เมื่อเกิดปิติแล้วเรารู้สึกจนปิติหายไปแล้วเกิดจิตที่รู้สึกตั้งมั่นแล้วเราจะเดินวิปัสสนาได้เรยไหมครับหรือว่าต้องดูไปเรื่อยๆ การเดินวิปัสสนา เราต้องช่วยจิตให้คิดหรือไม่ ว่าจะต้องพิจารณาอย่างไร ผม ไม่รู้ว่าจะไปยังไงต่อครับ
จากฌานเข้าวิปัสสนา
ในห้อง 'ประสบการณ์อภิญญา' ตั้งกระทู้โดย เพ็ชร คมปภ้สษ์, 3 กันยายน 2019.
-
-
+++ ไล่ไปจาก "ปิติ สุข เอกัคตา" ถ้าทำได้ถูกต้อง ก็ ถือว่า มาถูกทาง
+++ วิปัสสนาที่แท้จริง คือ "สัมโพชฌงค์ 7"
+++ ในกรณีของคุณ "ให้อยู่กับ จิตที่รู้สึกตั้งมั่น" แล้ว "อยู่อย่างนั้น"
+++ แล้วมันจะรู้เองว่า มันมีองค์ประกอบบางประการ "เจืออยู่ภายใน จิตตั้งมั่นนั้น"
+++ อาการหนึ่ง คือ "สติรู้ชัดเจน ถึงอาการ ตั้งมั่น" และ "ไม่มีอาการ ดู เจือปนอยู่"
+++ หากถึงตรงนี้เมื่อไร ก็จะตรงกับอาการ 1. "โพชฌังโค สะติสังขาโต"
=========================================
+++ ให้ทำอาการ "ตั้งมั่น สลับกับการทำ รู้ชัดเจน"
+++ ก็จะเริ่มเข้ใจได้เองว่า "ทั้ง 2 กรณี" มัน "ตั้งมั่น ทั้งคู่"
+++ กรณีหนึ่งเป็น "จิตตั้งมั่น (ใช้ภาษาที่คุณ พอจะเข้าใจได้)"
+++ อีกกรณีหนึ่งเป็น "สติตั้งมั่น (ใช้ภาษาที่คุณ จับความต่างได้)"
+++ หากคุณทำได้ถูกต้อง คุณจะรู้ "ความแตกต่างของ เนื้อสภาวะ" ได้เอง
+++ สภาวะของ "จิตตั้งมั่น" จะมีอาการ "อึมครึม" ของเนื้อสภาวะ (ธัมมารมณ์จิต ตั้งมั่น)
+++ ส่วนสภาวะของ "สติตั้งมั่น" จะมีอาการ "ใสกระจ่าง" ของเนื้อสภาวะ (สติชัดเจน ตั้งมั่น)
+++ การทำ "สลับไปมา" ในเนื้อสภาวะที่ "ตั้งมั่นทั้งคู่นี้" เท่านั้น จึงเรียกว่า "วิปัสสนา"
+++ หากถึงตรงนี้เมื่อไร ก็จะตรงกับอาการ 2. "ธัมมานัง วิจะโย ตะถา"
=========================================
+++ ให้ทำไปเรื่อย ๆ จนอาการอื่น ๆ ที่ "เจือ" อยู่ในบริเวณนี้ ปรากฏมาเอง
+++ เช่น "อาการตื่น (ผู้ตื่น)" "พลังแห่งการตื่น" "อาการเจิดจ้า" "อาการเปล่งรังสี"
+++ อาการต่าง ๆ ที่ "เจือ" อยู่ใน "จิต/สติ ตั้งมั่น" เหล่านี้
+++ จะ ค่อย ๆ ทยอยปรากฏตัวออกมาเอง
+++ และ "ความคิด จะไม่สามารถก่อกำเนิดในสภาวะต่าง ๆ เหล่านี้ได้"
+++ หลัก ๆ จะเป็น ปิติบ้าง สงบราบคาบบ้าง
+++ ทั้งหมด จะเป็นปรากฏการณ์ "ไร้ตัว แต่ มีตน"
+++ เมื่อถึงตรงนี้ จะเป็น 3. "วิริยัมปีติปัสสัทธิ โพชฌังคา จะ ตะถาปะเร"
=========================================
+++ ให้ฝึกจน "ผ่านปรากฏการณ์ต่าง ๆ" ที่เป็น "เนื้อสภาวะทั้งหมด เท่าที่มี"
+++ จนกว่า "จะรู้ ได้เองว่า" ไม่ว่า "เนื้อสภาวะ" จะแปรไปกี่สภาวะก็ตาม
+++ แต่ "สภาวะรู้" ก็ยัง "รู้อยู่ คงเดิม" ไร้การเปลี่ยนแปลง
+++ ตรงนี้ "สภาวะรู้" เป็น "อุเบกขา" ที่ ไร้เจตนา โดยสิ้นเชิง
+++ เมื่อถึงตรงนี้ จะเป็น 4. "สะมาธุเปกขะโพชฌังคา"
=========================================
+++ โภชฌงค์ 7 คือ 1. สติ 2. ธัมมะวิจัย 3. วิริยะ 4. ปิติ 5. ปัสสัทธิ (สงบลงตัว) 6. ตั้งมั่น 7. สภาวะรู้
สัตเตเต สัพพะทัสสินา มุนินา สัมมะทักขาตา
+++ ทั้ง 7 ประการนี้ พระพุทธเจ้า ตรัสไว้ชอบแล้ว
ภาวิตา พะหุลีกะตา
+++ ผู้ใด ทำจนชำนาญ จนได้นิสัย
สังวัตตันติ อะภิญญายะ นิพพานายะ จะ โพธิยา
+++ ย่อมเป็นไปเพื่อ อภิญญา นิพพาน และ "โพธิธรรม"
เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ โสตถิ เต โหตุ สัพพะทา ฯ
+++ ด้วยการกล่าวคำสัตย์นี้ ขอความสวัสดี จงบังเกิดมีแก่ท่าน ตลอดกาลทุกเมื่อ
+++ การเดินวิปัสสนานี้ จะเอา "ความคิด" เข้ามามั่ว ได้หรือไม่
+++ ว่า "มันใช่ความเข้าใจ ตามที่เคยเข้าใจกันมา หรือไม่"
+++ หรือว่ามันต้อง "คิดจนกรรมฐานแตก" มโนฟุ้งซ่าน จนวิปลาสไปเลย
+++ หากจะปฏิบัติ ก็ "ให้อ่านทบทวน อีกรอบ" แล้ว "ลงมือทำ" นะ -
-
+++ หรือว่า "ไปฟัง ๆ เขามา แล้วเอามาเทียบกับตนเอง" แล้วเข้าใจว่า ตรง
+++ เรียกกันอีกนัยหนึ่งว่า "โลกียะนิพพาน หรือ นิพพานพรหม"
+++ เป็นอาการ "คล้ายนิพพานในตำรา" แต่มันกลายเป็น "ไร้สติ" ไปซะงั้นเอง
-
ของบคุณน่ะครับ
-
เมื่อไหร่ที่ มีความทุกข์ เข้ามาในใจของเรา
แล้วเราคิดหาวิธิที่จะออกจากทุกข์นั้น
แต่เรามักจะมัวเสียใจกับ ความทุกข์ ที่เกิดกับเรา
เรามักจะหาวิธีที่จะออกจากทุกข์
แต่ก็หาไม่ได้ซักวิธี ยิ่งค้นหา ยิ่งตีบตัน
จนในที่สุด เราก็เลิกค้นหา ไปทำอย่างอื่นก่อน
แล้วค่อยว่ากันใหม่ ความทุกข์ที่เรามีมันก็ปล่อยวาง
ได้ด้วยตัวของมันเอง แค่เราไม่คิดถึงมัน ไม่สนใจมัน
มันก็จะไม่สนใจเรา เราก็ออกจากทุกข์ได้เอง
วิธีการอย่างนี้ จะเรียกว่า วิปัสสนา อย่างหนึ่ง
คือ การมุ่งหาวิธีที่จะออกจากทุกข์
เมื่อไหร่ที่เราปล่อยวางทุกข์ลง
เมื่อนั้นเราก็บรรลุธรรมทันที
หากฝึกพิจารณาได้เองบ่อยๆ
ก็จะได้เป็นพระอรหันต์
จำให้ดี ยิ่งคิดยิ่งเป็นทุกข์ ไม่คิด ก็ไม่เป็นทุกข์
เมื่อกลับมาสนใจมันอีก มันก็เป็นทุกข์อีก
กลับไปกลับมาอย่างนี้ตลอด
หากอยากจะทำ วิปัสสนา หรือ จะออกจากทุกข์
จะต้องพิจารณา พระไตรลักษณะสามอย่าง คือ
ความไม่เที่ยง การเป็นทุกข์ และ สิ่งที่ไม่มีตัวตนอยู่จริง
ฝึกพิจารณาสามอย่างนี้เสมอๆ ก็จะบรรลุธรรมได้เอง
ฝึกเองทำเอง ไม่ต้องง้อใคร แค่เรื่องง่ายๆ
ส่วนที่ไม่ง่าย ก็คือ ขี้เกียจฝึก
อย่างนั้นจะต้องมี ครูบาอาจารย์
คอยถือไม้เรียว คอยสอนสั่ง
-
เป็นเพราะไม่ได้ฝึกแบบสายปัญญา
ในอดีตเป็นพวกเข้าญานได้เก่งมากๆ
คิดนิดเดียว ก็เข้าญานได้เลย
ฝึกเดินจงกลมให้มากๆ เพราะจะช่วยให้สติดีขึ้น
ถ้าจะดูเกิดดับ มันต้องดูตอนที่ทุกข์เกิดขึ้น
เมื่อไหร่ที่ทุกข์เกิดขึ้น เมื่อนั้นให้พิจารณาตามว่า
ทุกสิ่งล้วนเกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วดับไป
ท่องแค่นี้ก็พอ แล้วก็คิดตามคำที่เราท่องให้ทัน
เมื่อคิดตามทันแล้ว ที่นี้ก็ต้องฝึกแบบคิดเองบ้าง
ต่อไปคือ การฝึกแบบมโน คือ คิดในใจขึ้นมา
เมื่อคิดอะไร ก็ให้คิดตามว่า ทุกสิ่งเกิดแล้วดับ -
-
-
แบบที่คุณทำตอนนี้ เค้าจะเรียกว่า สติปัฏฐาน
หรือ การดึงสติกลับคืนมาที่ฐานเก่า
แต่มันยังไม่ช่วยให้บรรลุธรรมได้
แค่ทำให้ผู้ฝึกมี สติที่ดีเยี่ยม แค่นั้น
หากอยากจะบรรลุธรรม ก็จะต้องพิจารณา
พระไตรลักษณะสามอย่าง ควบคู่กันไปด้วย
เช่น เมื่อคุณเห็นเพศที่คุณชอบ
ทันใดนั้นให้คุณภาวนาว่า กายที่เราเห็นไม่เที่ยงๆๆๆๆๆ
ตามไปในขณะที่คุณคิดทันที
จะเรียกว่า การสู้กันซึ่งๆหน้า
นี่จึงเรียกว่า วิถีแห่งพระโสดาบัน
ซึ่งเป็นพระอริยะเจ้าชั้นต้น
ส่วนการพิจารณาร่างกายของเราเอง
เป็นแนวทางของ พระอริยะเจ้าชั้นกลาง
และ พระอริยะเจ้าชั้นสูง -
โพธิปักขิยธรรม37
ควรไล่ไปตามหมวดธรรมของโพธิปักขิยธรรม37
ธรรมทั้งหลายทำให้มี
ทำให้เป็น
เดียวปัญญามันก็เจริญงอกงามเองละครับ -
เกิดจิตที่รู้สึกตั้งมั่นแล้วเราจะเดินวิปัสสนาได้เรยไหม ====>>ใครที่ทำถึงขั้นนี้ได้แล้ว ก็เหมือนว่าวที่ติดลมบน เราคงต้องเป็นห่วงมันไหม หรือคอยดึงเชือกบ่อยป่าว เพราะกลัวว่าวจะตก มีสองอย่างที่ควรจะทำก้คือ ฉลาดในการวางจิต กับฉลาดในการเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับจิต เมื่อมีอารมณ์ใดๆ กับ ความคิดเกิดที่จิต ก็จงทำตัวเป็นผู้ดู ผู้รู้ และผู้เห็นที่ดี อะไรที่เกิดขึ้น ก้ให้ผ่านไป ฝึกง่ายๆ สบายๆแบบนี้ล่ะคับ โดยมีสติผูกไว้กับจิต แนบเป็นเพื่อนกับจิตตลอด ถ้าทำแบบนี้ได้ก้จะเห็นความก้าวไปของจิต ผู้รู้ก้คือจิต ตัวผู้เห็นคือสติ สิ่งที่ถูกเห็นคืออารมณ์ของจิต กับความคิดหรืออาการของจิต(เงาจิต) วิปัสสนาจะเริ่มเกิด โดยนับ1 ที่จิตเริ่มตั้งมั่นนี่แหละคับ