จิตเดิมแท้ ไม่มีในพระไตรปิฎก จิตเดิมแท้ไม่มี เพราะฉะนั้น คน
ในยุคหลังท่านเขียนขึ้น หรือว่าท่านแต่งขึ้น เพราะว่าในพระไตรปิฎกใช้คำ
ว่า จิตประภัสสร เท่านั้น อิทัง จิตตัง ปภัสสรัง ใช้คำว่า จิตประภัสสร
แต่คนยุคหลังไปเติมเข้ามาว่า จิตเดิมแท้ จิตเดิมอยู่ที่ไหน ในเมื่อจิต
เกิดขึ้นทีละขณะแล้วก็ดับไป แล้วเงื่อนต้น เงื่อนปลาย ก็ไม่ปรากฏ
พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ทรงแสดงว่า จิตขณะแรกมาจาก
ไหน เพราะว่าไม่มีประโยชน์ ขณะนี้มีสภาพธรรมปรากฏ แต่ไม่รู้
สภาพธรรมที่ดับไป แล้วจะรู้ได้อย่างไร
จิตคืออะไร
ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย วิมุตติ, 28 มกราคม 2008.
หน้า 2 ของ 3
-
-
-
กำ...
-
ถูกแล้ว คำว่าจิตเดิมแท้ไม่มี อย่าติดภาษา แต่จงเข้าใจความหมาย
แม้คำว่านิพพานเอง ก็มีหลายชื่อ เช่น วิมุตติ โลกุตตรธรรม
ผมจึงใช้คำว่า จิตเดิม หรือภาวะเดิมของเรา ก่อนเกิดอวิชชา -
ถามว่าเค็มที่ลิ้นหรือน้ำ ตอบว่าเค็มที่ใจครับ(คนใจเค็ม)<!-- / sig -->
-
ถูกแล้ว
คำว่า พระเจ้า ของ ใบไม้ เป็นแค่คำอุปโลก หาความหมายใดมิได้
และ จิตเดิม ที่คุณบำรุง อุปโลกขึ้นเอง มันก็คือ จิตประภัทรสร
ดังนั้นศัพท์ พระเจ้า และ จิตเดิม เป็นคำใหม่ที่ไม่มีในพุทธศาสนา
แต่คนรุ่นหลัง อุปโลก และ ตีความตามความเข้าใจตน -
ผมหลงเข้าใจว่า อุปทาน -
ความจริงคำว่า จิตเดิม จักรวาลเดิม พระอริยะหลายพระองค์(ผมฟันธงและพร้อมรับผิดชอบ พระที่ผมบอกว่าเป็นพระอริยะ)ก็นำมาใช้ เช่นหลวงปู่ดุลย์ อตุโล พระอาจารย์สมพงษ์ ฐิติสัมปันโน วัดเขาประตูชุมพล ก็ใช้คำว่า จิตเดิม
ท่านเว่ยหล่าง ใช้คำว่า จิตเดิมแท้(เขาแปลว่าจิตเดิมแท้ แต่ท่านเว่ยหล่าง ไม่ได้พูดว่า จิตเดิมแท้ อย่าติดที่ภาษา)
คำว่าจิตเดิม ประภัสสร ในคัมภีร์ สำหรับผม คือโลกุตตรธรรม เป็นจิตของผู้บรรลุธรรมเท่านั้น ไม่ใช่จิตคนทั่วไป
ลองอ่านโศลกของพระอาจารย์มพงษ์
" เขาประตูชุมพลพุทธธรรม ขอประกาศธรรมให้ไพศาล
จิตเดิมแท้ครั้งอนันตกาล คือมหานิพพานนิรันดร
แต่ตั้งเดิมมามีอยู่หนึ่งเดียว ไม่เกิดไม่ดับเที่ยงแท้ถาวร
ไม่วุ่นวายเหมือนอยู่ในโลกา รู้ไว้เถิดหนาท่านสาธุชน
ไม่สูงไม่ต่ำไม่ดำไม่เขียว ไม่ถูกความมืดปกคลุมเอาไว้
ถ้าหากได้พบไม่เกิดไม่ตาย สุขยิ่งอื่นใดที่อุปมา
จิตเดิมแท้ครั้งอนันตกาล วิวัฒนามามีรูปนาม
มายาเกิดตายก็ติดตามมา เพราะอวิชชาพาให้มืดมน
ต้องมาทุกข์หลงว่าเป็นตัวตน มนุษย์ทุกคนหลงในรูปนาม
ภพชาติติดตามให้แก่เจ็บตาย น้ำตาสัตว์โลกต้องหลั่งไหลริน
เพราะมาหลงติดยึดมั่นในธาตุ อาศัยธาตุดินให้เกิดเป็นกาย
อาศัยธาตุน้ำหล่อเลี้ยงเอาไว้ อาศัยธาตุลมที่ช่วยหายใจ
อาศัยธาตุไฟให้ความอบอุ่น อาศัยอากาศแผ่ซ่านทั่วกาย
จิตเดิมหลงไหลว่าเป็นตัวตน โอ้อนิจจาช่างน่าสงสาร
ลืมพระนิพพานที่อยู่กับตน โอ้อนิจจาช่างน่าสงสาร
ลืมพระนิพพานที่อยู่กับตน ปล่อยวางจากขันธ์ไม่แก่เจ็บตาย
สุขกว่าสิ่งใดคือพระนิพพาน -
เข้าใจอ้างครูนะคุณ บำรุง แล้วอาจารย์ที่กล่าวมานั้นมี
ท่านไหนใช้คำว่า พระเจ้า ไหม ถ้าไม่นี้ทำไม่ลูกศิษย์
ถึงได้คิดว่าเรียก พระเจ้า ก็ไม่ผิดละ ไม่มีใครสอนอย่าง
นั้นสักคนแล้วพูดออกมานี้ ตกลงจะยกคำว่า พระเจ้า
ให้เป็นคำจาก ครูบาอาจรย์เหล่านั้น หรือ ว่าของคุณเอง
เชื่อสิ อย่าไปใช้เลย แล้วก็อย่าไปยุให้ใครๆเขาต้องไปรุม
คุณใบไม้ ถ้าเขาพูด พระเจ้า เขาก็โดน ถ้าเขาเล่าเรื่องผี
อำประสบการณ์วิญญาณ ก็โดน ตกลงคุณสนุกอยู่คนเดียว
เพราะไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรมากนัก -
อาจารย์ที่ยิ่งใหญ่มากของผม เรียกสิ่งนั้นว่า พุทธะ พระเจ้า จิตเดิม
ถ้าไม่มีผู้บรรลุ ระดับพุทธะ กล่าวไว้ผมไม่กล้ามาโพสหรอกครับ
คนในนี้ร้อยละ99 เอาข้อความคนอื่นมาโพสทั้งนั้น หรือว่าไม่จริง
ผมก็เป็นหนึ่งในนั้น ผมแตกต่างตรงที่ ผมมุมมองใหม่ๆ ประบการณ์มาให้อ่านกัน เพราะทุกคนอ่านคัมภีร์มาแล้วทั้งนั้น
แต่ผมก็ไม่จำเป็นต้องบอกว่า อาจารย์ที่ยิ่งใหญ่มาก ท่านนั้นคือผู้ใด
คนที่มีบุญสัมพันธ์กับท่านเท่านั้นที่จะได้เจอ
ที่ผมบอกว่าท่านยิ่งใหญ่มาก เพราะท่านสามารถให้กับตอบผมได้ในทุกๆเรื่อง -
ก็น่าสงสารตัวคุณนะ มีอาจารย์ที่ยิ่งใหญ่ ตอบคำถามได้ทุกเรื่อง
แต่มาตามเฝ้าเหมือนงอนง้อ เหมือนหลอกล่อ
ให้ ใบไม้ เล่าความที่คุณอยากรู้ ทั้งๆที่ อาจารย์ที่ยิ่งใหญ่ นั้นก็
ตอบได้ และน่าจะดีกว่า หรือว่าเห็นเป็นอื่นละ -
น้ำท่วมปากกระมัง คนไม่รู้จริง ปฏิบัติไม่จริง เอาแต่จำเขามาก็อย่างนี้
ถ้าความรู้ ประสบการณ์ไม่แน่น ก็ไม่ต้องไปว่าใครเขานะ ดูที่ตนนั้นแหละ
พลาด -
ถ้าปฏิบัติได้จริง แล้วเรื่อง พระเจ้า นี้ประเทืองปัญญา
1. คุณจะเล่าในส่วนความรู้ที่คุณมีก็ได้ ไม่ต้องไปล่อลวงหลอกใช้ลุงใบไม้
2. คุณจะจำคำอาจารย์ที่สูงสุดของคุณมาเล่าก็ได้
เว้นแต่มันจะไม่ใช่เรื่องประเทืองปัญญาใคร เป็นเพียงความสนุกของคุณบำรุง
ที่จะยุแหย่ให้เขาพูด ให้เขารำ ให้เขาตำ ให้เขาตีกัน
เพราะถ้าตัวเองรู้จริง หรือรู้จากอาจารย์มาจริง ในเรื่อง พระเจ้า ก็คงไม่ต้องรอ
ให้ลุงใบไม้พูด คุณสามารถพูดของคุณด้วยตัวเองได้เลย ไม่ใช่ทำตัวเหมือน
คนเอาลิ้นตวัดให้เขาพูด เชียรให้เขารำ
อาการประโยชน์ตัวเองก็ไม่มี ประโยชน์คนอื่นก็ไม่มี เขาเรียกว่า บัดซบ -
ถ้าอย่างนั้น คงต้องรบกวนอาจารย์ผู้ใหญ่ยิ่ง ของท่านมาช่วยตอบแล้วล่ะครับ -
ตามที่ท่านอื่นๆว่า คุณบำรุงไม่เห็นต้องถามใครแล้ว เพราะมีอาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่เป็นอับดุลตอบได้หมด ว่าแต่ รู้มากแล้วไง ก็มีดีแต่จำเค้ามาพูดนั่นแหล่ะ เค้ามีคำว่า นิพพาน จิตเดิมแท้ จิตประภัสสร ให้ใช้ ดันอุตริไปสะเอ๊อใช้ พระเจ้า ความหมายมันก็เพี้ยนหน่ะสิ
ถ้าคุณบำรุงมีปัญญาเพียงแค่นี้ ผมบอกได้เลยว่า อาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่ที่ว่าหน่ะ ไม่ใช่พระอริยะแน่ๆ -
ถาม อาจารย์
ความรู้ผุด คืออไร ครับ
ในที่นี้กระผมมั่นใจว่า ไม่ใช่การปิ๊งไอเดีย แบบทางโลก
แต่เป็นความรู้ทางธรรมแน่ๆ ผุดมาแว๊บเดียว แล้วหายไป
อาการในขณะนั้น สว่างนัตย์ตา เข้าใจแจ่มใส และถูกต้อง
ตัวอย่าง
สมมุตติ
เราแค่นึกอะไรสักอย่างขึ้นมา ( ยังไม่ได้คิด)
ความรู้ก็แว๊บเข้า และมันต่างจากความเชื่อเดิมๆที่เชื่อตามตาม
ไอ้ตัวแว๊บเนี่ย เปลี่ยนทัศนะคติได้เลยครับ
แต่เมื่อเรากลับมานึกถึงเหตุการณ์นั้นอีกทีโดยละเอียด
กลับตีบตัน คิดไม่ออก เรียบเรียงไม่ทัน
เพราะเข้าใจว่าเกิดเร็วมากครับ -
ข้อนี้ คุณ ฐานัฎฐ์ ตั้งคำถามดีนะ เขาเรียกว่า ญาณปัญญา ครับ หรือ ตัวรู้ก็ได้ ฝรั่งมันก็มีคำศัพท์คำนี้นะ เรียกว่า intuition ถ้าเป็นอย่างง่ายเรียกว่า สัญชาติญาณ ถ้าระดับสูง ก็ เป็นญาณ ต่างๆ กันไป เช่น สังขารุเบกขาญาณ อุทัพยญาณ เป็น วิปัสสนาญาณ คือ ตัวรู้ที่เห็นความจริงแท้
คือ ผุดรู้ ผุดเห็นขึ้นมาเอง ไม่ได้อิงความคิดที่ต่อเนื่อง แต่เห็นจากปัจจุบัน -
ไอ้ตัวความรู้ผุดนี่แหละครับ
เคยสัมผัสแล้ว ใช้ได้เลยครับ
แต่บังคับไม่ได้ อยากจะให้มันปิ๊งปั้งทุกเวลาที่เรานึก... แต่มันทำไม่ได้
แต่ถ้าจิตขณะนั้นเป็นสมาธิ หมายถึง ว่างจากอารมณ์ทั้งปวง
แล้วนึกเรื่องอะไรสักอย่าง ตัวรู้ก็ผุดขึ้นมาโดยยังไม่ต้องคิดอะไรเลย
มันเห็นเอง เข้าใจเอง
อย่างนี้ถูกต้องมั๊ยครับ.. -
ถูกต้องที่สุด ว่างจากความปรุงของเรา ปัญญามันย่อมมีเอง
-
เก่งนะ ที่สังเกตุได้ แสดงว่า มีสติกล้าแล้ว
ถ้าไม่ไปตกหลุมกิเลสซะก่อน คงเห็นธรรมได้ อีกไม่นาน
หน้า 2 ของ 3