จิตจักรวาล

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย anakarik, 3 กุมภาพันธ์ 2016.

  1. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,420
    ค่าพลัง:
    +3,195
    จากโพส#111 ท่าน ณฉัตรได้ถามนะคะ

    เมื่อคืนตอนตี 3 ตื่นขึ้นมาแล้วคำถามของท่านณฉัตรยังก้องอยู่ในใจ
    เพราะก่อนนอนได้คิดคำนึงแล้วจึงนอน และข้อมูลของท่านเจ้าของกระทู้ตื่นขึ้นมานิ่งสักพักมีบางอย่างที่ได้รับคำตอบเพื่อพิจารณานะคะ

    ไม่แน่ใจว่าท่าน ณ ฉัตรได้สอบถามเกี่ยวกับไปสัมผัสกับจักรวาล
    เห็นดาวต่าง ๆ มากมาย น่าจะเป็นคำถามประมาณนี้นะคะ
    เพราะท่านลบไปแล้ว

    ได้มีคำตอบขึ้นมาในใจ 3 ประเด็นค่ะ

    กรณีแรก จะ อ้างถึงท่านธรรมชาติ ถามในโพสเกี่ยวกับเรื่องเป็นสัมผัสพลังงานเป็นหนึ่งเดียวกับจักรวาล link มาให้อ่านกันค่ะ หน้า 11 ค่ะ จะชัดเจนยิ่งขึ้น

    http://palungjit.org/threads/%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B8%AD%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%A3%E0%B8%82%E0%B8%B6%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81-%E0%B8%82%E0%B8%B6%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%A1%E0%B8%99%E0%B8%B8%E0%B8%A9%E0%B8%A2%E0%B9%8C%E0%B8%97%E0%B8%B8%E0%B8%81%E0%B8%84%E0%B8%99%E0%B8%A7%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%88%E0%B8%B0%E0%B8%95%E0%B8%B1%E0%B8%94%E0%B8%AA%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B9%83%E0%B8%88%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B9%84%E0%B8%A3.537708/page-11



    ท่านธรรมชาติถามว่า.....

    +++ ถามนิดเดียวนะไม่มากหรอก ในขณะที่ "สัมผัสคลื่นพลังงานเป็นหนึ่งเดียวกับจักรวาล" ตอนนั้น

    1. เป็น "เนื้อเดียวกัน" กับ อวกาศ หรือไม่
    2. หากใช่ ขณะนั้น "มี" ดาวกลาดเกลื่อน หรือ กาแลคซี่กลาดเกลื่อน
    (ตรงนี้มีความ ต่างกันชัดเจนอยู่นะ)(จริง ๆ ยังมีอีกระดับหนึ่ง
    แต่ไม่น่าจะไปถึง เลยไม่ถามดีกว่า)


    แล้วท่านก็แนะนำต่อว่า การออกอวกาศนั้น ทำได้หลายทาง
    พวกฝรั่ง และ ฌานฤษี" ทำได้ ...ไปได้ทั้งตัว
    ออกอวกาศได้ตามความเป็นจริง และ มีความชำนาญอยู่บ้าง
    "ย่อมจำแนก" อาการที่กล่าวมานี้ได้อย่าง "ชัดเจน"

    ดังนั้นตามความเข้าใจของตน จึงเข้าใจว่าผู้มีอิทธิฤทธิ์ดั่งพระโมคัลลนะ
    ท่านก็ไปได้ตามพระสูตรในพระไตรปิฏ นะคะ

    กรณีที่ 2 "เนื้อของอัตตาจิต สัมพันธภาพกับ เนื้อของอวกาศ"

    ส่วนในกรณี รู้ว่ากระแสพุ่งจากกายไปรวมเป็นหนึ่งเดียวกับจักรวาล
    ไม่มีตน ไม่มีกายในขณะนั้น มีแต่สภาพโล่ง ว่าง โปร่งเบา อิสระ
    และสุขอย่างลึก ๆ ยากจะบรรยาย สุขแบบแรกเป็นแค่ความสุข
    ของคลื่นกระแสสั่นสะเทือนภายในกาย แต่สุขครั้งที่สองนี้
    เป็นสุขจากการไร้สิ่งใด คือ ไม่มีตัวตนเลย สุขละเอียด สุขลึก ๆ
    ชั่วขณะก็กลับคืนมาที่กายดังเดิม


    กรณีที่ 3

    ลักษณะของสุญญตา เป็นธรรมชาติที่ไร้การปรุงแต่ง เป็นธรรมที่เร้น
    ซ้อนซ่อนอยู่ในธรรมชาติ บริสุทธิ์ หลุดพ้น อิสระ ไร้การปรุงแต่งใด
    อยู่เหนือการปรุงแต่งใด ๆ ทั้งปวง สิ่งใด ๆ ไม่สามารถปรุงแต่งธรรมชาตินั้นได้
    ทราบแค่นี้ค่ะ

    กรณีแรก jityim ไม่ได้สัมผัสด้วยตนเอง นำข้อมูลจากท่านธรรมชาติ
    มาให้พิจารณาประกอบค่ะ

    ส่วนกรณี 2 และ กรณี 3 ทั้งสองสภาวะนี้แตกต่างกันทั้ง 2 อย่าง คือ
    1.สภาวะที่จะนำพาจิตเข้าไปถึง....ลักษณะนั้น กับ
    2.สภาวะที่ได้สัมผัส



    สภาวะที่ 2 อาจเป็นจิตประภัสสร หรือ จิตจักรวาล ตามที่ท่านดอกไม้
    หรือ เจ้าของกระทู้ กล่าวก็ได้ค่ะ เพราะเนื้อจิตเป็นหนึ่งเดียวกับจักรวาล
    ว่าง ไร้ตัวตนใด ๆ แต่สภาวะนั้นก็ยังไม่ถึงสภาวะ กรณีที่ 3



    และสภาวะกรณีที่ 3 อาจจะเป็นอย่างที่ท่าน ดอกไม้ เจ้าของกระทู้กล่าวก็ได้ค่ะ
    ที่เป็นธรรมะของศากยมุนี เพราะสภาวะนี้เป็นความว่างที่ไร้การปรุงแต่งใด ๆ
    ตามที่ได้กล่าวได้แล้วขั้นต้น


    เรื่องนี้ต้องรอผู้ที่เคยสัมผัส หรือ รอเจ้าของกระทู้มาตอบเพื่อความชัดเจนก็ได้ค่ะ
    ตนเองรู้เพียงเท่านี้ และ มีสภาวะที่แตกต่างกันอย่างไร แค่นั้นเองค่ะ
     
  2. พรหมณี

    พรหมณี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    2,547
    ค่าพลัง:
    +12,863
    เอ...ไม่ทราบจะแทรกตรงไหนดีค่ะ...เอาเป็นว่าแทรกรงส่วนของคุณณฉัตรแล้วกันค่ะในเรื่องของการฝึกปฏิบัติที่ไม่เกี่ยวกับสายพุทธศาสตร์.....แต่มันเริ่มต้นจากสายพุทธศาสตร์คือนั่งสมาธิแบบอาณาปาณสติ จนประทั่งถึงสติปัฏฐาน 4 พอเริ่มจิตละเอียดสามารถสื่อกับวิญญาณได้ หลังจากนั้นก็มีภาคต่อค่ะ....แต่คราวนี้ไม่ได้เน้นในเรื่องของปัญญาหรือวิปัสนาทั้งที่จิตเราปรารถนา.....แต่การปฏิบัติจริงกลับเลี้ยวเข้าหาในสายฤๅษีซะนี่

    ก็เลยเกิดความมึนงง ถึงอย่างไรเราก็ยังพุทธศาสนิกชนคนนึง..เลยไม่พยายามเอาส่วนนี้มาปนกับหลักคำสอนของพระพุทธเจ้า....แต่พอฝึกไปๆก็จะมีเสียงมาสั่งในจิตว่าให้นั่งสมาธิแบบนี้ ดึงจิตลงแบบนี้ เดินธาตุแบบนี้มันก็ไปต่อได้เหมือนกันค่ะ....แต่กลับถามไถ่ครูบาอาจารย์ในปัจจุบันหรือแม้แต่ญาติธรรมก็ไม่สามารถตอบได้ ก็เลยหาเพื่อนคุยได้ยาก

    ส่วนหนึ่งก็คือในเรื่องการเดินธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ ถ่ายธาตุส่วนเกินออกมาโดยทำการวัดผลจากการถ่ายธาตุใส่ลูกแก้ว ลูกแก้วเปลี่ยนสีและปริแตกทั้งหมด...รวมถึงลูกแก้วเกลียวมะเฟือง ในส่วนของเกลียวมะเฟืองละลาย....

    รวมถึงการวัดระดับจิต พลังงานทางจิต หรือจะเทียบกับสายฤๅษีก็คือวัดระดับฌาณ โดยการหุงปรอทโดยไม่เข้าธาตุใดๆ ปรอทแข็งตัวทั้งที่หุงด้วยไฟ...หุงครั้งที่ 2-3-4 ก็แข็งตัวตลอด..

    พอมาถึงในเรื่องการเชื่อมโยงธาตุภายนอกและภายในกับจักรวาล ยิ่งหาคนฝึกได้น้อยยิ่งกว่า....ถ้ามีใครฝึกด้านนี้เผื่อจะขอคำชี้แนะผู้รู้ทุกท่านค่ะ
     
  3. พรหมณี

    พรหมณี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    2,547
    ค่าพลัง:
    +12,863
    ลูกแก้วที่ถ่ายธาตุลงไป บางลูกปริแตก บางลูกขยายใหญ่ บางลูกเปลี่ยนสี
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • Cbpesl.jpg
      Cbpesl.jpg
      ขนาดไฟล์:
      9.7 KB
      เปิดดู:
      101
    • ZCMQ2Q.jpg
      ZCMQ2Q.jpg
      ขนาดไฟล์:
      8.5 KB
      เปิดดู:
      96
    • xlzWnY.jpg
      xlzWnY.jpg
      ขนาดไฟล์:
      10 KB
      เปิดดู:
      120
  4. พรหมณี

    พรหมณี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    2,547
    ค่าพลัง:
    +12,863
    ลูกแก้วเกลียวมะเฟือง เมื่อถ่ายพลังธาตุเราลงไป เกลียวมะเฟืองถึงกับละลาย
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • ceIQYs.jpg
      ceIQYs.jpg
      ขนาดไฟล์:
      4.8 KB
      เปิดดู:
      108
    • THGkXJ.jpg
      THGkXJ.jpg
      ขนาดไฟล์:
      5 KB
      เปิดดู:
      87
    • 2U8PKH.jpg
      2U8PKH.jpg
      ขนาดไฟล์:
      5.2 KB
      เปิดดู:
      114
    • yNRZfO.jpg
      yNRZfO.jpg
      ขนาดไฟล์:
      5 KB
      เปิดดู:
      93
  5. พรหมณี

    พรหมณี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    2,547
    ค่าพลัง:
    +12,863
    พอฝึกเดินธาตุภายในต่อ จะเกิดพลังขึ้นมากมายจำเป็นต้องถ่ายออกม่ายงั้นอึดอัดมาก โดยเฉพาะความร้อน ลูกแก้วเล็ก รวมถึงลูกแก้วเกลียวมะเฟืองไม่พอ ก็เลยถ่ายความร้อนลงในลูกแก้วคว็อทซ์ขนาดใหญ่

    ผลลัพท์คือคว็อทซ์ละลาย แตกเป็นเส้นริ้วๆ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • hN9YpR.jpg
      hN9YpR.jpg
      ขนาดไฟล์:
      6.5 KB
      เปิดดู:
      90
    • M06hGg.jpg
      M06hGg.jpg
      ขนาดไฟล์:
      7.6 KB
      เปิดดู:
      112
    • f3LzPV.jpg
      f3LzPV.jpg
      ขนาดไฟล์:
      7.5 KB
      เปิดดู:
      100
  6. ณฉัตร

    ณฉัตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 เมษายน 2015
    โพสต์:
    635
    ค่าพลัง:
    +792

    +++ ถามนิดเดียวนะไม่มากหรอก ในขณะที่ "สัมผัสคลื่นพลังงานเป็นหนึ่งเดียวกับจักรวาล" ตอนนั้น

    ตรงนี้ ผมจะพูดเป็นเรื่อง ใบไม้นอกกำมือ
    ประโยชน์คือ ทำให้เข้าใจวิทยาศาสตร์ทางจิต ของคนเรา คนในสังคมเรา ในสังคม ว่า เหตุใดเค้าคิดยังงั้นได้ เชื่อยังงั้นไปได้ แต่ไม่บอกว่าถูกหรือผิด จริงหรือเท็จ เพราะต้องประจักษ์เป็นการเฉพาะ แต่ที่รู้แน่ชัด คือ ไม่ใช่ทางหลุดพ้น

    บางครั้งเป็นเรื่องลึกลับ เหตุใดจึงว่าเป็นเรื่องลึกลับล่ะ เพราะเค้าไม่เปิดเผย หรือเพราะเค้าก็ไม่เข้าใจเอง หรือเป็นประสบการณ์เฉพาะกรณี คือต้องมีเหตุปัจจัยเฉพาะเกิดขึ้นก่อน ถ้าไม่มี ก็ไม่อาจเรียกหรือแบมาให้คนื่นเข้าใจหรือรู้ได้ ทำนองเป้นเรื่องรู้เฉพาะตน แต่อาจบอกเหตุปัจจัยที่ทำให้มีประสบการณ์เดียวกันได้ เรียกว่า ชวนมาพิสูจน์

    เรื่องที่จะพูดนี้ ถ้าพูดไปเข้าข่ายคนบ้าด้วย

    ยังคง โฟกัส ที่ จิตจักรวาล แต่ความหมายนั้น เป็นคำทั่วไป ไม่ใช่นิยามของใครอีกต่อไป แต่เป็นจิตจักรวาล จิตของจักรวาล ตามที่ประสบการณ์ของผมเท่านั้น มุมมองของผมเท่านั้น

    ขอย้ำ จิตจักรวาล ตามกิเลสผมนะครับ

    ตอนเด็ก อายุสามสี่ห้าหกขวบ ประมาณนั้น เวลานอน ผมจะนอนตะแคงขวาโดยธรรมชาติ คือ ถ้านอนตะแคงขวาละเป็นเรื่อง เป็นเรื่องสยองๆๆ ผมทอดตาลืมในความมืด จนเตียงที่นอนลอยไปในอวกาศที่มืดมิด ดวงดาวระยิบระยิบ เตียงลอยไปลอยมา ลอยขึ้นลอยลง อยู่อย่างนั้น แต่ผมไม่ได้คิดอะไร มันโง่ๆ มันเฉยๆ อย่างนั้น ในหลายคืน ก็เหลือแต่ร่างกายผมที่ผมในอวกาศที่มืดท่ามกลางดวงดาวระยิบระยับอย่างนั้น (ตอนเด็ก ไม่รู้จักอวกาศ เห็นแต่ดวงดาว สัญญาและการปรุงแต่งขณะนั้น มีสภาพลอยในอากาศที่มืดแต่มีแสงดาว) ความจริง คือ อะไร (เดียวนี้ ปัจจุบันนี้ก็ยังเป็นอยู่นะ ไม่บ่อยแล้ว)

    คำตอบ ตอนโตประมาณอายุ 15 -16 ขวบ ได้อ่าน เตรียมตัวตายอย่างมีสติ http://palungjit.org/threads/เตรียมตัวตายอย่างมีสติ-ฉบับขยายความ.180483/

    อธิบายได้ว่า ยามนอน ไม่ได้หลับสนิท ความที่จิตมีความสงบแบบอัตโนมัติ เลยเกิด กายในกาย (แบบที่คนทั่วไปเข้าใจว่า จิตวิญญาณ ฝรั่งเรียกว่า spirit) เหมือนตัวเราหดเล็กเท่าอณู เพราะลอยไปมาในช่องว่างของร่างกายได้ แต่ว่าเคยสังเกตตั้งแต่เด็กว่า ยังกระทบกับกำแพงที่มองไม่เห็นด้วย แปลว่า ไม่ได้เล็กขนาดจนไม่กระทบสสารร่างกาย ลอยอยู่ในช่องทาง ช่องว่างของร่างกายของเรา กายนี้ไม่ใช่กายฝัน การแยกแยะกายฝัน กับกายนี้ เป็นบ่อยๆ จะรู้แยกแยะเองได้ อันนี้ ทางเต๋า อาจเรียก จักรวาลภายใน

    เรียกได้ว่า ถึงจิตจักรวาลภายในก็ได้ แต่มันเชื่อมใบไม้ในกำมืออยู่ ถ้าฝึกตามแบบธิเบต อาจนิพพานในระหว่างหรือในกระบวนการตายได้ ซึ่งผมเคยผ่านการตายแบบชาวบ้านหนึ่งครั้ง แต่ว่า ไปเกิดเป็นเทพ ชั้นจาตุมฯ แล้วจุติกลับมาในร่างกายที่ยังไม่ตายสนิท (ถ้าร่างกายตายสนิท จะจุติกลับมาไม่ได้) แปลว่า พลาดกับนิพพาน เพราะกลัวการดับสูญ ไม่กลัวตาย แต่กลัวการดับสูญ กลัวตัวเองหายไป พลาดนิพพานอย่างแรง น่าเสียดายครับ

    มาถึงตรงนี้ ใครอยากฝึกวิธีใช้ความตายที่มีครั้งเดียวในชีวิต (ส่วนใหญ่ตายครั้งเดียว) แล้วไปนิพพาน ไปหาอ่านได้ หรืออ่านตามลิ้งค์ที่เว้ปพลังจิต มี

    อนุโมทนาเจ้าของกระทู้ที่ลิ้งค์ด้วยครับ
     
  7. ณฉัตร

    ณฉัตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 เมษายน 2015
    โพสต์:
    635
    ค่าพลัง:
    +792
    จิตจักรวาล ตามความเข้าใจของกิเลสผม อีกแบบ จิตจักรวาลภายนอก หรือจิตจักรวาลใหญ่ หรือ จิตของจักรวาล

    สภาพกรณีที่สอง แทบไม่ต่างจากหรือระดับเดียวกับ อรูปฌาณ

    อากาสานัญจายตนฌานจิต
    วิญญาณัญจายตนฌานจิต
    อากิญจัญญายตนฌานจิต
    เนวสัญญานาสัญญายตนฌานจิต

    หาอ่านเอานะครับ ระดับนี้ ก็ยังไม่มี จิตของจักรวาล แต่เหมือนจิตเราแทรกซึมไปเป็นจักรวาล แต่ไม่ใช่จักรวาลนะครับ

    กรณีที่ 3

    ลักษณะของสุญญตา เป็นธรรมชาติที่ไร้การปรุงแต่ง เป็นธรรมที่เร้น
    ซ้อนซ่อนอยู่ในธรรมชาติ บริสุทธิ์ หลุดพ้น อิสระ ไร้การปรุงแต่งใด
    อยู่เหนือการปรุงแต่งใด ๆ ทั้งปวง สิ่งใด ๆ ไม่สามารถปรุงแต่งธรรมชาตินั้นได้
    ทราบแค่นี้ค่ะ

    อันนี้ สัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติ ถ้าเข้าถึงระดับนี้ (ปุถุชนเข้าไม่ได้) ในความเห็นผม นี้คือ การเข้าถึง สุญญตา มากที่สุดครับ หาอ่านเองนะครับ

    พูดง่ายๆ ดับสัญญาเสีย
    เวทนา สังขาร จะดับตาม จึงจะสัมผัส สุญญตา ที่แท้จริงได้

    แต่ว่าถึงแม้ไม่ได้ฌาณ ถ้าเป็นพระอริยะ ระดับโสดาบัน ระดับมรรค ก็สัมผัสสุญญตา ได้ เพราะกิเลสเริ่มเบาบางลง สำหรับปถุชน สุญญตา คือ นิพพานชั่วคราว กิเลสไม่จรมา ความที่ดับ ได้อารมณ์นิพพานเฉพาะกรณี เพื่อรู้ว่า เพราะคลายความยึดมั่นถือมั่นให้มาก คลายตัวตนให้มาก นั้นแหละ ทางแห่งนิพพาน

    อันนี้ แค่กล่าวคร่าวนะครับ หารายละเอียดอ่านเองได้ครับ
     
  8. ณฉัตร

    ณฉัตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 เมษายน 2015
    โพสต์:
    635
    ค่าพลัง:
    +792

    อีกแบบ ของ จิตของจักรวาล นั้น มีอย่างนี้ ครับ (อันนี้ เรียกว่า คนบ้า เพ้อก็ได้ครับ)

    ในดาวหรือภพ หนึ่งที่เคยติดต่อได้กับจิตจักรวาล(จิตต่างมิติ อาจารย์ต่างภพ) ตามที่เล่าให้ฟัง มีหยั่งรู้อย่างนี้ว่า

    เด็กทุกคน เป็นลูกของทุกคน ของประชาชาติ เด็กเหล่านั้น จะถูกสอนในสถานการศึกษา เมื่อช่วงเวลาหนึ่งเมื่ออายุที่ไม่ต้องให้การประคบประหงม (ประมาณเข้าห้าหกขวบปี มนุษย์โลกยุคนี้) ที่นั้น ไม่มีศาสนา ไม่มีผู้นำทางศาสนา ทุกเช้า เด็กทุกคน ได้รับการฝึกให้เข้าสมาธิเอง ไม่มีการชี้นำ ไม่มีบัญญัติใด ให้เธอเข้าใจสรรพสิ่งด้วยตัวเธอเอง

    มีช่วงหนึ่ง เฉพาะกรณัีข้าพเจ้านะครับ อาจารย์กล่าวว่า เธอได้เข้าถึงจักรวาล จักรวาลคือเธอ เธอคือจักรวาล จักรวาลไม่ใช่เธอ เธอไม่ใช่จักรวาล แต่เธอได้สอดคล้องกับจักรวาล แต่นี้ ไม่มีใครชนะเธอ เพราะไม่มีใครชนะจักรวาล เค้าจะชนะเธอ ก็เมื่อเค้าเป็นจักรวาล แต่เมื่อเค้าเป็นจักรวาล เธอกับจักรวาลก็เป็นอันเดียวกัน

    สรุป ระดับข้าพเจ้าในอดีตชาติ คือ จิตจักรวาลที่ไม่มีตัวตน แต่ว่า เมื่อมาถึง มาทราบว่ามีพระพุทธองค์ อาจารย์ต่างมิติว่าเธอมาเรียนรู้เอาเอง เพิ่มเติม ระดับนี้ ในพระพุทธศาสนา ระดับจิตจักรวาลยังมีวิตกวิจารณ์ อยู่ มีวิญญาณ สัญญา เวทนา สังขาร อยู่ ตามสภาพที่ดำเนินไป จึงเป็นเพียง อรูปฌาณ ที่ประยุกต์ใช้กับการดำรงชีวิตเท่านั้น ไม่ใช่ทรงอรูปฌาณตลอดเวลา แต่เข้าถึงในช่ัวขณะได้ ทุกบ่อยนั้นเอง

    ก็ด้วยเหตุนี้ เพราะจิตสัมผัส กับจิตจักรวาล อาจารย์ต่างมิติ ในความเห็นของผม จึงเป็นเพียง ใบไม้นอกกำมือ ของจริงเป็นของพระพุทธองค์ หาของแท้ได้จาก พระธรรม และพระสงฆ์ในศาสนานี้เท่านั้น

    ตอนนี้ ยังโง่อยู่ ยิ่งปรารถนาพุทธภูมิ คงต้องโง่อีกยาว อาจต้องตกนรกอีกหลายรอบ ใครไม่ปรารถนา ก็ขอให้ศึกษา นิพพาน ให้ดี จะได้ไม่พลาดโอกาส เพราะคนเราตายได้ตลอด

    ขนาดอาจารย์ต่างมิติ ต่างภพ บอกว่าได้ระดับ จิตจักรวาล (ความหมายของผม) ยังไม่ควรยึดเลย ต้องมาเรียนรู้กับพระพุทธองค์ ก็อย่าไปเรียนกับอาจารย์ต่างมิติเลย เรียนกับพระสงฆ์เถอะครับ

    ขนาดไม่หลงทาง ยังเรียนยาก ถ้าหลงทางกลับไปเรียนที่เดิม (อาจารย์ต่างมิติ) ก็เสียเวลาเปล่าๆ

    สำหรับ เจ้าแม่กวนอิม แดนสุขาวดี พระพุทธองค์ที่มาสอน การที่เราเห็นอย่างนั้น ก็ไม่ได้หมายความว่า ท่านจะเป็นอย่างที่เราเห็น อย่าลืมว่า เราทุกคนอยู่ในฝั่งนี้ อัตตา ตัวตน กิเลส บัญญัติ มันฝังในตัวเราไปแล้ว ท่านมีอยู่แน่นอน เพราะนิพพานไม่ได้แปลว่า ดับสูญ ไม่มีอะไรเลย ที่สุดโต่ง แต่เราอยู่ฝั่งนี้ เราไม่เห็นอะไร นอกจากมายา การจะทึกทักเอาว่า นู้น นี่ นั้น ก็น่าจะไม่สมควร ซึ่งสิ่งเหล่านี้ อาจเป็นเพียง เรือแพซึ่งต้องทิ้งไว้ ก็เป็นได้ ไม่ใช่เราจะหิ้วเรือแพเข้าไปในฝั่งนิพพาน การสัมผัสเหล่านั้น จึงไม่ควรยึดมั่น แต่พิจารณาไปตามระดับภูมิธรรมไปก่อนเท่านั้น แต่ถ้าเล่าประสบการณ์ว่า พบพระพุทธเจ้า เจ้าแม่กวนอิม ไปดแนสุขาวดี หรือไม่ ก็ตอบว่า เคยครับ ไม่ได้โกหก จึงไม่ได้กล่าวเท็จแต่อย่างใด แต่กล่าวในฐานะที่ จิต ญาณหยั่งรู้ ในขณะจิตเป็นอุเบกมันเป็นไป แต่เรายอมรับว่า เป็นการเห็น สัมผัสในขณะที่ผมมีกิเลส ส่วนกรณีท่นอื่นหรือพระภิกษุ ก็ตามปัจจัตตัง ครับ ถ้ายังพบเห็นอย่างนั้น เล่าได้อย่างนั้น เค้ามีจิตตรง ไม่โกหก ก็คือไม่โกหก แต่สัจธรรม ต้องเห็นด้วยตนเอง

    จบ จิตจักรวาล แบบที่ข้าพเจ้าเข้าใจครับ ใบไม้นอกกำมือ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 กุมภาพันธ์ 2016
  9. ณฉัตร

    ณฉัตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 เมษายน 2015
    โพสต์:
    635
    ค่าพลัง:
    +792

    ท่านjityim สุดท้าย มาเพิ่มเติมที่ตรงกับจิตจักรวาลที่ท่านยกตัวอย่าง

    ระดับเป็นหนึ่งเดียวกับจักรวาล นั่น แบ่งเป็นสองระดับใหญ่

    ระดับแรก เป็นระดับผู้หยั่งรู้

    ระดับสุดท้าย เป็นระดับพระเจ้า

    ระดับ ผู้หยั่งรู้ เป็นได้ตั้งแต่ ผู้รับโองการ ผู้พยากรณ์ จนถึงศาสดา เหตุที่ทรงฌาณแบบอรูปฌาณ ชั่วคราวบางขณะ การเข้าฌาณ และแสดงฤทธิจึงเป็นเรื่องปกติและง่าย แต่อาจไม่ได้ดั่งใจมากนัก การหยั่งรู้ธรรมชาติ อดีต อนาคต เป็นเรื่องปกติ แต่เค้าเหล่านั้น ไม่ใช่ระดับพระเจ้า การแจ้งเตือนต่างๆ ระดับนี้ ให้ดูกฤษณะ คือตัวอย่างที่แต่งเติมจน อยู่ระดับสูงสุดของของชั้นนี้ ระดับพระมหาจักรพรรดิ์เองก็อยู่ในระดับนี้

    ระดับ จิตจักรวาล ระดับพระเจ้า อันนี้ คือพระเจ้าเอง เป็นพระเจ้าเอง จะรู้เหตุการณ์สรรพสิ่ง สรรพสัตว์ แต่เหนือกว่าระดับผู้หยั่งรู้ เพราะไม่ใช่แสดงฤทธิ์แบบธรรมดา แต่ระดับนี้ เป็นดังเทพเจ้าจริงๆ จนกลายพระเจ้า ทั้งที่ไม่มีจริง อำนาจฤทธิระดับนี้ ไม่ถึงกับกำหนดเงื่อนไข เปลี่ยนแปลงสัจธรรม ดั่งคำนิยามพระเจ้า แต่ระดับนี้ เปลี่ยนแปลงธาตุ ๔ ได้ในระดับกระเทือนจักรวาล แต่ไม่เกินกว่าสัจธรรม แต่ก็แรงมากพอทำให้สิ่งที่สรรพสัตว์ต้องรับกรรม ไม่ต้องรับ (กรรมไม่ได้ถูกทำลาย แต่ถูกพลังของเค้าทำให้มีผลน้อยมาก) ธรรมชาติถูกเปลี่ยนแปลงได้ การเล่นบทพระเจ้านี่ ทำให้เกิดความหลงผิด

    เนื่องจากพระโพธิสัตว์ระดับสูง ไม่นิยมสวมบทบาทนี้ แต่ฝ่ายสัตว์อื่นและโพธิสัตว์บางองค์ในระดับต้น กับกลาง ยังอาจสวมบทบาทนี้ จนเป็นเหตุให้รับไม่ได้ที่โพธิสัตว์ที่ใกล้ตรัสรู้ ซึ่งเป็นคนธรรมดา ถูกมองว่าไม่เหมาะสมจะเป็นพระพุทธเจ้า เพราะมองสาระการบำเพ็ญบารมีไม่ออก เข้าใจว่าตนทำประโยชน์แก่สรรพสัตว์เป็นสาธารณะมากกว่า เป็นเวลานานกว่า ยกตัวอย่าง เช่น สร้างแม่น้ำ ซึ่งทำให้สรรสัตว์ที่เกิดมานับพันปีได้ดื่ม ใช้น้ำนั่น แทนที่จะแห้งแล้ง ลำบากต้องขุดน้ำใต้ดินใช้ หรือขจัดเภทภัย เช่น การจะมีไฟป่า หรือความแห้งแล้ง เค้าบันดาลน้ำฝนได้ตลอดกาลที่แห้งแล้ง เพื่อไม่มีไฟป่า ภัยธรรมชาติต่างๆ ไม่เกิดได้ (อำนาจยังอยู่ภายใต้กรรมที่ซับซ้อน แต่ผู้อยู่ระดับพระเจ้ามีอำนาจตัดสินที่จะเปลี่ยนแปลงธรรมชาติได้ตามกฎแห่งกรรมเช่นกัน จึงปฏิเสธไม่ได้ว่าขึ้นอยู่กับจิตเจตนาของเค้าเอง) ในขณะที่โพธิสัตว์ระดับสูง มุ่งที่การพัฒนาจิต บางทีพัฒนาแค่จิตตนเองเท่านั่น (การเสียสละลูกเมียทรัพสินย์ ไม่เอาอะไรเลย ออกบวช มีปริมาณน้อยจริง แต่สิ่งที่สำคัญ คือ จิตที่หลุดพ้น ไม่ยึดมั่นถือมั่น ในตัวตนกลับมีมาก เค้าสละชีวิตแค่ตัวเอง แต่ระดับถึงสุดชีวิต แต่คนที่โปรดสรรพสัตว์แบบชิลๆ ยังไม่ได้สละชีวิตตน หรือตัวตนทิ้งให้โพธิญาณ แบบนี้ ปริมาณเป็นบารมีขั้นต้น แต่ให้ทานแก่หนึ่งชีวิตเป็นบารมีขั้นปรมัตถะ) ภาพนี้ ด้วยความขาดปัญญา ประมาทในการพิจารณาจึงเห็นว่า ตนมีบารมีมากกว่า ควรได้ จึงกลายเป็นมาร

    ดังนั้น จิตจักรวาลระดับพระเจ้า ที่ให้โองการ แก่จิตจักรวาลระดับผู้หยั่งรู้ จึงยังต้องระวัง เป็นมารได้

    จิตจักรวาล ของผม อาจไม่ถูกใจใคร ถ้าสงสัยว่ารู้ได้อย่างไร ก็ผมได้บอกแล้วว่า เป็นผู้ปรารถนาพุทธภูมิ ยังไม่ใช่นิตย การที่จะหลงผิดจึงมี การเป็นมารจึงมี การลงนรกจึงมี

    ถ้าไม่อยากเป็นมาร พาลลงนรก ให้เป็นทุกข์ ขอให้นิพพานโดยมรรคที่ถูกต้อง อย่าหลงผิดครับ
     
  10. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,420
    ค่าพลัง:
    +3,195
    ลักษณะนิพพานในพระไตรปิฏก นิพพานมี 33 ชื่อ
    ถ้าได้อ่านและศึกษาพระไตรปิฏกจะพบว่า มีชื่อดังนี้

    1 อสังขตธรรม = สิ่งที่ปัจจัยปรุงแต่งไม่ได้
    2.อนตะ = ความไม่น้อมไป(ในตัณหา)
    3.อนาสวะ = หาอาสวะไม่ได้
    4.สัจจะ = ความจริงที่ไม่เลอะเลือน ,ความจริงที่มีความสุขอย่างยิ่ง
    5.ปาระ = ธรรมที่เป็นฝั่ง
    6.นิปุณะ = ธรรมที่ละเอียดอ่อน
    7.สุทุททสะ = ธรรมที่เห็นได้ยากยิ่ง
    8.อวัชชชระ = ธรรมที่ไม่คร่ำครึ
    9.ธุวะ = ธรรมที่ยั่งยืน
    10อปโลกินะ = ธรรมที่ไม่เสื่อสลาย
    11.อนิททัสสนะ = ธรรมที่ใคร ๆ ไม่พึงเห็นด้วยจักขุวิญญาณ
    12.นิปปัญจะ = ธรรมที่ไม่มีกิเลส เครื่องเนิ่นช้า (ตัณหา ทิฐะ มานะ)
    13.สันตะ = ธรรมที่สงบ
    14.อมต = อมตธรรม
    15.ปณีตะ = ธรรมที่ประณีต
    16.สิวะ = ธรรมที่ปลอดภัย
    17.เขมะ = ธรรมที่เกษม
    18.ตัณหักขยะ = ธรรมที่เป็นที่สิ้นความอยาก
    19.อัจฉริยะ = ธรรมที่น่าอัศจรรย์
    20.อัพภุตะ = ธรรมที่ไม่เคยปรากฎ
    21.อนีติกะ = ธรรมที่ไม่มีทุกข์
    22.อนีติกธัมมะ = ธรรมที่ไม่มีเครื่องร้อยรัด
    23.นิพพาน = นิพพาน
    24.อัพยาปัชฌะ = ธรรมที่ไม่มีความเบียดเบียน
    25.วิราคะ = ธรรมที่ปราศจากราคะ
    26.สุทธิ = บริสุทธิ์
    27.มุติติ = หลุดพ้น
    28.อนาลยะ = ธรรมที่ไม่มีความอาลัย
    29.ทีปะ = ธรรมที่เป็นเกาะ
    30.เลณะ = ธรรมเป็นที่เร้น
    31.ตาณะ = ธรรมเป็นที่ต้านทาน
    32.สรณะ = ธรรมเป็นที่พึ่ง
    33.ปรายณะ = ธรรมที่เป็นที่ไปในเบื้องหน้า

    ถ้าใครได้ศึกษาพระไตรปิฏกหมวดอภิธรรม
    จะเจอชื่อนิพพานที่เป็นภาษาบาลี
    แปลความหมายออกมาได้ดังกล่าวข้างต้น
    เพื่อนำมาให้พิจารณาและศึกษาดูพระไตรปิฏกอีกครั้งค่ะ
     
  11. คนโง่โง่

    คนโง่โง่ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กันยายน 2012
    โพสต์:
    483
    ค่าพลัง:
    +302
    ซึ่งจริงๆที่ผมคุยกับท่านดอกไม้มันก็คือการบำเพ็ญต่อไปเท่านั้นเองไม่ได้มีอะไรมากมายเลย ผมคุยกับท่านดอกไม้เพื่อเรียนรู้ว่าทางฝั่งนั้นเขาบำเพ็ญช่วยเหลืออย่างไรเท่านั้นเองซึงว่ากันตามตรงอย่าได้พยายามเปรียบเทียบอะไรกันเลย ธรรมของพระพุทธเจ้าสำคัญมากๆถ้าไม่มั่นคงก็เดินต่อไม่ได้ ขอกล่าวในสิ่งที่ผมรู้นะครับ เมื่อปฏิบัติธรรมจนได้กายธรรม โดยส่วนใหญ่คนที่ผ่านแล้วเขาก็จะรู้ตัวว่าได้แล้วก็จะสามารถพูดคุยกับกายธรรมของตัวเองได้(แต่ต้องระวังตัวอื่นแอบแฝงต้อง)โดยสภาวะทั่วไปก็จะมีความสงบในตัวของมันเองและดำรงค์ในศีลเป็นปรกติ แต่ก็ยังไม่เที่ยงเพราะกรรมในอดีตที่ตกค้างยังคงอยู่ในธรรมชาติตามมิติต่างๆก็ยังส่งสภาวะกลับมาที่กายหยาบ กายธรรมนั้นก็จะทำหน้าที่นำตัวที่ยังติดมาชำระกรรมในกายหยาบมนุษย์คนนั้นก็ชำระไปเรื่อยๆจนกว่าจะหมดสิ่งที่ติดค้างไว้ในธรรมชาติละครับ(จึงเป็นเหตุที่ว่าทำไมรู้แล้วเข้าใจแล้วแต่ในบางครั้งภายในยังคงครุกรุ่นด้วย อุปาทานต่างๆไตรลักษณ์)เมื่อชำระหมดมันก็จะเป็นหนึ่งเดียว มันก็จะเที่ยงของมันเอง เปรียบเสมือนการกลั่นน้ำในมหาสมุทธ ให้เหลือเพียงหยดเดียวที่บริสุทธิ์ที่สุด( อย่าถามว่านานไหมเพราะแต่ละคนนานไม่เท่ากัน) และก็จะเป็นการรวมใจ และก็บำเพ็ญช่วยเหลือไปเรื่อยๆในรูปแบบต่างๆ ก็จะบริสุทธิ์ไปเรื่อยๆ จนได้กายวัชระ กายอมตะ ไปตามนั้น มันจึงต้องดีเป็นนิสัยดีเป็นสันดานจากภายในจริงๆ ซึงทางพุทธเกษตรเขาจะดูแลด้านนี้อยู่ผมก็เลยสนจะจะฟังธรรมส่วนนี้จากท่านดอกไม้เท่านั้นเองครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 กุมภาพันธ์ 2016
  12. เทพบุตรลั้ลลาลั้ลลั้ลลาาา

    เทพบุตรลั้ลลาลั้ลลั้ลลาาา เพื่อมวลมนุษย์แลสรรพสัตว์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤศจิกายน 2014
    โพสต์:
    872
    ค่าพลัง:
    +1,936
    ตามคำสอนของผู้ตื่นรู้แล้ววนเวียนเรียนและสั่งสมบารมีนับหลายๆอสงไขแล้ว ปฏิเสธไม่ได้ว่าที่มีกายหยาบ กายละเอียด กายทิพย์ กายเพ็ชรฯ เพราะจิตหรือใจ หรือมโนยังยึด และที่มีจิตฯ.เพราะยังมีการปรุงแต่งอยู่(สังขาร) ที่มีการปรุงแต่งเพราะความไม่รู้ตามเป็นจริง(อวิชชา)...นีเป็นแนวทางที่พระองค์มุ่งหมายให้สัตว์โลกตื่นรู้ตาม
     
  13. คนโง่โง่

    คนโง่โง่ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กันยายน 2012
    โพสต์:
    483
    ค่าพลัง:
    +302
    กายเหล่านี้ย่อมเกิดขึ้นเองตามความบริสุทธิ์ของใจ เกิดจากการเสียสละเพื่อช่วยเหลือธรรมชาติ ย่อมรู้ว่ากิเลสคืออะไร ความทุกข์ทางใจแทบไม่มีเลย เหลือแต่กายหยาบที่ยังอยู่ เมื่อความทุกข์ดับไปก็ยังสามารถมีกายธรรมมารองรับไม่ได้ดับไปจริงๆซะหน่อย เพราะความทุกข์นั้นเกิดจากการเบียดเบียนตัวเองผู้อื่นและทุกสรรพสิ่งเสมอมา เมื่อหยุดเบียดเบียนและทุกตัวตนถูกทั้งหมดชำระแล้ว ทุกข์ย่อมไม่มีที่ตั้ง จะทำอะไรก็ทำไป (มีกายหรือไม่มีกายทุกข์ก็ไม่เกิดมีรูปสมมุติไว้ทำหน้าที่ หยุดเมื่อไหร่ก็วางรูปไปอยู่เฉยๆได้)แต่ก็มีบางคนมองว่าธรรมชาติคือกิเลสทุกอย่างคือกิเลส ไม่เอาอะไรเลยก็มี โทษทุกอย่าง แต่ไม่ได้โทษตัวเองเลย
     
  14. loongken

    loongken Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    60
    ค่าพลัง:
    +29
    อ้างถึง-หน้า2
    ..........................................................
    รำลึกถึงความหลังเมื่อครั้งที่เริ่มสนใจเรื่องสมาธิ
    ด้วยความที่อยู่ ตจว. จึงมีแต่หนังสือเท่านั้น ที่เป็น"ครู"
    มีหลายแนวเหลือเกิน เช่น สายพระป่า สายฤาษีลิงดำ สายพุทธทาส สายธิเบต สายนิกายเซ็น สายโยคี สายปรัชญาต่างๆ
    สรุปได้เองว่า สายหลักจริงๆแล้วก็คือ สายพระพุทธเจ้า พระไตรปิฏกนี่แหละสายตรงที่สุด
    2500กว่าปี ถ้อยคำพระไตรปิฏกคงไม่เปลี่ยนอะไรมาก แต่ที่หลากหลายคือผลพวงความเข้าใจของผู้ปฏิบัติ ผู้นำการปฏิบัติ
    นี่คือผลพวงจากการปฏิบัติของเรา(น่าจะเข้าข่าย วิปัสสนา)

    วันนึงนึกถึงตอนหนึ่งในประวัติหลวงปู่มั่น ตอนที่ท่านนั่งสมาธิวิปัสสนาบนหน้าผา "เหมือนกับว่าถ้าไม่บรรลุธรรมก็ไม่ลุกออกจากที่
    ถ้าเผลอสติ ก็ให้ตกเขาตายไปเลย"
    มานึกคิดดูแล้วก็อยากจะลองดูมั่ง แล้วก็ได้ลองในคืนหนึ่ง
    ลองแบบอานาปานี่แหละไม่ได้ทำอะไรมากเลย
    หายใจเข้า หายใจออกๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
    ไม่รุนานแค่ไหนรู้สึกเหน็บกินขา เจ็บปวดรวดร้าวไปหมด
    ก็อดทนเจ็บ พิจารณาว่า พระพุทธองค์ตรัสว่า สรรพสิ่งไม่เที่ยง มันเกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วดับไป
    ตอนนี้มันปวดขาเหลือเกิน ปวดจริงๆ ปลอบใจตัวเองว่า ทนหน่อยๆๆ มันปวด มันปวดอยู่ เดี๋ยวมันก็คงหายไป
    ตอนนั้นเหงื่อแตกพลั่กเพราะความปวดและมันก็กินเวลาไม่ใช่น้อย สองจอตสองใจว่าเลิกนั่งดีกว่ามั้ย อีกใจก็อยากรู้ว่าแล้วมันจะยังไงนะ
    ทนปวด-เหงื่อแตก-"อดทนหน่อยเดี๋ยวคงหาย"........สักพักใหญ่มากๆ จึงรู้สึกว่าปวดน้อยลง
    แต่...เอาอีกแล้ว มันมาอีกแล้ว มันปวดอีกแล้ว โอ้ยไม่ไหวแล้ว ทำไมปวดยังงี้ ปวดยิ่งกว่าเดิมอีก
    ...จะลุกออกจากการนั่งก็หลายครั้ง แต่ก็ความคิดตีโต้กลับไปกลับมา ระหว่างความอยากรู้กับความความปวด มันตอบโต้ไปมาโดยตลอด
    แล้วความปวดครั้งที่สอง ก็เกิดขึ้นตั้งอยู่ ดับไป อีกครั้ง...
    สักพัก เอาอีกแล้ว มันมาอีกแล้ว ระลอกสาม..สี่....(จำไม่ได้ว่ากี่ละลอก)
    สุดท้าย ความปวดหายไป
    บวกกับ ความรู้สึกว่า ขาตัวเองไม่มี
    ลำตัวของตัวเอง ไม่มี มีแต่ หัว
    หัวตัวเองไม่มี แต่รู้สึกว่า "หายใจอยู่"
    และก็มีประโยคท้าทายว่า"ถ้าหายใจอีกครั้ง ต้องตายแล้วนะ"
    (เรียกว่าทั้งหมดอาจเกิดภายในเสี้ยวของเสี้ยวของเสี้ยววินาที)
    นาทีนั้น ตัดสินใจ"ตายเป็นตาย" หายใจออกเป็นครั้งสุดท้าย
    แล้วก็...............(ขอไม่เล่าในรายละเอียด สรุปว่า เจอกับจักรวาลที่ไม่มีอะไร )
    ...........................................................................

    อ้างถึง-
    ฮือฮา! นักวิทย์พบ 'คลื่นความโน้มถ่วง' มีจริง พิสูจน์ทฤษฎี 100 ปี ของไอน์สไตน์ - ข่าวไทยรัฐออนไลน์
    ฮือฮา! นักวิทย์พบ 'คลื่นความโน้มถ่วง' มีจริง พิสูจน์ทฤษฎี 100 ปี ของไอน์สไตน์ - ข่าวไทยรัฐออนไ
    เดวิด ไรต์ซ อธิบายภาพในจอทีวีซึ่งแสดงให้เห็นหลุมดำ 2 หลุมกำลังโคจรรอบกันและกัน (ภาพ: AFP)

    หนึ่งในทฤษฎีที่ อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ นักฟิสิกส์อัจฉริยะของโลก คิดค้นขึ้นเมื่อ 100 ปีก่อน ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าเป็นจริง เมื่อนักวิทยาศาสตร์ของโครงการ ไลโก ค้นพบ คลื่นความโน้มถ่วง ซึ่งเกิดจากการชนกันของหลุมดำ...

    สำนักข่าว ซีเอ็นเอ็น รายงานว่า นายเดวิด ไรต์ซ ผู้อำนวยการบริหารโครงการ 'ไลโก' หรือ 'เลเซอร์อินเตอร์เฟอโรมิเตอร์สังเกตการณ์คลื่นความโน้มถ่วง' (Laser Interferometer Gravitational-Wave Observatory: LIGO) ออกมายืนยันในวันพฤหัสบดีที่ 11 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2016 ว่า พวกเขาพบ คลื่นความโน้มถ่วง หรือ คลื่นที่ทำให้เกิดการกระเพื่อมของปริภูมิ-เวลา (space time) ซึ่งอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ คาดการณ์เอาไว้ใน 'ทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไป' (General relativity) เมื่อปี 1915 แล้ว
    ทั้งนี้ คลื่นความโน้มถ่วง คือคลื่นที่ปลดปล่อยออกมาเมื่อวัตถุที่มีมวลมากเคลื่อนที่ด้วยความเร่งสูงหรือมีกิจกรรมรุนแรงในอวกาศ เช่น ดาวนิวตรอนคู่หรือหลุมดำคู่โคจรรอบกัน, ซุปเปอร์โนวา, รังสีแกมมาระเบิดในอวกาศ เป็นต้น ซึ่งตามทฤษฎีแล้ว ปรากฏการณ์เหล่านี้จะทำให้เกิดคลื่นความโน้มถ่วงแผ่ออกไปในอวกาศ และเมื่อมันเคลื่อนผ่านวัตถุใดก็จะทำให้วัตถุนั้นยืดออกและหดเข้าสลับกัน

    การค้นพบล่าสุดของเหล่านักวิทยาศาสตร์เป็นผลจากการเฝ้าสังเกตการณ์มานานกว่า 40 ปี ด้วยเครื่องตรวจจับคลื่นความโน้มถ่วงชื่อ ไลโก ซึ่งมีลักษณะเป็นสถานีอยู่ตรงกลาง มีแขนความยาว 4 กม. 2 ข้างยื่นออกไปและทำมุมตั้งฉากกัน โดยสถานีจะมีอุปกรณ์ยิงแสงเลเซอร์ไปยังกระจก 2 บานที่ปลายแขนแต่ละข้าง และให้อุปกรณ์ตรวจวัดแสงตรวจสอบคลื่นแสงที่สะท้อนกลับมา ถ้าคลื่นสะท้อนกลับมาในลักษณะเดิมแสดงว่าไม่มีคลื่นความโน้มถ่วงผ่าน แต่หากมีการเปลี่ยนแปลงก็หมายความว่า มีคลื่นความโน้มถ่วงผ่าน เพราะคลื่นฯ จะทำให้แขนของไลโกยืดหรือหดตัวสลับกันจนคลื่นแสงเปลี่ยนแปลง (อ้างอิงข้อมูลจากเฟซบุ๊ก 'ความรู้วิทยาศาสตร์สนุกๆ นอกห้องเรียน')
    แถลงการณ์ของทีมนักวิทยาศาสตร์ของโครงการไลโก ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่าง สถาบันเทคโนโลยีแคลิฟอร์เนีย (Caltech) และ สถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์ (MIT) และได้รับทุนจากกองทุนวิทยาศาสตร์แห่งชาติ (NSF) ระบุว่า นักวิทยาศาสตร์ตรวจพบคลื่นความโน้มถ่วงเมื่อวันที่ 14 ก.ย. 2015 และจากการตรวจสอบพบว่าคลื่นที่พบนี้มีเกิดจากหลุมดำ 2 หลุม ซึ่งมีมวลมหาศาลถึง 29 และ 36 เท่าของดวงอาทิตย์ และมีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 150 กม. หรือมากกว่า โคจรรอบกันด้วยความเร็วครึ่งหนึ่งของความเร็วแสง ในขณะที่วงโคจรค่อยๆ แคบลงจนหลุมดำทั้ง 2 หลุมชนและรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน เมื่อ 1,300 ล้านปีก่อน และเกิดคลื่นความโน้มถ่วงแผ่ออกไปในอวกาศ เคลื่อนผ่านวัตถุทั้งมวลจนกระทั่งเดินทางมาถึงโลกเมื่อปีที่แล้ว และทำให้อวกาศรอบโลกของเรายืดและหดเหมือนเยลลี่

    ทีมนักวิทยาศาสตร์ใช้เครื่องไลโก 2 ตัวในการตรวจจับคลื่นความโน้มถ่วงในครั้งนี้ โดยเครื่องหนึ่งอยู่ที่เมืองลิฟวิงตัน รัฐลุยเซียนา ส่วนอีกเครื่องอยู่ที่เมืองแฮนฟอร์ด รัฐวอชิงตัน และเนื่องจากคลื่นนี้มีขนาดเล็กมากเพียงหนึ่งในพันของขนาดของโปรตอน 1 อะตอม พวกเขาจึงต้องใช้ความระมัดระวังในการตรวจจับเป็นอย่างมาก และใช้เวลาตรวจสอบหลายเดือนจนกระทั่งมั่นใจว่าสิ่งที่พวกเขาพบคือ คลื่นความโน้มถ่วง จริงๆ
    นายไรต์ซ ระบุว่า "สิ่งที่น่าตื่นเต้นจริงๆ คือสิ่งที่จะตามมาหลังจากนี้ต่างหาก ผมคิดว่าเรากำลังเปิดหน้าต่างของจักรวาล หน้าต่างของดาราศาสตร์คลื่นความโน้มถ่วง (gravitational wave astronomy)" ขณะที่ นาย ซาบอล์คส์ มาร์กา ศาสตราจารย์วิชาฟิสิกส์จากมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย บอกกับซีเอ็นเอ็นว่า "เราจะไม่เพียงสามารถศึกษาทฤษฎีสัมพัทธภาพของไอน์สไตน์ได้เท่านั้น เรายังจะสามารถค้นหาสิ่งที่เราเคยได้แต่จินตนาการว่ามีอยู่ได้ด้วย เราอาจจะได้เห็นจักรวาลในด้านที่ไม่เคยสังเกตการณ์มาก่อน"

    มาร์กา ระบุด้วยว่า เขาคิดว่าไลโกคือ 'ไมโครโฟนจักรวาล' เป็นอุปกรณ์รับฟังที่มีความแม่นยำอย่างน่าเหลือเชื่อที่สามารถตรวจจับการบิดเบือนของปริภูมิ-เวลา อันเป็นโครงสร้างของจักรวาล มันแม่นยำขนาดสามารถตรวจจับการเปลี่ยนแปลงของวัตถุขนาดลูกฟุตบอลทั่วทางช้างเผือก
    "เมื่อเราได้ยินเสียงของจักรวาล เราจะเรียนรู้เกี่ยวกับความลับแห่งชีวิตของหลุมดำ การกำเนิด, การตาย, การแต่งงาน และการกินอาหารของมัน เราจะได้ยินเมื่อหลุมดำกินดาวนิวตรอน" นายมาร์กากล่าว และเสริมว่า "ไม่มีใครเคยเห็นเรื่องนั้นมาก่อน เราจะไม่เพียงเข้าใจมัน แต่เราจะเห็นมัน มันเป็นสิ่งที่น่าหลงใหลที่สุดเท่าที่ผมจะจินตนาการได้"

    อนึ่ง หลุมดำเปรียบเสมือนขุมทรัพย์ของแนวคิดเรื่องคลื่นความโน้มถ่วง ที่ผ่านมามนุษย์เคยเห็นแต่ผลกระทบของมัน ส่วนตัวหลุมดำเองยังเป็นเพียงการคาดเดา ดังนั้น การค้นพบคลื่นความโน้มถ่วงถือเป็นการยืนยันว่า หลุมดำมีอยู่จริง "นี่เป็นครั้งแรกที่จักรวาลพูดกับเราผ่านคลื่นความโน้มถ่วง หลังจากที่พวกเราหูหนวกไม่ได้ยินมาตลอด" นายไรต์ซ กล่าว
    .................................................................................
    อ้างถึง-กระทู้คุณMikas-เปิดรับวัดสมาธิจากคลื่นสมอง

    ส่วนตัวแล้วมาสนใจเรื่องสมาธิก็เพราะอยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกะspace-time
    เน้นความสนใจไปในเรื่อง การรู้เห็นอนาคต
    ตอนนี้ก็สำเร็จในระดับหนึ่ง น่าแปลกที่เวลาทำสมาธิแล้วมีนิมิตนั้น
    สิ่งที่รู้เห็นเป็นเรื่องเกี่ยวกะปัจจุบัน-อนาคต มากกว่าอดีต
    เราไม่เคยเห็น ผีสางนางไม้เทวดานรกสวรรค์ เลย
    สิ่งทีเรารู้เห็น ยกตัวอย่างที่อาจพิสูจน์ได้ เช่น
    -เห็นตลาดหุ้นจีน -2222.67จุด (ปรากฏว่าหลายเดือนให้หลังคือตอนนี้ ลบมากกว่าสองพันจุดจากpeak)
    -เห็นภาพซากปรักหักพังกับรู้ว่าแผ่นดินไหว เมื่อสองสัปดาห์ก่อน และคิดว่าไทย (สามสี่วันก่อนแผ่นดินไหว ไต้หวัน)
    -เห็นบางภาพที่เป็นการช่วยhack เอาชนะบางเกมของslot machine
    และตัวอย่างทียังไม่เกิด เช่น
    -เห็นเครื่องต้นแบบของอะไรอย่างหนึ่ง เหมือนเป็น เครื่องส่งวัสดุสามมิติ หน้าตาเป็นทรงแก้วกลม มีช่องเปิดใส่วัสดุ
    มีท่อให้ อิออน? ออกอีกทาง ข้างบนและข้างล่างมีเครื่องspectroหรืออะไรทำนองนั้นอยู่สองตัว ทำหน้าที่สลายวัสดุให้เป็นอิออน?
    -เห็นข่าวมีภาพประเทศไทยมีวง"ที่เกิดเหตุ"อ่าวไทยแถวสุราด+เครื่องชนกัน+จราจรหนาแน่น
    -เห็น พลังงานชนิดใหม่กึ่งนิวเคลียร์ มีสองแหล่งในโลก
    -เห็น ระเบิด+มวย
    -เห็นภาพ ตึกสูงๆล้อมรอบเป็นวงกลม ที่นั้น+รู้ว่า ระเบิด

    (บางทีมันเป็น"ความลับของสวรรค์" บ่อยครั้งที่เราพูดออกไปแล้วมันผิดจากที่เราบอก)

    ที่กล่าวมา เพื่อแค่ชี้มูลเหตุว่า...เป็นไปได้ที่การทำสมาธิทำให้เห็นอนาคต

    อ้างถึง
    นักวิทย์ตรวจพบคลื่นความโน้มถ่วง - ข่าวไทยรัฐออนไลน์
    http://manager.co.th/Science/ViewNews.aspx?NewsID=9590000015476

    ที่มีภาพ หลุมดำสองหลุม ตามข่าว

    ภาพหลุมดำสองหลุมนี้ทำให้ผม แว่บ! คล้ายรูจมูกคนเลย
    คิดบ้างมั้ยว่า บางทีไอสไตน์ทดลอง อานาปาณสติ ตามพระพุทธเจ้า แล้วก็เจอ "จักรวาล"อย่างที่เราเจอๆกัน
    แต่เพราะความที่เขาเป็นนักวิทยาศาสตร์ เขาเลยมีคำอธิบาย แบบคณิตศาสตร์ขั้นสูงอย่างนั้น

    ทุกวันนี้เรามีมือถือใช้สื่อสารหลายล้านเลขหมาย
    เราก็ไม่รุรายละเอียดอะไรเขาหรอกว่ามันมายังไง
    แต่โทรของเราก็เป็นหนึ่งในระบบนั้น

    สองรูจมูกของเรานี่แหละ ที่อาจเปรียบเทียบว่าเป็นเครื่องมือถือ
    อานาปาณสติ เป็นวิธีการใช้งาน
    เพื่อสื่อสารกับ??? จักรวาล ???

    เชิญมาทดลอง อานาปาณสติ กันเถอะ
    ว่าจะใช้งานไป จักรวาล? ได้หรือไม่
    แล้วเราก็ แค่ดาวดวงหนึ่ง รึเปล่า?
    แล้วจักรวาลที่ท่านติดต่อได้เป็นอย่างไรเล่า?
     
  15. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,420
    ค่าพลัง:
    +3,195
    หากเราจะคิดกันเล่น ๆ ว่า แรงโน้มถ่วงนั่นแหละ
    คือตัวดึงดูดจิตที่ไม่บริสุทธิ์ไม่ให้หลุดพ้นไปจากโลก
    โดยมีหลุมดำเป็นแรงดึงมหาศาลไม่ให้สิ่งใดหลุดพ้นไปได้
    เราจะคิดเหมือนกันไหมค่ะ....

    เผอิญเป็นห้องวิทยาศาสตร์ทางจิตนะคะ
    ถือว่าเป็นการศึกษาศาสนาแนววิทยาศาสตร์
    ซึ่งสามารถอธิบายปรากฎการณ์คุณสมบัติได้เป็นอย่างรูปธรรม

    ถ้าเราจะยกเว้นคำว่าสัทธรรมปฏิรูปไปก่อน
    เพราะถือว่า ศาสนาพุทธที่เราศึกษากันมานานทั้งชีวิต
    เรายกขึ้นไว้เหนือเกล้า แต่เพียงมาทำความเข้าใจ
    ในอีกรูปแบบหนึ่งก็น่าจะดีนะ

    แต่...ไม่ค่อยมีใครอยากสนทนาเรื่องนี้กันเลยค่ะ
     
  16. loongken

    loongken Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    60
    ค่าพลัง:
    +29
    ตอนนี้ยังไม่ได้คิดอย่างนั้น
    แต่กำลังคิดถึง"ประตูสู่มิติ"
    ขอขยายความเพิ่มเติม ยังงี้

    ที่เรานึก แว่บ ขึ้นมานั้น ข่าวการค้นพบแรงโน้มถ่วงนี้ น่าจะบ่งว่ามีความสัมพันธ์เกี่ยวกับสิ่งต่างๆเหล่านี้
    -หลุมดำ"สอง"หลุมจะชนกัน(นึกต่อเองว่าคล้ายรูจมูกสองรู)
    -ภาพการหมุนของแรงแบบสัญญลักษณ์ หยิน-หยาง
    -ไอน์สไตน์ เคยกล่าวชื่นชม พุทธศาสนา
    -ที่เจอกับตัวเอง"ลมหายใจครั้งสุดท้าย"
    -คำกล่าวที่ว่า ลมหายใจไม่มี ในสี่อย่าง คือ คนตาย คนเข้าฌาน (อีกสองอย่างจำไม่ได้ อิ อิ)
    -เคยเฝ้าไข้ เคยเจอ"ลมหายใจครั้งสุดท้าย"ของคนที่เพิ่งตาย(เห็นนิ่งไปคิดว่าตายแล้วหรือ? ลองเอามือไปอังที่จมูก มือปะทะกับ"ลมเฮือกสุดท้าย"ที่ปล่อยออกมาพอดี)
    -หลังจากเราเองปล่อยลมหายใจเฮือกสุดท้าย(ตอนนี้จะขอบรรยายแล้วล่ะ...เรารู้สึกเหมือนวูบผ่านอุโมงค์มืดแว่บเดียวเองก็รู้สึกว่า"โผล่"ที่แห่งหนึ่งเหมือนจักรวาลกว้างใหญ่ไพศาล

    เป็นอนันต์ ที่นั้นเต็มไปด้วยแสงสีขาวนวลสว่างไสวเย็นตา บวกกับความรู้สึกว่า "สุขจริงๆ(เปรียบง่ายๆว่าดีกว่าไคล์แมกซ์เป็นหมื่นๆเท่า)" บวกกับความรู้สึกว่า"อยากอยู่นานเท่าไหร่

    ก็ได้" บวกกับความรู้สึกว่าabsolute freedom บวกกับความรู้ว่า"ไม่เห็นมีอะไรเลย" ทันใดก็มีสิ่งปรากฏให้เห็น สิ่งที่เห็นคืออะไรที่หน้าตาเหมือนแกแลคซี่ที่มีดวงดาว

    ระยิบระยับอยู่ในนั้น ดวงดาวที่เห็นไม่ใช่ดาวหรอกนะ แต่เป็นกล่มดาวที่มีรูปร่างเหมือนโต๊ะมั่ง เก้าอี้มั่ง สารพัดวัตถุที่เราคิดว่าไม่มีอะไรในตอนแรก พอเห็นยังงั้นก็เหมือนได้ความรู้ขึ้น

    มาว่า "มันมี เพราะเราอยากให้มี" สักแป้บเหมือนเกิดคำถามกะตัวเองว่าเราอยู่ที่ไหนนี่(เหมือนก้มมองตัวเอง-แต่ไม่เห็นตัวเอง แล้วมองออกนอกตัวเอง)ก็ได้ยินเสียง รถราที่วิ่งอยู่บน

    ถนน...จากนั้นก็ทำความรู้สึกตัวกลับมาเป็นปรกติเหมือนตอนเริ่มนั่งสมาธิ (หลังจากนี้ก็ยังมีความรู้สึกอื่นๆอีกแต่เอาไว้เล่าวันหลัง)
    -เคยอ่านเจอว่าพระพุทธเจ้าปรินิพพาน"ระหว่าง"รูปฌานกับอรูปฌาน
    -เจอบ่อยๆว่า "ไม่ใช่ของคู่" เช่น ไม่ดำ ไม่ขาว ไม่หญิง ไม่ชาย หรือ"ระหว่างของคู่"เช่น ดำ-ขาว หญิง-ชาย อาทิตย์-จันทร์ ดี-ชั่ว
    -อานาปาณสติ ดูลมหายใจ เข้า-ออก เคล็ดลับของการทำอานาปาให้สำเร็จคือ ไม่เข้า-ไม่ออก
    ทั้งหมดที่ประมวลมานี่แล....ทำให้เรากลับมาทบทวนอะไรต่ออะไรใหม่อีกครั้ง (ยังไม่ได้ข้อสรุปหรอกนะ)
     
  17. loongken

    loongken Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    60
    ค่าพลัง:
    +29
    มาเสนอแนวคิดอีกอย่างว่า
    ซีกนี้มีแรงโน้มถ่วงมีหลุมดำ
    แต่ถ้าสวนแรงโน้มถ่วงจากซีกนี้ผ่านหลุมดำ
    อาจไปเจอหลุมสว่าง ที่อยู่อีกซีกตรงข้าม
    นักวิทยาศาสตร์พูดถึงแต่หลุมดำ
    แต่พระพุทธเจ้าบอกว่า มีหลุมสว่าง หรือเปล่า?
    หรือบอกว่า ไม่มีหลุมอะไรทั้งนั้น???
     
  18. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,420
    ค่าพลัง:
    +3,195
    นำวีดีโอนี้มาให้ท่านดูค่ะ อีกฝั่งปลายทางของหลุุมดำ ..ที่ท่าน loongken ตั้งคำถามไว้นะคะ

    <IFRAME height=360 src="https://www.youtube.com/embed/4OSoy3E8VYw?feature=player_detailpage" frameBorder=0 width=640 allowfullscreen></IFRAME>

    ถ้ากระแสน้ำเปรียบดั่งกระแสตัณหา
    ถ้าจะต้องใช้แรงเพียรพยายามสักเท่าไหร่
    เพื่อจะพ้นจากแรงดึงดูดของกระแสนั้น
    หรือต้องพยายามพายเรือเพื่อทวนกระแสน้ำ
    หรือเราต้องทวนกระแสโลกมากสักเท่าไร
    กว่าจะหลุดจากแรงดึงดูดนั้นได้

    การทวนกระแสโลก...ก็คือ การทวนกระแสอารมณ์ นั่นเอง

    เป็นการอุปมาอุปมัยค่ะ..เพื่อจะเห็นภาพปลายทางอีกฝั่งหนึ่งก็ได้ค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 กุมภาพันธ์ 2016
  19. ณฉัตร

    ณฉัตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 เมษายน 2015
    โพสต์:
    635
    ค่าพลัง:
    +792
    อยากทราบโดยคร่าวๆ น่ะครับ ท่านทำให้เกิดกายต่างๆ อย่างไร รู้ได้อย่างไรหรือสัมผัสได้อย่างไร ใช้ทำอะไรได้บ้าง แล้วจริงท่านคิดว่ากายๆ ต่างๆ นั้น คืออะไร เอาสั้นๆ นะครับ
     
  20. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,420
    ค่าพลัง:
    +3,195
    ถ้าเราต้องการหลุดพ้น..จุดที่สำคัญที่สุดคืออะไร
    แล้วก็ได้คำตอบกับตัวเอง คือ จิตวิญญาณที่บริสุทธิ์
    เราจะหมดจดได้อย่างไร ก็คือ การทำกรรมดี ละเว้นความชั่ว
    การไม่ก่อกรรมใหม่ ขจัดกรรมเก่า หรือ การไม่ก่อกรรมใด ๆ
    ความไม่เบียดเบียน ก็ต้องมีวิธีเดียวคือ กระทำตามมรรคเท่านั้น
    จึงจะวางใจให้เหมือนแผ่นดินได้ ใจที่เหมือนแผ่นดินก็คือ
    การไม่หวั่นไหวไปตามอารมณ์แล้วกระทำผิด ทำให้จิตไม่บริสุทธิ์

    ซึ่งธรรมสามอย่างนี้ พระพุทธองค์ก็ตรัสไว้ในโอวาทปาติโมกข์
     

แชร์หน้านี้

Loading...