.....ถ้าจักรวาลถูกทำลายด้วยน้ำ ไม่มีดวงอาทิตย์ดวงอื่นเกิดขึ้นทำนองเดียวกัน แต่จะมีลมพัดมาแทน แรก ๆ ก็เป็นลมพัดอ่อน ๆ แล้วจึงแรงขึ้น ๆ พัดเอาทุกสิ่งทุกอย่างแม้แต่ต้นไม้ ก้อนหินให้เลื่อนลอยไปในอากาศ แล้วหนุนให้กระทบกระทั่งกันจนแหลกละเอียดสูญหายไปไม่มีเศษเหลือ ส่วนที่ใต้พื้นดินก็มีลมพัดหวนพลิกแผ่นดินให้กระจุยกระจายไปกระทบระเบิดกันเองกลางอากาศ จนละเอียดไม่มีเศษแม้กระทั่งภูเขา แม่น้ำ ก็เป็นทำนองเดียวกันหมด ย่อยยับไม่เหลือแม้แต่อณูเดียว จนเป็นอากาศโล่งไปจนถึงตติยฌานภูมิในพรหมโลก
เวลาโลกเริ่มพินาศ จนกระทั่งไม่มีอะไรเหลือ มีแต่ความว่างเปล่า
เวลาที่มีแต่ความว่างจนกระทั่งมีฝนตกใหม่เพื่อที่จะเกิดจักรวาลใหม่
เวลาฝนเริ่มตก จนถึงมีดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์เกิดขึ้น
เวลาที่ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์เกิดขึ้น จนกระทั่งมีการพินาศอีก
ทั้ง ๔ ระยะเวลาเหล่านี้ มีความช้านานเท่า ๆ กัน เรียกว่า อสงไขยกัป นานเท่ากับ ๖๔ อันตรกัป ( อายุขัยของมนุษย์ไขลงไขขึ้น ๑ ครั้ง เรียกว่า อันตรกัป)
นับตั้งแต่จักรวาลถูกทำลาย จนกระทั่งเกิดใหม่ และพินาศอีกครั้งจึงเป็นเวลา ๔ อสงไขยกัป หรือ ๒๕๖ อันตรกัป นับเป็น ๑ มหากัป
ส่วนคำว่า
จักรวาล คือกรงขังสัตว์
ในห้อง 'ภพภูมิ-สวรรค์ นรก' ตั้งกระทู้โดย HONGTAY, 30 กันยายน 2008.
-
-
.....แต่มนุษย์มีปัญญาความรอบรู้อยู่ในเขตจำกัด มักรู้เฉพาะในประสบการณ์ชีวิตของตนที่ผ่านมาในปัจจุบันชาตินี้เท่านั้น ไม่รู้ไปถึงชาติในอดีตและชาติต่อไปในอนาคต มีบ้างบางรายเช่น ฤาษีชีไพร บำเพ็ญเพียรทางจิตพอรู้ได้บ้าง ก็ไม่ถึงสภาวะที่เรียกว่ารอบรู้ เพราะระลึกชาติย้อนหลังหรือไปข้างหน้าได้มีจำนวนชาติจำกัด ความรู้ที่ได้ไม่กว้างขวางถ่องแท้ ไม่ถูกต้องเต็มที่
หรือสัตว์บางภูมิ เช่น สัตว์นรก เปรต อสูรกาย เทวดา พรหม เหล่านี้ เวลาเกิดขึ้นไม่ได้เกิดในครรภ์มารดาเหมือนเหล่ามนุษย์ แต่เกิดผุดเป็นตัวโตเต็มที่ทันที สัตว์เหล่านี้สามารถจำเหตุการณ์ในชาติเก่าของตนได้ ก็จะจำได้เพียงชาติเดียว ที่เพิ่งตายมาหรือไม่กี่ชาติย้อนหลัง ไม่รู้ถึงอนาคต
เมื่อเป็นเช่นนี้ เหล่ามนุษย์หรือแม้สัตว์ในสุคติภูมิอื่น เช่นเทวดาหรือพรหม ย่อมไม่สามารถรู้ได้ว่าภพสามเป็นที่คุมขังพวกตน ให้วนเวียนตายแล้วเกิด เกิดแล้วตายไม่มีวันจบสิ้น เกิดครั้งใดไม่มีทางรอดพ้นจากความทุกข์เลยแม้แต่ครั้งเดียว ความทุกข์เป็นสภาพที่ทนได้ยาก รู้จักกันดีก็จริง แต่ไม่รู้วิธีดับทุกข์
กระทั่งถึงยุคสมัยที่มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จอุบัติตรัสรู้ขึ้นในโลกมนุษย์ชมพูทวีป พระปัญญาคุณของพระองค์กว้างขวาง ไม่มีขอบเขตจำกัด ไม่มีประมาณ ทรงทราบความเป็นไปของสรรพสิ่งและสรรพชีวิตทั้งปวง ทรงรู้แจ้งเห็นแจ้งพระนิพพาน ซึ่งอยู่นอกภพสามเป็นที่ไม่มีเกิดไม่มีตาย ตลอดถึงทรงทราบวิธีปฏิบัติเพื่อการเลิกเวียนว่ายตายเกิด
ด้วยพระมหากรุณาธิคุณอันยิ่งใหญ่นั้น เหล่าเวไนยสัตว์ สัตว์ที่พอรับคำสอนได้ จึงได้มีโอกาสปฏิบัติตาม และได้พบความหลุดพ้นจากที่คุมขังอันกว้างใหญ่นี้ ถึงความสิ้นทุกข์
ทุกข์ใหญ่ ๆ ของสรรพสัตว์ในภูมิต่าง ๆ คือ
สัตว์นรก ทุกข์เพราะถูกลงโทษ ทรมานด้วยประการต่าง ๆ เช่น ศาสตราวุธ ไฟกรด น้ำกรด นายนิรยบาลประหาร สุนัขนรก กานรก ( นกชนิดหนึ่ง) ฯลฯ
เปรต ทุกข์เพราะความหิวโหย ความห่วงใยในคนที่ยังอยู่
อสุรกาย ทุกข์เพราะความหวาดกลัว ไม่มีที่อยู่ ที่กิน
ติรัจฉาน ทุกข์เพราะเรื่องหาอาหารใส่ท้องเป็นสำคัญ
มนุษย์ ทุกข์เพราะต้องเกิด แก่ เจ็บ ตาย เศร้าโศกเสียใจด้วยเรื่องราวต่าง ๆ
เทวดา ทุกข์เพราะมีสมบัติทิพย์ไม่เท่าเทียมผู้อื่น ( ติดอยู่ในกามคุณอารมณ์)
พรหม ทุกข์เพราะต้องแข่งว่าใครจะมีรัศมีสว่างไสวกว่ากัน ( มีสักกายทิฏฐิและมานะ)
อย่างไรก็ดี สรรพสัตว์ทุกชีวิต ไม่ว่าจะเกิดในภพภูมิใด ๆ มักจมอยู่กับทุกข์ในภพที่ตนอยู่จนเป็นความเคยชิน มองทุกข์ไม่พบ เมื่อไม่พบก็ไม่คิดจะหลีกหนี ทั้งยังแก้ไขไปผิดวิธียิ่งขึ้น เหมือนป่วยเป็นไข้ไม่รู้ว่าป่วย ก็ยิ่งหาแต่ของแสลงโรคให้ตนเอง อาการของโรคจึงเพียบหนัก
เมื่อใดมนุษย์มีปัญญาเห็นทุกข์ รู้จักทุกข์ เมื่อนั้นก็จะรู้พยายามหาต้นเหตุของทุกข์ให้พบแล้วกำจัดเสีย ปัญญาชนิดนี้เกิดเองได้ยาก ถ้ามีผู้ที่มีปัญญาเหนือกว่าชี้แจงแนะนำ บอกหนทางให้ก็จะทำตามได้ง่ายและสะดวก เหล่าพระอริยเจ้าทั้งปวงเป็นผู้มีปัญญาพิเศษดังนี้ จึงมีพระคุณอันยิ่งใหญ่ สามารถชี้นำสรรพสัตว์ให้พ้นทุกข์ได้
คำสั่งสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสแสดงไว้เพื่อให้ผู้ปฏิบัติตามบรรลุมรรผลนิพพานเลิกเวียนว่ายตายเกิดนั้น ไม่ว่าจะเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ใดก็ตาม ก็ทรงสอนเหมือนกันทั้งสิ้น โดยมิได้ทรงสอนความรู้ทั้งหมดที่พระองค์ทรงรู้แจ้งหรือรอบรู้ แต่สอนเฉพาะข้อที่จำเป็นจริง ๆ ที่ให้เป็นประโยชน์เท่านั้น พระองค์ทรงเปรียบเทียบว่า ความรู้ที่ทรงมีอยู่มากเหมือนใบประดู่ลายทั้งป่า แต่นำมาสอนเพียงเท่าใบประดู่ลายเพียงกำมือเดียว
หลักคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกพระองค์ มีใจความสำคัญว่า
๑. ไม่ทำความชั่วทั้งปวง ๒. ทำแต่ความดีให้เต็มที่ และ ๓. ทำจิตของตนให้ผ่องใสบริสุทธิ์
และขันติ ( ความอดทน อดกลั้น) เป็นตบะ ( ความเพียรเผากิเลส) อย่างยิ่ง
พระนิพพาน ( การเลิกเวียนว่ายตายเกิด) เป็นบรมธรรม ( ธรรมที่ยิ่งใหญ่)
ผู้ทำร้ายคนอื่น ไม่ชื่อว่าเป็นบรรพชิต ( นักบวช) ผู้เบียดเบียนคนอื่น ไม่ชื่อว่าสมณะ ( ผู้สงบปฏิบัติเพื่อเป็นพระอริยบุคคล สิ้นกิเลส)
การไม่กล่าวร้าย การไม่ทำร้าย ความสำรวมในปาติโมกข์ ( ข้อห้ามที่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติ) การรู้จักประมาณในการบริโภค การรู้จักนอน นั่งสมาธิในที่สงัด นี้เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย
ส่วนใหญ่แล้วเราถือ ๓ ข้อต้น เป็นใจความสำคัญของคำสอน คำสอนต่าง ๆ ที่พบว่ามีมากมายนอกจากนั้น เป็นการสอนขยายความให้ชัดเจนยิ่งขึ้น เช่น
ความชั่วทั้งปวงมีอะไร ขยายความเป็น ชั่วทางกาย ทางวาจา และทางใจ เรียกว่า อกุศลกรรมบถ ๑๐
ความดีเต็มที่ ขยายความเป็นบุญกิริยาวัตถุ ๑๐
ทำจิตให้บริสุทธ์ผ่องใส ขยายความเป็นเรื่องการทำความเพียรทางจิต ด้วยการทำสมาธิและวิปัสสนา
-
.....หลักคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่เป็นหัวใจดังที่กล่าวนี้ก็จริง แต่วิธีการสอนพระองค์ทรงมีหลายวิธีตามความเหมาะสม เช่น
สำหรับผู้ที่มีคุณงามความดีเป็นพื้นฐานของใจอยู่แล้ว ทรงสอนเรื่องการปฏิบัติทำความเพียรทางจิตเลย และการสอนเรื่องภาวนา ทรงสอนให้พอเหมาะพอดีกับอุปนิสัยและวาสนาบารมีทั้งชาตินี้และชาติก่อนของผู้นั้น
สำหรับผู้ที่ยังมีข้อข้องใจสงสัย ทรงมีพุทธานุญาตให้ไต่ถามจนสิ้นสงสัยแล้วจึงตรัสสอน
สำหรับผู้มีทุกข์ร้อนเศร้าโศกไม่ว่าเรื่องอะไร ทรงสอนหรือมีอุบายวิธีให้ผู้นั้นปลงได้เสียก่อนจึงตรัสสอน
สำหรับผู้มีอินทรีย์ยังไม่แก่กล้า คือยังมีบุญน้อยอยู่ ไม่สามารถเป็นพระอริยบุคคลในชาตินี้ ทรงสอนให้สะสมความดี สร้างบารมีด้านต่าง ๆ เพื่อประสบความสำเร็จในชีวิตและพ้นทุกข์ในอนาคตเบื้องหน้า
ถ้าสอนรวมกันในที่ผู้คนมีหลายชนิด มักตรัสสอนเรียงลำดับจากง่ายไปหายากที่เรียกว่า อนุปุพพิกถา ฟอกหรือขัดเกลาอัธยาศัยให้หมดจดเป็นชั้น ๆ เพื่อเตรียมจิตของผู้ฟังให้พร้อมที่จะรับฟัง ชั้นแรกทีเดียว สอนเรื่องทาน ชั้นที่สอง สอนเรื่องศีล ชั้นที่สาม อธิบายเรื่องสวรรค์ คือผลของการทำความดีจะมีความสุขที่พรั่งพร้อมด้วยกาม ชั้นที่สี่ พรรณนาโทษของกามคุณ ชั้นที่ห้า พรรณนาอานิสงส์ของการออกจากกาม
คำตรัสสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น ไม่ว่าจะขึ้นต้นด้วยเรื่องใด ๆ ก็ตาม จะทรงสรุปท้ายด้วยเรื่องอริยสัจ ๔ เสมอไป เพราะเรื่องนี้เป็นความจำเป็นอันยิ่งยวดที่มนุษย์ควรทราบและปฏิบัติตาม เพื่อความสิ้นทุกข์ เลิกเวียนว่ายตายเกิด
อริยสัจ ๔ คือความจริงอันประเสริฐ ๔ ประการนั้น พระพุทธองค์ทรงสอนให้รู้ดังนี้
๑ . ความทุกข์ ซึ่งเป็นสภาพที่ทนได้ยาก มีทุกข์กาย ทุกข์ใจ เป็นต้น
๒ . เหตุให้ทุกข์เกิด คือ ตัณหา ความทะยานอยาก ความดิ้นรนเป็นอำนาจของโลภะบีบคั้น
๓ . สภาพความปลอดทุกข์ คือพระนิพพาน ดับตัณหาสิ้นเชิง เรียกว่า นิโรธ
๔ . ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ ต้องทำพร้อมกันทั้ง ๘ ประการ เรียกว่า อริยมรรคมีองค์ ๘ คือทำถูกต้องเรื่องความคิดเห็น ความดำริ วาจา การงานทางกาย การเลี้ยงชีพ ความเพียร มีสติระลึกได้ มีสมาธิจิตตั้งมั่น
นี่คือคำตรัสสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ ไม่ว่าจักรวาลใด กัปใด ทรงสอนเหมือนกันหมดทั้งสิ้น
ความคิดเห็นถูกต้อง คือ เห็นถูกต้องในอริยสัจ ๔ เห็นตามหลักกฎของกรรม ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว มารดาบิดามีคุณ การทำบุญมีผลดี ชาตินี้ชาติหน้ามี ตายแล้วต้องเกิด ถ้ายังไม่หมดกิเลส สัตว์ที่เกิดโดยโตเป็นตัวเต็มที่ เช่น สัตว์นรก เปรต เทวดา พรหม มีจริง สมณพราหมณ์ที่รู้แจ้งโลกหน้ามีอยู่ ขันธ์ ๕ คือ ร่างกายและจิตใจไม่เที่ยงแท้แน่นอน เป็นต้น
ความดำริถูกต้อง คือ ดำริออกจากกาม ออกจากความโลภ ดำริออกจากความพยาบาท ดำริไม่เบียดเบียนใคร
วาจาถูกต้อง คือ เว้นจากการพูดปด พูดส่อเสียด พูดเพ้อเจ้อ พูดคำหยาบ
การงานถูกต้อง คือ เว้นจากการฆ่าหรือเบียดเบียน การลักขโมยคดโกง การประพฤติผิดในกาม
อาชีพถูกต้อง คือ ประกอบอาชีพที่เว้นจากวจีทุจริต และการงานทุจริต
ความเพียรถูกต้อง คือ เพียรกำจัดความชั่วที่มี ไม่ให้ความชั่วใหม่เกิด รักษาความดีที่มี ทำความดีเพิ่มขึ้น
มีสติถูกต้อง คือ ระลึกในการปฏิบัติภาวนา เห็นกายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต และธรรมในธรรม
สมาธิถูกต้อง คือ ตั้งใจมั่นในการให้อารมณ์เป็นหนึ่ง จนเกิดฌานจิตตั้งแต่ขั้นที่ ๑ - ๔
ความดีต่าง ๆ เหล่านี้ แม้จะลงมือกระทำจนเต็มความสามารถในชาตินี้แล้ว ก็ยังไม่สามารถบรรลุคุณวิเศษเป็นพระอริยบุคคล แต่จะเป็นการสั่งสมบุญ เมื่อบุญมากเข้า บุญก็จะกลั่นเป็นบารมีทั้งสิบ บารมีสิบมีเต็มเปี่ยมบริบูรณ์ในภพชาติใด เมื่อนั้นฟังคำตรัสสอนหรือคำสอนของพระพุทธศาสนา ก็สามารถปฏิบัติตามบรรลุเป็นพระอริยบุคคลทันที บารมีทั้งสิบได้แก่
ทาน ศีล เนกขัมมะ ( ออกจากกาม) ปัญญา วิริยะ ขันติ สัจจะ อธิษฐาน เมตตา อุเบกขา
บารมี มี ๓ ระดับ ขึ้นต้น ขั้นกลาง ขั้นสูงสุด
ถ้ามนุษย์ธรรมดา สะสมบารมีขั้นธรรมดาครบสิบ เพียงพอต่อการบรรลุธรรม
แต่ถ้าเป็นการสร้างสมบารมีของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ต้องสร้าง ทั้ง ๓ ระดับ เรียกว่า บารมีสามสิบทัศ และมหาบริจาค ๕ อย่าง -
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าคือผู้หาทางออกจากกรงขังสำเร็จ และพาผู้อื่นออกได้ด้วย
.....พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกพระองค์ที่ทรงอุบัติบังเกิดขึ้นในโลก แต่เดิมก็เป็นมนุษย์ทั่วไปอย่างเราๆ ทำดีบ้างทำชั่วบ้างคละเคล้ากันไป แล้วก็เวียนว่ายตายเกิดอยู่ภพโน้นบ้างภพนี้บ้าง เวียนอยู่ทั้ง ๓๑ ภูมิ นับเวลายาวนานประมาณไม่ได้ว่ากี่ล้านชาติ ไม่ทราบชาติแรกและชาติสุดท้าย ถูกความทุกข์ในการเกิดๆ ตายๆ ครอบงำอยู่ตลอดมา จนกระทั่งมีอยู่ชาติหนึ่งเกิดความรู้สึกเบื่อหน่าย มองเห็นทุกข์ของชีวิต ใคร่อยากหาทางหลุดพ้นจากความทุกข์ และถ้าพบทางหลุดพ้น เมื่อใดตนเองปฏิบัติสำเร็จแล้วจะต้องช่วยเพื่อนมนุษย์ด้วยกันให้รอดพ้นด้วย ตั้งแต่นั้นมา ก็ลองผิดลองถูก ค้นหาหนทางพ้นทุกข์ ชาติแล้วชาติเล่าที่เกิดขึ้น
เวลาใดที่ตั้งใจดังกล่าวแล้วนี้ เรียกว่าผู้นั้นเป็นพระโพธิสัตว์แล้ว เพียงแต่ยังมีสภาพไม่แน่นอน บางชาติอาจหลงลืม พลาดพลั้งไปทำบาปกรรมขึ้นมาใหม่ ต้องกลับไปรับผลกรรมในอบายภูมิ เสียเวลาค้นคว้าหาทางพ้นทุกข์ บางครั้งเป็นเวลาหลายๆ หมื่นปี เมื่อมีสติปัญญานึกได้เริ่มกระทำใหม่ กลับไปกลับมาลองผิดลองถูกอยู่เป็นเวลายาวนานคำนวณนับกันไม่ได้ จึงเรียกกันว่าเป็นกัป จนกระทั่งสะสมความตั้งใจและบำเพ็ญคุณงามความดีได้เต็มที่ พอได้มีโอกาสเกิดมาพบพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ใดพระองค์หนึ่งเข้า
( พระสัมมาสัมพุทธเจ้าคือผู้หาทางออกจากกรงขังสำเร็จ ฯ )
ในชาตินี้เอง ได้มีโอกาสสร้างบุญกุศลใหญ่ในสำนักพระทีปังกรสัมมาสัมพุทธเจ้า และพระองค์ทรงพยากรณ์ให้ว่า จะได้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ใดพระองค์หนึ่งในอนาคตกาล นับจากนั้นจะกลายเป็นพระโพธิสัตว์ชนิดถาวร เรียกว่า -
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกพระองค์ที่ทรงอุบัติบังเกิดขึ้นในโลก แต่เดิมก็เป็นมนุษย์ทั่วไปอย่างเราๆ ทำดีบ้างทำชั่วบ้างคละเคล้ากันไป แล้วก็เวียนว่ายตายเกิดอยู่ภพโน้นบ้างภพนี้บ้าง เวียนอยู่ทั้ง ๓๑ ภูมิ นับเวลายาวนานประมาณไม่ได้ว่ากี่ล้านชาติ ไม่ทราบชาติแรกและชาติสุดท้าย ถูกความทุกข์ในการเกิดๆ ตายๆ ครอบงำอยู่ตลอดมา จนกระทั่งมีอยู่ชาติหนึ่งเกิดความรู้สึกเบื่อหน่าย มองเห็นทุกข์ของชีวิต ใคร่อยากหาทางหลุดพ้นจากความทุกข์ และถ้าพบทางหลุดพ้น เมื่อใดตนเองปฏิบัติสำเร็จแล้วจะต้องช่วยเพื่อนมนุษย์ด้วยกันให้รอดพ้นด้วย ตั้งแต่นั้นมา ก็ลองผิดลองถูก ค้นหาหนทางพ้นทุกข์ ชาติแล้วชาติเล่าที่เกิดขึ้น
เวลาใดที่ตั้งใจดังกล่าวแล้วนี้ เรียกว่าผู้นั้นเป็นพระโพธิสัตว์แล้ว เพียงแต่ยังมีสภาพไม่แน่นอน บางชาติอาจหลงลืม พลาดพลั้งไปทำบาปกรรมขึ้นมาใหม่ ต้องกลับไปรับผลกรรมในอบายภูมิ เสียเวลาค้นคว้าหาทางพ้นทุกข์ บางครั้งเป็นเวลาหลายๆ หมื่นปี เมื่อมีสติปัญญานึกได้เริ่มกระทำใหม่ กลับไปกลับมาลองผิดลองถูกอยู่เป็นเวลายาวนานคำนวณนับกันไม่ได้ จึงเรียกกันว่าเป็นกัป จนกระทั่งสะสมความตั้งใจและบำเพ็ญคุณงามความดีได้เต็มที่ พอได้มีโอกาสเกิดมาพบพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ใดพระองค์หนึ่งเข้า
(พระสัมมาสัมพุทธเจ้าคือผู้หาทางออกจากกรงขังสำเร็จ ฯ )
ในชาตินี้เอง ได้มีโอกาสสร้างบุญกุศลใหญ่ในสำนักพระทีปังกรสัมมาสัมพุทธเจ้า และพระองค์ทรงพยากรณ์ให้ว่า จะได้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ใดพระองค์หนึ่งในอนาคตกาล นับจากนั้นจะกลายเป็นพระโพธิสัตว์ชนิดถาวร เรียกว่า -
ในยุคที่จักรวาลของเราดำรงอยู่ขณะนี้ มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้และตั้งพระศาสนาผ่านมาแล้ว ๓ พระองค์ ปัจจุบันอยู่ในระยะพุทธกาลของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ที่ ๔ ทรงพระนามว่า พระสมณโคดม เมื่อสิ้นพระศาสนาของพระองค์ไปแล้ว อีกนานแสนนาน เมื่ออายุขัยของมนุษย์ลดลงถึง ๑๐ ปี แล้วสูงขึ้นใหม่อสงไขยปี* แล้วลดลงเหลือ ๘ หมื่นปี จะมีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ที่ ๕ ทรงพระนามว่า พระศรีอาริยเมตไตรย ต่อจากนั้นจะไม่มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาตรัสรู้อีกเลย จนจักรวาลถูกทำลาย
บทที่ ๖ พระชนม์ชีพของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ปัจจุบัน
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าสมณโคดมของเรา** แต่เดิมท่านก็เป็นมนุษย์ปุถุชนธรรมดา เวียนว่ายตายเกิดอยู่ภพโน้นภพนี้ไปตามกรรมที่ทำไว้ จนกระทั่งถึงชาติหนึ่งห่างจากเวลานี้ ๒๐ อสงไขยแสนมหากัป พระองค์เกิดเป็นคนยากจนอยู่กับมารดา มีอาชีพหาของป่าตัดฟืน แบกเข้าไปขายในเมือง
วันหนึ่งขณะที่ฟืนหมดแล้ว พักผ่อนอยู่ที่ท่าเรือ เห็นลูกเรือลงจากเรือพากันกลับบ้าน ดูแล้วมีรายได้ดีกว่าตน จึงไปขอสมัครทำงานในเรือกับเจ้าของเรือ โดยขอพาเอามารดาไปกับตนด้วย เจ้าของเรือเต็มใจรับเข้าทำงาน
ในการเดินทางคราวนั้น เรืออัปบางเพราะพายุ ชายตัดฟืนให้มารดาเกาะบ่าตนเอง พากันเกาะไม้กระดานว่ายน้ำเข้าหาฝั่ง ในขณะนั้นเองได้เห็นเพื่อร่วมทางทั้งหลายจมหายไปต่อหน้าทีละคนสองคน จึงรู้สึกสลดสังเวชใจในความทุกข์ทั้งของตนเองและเหล่าเพื่อนๆ ในครั้งนี้เป็นที่สุด มองเห็นปรุโปร่งถึงความทุกข์ของผู้คนและสรรพสัตว์หมดทั้งโลกว่าล้วนแต่มีทุกข์ภัยไปต่างๆ กัน ทุกข์จากเรื่องทำมาหากิน ทุกข์จากการเจ็บไข้ได้ป่วย ทุกข์จากความพลัดพราก ฯลฯ
เวลานั้นจึงมีความคิดอยากช่วยเพื่อนมนุษย์และสรรพสัตว์ให้พ้นทุกข์ที่เกิดขึ้น แม้จะไม่รู้หนทางเลย ก็จะพยายามแสวงหา เมื่อคิดดังนี้ผู้คิดย่อมได้ชื่อว่าเป็นพระโพธิสัตว์แล้ว
ต่อจากนั้นก็เวียนว่ายตายเกิดลองผิดลองถูกสร้างความดีแบบต่างๆ ตามลำพังเรื่อยมาเป็นเวลาถึง ๗ อสงไขยกัป ได้บำเพ็ญบุญกุศในยุคสมัยที่มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงแสนสองหมื่นห้าพันพระองค์ จึงมีความองอาจกล้าหาญเต็มที่ เปล่งวาจาแสดงความปรารถนาขอเป็นพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งบ้างในอนาคต ต่อพระพักตร์ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกพระองค์ที่ได้เกิดพบ หลักจากลั่นวาจาแล้ว พระโพธิสัตว์ก็ทรงบำเพ็ญบารมีทั้งสิบอย่างยิ่งยวดตลอดมาอีก ๙ อสงไขย จนบารมีทั้งสิบเต็มเปี่ยมบริบูรณ์ หากพระองค์ทรงตัดใจออกจากวัฏฏสงสาร ปฏิบัติตามคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ใดพระองค์หนึ่งที่ทรงได้พบในเวลานั้น พระองค์จะทรงสามารถบรรลุมรรคผลนิพพานทันที
แต่เนื่องจากทรงต้องการเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยพระองค์เอง ด้วยทรงมีพระมหากรุราในสรรพสัตว์ ต้องการช่วยสรรพชีวิตให้พ้นจากกรงขังของการเวียนว่ายตายเกิด จึงไม่ยอมเป็นพระอรหันตสาวกในพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ใด
ได้ทรงสร้างบารมีเพิ่มเติมเต็มเปี่ยมยิ่งขึ้นต่อมาอีก ๔ อสงไขยกับหนึ่งแสนมหากัป (๑ มหากัป เท่ากับเวลาตั้งแต่จักรวาลถูกทำลายและตั้งขึ้นจนถูกทำลายอีกครั้ง หรือเทียบ ๒๕๖ อันตรกัป) จึงทรงสามารถตรัสรู้ด้วยพระองค์เอง เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และทรงสั่งสอนเวไนยสัตว์ให้บรรลุมรรคผลนิพพานตามเป็นจำนวนมาก
ในพระชาติสุดท้ายก่อนชาติตรัสรู้ทรงเป็นเทพบุตรชื่อสันดุสิต เหล่าเทพยดาทั้งหลายทูลเชิญให้เสด็จจุติจากสวรรค์ชั้นดุสิต ลงมาเกิดในตระกูลกษัตริย์ นี้เป็นหลักธรรมดาของพระโพธิสัตว์ที่มีบารมีเต็มเปี่ยม จะทรงเลือกเกิดในตระกูลที่มนุษย์ยุคนั้นนิยมกันว่าสูงสุด
ถ้ายุคในประชาชนนิยมยกย่องพราหมณ์เป็นวรรณะเลิศ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะเกิดในตระกูลพราหมณ์ แต่ในยุคพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรา ประชาชนนิยมตระกูลกษัตริย์ พระองค์จึงทรงเลือกเกิดในตระกูลกษัตริย์ศากยวงศ์ ที่นครกบิลพัสดุ์ แคว้นสักกะ ในประเทศอินเดียสมัยนี้
(* ในจักรวรรดิสูตร ที.ปาฏิ. กล่าวถึงตอนกัปเจริญขึ้น อายุมนุษย์จาก ๑๐ ปี เจริญขึ้นทีละหนึ่งเท่าตัวจนอายุได้ ๘ หมื่นปี พระศรีอริยเมตรไตรย จึงเสด็จอุบัติ และในอรรถกถา กล่าวอธิบายไว้ว่า เป็นช่วงอายุไขลงจากอสงไขยปีลดลงเหลือ ๘ หมื่นปี พระศรีอริยเมตรไตรยจึงเสด็จอุบัติ
** ชินกถามาลีปกรณ์ ฉบับแปล หน้า ๘)
--------------------------------------------------------------------
ที่มาของข้อมูล
http://www.kalyanamitra.org
--------------------------------------------------------------------