ในวงการนี้มากเข้าแล้ว เลยถึงบางอ้อเลยว่าทำไมวันนั้น
    ผมถึงรู้สึกและคิดแบบนั้น อาจารย์ท่านหนึ่ง บอกผมว่า "ผมเคยปราถนาพระปัจเจกพุทธภูมิมาก่อน"

    ตอนแรกๆนั้น..การฝึกสมาธิของผม ผมจะฝึกแบบอานาปราณสติ จับลมหายใจเข้าออกแบบพุทโธ
    แต่หลังจากนั้นก็ได้มมาลองแบบสติปัฏฐาน 4 แบบหลวงพ่อจรัญบ้าง ก็ได้พบข้อแตกต่าง
    อะไรบางอย่างว่า ตอนผมนั่งสมาธิแบบสมถะล้วนๆ ผมจะหงุดหงิด รำคาญกับเสียงรบกวนง่ายมาก
    และพอออกจากสมาธิแล้ว มาอยู่กับคนทั่วๆไป ผมก็จะ sensitive ต่อสิ่งที่
    มากระทบอารมณ์ได้ง่ายมากๆด้วย เช่น ความโกรธ เป็นต้น

    แต่พอได้มาฝึกแบบสติปัฏฐาน 4 แล้ว เออ...รู้สึกดีขึ้น..คือท่านสอนให้ไม่โกรธ ไม่รำคาญอะไรทั้งนั้น
    เพราะมันก็แค่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป เป็นของมันอยู่เช่นนั้นเอง ฯลฯ ก็เลยชอบสายนี้ไม่น้อยทีเดียว
    จนความรู้สึก ก็บอกตัวเองอีกว่า "ใช่แล้ว นี่แหละทางที่เราชอบ"

    แต่ก็ยังไม่วาย ที่ความอยากรู้อยากเห็นมันจะยังมีอยู่ พอมารู้จักสายหลวงปู่สด และหลวงปู่ฤาษีฯแล้ว
    ก็ไปฝึกกับเขาอยู่พอสมควรทีเดียว เพราะสงสัยว่าทำไมข้อธรรม คำสอนปลีกย่อยของแต่ละท่าน
    จึงไม่เหมือนกัน ใจคิดอยู่แต่ว่า

    "ข้าจะต้องฝึกให้สำเร็จ ให้รู้ ให้เห็น ให้เป็น ทุกวิชชา เพื่อจะได้รู้ที่มา ที่ไป และที่มาบรรจบกัน
    ของสรรพวิชชาเหล่านี้ ให้จงได้" ว่างั้นเถอะ

    เอ่อ..สุดท้าย จน ณ.วันนี้ ยังเอาดีไม่ได้ซักวิชชาเลยครับ แหะ แหะ..
     
  12. Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    ในช่วงที่เริ่มนั่งสมาธิหนักๆที่ว่านั้น ผมก็ได้เริ่มสัมผัสถึงความแปลกประหลาดของความฝันขึ้นมาเชียว

    คือ..นั่งสมาธิหนะ ก็ไม่รู้ไม่เห็นอะไรหรอกครับ นั่งดูเวทนาไปงั้นเองแหละ และก็
    นั่งเอาสัจจะไปงั้นเองแหละ ไม่เคยได้ฌานอะไรกับเขาหรอก แต่ที่น่าสังเกตคือความฝัน
    ที่มันเปลี่ยนรูปแบบไป แบบที่ ไม่เคยเป็นมาก่อนเลยครับ คือ ในความฝันมันจะ คม ชัด ลึก มากๆๆ
    ไม่รู้จะอธิบายยังไงดี ไม่รู้ว่าจะเหมือนกับนิมิตรของผู้ที่นั่งสมาธิแล้วเห็นนิมิตรหรือเปล่านะ
    เพราะผมฝึกสมาธิมา 9 ปีนี่ ยังไม่เคยเห็นนิมิตรแม้แต่ครั้งเดียว

    คือ ว่าภาพที่เห็นมันจะชัด จะมีรายละเอียดมาก เป็น 3 มิติ และจดจำได้ทั้งตอนฝัน
    และตอนตื่นขึ้นมาแล้ว แถมในขณะที่กำลังฝันอยู่ตอนนั้น บ่อยครั้ง ก็จะรู้ว่าตัวเองกำลังฝันอยู่ด้วย
    มันเหมือนไม่ได้ฝัน มันเหมือนจริงมากกว่าฝัน จนไม่อยากเชื่อว่านี่คือฝันเหรอ แถมในฝันเองบางทียัง
    ฝันว่าตนเองตื่นมาเล่าความฝันให้คนอื่นๆฟังด้วยนะ ที่ไหนได้ ไอ้ที่กำลังเล่าอยู่นั้น ก็คือกำลังฝันเหมือนกัน

    และในความฝันของผม ผมพบว่า มันจะเต็มไปด้วยสัญลักษณ์ ปริศนา และความหมายอะไรบางอย่าง
    แต่ผมก็ไม่ค่อยเข้าใจมากนัก จนมีอยู่วันหนึ่ง ก็ไปเจอหนังสือเกี่ยวกับความฝันของมาดาม
    อะไรนี่แหละ ซึ่งเป็นนักจิตศาสตร์ชาวฝรั่งเศษคนหนึ่ง ซึ่งเขียนเอาไว้ได้ดีมาก ทำให้เริ่ม
    ตระหนักแล้วว่า "ความฝัน" ไม่ใช่ความเพ้อฝันอย่างที่นักจิตวิทยากล่าวเอาไว้เสมอไป
    มันมีมากกว่านั้น และบ่อยครั้ง ก็จะกลายเป็นจริงด้วย เพียงแต่เราจะเข้าใจความหมาย
    ของสัญลักษณ์ หรือปริศนาที่แฝงเร้นมาในความฝันนั้นหรือไม่เท่านั้นเอง

    เอ่อ..ไม่อยากบอกเลยว่า..กระทั่งเรื่องฝันเห็นหวยนี่ ผมก็ค่อนข้างขึ้นชื่อพอสมควร
    ในที่ทำงานของผมสมัยนั้นนะ..(แต่สมัยนี้ ไม่ค่อยประสบความสำเร็จเรื่องหวยเท่าไหร่แล้ว)

    และนอกจากประเด็นเรื่องความฝันที่เกิดขึ้นกับผมแล้ว ประเด็นเรื่องแปลกแบบ"บังเอิญ บังเอิญ"
    ก็เริ่มเกิดขึ้นกับผม แบบบ่อยขึ้น และจำเพาะเจาะจงมากขึ้นเรื่อยๆ จนรู้สึกว่า

    เอ..หรือมีใครแอบเล่นตลกกับเราอยู่หรือเปล่าเนี่ย!!

    เรื่องเหตุบังเอิญที่ว่านั้น ก็เช่นในใจกำลังนึกสงสัย หรือนึกอยากรู้เรื่องอะไรอยู่
    ไม่นานก็จะได้คำตอบมาเสมอ ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง เช่น เปิดทีวีมาเจอรายการที่กำลังพูดเรื่องนี้พอดี
    เป็นต้น จริงๆแล้วมันบ่อยกว่าที่ผมเล่ามานี้เยอะ แต่ผมก็จำรายละเอียดไม่ค่อยได้เท่าไหร่ รู้แต่ว่าจนผิดสังเกต
    อ้อ..นึกออกเพิ่มอีกอันแล้ว เรื่องโบนัสออก คือปกติผมก็เงินเดือนติดลบอยู่แล้วใช่ไหมครับ พอโบนัสจะออก
    ผมก็อุตส่าห์หวัง ว่าจะเอาไปเคลียร์หนี้สินให้ลดลงบ้าง แต่ที่ไหนได้ ก่อนโบนัสออก 2-3 วัน คุณพ่อผม
    ขับรถยนต์ไปชนเด็กเข้า พ่อแม่เด็กเรียกร้องเงินค่ารักษาพยาบาลเท่ากับเงินโบนัสของผมเป๊ะเลย
    อะไรจะพอดิบพอดีขนาดนั้น อะไรแบบนี้ครับ

    นอนก่อนดีกว่านะครับ ดึกแล้ว..เผื่อมีใครรอติดต่ออะไรมาอยู่จะได้สายไม่หลุด..

    แหะ แหะ..
     
  13. mead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    8,118
    ค่าพลัง:
    +62,427
    อ้าว..เรียนเหรอครับ ทีแรกเห็นว่าคุณชยุตจะไปเวียดนาม
    ถ้างั้น (ระบบ) จะส่งไปเข้าเรียน level 3 ต่อเลยนะครับ..เกือบพลาด อิอิ
    (deejai)
    มาฟังคุณชยุตเล่าต่อนะครับ +
    ชิวิตน่าติ่นเต้น เข้มข้น น่าติดตามมาก
    พอตกที่นั่งลำบาก ยังถูกมอเตอร์ไซด์มาชนซ้ำเติมอีก..อืมมมครับ
    กว่าจะมาพบเส้นทางธรรมได้ ต้องผ่านอะไรมามากมายจริงๆ (y)
    เอาใจช่วยครับ
     
  14. axzon47 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    737
    ค่าพลัง:
    +3,155
    ชาว ฝรั่งเศส นี่ มาดาม เดอ ซีเคร หรือป่าวครับ
    เรื่องความฝันนี่ เข้าทาง หนังสือ ของ โนวาอนาลัย เลยน่ะคับ ปรึกษาหัวหน้าห้อง(คุณมีด)ได้เลย อิอิอิ
     
  15. สุดใจเขากะลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    2,083
    ค่าพลัง:
    +11,451
    อ่านเรื่องของคุณชยุตแล้ว รู้สึกว่าจะถูกฝึกหนักมาคล้าย ๆ กันเลย


    ไม่ต้องน้อยใจไปหรอกค่ะ เพราะพี่สุดใจกว่าที่จะมาพบเจอธรรมะ กว่าที่จะมาเรียนรู้ธรรมะ กว่าที่จะมาเข้าใจธรรมะ ก็เมื่อปี 2540 นั่นเอง


    แล้วลองคิดสิว่า ก่อนหน้านั้นไปทำอะไร ไม่น้อยกว่าคุณชยุตหรอก เที่ยวเตร่เฮฮาไปเรื่อย ทำงานหาเงิน ใช้จ่ายฟุ่มเฟือย มีบ้านมีรถ มีกิจการส่วนตัว ก่อนที่จะเจอธรรมะนี่ ก็ดื้อดึงสุดฤทธิ์เหมือนกัน จนสุดท้ายต้องเจอความทุกข์ในสถานะการณ์ต่าง ๆ บีบอัดเข้ามา จนต้องหันหาธรรมะเช่นกัน


    เรื่องเล่ามากมายเลยก่อนจะมาเข้าสู่ทางธรรม แต่ขอผลัดไว้ก่อนนะ ตอนนี้มาเป็นกำลังใจให้คนอื่น ๆ ที่พบเจอเช่นคุณชยุต จะได้นำไปเทียบเคียงและมีกำลังใจที่จะปฏิบัติธรรมเพื่อออกจากวัฏฏะสงสารกันต่อไป


    ขอบคุณที่นำประสบการณ์มาเล่าให้ท่านอื่น ๆ ได้รับฟังด้วย

    ขออนุโมทนาค่ะ
     
  16. สุดใจเขากะลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    2,083
    ค่าพลัง:
    +11,451
    เรื่องกำลังใจจากผู้ฟังผมว่าแม้มีเพียงคนเดียวที่รับฟังแล้วตรึกตรองตาม ดวงจิตได้พัฒนาขึ้นก็ถือว่าสุดคุ้มแล้วละครับ<V:p</V:p<O:p</O:p
    <O:p</O:p


    จากข้อความนี้ ของคุณ no.9 ที่ได้โพสต์ไว้ในกระทู้ก่อนหน้านี้ ทำให้พี่สุดใจต้องเร่งนำข้อมูลต่อเนื่องมาให้ท่านที่สนใจเรื่องขันธ์ห้าได้อ่านต่อ ซึ่งเห็นว่า หากสิ่งนี้มีคนที่เข้าใจและสนใจใคร่ที่จะศึกษาแม้เพียงคนเดียว ก็นับว่ามากแล้ว <O:p</O:p
    <O:p</O:p

    แต่เท่าที่ได้รับทราบจากการโพสต์ของหลาย ๆ ท่าน ก็พอถือได้ว่ามีผู้สนใจมากกว่าหนึ่งแน่นอน ดังนั้น หากสิ่งใดเป็นสิ่งที่มีประโยชน์ต่อการพัฒนาจิตของตนเองและผู้อื่นโดยส่วนรวมแล้ว สิ่งนั้นสมควรทำอย่างยิ่ง


    พี่สุดใจจึงขอเข้ามาเล่าเรื่องขันธ์ห้าให้ท่านที่สนใจได้รับฟังกันต่อค่ะ


    และขอขอบคุณที่ยังให้ความสนใจเสมอมา ขอบคุณค่ะ
    <O:p</O:p<O:p</O:p
     
  17. สุดใจเขากะลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    2,083
    ค่าพลัง:
    +11,451
    ก็คงขอย้อนข้อความในโพสต์ที่ผ่านมาก่อนอีกสักนิดนะคะ เพื่อการต่อเนื่องของข้อมูล (รายละเอียดหาอ่านได้จากหน้า 57 - 58 ค่ะ)
    ดังนั้นร่างกายที่ได้อธิบายผ่านไปแล้วนั้น ในร่างกายก็จะมีอายตนะภายในรวมอยู่ด้วย ก็คือ ตาหู จมูก ลิ้น กาย ใจ ซึ่งจะต้องจับคู่กับอายนะภายนอก ก็คือ รูป รส กลิ่น เสียงสัมผัส ธรรมารมณ์ดังนั้นช่องทางที่เมื่อมีการกระทบแล้วทำให้เกิดภาวะทางจิตอย่างใดอย่างหนึ่งได้ก็ต้องผ่านช่องทางทั้ง 6 นี้เช่นกัน ก็คงต้องขอจับกันเป็นคู่ ๆ
    <O:p</O:p
    อย่างเช่น ตาก็ต้องคู่กับรูป แต่ระหว่างตากับรูปนั้นมันเป็นคนละชิ้นยังไม่รู้จักกัน ดังนั้นจึงต้องมีจักษุวิญญาณเป็นตัวเชื่อมระหว่าง ตากับรูปแล้วส่งเข้าไปที่ตัวสัญญา ก็คือความจำนั่นเอง

    <O:p</O:p
    ขันธ์ห้านั้น ก็มี รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณและมีอุปาทานหรือความยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นตัวเป็นตนเป็นเสมือนยางเหนียวที่นำทั้งหมดมารวมกันเป็นกลุ่มก้อนนานเข้าจนแยกไม่ออก คิดว่ามีตัวตน ของตน จริง ๆ<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    <O:p</O:p

    คู่แรก รูปขันธ์ที่เข้าคู่กับวิญญาณขันธ์ คู่นี้แม้ทำงานไปแล้วก็ยังไม่สามารถทำให้เราเกิดทุกข์ได้เป็นแค่ช่องทางผ่านเท่านั้น( รายละเอียดอ่านได้ในโพสต์ที่ 1143)

    ก็ต่อมาคู่ที่ 2 ก็คือ สัญญา(ความจำ)จับคู่กับสังขาร(ความคิดที่ถูกปรุงแต่ง)คู่นี้ถือว่ามีผลเหมือนกันถ้ารู้ไม่เท่าทันกลไกของธรรมชาติ (รายละเอียดอ่านได้ในโพสต์ที่ 1146)

    ซึ่งโดยความจริงแล้วความทุกข์ไม่ได้เกิดขึ้นง่าย ๆนักเพราะมันมีหลายขั้นตอนที่สามารถสกัดมันได้แต่ละจุด แต่เพราะคนในปัจจุบันนี้พอคิดด้านทุกข์ขึ้นมาแล้ว ก็ทุกข์เลยจึงดูเหมือนว่าความทุกข์เกิดได้ง่ายเหลือเกิน

    ดังนั้น จึงเหลือคู่สุดท้ายคือเวทนาความรู้สึกสุขทุกข์กับธาตุรู้หรือจิตที่มิสติปัญญาที่ต่อเชื่อมเข้าด้วยกันนั้นจะเกิดความทุกข์ได้จริงหรือ?<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    <O:p</O:p

    ดังนั้น การที่จะกล่าวถึง ขันธ์ห้าคู่สุดท้ายนี้ อยากจะให้ท่านใช้การไตร่ตรองตามอย่างตั้งใจสักนิด เพราะหากเข้าใจจริง ๆ และทำได้จริง นั่นก็หมายความว่า ความทุกข์จะไม่สามารถอยู่เหนือคุณได้เลย ต่อให้กำลังทุรนทุรายด้วยความทุกข์ แต่คุณจะไม่ได้เป็นทุกข์ ซึ่งฟังแล้วอาจจะค่อนข้างงง สับสน ก็กำลังทุกข์แล้วจะไม่ทุกข์ได้อย่างไร?<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    ดังนั้น คู่สุดท้ายนี้ ก็คือ เวทนา ความรู้สึกที่เราจะคิดเสมอว่าเราสุข เราทุกข์ เรากำลังเสียใจ เรากำลังเศร้าหมอง กำลังท้อใจ เรากำลังหดหู่ซึมเซา เพราะมันเป็นอารมณ์ความรู้สึกที่ครอบคลุมเราอยู่ ทำให้เราอยู่ในอาการที่เรียกว่าเศร้าหมอง วิตกกังวล ร้อนรน กระวนกระวาย ซึ่งอาการเหล่านี้เราจะเรียกมันว่าความทุกข์ เพราะเมื่ออารมณ์โศกเศร้า หดหู่เศร้าหมองเข้ามาเมื่อไร ความสดชื่นแจ่มใสที่เราเข้าใจว่าเป็นความสุขก็จะหายไปทันที<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    แล้วทำไมธรรมะจึงบอกว่า สุข กับ ทุกข์ มันเท่ากันล่ะ? ทำไมบอกว่ามันเป็นธรรมชาติของมันอย่างนั้นเอง มันจะเท่ากันได้อย่างไร? เพราะมองยังไงก็ไม่มีทางเท่ากันได้ ซึ่งหลายคนก็คิดอย่างนี้รวมทั้งพี่สุดใจด้วยในตอนนั้น ถ้าจะให้เลือกก็ขอเลือกเอาสุขก่อนก็แล้วกัน<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    หลังจากถูกระบบอัดทุกข์ให้จนสะบักสะบอม ก็เริ่มหาทางที่จะออกจากความทุกข์ที่มี(ระบบ)หยิบยื่นมาให้ ดังนั้น ถ้าเขาสอนอะไร พิจารณาไตร่ตรองแล้วเห็นว่าน่าจะออกจากทุกข์ได้จริง และเมื่อปฏิบัติแล้วความทุกข์เคยที่มีมากก็เหลือน้อยลง น้อยลง ก็เพราะเริ่มมีปัญญามากขึ้น จึงมีกำลังใจที่จะปล่อยวางตามแนวทางนั้น สิ่งเหล่านี้พี่สุดใจไม่เชื่อใคร จนกว่าจะพิสูจน์ด้วยตนเอง โดยเทียบเคียงจากความทุกข์ที่เคยมีมากกลับลดน้อยลง เพราะความยึดมั่นถือมั่นในขันธ์ห้าน้อยลง ตัวตนของตนน้อยลง ความทุกข์เพราะอุปาทานขันธ์ห้าก็เลยลดลงตามไปด้วย นี่เองเป็นสิ่งที่เมื่อปฏิบ้ติแล้ว ผลที่ได้จากการปล่อยวาง ความว่างก็เกิดขึ้นนั่นเอง
    <O:p</O:p
    <O:p</O:p
    การที่จะเห็นว่าสุขกับทุกข์เท่ากันได้นั้น ต้องรู้กลไกในขันธ์ห้าให้แจ่มแจ้งเสียก่อน จึงจะพอทำความเข้าใจได้<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    <O:pดังนั้นคู่สุดท้ายก็คือเวทนาจับคู่กับจิตที่มีสติปัญญา ซึ่งในขันธ์ห้าก็อยู่ในกลุ่มของวิญญาณ ที่เรียกว่ามโนวิญญาณ หรือในส่วนที่เรียกว่าจิตหรือใจนั่นเอง<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    ดังนั้นเวทนา เป็นตัวการที่คอยสร้างความรู้สึกขึ้นมา แต่กลไกของมันจะเนื่องกับความคิด มันไม่ได้สร้างขึ้นมาลอย ๆ ส่วนใหญ่มันจะอิงกับความคิดเป็นหลัก<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    แล้วความคิดมันมีอิทธิพลอย่างไร ทำไม ? ตัวเวทนาหรือความรู้สึก จึงต้องไปเนื่องกับมัน<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    เราจึงต้องมารู้จักกลไกตามธรรมชาติของขันธ์ห้าในมุมมองของวิทยาศาสตร์ที่มีสารเคมีเป็นตัวคอนโทรลอารมณ์อยู่นั้นควบคู่กันไปด้วย จึงจะพอนำไปเทียบเคียงเห็นความเป็นเช่นนั้นเอง ของธรรมชาติได้<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    พี่สุดใจได้เคยอธิบายกลไกของขันธ์ห้า ในมุมมองของธรรมะและวิทยาศาสตร์นี้ไว้แล้วครั้งหนึ่ง ในกระทู้นี้หน้าที่ 6 ซึ่งจะขอนำมาให้อ่านเพื่อทำความรู้จักกับกลไกของขันธ์ห้า คู่สุดท้ายนี้ เพราะมันมีเหตุปัจจัยหลายอย่างที่มาเกี่ยวเนื่องกับขันธ์ห้า ทำให้เกิดภาวะอารมณ์ที่หลากหลายนั้น มาทำความรู้จักในส่วนที่เป็นมุมมองทางสารเคมีกันก่อนนะคะ

    ที่ต้อง<O:p</O:p
    <O:p</O:p
     
  18. สุดใจเขากะลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    2,083
    ค่าพลัง:
    +11,451
    - แม้ปัจจุบัน มนุษย์โลกจะมีความเจริญทั้งสองด้าน แต่ส่วนใหญ่ จะต่างคนต่างมุมมองคิดในส่วนที่ตนเองรู้ และพยายามทำความเข้าใจให้ถูกต้องตรงตามนั้นซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องผิดปกติอะไร
    <O:p</O:p
    - คนปฏิบัติธรรมะก็ปล่อยวางด้วยวิธีการศึกษาด้านธรรมะ พิจารณาการเกิดดับของอารมณ์ ความรู้สึกว่าเป็นเช่นนั้นเอง ไม่น่ายึดมั่นถือมั่นอะไร


    - ส่วนในมุมมองของวิทยาศาสตร์อารมณ์ของคนเราก็ขึ้นอยู่กับสารเคมีในร่างกายมนุษย์ แพทย์ท่านนั้น จะสนใจธรรมะหรือไม่? ก็ตาม แต่เขาก็รู้ว่ากลไกของร่างกายมนุษย์มันขึ้นอยู่กับสารเคมีในสมองต้องควบคุมความคิด ให้คิดแต่สิ่งที่รื่นรมย์ อย่าเครียดเพราะจะทำให้สารเคมีประเภทที่เกิดโทษต่อร่างกายหลั่งออกมา ทำให้เกิดความวิตกกังวลเกิดความเครียดขึ้นได้ และหากคิดเรื่องวิตกกังวลอยู่อย่างเดียวซ้ำแล้วซ้ำเล่าสารเคมีหลั่งมากเกินไป ทำให้มีอาการเครียดรุนแรง ซึมเศร้ารุนแรงก็ต้องจ่ายยาควบคุมสารเคมีในสมองให้อยู่ในสภาพที่สมดุลย์ เพื่อลดอาการเครียดวิตกกังวล หรือความหดหู่เศร้าหมอง ที่บุคคลผู้นั้นกำลังเป็นอยู่ ดังนั้นแพทย์ก็จะเห็นว่าเป็น
     
  19. สุดใจเขากะลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    2,083
    ค่าพลัง:
    +11,451
    ดังนั้นหลักของพุทธศาสนาเป็นเช่นนี้ สอนให้เราทำ
     
  20. สุดใจเขากะลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    2,083
    ค่าพลัง:
    +11,451
    เราก็ต้องมาเรียนรู้ขันธ์ห้าให้ถ่องแท้ว่า โดยความจริงแล้ว ความสุข ความทุกข์นั้น มันยังไม่ได้เกิดขึ้นจริงในขณะนั้น แต่มันมีกลไกอื่น ๆ มาร่วมด้วย ดังที่ยกตัวอย่างด้านบนนั้นก็เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่เป็นกลไกของธรรมชาติของการเกิดเวทนา คืออารมณ์ที่ถูกปรุงแต่งโดยสารเคมี ถ้าลำพังตัวเวทนาของขันธ์ห้า มันไม่ได้รู้สึกอะไรไปด้วยหรอก เพราะมันมีหน้าที่แค่ปรุงแต่งไปตามสารเคมีเท่านั้น แต่เพราะมันมีคู่ด้วย คือจิตที่มีปัญญา(มโนวิญญาณ) เป็นตัวต่อเชื่อมกับเวทนาอยู่ .... แต่<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    ระหว่างเวทนากับตัวจิตที่มีปัญญา(มโนวิญญาณ)นั้น ความจริงมันไม่ได้ติดกัน ไม่ได้อยู่ด้วยกัน และไม่ต้องรับผิดชอบซึ่งกันและกัน แต่เพราะว่า มีอุปาทาน คือความยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นตัวเราของเรา มาดักรออยู่ระหว่างกลางนั้น คอยที่จะเชื่อมระหว่างอารมณ์ ความรู้สึก กับตัวจิตที่มีปัญญานั้นให้เข้ามาติดกัน เป็นหนึ่งเดียวกัน เป็นกลุ่มเป็นก้อนเป็นตัวเป็นตน และความไม่รู้คืออวิชชา ที่มีอุปาทานคอยสร้างตัวตนมารองรับอารมณ์นั้น ๆ อยู่เสมอ มันจึงมีเรากำลังอารมณ์ดี เราอารมณ์แจ่มใส เรากำลังหงุดหงิด อารมณ์เสีย เรากำลังขุ่นมัว เรากำลังร้อนอกร้อนใจ วิตกกังวล ซึ่งแท้ที่จริงมันไม่ได้มีตัวใครเป็นผู้ที่กำลังเกิดอารมณ์นั้นเลย มันเป็นแค่กลไกปรุงแต่งไปเรื่อยเท่านั้นเอง<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    ความจริง อารมณ์มันก็สักแต่ว่าอารมณ์ มันก็เหมือนความคิดน่ะแหละ ถ้าเราเห็นว่ามันกำลังคิดอะไร เราก็จะมองมันเฉย ๆ ได้ อยากคิดคิดไป แต่ถ้าพอคิดกังวลปุ๊บ แล้วตามความคิดปั๊บ อุปาทานก็สร้างตัวเรามารองรับทันที มันจึงมีตัวเรากำลังกังวล กำลังไม่สบายใจ กำลังกลุ้มใจ ซึ่งแท้ที่จริงมันมีทางให้เลือก ว่าจะเป็นแค่ผู้ดู ด้วยรู้จริง ๆ ว่าแกเป็นแค่ความคิด หรือจะเลือกว่า มีตัวตนของเราเป็นผู้ที่ต้องกังวลไปตามความคิดนั้น <O:p</O:p
    <O:p</O:p
    แต่ว่าเวทนา อารมณ์ความรู้สึกนั้น มันปล่อยวางยากกว่าความคิด เพราะมันจะมีความรู้สึกที่เหมือนเป็นตัวเรามากที่สุด วางความคิดว่ายากแล้ว ปล่อยวางอารมณ์ความรู้สึกนี่ยิ่งยากกว่า<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    ดังนั้น กว่าที่พี่สุดใจจะรู้จริง ๆ ว่าเวทนา หรืออารมณ์ความรู้สึกเหล่านี้มันปรุงแต่งเอง มันสร้างอารมณ์ต่าง ๆ ขึ้นมาเองในขันธ์ห้า และมันไม่จำเป็นต้องมีใครเป็นผู้รองรับเวทนาเหล่านั้น ระบบก็ต้องสอนแล้วสอนอีก แยกแล้วแยกอีก ใช้อุปกรณ์ช่วยสอนหลายอย่าง ใช้การส่งข้อมูลมาอธิบายนอกรอบซ้ำ ๆ ซ้ำ ๆ จนกว่าจะค่อย ๆ แงะการยึดติดออกไปได้ทีละน้อยนั้น ให้ละอุปทานขันธ์ห้าทีละขันธ์นั้น น่าเหนื่อยจริง ๆ <O:p</O:p
    <O:p</O:p
    <O:p</O:p
     

แชร์หน้านี้