ความเป็นมา ของพระไตรปิฎก

ในห้อง 'พระไตรปิฎก' ตั้งกระทู้โดย aprin, 28 กรกฎาคม 2009.

  1. aprin

    aprin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    7,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +22,514
    บิดามารดามี ๓ ฐานะ

    ๑. เป็นพรหมของบุตร

    ๒. เป็นบุรพาจารย์ของบุตร

    ๓. เป็นอาหุไนยบุคคลหรือเป็นอรหันต์ของบุตร

    (๕) กิเลสมีโทษต่างกัน ๓ อย่าง

    ๑. ราคะมีโทษน้อย คลายช้า

    ๒. โทสะมีโทษมาก คลายเร็ว

    ๓. โมหะมีโทษมาก คลายช้า

    (๖) หน้าที่รีบด่วนของภิกษุเทียบหน้าที่ของชาวนา ๓ อย่าง

    ๑. สมาทานในอธิสีลสิกขา เทียบกับชาวนาปราบพื้นนาให้เรียบ

    ๒. สมาทานในอธิจิตตสิกขา เทียบกับชาวนาหว่านพืช

    ๓. สมาทานในอธิปัญญาสิกขา เทียบกับชาวนาไขน้ำออกเมื่อน้ำมากเกิน, สูบน้ำเข้าเมื่อน้ำมีน้อยเกิน

    (๗) คุณสมบัติของภิกษุเปรียบด้วยม้าอาชาไนย ๓ อย่าง

    ๑. มีศีล เปรียบเหมือนม้ามีสีงาม

    ๒. พากเพียรสม่ำเสมอ เปรียบเหมือนม้ากำลังดี

    ๓. รู้อริยสัจ เปรียบเหมือนม้ามีฝีเท้าเร็ว

    (๘) ภิกษุเปรียบเหมือนผ้า ๓ ชนิด

    ๑. ทุศีล มีธรรมทราม เปรียบเหมือนผ้าสีไม่งาม

    ๒. ให้ทุกข์แก่คนอื่น เปรียบเหมือนผ้าเนื้อหยาบ

    ๓. ทำไทยทานของทายกให้มีอานิสงส์น้อย เปรียบเหมือนผ้าราคาต่ำ

    (๙) ไม่มีความอิ่มใน ๓ อย่าง

    ๑. ไม่อิ่มในการนอน

    ๒. ไม่อิ่มในการดื่มสุราเมรัย

    ๓. ไม่อิ่มในการเสพเมถุนธรรม

    (๑๐) เทคนิคการแสดงธรรมของพระพุทธเจ้า ๓ อย่าง

    ๑. ทรงแสดงเพื่อให้ผู้ฟังรู้ยิ่งในสิ่งที่ควรรู้ยิ่ง (อภิญญาย)

    ๒. ทรงแสดงธรรมมีเหตุมีผลที่อาจตรองตามในเห็นจริงได้ (สนิทานํ)

    ๓. ทรงแสดงธรรมมีปาฏิหาริย์ คือ ปฏิบัติตามได้รับผลจริง (สปฺปาฏิหาริยํ)

    (๑๑) บุคคล ๓ จำพวก

    ๑. บุคคลเปรียบด้วยรอยขีดในศิลา

    ๒. บุคคลเปรียบด้วยรอยขีดบนแผ่นดิน

    ๓. บุคคลเปรียบด้วยรอยขีดในน้ำ

    (๑๒) คุณสมบัติของพระเปรียบนักรบ ๓ ประการ

    ๑. กำหนดรู้ขันธ์ ๕ ดุจนักรบที่ยิงได้ไกล (ทูเรปาตี)

    ๒. รู้แจ้งอริยสัจ ดุจนักรบยิงได้เร็วและแม่นยำ (อกฺขณเวธี)

    ๓. ทำลายอวิชชา ดุจนักรบทำลายข้าศึกมากมายด้วยกำลังพลน้อย (มหโต กายสฺส ปทาเลตา)

    (๑๓) คุณสมบัติของมิตร ๓ ประการ

    ๑. ให้สิ่งที่ให้ได้ยาก

    ๒. ทำสิ่งที่ทำได้ยาก

    ๓. อดทนสิ่งที่ทำได้ยาก

    (๑๔) คุณสมบัติของภิกษุดี เปรียบม้าดี ๓ ชนิด

    ๑. รู้อริยสัจ เวลาถูกถามปัญหาในอภิธรรม อภิวินัย ตอบตะกุกตะกัก ไม่มีลาภปัจจัย เปรียบเหมือนม้าฝีเท้าดี สีไม่สวย สูงไม่ได้สัดส่วน

    ๒. รู้อริยสัจ ถูกถามปัญหาตอบได้ แต่ไม่มีลาภปัจจัย

    เปรียบเหมือนม้าฝีเท้าดี สีสวยแต่สูงไม่ได้สัดส่วน

    ๓. รู้อริยสัจ ถูกถามปัญหาตอบได้ และมีลาภสักการะ

    เปรียบเหมือนม้าฝีเท้าดี สีสวย และสูงได้สัดส่วน

    (๑๕) ปฏิปทา ๓ ทาง

    ๑. ปฏิปทาหมกมุ่นในกาม

    ๒. ปฏิปทาทรมานตน

    ๓. ปฏิปทาสายกลาง

    ๒.๔ จตุกกนิบาต ประชุมข้อธรรม ๔ ข้อ ขอยกมาเป็นตัวอย่างดังต่อไปนี้

    (๑) ผู้ปฏิบัติผิดต่อบุคคล ๔ จำพวก

    ๑. ปฏิบัติผิดในมารดา

    ๒. ปฏิบัติผิดในบิดา

    ๓. ปฏิบัติผิดในพระตถาคต

    ๔. ปฏิบัติผิดในพระสาวกของพระพุทธเจ้า

    (๒) บุคคล ๔ จำพวก

    ๑. ผู้ไปตามกระแส (อนุโสตคามี)

    ๒. ผู้ทวนกระแส (ปฏิโสตคามี)

    ๓. ผู้ยืนอยู่อย่างมั่นคง (ฐิตตฺโต)

    ๔. ผู้ข้ามได้แล้ว ถึงฝั่งอย่างปลอดภัย (ติณฺโณ ปารคโต)

    (๓) เวสารัชชธรรม (ความองอาจกล้าหาญ) ของพระตถาคต ๔ ประการ

    ๑. เมื่อทรงปฏิญาณว่าเป็นพระสัมมาสัมพุทธ ใครๆ ไม่กล้าทักท้วงว่ามิได้เป็นจริง

    ๒. เมื่อทรงปฏิญาณว่าสิ้นอาสวะแล้ว ใครๆ ไม่กล้าทักท้วงว่ายังไม่สิ้น

    ๓. เมื่อบอกว่าสิ่งใดเป็นโทษ ใครๆ ไม่กล้าทักท้วงว่าไม่เป็นโทษจริง

    ๔. เมื่อทรงแสดงว่าสิ่งใดเป็นประโยชน์ใครๆ ไม่กล้าทักท้วงว่าไม่เป็นประโยชน์จริง

    (๔) เป้าหมายของพรหมจรรย์ (การบวช) คืออะไร

    พระบรมศาสดาตรัสว่า ภิกษุทั้งหลาย พรหมจรรย์ นี้เราประพฤติมิใช่เพื่อหลอกลวงคนเพื่อให้คนบ่นเพ้อถึง เพื่ออานิสงส์คือลาภสักการะและชื่อเสียง เพื่อเป็นเจ้าลัทธิ เพื่อให้คนรู้จักเรา แต่ที่แท้เราประพฤติพรหมจรรย์ เพื่อความสำรวมระวัง เพื่อละกิเลส เพื่อคลายกำหนัดยินดี เพื่อดับกิเลสโดยสิ้นเชิง

    (๕) ลักษณะของมหาบุรุษ ๔

    ๑. ปฏิบัติเพื่อประโยชน์สุขแก่คนหมู่มาก

    ๒. ให้คนหมู่มากประดิษฐานอยู่ในญายธรรมอันประเสริฐ คือ กัลยาณธรรมและกุศลธรรม

    ๓. ชำนาญในทางแห่งการตรึก คือ คิดหรือไม่คิดเรื่องใดๆ ได้ตามปรารถนา

    ๔. ได้ฌาน ๔ ทำให้แจ้งเจโตวิมุติ ปัญญาวิมุติ อันไม่มีอาสวะ

    http://www.khaosod.co.th/view_news....ionid=TURNd013PT0=&day=TWpBd09TMHhNQzB5Tmc9PQ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 ตุลาคม 2009
  2. aprin

    aprin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    7,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +22,514
    (๒๑) บุรุษอาชาไนยเทียบกับม้าอาชาไนย ๔

    ๑. เพียงได้ข่าวคนเจ็บคนตายก็สลดจิต เริ่มตั้งความเพียรเพื่อแทงตลอดสัจจะ เทียบกับม้าอาชาไนยพอเห็นเงาปฏักก็สำเหนียกรู้สิ่งที่สารถีต้องการให้ทำ

    ๒. เมื่อเห็นคนเจ็บ คนตายด้วยตาจึงสลดจิต เทียบกับม้าอาชาไนยถูกแทงด้วยปฏักจนขนร่วงจึงสำเหนียกรู้

    ๓. เมื่อเห็นญาติสายโลหิตเขาเจ็บหรือตายจึงสลดจิต เทียบกับม้าอาชาไนยถูกแทงจนทะลุหนังจึงสำเหนียกรู้

    ๔. เมื่อตนเองเจ็บจึงสลดจิต เทียบกับม้าอาชาไนยถูกแทงทะลุกระดูกจึงสำเหนียกรู้

    (๒๒) คุณสมบัติของภิกษุผู้ควรบูชาเทียบกับช้างดี ๔ ประการ

    ๑. ฟังเป็น (ฟังแล้วจับสาระได้) เทียบกับช้างรู้จักรับฟังคำสั่งของควาญ (โสตา)

    ๒. ฆ่าเป็น (กำจัดวิตก ๓) เทียบกับช้างสามารถฆ่าข้าศึกในสงคราม (ฆาตา)

    ๓. อดทนเป็น (มีขันติธรรม) เทียบกับช้างทนต่ออาวุธต่างๆ ในสนามรบ (ขนฺตา)

    ๔. ไปเป็น (เดินหน้า, สู่นิพพาน) เทียบกับช้างควาญไสไปทางไหนก็ไปได้ตามต้องการ (คนฺตา)

    (๒๓) บุคคล ๔ จำพวก

    ๑. บุคคลผู้ตรัสรู้เร็ว (อุคฆติตัญญู)

    ๒. บุคคลผู้ฟังเขาอธิบายแล้วตรัสรู้ (วิปจิตัญญู)

    ๓. บุคคลที่เข้าแนะนำพร่ำสอนบ่อยๆ จึงตรัสรู้ (เนยยะ)

    ๔. บุคคลไม่อาจรู้ธรรมได้เลยในชาตินี้ (ปทปรมะ)

    (หมายเหตุ ปทปรมะ ท่านให้คำจำกัดความว่า ได้แก่ คนฉลาด ท่องจำได้มาก กล่าวธรรมได้มาก สอนคนอื่นได้มาก แต่ไม่สามารถตรัสรู้ในชาตินี้ หมายเอา "พหูสูตบุคคล" ที่มากด้วยทฤษฎี)

    (๒๔) บุคคล ๔ จำพวกอีกนัยหนึ่ง

    ๑. ผู้ออกแต่กายใจไม่ออก

    ๒. ผู้กายไม่ออก แต่ใจออก

    ๓. ผู้ไม่ออกทั้งกายและใจ

    ๔. ผู้ที่ออกทั้งกายและใจ

    (๒๕) โรคของนักบวช ๔ อย่าง

    ๑. มีความอยากมาก คับแค้นมาก

    ๒. ไม่สันโดษในปัจจัย ๔

    ๓. อยากมาก คับแค้นมาก ปรารถนาลามกให้ได้ปัจจัย ๔

    ๔. พยายามเพื่อการนั้นเข้าไปสู่ตระกูล ทำความคุ้นเคยกับเขา อุตส่าห์นั่งกลั้นอุจจาระ ปัสสาวะ ในบ้านเขานานๆ

    (๒๖) ธรรม ๔ ประการ ที่ให้พระสัทธรรมอันตรธาน

    ๑. ภิกษุเรียนพระสุตตันตะไม่ดี เสียคำ เสียความ (เรียนผิดๆ)

    ๒. ว่ายาก ไม่อดทน ไม่ฟังคำตักเตือนโดยเคารพ

    ๓. พวกที่เรียนมาก ทรงจำได้มาก ก็ไม่สอนคนอื่น

    ๔. พระที่เป็นเถระก็มักมากในปัจจัย ๔ หย่อนในสิกขา เต็มด้วยนิวรณ์ ไม่เพียรเพื่อบรรลุธรรม และเป็นตัวอย่างที่ไม่ดีแก่ชนรุ่นหลัง

    (๒๗) ฐานะ ๔ ประการ

    ๑. จะทราบศีลของบุคคล ด้วยการอยู่ร่วมกัน

    ๒. จะทราบความสะอาด ด้วยถ้อยคำ (บางแห่งแปลว่า การงาน)

    ๓. จะทราบความกล้าหาญในเวลามีอันตราย

    ๔. จะทราบปัญญาด้วยการสนทนา

    (๒๘) ธรรม ๔ ประการ

    ๑. ความรักเกิดเพราะความรักก็มี

    ๒. โทสะเกิดเพราะความรักก็มี

    ๓. ความรักเกิดเพราะโทสะก็มี

    ๔. โทสะเกิดเพราะโทสะก็มี

    (๒๙) ยอดแห่งพรหมจรรย์

    พระพุทธเจ้าตรัสว่า "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พรหมจรรย์ที่เราประพฤตินี้มีสิกขาเป็นอานิสงส์ มีปัญญาเป็นยอด มีวิมุติเป็นแก่น มีสติเป็นอธิปไตย"

    (๓๐) การนอน ๔ แบบ

    ๑. นอนอย่างเปรต (เปตเสยฺยา)

    ๒. นอนอย่างผู้บริโภคกาม (กามโภคีเสยฺยา)

    ๓. นอนอย่างราชสีห์ (สีหเสยฺยา)

    ๔. นอนอย่างพระตถาคต (ตถาคตเสยฺยา)

    (๓๑) ตระกูลมั่งคั่งตั้งอยู่ไม่ได้นานเพราะเหตุ ๔ อย่าง

    ๑. ไม่แสวงหาของที่หาย

    ๒. ไม่บูรณะซ่อมแซมของเก่า

    ๓. ไม่รู้จักประมาณในการใช้สอย

    ๔. ตั้งบุรุษหรือสตรีผู้ทุศีล เป็นพ่อบ้านแม่เรือน

    ๒.๕ ปัญจกนิบาต ประชุมหัวข้อธรรม ๕ ข้อ ขอยกมาพอเป็นตัวอย่างดังนี้

    (๑) นิวรณ์เป็นเครื่องเศร้าหมองแห่งจิต เปรียบกับเครื่องเศร้าหมองของทอง ๕ อย่าง คือ เหล็ก, โลหะ, ดีบุก, ตะกั่ว, เงิน

    ๑. ความพอใจในกาม

    ๒. ความปองร้าย

    ๓. ความหดหู่ง่วงงุน

    ๔. ความฟุ้งซ่านรำคาญใจ

    ๕. ความลังเลสงสัย

    (๒) การเดินจงกรมมีอานิสงส์ ๕ อย่าง คือ

    ๑. เดินทางไกลได้ทน

    ๒. อดทนต่อความเพียร

    ๓. มีอาพาธน้อย

    ๔. อาหารย่อยง่าย

    ๕. สมาธิได้ขณะเดินจงกรมอยู่ได้นาน

    (๓.) ฐานะที่ขอไม่ได้ในโลก ๕ ประการ

    ๑. ขอให้สิ่งที่มีความแก่เป็นธรรมดาว่า อย่าแก่

    ๒. ขอให้สิ่งที่มีความเจ็บไข้เป็นธรรมดาว่า อย่าเจ็บ

    ๓. ขอให้สิ่งที่มีความตายเป็นธรรมดาว่า อย่าตาย

    ๔. ขอให้สิ่งที่มีความสิ้นไปเป็นธรรมดาว่า อย่าสิ้นไป

    ๕. ขอให้สิ่งที่มีความฉิบหายเป็นธรรมดาว่า อย่าฉิบหาย

    (๔) ผู้บวชเมื่อแก่มีคุณธรรมได้ยาก ๕ ประการ

    ๑. พระแก่ที่ละเอียดอ่อน หายาก

    ๒. พระแก่ที่สมบูรณ์ด้วยอากัปกิริยา หายาก

    ๓. พระแก่ผู้คงแก่เรียนหายาก

    ๔. พระแก่เป็นธรรมกถึก หายาก

    ๕. พระแก่ผู้ทรงวินัย หายาก


    http://www.khaosod.co.th/view_news....ionid=TURNd013PT0=&day=TWpBd09TMHhNQzB5T0E9PQ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 ตุลาคม 2009
  3. บุญญสิกขา

    บุญญสิกขา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,863
    ค่าพลัง:
    +14,471

    (นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ) <o></o>
    มุนินทะ วะทะนัมพุชะ คัพภะสัมภะวะ สุนทะรีปาณีนัง สะระณัง วาณี มัยหัง ปิณะยะตัง มะนังฯ<o>

    </o>
    <link rel="File-List" href="file:///C:%5CUsers%5CAn%5CAppData%5CLocal%5CTemp%5Cmsohtmlclip1%5C01%5Cclip_filelist.xml"><link rel="themeData" href="file:///C:%5CUsers%5CAn%5CAppData%5CLocal%5CTemp%5Cmsohtmlclip1%5C01%5Cclip_themedata.thmx"><link rel="colorSchemeMapping" href="file:///C:%5CUsers%5CAn%5CAppData%5CLocal%5CTemp%5Cmsohtmlclip1%5C01%5Cclip_colorschememapping.xml"><!--[if gte mso 9]><xml> <w:WordDocument> <w:View>Normal</w:View> <w:Zoom>0</w:Zoom> <w:TrackMoves/> <w:TrackFormatting/> <w:punctuationKerning/> <w:ValidateAgainstSchemas/> <w:SaveIfXMLInvalid>false</w:SaveIfXMLInvalid> <w:IgnoreMixedContent>false</w:IgnoreMixedContent> <w:AlwaysShowPlaceholderText>false</w:AlwaysShowPlaceholderText> <w:DoNotPromoteQF/> <w:LidThemeOther>EN-US</w:LidThemeOther> <w:LidThemeAsian>X-NONE</w:LidThemeAsian> <w:LidThemeComplexScript>TH</w:LidThemeComplexScript> <w:Compatibility> <w:BreakWrappedTables/> <w:SnapToGridInCell/> <w:ApplyBreakingRules/> <w:WrapTextWithPunct/> <w:UseAsianBreakRules/> <w:DontGrowAutofit/> <w:SplitPgBreakAndParaMark/> <w:DontVertAlignCellWithSp/> <w:DontBreakConstrainedForcedTables/> <w:DontVertAlignInTxbx/> <w:Word11KerningPairs/> <w:CachedColBalance/> </w:Compatibility> <m:mathPr> <m:mathFont m:val="Cambria Math"/> <m:brkBin m:val="before"/> <m:brkBinSub m:val="--"/> <m:smallFrac m:val="off"/> <m:dispDef/> <m:lMargin m:val="0"/> <m:rMargin m:val="0"/> <m:defJc m:val="centerGroup"/> <m:wrapIndent m:val="1440"/> <m:intLim m:val="subSup"/> <m:naryLim m:val="undOvr"/> </m:mathPr></w:WordDocument> </xml><![endif]--><!--[if gte mso 9]><xml> <w:LatentStyles DefLockedState="false" DefUnhideWhenUsed="true" DefSemiHidden="true" DefQFormat="false" DefPriority="99" LatentStyleCount="267"> <w:LsdException Locked="false" Priority="0" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" QFormat="true" Name="Normal"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="9" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" QFormat="true" Name="heading 1"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="9" QFormat="true" Name="heading 2"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="9" QFormat="true" Name="heading 3"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="9" QFormat="true" Name="heading 4"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="9" QFormat="true" Name="heading 5"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="9" QFormat="true" Name="heading 6"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="9" QFormat="true" Name="heading 7"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="9" QFormat="true" Name="heading 8"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="9" QFormat="true" Name="heading 9"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="39" Name="toc 1"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="39" Name="toc 2"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="39" Name="toc 3"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="39" Name="toc 4"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="39" Name="toc 5"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="39" Name="toc 6"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="39" Name="toc 7"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="39" Name="toc 8"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="39" Name="toc 9"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="35" QFormat="true" Name="caption"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="10" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" QFormat="true" Name="Title"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="1" Name="Default Paragraph Font"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="11" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" QFormat="true" Name="Subtitle"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="22" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" QFormat="true" Name="Strong"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="20" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" QFormat="true" Name="Emphasis"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="59" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Table Grid"/> <w:LsdException Locked="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Placeholder Text"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="1" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" QFormat="true" Name="No Spacing"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="60" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Light Shading"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="61" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Light List"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="62" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Light Grid"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="63" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium Shading 1"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="64" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium Shading 2"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="65" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium List 1"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="66" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium List 2"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="67" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium Grid 1"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="68" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium Grid 2"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="69" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium Grid 3"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="70" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Dark List"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="71" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Colorful Shading"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="72" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Colorful List"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="73" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Colorful Grid"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="60" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Light Shading Accent 1"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="61" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Light List Accent 1"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="62" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Light Grid Accent 1"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="63" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium Shading 1 Accent 1"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="64" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium Shading 2 Accent 1"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="65" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium List 1 Accent 1"/> <w:LsdException Locked="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Revision"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="34" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" QFormat="true" Name="List Paragraph"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="29" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" QFormat="true" Name="Quote"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="30" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" QFormat="true" Name="Intense Quote"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="66" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium List 2 Accent 1"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="67" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium Grid 1 Accent 1"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="68" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium Grid 2 Accent 1"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="69" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium Grid 3 Accent 1"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="70" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Dark List Accent 1"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="71" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Colorful Shading Accent 1"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="72" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Colorful List Accent 1"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="73" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Colorful Grid Accent 1"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="60" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Light Shading Accent 2"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="61" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Light List Accent 2"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="62" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Light Grid Accent 2"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="63" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium Shading 1 Accent 2"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="64" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium Shading 2 Accent 2"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="65" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium List 1 Accent 2"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="66" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium List 2 Accent 2"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="67" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium Grid 1 Accent 2"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="68" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium Grid 2 Accent 2"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="69" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium Grid 3 Accent 2"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="70" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Dark List Accent 2"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="71" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Colorful Shading Accent 2"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="72" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Colorful List Accent 2"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="73" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Colorful Grid Accent 2"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="60" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Light Shading Accent 3"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="61" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Light List Accent 3"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="62" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Light Grid Accent 3"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="63" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium Shading 1 Accent 3"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="64" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium Shading 2 Accent 3"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="65" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium List 1 Accent 3"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="66" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium List 2 Accent 3"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="67" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium Grid 1 Accent 3"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="68" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium Grid 2 Accent 3"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="69" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium Grid 3 Accent 3"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="70" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Dark List Accent 3"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="71" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Colorful Shading Accent 3"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="72" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Colorful List Accent 3"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="73" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Colorful Grid Accent 3"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="60" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Light Shading Accent 4"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="61" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Light List Accent 4"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="62" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Light Grid Accent 4"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="63" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium Shading 1 Accent 4"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="64" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium Shading 2 Accent 4"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="65" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium List 1 Accent 4"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="66" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium List 2 Accent 4"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="67" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium Grid 1 Accent 4"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="68" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium Grid 2 Accent 4"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="69" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium Grid 3 Accent 4"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="70" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Dark List Accent 4"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="71" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Colorful Shading Accent 4"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="72" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Colorful List Accent 4"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="73" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Colorful Grid Accent 4"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="60" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Light Shading Accent 5"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="61" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Light List Accent 5"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="62" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Light Grid Accent 5"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="63" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium Shading 1 Accent 5"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="64" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium Shading 2 Accent 5"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="65" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium List 1 Accent 5"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="66" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium List 2 Accent 5"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="67" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium Grid 1 Accent 5"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="68" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium Grid 2 Accent 5"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="69" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium Grid 3 Accent 5"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="70" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Dark List Accent 5"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="71" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Colorful Shading Accent 5"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="72" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Colorful List Accent 5"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="73" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Colorful Grid Accent 5"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="60" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Light Shading Accent 6"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="61" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Light List Accent 6"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="62" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Light Grid Accent 6"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="63" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium Shading 1 Accent 6"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="64" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium Shading 2 Accent 6"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="65" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium List 1 Accent 6"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="66" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium List 2 Accent 6"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="67" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium Grid 1 Accent 6"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="68" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium Grid 2 Accent 6"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="69" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium Grid 3 Accent 6"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="70" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Dark List Accent 6"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="71" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Colorful Shading Accent 6"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="72" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Colorful List Accent 6"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="73" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Colorful Grid Accent 6"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="19" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" QFormat="true" Name="Subtle Emphasis"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="21" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" QFormat="true" Name="Intense Emphasis"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="31" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" QFormat="true" Name="Subtle Reference"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="32" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" QFormat="true" Name="Intense Reference"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="33" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" QFormat="true" Name="Book Title"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="37" Name="Bibliography"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="39" QFormat="true" Name="TOC Heading"/> </w:LatentStyles> </xml><![endif]--><style> <!-- /* Font Definitions */ @font-face {font-family:"Cambria Math"; panose-1:2 4 5 3 5 4 6 3 2 4; mso-font-charset:0; mso-generic-font-family:roman; mso-font-pitch:variable; mso-font-signature:-1610611985 1107304683 0 0 415 0;} @font-face {font-family:CordiaUPC; panose-1:2 11 3 4 2 2 2 2 2 4; mso-font-charset:0; mso-generic-font-family:swiss; mso-font-pitch:variable; mso-font-signature:-2130706429 0 0 0 65537 0;} @font-face {font-family:"SV Mattana UNI"; mso-font-alt:"Angsana New"; mso-font-charset:0; mso-generic-font-family:roman; mso-font-pitch:variable; mso-font-signature:0 0 0 0 65537 0;} /* Style Definitions */ p.MsoNormal, li.MsoNormal, div.MsoNormal {mso-style-unhide:no; mso-style-qformat:yes; mso-style-parent:""; margin-top:0in; margin-right:0in; margin-bottom:10.0pt; margin-left:0in; line-height:20.0pt; mso-line-height-rule:exactly; mso-pagination:widow-orphan; font-size:11.0pt; font-family:"CordiaUPC","sans-serif"; mso-fareast-font-family:CordiaUPC; color:#4F81BD; mso-bidi-language:EN-US; font-weight:bold; font-style:italic;} .MsoChpDefault {mso-style-type:export-only; mso-default-props:yes; mso-bidi-font-size:11.0pt; mso-ascii-font-family:CordiaUPC; mso-ascii-theme-font:minor-latin; mso-fareast-font-family:CordiaUPC; mso-fareast-theme-font:minor-latin; mso-hansi-font-family:CordiaUPC; mso-hansi-theme-font:minor-latin; mso-bidi-font-family:CordiaUPC; mso-bidi-theme-font:minor-bidi; color:#4F81BD; mso-themecolor:accent1; mso-bidi-language:EN-US; font-weight:bold; font-style:italic;} .MsoPapDefault {mso-style-type:export-only; margin-bottom:10.0pt; line-height:20.0pt; mso-line-height-rule:exactly;} @page Section1 {size:8.5in 11.0in; margin:1.0in 1.0in 1.0in 1.0in; mso-header-margin:.5in; mso-footer-margin:.5in; mso-paper-source:0;} div.Section1 {page:Section1;} --> </style><!--[if gte mso 10]> <style> /* Style Definitions */ table.MsoNormalTable {mso-style-name:ตารางปกติ; mso-tstyle-rowband-size:0; mso-tstyle-colband-size:0; mso-style-noshow:yes; mso-style-priority:99; mso-style-qformat:yes; mso-style-parent:""; mso-padding-alt:0in 5.4pt 0in 5.4pt; mso-para-margin-top:0in; mso-para-margin-right:0in; mso-para-margin-bottom:10.0pt; mso-para-margin-left:0in; line-height:20.0pt; mso-line-height-rule:exactly; mso-pagination:widow-orphan; font-size:11.0pt; mso-bidi-font-size:14.0pt; font-family:"CordiaUPC","sans-serif"; mso-ascii-font-family:CordiaUPC; mso-ascii-theme-font:minor-latin; mso-fareast-font-family:"Times New Roman"; mso-fareast-theme-font:minor-fareast; mso-hansi-font-family:CordiaUPC; mso-hansi-theme-font:minor-latin; mso-bidi-font-family:CordiaUPC; mso-bidi-theme-font:minor-bidi;} </style> <![endif]--><link rel="File-List" href="file:///C:%5CUsers%5CAn%5CAppData%5CLocal%5CTemp%5Cmsohtmlclip1%5C01%5Cclip_filelist.xml"><link rel="themeData" href="file:///C:%5CUsers%5CAn%5CAppData%5CLocal%5CTemp%5Cmsohtmlclip1%5C01%5Cclip_themedata.thmx"><link rel="colorSchemeMapping" href="file:///C:%5CUsers%5CAn%5CAppData%5CLocal%5CTemp%5Cmsohtmlclip1%5C01%5Cclip_colorschememapping.xml"><!--[if gte mso 9]><xml> <w:WordDocument> <w:View>Normal</w:View> <w:Zoom>0</w:Zoom> <w:TrackMoves/> <w:TrackFormatting/> <w:punctuationKerning/> <w:ValidateAgainstSchemas/> <w:SaveIfXMLInvalid>false</w:SaveIfXMLInvalid> <w:IgnoreMixedContent>false</w:IgnoreMixedContent> <w:AlwaysShowPlaceholderText>false</w:AlwaysShowPlaceholderText> <w:DoNotPromoteQF/> <w:LidThemeOther>EN-US</w:LidThemeOther> <w:LidThemeAsian>X-NONE</w:LidThemeAsian> <w:LidThemeComplexScript>TH</w:LidThemeComplexScript> <w:Compatibility> <w:BreakWrappedTables/> <w:SnapToGridInCell/> <w:ApplyBreakingRules/> <w:WrapTextWithPunct/> <w:UseAsianBreakRules/> <w:DontGrowAutofit/> <w:SplitPgBreakAndParaMark/> <w:DontVertAlignCellWithSp/> <w:DontBreakConstrainedForcedTables/> <w:DontVertAlignInTxbx/> <w:Word11KerningPairs/> <w:CachedColBalance/> </w:Compatibility> <m:mathPr> <m:mathFont m:val="Cambria Math"/> <m:brkBin m:val="before"/> <m:brkBinSub m:val="--"/> <m:smallFrac m:val="off"/> <m:dispDef/> <m:lMargin m:val="0"/> <m:rMargin m:val="0"/> <m:defJc m:val="centerGroup"/> <m:wrapIndent m:val="1440"/> <m:intLim m:val="subSup"/> <m:naryLim m:val="undOvr"/> </m:mathPr></w:WordDocument> </xml><![endif]--><!--[if gte mso 9]><xml> <w:LatentStyles DefLockedState="false" DefUnhideWhenUsed="true" DefSemiHidden="true" DefQFormat="false" DefPriority="99" LatentStyleCount="267"> <w:LsdException Locked="false" Priority="0" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" QFormat="true" Name="Normal"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="9" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" QFormat="true" Name="heading 1"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="9" QFormat="true" Name="heading 2"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="9" QFormat="true" Name="heading 3"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="9" QFormat="true" Name="heading 4"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="9" QFormat="true" Name="heading 5"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="9" QFormat="true" Name="heading 6"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="9" QFormat="true" Name="heading 7"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="9" QFormat="true" Name="heading 8"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="9" QFormat="true" Name="heading 9"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="39" Name="toc 1"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="39" Name="toc 2"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="39" Name="toc 3"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="39" Name="toc 4"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="39" Name="toc 5"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="39" Name="toc 6"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="39" Name="toc 7"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="39" Name="toc 8"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="39" Name="toc 9"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="35" QFormat="true" Name="caption"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="10" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" QFormat="true" Name="Title"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="1" Name="Default Paragraph Font"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="11" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" QFormat="true" Name="Subtitle"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="22" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" QFormat="true" Name="Strong"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="20" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" QFormat="true" Name="Emphasis"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="59" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Table Grid"/> <w:LsdException Locked="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Placeholder Text"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="1" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" QFormat="true" Name="No Spacing"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="60" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Light Shading"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="61" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Light List"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="62" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Light Grid"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="63" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium Shading 1"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="64" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium Shading 2"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="65" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium List 1"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="66" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium List 2"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="67" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium Grid 1"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="68" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium Grid 2"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="69" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium Grid 3"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="70" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Dark List"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="71" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Colorful Shading"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="72" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Colorful List"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="73" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Colorful Grid"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="60" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Light Shading Accent 1"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="61" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Light List Accent 1"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="62" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Light Grid Accent 1"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="63" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium Shading 1 Accent 1"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="64" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium Shading 2 Accent 1"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="65" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium List 1 Accent 1"/> <w:LsdException Locked="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Revision"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="34" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" QFormat="true" Name="List Paragraph"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="29" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" QFormat="true" Name="Quote"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="30" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" QFormat="true" Name="Intense Quote"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="66" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium List 2 Accent 1"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="67" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium Grid 1 Accent 1"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="68" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium Grid 2 Accent 1"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="69" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium Grid 3 Accent 1"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="70" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Dark List Accent 1"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="71" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Colorful Shading Accent 1"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="72" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Colorful List Accent 1"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="73" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Colorful Grid Accent 1"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="60" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Light Shading Accent 2"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="61" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Light List Accent 2"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="62" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Light Grid Accent 2"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="63" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium Shading 1 Accent 2"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="64" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium Shading 2 Accent 2"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="65" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium List 1 Accent 2"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="66" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium List 2 Accent 2"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="67" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium Grid 1 Accent 2"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="68" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium Grid 2 Accent 2"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="69" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium Grid 3 Accent 2"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="70" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Dark List Accent 2"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="71" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Colorful Shading Accent 2"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="72" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Colorful List Accent 2"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="73" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Colorful Grid Accent 2"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="60" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Light Shading Accent 3"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="61" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Light List Accent 3"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="62" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Light Grid Accent 3"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="63" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium Shading 1 Accent 3"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="64" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium Shading 2 Accent 3"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="65" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium List 1 Accent 3"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="66" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium List 2 Accent 3"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="67" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium Grid 1 Accent 3"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="68" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium Grid 2 Accent 3"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="69" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium Grid 3 Accent 3"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="70" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Dark List Accent 3"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="71" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Colorful Shading Accent 3"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="72" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Colorful List Accent 3"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="73" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Colorful Grid Accent 3"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="60" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Light Shading Accent 4"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="61" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Light List Accent 4"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="62" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Light Grid Accent 4"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="63" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium Shading 1 Accent 4"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="64" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium Shading 2 Accent 4"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="65" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium List 1 Accent 4"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="66" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium List 2 Accent 4"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="67" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium Grid 1 Accent 4"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="68" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium Grid 2 Accent 4"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="69" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium Grid 3 Accent 4"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="70" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Dark List Accent 4"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="71" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Colorful Shading Accent 4"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="72" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Colorful List Accent 4"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="73" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Colorful Grid Accent 4"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="60" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Light Shading Accent 5"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="61" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Light List Accent 5"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="62" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Light Grid Accent 5"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="63" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium Shading 1 Accent 5"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="64" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium Shading 2 Accent 5"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="65" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium List 1 Accent 5"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="66" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium List 2 Accent 5"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="67" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium Grid 1 Accent 5"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="68" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium Grid 2 Accent 5"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="69" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium Grid 3 Accent 5"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="70" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Dark List Accent 5"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="71" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Colorful Shading Accent 5"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="72" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Colorful List Accent 5"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="73" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Colorful Grid Accent 5"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="60" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Light Shading Accent 6"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="61" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Light List Accent 6"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="62" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Light Grid Accent 6"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="63" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium Shading 1 Accent 6"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="64" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium Shading 2 Accent 6"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="65" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium List 1 Accent 6"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="66" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium List 2 Accent 6"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="67" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium Grid 1 Accent 6"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="68" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium Grid 2 Accent 6"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="69" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium Grid 3 Accent 6"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="70" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Dark List Accent 6"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="71" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Colorful Shading Accent 6"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="72" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Colorful List Accent 6"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="73" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Colorful Grid Accent 6"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="19" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" QFormat="true" Name="Subtle Emphasis"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="21" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" QFormat="true" Name="Intense Emphasis"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="31" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" QFormat="true" Name="Subtle Reference"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="32" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" QFormat="true" Name="Intense Reference"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="33" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" QFormat="true" Name="Book Title"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="37" Name="Bibliography"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="39" QFormat="true" Name="TOC Heading"/> </w:LatentStyles> </xml><![endif]--><style> <!-- /* Font Definitions */ @font-face {font-family:"Cambria Math"; panose-1:2 4 5 3 5 4 6 3 2 4; mso-font-charset:0; mso-generic-font-family:roman; mso-font-pitch:variable; mso-font-signature:-1610611985 1107304683 0 0 415 0;} @font-face {font-family:CordiaUPC; panose-1:2 11 3 4 2 2 2 2 2 4; mso-font-charset:0; mso-generic-font-family:swiss; mso-font-pitch:variable; mso-font-signature:-2130706429 0 0 0 65537 0;} @font-face {font-family:"SV Mattana UNI"; mso-font-alt:"Angsana New"; mso-font-charset:0; mso-generic-font-family:roman; mso-font-pitch:variable; mso-font-signature:0 0 0 0 65537 0;} /* Style Definitions */ p.MsoNormal, li.MsoNormal, div.MsoNormal {mso-style-unhide:no; mso-style-qformat:yes; mso-style-parent:""; margin-top:0in; margin-right:0in; margin-bottom:10.0pt; margin-left:0in; line-height:20.0pt; mso-line-height-rule:exactly; mso-pagination:widow-orphan; font-size:11.0pt; font-family:"CordiaUPC","sans-serif"; mso-fareast-font-family:CordiaUPC; color:#4F81BD; mso-bidi-language:EN-US; font-weight:bold; font-style:italic;} .MsoChpDefault {mso-style-type:export-only; mso-default-props:yes; mso-bidi-font-size:11.0pt; mso-ascii-font-family:CordiaUPC; mso-ascii-theme-font:minor-latin; mso-fareast-font-family:CordiaUPC; mso-fareast-theme-font:minor-latin; mso-hansi-font-family:CordiaUPC; mso-hansi-theme-font:minor-latin; mso-bidi-font-family:CordiaUPC; mso-bidi-theme-font:minor-bidi; color:#4F81BD; mso-themecolor:accent1; mso-bidi-language:EN-US; font-weight:bold; font-style:italic;} .MsoPapDefault {mso-style-type:export-only; margin-bottom:10.0pt; line-height:20.0pt; mso-line-height-rule:exactly;} @page Section1 {size:8.5in 11.0in; margin:1.0in 1.0in 1.0in 1.0in; mso-header-margin:.5in; mso-footer-margin:.5in; mso-paper-source:0;} div.Section1 {page:Section1;} --> </style><!--[if gte mso 10]> <style> /* Style Definitions */ table.MsoNormalTable {mso-style-name:ตารางปกติ; mso-tstyle-rowband-size:0; mso-tstyle-colband-size:0; mso-style-noshow:yes; mso-style-priority:99; mso-style-qformat:yes; mso-style-parent:""; mso-padding-alt:0in 5.4pt 0in 5.4pt; mso-para-margin-top:0in; mso-para-margin-right:0in; mso-para-margin-bottom:10.0pt; mso-para-margin-left:0in; line-height:20.0pt; mso-line-height-rule:exactly; mso-pagination:widow-orphan; font-size:11.0pt; mso-bidi-font-size:14.0pt; font-family:"CordiaUPC","sans-serif"; mso-ascii-font-family:CordiaUPC; mso-ascii-theme-font:minor-latin; mso-fareast-font-family:"Times New Roman"; mso-fareast-theme-font:minor-fareast; mso-hansi-font-family:CordiaUPC; mso-hansi-theme-font:minor-latin; mso-bidi-font-family:CordiaUPC; mso-bidi-theme-font:minor-bidi;} </style> <![endif]-->
    [FONT=&quot]พระธรรมคำสั่งสอนอันมีความงดงามล้ำเลิศประดุจนางฟ้า ถือกำเนิดจากห้องบงกช ล้วนอุบัติจากพระโอษฐ์ ของพระจอมมุนี[FONT=&quot]สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่ง เป็นที่พึ่งของปราณชาติสรรพสัตว์ทั้งหลาย[/FONT][FONT=&quot] การเอ่ยวาจานี้[/FONT][FONT=&quot]ย่อมยังจิตใจของข้าพเจ้า[/FONT][FONT=&quot]ให้เอิบอิ่ม แช่มชื่น เบิกบาน แจ่มใส[/FONT][FONT=&quot]ปราโมทย์ รู้แจ่มแจ้งแทงตลอดจำได้ ปฏิบัติตามได้ ในพระไตรปิฏกทั้งโลกียะ และโลกุตตระนั้นเทอญ[/FONT][FONT=&quot]<o>

    </o>[/FONT]
    [/FONT]​
    กราบอนุโมทนาสาธุการ ท่านราชบัณฑิต คุรุปราชญ์ ศาสตราจารย์พิเศษ เสฐียรพงษ์วรรณปกค่ะ<o></o>
    อนุโมทนาท่านเจ้าของกระทู้ คุณ Aprin ที่ได้นำเสนอแต่สิ่งดีงาม <o></o>
    ขอท่านทั้งสองเจริญทางโลกและธรรมยิ่งๆ ขึ้นไป
    อ่านแล้ว ปิติล้นใจ
    ! อยากให้ทุก ๆ ท่านได้ร่วมศึกษากันจังเลย<o></o>
     
  4. aprin

    aprin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    7,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +22,514
    (๕) ผู้บวชเมื่อแก่มีคุณธรรมหาได้ยาก ๕ ประเภท อีกนัยหนึ่ง

    ๑. พระแก่ว่าง่าย หายาก

    ๒. พระแก่รับฟังโอวาทด้วยดี หายาก

    ๓. พระแก่ที่รับโอวาทโดยเคารพ หายาก

    ๔. พระแก่เป็นธรรมกถึก หายาก

    ๕. พระแก่เป็นผู้ทรงวินัย หายาก

    (๖) ภิกษุดุจนักรบ ๕ ประเภท

    ๑. ภิกษุเข้าไปบิณฑบาตไม่สำรวมเห็นมาตุคามเกิดกำหนัดไม่บอกคืนสิกขา เสพเมถุน กับมาตุคาม เหมือนนักรบตายในสนามรบ

    ๒. ภิกษุไม่สำรวมเห็นมาตุคามเกิดความกำหนัด เดินกลับวัดคิดบอกลาสิกขายังไม่ถึงวัด ก็ลาสิกขาเอง เหมือนนักรบถูกยิงบาดเจ็บ ถูกหามไปส่งญาติ แต่เสียชีวิตระหว่างทาง

    ๓. ภิกษุไม่สำรวมเห็นมาตุคามเกิดความกำหนัด กลับ วัดไปบอกลาสิกขา เพื่อนพรหมจรรย์กล่าวตักเตือน ไม่ยอมฟัง ลาสิกขาไป เหมือนนักรบถูกยิงบาดเจ็บเขาหามส่งญาติรักษา แต่เสียชีวิตในที่สุด

    ๔. ภิกษุไม่สำรวม เห็นมาตุคามเกิดความกำหนัด กลับมาลาสิกขา ถูกเพื่อนพรหมจรรย์ ตักเตือนได้สติ ตั้งใจประพฤติพรหมจรรย์ต่อไป เหมือนนักรบถูกยิงบาด เจ็บ เขาหามส่งญาติ และญาติได้รักษาจนหาย

    ๕. ภิกษุเข้าไปบิณฑบาต สำรวมอินทรีย์ กลับจากบิณฑบาตนั่งเข้าสมาธิได้ฌานและบรรลุความสิ้นกิเลสในที่สุด เหมือนนักรบเข้าสนามรบชนะสงคราม

    (๗) ประโยชน์ที่ควรถือเอาจากโภคทรัพย์ 5 อย่าง

    ๑. เลี้ยงบิดามารดา บุตร ภรรยา และคนในปกครองให้เป็นสุข

    ๒. บำรุงมิตรสหายและผู้ร่วมงานให้เป็นสุข

    ๓. ใช้ป้องกันอันตราย

    ๔. ทำพลี ๕ อย่าง (ญาติพลี, อติถิพลี, ปุพพเปต พลี, ราชพลี, เทวตาพลี)

    ๕. อุปถัมภ์บำรุงสมณพราหมณ์ผู้ปฏิบัติชอบ

    (๘) ภัยในอนาคตที่ภิกษุควรคำนึง ๕ ประการ

    ๑. ควรคำนึงว่าสักวันหนึ่งตนจะต้องแก่ คนแก่จะทำตามคำสอนพระพุทธเจ้า อยู่ในเสนาสนะอันสงัดทำมิได้ง่าย จึงควรพากเพียรเพื่อบรรลุผลที่ต้องการก่อนที่ความแก่จะมาถึง

    ๒. ควรคำนึงว่าสักวันหนึ่งจะต้องเจ็บ คนเจ็บจะทำตามคำสอนพระพุทธเจ้ามิใช่ของง่าย จึงควรพากเพียรเพื่อบรรลุผลที่ต้องการ ก่อนที่ความเจ็บจะมาถึง

    ๓. ควรคำนึงว่าสักวันหนึ่งคงบิณฑบาตเลี้ยงชีพลำบาก สมัยข้าวยากหมากแพงคนคงไปรวมกันอยู่ ณ ที่ใดที่หนึ่งอย่างพลุกพล่าน ซึ่งไม่สะดวกแก่การทำตามคำสอนพระพุทธเจ้า จึงควรพากเพียรเพื่อบรรลุผลที่ต้องการ ก่อนที่ทุพภิกขภัยจะมาถึง

    ๔. ควรคำนึงว่าสักวันหนึ่งมนุษย์คงมีภัย มนุษย์คงจะต้องหลั่งไหลไปในที่ที่ปลอดภัย ณ ที่นั้น ย่อมจะต้องมีการคลุกคลีกับหมู่คณะ ซึ่งยากที่จะทำตามคำสอนพระพุทธเจ้า จึงควรพากเพียรเพื่อบรรลุผลที่ต้องการ ก่อนที่ภัยจะมาถึง

    ๕. ควรคำนึงว่า สักวันหนึ่งสงฆ์คงแตกแยกกัน เวลาที่สงฆ์แตกแยกกัน เป็นการยากที่จะทำตามคำสอนพระพุทธองค์ จึงควรจะพากเพียรเพื่อบรรลุผลที่ต้องการก่อน ก่อนที่สงฆ์จะแตกกัน

    (๙) องค์แห่งพหูสูต ๕

    ๑. ฟังมาก หรือศึกษาเล่าเรียนมาก (พหุสฺสุตา)

    ๒. ทรงจำได้มาก (ธตา)

    ๓. ท่องจนคล่องปาก (วจสา ปริจิตา)

    ๔. เพ่งจนขึ้นใจ หรือใส่ใจนึกคิดพิจารณาจนเจนใจ (มนสานุเปกฺขิตา)

    ๕. แทงทะลุด้วยความเห็น คือความเข้าใจลึกซึ้ง (ทิฏฺฐิยา สุปฏิวิทฺธา)

    (๑๐) ธรรม ๕ อย่าง ทำให้เสขบุคคลเสื่อม

    ๑. ชอบทำงานก่อสร้าง (กมฺมารามตา)

    ๒. ชอบคุย (ภสฺสารามตา)

    ๓. ชอบนอน (นิทฺทารามตา)

    ๔. ชอบคลุกคลีด้วยหมู่คณะ (สงฺคณิการามตา)

    ๕. ไม่พิจารณาจิตตามที่หลุดพ้นแล้ว (ยถาวิมุตฺตํ จิตฺตํ น ปจฺจเวกฺขติ)

    (๑๑) พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมดุจราชสีห์จับสัตว์

    พระพุทธเจ้าตรัสสอนภิกษุทั้งหลายว่า "ราชสีห์เวลาออกหากิน เหลียวดูสี่ทิศบันลือสีหนาทเมื่อจับสัตว์ไม่ว่าใหญ่หรือเล็ก จะจับอย่างแม่นยำ ไม่พลาด ฉันใด ตถาคตก็เช่นเดียวกัน เวลาบันลือสีหนาทคือแสดงธรรม ไม่ว่าแสดงแก่ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ปุถุชน โดยที่สุดแม้คนขอทานหรือพรานนก ก็แสดงโดยเคารพ เพราะตถาคต เป็นผู้หนักในธรรม เคารพในธรรม"

    (๑๒) ธรรมเป็นเหตุให้อายุสั้น อายุยืน ๕ ประการ

    ๑. ไม่ทำความสบายแก่ตนเอง

    ๒. ไม่รู้จักประมาณในสิ่งที่สบาย

    ๓. บริโภคอาหารที่ย่อยยาก

    ๔. เป็นคนทุศีล

    ๕. คบมิตรชั่ว

    (เหตุทำให้อายุยืนพึงทราบโดยนัยตรงกันข้าม)

    (๑๓) ทุกข์ของสมณะ ๕ ประการ

    ๑. ไม่สันโดษในจีวรตามมีตามได้

    ๒. ไม่สันโดษด้วยบิณฑบาตตามมีตามได้

    ๓. ไม่สันโดษด้วยเสนาสนะตามมีตามได้

    ๔. ไม่สันโดษด้วยคิลานปัจจัยเภสัช (ยารักษาโรค) ตามมีตามได้

    ๕. ไม่ประพฤติพรหมจรรย์

    (๑๔) คนหลับน้อยตื่นมาก ๕ จำพวก

    ๑. สตรีผู้คิดถึงบุรุษ

    ๒. บุรุษผู้คิดถึงสตรี

    ๓. โจรผู้มุ่งลักทรัพย์

    ๔. พระราชาผู้ทรงบริหารราชกิจ

    ๕. ภิกษุผู้มุ่งบรรลุธรรมปราศจากกิเลส

    (๑๕) อานิสงส์การฟังธรรม ๕ ประการ

    ๑. ได้ฟังสิ่งที่ไม่เคยฟัง

    ๒. สิ่งที่เคยฟังแล้ว เข้าใจชัดเจนขึ้น

    ๓. บรรเทาความสงสัยได้

    ๔. ทำความเห็นให้ถูกต้อง

    ๕. จิตย่อมผ่องใส

    (๒๐) โทษ ๕ ประการของคนดุจป่าช้า

    ๑. มีกายกรรม วจีกรรม มโนกรรมไม่สะอาด ดุจป่าช้าที่สกปรก

    ๒. เสียชื่อ เพราะความชั่วนั้นดุจป่าช้าที่มีกลิ่นเหม็น

    ๓. ผู้มีศีลหลีกเขาห่างไกลเพราะกลัวภัย ดุจป่าช้าที่คนหลีกห่างไกล

    ๔. ผู้ทุศีลนั้นย่อมอยู่ร่วมกับคนทุศีลเช่นตน ดุจป่าช้าเป็นที่อยู่ของสัตว์ร้าย

    ๕. ผู้ทุศีลนั้นเป็นที่รำพึงรำพัน (ด้วยความสงสาร) ของผู้ทรงศีล ดุจป่าช้าเป็นที่รำพันทุกข์ของคนทั้งหลาย

    http://www.khaosod.co.th/view_news....ionid=TURNd013PT0=&day=TWpBd09TMHhNQzB5T1E9PQ
     
  5. aprin

    aprin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    7,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +22,514
    ๒.๖ ฉักกนิบาต ประชุมข้อธรรม ๖ ข้อ ขอยกมาแสดงพอเป็นตัวอย่าง ดังนี้

    (๑) คารวะ ๖

    ๑. เคารพในพระศาสดา (สัตถุคารวตา)

    ๒. เคารพในพระธรรม (ธัมมคารวตา)

    ๓. เคารพในพระสงฆ์ (สังฆคารวตา)

    ๔. เคารพในการศึกษา (สิกขาคารวตา)

    ๕. เคารพในความไม่ประมาท (อัปปมาทคารวตา)

    ๖. เคารพในการปฏิสันถาร (ปฏิสันถารคารวตา)

    (๒) สาราณียธรรม ๖

    ๑. ทำด้วยเมตตา (เมตตากายกรรม)

    ๒. พูดด้วยเมตตา (เมตตาวจีกรรม)

    ๓. คิดด้วยเมตตา (เมตตามโนกรรม)

    ๔. มีอะไรแบ่งกันกินกันใช้ (สาธารณโภคี)

    ๕. มีความประพฤติเข้ากันได้ (ลีลสามัญญตา)

    ๖. มีความคิดเห็นเข้ากันได้ (ทิฏฐิสามัญญตา)

    (๓) พระพุทธเจ้าตรัสว่า ผู้ที่หากินทางฆ่าสัตว์ตัดชีวิต เช่น ฆ่าปลา ฆ่าโคขายไม่เจริญด้วยโภคทรัพย์ ไม่ได้ครอบครองกองโภคสมบัติ ยิ่งผู้ที่ฆ่ามนุษย์ด้วยกัน ยิ่งจะหาความเจริญไม่ได้ ตายไปย่อมไปเกิดในอบาย ทุคติ วินิบาต นรก

    (๔) มูลเหตุแห่งการวิวาท ๖ ประการ

    ๑. มักโกรธ ผูกโกรธ

    ๒. ลบหลู่คุณท่าน ตีเสมอ

    ๓. ตระหนี่ริษยา

    ๔. โอ้อวด มารยา

    ๕. ปรารถนาลามก มีความเห็นผิด

    ๖. ยึดมั่นความคิดเห็นของตน

    (๕) พระพุทธเจ้าตรัสว่า คนทั่วไปเห็นสัตว์ใหญ่ เช่น ช้าง เป็นต้น ก็มักเรียกว่า "นาค" สำหรับพระองค์แล้ว ทรงเห็นว่าคนที่ไม่ทำความชั่วทาง กาย วาจา ใจ เท่านั้น จึงเรียกว่า "นาค"

    พระกาฬุทายี ผู้นั่งฟังพระพุทธดำรัสอยู่จึงกล่าวเสริมว่า "พระองค์ทรงเป็น" "นาค" (ช้าง) แท้จริง มีโสรัจจะและอวิหิงสาเป็นเท้าหน้า มีตบะและพรหมจรรย์เป็นเท้าหลัง มีศรัทธาเป็นงวง มีอุเบกขาเป็นงาขาวงาม มีสติเป็นคอ มีปัญญาเป็นเศียร มีการสอดส่องธรรมเป็นปลายงวง มีธรรมเผากิเลสเป็นท้อง มีวิเวกเป็นหาง มีความยินดีในฌานสมาบัติเป็นลมหายใจ "นาค" เช่นนี้ จะยืนมั่นคง นอนก็มั่นคง สำรวมในทวารทั้งปวง"

    (๖) ทุกข์ของชาวบ้านผู้บริโภคกาม ๖ อย่าง

    ๑. ความจน เป็นทุกข์ในโลก

    ๒. การกู้หนี้ยืมสิน เป็นทุกข์ในโลก

    ๓. การถูกทวงหนี้สิน เป็นทุกข์ในโลก

    ๔. การถูกตามตัว เป็นทุกข์ในโลก

    ๕. การถูกจองจำ เป็นทุกข์ในโลก

    (๗) ทุกข์ในความหมายทางธรรม ๖

    ๑. ผู้ไม่มีศรัทธา หิริ โอตตัปปะ วิริยะ ปัญญา คือคนจน

    ๒. ผู้นั้นทำความชั่วทางกาย วาจาใจ คือการกู้หนี้

    ๓. ทำชั่วแล้วนึกภาวนาขออย่าให้คนอื่นรู้ คือการเสีย ดอกเบี้ย

    ๔. ผู้มีศีลอื่นๆ กล่าวตำหนิการกระทำของเขา คือการถูกทวงหนี้

    ๕. ความชั่วความเดือดร้อนติดตัวเขาไปทุกหนทุกแห่ง คือการถูกตามตัว

    ๖. สิ้นชีพแล้วถูกจองจำในนรกบ้าง ในกำเนิดสัตว์เดรัจ ฉานบ้าง คือการถูกจองจำ

    (๘) ความต้องการไม่เหมือนกันของคน ๖ อย่าง

    ๑. กษัตริย์ต้องการความเป็นใหญ่ในแผ่นดิน (ปฐวีอภินิเวศอิสฺสริยปริโยสานา)

    ๒. พราหมณ์ต้องการเกิดในพรหมโลก (เข้าถึงพรหมัน) (พฺรหฺมโลกปริโยสานา)

    ๓. คฤหบดีต้องการความสำเร็จในธุรกิจการงาน (นิฏฺฐิตกมฺมนฺตปริโยสานา)

    ๔. สตรีต้องการความเป็นใหญ่ในเรือนไม่มีสตรีอื่นร่วมสามี (ไม่ต้องการให้สามีมีภรรยาน้อย) (อสปตีภินิเวสอิสฺสริยปริโยสานา)

    ๕. โจรต้องการความมืดไม่มีใครเห็น (อนฺธการาภินิเวสอทสฺสนปริโยสานา)

    ๖. สมณะต้องการพระนิพพาน (นิพฺพานปริโยสานา)

    (๙) พลังของพระตถาคต ๖ ประการ

    ๑. ทรงรู้ฐานะและอฐานะ สิ่งที่เป็นไปได้และเป็นไปไม่ได้ (ฐานาฐานญาณ)

    ๒. ทรงรู้ผลแห่งการกระทำทั้งอดีต อนาคต และปัจจุบัน (กัมมวิปากญาณ)

    ๓. ทรงรู้ความเศร้าหมอง ผ่องแผ้ว การออกแห่งฌาน วิโมกข์ สมาธิ และสมาบัติ (ฌานาทิสังกิเลสสาทิญาณ)

    ๔. ทรงรู้ระลึกชาติได้ (ปุพเพนิวาสานุสติญาณ)

    ๕. ทรงได้ทิพยจักษุ (จุตูปปาตญาณ)

    ๖. ทรงทำให้แจ้งเจโตวิมุติ ปัญญาวิมุติไม่มีอาสวะ (อาสวักขยญาณ)

    ๒.๑๗ สัตตกนิบาต ประชุมข้อธรรม ๗ ข้อ ขอยกเป็นตัวอย่างดังต่อไปนี้

    ๑. อปริหานิยธรรม ๗ ของภิกษุ

    ๑. หมั่นประชุมกันเนืองนิตย์

    ๒. พร้อมเพรียงกันประชุม พร้อมเพรียงกันเลิกประชุม พร้อมเพรียงกันทำกิจสงฆ์

    ๓. ไม่บัญญัติสิ่งที่พระพุทธเจ้าไม่ทรงบัญญัติ ไม่ล้มล้างสิ่งที่ทรงบัญญัติไว้

    ๔. เคารพนับถือภิกษุผู้เป็นใหญ่ เป็นสังฆบิดร เป็นสังฆปริณายก รับฟังโอวาทของท่าน

    ๕. ยินดีในเสนาสนะป่า

    ๖. ไม่ลุอำนาจตัณหา (ความอยาก) ที่เกิดขึ้น

    ๗. ตั้งสติระลึกไว้ในใจว่า ขอให้เพื่อนพรหมจารีผู้ทรงศีล จงมาอยู่ด้วยกันอย่างผาสุก

    (๒) อปริหานิยธรรม ๗ ของภิกษุอีกนัยหนึ่ง

    ๑. ไม่เพลินการงาน

    ๒. ไม่เพลินการคุย

    ๓. ไม่เพลินการนอน

    ๔. ไม่เพลินการคลุกคลีหมู่คณะ

    ๕. ไม่ตกอยู่ในอำนาจความปรารถนาลามก

    ๖. ไม่มีมิตรชั่ว

    ๗. ไม่นิ่งนอนใจในระหว่างเพราะได้บรรลุคุณวิเศษเพียงขั้นต้นๆ

    http://www.khaosod.co.th/view_news....ionid=TURNd013PT0=&day=TWpBd09TMHhNQzB6TUE9PQ
     
  6. aprin

    aprin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    7,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +22,514
    (๓) กัลยาณมิตตธรรม ๗ ประการ

    ๑. น่ารัก (ปิโย)

    ๒. น่าเคารพ (ครุ)

    ๓. น่ายกย่อง มีคุณธรรมควรเอาอย่าง (ภาวนีโย)

    (๔.) รู้จักพูด (รู้จักชี้แจงให้เข้าใจ) (วตฺตา)

    ๕. อดทนต่อถ้อยคำ (รับฟังการปรึกษา ซักถามไม่เบื่อ) (วจนกฺขโม)

    ๖. กล่าวชี้แจงเรื่องต่างๆ ได้ลึกซึ้ง (คมฺภีรญฺจ กถํ กตฺตา)

    ๗. ไม่ชักจูงศิษย์ไปในทางเสื่อมเสีย (โน จฏฺฐาเน นิโยชเย)

    (๔) วิธีแก้ง่วง ๗ ประการ

    ๑. คิดถึงสัญญา คือ ทบทวนความทรงจำในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง

    ๒. พิจารณาความรู้ ได้แก่ ตรึกตรองวิชาความรู้ที่ได้เล่าเรียนมา

    ๓. สาธยายมนต์ คือ ท่องหนังสือดังๆ

    ๔. เอานิ้วยอนหู เอามือลูบตัวไปมา

    ๕. ลุกขึ้นยืน เอาน้ำล้างหน้าล้างตา เหลียวมองรอบทิศ

    ๖. เดินจงกรม คือ เดินกลับไปกลับมา

    ๗. สำเร็จสีหไสยาสน์ คือ นอนตะแคงขวา เอาเท้าเหลื่อมกัน ตั้งสติไว้ก่อนหลับ

    (๕) ภรรยา ๗ ประเภท

    ๑. ภรรยาเยี่ยงเพชฌฆาต (วธกาภริยา)

    ๒. ภรรยาเยี่ยงโจร (โจรีภริยา)

    ๓. ภรรยาเยี่ยงนาย (อยฺยาภริยา)

    ๔. ภรรยาเยี่ยงมารดา (มาตาภริยา)

    ๕. ภรรยาเยี่ยงน้องสาว (ภคินีภริยา)

    ๖. ภรรยาเยี่ยงเพื่อน (สขีภริยา)

    7. ภรรยาเยี่ยงนางทาสี (ทาสีภริยา)

    (๖) สัปปุริสธรรม ๗ ประการ

    ๑. รู้เหตุ (ธมฺมญฺญุตา)

    ๒. รู้ผล (อตฺถญฺญุตา)

    ๓. รู้ตน (อตฺตญฺญุตา)

    ๔. รู้ประมาณ (มตฺตญฺญุตา)

    ๕. รู้กาล (กาลญฺญุตา)

    ๖. รู้บริษัท (ปริสญฺญุตา)

    ๗. รู้บุคคล (ปุคฺคลญฺญุตา)

    (๗) พระพุทธเจ้าตรัสว่า

    "โดยล่วงไปแห่งกาลนานนับได้หลายร้อยปี หลายพันปี หลายแสนปี จะมีสมัยซึ่งฝนไม่ตก พืชต้นไม้ใบหญ้าจะเ******่ยวแห้งตายไม่มีเหลือ โดยล่วงไปแห่งกาลอันยาวนาน ก็จะถึงสมัยที่พระอาทิตย์ปรากฏขึ้น ๒ ดวง ๓ ดวง ๔ ดวง ๕ ดวง ๖ ดวง ๗ ดวง มหาปฐพีนี้และขุนเขาสิเนรุจะลุกไหม้มีเปลวไฟพุ่งขึ้นถึงพรหม"

    ๒.๘ อัฏฐกนิบาต ประชุมข้อธรรม ๘ ข้อ ขอยกมาพอเป็นตัวอย่างดังนี้

    (๑) อานิสงส์เมตตา ๘

    ๑. หลับเป็นสุข (สุขํ สุปติ)

    ๒. ตื่นก็เป็นสุข (สุขํ ปฏิพุชฺฌติ)

    ๓. ไม่ฝันร้าย (น ปาปิกํ สุปินํ ปสฺสติ)

    ๔. เป็นที่รักของมนุษย์ทั้งหลาย (มนุสฺสานํ ปิโย โหติ)

    ๕. เป็นที่รักของอมนุษย์ทั้งหลาย (อมนุสฺสานํ ปิโย โหติ)

    ๖. เทวดาพิทักษ์รักษา (เทวตา รกฺขนฺติ)

    ๗. ไฟ ยาพิษ ศัสตรา มิกล้ำกราย (นาสฺส อคฺคิ วา วิสํ วา สตฺถํ วา กมติ)

    ๘. ตายไปเกิดในพรหมโลก (พรฺหมฺโลกุปโค โหติ)

    (๒) คุณสมบัติของทูต ๘ ประการ

    ๑. รู้จักฟัง (โสตา)

    ๒. รู้จักทำให้ผู้อื่นฟัง (สาเวตา)

    ๓. เรียนรู้อยู่เสมอ (อุคฺคเหตา)

    ๔. มีความจำดี (ธาเรตา)

    ๕. รู้แจ่มแจ้ง (วิญฺญาตา)

    ๖. ให้ผู้อื่นรู้แจ่มแจ้ง (วิญฺญาเปตา)

    ๗. ฉลาดในประโยชน์และมิใช่ประโยชน์ (กุสโล สหิตาหิตสฺส)

    ๘. ไม่ชวนทะเลาะ (โน จ กลหการโก)

    ตรัสว่า พระสารีบุตรมีคุณสมบัติ ๘ ประการนี้

    (๓) ชาย-หญิง ผูกใจกันด้วยอาการ ๘ อย่าง

    ๑. ด้วยรูปร่าง (รูเปน)

    ๒. ด้วยการยิ้ม (หสิเตน)

    ๓. ด้วยคำพูด (ภณิเตน)

    ๔. ด้วยเพลงขับ (คีเตน)

    ๕. ด้วยการร้องไห้ (โรณฺเณน)

    ๖. ด้วยอากัปกิริยา (อากปฺเปน)

    ๗. ด้วยของกำนัล (วนภงฺเคน)

    ๘. ด้วยสัมผัส (ผสฺเสน)

    (๔) ความอัศจรรย์ของพระธรรมวินัยเปรียบกับมหาสมุทร ๘ ประการ

    ๑. ในพระธรรมวินัยนี้มีการศึกษา การปฏิบัติและการตรัสรู้ตั้งแต่เบื้องต้นจนลึกซึ้งตามลำดับ เปรียบเหมือนมหาสมุทร ค่อยลุ่ม ค่อยลาด ค่อยลึกลง ตามลำดับ

    ๒. เหล่าสาวกไม่ล่วงละเมิดข้อบัญญัติที่ตราไว้ แม้เพราะเหตุแห่งชีวิต เปรียบเหมือนมหาสมุทร มีลักษณะคงตัวไม่ล้นฝั่ง

    ๓. พระธรรมวินัยนี้ไม่เก็บคนทุศีลไว้ เปรียบเหมือนมหาสมุทรไม่เก็บซากศพไว้ มีแต่ซัดเข้าหาฝั่ง

    ๔. พระธรรมวินัยนี้เป็นที่รวมคนในวรรณะทั้ง ๔ ไม่ว่ามาจากวรรณะไหน ย่อมทิ้งชื่อโคตรเดิมหมด เหลือแต่ชื่อ "สมณศากยบุตร" เปรียบเหมือนมหาสมุทรเป็นที่ไหลมารวมแห่งแม่น้ำทั้งหลาย และเมื่อไหลมาถึงมหาสมุทรก็ละชื่อเดิมทั้งหมด

    ๕. แม้ภิกษุในธรรมวินัยนี้ล่วงลับไปมากต่อมาก ก็ไม่ปรากฏว่าพระธรรมวินัยนี้พร่องหรือล้น เปรียบเหมือนมหาสมุทรไม่ปรากฏพร่องหรือล้นฉะนั้น

    ๖. พระธรรมวินัยนี้มีรสเดียว คือ วิมุติเป็นรส เปรียบ เหมือนมหาสมุทรมีรสเค็มอย่างเดียว

    ๗. พระธรรมวินัยนี้ มีรัตนะมากมาย เช่น สติปัฏฐาน ๔ สัมมัปปธาน ๔ เป็นต้น เปรียบเหมือนมหาสมุทรมีรัตนะมากมาย เช่น มุกดา ไพฑูรย์ เป็นต้น

    ๘. พระธรรมวินัยนี้เป็นที่อาศัยอยูˆของคนสำคัญๆ เช่น พระโสดาบัน พระสกทาคามี เป็นต้น เปรียบเหมือนมหาสมุทรเป็นที่อาศัยของสัตว์ใหญ่ เช่น ปลาติมิติมิงคละ เป็นต้น

    http://www.khaosod.co.th/view_news....ionid=TURNd013PT0=&day=TWpBd09TMHhNUzB3TWc9PQ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 พฤศจิกายน 2009
  7. aprin

    aprin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    7,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +22,514
    (๕) คุณสมบัติของอุบาสก ๘ ประการ

    ๑. ตนมีศรัทธา ชักชวนให้ผู้อื่นมีศรัทธา

    ๒. ตนมีศีล ชักชวนให้ผู้อื่นมีศีล

    ๓. ตนมีจาคะ ชักชวนให้ผู้อื่นมีจาคะ

    ๔. ตนใคร่เพื่อเห็นพระภิกษุ ชักชวนให้ผู้อื่นใคร่เพื่อเห็นภิกษุ

    ๕. ตนทรงจำธรรม ชักชวนให้ผู้อื่นทรงจำธรรม

    ๖. ตนพิจารณาอรรถแห่งธรรมที่ฟัง ชักชวนให้คนอื่นให้พิจารณาอรรถแห่งธรรม

    ๗. ตนรู้ทั่วถึงธรรมที่พิจารณา ชักชวนผู้อื่นให้รู้ทั่วถึงธรรมที่พิจารณา

    ๘. ตนรู้แล้วปฏิบัติธรรมตามสมควรแก่ธรรม ชักชวนผู้อื่นให้ปฏิบัติธรรมตามสมควรแก่ธรรม

    (๖) พลัง ๘ ประการ

    ๑. ทารกมีการร้องไห้เป็นพลัง

    ๒. มาตุคาม (ผู้หญิง) มีความโกรธเป็นพลัง

    ๓. โจรมีอาวุธเป็นพลัง

    ๔. พระราชามีความเป็นใหญ่ (อำนาจ) เป็นพลัง

    ๕. คนพาลมีการเพ่งโทษคนอื่นเป็นพลัง

    ๖. บัณฑิตมีการเพ่งโทษตนเองเป็นพลัง

    ๗. ผู้คงแก่เรียนมีการพิจารณาเป็นพลัง

    ๘. สมณพราหมณ์มีขันติเป็นพลัง

    (๗) สัปปุริสทาน (การให้ทานอย่างสัตบุรุษ) ๘ ประการ

    ๑. ให้ของสะอาด (สุจึ เทติ)

    ๒. ให้ของประณีต (ปณีตํ เทติ)

    ๓. ให้เหมาะแก่กาล (กาเลน เทติ)

    ๔. ให้ของควร (กปฺปิยํ เทติ)

    ๕. ให้ด้วยวิจารณญาณ (วิเจยฺย เทติ)

    ๖. ให้เป็นประจำ (อภิณฺหํ เทติ)

    ๗. เมื่อให้จิตผ่องใส (ททํ จิตฺตํ ปสาเทติ)

    ๘. ให้แล้วเบิกบานใจ (ทตฺวา อตฺตมโน โหติ)

    (๘) ลักษณะตัดสินธรรมวินัย ๘ ประการ

    ๑. ธรรม (คำสอน) เหล่าใดเป็นไปเพื่อคลายกำหนัด (วิราคาย)

    ๒. เพื่อหมดเครื่องผูกรัด (วิสํโยคาย)

    ๓. เพื่อไม่พอกพูนกิเลส (อปจยาย)

    ๔. เพื่อความมักน้อย (อปฺปิจฺฉตาย)

    ๕. เพื่อความสันโดษ (สนฺตุฏฺฐิยา)

    ๖. เพื่อความสงัด (ปวิเวกาย)

    ๗. เพื่อปรารภความเพียร (วิริยารมฺภาย)

    ๘. เพื่อเป็นคนเลี้ยงง่าย (สุภรตาย)

    คำสอนเหล่านั้นพึงรู้ว่าเป็นธรรม เป็นวินัย เป็นสัตถุสาสน์

    (๙) พระนามของพระตถาคต

    พระพุทธเจ้าตรัสว่า คำเหล่านี้ก็เป็นพระนามของพระตถาคต คือ สมณ (ผู้สงบ) พราหมณ์ (ผู้ลอยบาป) เวทคู (ผู้จบพระเวท) ภิสักกะ (หมอ) นิมมล (บริสุทธิ์) วิมละ (บริสุทธิ์) ญาณี (ผู้ทรงญาณ) วิมุตตะ (ผู้พ้นแล้ว)

    (๑๐) โจรมีพฤติกรรม ๘ ประการ อยู่ได้ไม่นาน

    ๑. ทำร้ายผู้มิได้ทำร้าย (อปหรนฺตสฺส ปหรติ)

    ๒. ขโมยของไม่เหลือ (อนวเสสํ อาทิยติ)

    ๓. ฉุดคร่าสตรี (อิตฺถึ หรติ)

    ๔. ข่มขืนหญิงสาว (กุมารึ ทูเสติ)

    ๕. ปล้นนักบวช (ปพฺพชิตํ วิลุมฺปติ)

    ๖. ปล้นพระคลังหลวง (ราชโกสํ วิลุมฺปติ)

    ๗. หากินใกล้ถิ่นตนเกินไป (อจฺจาสนฺเน กโรติ)

    ๘. ไม่รู้จักที่ซ่อนทรัพย์สิน (น จ นิธานกุสโล โหติ)

    ๒.๙ นวกนิบาต ประชุมข้อธรรม ๙ ข้อ ขอยกมาแสดงพอเป็นตัวอย่าง ดังนี้

    (๑) สอุปาทิเสสบุคคล ๙ ประเภท

    ๑. อันตราปรินิพพายี (พระอนาคามีผู้มีศีล สมาธิบริบูรณ์ มีปัญญาพอประมาณ ละโอมรัมภาคิยสังโยชน์ ๕ ได้)

    ๒. อุปหัจจปรินิพพายี (พระอนาคามีผู้มีศีล สมาธิบริบูรณ์ มีปัญญาพอประมาณ ละโอรัมภาคิยสังโยชน์ ๕ ได้)

    ๓. อสังขารปรินิพพายี (พระอนาคามีผู้มีศีล สมาธิสมบูรณ์ มีปัญญาพอประมาณ ละโอรัมภาคิยสังโยชน์ ๕ ได้)

    ๔. สสังขารปรินิพพายี (พระอนาคามีผู้มีศีล สมาธิบริบูรณ์ มีปัญญาพอประมาณ ละโอรัมภาคิยสังโยชน์ ๕ ได้)

    ๕. อุทธังโสโตอกนิฏฐคามี (พระอนาคามีผู้มีศีล สมาธิบริบูรณ์ มีปัญญาพอประมาณ ละโอรัมภาคิยสังโยชน์ ๕ ได้)

    ๖. พระสกทาคามี (ผู้ศีลบริบูรณ์ มีสมาธิและปัญญาพอประมาณ มีราคะ โทสะ โมหะเบาบาง)

    ๗. เอกพีซี (พระโสดาบันผู้มีศีลบริบูรณ์ มีสมาธิและปัญญาพอประมาณ ละสังโยชน์ ๓ ได้ จักเกิดอีกครั้งเดียวก็จักบรรลุอรหัต)

    ๘. โกลังโกละ (พระโสดาบันผู้มีศีลบริบูรณ์ มีสมาธิและปัญญาพอประมาณ ละสังโยชน์ ๓ ได้ เกิดอีก ๒-๓ ครั้ง ก็จักบรรลุอรหัต)

    ๙. สัตตักขัตตุปรมะ (พระโสดาบันผู้มีศีลบริบูรณ์ มีสมาธิและปัญญาพอประมาณ ละสังโยชน์ ๓ ได้ เกิดอีกอย่างมาก ๗ ครั้งก็จักบรรลุอรหัต)

    (๒) สิ่งที่มีรากเหง้ามาจากตัณหา (ตัณหามูลธรรม) ๙ ประการ

    ๑. มีตัณหา (ความยาก)

    ๒. เมื่อแสวงหาก็ได้มา (ลาภะ)

    ๓. เมื่อได้มาแล้วก็ได้มีการกะกำหนด (วินิจฉัย)

    ๔. เมื่อมีการกะกำหนด ก็มีความรักใคร่พอใจ (ฉันทราคะ)

    ๕. เมื่อมีความรักใคร่พอใจ ก็มีความฝังใจ (อัชโฌสานะ)

    ๖. เมื่อมีความฝังใจ ก็มีความหวงแหน (ปริคคหะ)

    ๗. เมื่อมีความหวงแหน ก็มีความตระหนี่ (มัจฉริยะ)

    ๘. เมื่อมีความตระหนี่ ก็มีความปกป้อง (อารักขา)

    ๙. เมื่อมีการปกป้อง ก็มีการถือไม้, มีด, การทะเลาะ, แก่งแย่ง, ขึ้น*********กู, ส่อเสียด, มุสาวาท อกุศลธรรมทั้งหลายก็เกิดมีขึ้น

    (๓) พราหมณ์ผู้ถือลัทธิโลกายัต ๒ คน ไปทูลถามพระพุทธเจ้า เจ้าลัทธิชื่อ ปูรณะกัสสปะ กับเจ้าลัทธิชื่อ นิครนถ์นาฏบุตร ต่างก็อ้างว่าตนเป็นสัพพัญญู (รู้สิ่งทั้งปวง) เป็นสัพพทัสสาวี (เห็นสิ่งทั้งปวง) รู้เห็นโลกไม่มีที่สิ้นสุด ด้วยญาณไม่มีที่สุด ทั้งสองท่านนี้ใครพูดเท็จใครพูดจริง

    พระพุทธเจ้าตรัสว่า ใครจะพูดเท็จใครจะพูดจริงชั่งเถอะ เราจะแสดงให้ท่านฟังดีกว่า

    "บุรุษ ๔ คน มีฝีเท้าเร็วอย่างยิ่ง ออกวิ่งหาที่สุดโลกไม่พักเลย แม้มีอายุถึง ๑๐๐ ปีก็จะตายเสียก่อนถึงที่สุดโลก ในอริยวินัย คำว่า "โลก" หมายถึงกามคุณ ๕ คือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ อันน่าใคร่ น่าปรารถนา น่าพอใจ เป็นที่รัก ยั่วยวนให้กำหนัด ภิกษุผู้สงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรม ได้รูปฌาน ๔ อรูปฌาน ๔ และสัญญาเวทยิตนิโรธ สิ้นอาสวะ ภิกษุนี้แหละจึงจะเรียกว่าถึงที่สุดโลก"


    http://www.khaosod.co.th/view_news....ionid=TURNd013PT0=&day=TWpBd09TMHhNUzB3TXc9PQ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 พฤศจิกายน 2009
  8. aprin

    aprin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    7,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +22,514
    ๒.๑๐ ทสกนิบาต ประชุมข้อธรรม ๑๐ ข้อ ขอยกมาเป็นตัวอย่างดังต่อไปนี้

    (1) นาถกรณธรรม (ธรรมที่สร้างที่พึ่งแก่ตน) ๑๐ อย่าง

    ๑. ความประพฤติดีงาม (ศีล)

    ๒. มีการศึกษาเล่าเรียนมาก (พาหุสัจจะ)

    ๓. คบเพื่อนที่ดี (กัลยาณมิตตตา)

    ๔. เป็นคนว่าง่าย ฟังเหตุฟังผล (โสวจัสสตา)

    ๕. เอาใจใส่ขวนขวายในกิจการน้อยใหญ่ของหมู่คณะ (กึกรณีเยสุ ทักขตา)

    ๖. ใฝ่ในธรรม (ธัมมกามตา)

    ๗. ขยันหมั่นเพียร (วิริยารัมภะ)

    ๘. สันโดษ ภูมิใจในผลสำเร็จที่เกิดจากความพยายาม (สันตุฏฐี)

    ๙. สติ ระลึกการที่ทำคำที่พูด ไม่ประมาท (สติ)

    ๑๐. ปัญญา มีเหตุมีผล รู้จักคิดพิจารณา (ปัญญา)

    นาถกรณธรรม เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า พาหุการธรรม (ธรรมมีอุปการะหรือมีประโยชน์มาก) บ้าง สาราณียธรรมบ้าง

    (๒) ตถาคตพลญาณ ๑๐ ประการ

    ๑. ปรีชาหยั่งรู้สิ่งที่เป็นไปได้และเป็นไปไม่ได้ (ฐานาฐานญาณ)

    ๒. ปรีชาหยั่งรู้ผลแห่งการกระทำทั้งอดีตและ ปัจจุบัน (กัมมวิปากญาณ)

    ๓. ปรีชาหยั่งรู้ข้อปฏิบัติที่จะนำไปสู่คติทั้งปวง (สัพพัตถคามินีปฏิปทาญาณ)

    ๔. ปรีชาหยั่งรู้สภาวะของโลกอันประกอบด้วยธาตุต่างๆ (นานาธาตุญาณ)

    ๕. ปรีชาหยั่งรู้ความโน้มเอียงและความถนัดแห่งบุคคล (นานาธิมุตติกญาณ)

    ๖. ปรีชาหยั่งรู้ความยิ่งหรือหย่อนแห่งอินทรีย์ของสัตว์ทั้งปวง (อินทริยปโรปริยัตตญาณ)

    ๗. ปรีชาหยั่งรู้ความเศร้าหมองความผ่องแผ้ว การออกแห่งฌาน สมาธิ และสมาบัติ (ฌานาทิสังกิเลสาทิญาณ)

    ๘. ปรีชาหยั่งรู้ชาติหนหลังได้ (ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ)

    ๙. ปรีชาหยั่งรู้จุติและอุบัติของสัตว์ทั้งหลาย (จุตูปปาตญาณ)

    ๑๐. ปรีชาหยั่งรู้ความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย (อาสวักขยญาณ)

    บางแห่งเรียก "ทศพลญาณ" โปรดเทียบกับพลังของพระตถาคต ๖ ในฉักนิบาต

    (๓) พระเจ้าปเสนทิโกศล ทรงมีความนอบน้อมต่อพระพุทธเจ้าเป็นอย่างยิ่ง

    เมื่อเข้าเฝ้าพระพุทธองค์ จะทรงก้มลงจุมพิตพระยุคลบาท เมื่อพระพุทธองค์ตรัสถามว่าทำไมมหาบพิตรจึงทรงแสดงความนอบน้อมต่อตถาคตอย่างยิ่ง ได้กราบทูลว่า เพราะพระองค์ทรงประกอบด้วยคุณธรรม ๑๐ ประการ คือ

    ๑. ทรงปฏิบัติเพื่อประโยชน์สุขแก่ชนหมู่มาก ทรงประดิษฐานชนหมู่มากไว้ในกัลยาณธรรม ในกุศลธรรม

    ๒. ทรงศีล

    ๓. ทรงถือการอยู่ป่าเป็นวัตร เสพเสนาสนะอันสงัด

    ๔. ทรงสันโดษด้วยปัจจัย ๔ ตามมีตามได้

    ๕. ทรงเป็นผู้ควรของคำนับ ควรของต้อนรับ ควรของทำบุญ ควรทำอัญชลี เป็นเนื้อนาบุญอันประเสริฐของโลก

    ๖. ทรงมีถ้อยคำขัดเกลากิเลส

    ๗. ทรงได้ฌาน ๔ ตามปรารถนา

    ๘. ทรงระลึกชาติได้

    ๙. ทรงมีทิพยจักษุ

    ๑๐. ทรงทำให้แจ้งเจโตวิมุติ ปัญญาวิมุติ อันไม่มี อาสวะ โปรดเทียบกับข้อความในโกศลสังยุตต์ด้วย

    (๔) วัตถุประสงค์ที่ทรงบัญญัติพระวินัย ๑๐ ประการ

    ๑. เพื่อความเรียบร้อยดีงามแห่งสงฆ์ (สงฺฆสุฏฺฐุตาย)

    ๒. เพื่อความผาสุกแห่งสงฆ์ (สงฺฆผาสุตาย)

    ๓. เพื่อกำจัดคนหน้าด้าน (ทุมฺมงฺกูนํ ปุคฺคลานํ นิคฺค หาย)

    ๔. เพื่อความผาสุกแห่งภิกษุผู้มีศีลอันดีงาม (เปสลานํ ภิกฺขูนํ ผาสุวิหาราย)

    ๕. เพื่อปิดกั้นอาสวะทั้งหลายอันจะบังเกิดในปัจจุบัน (ทิฏฺฐธมฺมิกานํ อาสวานํ สํวราย)

    ๖. เพื่อบำบัดอาสวะทั้งหลายอันจะบังเกิดในอนาคต (สมฺปรายิกานํ อาสวานํ ปฏิฆาตาย)

    ๗. เพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส (อปฺปสนฺนานํ ปสาทาย)

    ๘. เพื่อให้ชุมชนที่เลื่อมใสแล้วเลื่อมใสยิ่งขึ้น (ปสนฺนานํ ภิยฺโยภาวาย)

    ๙. เพื่อความตั้งมั่นแห่งพระสัทธรรม (สทฺธมฺมฏฺฐิติยา)

    ๑๐. เพื่อสนับสนุนความมีระเบียบวินัย (วินยา นุคฺคหาย)

    ข้อ ๑ และ ๒ เพื่อประโยชน์แก่สงฆ์หรือส่วนรวม

    ข้อ ๓ และ ๔ เพื่อประโยชน์แก่บุคคล

    ข้อ ๕ และ ๖ เพื่อประโยชน์แก่ความบริสุทธิ์แห่งชีวิตทั้งทางกายและใจ

    ข้อ ๗ และ ๘ เพื่อประโยชน์แก่ประชาชน

    ข้อ ๙ และ ๑๐ เพื่อประโยชน์แก่ตัวพระศาสนาเอง

    (๕) พระพุทธเจ้าตรัสสอนอุบาสกชาวสักกชนบท ว่า ผู้มีรายได้วันละ ๒ กหาปณะจนถึง ๑,๐๐๐ กหาปณะ เก็บทรัพย์ที่ได้มานั้น ก็จะมีทรัพย์มากมาย ควรกล่าวว่ามีความฉลาดมีความขยัน แต่ถึงแม้เขาจะมีอายุถึง ๑๐๐ ปี เขาจะได้เสวยสุขโดยส่วนเดียว สักวันหนึ่ง คืนหนึ่งหรือครึ่งวัน ก็ยังไม่แน่ แต่สาวกของพระองค์ไม่ประมาทบำเพ็ญเพียร อย่าว่าแต่ ๑๐ ปีเลย เพียงหนึ่งคืน หนึ่งวัน ก็สามารถเสวยสุขเป็นร้อยปี เป็นหมื่นปี เป็นแสนปีได้ และได้เป็นพระโสดาบัน สกทาคามี อนาคามี

    http://www.khaosod.co.th/view_news....ionid=TURNd013PT0=&day=TWpBd09TMHhNUzB3TkE9PQ
     
  9. aprin

    aprin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    7,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +22,514
    ๓.๒ กตัญญุตา และกตเวทิตา (หรือที่เรียกกันทั่วไปว่า กตัญญูกตเวที) เป็นที่ทราบกันโดยทั่วไปว่าเป็นเครื่องหมายของคนดี ดังพระวจนะว่า นิมิตฺตํ สาธุรูปานํ กตญฺญูกตเวทิตา (เป็นพระนิพนธ์ของสมเด็จพระมหาสมณเจ้าฯ มิใช่พุทธดำรัส แต่ถือว่าเป็นพระพุทธพจน์) นัยในพระบาลีจริงๆ เรียกคุณธรรม ๒ ข้อนี้ว่าเป็น "ภูมิ" หรือพื้นของคนดี (ภูมิ เว สปฺปุริสานํ กตญฺญู กตเวทิตา) ถ้าปราศจากคุณธรรมทั้ง ๒ นี้จะเป็นคนดีไปไม่ได้ พระพุทธศาสนาเน้นในเรื่องนี้มาก

    ในแง่การประยุกต์ใช้นั้น ถ้าแปลกตัญญูว่าผู้รู้คุณของคนอื่นและสิ่งอื่นที่มีคุณต่อเรา ก็จะกว้างขึ้น จะช่วยให้คนเราเห็นคุณประโยชน์และมีคุณต่อมนุษย์ ไม่ใช่เฉพาะคนเท่านั้น หากรวมถึงสัตว์และทรัพยากรธรรมชาติอีกด้วย

    ๓.๓ พระสูตรที่มีชื่อและเป็นที่รู้จักกันดี ในแวดวงผู้ศึกษาพระพุทธศาสนาสูตรหนึ่งคือเกสปุตติยสูตร (กาลามสูตร) มีบันทึกไว้ในติกนิบาต อังคุตตรนิกาย พระไตรปิฎกเล่ม ๑๐ ข้อ ๕๐๕ พระสูตรนี้นอกจากจะให้หลักกว้างๆ ว่า ชาวพุทธที่ดีต้องใช้วิจารณญาณอย่างรอบคอบเสียก่อน จึงเชื่อในเรื่องใดเรื่องหนึ่งแล้ว ยังบอกมาตรฐานการตัดสินความดี (กุศล) ความชั่ว (อกุศล) อีกด้วย สาระของกาลามสูตรมิใช่อยู่ที่จะต้องเชื่อหรือไม่เชื่ออะไร แต่อยู่ที่ควรจะเชื่อหรือไม่เชื่ออย่างไรมากกว่า เป็นการให้บทบาทแก่ปัญญาทำหน้าที่ของมันอย่างเต็มที่

    ๓.๔ อีกสูตรหนึ่งที่น่าสนใจ คือ โรณสูตร มีข้อความสั้นๆ แต่กินใจคือ "ภิกษุทั้งหลาย การขับร้องคือการร้องไห้ในวินัยของอริยเจ้า การฟ้อนรำคือการเป็นบ้าในวินัยของพระอริยเจ้า การหัวเราะจนเห็นฟันเต็มปาก คือ ความเป็นเด็กในวินัยของพระอริยเจ้า เพราะฉะนั้น จึงควรเลิกเด็ดขาดซึ่งการขับร้อง ฟ้อนรำ เมื่อมีความเบิกบานในธรรม ก็เพียงแต่ยิ้มแย้มก็พอ"

    พระสูตรนี้เตือนสติคนสองระดับคือระดับชาวบ้าน ก็เตือนสติว่าอย่าได้หลงระเริงสนุกสนานในการฟ้อนรำขับร้องจนเกินไป "รำที่ไหน ขับร้องที่ไหนไปที่นั่น ดีดสีตีเป่าที่ไหนไปที่นั่น เสภาที่ไหนไปที่นั่น เพลงที่ไหนไปที่นั่นเถิด เถิดเทิงที่ไหนไปที่นั่น ท่านว่าเป็นอบายมุข เพราะสิ่งที่ชาวโลกเขาเรียกว่าความสุข ความสนุกสนานนั้น ในสายตาของพระอริยเจ้าแล้วก็คืออาการเยี่ยงทารกไร้เดียงสา เดี๋ยวก็หัวเราะ เดี๋ยวก็ร้องไห้ หรือกิริยาอาการของคนบ้านั่นเอง

    สำหรับพระสงฆ์ผู้ปฏิญาณตนงดเว้นอากัปกิริยาของชาวบ้านหมดแล้ว ถ้ายังประพฤติเช่นชาวบ้านอยู่ ก็ไม่สมควรเป็นอย่างยิ่ง พระสูตรนี้จึงเตือนบรรพชิตทั้งหลาย ให้รู้จักสำรวมปฏิบัติตนให้เป็นที่เจริญศรัทธาปสาทะของประชาชน อย่าได้ทำให้พระศาสนาเต็มไปด้วย "การร้องไห้หรือหัวเราะบ้าคลั่ง" เป็นที่สลดสังเวชแก่วิญญูชน

    ๓.๕ ข้อที่ควรสังเกตในอังคุตตรนิกายอย่างหนึ่งคือ การประมวลหลักธรรมเรื่องเดียวกัน บางครั้งจำนวนองค์ประกอบเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จึงไม่เท่ากัน ในการนำออกไปใช้หรือปฏิบัติ จะเอาหมวดไหนก็คงจะได้ เพราะองค์ประกอบที่เพิ่มเข้ามาก็ลงรอยกัน หรือเสริมให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น

    ยกตัวอย่างเช่น คุณสมบัติของอุบาสกมี ๗ ก็มี ๘ ก็มี ตถาคตพลญาณมี ๖ ก็มี ๑๐ ก็มี อานิสงส์เมตตา ๘ ก็มี ๑๑ ก็มี เป็นต้น

    ๓.๖ มารดา เป็นบุคคลผู้มีบุญคุณสูงสุดของมนุษย์ เป็นที่เคารพสูงสุด ในบาลีบางแห่งกล่าวว่า มารดาบิดามีฐานะเป็นพรหมของบุตร เป็นบุรพาจารย์เท่านั้น ในอังคุตตรนิกายได้ระบุฐานะสำคัญอีกอย่างหนึ่ง คือ เป็น "อาหุไนย" ของบุตรด้วย คำว่าอาหุไนย เป็นชื่อของพระอริยบุคคลโดยสูงสุดหมายเอาพระอรหันต์ เพราะฉะนั้น ถ้าจะกล่าวว่ามารดาบิดาก็คือ "พระอรหันต์ของบุตร" ก็ไม่เป็นการกล่าวผิดประการใด ในยุคสมัย "อรหันตนิยม" อย่างปัจจุบัน คนที่ชอบเดินทางไปไหว้ (ผู้ที่ตนคิดว่าเป็น) อรหันต์ตามที่ต่างๆ ก็เป็นการเจริญศรัทธาปสาทะดีอยู่ แต่ถ้าจะสนใจไหว้ "พระอรหันต์ในบ้าน" ก่อน ก็จะเป็นการดียิ่งขึ้น

    ๓.๗ อังคุตตรนิกาย ในแง่คิดธรรมมากมาย รวมถึงความรู้รอบตัวที่น่าสนใจอีกด้วย เช่น ทูตที่ดีต้องมีคุณสมบัติอย่างไร นักการค้าที่ดีต้องมีคุณสมบัติอะไรบ้าง ทำอย่างไรจึงอายุยืน แม้กระทั่งโจรที่หากินไม่ยืดเพราะอะไร

    ๓.๘ วิธีอธิบายธรรม ใช้อุปมาอุปไมย ทำให้เข้าใจชัดเจนขึ้น เช่น

    - เปรียบพระบำเพ็ญศีล สมาธิ ปัญญา เหมือนชาวบ้านปรับพื้นที่นา หว่านกล้า และไขน้ำ

    - เปรียบสามีภรรยา คนหนึ่งดีอีกคนหนึ่งไม่ดี เหมือนศพอยู่กับเทพ (หรือผีกับเทวดา) ถ้าดีสองคนก็เหมือนเทพอยู่กับเทพ ถ้าเลวทั้งคู่เหมือนผีอยู่กับผี

    - เปรียบคนดีกับคนชั่วอยู่ห่างไกลกันเหมือนฟ้ากับดิน ฝั่งนี้กับฝั่งโน้น พระอาทิตย์ขึ้นกับพระอาทิตย์ตก

    - เปรียบคนล้มเหลวทั้งทางโลกและทางธรรมเหมือนคนตาบอด คนประสบความสำเร็จทางการดำรงชีวิตแต่ไร้ศีลเหมือนคนตาเดียว คนที่สมบูรณ์ทั้งสองด้านเหมือนคนสองตา

    - เปรียบคนดีแต่พูด แต่ไม่ทำ เหมือนฟ้าร้องฝนไม่ตก คนทำด้วยพูดด้วย เหมือนฟ้าร้องฝนตกด้วย

    - เปรียบการฝึกคนเหมือนการฝึกม้า ใช้ทั้งวิธีละมุนละม่อม และวิธีรุนแรง

    - เปรียบคนโกรธง่ายหายเร็วเหมือนรอยขีดบนดิน คนโกรธง่ายหายช้าเหมือนรอยขีดบนแผ่นหิน คนไม่มักโกรธเหมือนรอยขีดในน้ำ

    - เปรียบผู้นำมีคุณธรรมและปราศจากคุณธรรม เหมือนโคจ่าฝูงพาลูกฝูงข้ามน้ำไปตรงหรือคด

    - เปรียบคนไม่มีคุณธรรมเหมือนคนจน คนทำชั่วเหมือนการกู้หนี้ คนทำชั่วแล้วปกปิดไว้เหมือนการเสียดอกเบี้ย คนทำชั่วถูกนินทาตำหนิเหมือนถูกทวงหนี้ คนทำชั่วได้รับความร้อนใจเหมือนถูกตามตัว คนทำชั่วได้ผลกรรม เหมือนคนเป็นหนี้ถูกฟ้องร้องและตัดสินจำคุก

    ๓.๙ คำว่า "โลก" ในอังคุตตรนิกายนี้ให้ความหมายไว้ ๒ นัย คือ นัยหนึ่งบอกว่า โลกคือร่างกายยาววาหนาคืบ "ทรงบัญญัติโลก การเกิดแห่งโลก การดับโลกและทางให้ถึงความดับโลกที่ร่างกายยาววาหนาคืบ" อีกแห่งหนึ่งบอกว่า โลก หมายถึงกามคุณทั้ง ๕ แต่เมื่อเพ่งโดยความหมายแล้วไม่แตกต่างกัน

    ๓.๑๐ ในติกนิบาตอังคุตตรนิกาย ข้อ ๕๑๗ พูดถึงปัจจัยที่ทำให้เกิดใหม่ ๓ ประการ คือ กรรม วิญญาณ ตัณหา กรรมเปรียบเหมือนที่นา วิญญาณเปรียบเหมือนพืช ตัณหาเปรียบเหมือนยางเหนียวในพืช ทั้ง ๓ อย่างนี้รวมเป็นองค์ประกอบอันเดียวกัน เรียกว่า "คันธัพพะ" ซึ่งจะต้องมีองค์ประกอบทางรูปธรรมอีก ๒ รวมเป็น ๓ องค์ประกอบ คือ

    - มารดาบิดาร่วมกัน

    - มารดามีไข่สุกพร้อมที่จะผสม

    - คันธัพพะ (ปฏิสนธิวิญญาณ, กรรม, ตัณหา) ปรากฏพร้อม

    โปรดดู อินทกสูตร สัง.ส.๑๕/๘๐๑-๘๐๓ ประกอบ

    ๓.๑๑ เคล็ดลับของการเป็นปราชญ์ หรือสูตรแห่งการเรียนรู้ที่ทำให้คนเป็นพหูสูตมี ๕ อย่าง (ต้องผ่านขั้นตอนทั้ง ๕ ตามลำดับ จึงจะเรียกพหูสูต) คือ

    - ฟังมาก (รวมถึงการอ่านมาก รวบรวมข้อมูลได้มาก)

    - จำมาก (จำหลักการใหญ่ๆ ได้)

    - คล่องปาก (ท่องจนคล่องไม่ลืมไม่หลง)

    - เจนใจ (คิดจนเกิดภาพขึ้นในใจ)

    - ขบได้ด้วยทฤษฎี (นำข้อมูลต่างๆ ที่ได้ศึกษามาคิดพิจารณาได้ข้อสรุปเป็นของตน หรือสร้างแนวคิดใหม่ๆ ขึ้นมา สามารถประยุกต์ใช้อย่างได้ผลดี) การเรียนที่ไม่ค่อยได้ผล ก็เพราะทำไม่ครบกระบวนการ ไม่ครบขั้นตอนทั้ง ๕ ข้างต้น

    http://www.khaosod.co.th/view_news....ionid=TURNd013PT0=&day=TWpBd09TMHhNUzB3Tmc9PQ
     
  10. aprin

    aprin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    7,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +22,514
    ๑.โครงสร้างขุททกนิกาย

    ขุททกนิกาย

    ขุททกปาฐะ ธรรมบท อุทาน อิติวุตตกะ สุตตนิบาต วิมานวัตถุ เปตวัตถุ เถรคาถา เถรีคา (๒๕) คา (๒๖)

    ชาดก (๒๗-๒๘) นิเทศ (๒๙-๓๐) ปฏิสัมภิทามรรค (๓๑)

    อปทาน พุทธวังสะ พุทธวังสะ จริยาปิฎก (๓๒-๓๓)

    ๒.เนื้อหาสาระ

    ๒.๑ ขุททกปาฐะ ว่าด้วยบทสำหรับสวด ซึ่งแต่งเป็นพระสูตรสั้นๆ แบ่งออกเป็น ๙ ส่วนคือ

    (๑) สรณคมนะ กล่าวถึงบทสวดถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ว่าเป็นที่พึ่งที่ระลึก ๓ ครั้ง

    (๒) ทสสิกขาบท ว่าด้วยสิกขาบท หรือศีลของสามเณร ๑๐ ข้อ

    (๓) อาการ ๓๒ คือ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก เยื่อในกระดูก ม้าม หัวใจ ตับ พังผืด ไต ปอด ไส้ใหญ่ ไส้เล็ก อาหารใหม่ อาหารเก่า ดี เสลด หนอง เลือด เหงื่อ มันข้น น้ำตา เปลวมัน น้ำลาย น้ำมูก ไขข้อ มูตร มันสมอง

    (๔) ปัญหาของสามเณร ๑๐ ข้อ ถามว่าอะไร ชื่อ หนึ่ง สอง สาม...จนถึง สิบ คำตอบมีซ้ำกับทสกนิบาตอังคุตตรนิกาย คือ ๑ ข้อ ได้แก่ สัตว์ทั้งปวงอยู่ได้ด้วยอาหาร ๒ ข้อ ได้แก่ นามกับรูป ๓ ข้อ ได้แก่ เวทนา ๓ ๔ ข้อ ได้แก่ อริยสัจ ๔ ๕ ข้อ ได้แก่อุปาทานขันธ์ ๕ ๖ ข้อ ได้แก่ อายตนะภายใน ๖ ๗ ข้อ ได้แก่ โพชฌงค์ ๗ ๘ ข้อ ได้แก่มรรคมี ๘ ๙ ข้อ ได้แก่ สัตตาวาส ๙ ๑๐ ข้อ ได้แก่ พระอรหันต์ประกอบด้วยองค์ ๑๐ <TABLE cellSpacing=5 cellPadding=1 width="20%" align=right border=0><TBODY><TR bgColor=#400040><TD>[​IMG]

    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    (๕) มงคลสูตร พระพุทธเจ้าตรัสตอบปัญหาเทวดาว่า คุณธรรมที่ทำให้ชีวิตประสบความเจริญ หรือ "มงคลชีวิต" มี 38 ประการ มีการไม่คบคนพาล คบบัณฑิต บูชาคนที่ควรบูชา เป็นต้น

    (๖) รตนสูตร เป็นบทสวดมนต์พรรณนาคุณของพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์ แล้วอ้างสัจวาจาว่าด้วยการกล่าวความจริงดังกล่าวข้างต้นขอให้สวัสดิมงคลจงเกิดมี

    (๗) ติโรกุฑฑกัณฑ์ เป็นเรื่องพรรณนาถึง "เปรต" (ผู้ล่วงลับไปแล้ว) ว่าญาติพี่น้องอุทิศส่วนกุศลไปให้ ย่อมสำเร็จแก่ผู้ล่วงลับเหล่านั้นโดยสมควรแก่ฐานะ

    (๘) นิธิกัณฑ์ ว่าด้วยขุมทรัพย์ ขุมทรัพย์ภายนอก เช่น เงินทองที่บุคคลฝังไว้ในดิน อาจถูกคนขุดไป หรือดินเลื่อนเคลื่อนที่ หรือฝังไว้แล้วลืมที่ฝัง เมื่อสิ้นบุญทรัพย์เหล่านั้นก็พินาศสูญหายไป ส่วนทรัพย์ภายในคือบุญ ไม่มีใครช่วงชิงไปได้ เป็นของติดตัวผู้กระทำไปเสมอ

    (๙) กรณียเมตตสูตร พรรณนาถึงการแผ่เมตตาไปยังสรรพสัตว์ทั้งหลายโดยไม่เจาะจงขอให้มีความสุขปราศจากเวรภัยโดยทั่วกัน

    ๒.๒ ธัมมปทคาถา หรือธรรมบท เป็นการประมวลบทกวีบรรยายธรรม มีข้อความลึกซึ้งกินใจ ภาษากวีไพเราะ เข้าใจง่าย และข้อธรรมก็สามารถนำไปปฏิบัติได้ในชีวิตประจำวัน มีทั้งหมด ๔๒๓ คาถา แบ่งเป็น ๒๖ วรรค เพื่อประโยชน์แก่การศึกษา ขอคัดมาลงไว้ ณ ที่นี้เพียงบางส่วน (ผู้ปรารถนาจะทราบโดยละเอียด โปรดอ่าน "พุทธวจนะในธรรมบท" แปลพากย์ไทยและอังกฤษโดยผู้บรรยาย)

    (๑) ใจเป็นผู้นำทุกสิ่งทุกอย่าง ใจเป็นใหญ่ ทุกอย่างสำเร็จได้ด้วยใจ ถ้าเรามีใจบริสุทธิ์ การพูดการทำก็พลอยบริสุทธิ์ไปด้วย เพราะการพูดการทำอันบริสุทธิ์นั้น ความสุขย่อมตามสนองเขาเหมือนเงาติดตามตน

    (๒) แต่ไหนแต่ไรในโลกนี้ เวรย่อมไม่ระงับด้วยการจองเวร แต่ระงับด้วยการไม่จองเวรนี้เป็นกฎตายตัว

    (๓) สามัญชนมักนึกไม่ถึงว่า ตนกำลังฉิบหายเพราะการทะเลาะวิวาทกัน ส่วนผู้ที่รู้ข้อเท็จจริงนี้ย่อมไม่ทะเลาะกัน

    (๔) ผู้ใดเห็นสิ่งไร้สาระว่าเป็นสาระ เห็นสิ่งเป็นสาระว่าไร้สาระ เขามีความคิดผิดเสียแล้วย่อมไม่ประสบสิ่งที่เป็นสาระ

    (๕) คนที่ท่องจำตำราไว้มาก แต่มัวประมาทเสีย ไม่ปฏิบัติตามคำสอน ย่อมไม่ได้รับผลที่พึงได้จากการออกบวช เหมือนเด็กเลี้ยงโคนับโคให้คนอื่นเขา

    (๖) ความไม่ประมาทเป็นทางแห่งความไม่ตาย ความประมาทเป็นทางแห่งความตาย ผู้ไม่ประมาทไม่มีวันตาย ผู้ประมาทถึงมีชีวิตอยู่ก็เหมือนคนตายแล้ว

    (๗) ยศย่อมเจริญแก่คนขยัน มีสติ มีการงานสะอาด ทำงานด้วยความรอบคอบ ระมัดระวัง เป็นอยู่โดยชอบธรรม ไม่ประมาท

    (๘) ผู้มีปัญญามักไม่ประมาท เมื่อคนส่วนมากพากันประมาท และตื่นเมื่อคนส่วนมากพากันหลับอยู่ เขาจะละทิ้งคนเหล่านั้นไปไกล เหมือนม้าฝีเท้าเร็ววิ่งเลยม้ากระจอก

    (๙) จิตดิ้นรนกลับกลอก ป้องกันยาก ห้ามยาก คนมีปัญญาสามารถทำให้ตรงได้เหมือนช่างศรคัดลูกศร

    (๑๐) อีกไม่นานร่างกายนี้จักปราศจากวิญญาณ ถูกทอดทิ้งทับถมแผ่นดิน เหมือนท่อนไม้อันหาประโยชน์มิได้

    (๑๑) มารดาก็ทำให้ไม่ได้ บิดาก็ทำให้ไม่ได้ ญาติพี่น้องก็ทำให้ไม่ได้ แต่จิตที่ฝึกฝนไว้ชอบย่อมทำสิ่งนั้นให้ได้ และทำให้ได้อย่างประเสริฐด้วย

    (๑๒) ภมรดอมดมบุปผชาติที่หอมหวล และมีสีสดสวย ไม่ให้ชอกช้ำ ดูดรสหวานแล้วบินจากไป มุนีเจ้าก็พึงเที่ยวไปในบ้านดุจเดียวกัน

    http://www.khaosod.co.th/view_news....ionid=TURNd013PT0=&day=TWpBd09TMHhNUzB3T1E9PQ
     
  11. aprin

    aprin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    7,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +22,514
    (๑๓) ไม่ควรแส่หาความผิดของผู้อื่น หรือธุระที่เขาทำแล้วหรือยังไม่ทำ ควรตรวจดูแต่สิ่งที่ตนทำแล้ว หรือยังไม่ทำเท่านั้น

    (๑๔) ราตรีนานสำหรับคนนอนไม่หลับ ระยะทางโยชน์หนึ่งไกลสำหรับคนเมื่อยล้า สังสารวัฏยาวนานสำหรับคนพาล ผู้ไม่รู้พระสัทธรรม

    (๑๕) คนโง่มัวคิดวุ่นวายว่าเรามีบุตร เรามีทรัพย์ ก็เมื่อตัวเขาเองก็มิใช่ของเขา บุตรและทรัพย์จะเป็นของเขาได้อย่างไร

    (๑๖) คนโง่รู้ตัวว่าโง่ยังพอมีทางฉลาดได้บ้าง แต่โง่แล้วอวดฉลาดนั้นแหละเรียกว่าโง่แท้

    (๑๗) คนพาลได้ความรู้มาเพื่อทำลายตนถ่ายเดียว ความรู้นั้นทำลายคุณความดีของเขาสิ้นทำให้มันสมองเขาตกต่ำไป

    (๑๘) ทางหนึ่งแสวงหาลาภ ทางหนึ่งไปนิพพาน รู้อย่างนี้แล้วภิกษุพุทธสาวกไม่ควรไยดีลาภสักการะ ควรอยู่อย่างสงบ

    (๑๙) ชาวนาไขน้ำเข้านา ช่างศรดัดลูกศร ช่างไม้ถากไม้ บัณฑิตฝึกตน

    (๒๐) ขุนเขาย่อมไม่สะเทือนเพราะแรงลมฉันใด บัณฑิตก็ไม่หวั่นไหวเพราะนินทา หรือสรรเสริญฉันนั้น

    (๒๑) ห้วงน้ำลึก ใส สะอาด สงบฉันใด บัณฑิตฟังธรรมแล้วย่อมมีจิตใจสงบฉันนั้น

    (๒๒) ผู้เดินถึงจุดหมายปลายทางแล้ว วิมุติหลุดพ้นโดยประการทั้งปวง หมดโศก หมดเครื่องผูกพันแล้ว ความร้อนใจก็หมดไป

    (๒๓) พระอรหันต์เป็นอิสระ เพราะรู้แจ้ง สงบระงับ และมีจิตใจมั่นคง ใจของท่านย่อมสงบ วาจาก็สงบ การกระทำทางกายก็สงบ

    (๒๔) ไม่ว่าจะเป็นบ้านหรือป่า ไม่ว่าที่ลุ่มหรือดอน พระอรหันต์ทั้งหลายอยู่ ณ ที่ใดที่นั่นเป็นที่รื่นรมย์

    (๒๕) บทกวีที่บรรยายธรรมบทเดียว ที่ทำให้ผู้ฟังได้รับความสงบ ประเสริฐกว่าบทกวีที่ท่องจำได้ตั้งพันโศลก แต่ไม่มีประโยชน์แม้แต่บทเดียว

    (๒๖) ชนะตนเองดีกว่าชนะข้าศึกเป็นพันๆ ในสงคราม คนเช่นนี้นับว่าเป็น "ยอดขุนพล" แท้

    (๒๗) ผู้มีศีล สมาธิ มีชีวิตอยู่วันเดียว ประเสริฐกว่าชีวิตตั้งร้อยปี ของผู้ทุศีล ไร้สมาธิ

    (๒๘) พึงเร่งทำความดีและป้องกันจิตจากความชั่ว เพราะถ้ากระทำความดีช้าไปจิตใจจะกลับยินดีในความชั่ว

    (๒๙) อย่าดูถูกความชั่วเล็กน้อยว่าจะไม่เผล็ดผล น้ำตกจากเวหาทีละหยาดๆ ยังเต็มตุ่มได้ คนพาลทำความชั่วทีละเล็กละน้อย ก็ย่อมเต็มด้วยความชั่วเช่นกัน

    (๓๐) เมื่อไม่มีแผล คนย่อมจับต้องยาพิษได้ ยาพิษไม่สามารถทำอันตรายได้ บาปก็ไม่มีแก่ผู้ไม่ทำบาปเช่นกัน

    (๓๑) ไม่ว่าบนท้องฟ้า ไม่ว่าท่ามกลางมหาสมุทร ไม่ว่าในหุบเขา ไม่มีแม้แต่ที่เดียวที่ผู้ทำกรรมชั่วอาศัยอยู่ จะหนีพ้นกรรมไปได้

    (๓๒) สัตว์ทั้งหลายกลัวโทษทัณฑ์ สัตว์ทั้งหลายรักชีวิตตนเอง เปรียบตนเองกับคนอื่นอย่างนี้แล้วก็ไม่ควรฆ่าหรือสั่งให้ฆ่าผู้อื่น

    (๓๓) ความแก่และความตายไล่ต้อนอายุสัตว์ทั้งหลายไป เหมือนเด็กเลี้ยงโคต้อนฝูงโคไปสู่ที่หากิน

    (๓๔) จะมัวร่าเริงสนุกสนานกันไปทำไม ในเมื่อโลกกำลังลุกเป็นไฟอยู่เนืองนิตย์ พวกเธอถูกความมืดมิดปิดบังอยู่ฉะนี้ ไยไม่แสวงหาแสงสว่างกันเล่า

    (๓๕) คนโง่ย่อมแก่เปล่า เหมือนโคถึกมากแต่เนื้อหนังมังสา แต่ปัญญาหาเพิ่มขึ้นไม่

    (๓๖) เมื่ออยู่ในวัยหนุ่มสาวไม่ทำตัวให้ดี และไม่หาทรัพย์ไว้ พอถึงวัยแก่เฒ่าพวกเขาย่อมนอนเป็นทุกข์ ทอดถอนใจรำพึงถึงความหลังเหมือนธนูหัก (ใช้ยิงอะไรก็ไม่ได้)

    (๓๗) สอนคนอื่นอย่างใดควรทำตนอย่างนั้น ฝึกตนเองได้แล้วค่อยฝึกคนอื่น เพราะตัวเองฝึกได้แสนยาก

    (๓๘) คนทุศีลก็เหมือนต้นไม้ที่เถาวัลย์ขึ้นจนรก เขาทำตัวเองให้วอดวาย มิจำต้องรอให้ศัตรูมาคอยกระทำให้

    (๓๙) สูเจ้าทั้งหลายจงมาดูโลกนี้ อันวิจิตรตระการตา ดังราชรถทรง ณ ที่นี้แหละเหล่าคนโง่พากันหมกอยู่ แต่ผู้รู้หาข้องอยู่ไม่

    (๔๐) โลกนี้มืดมน น้อยคนจักเห็นแจ้ง น้อยคนจักไปสวรรค์ เหมือนนกติดข่าย น้อยตัวจะหลุดรอดไปได้

    (๔๑) พระยาหงส์เหินฟ้าไปหาพระอาทิตย์ ผู้มีฤทธิ์เหาะเหินเดินอากาศ นักปราชญ์ออกไปจากโลกเพราะ เอาชนะมารพร้อมทั้งกองทัพ

    (๔๒) ถึงแม้เงินจะไหลมาดังห่าฝน ความอยากของคนก็หาอิ่มไม่ กามวิสัยมีความสุขน้อย มากไปด้วยทุกข์ รู้ดังนี้แล้วสาวกพระพุทธเจ้าย่อมไม่ยินดีกามารมณ์ แม้ที่เป็นทิพย์ หากแต่ยินดีในทางสิ้นกิเลสตัณหา

    (๔๓) บุรุษอาชาไนยหาได้ยาก เขาไม่เกิดในที่ทั่วไป คนฉลาดเช่นนั้นเกิดในตระกูลใดตระกูลนั้นย่อมรุ่งเรืองด้วยความสุข

    (๔๔) ผู้ชนะย่อมก่อเวร ผู้แพ้ย่อมเป็นทุกข์ ผู้ละได้ทั้งความชนะและความแพ้ มีจิตใจสงบ นั้นแหละเป็นสุข

    (๔๕) ความไม่มีโรคเป็นลาภอย่างยิ่ง ความรู้จักพอเป็นทรัพย์อย่างยิ่ง ความไว้วางใจกันเป็นญาติอย่างยิ่ง พระนิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง

    (๔๖) พยายามในสิ่งที่ไม่ควรพยายาม ไม่พยายามในสิ่งที่ควรพยายาม ละเลยสิ่งที่เป็นประโยชน์ คนเช่นนี้ก็ได้แต่ริษยาคนที่พยายามช่วยตนเอง

    (๔๗) อย่าติดในสิ่งที่รักหรือไม่รัก การพลัดพรากจากสิ่งที่รักเป็นทุกข์ การพบเห็นแต่สิ่งที่ไม่เป็นที่รักก็เป็นทุกข์

    (๔๘) ที่ใดมีรักที่นั่นมีโศก ที่ใดมีรักที่นั่นมีภัย เมื่อไม่มีความรักเสียแล้วโศกภัยก็ไม่มี

    (๔๙) ผู้ใดยับยั้งความโกรธที่เกิดขึ้นไว้ได้ เหมือนสารถีหยุดรถที่กำลังแล่น ผู้นั้นเราเรียกว่าสารถี ส่วนคนนอกนั้นได้ชื่อเพียงคนถือเชือก

    (๕๐) พึงเอาชนะความโกรธด้วยความไม่โกรธ เอาชนะความร้ายด้วยความดี เอาชนะคนตระหนี่ด้วยการให้ เอาชนะคนพูดพล่อยด้วยคำสัตย์

    (๕๑) อตุละเอย เรื่องนี้มีมานานแล้ว มิใช่เพิ่งจะมีในยุคปัจจุบัน อยู่เฉยๆ เขาก็นินทา พูดมากเขาก็นินทา พูดน้อยเขาก็นินทา ไม่มีใครในโลกที่ไม่ถูกนินทา ไม่ว่าอดีต ปัจจุบัน คนที่ถูกสรรเสริญหรือนินทาโดยส่วนเดียวไม่มี

    http://www.khaosod.co.th/view_news....ionid=TURNd013PT0=&day=TWpBd09TMHhNUzB4TUE9PQ
     
  12. aprin

    aprin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    7,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +22,514
    (๕๒) คนมีปัญญาควรขจัดมลทินของตนทีละน้อยๆ ทุกๆ ขณะโดยลำดับ เหมือนนายช่างทองปัดเป่าสนิมแร่ทอง

    (๕๓) จงรู้เถิดบุรุษผู้เจริญเอย ความชั่วร้ายมิใช่สิ่งที่พึงจะควบคุมได้ง่ายๆ ขอความโลภและความชั่วช้า อย่าได้ฉุดกระชากเธอไปหาความทุกข์ตลอดกาลนานเลย

    (๕๔) ไม่มีไฟใดเสมอไฟราคะ ไม่มีเคราะห์ใดเสมอโทสะ ไม่มีข่ายดักสัตว์ใดเสมอโมหะ ไม่มีแม่น้ำใดเสมอตัณหา

    (๕๕) โทษคนอื่นเห็นง่าย โทษของตนเห็นยาก คนเรามักเปิดเผยโทษคนอื่นเหมือนโปรยแกลบ ปิดบังโทษของตนเหมือนนักเลงเต๋าโกงซ่อนลูกเต๋า

    (๕๖) เพียงมีผมหงอกยังไม่นับว่าเถระ เขาแก่แต่วัยเท่านั้น คนเช่นนี้เรียกว่าแก่เปล่า

    (๕๗) พวกเธอจงพยายามทำความเพียรเสียแต่บัดนี้ ตถาคตเป็นเพียงผู้ชี้บอกทางเท่านั้น ผู้ที่เดินทางสายนี้ (อริยมรรคมีองค์แปด) โดยปฏิบัติภาวนา ก็จะพ้นจากบ่วงมาร

    (๕๘) ปัญญาเกิดเพราะการตั้งใจพินิจ เสื่อมไปเพราะไม่ตั้งใจพินิจ เมื่อรู้ทางเจริญและทางเสื่อมของปัญญาแล้ว ควรทำตนโดยวิถีทางที่ปัญญาจะเจริญ

    (๕๙) บุตรก็ป้องกันไม่ได้ บิดาหรือพวกพ้องก็ป้อง กันมิได้ คนเราเมื่อถึงคราวจะตาย หมู่ญาติก็ป้องกันไม่ได้

    (๖๐) ผู้ใดปรารถนาสุขเพื่อตน โดยการก่อทุกข์ให้คนอื่น ผู้นั้นมักเกี่ยวพันด้วยเวรไม่รู้จบสิ้น ไม่มีทางพ้นทางเวรไปได้

    (๖๑) การสละโลกีย์วิสัยออกบวชก็ยาก การยินดีในบรรพชาก็ยาก การครองเรือนเป็นทุกข์ การอยู่ร่วมกับคนไม่เสมอกันก็เป็นทุกข์ การท่องเที่ยวอยู่ในสังสารวัฏก็เป็นทุกข์ เพราะฉะนั้น ไม่ควรท่องเที่ยวในสังสารวัฏ และไม่ควรแส่หาทุกข์ใส่ตน

    (๖๒) คนดีย่อมปรากฏเด่นดุจขุนเขาหิมพานต์ คนไม่ดีถึงอยู่ใกล้ก็ไม่ปรากฏ เหมือนลูกศรที่เขายิงไปในราตรี

    (๖๓) สถานหนึ่งได้บาป สถานสองได้ภพชาติชั่วร้ายในอนาคต สถานสามทั้งคู่มีสุขชั่วแล่น แต่สะดุ้งใจเป็นนิตย์ สถานสี่พระราชาย่อมลงโทษอย่างหนัก เพราะฉะนั้นไม่ควรผิดภรรยาผู้อื่น

    (๖๔) ทำอะไรหละหลวม มีข้อปฏิบัติเศร้าหมอง ประพฤติพรหมจรรย์โดยไม่เต็มใจ ปฏิปทาเช่นนั้นไม่เป็นไปเพื่อผลอันไพศาล

    (๖๕) เราจักอดทนต่อคำส่อเสียดของคนอื่น เหมือนพระยาคชสารในสนามรบ ทนต่อลูกศรที่ปล่อยออกไปจากคันธนู เพราะว่าคนโดยมากมีสันดานชั่ว

    (๖๖) ม้าอัสดร ม้าอาชาไนย จากลุ่มสินธุหรือพระยากุญชรที่ได้รับการฝึกปรือ นับเป็นสัตว์ประเสริฐ แต่บุคคลผู้ฝึกตนแล้วย่อมประเสริฐกว่านั้น

    (๖๗) คนกินจุ สะลึมสะลือ กลิ้งเกลือกไปมาบนที่นอน เหมือนสุกรที่เขาขุนให้อ้วนด้วยเศษอาหาร เป็นคนโง่ทึ่ม ย่อมเกิดไม่รู้จบสิ้น

    (๖๘) มีเพื่อนตายก็เป็นสุข ยินดีเท่าที่ตนหามาได้ก็เป็นสุข ทำบุญไว้ถึงคราวจะตายก็เป็นสุข ละทุกข์หมดได้ก็เป็นสุข

    (๖๙) เราขอบอกแก่ท่านทั้งหลาย ขอท่านทั้งหลายผู้มาชุมนุมกัน ณ ที่นี้ จงมีความเจริญ ขอให้ท่านทั้งหลายขุดรากเหง้าตัณหา เหมือนถอนรากหญ้ารก อย่าปล่อยให้มารรังควานบ่อยๆ เหมือนกระแสน้ำพัดโค่นต้นอ้อ ฉะนั้น

    (๗๐) เหล่าสัตว์มีแต่โสมนัส ชุ่มชื้นด้วยรักเสน่หา ซาบซ่านในกามารมณ์ทั้งปวง พวกเขาใฝ่แสวงหาแต่ความสุขสันต์หรรษา ก็ต้องเกิดต้องแก่ร่ำไป

    (๗๑) ธรรมทานชนะการให้ทุกอย่าง รสพระธรรมชนะรสทั้งปวง ความยินดีในธรรมชนะความยินดีทุกอย่าง ความสิ้นตัณหาชนะทุกข์ทุกอย่าง

    (๗๒) จงปล่อยวางทั้งอดีต ปัจจุบัน และอนาคต ไปให้ถึงที่สุดภพ เมื่อใจหลุดพ้นจากทุกอย่างแล้ว พวกเธอจะไม่มาเกิด จะไม่มาแก่อีกต่อไป

    (๗๓) ผู้ไม่ยึดมั่นโดยประการทั้งปวงว่า "กู" "ของกู" ไม่ว่าในรูปหรือนาม เมื่อไม่มีก็ไม่เศร้าโศก เขาผู้นั้นแหละเรียกได้ว่าเป็นภิกษุ

    (๗๔) ภิกษุผู้อยู่ด้วยเมตตา เลื่อมใสในพระศาสนา พึงบรรลุสภาวะอันสงบเป็นสุขและระงับสังขารทั้งหลาย

    (๗๕) ภิกษุ เธอจงวิดน้ำออกจากเรือนี้ เมื่อวิดน้ำออกหมดแล้ว เรือจักแล่นเร็ว ทำลายราคะ โมหะ โทสะ เสียแล้ว เธอจักไปถึงนิพพาน

    (๗๖) ถึงจะเป็นภิกษุหนุ่มแต่อุทิศเพื่อพระพุทธศาสนา ท่านย่อมส่องโลกนี้ให้สว่างเหมือนพระจันทร์พ้นจากเมฆ

    (๗๗) พระอาทิตย์ สว่างกลางวัน พระจันทร์ สว่างกลางคืน นักรบ สง่างามเมื่อยามสวมเสื้อเกราะเตรียมรบ พราหมณ์สง่างามเมื่อเข้าฌาน พระพุทธเจ้าสง่างามทั้งกลางวันและกลางคืน

    ๒.๓ อุทาน ได้แก่ คาถาที่พระพุทธองค์ ทรงเปล่งด้วยโสมนัส มีทั้งหมด ๘๒ สูตร พุทธอุทานนี้มีปรากฏในที่อื่นด้วย เช่น ธรรมบท, สังยุตตนิกาย เป็นต้น ขอนำมาแสดงเพียงบางสูตร

    (๑) โพธิสูตร หลังจากตรัสรู้แล้ว พระพุทธเจ้าประทับเสวยวิมุติสุขอยู่ใต้ต้นโพธิ์ ๗ วัน ทรงพิจารณาปฏิจจ สมุปบาททั้งฝ่ายเกิดและฝ่ายดับ ทรงเปล่งพุทธอุทาน ๓ คราว ในยามทั้ง ๓ แห่งราตรี คือ

    ในปฐมยามทรงเปล่งอุทานว่า

    "ในกาลใด ธรรมทั้งหลายปรากฏแก่พราหมณ์ผู้เพียรเพ่งพินิจอยู่ในกาลนั้น

    ความสงสัยทั้งปวงของพราหมณ์นั้นย่อมสิ้นไป เพราะรู้ธรรมพร้อมทั้งเหตุ"

    ในมัชฌิมยามทรงเปล่งอุทานว่า

    "ในกาลใด ธรรมทั้งหลายปรากฏแก่พราหมณ์ผู้เพียรเพ่งพินิจอยู่

    ในกาลนั้น ความสงสัยทั้งปวงของพราหมณ์นั้นย่อมสิ้นไป

    เพราะได้รู้ความสิ้นไปแห่งปัจจัยทั้งหลาย"

    ในปัจฉิมยามทรงเปล่งอุทานว่า

    "ในการใด ธรรมทั้งหลายปรากฏแก่พราหมณ์ผู้เพียงเพ่งพินิจอยู่

    พราหมณ์นั้นย่อมกำจัดมารพร้อมทั้งเสนามารเสียได้

    เหมือนดวงอาทิตย์อุทัยขึ้น กำจัดความมืด ส่องสว่างอยู่ในอากาศ ฉะนั้น"

    http://www.khaosod.co.th/view_news....ionid=TURNd013PT0=&day=TWpBd09TMHhNUzB4TVE9PQ
     
  13. aprin

    aprin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    7,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +22,514
    (๒) พาหิยสูตร พาหิยะเดินเรือไปค้าขาย เรือแตก เกาะแผ่นกระดานลอยไปขึ้นที่ท่าสุปปาระ ชาวบ้านนึกว่าเป็นพระอรหันต์ (เพราะเธอนุ่งเปลือกไม้) จึงให้ข้าวและน้ำ ภายหลังมีผู้เตือนสติ พาหิยะรู้สึกตัวจึงเดินทางไปเฝ้าพระพุทธเจ้า พบพระองค์กำลังเสด็จบิณฑบาตอยู่ ทูลขอให้แสดงธรรมให้ฟัง พระองค์ตรัสว่าไม่ใช่เวลา พาหิยะรบเร้าให้แสดงจึงทรงแสดงธรรมสั้นๆ พาหิยะได้บรรลุอรหัตทันที และขอบวช พระองค์ตรัสให้เขาไปหาบาตรและจีวร ขณะที่เดินเที่ยวหาถูกแม่โคขวิดตาย พระพุทธองค์ตรัสว่า พาหิยะนิพพานแล้ว ได้ตรัสเปล่งพุทธอุทานว่า

    "ดิน น้ำ ลม ไฟ ไม่หยั่งลงในนิพพานธาตุใด นิพพานธาตุนั้น ดาวทั้งหลายย่อมไม่สว่างพระอาทิตย์ก็ไม่ปรากฏ พระจันทร์ก็ไม่ส่องสว่าง ความมืดก็ไม่มี เมื่อใดพราหมณ์ชื่อว่ามุนีเพราะรู้อริยสัจด้วยตน เมื่อนั้นพราหมณ์นั้นหลุดพ้นจากรูป อรูป จากสุขและทุกข์"

    (๓) มุจจลินทสูตร ในสัปดาห์ที่ ๖ หลังจากตรัสรู้ พระพุทธเจ้าประทับใต้ต้นจิก ฝนตกพรำตลอด ๗ วัน พญานาคชื่อมุจจลินท์มาแผ่พังพานป้องกันลมและฝนให้ เมื่อฝนหยุดแล้วได้แปลงเป็นมาณพยืนถวายเคารพอยู่ พระพุทธเจ้าทรงเปล่งอุทาน

    (๔) สุปปวาสาสูตร นางสุปปวาสาโกลิยธิดา พระมเหสีของพระเจ้าปเสนทิโกศลทรงตั้งครรภ์เป็นเวลานานไม่คลอดเสียที พระเจ้าปเสนทิโกศลไปเฝ้าพระพุทธเจ้าทรงกราบทูลถึงทุกขเวทนาที่นางได้รับ พระองค์ตรัสว่าขอให้สุปปวาสาจงมีสุขไร้โรค คลอดโอรสผู้มีสุขภาพสมบูรณ์เถิด ในขณะที่พระองค์ตรัสจบลง พระนางสุปปวาสาก็ประสูติพระโอรส ต่อมา พระนางได้นิมนต์พระพุทธเจ้าไปเสวยภัตตาหารในพระราชวังตลอดเจ็ดวัน พระพุทธองค์ตรัสถามว่า สุปปวาสา เธอต้องการบุตรเช่นนี้อีกหรือไม่ พระนางกราบทูลว่า บุตรอย่างนี้แม้จะมีอีก ๗ คน หม่อมฉันก็ยินดีพระพุทธองค์ทรงเปล่งอุทานในขณะนั้นว่า

    "สิ่งที่ไม่น่ายินดี ย่อมปรากฏแก่คนประมาท เหมือนสิ่งที่น่ายินดี

    สิ่งที่ไม่น่ารัก ย่อมปรากฏแก่คนประมาท เหมือนสิ่งน่ารัก

    ทุกข์ย่อมปรากฏแก่ผู้ประมาทเหมือนความสุข"

    (๕) นันทสูตรพระนันทะพุทธอนุชาถูกพระพุทธเจ้านำมาบวชหลังจากอภิเษกสมรสเพียงวันเดียว ไม่มีจิตใจประพฤติหรหมจรรย์ พระพุทธองค์จึงทรงให้คำมั่นแก่เธอว่า ถ้าเธอตั้งใจปฏิบัติตามที่ทรงแนะนำ ก็จักได้นางอัปสรที่สวยงามยิ่งกว่าชายา เธอจึงตั้งใจประพฤติพรหมจรรย์ต่อมาเพื่อนพรหมจรรย์ตำหนิว่าเธอรับจ้างประพฤติพรหมจรรย์ เกิดสังเวชใจตั้งใจบำเพ็ญเพียรทางจิต จนบรรลุอรหัต พระพุทธเจ้าทรงทราบเรื่องนั้น แล้วตรัสเปล่งอุทานว่า

    "ผู้ใดข้ามหล่มกามได้ ย่ำยีกามได้ บรรลุความสิ้นไปแห่งความหลง

    ผู้นั้นเป็นผู้เห็นภัย ย่อมไม่หวั่นไหวในสุขและทุกข์"

    (๖) ปิลินทวัจฉสูตร ภิกษุทั้งหลายทูลฟ้องพระพุทธเจ้าว่าพระปิลินทวัจฉะพูดไม่สุภาพโดยใช้คำว่า "ไอ้ถ่อย" เสมอ พระองค์ตรัสว่า ปิลินทวัจฉะเธอเคยเกิดเป็นพราหมณ์มาหลายร้อยชาติ วาทะเช่นนั้นเธอพูดจนติดปาก มาชาตินี้ก็ยังติดอยู่ แล้วทรงเปล่งอุทานว่า

    "มายา มานะ ไม่มีแก่ผู้ใด

    ผู้ใดหมดโลภแล้ว ไม่มีความยึดถือเป็นของเรา ไม่มีความหวัง

    บรรเทาความโกรธเสียได้ มีจิตเย็นสงบ ผู้นั้นชื่อว่าพราหมณ์ สมณะ และภิกษุ"

    (๗) สุนทรีสูตร พวกเดียรถีย์ฆ่านางสุนทรีแล้วเอาศพไปทิ้งไว้ใกล้พระเชตวันวิหาร แล้วกล่าวใส่ร้ายว่าสาวกของพระสมณะโคดมนางสุนทรี ประชาชนผู้ไร้จิตวิจารณญาณพากันโจษจันกันทั่วไป และด่าว่าพระสงฆ์ทั้งหลาย พระพุทธองค์ทรงทราบเรื่องเข้า ตรัสสั่งให้ภิกษุทั้งหลายกล่าวโต้ตอบผู้กล่าวหาว่า "ผู้พูดไม่จริงย่อมตกนรก ผู้ทำแล้วพูดว่าไม่ได้ทำตกนรกเช่นกัน คนสองประเภทนี้เลวทรามพอกัน ตายไปแล้วย่อมมีคติเสมอกันในภายภพหน้า" ครั้นล่วงไป ๗ วัน เสียงนินทาว่าร้ายพระสงฆ์เพราะความเข้าใจผิดก็หายไป พระพุทธองค์ทรงเปล่งอุทานว่า

    "ผู้ไม่สำรวมมักทิ่มแทงกันด้วยวาจา

    เหมือนทหารแทงช้างศึกของฝ่ายตรงข้ามในสงคราม

    ภิกษุผู้มีจิตใจไม่ประทุษร้าย ฟังคำหยาบคายของทรชนได้แล้ว พึงอดกลั้นไว้ให้ได้"

    (๘) ราชสูตร พระเจ้าปเสนทิโกศลตรัสถามนางมัลลิกา พระมเหสีว่ามีใครที่นางรักที่สุดนางทูลว่า ไม่มีใครนอกจากตนเอง ทรงผิดหวังที่นางไม่บอกว่ารักพระองค์ กราบทูลเรื่องที่สนทนากับพระมเหสีให้พระ พุทธองค์ทรงทราบ พระพุทธองค์ทรงเปล่งอุทานในทันใดนั้นว่า

    "เมื่อตรวจตราด้วยจิตไปทั่วทิศแล้ว ใครๆ ก็หาพบผู้ที่รักยิ่งกว่าตนไม่

    สัตว์ทั้งหลายรักตนมากเหมือนๆ กัน

    เพราะฉะนั้นผู้ที่รักตนจึงไม่ควรเบียดเบียนคนอื่น"

    (๙) กิรสูตรที่ ๑ ทรงปรารภพวกสมณพราหมณ์ต่างทุ่มเถียงกัน อ้างว่าความเห็นของตนเท่านั้นถูกต้อง ทรงเล่านิทานเรื่องตาบอดคลำช้างให้พระสาวกทั้งหลายฟังว่า ตาบอดที่คลำอวัยวะส่วนไหนของช้างก็เข้าใจว่าช้างเหมือนกับสิ่งที่ตนคิด เช่น คลำงวงก็เข้าใจว่าเหมือนงอนไถ เป็นต้น ผลที่สุดก็ทะเลาะกัน แล้วทรงเปล่งอุทานว่า

    "นัยว่าสมณพราหมณ์บางพวกติดอยู่ในทิฐิเหล่านั้น

    คนที่เห็นอะไรแง่เดียวย่อมทะเลาะกัน"

    (๑๐) วิสาขาสูตร นางวิสาขาเศร้าโศกเสียใจเพราะหลานตาย พระพุทธเจ้าตรัสสอนเธอว่า คนที่มีความรักร้อยก็ทุกข์ร้อย รักเก้าสิบก็ทุกข์เก้าสิบ...รักหนึ่งก็ทุกข์หนึ่ง ผู้ไม่มีรักนั่นแหละจึงจะไม่มีทุกข์ แล้วทรงเปล่งอุทานว่า

    "โศก ปริเทวนา และทุกข์มากมาย ย่อมมีในโลกนี้ เพราะอาศัยสิ่งเป็นที่รักเมื่อไม่มีสิ่งอันเป็นที่รักโศกเป็นต้น ก็ไม่มี ผู้ไม่มีสิ่งอันเป็นที่รักย่อมไม่ทุกข์

    ไม่มีโศก เพราะฉะนั้นผู้ไม่ต้องการโศกเศร้า ก็ไม่ควรรักสิ่งใด"


    http://www.khaosod.co.th/view_news....ionid=TURNd013PT0=&day=TWpBd09TMHhNUzB4TWc9PQ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 พฤศจิกายน 2009
  14. บุญญสิกขา

    บุญญสิกขา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,863
    ค่าพลัง:
    +14,471
    คุณ aprin ค่ะ
    สิ้นสุดสาระแล้ว จะจัดเป็น file แนบไว้ด้วยมั้ยค่ะ
     
  15. aprin

    aprin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    7,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +22,514

    ยังไม่ทราบเลยคะ คุณบุญญสิกขา

    PS. กระทู้ "ความงามของสตรี" เข้าไปหาอ่าน ไม่พบคะ
    ขอบคุณคุณบุญญสิกขานะคะ สำหรับคำแนะนำคะ
     
  16. aprin

    aprin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    7,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +22,514
    ๒.๔ อิติวุตตกะ เป็นเรื่อง "อ้างอิง" คือ การยกมากล่าวอ้างของพระสังคีติกาจารย์ผู้รวบรวม โดยไม่บอกว่าพระพุทธเจ้าทรงแสดงเรื่องเหล่านี้แก่ใคร ที่ไหน ชื่อของพระสูตรก็ไม่ปรากฏในพระไตรปิฎก ท่านผู้รวบรวมตั้งขึ้นเองตามเนื้อหาของบทธรรมนั้นๆ พระสูตรเหล่านี้ขึ้นต้นด้วยคำว่า "วุตฺตํ เหตํ ภควตา = พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ดังนี้" เหมือนกันหมด จึงเรียกว่า "อิติวุตตกะ" อิติวุตตกะ แบ่งเป็น ๔ นิบาต มีทั้งหมด ๑๑๒ สูตร ในที่นี้จะนำมาเฉพาะบางสูตรที่น่าสนใจ พอเป็นตัวอย่าง

    (๑) ปุคคลสูตร พระพุทธเจ้าตรัสว่า "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เรากำหนดรู้จิตของบุคคลบางคนผู้มีจิตใจขุ่นมัวในโลกนี้ด้วยจิต (ของเรา) ถ้าบุคคลนี้ทำกาละ ณ บัดนี้ เขาจะถูกกรรมของตนซัดไปนรก เพราะจิตของเขาขุ่นมัว ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เพราะเหตุแห่งจิตขุ่นมัวนี้แล สัตว์บางจำพวกในโลกนี้ เมื่อตายไปย่อมเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก"

    (๒) ภิกขุสูตร พระพุทธเจ้าตรัสว่า "ความไม่สำรวม อินทรีย์ และความไม่รู้ประมาณในโภชนะ สองอย่างนี้ทำให้ภิกษุอยู่เป็นทุกข์ มีความเดือดร้อน มีความคับแค้นเร่าร้อน ทั้งในปัจจุบันและอนาคต" แล้วตรัสสรุปว่า

    "ภิกษุใดไม่คุ้มครองทวารเหล่านี้คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ

    ไม่รู้จักประมาณในโภชนะ ไม่สำรวมอินทรีย์ทั้งหลาย

    ภิกษุเหล่านั้นย่อมได้รับทุกข์กายและทุกข์ใจ

    ถูกความทุกข์แผดเผา ทั้งกลางวันกลางคืน"

    (๓) ธัมมสูตร พระพุทธเจ้าตรัสว่า "สุกกธรรม ๒ ประการ คือ หิริ โอตตัปปะ รักษาโลกไว้ได้ ถ้าขาดสุกกธรรมทั้งสองนี้ สัตว์โลกก็จะไม่มีป้า น้า ภรรยาของอาจารย์ หรือภรรยาของครู โลกจักถึงการปะปน (สำส่อน) ไม่ต่างกับแพะ แกะ ไก่ สุกร สุนัขจิ้งจอก ภิกษุทั้งหลายเพราะเหตุยังมีสุกกธรรมทั้งสองนี้คุ้มครองโลกอยู่ จึงยังคงมีมารดา น้า ป้า ภรรยาของอาจารย์หรือภรรยาของครู"

    (๔) ธาตุสูตร พระพุทธเจ้าตรัสว่า นิพพานธาตุมี ๒ อย่าง คือ สอุปาทิเสสนิพพานธาตุ และ อนุปาทิเสสนิพพานธาตุ โดยอธิบายว่า "ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นพระอรหันต์ขีณาสพอยู่จบ พรหมจรรย์ ทำกิจที่ควรทำเสร็จแล้ว ปลงภาระลงแล้ว มีประโยชน์ตนอันบรรลุแล้ว มีสังโยชน์ในภพสิ้นแล้ว หลุดพ้นเพราะรู้ชอบ ภิกษุย่อมเสวยอารมณ์ที่พึงใจและไม่พึงใจ ยังเสวยสุขและทุกข์อยู่ เพราะอินทรีย์ทั้งห้าเหล่าใดยังไม่บุบสลาย อินทรีย์ทั้งห้าเหล่านั้นยังตั้งอยู่นั้นเทียว ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความสิ้นไปแห่งราคะ ความสิ้นไปแห่งโทสะ ความสิ้นไปแห่งโมหะของภิกษุนั้น นี้เราเรียกว่า สอุปาทิเสสนิพพานธาตุ ภิกษุในธรรมวินัยนี้เป็นพระอรหันต์ขีณาสพ..หลุดพ้นเพราะรู้ชอบเวทนาทั้งปวงในอัตภาพนี้แหละของภิกษุนั้น อันกิเลสตัณหา เป็นต้น ให้เพลิดเพลินมิได้แล้ว จักดับเย็น ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นี่เราเรียกว่า อนุปาทิเสสนิพพานธาตุ"

    (๕) สังฆาฏิสูตร พระพุทธเจ้าตรัสว่า ถึงภิกษุจะจับชายสังฆาฏิของพระองค์ เดินตามไปข้างหลัง ถ้าเธอมากด้วยความโลภจัด กำหนัดแรงกล้าในกาม มีจิตพยาบาท มีความคิดชั่วร้ายหลงลืมสติ จิตไม่ตั้งมั่น จิตหมุนไปผิด ไม่สำรวมอินทรีย์ ก็นับว่าอยู่ห่างพระองค์ แต่ถ้าภิกษุมีคุณสมบัติตรงข้ามจากที่กล่าวมา ถึงแม้เธอจะอยู่ห่างไกลพระองค์ตั้งร้อยโยชน์ ก็ชื่อว่าอยู่ใกล้พระองค์โดยแท้ เพราะเธอย่อมเห็นธรรม เมื่อเห็นธรรมก็ชื่อว่าเห็นพระพุทธองค์"

    (๖) พรหมสูตร พระองค์ตรัสว่า ตระกูลใดบูชาบิดามารดาในเรือนของตน ตระกูลนั้นชื่อว่ามีพระพรหม บุรพเทวดา บุรพาจารย์ อาหุไนยบุคคล (พระอรหันต์) คำว่าพรหม บุรพเทวดา บุรพาจารย์ อาหุไนยบุคคล เป็นชื่อเรียกบิดามารดา เพราะท่านทั้งสองเป็นผู้มีอุปการะมาก เป็นผู้ถนอมเลี้ยง เป็นผู้แสดงโลกนี้แก่บุตร

    ๒.๕ สุตตนิบาต ประชุมสูตรสั้นๆ เป็นคาถาล้วน (มีร้อยแก้วปนบ้างเล็กน้อย) มีทั้งหมด ๗0 สูตร แบ่งเป็น ๕ วรรค ดังต่อไปนี้

    ก. อุรควรรคที่ ๑

    (๑) อุรคสูตร พระสูตรเปรียบด้วยงู (ลอกคราบ) กล่าวถึงภิกษุผู้ละกิเลสชั่วร้ายต่างๆ ได้ เช่น ราคะ ตัณหา มานะ วิตก เป็นต้น ย่อมละฝั่งนี้ไปถึงฝั่งโน้น (พระนิพพาน) ได้เหมือนงูลอกคราบเก่าทิ้งไป ฉะนั้น

    (๒) ธนิยสูตร เป็นคำโต้ตอบระหว่างคนเลี้ยงโค ชื่อ ธนิยะกับพระพุทธเจ้า ถ้อยคำโต้ตอบ น่าสนใจ นายธนิยะมองโลกในแง่โลกียะ หรือคิดอย่างชาวโลก แต่พระพุทธองค์ทรงมองในแง่โลกุตตระ เช่น นายธนิยะเชิญให้ฝนตกลงมา เพราะตนได้ทำหน้าที่เสร็จแล้ว เช่น มุงหลังคาบ้านดีแล้ว นำเชื้อไฟมาเตรียมไว้แล้ว ฝนตกก็ไม่กลัว พระพุทธเจ้าตรัสว่า พระองค์ทรงเปิดหลังคาบ้านไว้แล้ว (ละกิเลส) ได้ ดับไฟแล้ว ฝนจะตกก็เชิญตกลงมาเถิด เป็นต้น

    (๓) ขัคควิสาณสูตร กล่าวถึงประโยชน์ของการเที่ยวไปคนเดียวของภิกษุเหมือนนอแรด (ซึ่งมีอันเดียว) ด้วยคาถาที่มีคำและความไพเราะกินใจ เช่น "คนที่วางอาชญาในสัตว์ทั้งปวงได้แล้ว เว้นการเบียด เบียนจะพึงปรารถนาบุตรและสหายแต่ที่ไหน พึงเที่ยวไปคนเดียวเหมือนนอแรด เมื่อมีความเกี่ยวข้องกัน ความเยื่อใยก็ย่อมมี ทุกข์ย่อมเกิดตามมา ผู้เล็งเห็นโทษ ควรเที่ยวไปคนเดียวเหมือนนอแรด"

    (๔) กสิภารทวาชสูตร ว่าด้วยพราหมณ์ชาวนา พราหมณ์กล่าวว่า "คนทั้งหลายเขาไถนาหว่านกัน พระพุทธองค์ทรงไถหว่านกับเขาหรือไม่ พระองค์ตรัสว่า พระองค์ก็ทรงไถและหว่านพืช เช่นกัน ศรัทธาเป็นพืช ความเพียรเป็นฝน ปัญญาเป็นแอกและไถ หิริเป็นงอนไถ ใจเป็นเชือก สติเป็นผาลสำหรับไถนา" เท่ากับบอกว่าวิธีการทำนาแบบนี้เป็น การทำนาแบบพุทธ นั่นเอง

    (๕) จุนทสูตร พระพุทธเจ้าตอบคำถามของนายจุนทะกัมมารบุตร เรื่องสมณะ ๔ ประเภท คือ มัคคชินะ (ผู้ชนะกิเลสได้ด้วยมรรค) มัคคเทสกะ (ผู้ชี้ทาง) มัคคชีวี (ผู้ดำรงอยู่ในมรรค คือ ผู้ปฏิบัติตามมรรค) มัคคทูสี (ผู้ทำลายมรรค คือ ไม่ปฏิบัติตามหลักอริยมรรค)

    (๖) ปราภวสูตร ทรงแสดงทางแห่งความเสื่อมไว้เป็นชุดๆ น่าศึกษาอย่างยิ่ง ทำนองเดียวกับทรงแสดงมงคลสูตร ทางแห่งความเสื่อมในสูตรนี้มี ๑๒ ประการ เช่น รู้ชั่ว ชังธรรม รักอสัตบุรุษ ไม่รักสัตบุรุษ มักหลับ ชอบคุย ขี้เกียจ มักโกรธ ไม่เลี้ยงดูบิดามารดา เย่อหยิ่งเพราะชาติ เป็นต้น

    http://www.khaosod.co.th/view_news....ionid=TURNd013PT0=&day=TWpBd09TMHhNUzB4TXc9PQ
     
  17. aprin

    aprin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    7,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +22,514
    (๗) วสลสูตร
    (๘) เมตตสูตร
    (๙) เหมวตสูตร
    (๑๐) อาฬวกสูตร </Bพระพุทธเจ้าทรงปราบอาฬวกยักษ์ดุร้ายลงแล้ว font ได้ตอบคำถามยักษ์ในเรื่องต่างๆ เช่น อะไรเป็นเครื่องปลื้มใจของคน (ตรัสตอบว่า ศรัทธา) อะไรที่คนประพฤติแล้วนำความสุขมาให้ (ธรรมะ) อะไรมีรสอร่อยกว่ารสทุกอย่าง ปราชญ์กล่าวชีวิตเช่นไร ว่าประเสริฐสุด (ชีวิตอยู่ด้วยปัญญา) คนจะได้รับเกียรติโดยวิธีใด (สัจจะ) จะผูกมิตรอย่างไร (การให้) เป็นต้น<>

    (๑๑) วิชยสูตร
    (๑๒) มุนิสูตร


    ข. จุฬวรรคที่ ๒</B< font>

    (๑๓) รตนสูตร
    (๑๔) อามคันธสูตร
    (๑๕) หิริสูตร
    (๑๖) มงคลสูตร
    (๑๗) สูจิโลมสูตร </Bสูจิโลมยักษ์ทูลถามปัญหาว่า font ราคะ โทสะ โมหะ ความยินดี ความไม่ยินดี ความกลัว ความตรึก เกิดจากอะไร พระพุทธเจ้าตรัสตอบว่า ทั้งหมดเกิดจากอัตภาพร่างกายนี้ทั้งนั้น ผู้ใดรู้และบรรเทาได้ผู้นั้นข้ามโอฆสงสารได้<>

    (๑๘) ธัมมจริยสูตร
    (๑๙) พราหมณธัมมิกสูตร </Bทรงแสดงธรรมแก่พราหมณ์มหาศาลหลายคน font ชาวเมืองโกศลที่ไปสนทนากับพระองค์ ชี้แจงประเพณี ค่านิยม และธรรมะของพวกพราหมณ์ที่มีมาแต่โบราณนั้นดี ทำให้สังคมพราหมณ์มีความสงบร่มเย็น แต่ต่อมาความโลภได้ครอบงำจิตใจ พวกพราหมณ์จึงบัญญัติมหายัญ 5 อย่าง มีการฆ่าสัตว์บูชายัญ เป็นต้น ทำให้สังคมมีการเบียดเบียนกันทั่วไป ความเสื่อมก็มีมา<>

    (๒๐) นาวาสูตร
    (๒๑) กิงสีลสูตร
    (๒๒) อุฏฐานสูตร </Bสอนให้ขยัน font ลุกขึ้นหมั่นศึกษาเพื่อสันติ มิให้มัวนอนหลับ ประมาทปล่อยโอกาสให้ล่วงเลยไปเปล่า<>

    (๒๓) ราหุลสูตร
    (๒๔) วังคีสสูตร
    (๒๕) สัมมาปริพพาชนียสูตร
    (๒๖) ธัมมิกสูตร ตรัสแก่ธัมมิกอุบาสก อุบาสกทูลถามว่า บรรพชิตและคฤหัสถ์ทำอย่างไรจึงจะเป็นผู้ยังประโยชน์ให้สำเร็จ พระองค์ตรัสว่า บรรพชิตต้องเสพอิริยาบถอันสมควรแก่บรรพชิต (คือ ยืน เดิน นั่ง นอน ให้เหมาะสมแก่เพศบรรพชิต) เที่ยวบิณฑบาตในกาล กล่าวธรรมอันประณีต ไม่พึงกล่าววาจาส่อเสียด อันเป็นเหตุให้ชวนทะเลาะ เป็นต้น ส่วนคฤหัสถ์ต้องมีศีล ๘ ครบถ้วน


    http://www.khaosod.co.th/view_news....ionid=TURNd013PT0=&day=TWpBd09TMHhNUzB4Tmc9PQ
     
  18. aprin

    aprin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    7,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +22,514
    ค. มหาวรรคที่ ๓

    (๒๗) ปัพพัชชาสูตร สูตรนี้พระอานนท์เป็นผู้กล่าวเป็นคาถา พรรณนาการเสด็จออกผนวชของพระพุทธเจ้า จนถึงตอนเสด็จผ่านไปยังเมืองราชคฤห์ พระเจ้าพิมพิสารทอดพระเนตรเห็นทรงสนพระทัย เสด็จเข้าไปสนทนาด้วย แล้วทูลอาราธนาให้เสวยราชย์ด้วยกัน

    (๒๘) ปธานสูตร พระพุทธเจ้าเมื่อยังไม่ได้ตรัสรู้ ทรงบำเพ็ญใกล้แม่น้ำเนรัญชรา พญามารมาพูดเกลี้ยกล่อมให้เลิกความเพียร พระองค์ตรัสตอบว่า พระองค์ยอมตายดีกว่าจะยอมแพ้แก่กิเลส พญามารเสียใจที่ไม่สามารถเอาชนะพระองค์ได้

    (๒๙) สุภาสิตสูตร ว่าด้วยสุภาษิตต้องประกอบด้วยองค์ ๔ คือ พูดดี, พูดเป็นธรรม, พูดเป็นที่รัก, พูดจริง

    (๓๐) สุนทริกสูตร พราหมณ์สุนทริกภารทวาชะ ทูลถามว่า พระองค์เป็นชาติอะไร พระองค์ตรัสว่า อย่าถามถึงชาติเลย จงถามถึงความประพฤติเถิด ไฟไม่ว่าเกิดจากไม้ชนิดไหนก็มีเปลวเหมือนกัน คนเกิดในตระกูลต่ำ แต่มีปัญญา มีหิริ กีดกันจิตจากความชั่ว มีวิจารณญาณ ก็เป็นคนดีได้

    (๓๑) มาฆสูตร มาฆมาณพทูลถามว่าผู้ต้องการบุญควรบูชายัญอย่างไร พระองค์ตรัสแนะให้ทำบุญแก่ผู้ที่มีคุณสมบัติที่ดีงาม เช่น ละสังโยชน์ได้

    (๓๒) สภิยสูตร สภิยมาณพไปถามปัญหากับครูทั้ง ๖ ไม่พอใจในคำตอบ จึงไปทูลถามพระพุทธเจ้าถึงคุณสมบัติของภิกษุว่ามีอะไรบ้าง พระองค์ทรงอธิบายให้ฟัง เช่น ผู้ที่ดับกิเลสได้ด้วยมรรค ข้ามพ้นความสงสัย ละความมีความเป็นได้ อยู่กับพรหมจรรย์ เรียกว่าภิกษุ

    (๓๓) เสลสูตร เนื้อความซ้ำกับเสลสูตร ในมัชฌิมนิกาย พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๓

    (๓๔) สัลลสูตร สูตรว่าด้วยลูกศรคือความโศก พรรณนาว่าคนเราเกิดมาแล้วต้องตายทุกคน ความเศร้าโศกพิไรรำพัน ไม่มีประโยชน์อะไร ผู้รู้ธรรมดาของชีวิตอย่างนี้แล้วพึงถอนลูกศรคือกิเลสเสียแล้วจะเป็นผู้ไม่เศร้าโศก

    (๓๕) วาเสฏฐสูตร ชื่อสูตรนี้ซ้ำกับวาเสฏฐสูตร มัชฌิมนิกาย พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๓ เนื้อหาเน้นว่าคนที่นับว่าพราหมณ์ได้แก่คนประเภทใด บางส่วนซ้ำกับคาถาธรรมบท พราหมณวรรค

    (๓๖) โกกาลิกสูตรกล่าวถึงพระโกกาลิกศิษย์พระเทวทัต กล่าวร้ายพระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะ ถูกตักเตือนแล้วไม่ยอมเลิกรา ในที่สุดก็ป่วยหนักเป็นโรคพุพอง แผลใหญ่ขึ้นทุกที จนต้องนอนใบตอง ถึงแก่มรณภาพ (ข้อความนี้ซ้ำกับทสกนิบาต อังคุตตรนิกาย พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๔)

    (๓๗) นาลกสูตร พระนาลกะหลานชายอสิตดาบส ถามเรื่องโมไนยปฏิบัติ (ข้อปฏิบัติเพื่อความเป็นมุนี) พระพุทธเจ้าอธิบายให้ฟัง เป็นต้นว่าต้องเป็นผู้มั่นคง เห็นการด่าและการไหว้เหมือนกัน (คือไม่ยินดียินร้าย) รักษาใจให้สงบ ละกาม ไม่ฆ่าไม่เบียดเบียนสัตว์ เป็นต้น

    (๓๘) ทฺวยตานุปัสสนาสูตร สูตรนี้สอนให้พิจารณาธรรมเป็นคู่ๆ เช่น พิจารณาถึงทุกข์กับเหตุเกิดทุกข์คู่หนึ่ง หรือพิจารณาความดับทุกข์กับทางดับทุกข์คู่หนึ่ง เป็นต้น เท่ากับให้รู้จักพิจารณาโดยแยบคาย มองอะไรก็ให้หัดมองสองด้าน คือ ด้านเหตุ-ด้านผล หรือแง่บวก-แง่ลบ



    ฆ.อัฏฐกวรรคที่ ๔

    (๓๙) กามสูตร ตรัสถึงโทษของกาม และสอนให้งดเว้นกามทั้งหลาย อย่าตกอยู่ในอำนาจของมัน ดังเช่นเรือรั่วปล่อยให้น้ำเข้า ควรตั้งสติให้ดีวิดน้ำ (คือกาม) ออกพยุงเรือ (คือจิตใจของตัวเอง) ให้ลุถึงฝั่ง

    (๔๐) คุหัฏฐกสูตร สูตรเปรียบเทียบคนติดอยู่ในถ้ำ โดยใจความสอนให้รู้จักโทษของกามแล้วเลิกความยึดมั่นถือมั่น มีข้อความไพเราะกินใจหลายตอน เช่น "ท่านทั้งหลาย จงดูเหล่าชนที่ยึดมั่นว่า "ของฉันๆ" กำลังดิ้นรนอยู่เหมือนปลาในแอ่งน้ำน้อยที่แห้งขอด"

    (๔๑) สุทธัฏฐกสูตร ว่าด้วยมิให้ถือว่าความเห็นของตนเท่านั้นยอดเยี่ยม เช่น ถ้าเห็นว่าครูของตนเป็นต้นประเสริฐที่สุด ผู้อื่นนอกจากครูของตนเลวหมด เพราะถ้าถืออย่างนี้ไม่พ้นทะเลาะวิวาทกัน

    (๔๒) ชราสูตร สูตรนี้ว่าด้วยความแก่ แสดงให้เห็นว่าชีวิตนี้มีน้อยนัก อย่างมากคนเราก็อายุ ๑๐๐ ปีก็ตาย ถ้าอยู่เกิน ๑๐๐ ปีย่อมตายเพราะความแก่โดยแน่แท้ สูตรนี้สอนให้พิจารณาถึงธรรมดาของชีวิต

    (๔๕) ติสสเมตเตยยสูตร พระพุทธเจ้าตรัสสอนติสสเมตเตยยมาณพ เรื่องโทษของกาม ควรศึกษาวิเวก

    (๔๖) ปสูรสูตร สูตรนี้ตรัสสอนปริพาชกชื่อ ปสูระ ว่าการยึดติดในสัจจะเฉพาะอย่าง (คือในความจริงบางแง่บางส่วน) ย่อมโต้เถียงกันไม่สิ้นสุด

    (๔๗) มาคัณฑิยสูตร ตรัสสอนมาคัณฑิยพราหมณ์ว่าพระองค์ไม่ไยดีพวกธิดามารที่มายั่วยวน ไม่จำต้องพูดถึงธิดาที่สวยงามของเขา (พราหมณ์บอกยกลูกสาวให้พระพุทธเจ้า) ตรัสแสดงความน่าเกลียดของกาย และสอนให้ละมานะ ทิฐิ

    (๔๘) ปุราเภทสูตร ตอบคำถาม คนมีความเห็นอย่างไร มีปกติอย่างไร จึงจะเรียกว่าเป็นผู้สงบ โดยชี้ไปที่การละตัณหา มานะ ทิฐิ เป็นต้น ได้ก่อนสรีระจะแตกดับ (ก่อนตาย) (หมายความว่าผู้สงบที่แท้จริงคือพระอรหันต์)

    (๔๙) กลหวิวาทสูตร ตรัสสาเหตุแห่งการทะเลาะวิวาท ว่ามาจากความรัก ความรักมาจากความพอใจ เป็นต้น คนที่มีวาทะว่าขาดสูญ ก็ทะเลาะกับคนที่มีวาทะว่าเที่ยง แต่พระอรหันต์ผู้หลุดพ้นแล้ว ไม่ทะเลาะกับใคร

    (๕๐) จูฬวิยูหสูตร ตรัสสอนว่า การยึดมั่นถือมั่นในหลักทฤษฎีของตน ทำให้เกิดการดูถูกความเห็นคนอื่นว่าใช้ไม่ได้ ความจริงแท้มีอย่างเดียวเท่านั้น ที่เห็นกันไปต่างๆ นั้นเพราะคนไม่รู้จริง ผู้ที่รู้จริงไม่ได้โต้เถียง และไม่ทะเลาะกับใคร

    (๕๑) มหาวิยูหสูตร ข้อความคล้ายกับสูตรข้างต้น สอนให้เห็นโทษของการทะเลาะวิวาทและไม่ให้ยึดมั่นในความเห็น

    (๕๒) ตุวฏกสูตร ตรัสสอนผู้ที่ละ "ปปัญจสังขา" (ตัณหา มานะ ทิฐิ) ได้ ก็นับว่าเป็นผู้สงบแท้จริง (นิพฺพาติ)

    (๕๓) อัตตทัณฑสูตร แสดงความสลดสังเวชพระทัย ที่ทรงเห็นหมู่สัตว์ดิ้นรนด้วยตัณหาและทิฐิ ดุจปลาในหนองน้ำแห้งขอด ภัยมาถึงตัวแล้วยังไม่รู้สึก มัวแต่ทะเลาะวิวาทกันอย่างไร้แก่นสาร

    (๕๔) สารีปุตตสูตร พระสารีบุตรกล่าวโต้ตอบกับพระพุทธเจ้า ว่าด้วยคุณสมบัติของภิกษุที่ดี เช่น อดทนต่อสัมผัสของเหลือบยุง เป็นต้น พากเพียรพยายามแผ่เมตตาไปยังหมู่สัตว์ทั้งหลาย ไม่ลุอำนาจแห่งความโกรธและการดูหมิ่นคนอื่น เป็นต้น

    http://www.khaosod.co.th/view_news....ionid=TURNd013PT0=&day=TWpBd09TMHhNUzB4Tnc9PQ
     
  19. aprin

    aprin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    7,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +22,514
    ง.ปารายนวรรค

    วรรคที่ ๕ ว่าด้วยการตอบปัญหาของมาณพ ๑๖ คน ที่ไปทูลถามพระพุทธเจ้า รวมเป็น ๑๖ สูตร คำถามและคำตอบเกี่ยวกับวิธีการทำให้หลุดพ้นจากทุกข์ทั้งสิ้น

    ๒.๖ วิมานวัตถุ ว่าด้วยวิมานของเทวดาในหมวดนี้ไม่เรียกว่า "สูตร" เหมือนหมวดอื่น แต่เรียกว่า "วิมาน" ชื่อของวิมานนั้นเรียกตามรูปร่างของวิมานบ้าง ตามชื่อของเจ้าของวิมานบ้าง เรื่องราวส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องที่พระมหาโมคคัลลานะถามเทพบุตร เทพธิดา ถึงอดีตกรรมที่ส่งผลให้มาเกิดในวิมานนั้นๆ ได้รับคำตอบเป็นรายๆ ไป รวมทั้งหมด ๘๕ รายด้วยกัน

    สาระของวิมานวัตถุมิได้อยู่ที่ความสวยงามของวิมาน หรือความรุ่งเรืองของเทพบุตร เทพธิดาที่ปรากฏ แต่อยู่ที่การแสดงผลของกุศลกรรม หรือความดีที่แต่ละคนได้ทำมา เช่น ผลของการรักษาศีล การให้ทาน จุดไต้ตามไฟให้แสงสว่างแก่คนเดินทาง การฟังธรรม การรักษาศีลอุโบสถ เป็นต้น

    ที่น่าสังเกตก็คือ แม้เป็นกิจกรรมเล็กน้อย แต่ตั้งใจทำด้วยจิตใจเลื่อมใสบริสุทธิ์ ก็ให้ผลอย่างมหาศาล เช่น เพียงการยกมือไหว้ผู้ทรงศีล หรือการให้ของเล็กน้อยเป็นทานด้วยใจบริสุทธิ์ก็นำให้ไปเกิดในวิมาน สมดังพุทธวจนะในพระสูตรหนึ่งว่า "แม้คิดเรื่องที่เป็นกุศลเพียงครู่เดียวก็มีผลมาก ไม่จำเป็นต้องกล่าวถึงการลงมือกระทำ"

    ๒.๗ เปตวัตถุ เล่าเรื่องเปรตโดยเน้นประเด็นใหญ่ ๒ ประเด็นคือ ความทุกข์ทรมานต่างๆ และรูปร่างอันน่าเกลียดน่ากลัวของเปรตเหล่านั้น และผลกรรมชั่วที่กระทำไว้แต่ชาติเป็นมนุษย์ มีทั้งหมด ๕๑ เรื่อง จัดเป็นวรรคได้ ๕ วรรค

    ข้อที่น่าสังเกตคือ คำว่า "เปรต" ในเปตวัตถุนี้มีใช้ ๒ ความหมาย คือ หมายถึงผู้ล่วงลับไปแล้ว ธรรมดาๆ นำมาเล่าไว้เพื่อเตือนสติว่า คนที่อยู่ข้างหลังควรทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้คนที่ล่วงลับไปแล้ว อีกอย่างหนึ่งหมายถึงผู้ที่กระทำกรรมชั่วแล้วตายไปเกิดเป็นเปรตได้รับทุกข์ทรมานต่างๆ

    ๒.๘ เถรคาถา เถรีคาถา ว่าด้วยบทกวีบรรยายธรรมบ้าง บรรยายประสบการณ์ต่างๆ ที่ทำให้เกิดความรู้แจ้งเห็นจริง กล่าวบทกวีออกมาด้วยแรงบันดาลใจ มีลักษณะคล้ายพุทธอุทานเนื้อหาของคาถาบางตอนก็มีซ้ำกับคาถาธรรมบท ความสอดคล้องของโครงสร้างภาษาและสำนวนภาษา คิดว่าไม่น่าจะเป็นภาษิตของพระเถระแต่ละรูปจริงๆ อาจเป็น "กวีนิรนาม" คนใดคนหนึ่งแต่งขึ้น โดยยืมชื่อพระเถระเหล่านั้นมาใช้ก็ได้ (โปรดดูบทความเรื่อง "คาถา-บทเพลงแห่งพระอรหันต์" ของผู้บรรยายในหนังสือ "ยุทธจักรดงขมิ้น")

    ต่อไปนี้ขอยกบทกวีเฉพาะบางส่วนใน "เถรคาถา" ที่มีความไพเราะกินใจให้ดูพอเป็นตัวอย่าง

    ๑.กายฉันอยู่บ้าน ใจฉันอยู่ป่า

    นอนอยู่ ฉันก็ไปได้

    ผู้รู้แจ้งชัด ไม่มีอะไรขัดข้อง

    ๒.ฝูงมยุราขนเขียว คองาม

    หงอนงาม ร่ำร้องอยู่ในป่า

    เริงร่ากลางลมหนาว

    ปลุกนักบำเพ็ญฌานผู้หลับใหล

    ๓.ณ พุ่มกอไผ่ ฉันนั่งกินข้าว

    เห็นขันธ์ เกิด-ดับ

    ฉันจะกลับไพรคีรี เจริญวิเวก

    ๔.ป่าหญ้าแพรก ป่าหญ้าคา

    ป่าหญ้ามุงกระต่าย

    ป่าอ้อ ป่าเลา

    ฉันจะเอาอุระแหวกฝ่าไปแสวงวิเวก

    ๕.เจ็บไข้เกิดขึ้น สติเกิดขึ้น

    เจ็บไข้เกิดขึ้น มิใช่เวลาประมาท

    ๖.มารดารักบุตรสุดที่รัก คนเดียว

    พระรักสรรพสัตว์ ทั้งโลก

    ๗.พระไม่สำรวม ละทิ้งสมาธิ

    เดินธุดงค์ตามหัวเมือง จะช่วยอะไรได้

    หยุดคิดใคร่สัญจรเถิด หันมาบำเพ็ญฌาน

    ตัดกิเลสตัณหา

    ๘.โคดีรู้งานลากคันไถไป สบาย

    เมื่อฉันได้รับความสุขที่แท้

    คืนวันผ่านไป สบาย

    ๙.โคอาชาไนยตัวประเสริฐ ล้มแล้วลุกได้

    สาวกของพระพุทธเจ้าเช่นเรา

    มีความเห็นถูกชัด จักปฏิบัติเช่นเดียวกัน

    ๑๐.ธรณีหลังฝนชุ่มฉ่ำ พระพายกระหน่ำพัด

    สายฟ้าจรัสแลบกลางเวหา

    วิตกข้าสงบสนิท จิตข้ามั่นคง

    ๑๑.ฝนตก ฟังไพเราะดังเพลงสวรรค์

    กระท่อมฉัน มุงดีแล้ว มิดชิด สบายดี

    ฝนเอย เชิญเจ้าตกลงมาเถิด

    ๑๒.คนตาดี ย่อมมองเห็นคนตาดีและคนตาบอด

    คนตาบอด ย่อมมองไม่เห็นทั้งคนตาบอดและคนตาดี

    ๑๓.หลับตลอดราตรี คลุกคลีหมู่คนทั้งวัน

    คนโง่เขลาเช่นนั้น เมื่อไรจักพ้นทุกข์เล่า

    ๑๔.ครองเพศบรรพชิตนั้น แสนลำบาก

    ฆราวาสวิสัยก็ยาก เช่นเดียวกัน

    พระธรรมอันคัมภีรภาพ ยากเข้าใจ

    โภคทรัพย์กว่าจะหามาได้ ก็เหน็ดเหนื่อย

    มีชีวิตเรื่อยๆ อย่างสันโดษ ก็ยากเย็น

    ฉะนี้ น่าจะเห็น น่าจะคิด อนิจจัง

    ๑๕.กระท่อมน้อยมีห้าประตู

    วานรเข้าไปอยู่

    เวียนเข้า เวียนออก เสมอ เสมอ

    ๑๖.หยุดนะเจ้าลิง เจ้าวิ่งไม่ได้ดังเก่า

    ข้าจับเจ้าด้วยปัญญา เจ้าไปไหนไม่ได้ไกล

    ๑๗.ผู้ทรงความรู้ หมดกิเลส ชนะศัตรู

    คนไม่รู้ เบาปัญญา ดูหมิ่นว่า "ไร้ชื่อเสียง"

    ส่วนคนมีทรัพย์ ข้าวน้ำนับอเนกอนันต์

    ถึงจะชั่วช้ามหันต์ เขาก็สรรเสริญ

    ๑๘.เกาะขอนน้อย ลอยคอกลางมหาสมุทร

    ในที่สุดก็จมน้ำตาย คนที่มีชีวิตอยู่สบาย

    อาศัยความเกียจคร้าน ไม่นานก็ล่มจม

    ๑๙.คนเกี่ยวข้องกับคน คนยินดีกับคน

    คนถูกคนเบียดเบียน คนเบียดเบียนคน

    จะต้องการอะไรกับคน หรือผลผลิตของคน

    จงละทิ้งคนที่เบียดเบียนคนไปเสีย

    ๒๐.ถ้าตนไม่มั่นคง คนอื่นสรรเสริญ

    คำสรรเสริญนั้นเปล่าประโยชน์

    ถ้าตนมั่นคงดี คนอื่นนินทา

    คำนินทานั้นเปล่าประโยชน์

    http://www.khaosod.co.th/view_news....ionid=TURNd013PT0=&day=TWpBd09TMHhNUzB4T0E9PQ
     
  20. aprin

    aprin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    7,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +22,514
    ๒๑. ฉันเห็นมานักต่อนักแล้ว เหล่าอุบาสกผู้อ้างว่าทรงธรรม

    ปากก็พร่ำว่า "กามทั้งหลายเป็นอนิจจัง"

    แต่ก็ยังกำหนัดยินดีในแก้วมณี บุตร ภรรยา

    แน่นอน พวกเขามิรู้ธรรมจริงแท้ ถึงแม้จะกล่าวว่ากาม

    เป็นอนิจจัง พลังญาณไม่กล้าแข็งพอจะตัดความใคร่

    จึงยึดมั่นอยู่ในบุตร ภรรยา และทรัพย์สิน

    ๒๒. ตาย ฉันก็ไม่คิด ชีวิต ฉันก็ไม่คำนึง

    รอกาลเวลามาถึง รู้เท่า รู้ทัน

    ๒๓. หวังเป็นสมณะที่ดี ดำรงชีวีสันติสุข

    ควรเสพเสนาสนะตามมีตามได้

    ดุจอสรพิษพอใจในโพลงพฤกษ์

    และมุสิกขุดรูลึกอาศัย

    ๒๔. ติณชาติไม่รู้ร้อนรู้หนาว ใครคิดเอาเป็นเยี่ยงอย่าง

    กิจที่ควรทำไม่คั่งค้าง เขาไม่เว้นว่างจากความสุข

    ๒๕. อยู่อย่างพรหมต้องอยู่เอกา อยู่อย่างเทวดาต้องมีสหาย

    อยู่อย่างชาวบ้านแสนวุ่นวาย ต้องอยู่มากมายทั้งสามคน

    ๒๖. ใครไร้ซึ่งคารวะ ในผู้มีอาจาระบริสุทธิ์

    เขาห่างไกลจากความดี ดุจปฐพีห่างคัคนานต์

    ๒๗. กาลควรช้ากลับหุนหัน กาลควรด่วนพลันกลับชักช้า

    ไม่วางแผนด้วยปัญญา คนโง่ประสบปัญหาชีวิต

    ๒๘. สัตว์โลกถูกมฤตยูดักฆ่า ถูกชรารุมไล่ต้อน

    ยิงด้วยลูกศรคือความทะเยอทะยาน

    เผาให้เป็นถ่านด้วยความปรารถนา

    ๒๙. มฤตยู พยาธิ ชรา ทั้งสาม คือกองไฟลามลุกไหม้

    แรงจะต้านก็ไม่มี จะหนีก็ไม่ทัน

    ๓๐. คนมิได้เป็นโจรเพราะคำคน มิได้เป็นมุนีเพราะคำคน

    รู้ตัวว่าเป็นคนเช่นใด เหล่าเทพไทก็รู้เช่นเดียวกัน

    ๓๑. มฤคชาติอยู่ในไพรสณฑ์ หลงกลติดบ่วงพราน

    มัตสยาในชลธาร หลงกลืนเบ็ด

    วานรบนต้นไม้ หลงติดตัง

    ปุถุชนผู้มากด้วยตัณหาในดวงจิต

    หลงติดในเบญจกามคุณ

    ๓๒. มัวติดในรส ใจก็งดภิรมย์ฌาน

    มุนีควรมักน้อยสันโดษ โปรดสถานสงัด

    ไม่คลุกคลีกับพุทธบริษัท ไม่ว่าคฤหัสถ์หรือบรรพชิต

    ๓๓. ไม่ว่าใครให้เจ็บช้ำ ไม่ทำให้ใครเคือง

    สำรวมเรื่องปาติโมกข์ บริโภคแต่พอดี

    ๓๔. หนึ่ง มีมิตรผู้ดีงาม หนึ่ง ศึกษาสัมฤทธิผลไพศาล

    หนึ่ง เชื่อฟังครูอาจารย์ สามประการนี้เหมาะแก่สมณะ

    ๓๕. หนทางตรงทางลัด พระพุทธเจ้าตรัสชี้ไว้

    จงเดินไปข้างหน้า อย่าหวนกลับ จงเตือนตนด้วยตน

    มุ่งสู่ความหลุดพ้น คือพระนิพพาน

    ๓๖. ถึงคราวสุขก็เฟื่องฟูลอย ถึงคราวทุกข์ก็ถอยจม

    คนโง่ย่อมทุกข์ตรมทั้งสองสถาน เพราะไร้ญาณเห็นแจ้งจริง

    ๓๗. ภิกษุผู้ฟุ้งซ่านมักกลับกลาย คบสหายชั่วช้า

    จะถูกกระแสกิเลสตัณหาพัดพา

    จมดิ่งห้วงสังสารวัฏ

    ๓๘. เดิน สง่า ยืน สง่า นั่ง เสงี่ยม นอน สงบ

    ทุกอิริยาบถระมัด นี่คือคุณสมบัติของนาเคนทร์

    ๓๙. บุณฑริก เกิดในชลาลัย กลิ่นหอมรื่นรมย์ใจ ไม่เปียกน้ำ

    พระพุทธเจ้าเกิดในโลก ไม่ติดในโลกีย์

    ดุจปทุมรมณีย์ ไม่เปียกน้ำ

    ๔๐. อายุยืนยาว คราวหนุ่มสาวยืนนาน

    ทรัพย์ศฤงคารก็ซื้อไม่ได้

    ปราชญ์ว่าชีวิตนั้นสั้นนิด

    วิปริตผันแปรไม่แน่นอน

    ๔๑. ไม่ว่ามั่นคงหรือไร้ทรัพย์ศฤงคาร

    ไม่ว่าพาลหรือปราชญ์

    รับรู้ผ่านประสาทสัมผัสเหมือนกัน

    คนโง่รับรู้อย่างโง่ๆ ย่อมทุกข์ถนัด

    ผู้ฉลาดรู้เท่าทันสัมผัส ไม่หวั่นไหว

    ๔๒. กลางป่าใหญ่ ดอกไม้บานสะพรั่ง

    สมณะหนึ่ง นั่งนิ่ง สงบ พินิจ

    เกิดความคิดหลากหลาย

    ๔๓. ณ โคนต้นไม้ เงื้อมเงา และคูหา

    กลางพนาอันกว้างใหญ่

    สมณะท่านใฝ่วิเวก

    อยู่อย่างผู้มีเอกอุดมการณ์

    ๔๔. กิเลสทั้งหลายเมื่อเติบกล้า

    สนตะพายเหล่าประชาหมู่มาก

    เหมือนปีศาจชั่วร้าย สิงคน

    ทำให้โง่ บ้า สนุกสนาน

    ๔๕. กิน จนพุ่งกางใหญ่

    นอน หงายทอดหุ่ย

    ตื่น คุยแต่เรื่องไร้แก่นสาร

    พระศาสดาจารย์ทรงตำหนิ

    ๔๖. ภูผาไศลไม่เขยื้อน มั่นคง

    ภิกษุหมดความหลง ย่อมมั่นคงดุจภูผา

    ๔๗. ผู้ไร้กิเลสกวนใจ ใฝ่แสวงความบริสุทธิ์เป็นนิจ

    ความผิดเล็กน้อยเท่าปลายขนทราย

    มองเห็นดุจเมฆก้อนใหญ่บนท้องฟ้า

    ๔๘. ผู้เป็นพหูสูตทรงความรู้ ดูหมิ่นผู้ด้อยปัญญา

    เป็นดุจคนตาบอดสนิท ถือตะเกียงส่องทิศทางเดิน

    ๔๙. การกราบไหว้บูชา คือหล่มพาพระหลงติด

    คือ ลูกศรอาบยาพิษถอนได้ยากยิ่ง

    ๕๐. จิตเอย ชายหรือหญิงตกอยู่ใต้อำนาจของเจ้า

    โง่เขลา เสพสุขอันจอมปลอม ยินยอมอยู่ในอำนาจมาร

    วิ่งพล่านจากภพสู่ภพ เขาสยบ

    เป็นข้าช่วงใช้ของเจ้า

    ๒.๑๐ ชาดก รวมเรื่องชาดกที่พระพุทธเจ้าตรัสเฉพาะที่เป็นคาถาเท่านั้น ที่มีนิทานประกอบ พระอรรถกถาจารย์แต่งไว้ เรียกว่า ชาตกัฏฐกถา ชาดก แปลตามตัวอักษรว่า "ผู้เกิด" หมายถึง เล่าเรื่องที่พระพุทธเจ้าทรงเวียนว่ายตายเกิดในชาติต่างๆ ในอดีตมากมาย โดยแสดงถึงความพยายามในการทำคุณความดีมากบ้างน้อยบ้าง ตั้งแต่ต้นจนกระทั่งบำเพ็ญได้สมบูรณ์ในชาติสุดท้าย ชาดกกล่าวกันว่ามี ๕๕๐ เรื่อง (นับจริงๆ แล้วมีเพียง ๕๔๓ เรื่อง) จัดเป็นนิบาต ตั้งแต่เอกนิบาต จนถึงมหานิบาต

    http://www.khaosod.co.th/view_news....ionid=TURNd013PT0=&day=TWpBd09TMHhNUzB4T1E9PQ
     

แชร์หน้านี้

Loading...