ความจริงกับความจำ...หลวงตามหาบัว

ทางออกภายนอกน่าจะไม่ติดในร่างกายว่าเป็นของเรา
ทางออกภายในน่าจะไม่ติดใจไม่ติดจิตว่าเป็นของเราคับ

 

จิตเป็นนาย กายเป็นบ่าว ปัญญาเป็นเหมือนราชา บังคับบัญชาจิตให้สั่งกาย ปัญญาฝึกดีแล้วอยู่เหนือจิต

 

ใครพุทธภูมิเก๊เหรอโยม..

อาตมาว่าโยมมากกว่านะ เห็นเอาแต่ความรู้ คนอื่น มา ลง..

ความรู้จากการปฏิบัติของตนเอง ไม่มี..

ถ้าเป็นพุทธภูมิ คงเป็นพุทธภูมิแบบไม่มีปัญญา พุทธภูมิแบบเสินเจิ้น ชอบลอกเลียนแบบ..

 

เอาความรู้คนอื่นมาพูด แต่ความรู้ตนเองกลับไม่มี อธิบาย แจกแจง แนะนำทางไม่ได้..

พอถามถึงสภาวะต่างๆก็บอกแค่ จิตสว่าง..

สว่างแบบบ้าๆ อธิบายขยายความก็ไม่เป็น..

ไหน ลอง แนะนำทางคนอื่น เข้าไปตอบคนอื่นดูสิ นั่นแหละ วิธีสร้างบารมี..

มีเรือ แต่ไม่มีคนนั่ง เข้านิพพานเถอะโยม..

 

ท่าทางเขียนแทงใจดำเข้าให้
โพธิลวงโลก

ตถาคตเก๊ มาโปรดคน

ฮา...

 

หลวงพ่ออินทร์ท่านเป็นศิษย์หลวงตาบัว ป่าวครับ

 

ถ้าหมายถึงพลวงพ่ออินทวาย ก็เคยอยู่วัดป่าบ้านตาด

 

เห็นแสดงธรรมก็งามเหมือนกัน

 

จิตมันทำงานเป็นอิสระโดยตัวเขาเองอยู่แล้ว
จิตท่องเที่ยวไปเกิดในอัตภาพธาตุชันธ์ในรูป
แบบต่างๆ ไม่ศาสดาองค์ไหนไปบังคับมันได้

เกิดของจิตในอัตภาพต่างๆก็มีสี่แบบ
เกิดในครรภ์
เกิดในไข่
เกิดในที่โสโคลกเช่นพวกหนอน
เกิดเป็นโอปาธิกะเช่นสัตว์กายละเอียดมีหลายประเภท

จิตมันทำงานอิสระในตัวของมัน
การไปเกิดแต่ละครั้งมันก็มีขบวนการเกิด
แต่และครั้ง เกิดการปฏิสนธิในจิตก่อน
(เชื้อเกิดสนธิกับวิบากกรรมขณะนั้น)

แล้วกลายมาเป็นจิตวิญญาณ
จากนั้นก็ไปจุติ พอคลอดออกมาก็ได้กายสังขาร
ไว้ใช้งาน แล้วจิตก็หลงยึดกายสังขารนั้น
ว่าเป็นเราเป็นเรา ที่มาการมีอุปทานในกายสังขาร

ส่วนจิตมันก็อิสระในตัวของมัน
แต่มีอาสวะกิเลส แฝงอยู่ในตัวของจิตเอง
การค้นหาจิตด้วยสติปัญญา. เพื่อหาต้นเหตุ
แห่งการเวียนว่ายตายเกิดของจิต

อะไรเป็นสาเหตุพาจิตให้จุติเรื่อยๆไม่จุดสิ้นสุด

การที่พระพุทธเจ้าสอน
อย่าทำชั่ว
ให้ทำความดี
ทำจิตให้บริสุทธ์

เพราะเหตุแห่งการเกิดการจุติในกายสังขาร
เหมือนติดคุกประเภทต่างๆ
ทำชั่ว จิตก็ไปจุติในกายสังขารประเภทต่ำๆ
ทำดี จิตก็ไปจุตในกายสังขารประเภทดีๆ
ไม่ว่าจุจุติในกายสังขารปรเภทไหน

มันก็เป็นคุกขังจติ อยู่เรื่อยไป

ย้อนมาที่จิต
ทำจิตให้บริสุทธ์ เพราะจิตมันมีกิเลสเชื้อเกิดอยู่
แฝงอยู่ในจิต มีขนวนการเกิดอยู่ตลอดเวลา
พร้อมที่จะไปจุติในกายสังขารทุกเมื่อ

พระพุทธเจ้าเจ้าจึงสอน
ต้องทำจิตให้บริสุทธ์ ถ้าไม่อยากเกิดอีก
คือทำลายกิเลสทุกประเภทที่แฝงตัวอยู่ในจิต

การทำลายกิเลสก็ต้องมีเครื่องมือ
เช่นพละห้าคือศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา
ทำห้าอย่างนี้ให้มีกำลัง

ก็จะเป็นเครื่องมือไปกำจัดกิเลส
ประเภทต่างที่แฝงตัวฝังตัวอยู่ในจิต

เมื่อทำลายได้หมดจด หมดกิเลสทุกประเภท

จิตก็บรสุทธ์ ก็จะหมดสิทธ์ไปจุติหรือเกิด
อีกต่อไป

จิตบริสุทธ์ก็คือจิตวิมุตตินั้นแล
พร้อมที่จะข้าฝั่งไปฝั่งพระนิพพาน

นี้ถึงเรียกว่าเรียนจบ พุทธศาสนา..

 

อะไรล่ะ?

 

ทำอย่างไรถึงจะมีกำลัง?

 

ทำยังไงจิตถึงจะบริสุทธิ์?

 

บ่น ละเมอ อะไรพระ

โน้นไปถาม ตถาคตเก๊ เอาเองนะ อิอิ..

 

ที่เอา หลวงตาแปะ นำ หน้ามาทั้งหมด

ก็เพื่อ วันนี้

เพื่อ โพสนี้

ฮิววววววววววววววววส์

ตรรกศาสตร์แบบนี้ ให้เด็ก ป.4 มันเขียนรายงาน
ส่งครู มันก็จะ พูดได้อย่างนี้ หรือ อาจจะดีกว่านี้
สำหรับ เด็ก ป.3 ที่ไม่ประมาทในธรรม

หาก "จงทำดี จงทำดี" แล้ว พอถึงจุดตกผลิก
บรรลุธรรมไปเอง

อะไรแบบนี้ ไปเรียนลูกเสือสำรอง ก็ได้ ไม่เสีย
กางเกงด้วย อนาคนอ นมาเบย


ฮิววววววววววววส์

เฮีย !!!

 

พอมีคนถามก็ตอบไม่ได้..

ปัญญาไม่ถึงพร้อม ความแตกฉานทางธรรมยังน้อยไป..

 

อิอิ

 

อาตมา เคย บอก โยม แล้ว..

ไปปฏิบัติให้รู้แจ้งเห็นแจ้ง ก่อน ค่อย มา ใหม่..

 

อัพพะยากะตา ธัมมา..

หุ จัก บ่..

อัพพะยากฤต ทำเป็นมั๊ย..

 

คุง มะขีก รุจะ หรือ จำลุง ขันธ์(มี รูปหลวงตาเป็น โลวโก้ว) ได้บ่

ลุงขันธ์คว่ำ แก ก่อนจะไป ก็แบบนี้

ไม่สามารถกล่าวอะไรได้มากไปกว่า

คำขวัญ ลูกเสือสำรอง

ผมทักซ้ำๆ ย้ำๆ แก่ก็ สบถ

มะนุดสอนยาก ไปสอน พยานาค ดีกว่า
แล้วแก ก็ กลับสภา แต่ไป สภาพยานาค
อ้างว่า ทำสมาธิแล้วไปอยู่กับพวกนั้น
สอนธรรมพวดนั้นจนบรรลุได้ ( ได้ดีกว่า
มะนุด ที่ไม่บรรลุอะไร )