ควันหลงจากเมื่อวานคุยกับจิตบุญครูเอิ้น
บางช่วงบางตอน "บททดสอบ" โดย ดังตฤณ
หากถูกทดสอบจงดีใจ
เพราะถ้าเป็นตม
ก็คงไม่มีใครอยากพิสูจน์ว่าจริงหรือเก๊
จะมีก็แต่คนอยากพิสูจน์ว่าเพชรแท้หรือเทียม
ธรรมดาเมื่อคนรอบข้างทราบว่าคุณสนใจธรรมะ
ก็มักเกิดอาการขวาง หรือนึกหมั่นไส้
บางทีก็เพื่อพิสูจน์ใจเล่น
แต่บางทีก็ทนยอมรับไม่ได้ว่าคุณดีแล้ว
อยากเห็นอาการตบะแตกของคุณ
หรืออย่างน้อยก็เห็นคุณพูดผิดคิดพลาดเสียบ้าง
ดูแล้วสนุกดี
ยิ่งผ่านแบบทดสอบยาก
ก็หมายถึงความเป็นจริงชัดขึ้นเท่านั้น
อย่ารังเกียจแบบทดสอบ
ไม่ว่าจะมาเองตามธรรมชาติ
หรือมาด้วยธรรมดากิเลสของคนใกล้ตัว
ถ้าต้อนรับทุกแบบทดสอบ
ด้วยมุมมองว่ามันคือแบบทดสอบ
คุณจะรู้สึกถึงความมีสติ
พอผ่านได้ก็เหมือนตรงดิ่งไปรับรางวัล
อันเป็นความรู้สึกว่าตัวเราเป็นของจริง
มีธรรมะอยู่ในเราจริง....
จิตพร้อม? รับภัยพิบัติ
ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย ภูภู, 6 เมษายน 2012.
หน้า 244 ของ 857
-
-
บัวบุษกร said: ↑ควันหลงจากเมื่อวานคุยกับจิตบุญครูเอิ้น
บางช่วงบางตอน "บททดสอบ" โดย ดังตฤณ
หากถูกทดสอบจงดีใจ
เพราะถ้าเป็นตม
ก็คงไม่มีใครอยากพิสูจน์ว่าจริงหรือเก๊
จะมีก็แต่คนอยากพิสูจน์ว่าเพชรแท้หรือเทียม
ธรรมดาเมื่อคนรอบข้างทราบว่าคุณสนใจธรรมะ
ก็มักเกิดอาการขวาง หรือนึกหมั่นไส้
บางทีก็เพื่อพิสูจน์ใจเล่น
แต่บางทีก็ทนยอมรับไม่ได้ว่าคุณดีแล้ว
อยากเห็นอาการตบะแตกของคุณ
หรืออย่างน้อยก็เห็นคุณพูดผิดคิดพลาดเสียบ้าง
ดูแล้วสนุกดี
ยิ่งผ่านแบบทดสอบยาก
ก็หมายถึงความเป็นจริงชัดขึ้นเท่านั้น
อย่ารังเกียจแบบทดสอบ
ไม่ว่าจะมาเองตามธรรมชาติ
หรือมาด้วยธรรมดากิเลสของคนใกล้ตัว
ถ้าต้อนรับทุกแบบทดสอบ
ด้วยมุมมองว่ามันคือแบบทดสอบ
คุณจะรู้สึกถึงความมีสติ
พอผ่านได้ก็เหมือนตรงดิ่งไปรับรางวัล
อันเป็นความรู้สึกว่าตัวเราเป็นของจริง
มีธรรมะอยู่ในเราจริง....
Click to expand... -
บัวบุษกร said: ↑ควันหลงจากเมื่อวานคุยกับจิตบุญครูเอิ้น
บางช่วงบางตอน "บททดสอบ" โดย ดังตฤณ
หากถูกทดสอบจงดีใจ
เพราะถ้าเป็นตม
ก็คงไม่มีใครอยากพิสูจน์ว่าจริงหรือเก๊
จะมีก็แต่คนอยากพิสูจน์ว่าเพชรแท้หรือเทียม
ธรรมดาเมื่อคนรอบข้างทราบว่าคุณสนใจธรรมะ
ก็มักเกิดอาการขวาง หรือนึกหมั่นไส้
บางทีก็เพื่อพิสูจน์ใจเล่น
แต่บางทีก็ทนยอมรับไม่ได้ว่าคุณดีแล้ว
อยากเห็นอาการตบะแตกของคุณ
หรืออย่างน้อยก็เห็นคุณพูดผิดคิดพลาดเสียบ้าง
ดูแล้วสนุกดี
ยิ่งผ่านแบบทดสอบยาก
ก็หมายถึงความเป็นจริงชัดขึ้นเท่านั้น
อย่ารังเกียจแบบทดสอบ
ไม่ว่าจะมาเองตามธรรมชาติ
หรือมาด้วยธรรมดากิเลสของคนใกล้ตัว
ถ้าต้อนรับทุกแบบทดสอบ
ด้วยมุมมองว่ามันคือแบบทดสอบ
คุณจะรู้สึกถึงความมีสติ
พอผ่านได้ก็เหมือนตรงดิ่งไปรับรางวัล
อันเป็นความรู้สึกว่าตัวเราเป็นของจริง
มีธรรมะอยู่ในเราจริง....
Click to expand...
ตราบใดที่เรายังต้องมีัสังคม ที่มีผู้คนหลากหลาย คน ก็แปลว่า ยุ่ง อยู่แล้ว อยู่ที่เราวางใจ ยังไง ไม่ให้ยุ่งตาม
แรกๆ อาจจะ คิดว่า "ทำไม (คนเราเป็นได้ขนาดนี้) หลังๆ "ช่างมัน" ไม่เป็นไร "ไม่ถือ" (เพราะถือแล้วมันหนัก 55+)
ธรรม มันก็เกิดขึ้น ในปัจจุบันแล้วก็ดับไป เราก็แค่เดินหน้าต่อไป ไม่จำเป็นต้องหันกลับมามอง เพราะมันเป็นสิ่งที่มันดับไปแล้ว อยู่กับปัจจุบันดีกว่า -
jate2029 said: ↑อนุโมทนา ครับ ทุกท่านใน ชมรมนั้น ดีอยู่แล้ว เพียงแต่ผมเองต้องการปรับความ
เข้าใจของผมเอง กับ การปฎิบัติของทุกท่าน ในที่นี้เท่านั้น เพราะผมรับสายตรง
จากหลวงพ่อฤาษีเท่านั้นน่ะครับ เพราะเท่าที่รู้ ว่าความรู้ที่ท่านผู้รู้ในกระทุ้นี้ก็มา
จากคำสอนของหลวงพ่อท่านเช่นกัน เพียงแต่อาจจะแยกมาในสายที่
ท่านเจ้าของกระทู้ถนัดเท่านั้นเอง ซึ่งก็ถือว่าดีมาก เพียงแต่ผมเดินมาคนละสาย
กับการปฎิบัตินี้เท่านั้น และเห็นว่าสายนี้ สอนแบบเรียบๆ ง่ายๆ เท่านั้น เพียงแต่
สายที่ผมปฎิบัติมานั้น มีขั้นตอนที่ลึกซึ่งผมเองก็ไม่อาจ อธิบายได้หมดเท่านั้นเอง
ถ้าหาก ข้อความด้านบน ของผมดูเป็นการ ลบหลู่ ดูหมิ่นใดๆ ท่านเจ้าของกระทู้
หรือท่านทั้งหลายในที่นี้แล้ว ก็ต้องขออภัย ไว้ ด้วยนะครับ อย่างน้อย ก็ยังแลก
เปลี่ยน ธรรมะ กันได้อยู่ จริงมั้ยครับ พี่เพ็ญ ยังไงแล้ว ก็ขอแลกเปลี่ยนกันบ้างนะ
ครับ อย่าเครียดมากนะครับ เด๋วไม่สวย
ขอให้เจริญในธรรม ยิ่งๆ ขึ้นไปนะครับ
อ้อ คือว่า ผมเป็นคน ทำได้แต่ สอนหรือ อธิบายไม่เก่งนะครับ เลยอาจเหมือนกับว่ากล่าว อ้างตำรา มาแต่ก็ยกมาเพียง การเปรียบเทียบเท่านั้นนะครับ เพราะอธิบายไม่ถูก ครับClick to expand... -
จิตเกาะพระ....วันนี้
บทสรุปของ "จิตเกาะพระ"
การวิปัสสนาหรือการพิจารณาธรรมทั้งหลายทั้งปวง ในขณะลืมตา ในขณะที่ทำงานต่างๆ หรือแม้นกระทั่งกายนอนหลับก็ตามที ขอให้ลงกฎไตรลักษณ์ให้หมด โดยเฉพาะธรรมตัวสุดท้ายก็คือ อนัตตา อันนี้สำหรับคนที่ทำเก่งแล้ว แต่ถ้ายังหรือมีอินทรีย์ยังไม่แก่กล้า ก็ให้เริ่มตัดลงที่อนิจจัง ก็คือ มองเห็นทุกสิ่งในโลกนี้ไม่เที่ยง ไม่มียั่งยืน นอกจากความตาย เป็นความทุกข์ทั้งสิ้น โดยเฉพาะความสุขทางโลก เพราะเป็นความสุขแค่ชั่วคราว ไม่ยั่งยืน แต่สุขนิรันดรนั้นจะต้องปราศจากทั้งทุกข์และสุขทางโลก และถึงตามด้วยอนัตตานั้น ก็คือ ไม่มีอะไรเป็นเรา เป็นของเรา ไม่มีตัวตนอยู่จริง เพราะไม่มีสิ่งใดที่เราจะไปบังคับได้ แม้นกระทั่งร่างกายของเราเป็นได้แค่ให้ดวงจิตอาศัยชั่วคราว ร่างกายเป็นสมบัติของโลก เพราะอีกไม่นานนักก็ต้องตายอย่างแน่นอน ไม่มีผู้ใดก้าวพ้นแห่งความตายไปได้สักคนเดียว
*จิตเกาะพระ ก็เป็นกรรมฐานกองหนึ่งที่มีอยู่ในกรรมฐานทั้งหมด 40 กองของพระพุทธองค์นั่นเอง ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อทำให้จิตนิ่งสำหรับผู้ปฎิบัติเท่านั้นเอง เพียงแต่การระลึกถึงพระนี้ทำให้จิตของผู้ปฎิบัติรวมไว อันเป็นเหตุทำให้จิตทรงฌานได้ไวขึ้น และทรงฌานได้อย่างต่อเนื่องด้วย และตรงนี้ถือว่าเป็นจุดเด่นของการเจริญสติภาวนาในเวลานี้
*จิตเกาะพระ ซึ่งประกอบด้วย 2 กรรมฐาน ก็คือ พุทธานุสสติ และกสิณ
*จิตเกาะพระไม่ต้องใช้คำภาวนาใดๆทั้งสิ้น เพราะการระลึกถึง/นึกถึงพระอยู่นั้น ก็เหมือนกับการเจริญสติภาวนา หรือกำลังภาวนา คำว่า พุท-โธ ยุบหนอ-พองหนอ นะมะพะทะ หรือตามดูลมหายใจตามแบบฉบับของอานาปานสติ นั่นเอง
-
หลักการทั่วๆไปของจิตเกาะพระ สำหรับผู้มาใหม่ ได้แก่..
1.รักษาศีล๕ (ศีลหยาบ)เป็นอย่างต่ำ ให้ครบบริบูรณ์
2.เลือกภาพพระมาหนึ่งรูป/ภาพ จะเป็นรูป/ภาพของพระพุทธเจ้าพระองค์ไหนก็ได้ หรือรูป/ภาพของพระอริเจ้าองค์ไหนก็ได้ ตามที่ใจของท่านรักหรือชอบ แต่ผู้มาใหม่หรือผู้ปฎิบัติใหม่ๆ ซึ่งไม่มีความคุ้นเคยหรือได้ยิน คำว่า "จิตเกาะพระ" มาก่อน แต่ถ้ามาจากสายมโนยิทธิอันนี้จะง่าย โดยให้ผู้ปฎิบัติใหม่จะต้องนำภาพมาจ้องมองแบสบายๆ หรือนำภาพพระที่เราสามารถมองเห็นได้บ่อยๆ และขั้นต่อไปให้เราลองกำหนดจิต(นึกถึงพระเหมือนที่เรานึกถึงหน้าแฟน) หรือระลึกหรือนึกถึงภาพพระนั้นให้บ่อยๆ จนภาพพระปรากฎภายในจิตของตนเองโดยอัตโนมัติ อันนี้แสดงว่าจิตเกาะพระได้แนบแน่นแล้ว และเมื่อภาพพระผุดขึ้นเองในจิตแล้ว ต่อไปจิตจะเกิดปิติ บางท่านเกิดปิติมากมายจนน้ำไหลนองอันนี้จะดีมาก แสดงว่าจิตไปสัมผัสพระได้มาก เกิดปิติจะมากหรือน้อยไม่เป็นไร แต่ขอให้เกิดปิติ เพราะถ้าเกิดนั่นแหล่ะเป็นหนทางนำไปสู่ฌาน ปิตินี้จึงเปรียบเสมือนอุปจารสมาธิ(เฉียดฌาน) ก่อนที่จิตจะเข้าสู่อัปนนาสมาธิ(ฌาน)
3.ผู้มาใหม่หรือผู้ปฎิบัติใหม่ โดยเฉพาะสำหรับผู้ที่ติดคำภาวนาแบบต่างๆ ขอให้ทุกท่านได้โปรดวางก่อนชั่วคราว แต่จะให้กระทำสลับในขณะที่จิตเบื่อทำจิตเกาะพระ เพราะจิตยังไม่คุ้นเคย แต่อย่าทำบ่อยนะ ขอให้วางให้ไวที่สุด เพราะจะมีผลจิตยกช้านั่นเอง
4.สำหรับผู้ที่ติดความลังเลหรือสงสัยมาก ติดตัวรู้มาก หรือไม่ทราบว่าท่านคือใคร เก่งมาจากไหน ใหญ่มาจากไหน จนหรือร่ำรวย ชายหรือหญิง เด็กหรือคนแก่ หน้าที่การงานใหญ่โตขนาดไหน ผู้ที่มีบารมีหรือมียศฐาบรรศักดิ์สูงส่งสักปานใด ผมขอเรียกว่า เปลือกนอก ก่อนจะลงมือปฎิบัติขอให้ทุกท่านวางชั่วคราวก่อน เมื่อท่านปฎิบัติจบกิจแล้ว ต่อไปท่านจะแบกต่อไปก็ไม่ว่ากะไร เพราะเรื่องจิตไม่มีใครได้เปรียบเสียเปรียบ โลกทิพย์นั้นเสมือภาคที่สุด ใครจะจบกิจเร็วหรือช้าก็มีปัจจัยหลายอย่าง เช่น ของเก่าเยอะแค่แนะเดินมรรคาหรือแค่สอนให้ทำวิปัสสนาเป็นทีเหลือจิตเขาจะมาไวไปไวหรือยกจิตไว ติดกรรมไม่ดีเยอะอันนี้เราจะต้องบอกครูฝึกให้ช่วยว่าเธอติดกรรมอะไรแต่ขอเน้นกรรมที่รุนแรงมากๆก่อน ได้แก่ ล่วงเกินพระรัตนตรัย ล่วงเกินผู้มีพระคุณ กรรมที่เกี่ยวข้องเรื่องทำแท้งทั้งหมด แต่โดยเฉพาะความขยันหมั่นเพียร อันนี้ก็จะเป็นผลทำให้จิตยกไวเช่นเดียวกัน สำหรับผู้ที่ไม่มีของเก่าเลยอย่าเพิ่งไปน้อยใจ ขอให้จำคำพูดของครูทั้งหลายก็คือ ทำไปๆ ทำๆๆๆ สตินะ..สติ ในขณะทำพยายามทำจิตให้ว่างมากที่สุด เน้นจิตสบายให้มากที่สุด อย่าอยาก อย่าคิดว่าเห็นเขายกกันจังและเมื่อไหร่เราจะยกบ้าง แค่คิดก็ช้าไปหนึ่งวันทันที ฐานะมีความยากมีความโลภ
5.จงทำความเข้าใจกันใหม่นะว่า การปฎิบัติจิตเกาะพระนี้ ไม่ได้ให้ผู้ปฎิบัติมานั่งหลับตาปี๋ทำสมาธิกันนะ ได้โปรดเข้าใจไว้ด้วย อันนั้นนักภาวนาทั่วๆไปเขาปฎิบัติกัน ดีมากดีกว่าผู้ไม่ทำอะไรเลย แต่ยังไม่ดีมากสำหรับจิตเกาะพระ เพราะที่ท่านกำลังทำอยู่นั้น ท่านตอบผมหน่อยได้ไหมว่า ท่านสามารถทรงฌานได้ทั้งวันทั้งคืนไหม๊ เมื่อท่านลืมตาแล้ว ออกจากสมาธิหรือฌานแล้ว มันทรงฌานตลอดต่อเนื่องไหม๊? แต่ถ้าตอบว่าไม่ เลิกซะ แล้วหันมาทำแค่นึกถึงพระนี่มันง่ายกว่าตั้งเยอะ จุดเด่นจิตเกาพระก็บอไปแล้ว แต่ถ้าทำต่อก็ไม่ว่า แต่เมื่อไหร่ท่านลืมตาขอให้นึกถึงพระต่อเลยนะ คำภาวนาวางให้ไวที่สุดนะ เพราะจะมีผลต่อการปฎิบัติ คือจิตยกช้า สรุปข้อนี้ว่า จิตเกาะพระสามารถทรงฌานได้ทั้งลืมตาและหลับตา ทรงฌานได้ทั้งวันทั้งคืน แม้นกระทั่งกายหลับแต่จิตไม่มีวันหลับ เพราะโลกทิพย์นั้นไม่มีกลางวัน กลางคืน ไม่มีเพศ เท่าเทียวกันหมด แต่จะแตกต่างกันตรงที่แสงในจิตของผู้ปฎิบัติโดยตรง นั่นจะหมายถึงบุญและบารมี ส่วนความเมตตานั้นก็มีอยู่ประจำจิตของผู้ปฎิบัติกันอยู่แล้ว เพราะต่อไปผู้ที่ยกจิตแล้ว จะสร้างแต่คำว่าบารมี เพราะบุญมันมากแล้ว หรือขอให้สังเกตดูผู้มากบารมีของสมเด็จองค์ปฐมก็คือ แสงฉัพพรรณรังสี(สีรุ้ง) หรือสีประกายพรึกของพระวิสุทธิ์เทพ หรือสีเหลืองอ่อนโดยรอบสีขาวของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเป็นต้น ส่วนความหมายของสีได้เคยบอกในกระทู้ไปแล้ว หรือไปเทียบกับแสงออร่าก็ได้
6.ส่วนฌานที่เหมาะสมที่สุด สำหรับการปฎิบัติจิตเกาะพระ ก็คือ ฌานสามถึงฌานสี่ละเอียด แต่อย่าต่ำกว่านี้หรืออย่ามากกว่านี้ แต่ถ้าจิตผู้ใดสามารถทรงฌานสี่ละเอียดได้นานอย่างต่อเนื่อง มีผลทำให้จิตยกไว เพราะจิตมีกำลังฌานสูงในการทำวิปัสสนาไว คือจิตจะเข้าสู่โหมดออโต้วิปัสสนาไวนั่นเอง เมื่อจิตเข้าถึงความว่างของเขาเองได้แล้ว จิตจะสอบผ่านและจิตเกิดวิปัสสนาญาณ/ปัญญาญาณได้ไว(แต่ถ้าผู้ปฎิบัติถึงขั้นตอนนี้ เขาจะทราบของเขาเอง)
7.นิมิตต่างๆ ถ้าใครมีของเก่าจะแย่ตรงนี้ อย่านึกว่ามีของเกา่าแล้วจะดีไปเสียหมด เพราะถ้าสติของผู้ปฎิบัติตามไม่ทัน จะทำให้ผู้ปฎิบัติหลงทางทันที เพราะเรื่องนิมิตเป็นเรื่องธรรมดา อย่าไปให้ความสนใจมาก เพราะถ้าจิตผู้ ผู้ปฎิบัติละเอียดมากๆ หรือจิตเข้าสู่ความว่างมากๆหรือฌานสี่ละเอียดมากๆจิตก็จะพบ ไปรับสื่อต่างๆเข้ามามากมาย นิมิตนั้นสำหรับพระอรหันต์ท่านจะไม่ให้สนใจมาก เพราะนอกจากจะหลอกผู้ปฎิบัติที่ยังมีอินทรีย์อ่อน
แล้ว นิมิตนั้นก็ไม่เที่ยง ฌาน หรือฤทธิ์เดช อภิญญา ดูๆไปก็แค่เปลือกนอก หรือก็แค่ยานพาหะที่จะนำจิตเข้าไปสู่วิปัสสนา ญาณง่ายเท่านั้นเอง แต่เมื่อจิตไปถึงฝั่ง(นิพพาน) พวกนี้เหล่านี้ก็ใช้ไม่ได้แล้ว หรือมีคนจะแบกเรือ แบกยานขึ้นนิพพานไปด้วย มีไหม๊?
สรุปข้อนี้ก็คือ จิตเกาะพระไม่นิยมคนบ้าฤทธิ์เดช ให้ความสำคัญกับนิมิตต่างๆ อย่าถาม อย่าได้สงสัยขอให้ผู้ปฎิบัติผ่านไปไวๆ เดินตรงมีแค่ศีล สมาธิ ปัญญา สามตัวนี้จะนำจิตของผู้ปฎิบัติถึงพระนิพพานในไม่ช้าตามที่ท่านปรารถนาทุกประการ
8.จิตเกาะพระนี้มิได้มุ่งเน้นแค่ ช่วยบรรทุกข์ให้ลดน้อยลง เบาบางลงเท่านั้น หรือสอนให้รู้จักธรรม หรือสอนแค่มีดวงตาเห็นธรรมกันเฉยๆ แต่จิตเกาะพระนี้ ทำจิตให้สูงสุดได้โดยใช้เวลาไม่นานนัก ก็คือ ขึ้นถึงพระนิพพาน และมากไปกว่านั้นก็คือ ในไม่ช้าถ้าผู้จบกิจไม่ทิ้งวิชาจิตเกาะพระ คือปฎิบัติต่อเนื่องไป บางท่านพบพระพุทธเจ้าในดวงจิตกันแล้ว มีหลายมาก แต่ผู้เขียนไม่สามารถพูดเน้นย้ำบ่อยๆกันได้ เพราะเป็นเรื่องปัจัตตัง ไม่มีอะไรมายืนยันให้กับผู้ที่ยังปฎิบัติไม่ถึง
9.เพราะฉะนั้นแล้ว สำหรับใครปฎิบัติได้รูปฌานละเอียดมากมาก่อน อันนี้จะมีผลทำให้จิตยกไว หรือใครมีพื้นฐานมโยิทธิก็เช่นเดียวกัน แต่จิตเกาะพระไม่นิยมให้ผู้ปฎิบัติเดินหลงมรรคาไปจนถึง อรูปฌาน คือ ตั้งแต่ฌาฌ๕,๖,๗,๘ อันนั้น จิตจะติดเฉยมาก จิตไม่เหมาะวิปัสสนาอย่างยิ่งยวด แต่ถ้าใครไปถึงได้ก็จะมีประโยชน์แค่อภิญญาต่างๆ เช่น อิทธิวิธี(เหาะ เหิร เดินอากาศ ย่นระยะทาง) อันนั้นขอให้เราทำหลังจิตยกจะดีกว่า จะได้ไม่หลง ไม่เป็นบ้าก่อนขึ้นพระนิพพาน เพราะหลงตนเองว่าเป็นผู้วิเศษ อันนั้นไปไกลมากๆ คือไม่มีคนครบด้วยแล้ว นอกจากท่านไปบวชจะดังมาก เพราะเสกพระเก่ง ใช้กำลังฌานเป็นหลัก จงอย่าเข้าใจผิดกันนะว่า ผู้ที่มีอภิญญาแค่ห้าอย่างนั้นก็คือ ผู้บรรลุธรรมขั้นสูง ยกเว้นผู้มีอภิญญาณ ๖ ก็คือ อาสวักขยญาณ คือผู้ทำอาสวะให้สิ้น หรือทำจิตปราศจากกิเลสทั้งปวงไป
10.จิตเกาะพระไม่นิยมให้ผู้ปฎิบัติจิตเกาะพระ ไปติดสุขฝ่ายดีหรือติดสุขจากฌาน คือให้จิตไปชนกับกิเลสต่างๆแล้วตัดลงไปตามกฎไตรลักษณ์ อันนี้หมายถึงลืมตาและในขณะที่จิตทรงฌาน คือให้นำจิตไปพิจารณธรรมกับสิ่งต่างๆที่กำลังเข้ามากระทบของตนเองว่าเป็นเช่นไร แต่ถ้าใครไม่ทำอย่างนี้แล้ว พี่ภูจะเรียกว่า จิตขี้เกลียด จิตขี้ขลาด จิตผู้แพ้ จะขอบอกตามตรงที่จิตอยู่ตรงนั้นยังไม่ใช่ความสุขถาวร เพราะฌานไม่เที่ยง สุขนิรันดรก็คือ สุขที่ปราศจากทั้งความทุกข์และความสุข(ทางโลกทางฌาน) หรือสุขแบบจิตนิพพาน
ปล. จิตเกาะพระรับสมัครผู้เขียนบรรยายอรรถธรรมเก่งๆ นอกจากครูเพ็ญมีใครอีกไหม๊ ผมจะให้มาช่วยงานตรงนี้หน่อย เพราะธรรมะขยันผุดออกมา แต่บางครั้งไม่มีเวลามานั่งเขียน ตื่นมาทุกเช้าตายังไมทันลืมเลย ว่าจะมานั่งพิมพ์ ตื่นมาเปิดคอมสัญญาไปหมดทุกทีเลย สงสัยเป็นเหมือนครูเพ็ญ สัญญาตกกระป๋อง ของดีๆไม่รู้จักรับมา มันน่าเขกกะบาลตนจริงๆ
-
ฮ่า ๆ พี่เพ็ญสบายใจจังพี่ภูไม่อยู่ ไม่มีใครมาคอยจ้องตาดุ หนูพี่เพ็ญเลยเบิกบาน
แมวไม่อยู่หนูร่าเริง ฮ่า ๆ
ม๊ะ ใครจะเอากิเลสมาปล่อยอีก พี่เพ็ญกำลังคึก หึ ๆ -
ง่าๆๆ พี่ภูกลับมาแล้วเฝ้ากระทู้แล้วเหรอ งั้นหนูพี่เพ็ญขอหลบไปก่อนนะ เดี๋ยวโดนปาค้อนหัวแตก อึ๋ยๆ
-
การนั่งสมาธิแบบไม่หลับตามีสองแบบที่ได้ทดลองมีดังนี้ครับ
1การนั่งสมาธิแบบไม่หลับตา แต่เป็นสภาวะที่ปิดไฟคือสภาวะที่มืดสนิท ด้วยสภาวะนี้ การนั่งสมาธิ ก็จะคล้ายๆกันกับการหลับตา การกำหนดสติและจิตรวมเป็นสมาธิทำได้ง่าย เมื่อกำหนดสมาธิได้ง่ายการพิจารณาธรรมารมณ์ต่างๆก็ทำได้ง่ายต่อเนื่องต่อไปได้ครับ
2การนั่งสมาธิแบบไม่หลับตา แต่เป็นสภาวะที่เปิดไฟสว่างจ้า สายตามองต่ำลงไปยังพื้นด้านหน้า การกำหนดสมาธิก็ยังคงกำหนดที่ลมหายใจเข้าและออกเหมือนเดิม เพียงแต่สายตาจับมองไปยังพื้นเบื้องหน้า
เมื่อสติและจิตรวมเป็นสมาธิแล้ว จิตไปจับอยู่กับภาพ พื้นห้องด้านหน้า ภาพพื้นห้องที่จับอยู่นั้นก็ด้วยอายะตะนะภายนอก ถูกส่งผ่านเข้าทางจักษุวิญญาณ จิตรับภาพนี้ไว้ และ ในขณะนั้นได้น้อมจิตมาพิจารณาว่าในสภาวะเช่นนี้หากเราจะ กำหนดภาพนิมิตของสมเด็จองค์ปฐมที่เป็นผลึกแก้วประกายพฤตยังทำได้อยู่หรือไม่
จึงได้กำหนดสมาธิในขณะที่ไม่หลับตา จากการทดลองเปลี่ยนรูปภาพที่มองเห็นในขณะนั้นซึ่งเป็นรูปพื้นห้อง ปรากฏว่าไม่สามารถเปลี่ยนให้ภาพพื้นห้องกลายเป็นประกายแก้วองค์ปฐมได้
กระผมจึงได้ทดลองพยายามเปลี่ยนแปลงอยู่หลายครั้งแต่ก็ทำไม่สำเร็จ
จนกระทั้งหยุดสนใจ จึงทำจิตให้สงบนิ่ง ในขณะที่จิตสงบนิ่งลงได้นั้นเอง ภาพที่ปรากฏอยู่ด้วยสายตาจดจ่ออยู่ที่พื้นห้อง ภาพพื้นห้องที่กระผมมองเห็นในตอนนี้กลับมองไม่เห็น คือจิตผมสงบอยู่ภายในไม่ได้รับเอารูปภาพที่ดวงตารับอยู่จากภายนอกนั่นเอง
ในความสงบเช่นนี้เอง เมื่อผมรวบรวมสติพร้อมด้วยจิตพิจารณาสภาวะดังกล่าวนี้
จึงพิจารณารเห็นสภาวะธรรมว่า ธรรดากายเรานี้อาศัยอายะตะนะภายในเป็นทวารเปิดรับหรือเป็นเครื่องรับเอาอายะตนะภายนอก เกิดผัสสะระหว่างอายะตะนะทั้งภายในและภายนอก ส่งผ่านสู่จิตด้วยวิญญาณทั้งหลายมีจักษุวิญญาณเป็นต้น เมื่อจิตรับเอาวิญญาณเหล่านั้นจิตจึงติดอยู่จับอยู่ยึดเกาะอยู่กับนามรูปเหล่านั้น ฉะนี้แล้วโดยปกติธรรมดาชีวิตประจำวันของเราเองก็ล้วนมีผัสสะเกิดขึ้นแก่กายและจิตเราเช่นนี้ตลอดต่อเนื่อง
ดังนี้แล้วหากเรา สามารถนำเอาสติมาควบคุมกายและจิตเรา ก่อให้เกิดเป็นสมาธิเบื้องต้น[ตั้งกรรมฐาน] ด้วยอาศัยกำลังกายและกำลังจิตที่ดีพร้อม เพื่อน้อมนำมาพิจารณาหรือวิปัสสนา อันสิ่งหรือเครื่องที่ผัสสะที่เกิดขึ้นแก่ร่างกาย และจิตเราทั้งหลาย ให้จิตเรามีสติรู้ทัน รูปนามทั้งหลาย เพราะรูปนามทั้งหลายล้วนเป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่ควรยึดมั่นถือมั่น ควรละปล่อยวางเสีย เสมือนว่ารูปนามทั้งหลายนั้นที่ผัสสะนั้น ให้สักแต่ว่าเห็น สักแต่ว่ารู้ สิ่งที่เห็นที่รู้หรือที่สัมผัสก็ดี ย่อมมีลักษณะเป็นธรรมชาติ เป็นธรรมดาของมัน ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับจิตเรา ทุกอากับกริยาของเรา ทั้งนั่ง ยืน เดิน นอน ย่อมต้องมีเครื่องอันมากระทบหรือสัมผัสส กายและจิตเรา
ขอให้มีสติรู้ทันเพื่อไม่รับหรือหากรับผัสสะนั้นแล้วก็ต้องมีสติละปล่อยวาง ให้ทำให้เป็นอุปนิสัยเช่นนี้เสมอ ต้องไม่ไหลไปตามสิ่งที่มากระทบหรือสัมผัสกายและจิตเราเป็นอันขาด ให้มีสติพร้อมอยู่กับกายและจิตนี้ อยู่ภายในเช่นนี้เสมอครับ สาธุ
การนั่งสมาธิแบบไม่หลับตาก็ได้พิจารณาเห็นสภาวะธรรมในครั้งแรก ก็เป็นเช่นนี้ครับ
ขอบคุณท่านคุณครู ลูกพลัง อีกครั้งครับ
ท้ายที่สุด เมื่อเรารู้จักวิธีในการสร้างวิปัสสนาญาณแล้ว
เราทั้งหลายควรจะต้องเข้าใจว่าญาณบารมีนี้นั้น เราควรสร้างญาณบารมีของเราอย่างไร ให้สติและจิตเราพร้อมรับเสมออย่างไร พร้อมรบกับกิเลสมารทั้งหลายอย่างไร เพื่อการชำระเพื่อความสะอาดหมดจดบริสุทธิ์อย่างยิ่งให้เกิดขึ้นแก่จิตเราได้อย่างไร
เพื่อการยกจิตเราเข้าสู่พระนิพพานได้ในที่สุดครับ สาธุ
[ต้องขออภัยท่านอาจารย์คุณภู คุณลูกพลัง คุณพี่เพ็ญ คุณหนู และทุกๆท่านด้วยครับที่เข้ามาตอบช้าครับ เพราะมีภาระงานค่อนข้างเยอะ และออกเดินทางต่างจังหวัดค่อนข้างบ่อย แต่ก็จะปฏิบัติเอาสติและจิตสร้างกรรมฐานไว้เสมอครับไม่ให้จิตไหลไปสู่ที่ต่ำครับ] -
Dhammanee said: ↑วันนี้เราเห็นโลโก้คุณบ่อยๆ คุณjate2029 เราก็เลยจำได้แล้วว่า เป็นเรานี้เองที่ส่งpm แนะนำคุณไปในกระทู้หนึ่งของคำสอนของหลวงพ่อฤาษีลิงดำ
ขอโทษนะค่ะพี่เพ็ญ ที่หนูเป็นต้นเหตุให้คุณJate2029 เข้ามาป่วนกระทู้..เอ๊ย..เข้ามาเป็นสีสันในกระทู้ แหม..รักน่ะจ๊ะ จึงหยอกเล่น คุณJate2029 ยังไงก็ยินดีต้อนออก..เอ๊ย..ต้อนฮับ ฮับ ฮับ จ้าาา ดูซิท่านจะงอนมั้ยเนี่ย??? 555 กิ้ว กิ้ว....:boo::boo::boo:
อ้าววว...คุณเพิ่งจะทราบเหรอค่ะ ว่าท่านพี่ภูนี้ ท่านคือ ผอ.ใหญ่ของพวกเราชาวจิตเกาะพระ ถึงคุณไม่ยกให้ ท่านก็เป็นของท่านอยู่แล้วค๊าาา ไม่ต้องห่วง..อิๆ :cool::cool:Click to expand...
อย่าไปซีเรียสคุณเกษ มันไม่ใช่เรื่องบังเอิญ เขาถูกส่งมาหาพี่เพ็ญโดยเฉพาะ หลวงพ่อท่านส่งมา เพราะเขาเอาตัวไม่รอดแล้ว ต้องมีคนไปกระทุ้งจิตให้ออกมา จิตเขาติดเวทนามานานแล้ว ตัวเองไม่รู้ตัว แถมใครสอนก็ไม่ได้ จิตไม่เอากะใครสักอย่าง ฉันมั่นของฉันคนเดียว คนแบบนี้หลวงพ่อส่งเข้ามาหาพี่เพ็ญหลายคนแล้ว ก็อยู่ที่ตัวเขาจะเอาแก่นหรือจะเอาเปลือก แต่พี่เพ็ญยังไม่รับหรอกนะ ต้องจิตเขาพร้อมมากกว่านี้ ถ้ายังติดฤทธิ เดช อิภญญาอยู่ ไม่ยอมปล่อย ไม่ยอมว่าง ก็เป็นอันว่าต้องปล่อยท่านไปตามกรรมของท่าน นี่กล้ามาพูดเปิดเผยนะ เพราะจิตนี้ไม่มีความลับอะไรเลย มันมีแต่จริงใจจริงจังและเมตตา แต่ถ้าใครไม่รับก็ไม่มีผลอะไรกับพี่เพ็ญ เพราะจิตพี่เพ็ญพ้นแล้ว ไม่เอากับกิเลส ไม่เอากับกรรมอะไรในโลกแล้ว ไม่ต้องเป็นห่วงจิตพี่เพ็ญ ซำบายมาก แหม๊ วันนี้จิตมันคึกคักดีจัง สงสัยเมื่อวานโดนพลังพีระมิดอัดเข้าไปโดยไม่รู้ตัว เล่นซะหัวพองเป็นแตงโมเลย จ่าติ๊กนะจ่าติ๊ก ฮ่า ๆ -
TPC said: ↑การนั่งสมาธิแบบไม่หลับตามีสองแบบที่ได้ทดลองมีดังนี้ครับ
1การนั่งสมาธิแบบไม่หลับตา แต่เป็นสภาวะที่ปิดไฟคือสภาวะที่มืดสนิท ด้วยสภาวะนี้ การนั่งสมาธิ ก็จะคล้ายๆกันกับการหลับตา การกำหนดสติและจิตรวมเป็นสมาธิทำได้ง่าย เมื่อกำหนดสมาธิได้ง่ายการพิจารณาธรรมารมณ์ต่างๆก็ทำได้ง่ายต่อเนื่องต่อไปได้ครับ
2การนั่งสมาธิแบบไม่หลับตา แต่เป็นสภาวะที่เปิดไฟสว่างจ้า สายตามองต่ำลงไปยังพื้นด้านหน้า การกำหนดสมาธิก็ยังคงกำหนดที่ลมหายใจเข้าและออกเหมือนเดิม เพียงแต่สายตาจับมองไปยังพื้นเบื้องหน้า
เมื่อสติและจิตรวมเป็นสมาธิแล้ว จิตไปจับอยู่กับภาพ พื้นห้องด้านหน้า ภาพพื้นห้องที่จับอยู่นั้นก็ด้วยอายะตะนะภายนอก ถูกส่งผ่านเข้าทางจักษุวิญญาณ จิตรับภาพนี้ไว้ และ ในขณะนั้นได้น้อมจิตมาพิจารณาว่าในสภาวะเช่นนี้หากเราจะ กำหนดภาพนิมิตของสมเด็จองค์ปฐมที่เป็นผลึกแก้วประกายพฤตยังทำได้อยู่หรือไม่
จึงได้กำหนดสมาธิในขณะที่ไม่หลับตา จากการทดลองเปลี่ยนรูปภาพที่มองเห็นในขณะนั้นซึ่งเป็นรูปพื้นห้อง ปรากฏว่าไม่สามารถเปลี่ยนให้ภาพพื้นห้องกลายเป็นประกายแก้วองค์ปฐมได้
กระผมจึงได้ทดลองพยายามเปลี่ยนแปลงอยู่หลายครั้งแต่ก็ทำไม่สำเร็จ
จนกระทั้งหยุดสนใจ จึงทำจิตให้สงบนิ่ง ในขณะที่จิตสงบนิ่งลงได้นั้นเอง ภาพที่ปรากฏอยู่ด้วยสายตาจดจ่ออยู่ที่พื้นห้อง ภาพพื้นห้องที่กระผมมองเห็นในตอนนี้กลับมองไม่เห็น คือจิตผมสงบอยู่ภายในไม่ได้รับเอารูปภาพที่ดวงตารับอยู่จากภายนอกนั่นเอง
ในความสงบเช่นนี้เอง เมื่อผมรวบรวมสติพร้อมด้วยจิตพิจารณาสภาวะดังกล่าวนี้
จึงพิจารณารเห็นสภาวะธรรมว่า ธรรดากายเรานี้อาศัยอายะตะนะภายในเป็นทวารเปิดรับหรือเป็นเครื่องรับเอาอายะตนะภายนอก เกิดผัสสะระหว่างอายะตะนะทั้งภายในและภายนอก ส่งผ่านสู่จิตด้วยวิญญาณทั้งหลายมีจักษุวิญญาณเป็นต้น เมื่อจิตรับเอาวิญญาณเหล่านั้นจิตจึงติดอยู่จับอยู่ยึดเกาะอยู่กับนามรูปเหล่านั้น ฉะนี้แล้วโดยปกติธรรมดาชีวิตประจำวันของเราเองก็ล้วนมีผัสสะเกิดขึ้นแก่กายและจิตเราเช่นนี้ตลอดต่อเนื่อง
ดังนี้แล้วหากเรา สามารถนำเอาสติมาควบคุมกายและจิตเรา ก่อให้เกิดเป็นสมาธิเบื้องต้น[ตั้งกรรมฐาน] ด้วยอาศัยกำลังกายและกำลังจิตที่ดีพร้อม เพื่อน้อมนำมาพิจารณาหรือวิปัสสนา อันสิ่งหรือเครื่องที่ผัสสะที่เกิดขึ้นแก่ร่างกาย และจิตเราทั้งหลาย ให้จิตเรามีสติรู้ทัน รูปนามทั้งหลาย เพราะรูปนามทั้งหลายล้วนเป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่ควรยึดมั่นถือมั่น ควรละปล่อยวางเสีย เสมือนว่ารูปนามทั้งหลายนั้นที่ผัสสะนั้น ให้สักแต่ว่าเห็น สักแต่ว่ารู้ สิ่งที่เห็นที่รู้หรือที่สัมผัสก็ดี ย่อมมีลักษณะเป็นธรรมชาติ เป็นธรรมดาของมัน ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับจิตเรา ทุกอากับกริยาของเรา ทั้งนั่ง ยืน เดิน นอน ย่อมต้องมีเครื่องอันมากระทบหรือสัมผัสส กายและจิตเรา
ขอให้มีสติรู้ทันเพื่อไม่รับหรือหากรับผัสสะนั้นแล้วก็ต้องมีสติละปล่อยวาง ให้ทำให้เป็นอุปนิสัยเช่นนี้เสมอ ต้องไม่ไหลไปตามสิ่งที่มากระทบหรือสัมผัสกายและจิตเราเป็นอันขาด ให้มีสติพร้อมอยู่กับกายและจิตนี้ อยู่ภายในเช่นนี้เสมอครับ สาธุ
การนั่งสมาธิแบบไม่หลับตาก็ได้พิจารณาเห็นสภาวะธรรมในครั้งแรก ก็เป็นเช่นนี้ครับ
ขอบคุณท่านคุณครู ลูกพลัง อีกครั้งครับ
ท้ายที่สุด เมื่อเรารู้จักวิธีในการสร้างวิปัสสนาญาณแล้ว
เราทั้งหลายควรจะต้องเข้าใจว่าญาณบารมีนี้นั้น เราควรสร้างญาณบารมีของเราอย่างไร ให้สติและจิตเราพร้อมรับเสมออย่างไร พร้อมรบกับกิเลสมารทั้งหลายอย่างไร เพื่อการชำระเพื่อความสะอาดหมดจดบริสุทธิ์อย่างยิ่งให้เกิดขึ้นแก่จิตเราได้อย่างไร
เพื่อการยกจิตเราเข้าสู่พระนิพพานได้ในที่สุดครับ สาธุ
[ต้องขออภัยท่านอาจารย์คุณภู คุณลูกพลัง คุณพี่เพ็ญ คุณหนู และทุกๆท่านด้วยครับที่เข้ามาตอบช้าครับ เพราะมีภาระงานค่อนข้างเยอะ และออกเดินทางต่างจังหวัดค่อนข้างบ่อย แต่ก็จะปฏิบัติเอาสติและจิตสร้างกรรมฐานไว้เสมอครับไม่ให้จิตไหลไปสู่ที่ต่ำครับ]Click to expand...
ที่ครูลูกพลังบอกให้คุณลองทำสมาธิแบบไม่หลับตานั้น คือ ให้คุณมาฝึกจิตเกาะพระค๊า ไม่ใช่ให้คุณไปนั่งลืมตาในขณะที่เปิดไฟ หรือ ปิดไฟ ครูลูกพลังให้คุณนะ เอาจิตคุณมาระลึกนึกถึงภาพสมเด็จองค์ปฐมแก้วใสประกายพฤกที่คุณเห็นในสมาธิบ่อยๆ นั่นแหล่ะค๊า ให้คุณนึกถึงท่าน 4-6ครั้ง/ชม.นะค่ะ แล้วมีความเพียรนึกถึงท่านให้ได้ตลอดทั้งวันเลย ทำอะไรๆ อยู่ก็ให้มีสติแว๊ปนึกถึงพระบ่อยๆ ขับรถอยู่ก็ให้แว๊ปนึกถึงท่าน ทานข้าวก็นึกถึงท่าน ถ้าคุณมีความเพียรนึกถึงท่านแบบนี้ไม่น่าจะเกิน 3 วันก็น่าจะเกาะพระติด แล้วทีนี้คุณก็จะเห็นท่านในจิตคุณในขณะที่ลืมตานี้แหล่ะค๊า สมาธิคุณดีมากอยู่แล้ว แต่ไม่ต่อเนื่อง ครูลูกพลังถึงได้บอกให้คุณลองมาทำสมาธิแบบไม่หลับตาปี๋เพิ่มเข้าไป ความหมายก็คือ ทำสมาธิในระหว่างวันในขณะที่คุณกำลังทำงานนี้แหล่ะค๊า ก็โดยการทำจิตเกาะพระนี้ไง๊ เพราะการทำสมาธิตอนที่คุณหลับตาปี๋นั้นคุณทำได้ดีมากอยู่แล้วค๊าาา สาธุ ผิดถูกประการใด เดี๋ยวพี่ภู หรือ ครูลูกพลังก็คงจะเข้ามาเสริมนะค๊า กู๊ดไนท์ค๊าาา -
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 27 คน ( เป็นสมาชิก 15 คน และ บุคคลทั่วไป 12 คน ) [ แนะนำเรื่องเด่น ]
Dhammanee, asamania, A-colyte, newwave1959, Natcha@uk, watjojoj, natthapatpun, urairatvi, UFO393, zenit, winamp, TPC, dogbert77, ภูทยานฌาน2, watta chan
ท่านผู้ชมขา ตั้งแต่ดูมา วันนี้มีผู้เข้าเยี่ยมชมกระทู้เรามากเป็นประวัติการณ์ แล้วรู้สึกว่าจะมากขึ้นเรื่อยๆ นะค่ะ รีบๆ มาเร็ว เดี๋ยวพายุสุริยะมานี้ เน็ทคงจะใช้ไม่ได้อีกนานเลยน่ะท่าน :boo::boo: -
Dhammanee said: ↑ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 27 คน ( เป็นสมาชิก 15 คน และ บุคคลทั่วไป 12 คน ) [ แนะนำเรื่องเด่น ]
Dhammanee, asamania, A-colyte, newwave1959, Natcha@uk, watjojoj, natthapatpun, urairatvi, UFO393, zenit, winamp, TPC, dogbert77, ภูทยานฌาน2, watta chan
ท่านผู้ชมขา ตั้งแต่ดูมา วันนี้มีผู้เข้าเยี่ยมชมกระทู้เรามากเป็นประวัติการณ์ แล้วรู้สึกว่าจะมากขึ้นเรื่อยๆ นะค่ะ รีบๆ มาเร็ว เดี๋ยวพายุสุริยะมานี้ เน็ทคงจะใช้ไม่ได้อีกนานเลยน่ะท่าน :boo::boo:Click to expand...
ครูเพ็ญ ครูลูกพลัง ครูวิทย์ ผมพี่ภูจับตัวได้แล้วว่าใครเชียร์แขกเก่ง ฮ่าๆ แถมขู่แขกก็เก่งอีกด้วย เดี๋ยวเธอจะโดนมิใช่น้อย
จิตพร้อม? รับภัยพิบัติ (33 คน กำลังดูอยู่) ( 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 12 13 14 15 16 17 18 19 20 ... หน้าสุดท้าย)
ภูทยานฌาน2
วันนี้ 10:48 PM
โดย Dhammanee
5,205 165,620 -
natthapatpun said: ↑ฮ่า ๆ พี่เพ็ญสบายใจจังพี่ภูไม่อยู่ ไม่มีใครมาคอยจ้องตาดุ หนูพี่เพ็ญเลยเบิกบาน
แมวไม่อยู่หนูร่าเริง ฮ่า ๆ
ม๊ะ ใครจะเอากิเลสมาปล่อยอีก พี่เพ็ญกำลังคึก หึ ๆClick to expand...
เห็นมั๊ยคนที่ไม่มีใครเครียดจริงๆหรอก เห็นแต่ละคนขำกลิ้งๆ เพราะอวบเกือบอ้วนกันมั้ง..อิอิ
คนเครียดกันจริงๆ ก็เห็นพวกที่เอาแต่ สนใจแต่ ให้ความสำคัญแต่สิ่งสมมุติหรือเปลือกเป็นจริง เป็นจังกันนั่นแหล่ะ -
ภูทยานฌาน2 said: ↑ใครบอกเธอ ของฉันเยอะกว่า...อิอิ
ครูเพ็ญ ครูลูกพลัง ครูวิทย์ ผมพี่ภูจับตัวได้แล้วว่าใครเชียร์แขกเก่ง ฮ่าๆ แถมขู่แขกก็เก่งอีกด้วย เดี๋ยวเธอจะโดนมิใช่น้อย
จิตพร้อม? รับภัยพิบัติ (33 คน กำลังดูอยู่) ( 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 12 13 14 15 16 17 18 19 20 ... หน้าสุดท้าย)
ภูทยานฌาน2
วันนี้ 10:48 PM
โดย Dhammanee
5,205 165,620Click to expand... -
TPC said: ↑การนั่งสมาธิแบบไม่หลับตามีสองแบบที่ได้ทดลองมีดังนี้ครับ
1การนั่งสมาธิแบบไม่หลับตา แต่เป็นสภาวะที่ปิดไฟคือสภาวะที่มืดสนิท ด้วยสภาวะนี้ การนั่งสมาธิ ก็จะคล้ายๆกันกับการหลับตา การกำหนดสติและจิตรวมเป็นสมาธิทำได้ง่าย เมื่อกำหนดสมาธิได้ง่ายการพิจารณาธรรมารมณ์ต่างๆก็ทำได้ง่ายต่อเนื่องต่อไปได้ครับ
2การนั่งสมาธิแบบไม่หลับตา แต่เป็นสภาวะที่เปิดไฟสว่างจ้า สายตามองต่ำลงไปยังพื้นด้านหน้า การกำหนดสมาธิก็ยังคงกำหนดที่ลมหายใจเข้าและออกเหมือนเดิม เพียงแต่สายตาจับมองไปยังพื้นเบื้องหน้า
เมื่อสติและจิตรวมเป็นสมาธิแล้ว จิตไปจับอยู่กับภาพ พื้นห้องด้านหน้า ภาพพื้นห้องที่จับอยู่นั้นก็ด้วยอายะตะนะภายนอก ถูกส่งผ่านเข้าทางจักษุวิญญาณ จิตรับภาพนี้ไว้ และ ในขณะนั้นได้น้อมจิตมาพิจารณาว่าในสภาวะเช่นนี้หากเราจะ กำหนดภาพนิมิตของสมเด็จองค์ปฐมที่เป็นผลึกแก้วประกายพฤตยังทำได้อยู่หรือไม่
จึงได้กำหนดสมาธิในขณะที่ไม่หลับตา จากการทดลองเปลี่ยนรูปภาพที่มองเห็นในขณะนั้นซึ่งเป็นรูปพื้นห้อง ปรากฏว่าไม่สามารถเปลี่ยนให้ภาพพื้นห้องกลายเป็นประกายแก้วองค์ปฐมได้
กระผมจึงได้ทดลองพยายามเปลี่ยนแปลงอยู่หลายครั้งแต่ก็ทำไม่สำเร็จ
จนกระทั้งหยุดสนใจ จึงทำจิตให้สงบนิ่ง ในขณะที่จิตสงบนิ่งลงได้นั้นเอง ภาพที่ปรากฏอยู่ด้วยสายตาจดจ่ออยู่ที่พื้นห้อง ภาพพื้นห้องที่กระผมมองเห็นในตอนนี้กลับมองไม่เห็น คือจิตผมสงบอยู่ภายในไม่ได้รับเอารูปภาพที่ดวงตารับอยู่จากภายนอกนั่นเอง
ในความสงบเช่นนี้เอง เมื่อผมรวบรวมสติพร้อมด้วยจิตพิจารณาสภาวะดังกล่าวนี้
จึงพิจารณารเห็นสภาวะธรรมว่า ธรรดากายเรานี้อาศัยอายะตะนะภายในเป็นทวารเปิดรับหรือเป็นเครื่องรับเอาอายะตนะภายนอก เกิดผัสสะระหว่างอายะตะนะทั้งภายในและภายนอก ส่งผ่านสู่จิตด้วยวิญญาณทั้งหลายมีจักษุวิญญาณเป็นต้น เมื่อจิตรับเอาวิญญาณเหล่านั้นจิตจึงติดอยู่จับอยู่ยึดเกาะอยู่กับนามรูปเหล่านั้น ฉะนี้แล้วโดยปกติธรรมดาชีวิตประจำวันของเราเองก็ล้วนมีผัสสะเกิดขึ้นแก่กายและจิตเราเช่นนี้ตลอดต่อเนื่อง
ดังนี้แล้วหากเรา สามารถนำเอาสติมาควบคุมกายและจิตเรา ก่อให้เกิดเป็นสมาธิเบื้องต้น[ตั้งกรรมฐาน] ด้วยอาศัยกำลังกายและกำลังจิตที่ดีพร้อม เพื่อน้อมนำมาพิจารณาหรือวิปัสสนา อันสิ่งหรือเครื่องที่ผัสสะที่เกิดขึ้นแก่ร่างกาย และจิตเราทั้งหลาย ให้จิตเรามีสติรู้ทัน รูปนามทั้งหลาย เพราะรูปนามทั้งหลายล้วนเป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่ควรยึดมั่นถือมั่น ควรละปล่อยวางเสีย เสมือนว่ารูปนามทั้งหลายนั้นที่ผัสสะนั้น ให้สักแต่ว่าเห็น สักแต่ว่ารู้ สิ่งที่เห็นที่รู้หรือที่สัมผัสก็ดี ย่อมมีลักษณะเป็นธรรมชาติ เป็นธรรมดาของมัน ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับจิตเรา ทุกอากับกริยาของเรา ทั้งนั่ง ยืน เดิน นอน ย่อมต้องมีเครื่องอันมากระทบหรือสัมผัสส กายและจิตเรา
ขอให้มีสติรู้ทันเพื่อไม่รับหรือหากรับผัสสะนั้นแล้วก็ต้องมีสติละปล่อยวาง ให้ทำให้เป็นอุปนิสัยเช่นนี้เสมอ ต้องไม่ไหลไปตามสิ่งที่มากระทบหรือสัมผัสกายและจิตเราเป็นอันขาด ให้มีสติพร้อมอยู่กับกายและจิตนี้ อยู่ภายในเช่นนี้เสมอครับ สาธุ
การนั่งสมาธิแบบไม่หลับตาก็ได้พิจารณาเห็นสภาวะธรรมในครั้งแรก ก็เป็นเช่นนี้ครับ
ขอบคุณท่านคุณครู ลูกพลัง อีกครั้งครับ
ท้ายที่สุด เมื่อเรารู้จักวิธีในการสร้างวิปัสสนาญาณแล้ว
เราทั้งหลายควรจะต้องเข้าใจว่าญาณบารมีนี้นั้น เราควรสร้างญาณบารมีของเราอย่างไร ให้สติและจิตเราพร้อมรับเสมออย่างไร พร้อมรบกับกิเลสมารทั้งหลายอย่างไร เพื่อการชำระเพื่อความสะอาดหมดจดบริสุทธิ์อย่างยิ่งให้เกิดขึ้นแก่จิตเราได้อย่างไร
เพื่อการยกจิตเราเข้าสู่พระนิพพานได้ในที่สุดครับ สาธุ
[ต้องขออภัยท่านอาจารย์คุณภู คุณลูกพลัง คุณพี่เพ็ญ คุณหนู และทุกๆท่านด้วยครับที่เข้ามาตอบช้าครับ เพราะมีภาระงานค่อนข้างเยอะ และออกเดินทางต่างจังหวัดค่อนข้างบ่อย แต่ก็จะปฏิบัติเอาสติและจิตสร้างกรรมฐานไว้เสมอครับไม่ให้จิตไหลไปสู่ที่ต่ำครับ]Click to expand...
*จิตเกาะพระเขาทำกันแบบนี้นะ สำหรับผู้มาใหม่หรือผู้ปฎิบัติใหม่ๆนั้น ก็คือ ให้คุณไปเลือกภาพพระมาหนึ่งรูป แล้วนำมานั่งมอง ยืนมองหรือนอนมองก็ตามใจ จะเป็นภาพพระพุทธเจ้าพระองค์ใดก็ตามใจ หรือจะเป็นภาพพระอริยเจ้าองค์ใดก็ตามใจ แต่ถ้าใหม่ให้เราทำแบบนี้ก็คือ ให้เราจ้องดูภาพพระแบบสบายๆก่อน แล้วลองหลับตาหรือไม่หลับตาก็ได้ แต่คราวนี้ห้ามใช้สายตามองภาพพระแล้ว แต่จะให้จิตนึกถึงภาพพระแทนละคราวนี้ แต่ถ้าภาพพระยังไม่ปรากฎขึ้นที่จิต ให้เรากลับไปทำแบบเดิมๆ ทำซ้ำๆบ่อย อีกไม่นานนัก เดี๋ยวก็จำได้ จำได้หมายถึง ภาพพระจะปรากฎขึ้นที่ดวงจิตเองโดยที่เราไม่ต้องไปกำหนดหรือระลึกถึงพระแล้ว เพราะเมื่อจิตเขาจำได้เองแล้ว ภาพพระจะปรากฎขึ้นที่จิตเองเลยคราวนี้ เรียกว่า จิตเกาะพระได้แนบแน่น เดี๋ยวอีกไม่นานนักจิตจะเกิดปิติแล้ว จิตเกิดปิตินี้ก็แสดงว่า จิตอยู่ที่ระดับอุปจารสมาธิ(เฉียดฌาน) และผ่านปิติไปแล้ว ภาพพระจะใสและพัฒนาเป็นภาพแบบประกายพรึก(ฌานสราแล้ว) จิตคุณอยู่ระดับอัปปนาสมาธิ(ฌาน)
และอีกไม่นานนักจิตจะเข้าโหมดวิปัสสนาออโตเอง โดยที่เรา(สติ)มิได้ไปบังคับให้จิตทำวิปัสสนาเลย เดี๋ยวจิตเข้มหรือจิตทรงฌานานๆและฌานอย่างต่อเนื่อง(จิตทรงฌานทั้งวันทั้งคืน) เดี๋ยวคุณก็จะค่อยๆเข้าใจไปเอง ผู้ไม่ปฎิบัติจะไม่มีสิทธิ์รู่เลย กับสิ่งที่ผมกล่าวไปแล้ว
การทำจิตเกาะพระนี้ คุณไม่ต้องไปนั่งหลับตาลืมตาทำสมาธิอะไรของคุณให้เสียเวลาแล้วนะ เพราะจิตเกาะพระไม่ไปเบียดเบียนเวลาคุณทำงาน นอนหลับ ทำธุระกิจส่วนตัว แม้นในขณะเข้าห้องน้ำ อาบน้ำก็ทำจิตเกาะพระได้ วิธีทำจิตเกาะพระนี้ง่ายที่สุด สะดวกที่สุดแล้ว ไม่ต้องไปเสียเวลาหลับทำสมาธิกันแล้ว ต่อให้คุณทำได้ถึงฌานสี่ทุกวัน แต่ความเป็นจริงแล้วเราก็หานั่งทำสมาธิอยู่แบบนั้นตลอดเวลาก็ไม่ได้ ฌานไม่เที่ยง ฌานไม่ต่อเนื่อง อันท้ายนี่เองเป็นจุดอ่อนสำหรับนักภาวนาทั่วๆไป
(พี่ภูพิมพ์จบแล้วครับ แค่อธิบายแบบย่อๆคิดว่าคุณน่าจะพอเข้าใจ แต่ถ้ายังไม่เข้าใจก็ให้ถามมาใหม่) -
Dhammanee said: ↑5555+ แหม..พี่ภูซีเรียสไรเนี่ย พี่เพ็ญไม่เห็นซีเรียสเล๊ย ขำๆ น่าาา คนโดนแซวเค้ายังขำกลิ้งอยู่เลย งี้แหล่ะ ให้เป็นสีสันบันเทิงหน่อยดิ เดี๋ยวลูกค้าเราก็เบื่อแย่ซี้ เนอะๆๆ คุณวัฒ อ้าว..ไง๊ไปลงที่คุณวัฒเนี่ย อิๆ:boo:Click to expand...
-
watjojoj said: ↑เอ๋า ไหงครูตัวโกงมาลงที่ผมนี่ ฮิๆๆๆๆ (เป็นที่รู้กัน4คน) วันนี้บอร์ดคึกคัก อ่านไม่ทันเลย รู้สึกวันนี้เราจะมีประเด็นมาแต่เช้าเลยเรา555555555 สงสัยป่านนี้ครูดัชมีแรงจับไม้มาหวดเราต่อแล้ว ต้องหาประเด็นใหม่มาให้ท่านอีกเรื่อยๆๆๆๆๆๆๆๆๆ 55555555Click to expand...
ปล.ขอบอกให้คนบางคนอิจฉาเล่นๆ แต่จะมีรึเปล่าไม่รู้ในกระทู้เราเนี่ย อิๆ วันนี้เราได้ไปทำบุญคอร์สเปิดสมาธิ พระเจสัน ยัง ได้ติดตามหลวงพ่อวิริยังมาดูงานด้วย เราได้สนทนาและถ่ายรูปอย่างใกล้ชิดกับท่านเลยล่ะค๊าาาา สาธุ อนุโมทนาบุญด้วยกันนะค่ะ -
Dhammanee said: ↑สาธุค่ะ ขออนุญาติคอมเม้นท์หน่อยนะค่ะ (ว่าจะไปนอนแล้วนะนี้) ในฐานะที่ดิฉันแนะนำคุณเข้ามาในกระทู้นี้ ขอใช้ปัญญาอันน้อยนิดตอบคุณไปว่า
ที่ครูลูกพลังบอกให้คุณลองทำสมาธิแบบไม่หลับตานั้น คือ ให้คุณมาฝึกจิตเกาะพระค๊า ไม่ใช่ให้คุณไปนั่งลืมตาในขณะที่เปิดไฟ หรือ ปิดไฟ ครูลูกพลังให้คุณนะ เอาจิตคุณมาระลึกนึกถึงภาพสมเด็จองค์ปฐมแก้วใสประกายพฤกที่คุณเห็นในสมาธิบ่อยๆ นั่นแหล่ะค๊า ให้คุณนึกถึงท่าน 4-6ครั้ง/ชม.นะค่ะ แล้วมีความเพียรนึกถึงท่านให้ได้ตลอดทั้งวันเลย ทำอะไรๆ อยู่ก็ให้มีสติแว๊ปนึกถึงพระบ่อยๆ ขับรถอยู่ก็ให้แว๊ปนึกถึงท่าน ทานข้าวก็นึกถึงท่าน ถ้าคุณมีความเพียรนึกถึงท่านแบบนี้ไม่น่าจะเกิน 3 วันก็น่าจะเกาะพระติด แล้วทีนี้คุณก็จะเห็นท่านในจิตคุณในขณะที่ลืมตานี้แหล่ะค๊า สมาธิคุณดีมากอยู่แล้ว แต่ไม่ต่อเนื่อง ครูลูกพลังถึงได้บอกให้คุณลองมาทำสมาธิแบบไม่หลับตาปี๋เพิ่มเข้าไป ความหมายก็คือ ทำสมาธิในระหว่างวันในขณะที่คุณกำลังทำงานนี้แหล่ะค๊า ก็โดยการทำจิตเกาะพระนี้ไง๊ เพราะการทำสมาธิตอนที่คุณหลับตาปี๋นั้นคุณทำได้ดีมากอยู่แล้วค๊าาา สาธุ ผิดถูกประการใด เดี๋ยวพี่ภู หรือ ครูลูกพลังก็คงจะเข้ามาเสริมนะค๊า กู๊ดไนท์ค๊าาาClick to expand...
ขอบคุณครับที่ช่วยชี้แนะวิธีการ ตอนนี้ผมเข้าใจแล้วครับ
อันที่จริงตอนนี้เองไม่ว่าผมจะลืมตาหรือหลับตาก็เห็นท่านสมเด็จองค์ปฐมเหมือนที่เคยเห็นตอนนั่งสมาธิ สามารถกำหนดเห็นได้ตลอดแล้วครับตั้งแต่เมื่อวันก่อนที่ทดลองนั่งสมาธิแบบไม่หลับตานั้นแหละครับ
แต่อย่างที่บอกคือ เมื่อเห็นแล้วเราควรวางสติและจิตของเราอย่างไร
แต่ตอนนี้ผมก็ได้ทำตามที่คุณบอกครับ ก็จะระลึกถึงท่านบ่อยๆครับ
คือพอเราสามารถกำหนดจิตเราให้ระลึกถึงองค์สมเด็จพระปฐมได้บ่อยและชำนาญแล้วนี้คือ จิตเกาะพระ ได้แล้ว
ทีนี้เมื่อเราสามารถน้อมจิตเราเกาะพระได้สำเร็จแล้ว เราทำบ่อยๆแล้ว
คำถามที่ว่าแล้วจะเป็นอย่างไร จะได้อะไร ดีอย่างไร จะเกิดผลอย่างไร อันนี้ในฐานะที่ผมเป็นนักปฏิบัติคนหนึ่งก็จะไม่ขอถามครับ แต่จะขอปฏิบัติตามที่เข้าใจมาแล้วนี้ ให้มากที่สุดและต่อเนื่อง แล้วผล[ปฏิเวธ] ทั้งหลายย่อมบังเกิดแก่ผมแน่นอนโดยไม่ต้องถามใครครับ
และผมก็จะไม่ไปปรุงแต่งว่าผลจะเป็นอย่างนั้น อย่างนี้
เพราะความจริงจะบังเกิดแก่เราหากเราปฏิบัติตามวิธีการดังกล่าวแล้ว และได้ปฏิบัติอย่างถูกต้องและมากพอทั้งนี้คือต้องอาศัยความเพียรเป็นกำลังสำคัญต่อไปด้วยครับ
หน้า 244 ของ 857