อนุโมทนา สาธุ กับจิตบุญ ดวงที่ ๘๖ และครูจิตบุญทุกท่านค่ะ
จุ๋มค่ะ จบ๘๔;ปรบมืà¸
จิตพร้อม? รับภัยพิบัติ
ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย ภูภู, 6 เมษายน 2012.
หน้า 289 ของ 857
-
-
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 10 คน ( เป็นสมาชิก 7 คน และ บุคคลทั่วไป 3 คน ) [ แนะนำเรื่องเด่น ]
ภูทยานฌาน2, Natcha@uk, supatorn+, Dhammanee, pattranit uk
เวรกะดึก เดี๋ยวครูดรรชจะตื่นมารับเวรช่วงเช้า ไม่รู้เวลาไหนเป็นเวลาไหนแล้ว งง อยู่คนละที่เลย แต่ใจพวกเราอยู่ที่เดียวกัน
ปล. จิตบุญ ที่จิตยกไวเกินไป แต่ถ้าสติยังตามจิตไม่ทัน อาจจะตามกิเลสบางตัวไม่ทันก็ไม่เป็นไรนะ แต่ถ้าสติมาเมื่อไหร่ ทุกอย่างจึงจะกลับมาเป็นปกติ เหมือนไม่มีอะไร
เพราะฉะนั้นผมถึงได้เตือนจิตบุญไปว่า พยายามให้จิตทรงฌาน เหมือนแต่ก่อนที่เรายังจิตไม่ได้ยกกันน่ะ เพื่อความไม่ประมาท เพราะจิตเป็นนามอาจจะรักษายากสักหน่อย แต่ก็พยายามท่องคำว่า สตินะ..สติ เพราะจิตบุญนั้นจะโกรธใครไม่เป็นแล้ว แต่จิตบุญบางคนเท่านั้น ที่ยังมีธาตุอินทรีย์ยังไม่แก่กล้า แต่ไม่เป็นไร อย่าได้กังวล ขนาดพระอรหันต์ ท่านเป็นนักบวชอาชีพ ท่านยังต้องหมั่นเจริญสติภาวนาเลย เพื่อความไม่ประมาท เราจะต้องนำจิตทรงฌานต่ำเข้าไว้ เพราะอะไร ถ้ามีอะไรมากระทบจิต เมื่อเรามีสติมากนะ กิเลสก็ทำอะไรจิตไม่ได้ แต่ผมไม่เป็นห่วงจิตบุญมากนัก เพราะถึงจะโกรธแต่ก็หายเร็ว เพราะจิตเขารู้ถึงความเป็นจริงแล้วว่า ที่ตรงไหนคือที่อยู่ของจิต เดี๋ยวจิตจะเป็นผู้นำพาเราเองไปหาที่ปลีกวิเวก นั่นก็คือ ฌาน หรือความสงบ เรื่องจิตเป็นเรื่องละเอียดอ่อน เพราะฉะนั้นแล้ว จิตบุญจะต้องดูแลจิตของตนเองด้วย จิตใครจิตมัน มีอะไรสอบถามกันได้ทุกเมื่อ ในกระทู้หรือที่เมล์ก็ได้ จะถามเมล์หางว่าว หรือ private e'mail ก็ตามใจ... -
"บุคคลที่จะขึ้นสู่ที่สูงได้ ต้องอาศัยความเพียร ความเสียสละ สร้างตบะบารมี
ถ้าใครไม่มีแล้วก็ยากที่จะขึ้นสู่ที่สูงได้ การเสียสละ ต้องสละออกให้หมด ลึกลงไปก็สละออกให้หมดจากจิตจากใจของเราเองนั่นแหละ"
หลวงพ่อกล้วย /\ /\ /\ -
สวัสดีเช้าวันจันทร์ค่ะ ท่านอ.ใหญ่ภู ครูดัช คุณแนท คุณแพท
-
ว่าแต่ว่า วันนี้ไม่มีเพลงมาฝากกันหรอ? นักร้องเสียงดี เสียงเพราะ คือนักร้องคุณพอใจ รากแก่น ฮ่าๆ -
-
-
ธรรมะสวัสดีค่ะ ครูลูกพลัง ครูเกษ...
-
อุปาทานทุกข์
สัจจธรรม
ทุกข์ของขันธ์ ๕ ทั้งใจและกายหรือเวทนาอันเป็นสภาวธรรม(ธรรมชาติ)ยังคงมีอยู่ เราปฏิบัติเพื่อไม่ให้เกิดอุปาทานทุกข์
หมายถึง นอกจากไม่ให้อุปาทานทุกข์เกิดแล้ว ยังต้องยอมรับในสภาวธรรมของทุกขเวทนา
อันพึงเกิดแต่ขันธ์ ๕ ทั้งทางใจและกาย อย่างเข้าใจถูกต้อง
การไม่ยอมรับอย่างเข้าใจ ก่อให้เกิดการดิ้นรนกระวนกระวายหรือตัณหา จนกลายเป็นอุปาทานทุกข์เช่นกัน
หากเพียงแค่ดับ"อุปาทานสังขาราได้เพียงอย่างเดียว อย่างอื่นๆดับสิ้นทั้งหมด"..
ขอให้ทุกๆท่านเจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไปด้วยเทอญ..สาธุสวัสดี -
เห็นรูปพี่พอใจแล้ว มิน่าล่ะ..ถึงร้องเพลงได้เก่ง.. :)
ขอให้สุขกายสบายจิต กับการอ่านธรรมะยามเช้านะครับ -
-
Have a great day ja...:cool: -
-
[ame=http://www.youtube.com/watch?v=1vI40UAle5A&feature=player_detailpage]กำลังใจ - โฮป - YouTube[/ame]
-
ธรรมะแห่งตน
พวกเราไม่ต้องไปตามหาธรรมะจากที่ไหนหรอก เพราะแท้ที่จริงแล้ว ธรรมะของแต่ละคนนั้น ก็มีอยู่มากมายในกายในจิต แต่ใครบ้างที่จะมองเห็นธรรมะของตนเอง ที่บอกว่ามองไม่เห็นๆนั้น ก็เพราะว่า เรามัวแต่ไปมองหาธรรมะจากที่อื่น หรือผู้อื่น แต่หารู้ไม่ธรรมะของผู้อื่นนั้น มาจากปัญญาของผู้อื่นทั้งนั้นเลย ตราบใดที่เราไม่เริ่มสร้างสติกันตั้งแต่ลมหายใจนี้ ลมหายใจก็คือธรรมะ ธรรมะก็คือลมหายใจ (ไม่ใช่หายใจเป็นเธอๆ อันนั้นเลิกได้แล้ว เลิกหลงกันได้แล้ว) เมื่อหมดลมก็หมดธรรมะ แต่ถ้าลมยังไม่หมด ก็ยังพอมีหวังได้ตาเห็นธรรม เพราะสติเป็นฝ่ายบุญในเบื้องต้น สติเปรียบเสมือนปุ๋ยให้กับจิตเกิดปัญญารู้ธรรม ปัญญาจึงเปรียบเสมือนดอกไม้ หรือไม้ดอกที่สวยและมีคุณค่า ที่ใครๆก็อยากมอง ใครๆก็อยากได้
แต่บางครั้ง ธรรมะของผู้อื่นนั้น ไม่เหมาะสมกับตนเอง โดยเฉพาะกับจิตยังหยาบอยู่ คำว่า หยาบในที่นี้ หมายถึง จิตยังปนไปด้วยกิเลสต่างๆ มิใช่หมายถึง จิตมันแย่ มันเลวนะ ไม่ได้หมายถึงแบบนั้น อย่าเข้าใจผิด เดี๋ยวจะเป็นเรื่องอีก เราพยายามมองหาจุดบกพร่องของตนเองดีกว่าไปมองจุดอ่อนหรือ ไปเพ่งโทษคนอื่น ให้จิตเราไปหลงอยู่กับอบายภูมิกันทำไม๊ให้เสียเวลา เพราะผู้ปฎิบัติทุกท่านมุ่งหวังเพื่อจะมาลดกิเลสตนเองให้เบาบางลงไปบ้าง แต่ผู้ปฎิบัติไปนำธรรมะของพระอริยเจ้ามาสอนสั่งผู้อื่นนั้น ไม่ดีแน่ๆ ความจริงจะต้องกลับมาดูที่จิตตนเองมันถึงจะถูกต้อง เพราะไม่มีใครไปแก้ไขจิตของผู้อื่นได้ นอกเสียจากคนนั้นเจริญกรรมฐานของเขาเอง หรือปฎิบัติธรรมเอง เห็นเอง รู้เองและก็ชอบเองนั่นแหล่ะ ถูกต้องแล้ว เพราะผลของการปฎิบัติธรรมนั้น เป็นเรื่องปัจจัตตัง หรือเรื่องเฉพาะตน ผู้ปฎิบัติเท่านั้น ถึงจะคุยกันรู้เรื่อง แต่ถ้าไปคุยผู้ที่ไม่ปฎิบัติหรือไปคุยกับคนที่มีความเห็นต่างก็ไปไม่เป็นเหมือนกัน แต่ผู้ที่ปฎิบัติที่ถึงซึ่งธรรมแล้ว ท่านก็จะเข้าใจไปหมด ไม่ว่าผู้ปฎิบัติท่านนั้นจะหลงทาง หรือออกทะเลไปไกลแล้ว หรือไม่สามารถกลับมาเหมือนคนปกติดังเดิมได้ ท่านก็ไม่ไปหลงตำหนิหรือว่า เพราะผู้ปฎิบัติที่ถึงธรรมกันจริงๆแล้ว ท่านจะว่าใครไม่เป็น มีแต่ให้ๆๆโอกาสอย่างเดียว มีแต่ผู้ปฎิบัติไม่ถึงไหน ที่เดินหลงทางกันนี่แหล่ะ มาทะเลาะกันไม่เลิกรา(อันนี้พูดกลางๆนะ ไม่ได้ไปหมายถึงผู้ใด) หรือจะด้วยเหตุผลใดๆก็ตาม ถึงอย่างไรก็ไม่นำจิตลงมาทะเลาะกันแน่ เพราะถ้าทำแบบนั้นก็เท่ากับ เราเองนี่แหล่ะ ที่จะนำจิตตนเองไปตั้งอยู่ที่แดนอบายภูมิซะเอง
สรุปว่า จิตบุญอย่าให้สติห่างจิต อย่าลืมสร้างสติบ่อยๆเนื่องๆ ทำให้เกิดความเคยชินเข้าไว้ เพราะกิเลสมักจะมาตอนที่เราเผลอสติกัน ผู้เจริญทั้งหลาย ได้โปรดสังเกตให้ดีๆนะว่า สติหรือฌานจะเกิดสลับกับกิเลสเสมอๆ แต่เมื่อใดที่พวกเราขาดสติหรือเผลอสติหรือฌานถอย หรือฌานเสื่อม กิเลสก็จะโผล่ขึ้นมาทันที แต่ถ้าผู้ฝึกจิตมาดี กิเลสก็ไม่มีโอกาสจะเกิด หรือถ้าเกิดก็เกิดน้อย หรือจากที่เราทุกข์มากก็เป็นทุกข์น้อย หรือทุกข์น้อยก็ไม่ทุกข์เลย แต่อย่าลืมนะ สติหรือศีลนั้นเป็นฝ่ายดีหรือฝ่ายบุญในเบื้องต้น ฌานในเบื้องกลาง ปัญญาเบื้องสูง และปัญญาญาณหรือวิปัสสนาญาณเป็นเบื้องสูงสุด ก็คือ สามารถดับกิเลสทั้งปวงได้สนิท ดับแบบถาวร เพราะฉะนั้นแล้ว สิ่งที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ นับว่าเป็นสิ่งสำคัญยิ่งยวด แต่มีความสำคัญกว่ายิ่งยวด ก็คือ สติ เพราะถ้าผู้ปฎิบัติไม่รู้วิธีสร้างสติ สิ่งๆที่กล่าวว่าสำคัญนั้นจักไม่มี ไม่เกิด และตอนนี้พอจะรู้แล้วใช่ไหมว่า อะไรสำคัญกว่ากัน มีสติตัวเดียวเท่านั้นที่จะสามารถรายงานความคืบหน้าของจิตให้กับพวกเรา นอกนั้นไม่มีทางรู้ได้เลย เพราะเราไม่สามารถมองเห็นด้วยตาเปล่า จิตเป็นนาม เราจะเห็น เราจะรู้จิตตนเองได้ด้วยต้องใช้นามตามไปดู ก็คือ สติ
แหม๊ ผมไม่ยอมพูดเรื่องเลย เพราะว่าแค่พูดเรื่องสติกับจิตมาตั้งแต่กระทู้หน้าแรก ป่านนี้ก็ยังไม่เลิกพร่ำ เรื่องสติกับจิตเลย ฮ่าๆ )
กว่าพวกเราจะตามหาธรรมะของตนเองเจอ เราจำเป็นต้องตามหาจิตของตนเองให้พบเจอก่อน แต่ถ้าผู้ปฎิบัติยังหาจิตตนเองไม่เจอ ต่อไปก็อย่าไปหวังว่าจะได้พบเจอกับธรรมะ เพราะธรรมะเป็นของละเอียด ของสูง ของศักดิ์สิทธิ์ เพราะฉะนั้นใครจะเข้าถึงธรรมะได้ ก็ต้องอาศัยการชำระล้างจิต ทำให้จิตสะอาดก่อน หรือทำให้จิตละเอียดก่อน โดยเริ่มต้นการรักษาศีลก่อน แล้วค่อยเจริญสติและทำภาวนาตามลำดับ แต่ผู้ที่ยังมีกำลังใจไม่ถึงการปฎิบัติ ขอให้เริ่มต้นด้วยการรักษาศีลก่อน แล้วค่อยทำบุญทำทานเล็กๆน้อยๆไปก่อน แล้วค่อยทำจิตให้ละเอียดยิ่งขึ้นไปก็คือ การฟังเทศน์ ฟังธรรม สวดมนต์ไหว้พระ หรือศึกษาปริยัติธรรม แต่ถ้าเมื่อไหร่กำลังใจถึงพร้อม เดี๋ยวบุญจะเป็นผู้นำพาเราไปปฎิบัติธรรม หรืออยากจะปฎิบัติธรรมไปเอง โดยที่เราไม่ต้องไปบังคับ
...พอแร๊ะเกรงใจผู้อ่าน...
***ในที่สุดก็ได้ฟังเพลงจากคุณลินดาจนได้ วันนี้นึกว่าว่าไม่ได้ฟังซะแร๊ววว...
หูก็ฟังเพลงไป สติดูจิตไปเรื่อยๆ ทำให้ชินๆ -
[ame=http://www.youtube.com/watch?v=9yS5A3Nuajk&feature=related]ดอกไม้ให้คุณ_(นันทิดา และจุฬาฯคอรัส) - YouTube[/ame]
เพลงนี้ขอมอบแด่ครูเพ็ญสุดที่รักของพวกเรา หายไวๆเด้อ
และขอมอบความสุขนี้ให้แก่ ท่านที่กำลังจะเตรียมตัวเข้านอน(คุณเกษ คุณสุภาทร คุณลินดา) อย่านอนดึกมากนัก เดี๋ยวถุงตาจะหย่อนเป็นรอบที่สอง ฮ่าๆ และผู้ที่กำลังจะเริ่มทำงาน...คริคริ เพราะกระทู้นี้มีท่านสมาชิกอยู่ต่างละซีกโลกกัน แต่ใจตรงกัน... -
สวัสดีครับ เมื่อวานได้มีโอกาสไปกราบสังขารของหลวงพ่อฤาษีที่วัดท่าซุงในโอกาสที่ทางวัดจัดงานครบรอบ20ปีที่หลวงพ่อได้ละสังขารไป
ที่ได้ไปคือแบบไม่รู้จักใครเลย พอดีที่เฟสในกลุ่มที่ไปเข้ากับเขาแต่ไม่เคยคุยกับเขาซะทีจัดแล้วเหลือที่นั่งสุดท้ายพอดีไปอ่านเจอเลยได้มั่วๆไปกับเขา (สงสัยหลวงพ่อท่านจัดการให้)ก็เลยไปแบบไม่รู้จักใครเลยซักคน ฮิๆๆๆ
ขาไปก็เลยนั่งเงียบอย่างเดียว เขาคุยกันอย่างเมามัน เราเงียบเพราะไม่รู้จัคุยอะไร แต่ทุกคนก็เป็นมิตรดี หันมาชวนคุยสมำเสมอ ยิ้มแย้มแจ่มใส สมแล้วที่มีพ่อคนเดียวกัน ขาไปส่วนมากผมก็จะเงียบและหลับอย่างเดียว ฮิๆๆๆๆ
เมื่อไปถึงประมาณเจ็ดโมงครึ่ง เป็นไปตามคาดคนเพียบแต่ก็มีแต่คนยิ้มแย้มแจ่มใส ผมเองยังแอบยิ้มๆ เป็นที่อื่นคนเยอะขนาดนี้ ตรูหนีกลับบ้านแน่ๆ เห็นได้ว่าทุกคนมาด้วยจิตใจตั้งมั่นในหลวงพ่อจริงๆ แม้แดดจะร้อนแต่แทบไม่เห็นคนหน้าบูดเลย และก็ได้เข้าร่วมพิธีไปตามปรกติจนกระทั่งกลับ
ขากลับนี่แหละที่มีประเด็นมาพูดครับ ขากลับเขาก็พูดเรื่องธรรมมะกันยกใหญ่ ว่าทำยังไงก็ไม่พบทางหลุดพ้นซะที ปฏิบัติมาหลายปีก็ไม่ก้าวหน้า ยังรักโลภ โกรธ หลงเหมือนเดิม ตอนเข้าวัดก็ทำได้ ออกมาจากวัดก็เหมือนเดิม ไอ้ผมก็นอนฟังอยู่นาน คิดว่าจะพูดดีไหมน้อ สุดท้ายทนไม่ได้ (สงสัยติดมาจากครูเกษ )เลยบอกเคล็ดลับว่ารู้ไหมทำไมไม่ไปไหน อันคำสอนของพระพุทธเจ้านั้น สุดท้ายก็มาสรุปอยู่ที่ ศีล สมาธิ ปัญญา ซึ่งแน่นอนศิษย์หลวงพ่อศีลได้อยู่แล้ว แต่ตรงสมาธินี่แหละที่พวกท่านติดอยู่
ถามว่าติดยังไงก็พวกท่านทำไม่ต่อเนื่องไง ทำแค่ก่อนนอนหรืออยู่ที่วัดเมื่อออกมาจากวัดท่านก็ไม่ได้ทำสมาธิต่อเนื่อง ติดๆดับๆ ซึ่งโดยปรกติกรรมฐานโดยทั่วไปเมื่อใช้ชีวิตอย่างเราๆที่ไม่ได้บวชแล้วจะทำได้ยาก เช่นจะมาท่องพุธโธ ได้ต่อเนื่องคงยากเพราะมีงานทางโลกวุ่นวายนั่นเอง แต่มีกรรมฐานอยู่หลายกองเช่นกันที่ทำได้(เข้าเรื่องซะที)เช่นพุทธานุสติกรรมฐานและกสิณ
และอธิบายไปเรื่อยๆๆๆๆๆๆ(ตามสูตรคุณภู)( แต่ยังไม่กล้าบอกว่าเรามีกระทู้ที่พลังจิตเนื่องจากบางท่านยังมองกระทู้ที่หัวข้อภัยพิบัติเป็นพวกบ้าๆบอๆอยู่เลยไม่อยากให้เขามาปรามาสเดี๋ยวซวยกันยกรถ) จนทุกคนบนรถหันมามองผม พร้อมใจกันเรียกท่านอาจารย์ซะงั้น พากันทึ่ง อึ้ง กันยกใหญ่ เลยกลายเป็นจุดสนใจ มีบางคนขอเบอร์ไว้เผื่อติดต่อภายหลังบ้าง บางคนอยากเจออีกบ้าง
พอดีถึงจุดลงของผมพอดี เลยขอตัวลง ตอนจะลงทุกคนพร้อมใจกันเรียกอาจารย์เกือบพร้อมกัน ผมก็นึกในใจนี่ถ้าคุณภูมาเอง สงสัยได้ศิษย์จิตเกาะพระอีกเพียบแหงๆ บังเอิญตัวผมพูดไม่ค่อยเก่งซักเท่าไหร่ (นี่ขนาดเผยไปนิดเดียวนะนี่ คนยังทึ่งขนาดนี้ )เสียดายที่เวลาน้อยไปหน่อย ไม่งั้นมีคนมาเพิ่มแน่ๆครับ -
ฟังเเมดเลย์นี้ แล้วดูจิตให้ทันนะจ๊ะ โชคดีค่ะ
[ame="http://www.youtube.com/watch?v=R0Pelr3L_Ww&feature=player_detailpage"]Medley ครูอ้วน - YouTube[/ame] -
-
สวัสดีค่ะคุณครูจิตบุญทุกท่าน เพื่อนๆร่วมกระทู้ด้วยค่ะ เช้ามาอ่านธรรมะค่ะ
หน้า 289 ของ 857