จิตพร้อม? รับภัยพิบัติ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย ภูภู, 6 เมษายน 2012.

  1. อุษาวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2012
    โพสต์:
    531
    ค่าพลัง:
    +12,151
    หลวงพ่อฤๅษีสอนเรื่อง "กรรมบถ ๑๐"

    ๑.ทางกาย ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักทรัพย์ ไม่ประพฤติผิดในกาม และไม่ดื่มสุราเมรัย นี่ร่วมกันทั้ง ๒ อย่างนะ ทั้งศีล ๕ และกรรมบถ ๑๐ ศีล ๕ กรรมบถ ๑๐ นี่เหมือนกัน แต่ว่าต่างกันอยู่บ้างบางตอน นี่เราเอามาร่วมกันเข้าก็

    (๑) ไม่ฆ่าสัตว์
    (๒) ไม่ลักทรัพย์
    (๓) ไม่ประพฤติผิดในกาม
    (๔) ไม่ดื่มสุราเมรัย เราจะงดเว้นไม่ปฏิบัติอย่างนี้ต่อไป มันอาจเผลอได้บ้างเป็นของธรรมดาใหม่ ๆ

    ๒. ทางวาจา กรรมบถ ๑๐ มี ๔ ศีล ๕ มี ๑
    วาจาของกรรมบถ ๑๐ ก็คือ

    (๑) ไม่พูดปด เหมือนกับศีล ๕
    (๒) ไม่พูดหยาบ
    (๓) ไม่ส่อเสียดยุยงส่งเสริมให้เขาแตกร้าวกัน หรือนินทาชาวบ้าน
    (๔) ไม่พูดวาจาเพ้อเจ้อเหลวไหลไร้ประโยชน์เป็น ๔ อย่าง ท่านบอกว่าเราจะเว้น ไม่พูดปด ไม่พูดคำหยาบ ไม่ส่อเสียด ไม่เพ้อเจ้อเหลวไหล วาจาใดที่ไม่เป็นประโยชน์เราไม่พูด นี่วาจา

    ๓. ศีลไม่ห้ามใจ แต่กรรมบถห้ามใจ ทางด้านจิตใจ มี ๓ คือ

    (๑) ไม่คิดอยากได้ทรัพย์สมบัติของใครโดยไม่ชอบธรรม ขึ้นชื่อว่าทรัพย์สมบัติของชาวบ้านนี่เราไม่ต้องการ ไม่เอา เขาไม่ให้ เราไม่ต้องการ ไม่คิดอยากได้ด้วยทางใจ
    (๒) ความโกรธ ยังมี แต่โกรธแล้วก็หายไป ไม่จองล้างจองผลาญ จองเวรจองกรรมกับใคร
    (๓) ยอมรับนับถือคำสอนของพระพุทธเจ้าด้วยความดี หมายความว่ายอมปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้าที่เรียกว่า สัมมาทิฎฐิ

    ถ้าทุกคนมีกรรมบถ ๑๐ ประการ ด้วย มีพระไตรสรณคมน์ด้วย นึกถึงความตายไว้ด้วยทั้ง ๓ อย่างนี้ เป็นอารมณ์ของพระโสดาบัน และสกิทาคามี แต่ว่า ถ้าท่านปฏิบัติแล้วจะเป็นพระโสดาบันหรือสกิทาคามีหรือไม่นี่ ขอได้โปรดอย่าคิด เราไม่คิด ไม่ต้องคิดว่าเราจะเป็นพระอริยเจ้าหรือเปล่า เอาแต่เพียงว่าพระอริยเจ้าท่านคิดแบบไหน ท่านทำแบบไหน เราทำตามท่าน คือ

    ๑. พระโสดาบัน หรือ พระสกิทาคามี ท่านคิดว่าร่างกายนี้ต้องตายยังมีความรักสวยรักงามแต่ไม่เมาในชีวิตเกินไป คิดว่าสักวันหนึ่งข้างหน้าต้องตาย อย่าลืมนะว่าพระโสดาบันหรือพระสกิทาคามียังแต่งงานได้นะ คนไม่แต่งงานก็แต่งงานได้ คนแต่งงานแล้วก็ไม่ต้องเลิกรากัน ยังอยู่ด้วยกันได้ เพราะรักษาแค่ศีล ๕ หรือกรรมบถ ๑๐ เขาไม่ได้ห้าม ไม่ใช่ศีล ๘

    ๒. พระโสดาบัน มีความเคารพพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ ด้วยความจริงใจ เราก็ทำตามท่าน

    ๓. พระโสดาบัน มีศีล ๕ หรือกรรมบถ ๑๐ บริสุทธิ์ เราก็ทำตามท่าน เมื่อเราทำตามท่านแล้ว จะเป็นพระโสดาบันหรือไม่อย่าสนใจ ถ้าไปสนใจเข้าดีไม่ดี คิดว่าเราเป็นพระโสดาบัน แต่เผอิญมันยังไม่ได้ อย่างนี้จะกลายเป็นมานะทิฏฐิ อารมณ์หยาบจะเกิด ดีไม่ดีเผลอตัวลงนรกไป

    ก็รวมคิดว่าท่านทำอย่างไร เราทำอย่างนั้นจะเป็นหรือไม่เป็นไม่สำคัญ

    ที่มา : หนังสือโอวาทหลวงพ่อฯ เล่ม ๕ หน้า ๔
     
  2. เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2012
    โพสต์:
    428
    ค่าพลัง:
    +5,154
    มหาสติ มหาปัญญา นี่ เป็นสติปัญญาของพระอนาคามีผล อรหันตมรรค เชียวนะครับ

    แต่หากกัลยาณชน หรืออริยชนเบื้องต้น มีสติได้ถึงระดับนั้น ก็เห็นจะไม่ใช่ แต่ความเพียรย่อมไปถึง

    ผู้รู้ท่านว่า ในโลกนี้ๆ มีแต่สัญญา คือทุกข์ ที่สุดของสัญญา คือ "สัญญามีก็ไม่ใช่ ไม่มีสัญญาก็ไม่ใช่"

    ว่างๆ ว่างๆ แต่ยังเป็นมิจฉาสมาธิ

    หนทางเหนือโลกก็คือ ละอุปาทานขันธ์ ด้วยสัมมาสติ สัมมาสมาธิ สัมมามรรค
     
  3. อุษาวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2012
    โพสต์:
    531
    ค่าพลัง:
    +12,151
    พรปีใหม่ 2556
    จาก พระอาจารย์อินทร์ถวาย สันตุสสโก
    วัดป่านาคำน้อย ต.บ้านก้อง อ.นายูง จ.อุดรธานี

    ในวารดิถีขึ้นปีใหม่ อาตมาภาพขออำนวยอวยพรให้คณะศิษย์ทุกๆ ท่าน ให้มีความเจริญรุ่งเรือง ด้วยการประกอบคุณงามความดี และขอฝากข้อคิดสะกิดเตือนใจ ให้ทุกท่านได้นำไปประพฤติปฏิบัติในชีวิตประจำวัน อันได้แก่ ทาน, ศีล, ภาวนา และทิศ 6

    ทาน คือ การให้ การเสียสละ การบริจาค การแบ่งปัน มนุษย์ย่อมจะอยู่ร่วมกันได้ก็เพราะการมีน้ำใจรู้จักการแบ่งปันซึ่งกันและกันด้วยเมตตาธรรม ได้แก่ การให้สิ่งของ, การแนะนำความรู้แนวคิด เป็นต้น

    ศีล คือ การรักษากาย วาจา ให้เรียบร้อย อย่างสามัญชนก็ควรให้มีศีล 5 เป็นพื้นฐาน คือไม่เบียดเบียนชีวิตสัตว์ ผู้อื่น, ไม่ลักขโมยของผู้อื่น, ไม่ประพฤติผิดในกาม, ไม่พูดปด และไม่ดื่มหรือไม่เสพสิ่งมืนเมาทุกชนิด ลองคิดกลับกันดูซิว่า ถ้าเขามาฆ่าเราบ้าง มาลักขโมยเราบ้าง มาผิดลูกผิดเมียเราบ้าง มาโกหกเราบ้าง มาทำความเสียหายเพราะเขาเมาสิ่งเสพติด เราจะคิดอย่างไร สรุปก็คือ ใจเขาใจเรา ให้เรารู้จักเคารพในสิทธิของกันและกัน นั่นเอง

    ภาวนา คือ การทำใจให้สงบ พระพุทธเจ้าตรัสว่า สุขอื่นยิ่งกว่าความสงบเป็นไม่มี ข้อนี้ เป็นสิ่งสำคัญมากเพราะ การจะทำอะไรทุกอย่าง ก็ย่อมจะออกไปจากใจของเราทั้งสิ้น คิดดี คิดชั่ว คิดทำร้าย ทำลาย ก็ออกไปจากใจเรา แต่ถ้าเราทำใจให้สงบ เป็นสมาธิ ก็ย่อมที่จะเกิดความยับยั้งชั่งใจ ไม่คิดฟุ้งซ่าน ไม่เป็นโรคประสาท ไม่ทุกข์ใจ และจะไม่สะทกสะท้านกับทุกข์ที่จะมาทั้งภายนอก และภายในได้เลย

    ทิศ 6 คือ การให้รู้จักหน้าที่ในการอยู่ร่วมกันในสังคม ในชุมชน อันได้แก่

    ทิศเบื้องหน้า คือ มารดาบิดา เราควรปฏิบัติตัวดังนี้ คือ เมื่อท่านเลี้ยงดูเรามาควรเลี้ยงท่านตอบ, ทำกิจธุระของท่าน, ดำรงวงศ์สกุล, ประพฤติตนให้สมควรควรรับทรัพย์มรดก, เมื่อท่านล่วงลับไปแล้วทำบุญอุทิศให้ท่าน

    ทิศเบื้องหลัง คือ สามี-ภรรยา การอยู่ร่วมกันในครอบครัว ควรให้ความเคารพซึ่งกันและกัน ไม่ก้าวก่ายหน้าที่กัน ไม่นอกใจกัน ให้รักใคร่สามัคคีและมีเมตตาต่อกัน เพียงแค่ก็จะทำให้ครอบครัวเราอยู่ร่มเย็นเป็นสุข

    ทิศเบื้องขวา คือ ครู-อาจารย์ เราเกิดมาแล้วต้องมีครูผู้คอยสอนสั่ง เริ่มตั้งแต่พ่อแม่ ที่สอนเรามาตั้งแต่เด็กๆ กินอย่างไร นอนอย่างไร ขับถ่ายอย่างไร จนไปถึงครูในโรงเรียน-มหาลัย เราก็ควรปฏิบัติตัว ดังนี้ เมื่อเห็นครูอาจารย์เข้ามาให้ลุกขึ้นยืนรับ, เข้าไปคอยรับใช้, ให้ความเชื่อฟัง, ให้การต้อนรับขับสู้และอุปัฏฐาก, เรียนรู้ศิลปวิทยาด้วยความเคารพ, ให้ความอ่อนน้อมถ่อมตนต่อท่าน

    ทิศเบื้องซ้าย คือ มิตรสหาย การคบหมู่คบเพื่อนก็ควรคบในส่วนที่เป็น กัลยาณมิตร คือมิตรที่ดี ไม่หักหลังกัน ไม่คดไม่โกงกัน ไม่เบียดเบียนกัน ควรมีความหวังดีต่อกัน ช่วยเหลือเกื้อกูลต่อกัน มีสุขก็สุขด้วยกัน มีทุกข์ก็พร้อมที่จะทุกข์ด้วยกัน อันนี้เรียก กัลยาณมิตร มีมากเท่าไหร่ก็ยิ่งจะเจริญมากขึ้นเท่านั้น

    ทิศเบื้องต่ำ คือ คนใช้ หรือคนงาน ทว่าเจ้านายของเราดี ให้ความใส่ใจกับลูกน้อง ลูกน้องกินอยู่อย่างไร เจ็บไข้ได้ป่วยอย่างไร ทุกข์ยากลำบากแค่ไหน ให้การดูแลเอาใจใส่ เห็นอกเห็นใจเขา ก็จะทำให้ลูกน้อง หรือคนทำงานรู้สึกอุ่นใจในเจ้านายของตนเอง ทำงานให้ด้วยความไม่เหน็ดเหนื่อย เมื่อมีงานอะไรมาให้ทำ ก็ทำด้วยความเต็มอกเต็มใจ

    ทิศเบื้องบน คือ สมณพราหมณ์ หรือผู้ทรงศีล อย่างพระสงฆ์ พ่อแม่ครูอาจารย์ ที่คอยสั่งสอนเราให้รู้จักดี รู้จักชั่ว สิ่งไหนควรไม่ควร ถูกหรือผิด ให้รู้จักศีล รู้จักธรรม เป็นผู้แนะนำแนวทางด้านจิตใจ ให้เกิดความร่มเย็นผาสุกในธรรมะขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้านั่นเอง

    หากพวกเราปฏิบัติต่อทิศทั้ง 6 นี้ ได้อย่างถูกต้องเหมาะสมแล้ว ก็ย่อมที่จะมีแต่ความเจริญงอกงามในชีวิตโดยส่วนเดียว ไม่มีความเสื่อมเลย นี้แหละคือพระธรรมคำสอนที่เป็นธรรมพร หรือพรอันประเสริฐที่จะประสิทธิ์ประสาทให้พวกเราได้เจริญไปในวันข้างหน้าต่อไป

    ดังนั้น หลวงพ่อเอง ก็ขออำนาจคุณพระศรีรัตนตรัย พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ อำนาจสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั่วสากลโลก จงได้มาปกปักรักษา คุ้มครองพวกเราท่านทั้งหลาย ให้เจริญด้วย อายุ วรรณะ สุขะ พละ ปฏิภาณ ธนสารสมบัติ ประสบแต่ความสุขความเจริญ ปรารถนาสิ่งใดที่อยู่ในกรอบของศีลธรรมแล้ว ก็ขอให้สมหวัง ดังปรารถนาทุกท่าน ทุกประการ เทอญ..


    ที่มา fbวัดป่านาคำน้อย(ลพ.อินทร์ถวาย สันตุสสโก)



    ขอน้อมกราบหลวงพ่อเจ้าค่ะ
     
  4. เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2012
    โพสต์:
    428
    ค่าพลัง:
    +5,154
  5. tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    ======

    อันสัญญาก็เหมือนเงาติดตามจิต จะวางสัญญาลงได้ จะละสัญญาลงได้ไม่ให้มาปรุงแต่งจิต ก็ต้องอาศัยปํญญา ตัดอวิชาและตัณหาอุปาทานเสีย หากตัดอวิชชา ตัณหาอุปาทาน ลงได้ เครื่องที่จะไปปรุงแต่งให้สัญญาเก่ามันเกิด มันก็ไม่มีเมื่อไม่มี สัญญาที่เป็นดั่งดุจเงาติดตามจิตก็เสมือนว่าไม่มี ฉะนี้ จึงดับสัญญาได้ในเบื้องต้น

    อนึ่งสัญญาทั้งหลาย ที่เป็นดั่งเงาติดตามจิต บ้างก็เป็นสัญญาที่ดี ที่มีสุข บ้างก็เป็นสัญญาที่ไม่ดีเป็นทุกข์ บ้างก็เป็นกลางๆ
    สัญญาทั้งหลายที่เป็นเงาติดตามจิตอยู่นั้น หากเราท่านทั้งลายเจริญปัญญาให้ถึงที่สุดแล้ว ก็จะเห็นว่า สัญญานั้นเกิดดับทั้งสัญญาเก่าก็ดี สัญญาใหม่ก็เช่นกัน เป็นเช่นนี้เสมอ สัญญามันก็เกิดของมันเป็นธรรมดา จะใหม่หรือเก่ามันก็เกิดและดับไปเป็นธรรมดา มันก็เป็นเรื่องของ สัญญานักขันโธ อนิจจะลักขณะ ทุกขลักขณะ อนัตตะลักขณะ เช่นนี้เสมอ เมื่อมีดวงตาเห็นในสัญญาว่าเป็นเช่นนี้ จึงวางในสัญญาขันธ์ลงได้ จิตจึงเป็นอิสระเหนือ ขันธสัญญาทั้งปวงได้ในที่สุดครับ สาธุ ครับ
     
  6. NOKMAM เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    300
    ค่าพลัง:
    +6,157
    ลูกเอ๋ย....ยามที่พ่อแม่ของเจ้ามีอายุมากขึ้น...
    ย่อมมีโรคภัยไข้เจ็บมาเบียดเบียน..
    ความแข็งแรงของร่างกายที่เคยมีก็ลดลง...
    ใจน้อย โกรธง่าย ความจำก็เสื่อม ขี้หลงขี้ลืม...
    จิตใจก็หมดความสดชื่น...

    ถึงแม้พวกเจ้าจะคอยเอาใจใส่ดูแลใกล้ชิดสักเพียงใดก็ตาม
    ก็ไม่อาจช่วยให้พ่อแม่ของเจ้ามีความสุขได้เต็มที่...
    เพราะพวกเจ้าทุกคนต่างก็มีหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบ...

    เจ้าช่วยท่านให้ได้รับความสุขเพียงการให้กินอยู่หลับนอน
    อันเป็นความสุขทางกายเท่านั้น...
    แต่จิตใจของท่านหาได้ร่าเริงสดชื่นผ่องใสไม่...

    .....เจ้าจงจำไว้ว่า.....
    การให้ความสุขแก่พ่อแม่อย่างแท้จริงก็คือ....
    การให้ธรรมะ...ด้วยการสอนหลักธรรมง่ายๆ
    ให้พ่อแม่ของเจ้า...พาท่านไปทำบุญทำทาน...

    สอนท่านให้รู้จักการปฏิบัติบูชา...
    สวดมนต์...ภาวนา...แผ่เมตตา
    ธรรมะจะอยู่ในจิตใจของพ่อแม่เจ้าทุกภพทุกชาติ...
    ถือว่าเป็นการทดแทนพระคุณที่สูงสุด...
    เจ้าจงจำไว้นะลูกเอ๋ย....ฯ

    ~ธรรมโอสถ...คำสอนของสมเด็จพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี)~
    ขอนอบน้อมแด่คุณพระพุทธ คุณพระธรรม คุณพระสงฆ์


     
  7. เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2012
    โพสต์:
    428
    ค่าพลัง:
    +5,154
    ทำไมต้องรอให้ถึงที่สุดแห่งปัญญา แล้วจึงจะเห็นว่า

    "สัญญานั้นเกิดดับทั้งสัญญาเก่าก็ดี สัญญาใหม่ก็เช่นกัน เป็นเช่นนี้เสมอ
    สัญญามันก็เกิดของมันเป็นธรรมดา จะใหม่หรือเก่ามันก็เกิดและดับไปเป็นธรรมดา
    มันก็เป็นเรื่องของ สัญญานักขันโธ"


    แน่นอนว่าหากคนๆนั้น เจริญปัญญาให้ถึงที่สุดแล้ว ย่อมรู้ว่า
    1.อะไรเป็นเหตุให้เกิดสัญญา
    2.อะไรเป็นความต่างสัญญา
    3.อะไรเป็นวิบากสัญญา
    3.อะไรเป็นความดับแห่งสัญญา
    4.ทำอย่างไรให้ถึงความดับแห่งสัญญานั้นๆ

    พอให้คำตอบได้ไหมครับคุณ tjs
    กับความที่เป็น อนิจจะลักขณะ ทุกขลักขณะ อนัตตะลักขณะ เช่นนี้เสมอ
     
  8. NOKMAM เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    300
    ค่าพลัง:
    +6,157


    "..ผู้เห็นคุณค่าของตัว จึงเห็นคุณค่าของผู้อื่น
    ว่ามีความรู้สึกเช่นเดียวกัน ไม่เบียดเบียนทำลายกัน

    ผู้มีศีลสัตย์ เมื่อทำลายขันธ์ไปในสุคติในโลกสวรรค์
    ไม่ตกต่ำ เพราะอำนาจศีลคุ้มครองรักษาและสนับสนุน
    จึงควรอย่างยิ่ง ที่จะพากันรักษาให้บริบูรณ์

    ธรรมก็สั่งสอนแล้ว ควรจดจำให้ดี ปฏิบัติให้มั่นคง
    จะเป็นผู้ทรงคุณสมบัติทุกอย่างแน่นอน...."


    หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต


    ;aa5
     
  9. ธรรมมณี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,044
    ค่าพลัง:
    +14,027
    สาธุ สาธุ สาธุ ขออนุโมทนาบุญกับจิตบุญรุ่นจิ๋วน้องใหม่ดวงที่ 127 แล้วจ้า พร้อมทั้งครูผู้สอนทุกท่านด้วยค่ะ สาธุ๊:cool::cool::cool:
     
  10. tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    ======

    ขอบคุณครับที่ท่านถามคำถามนี้แก่เรา แต่จะถามด้วยเหตุแห่งความไม่เข้าใจ สงสัย หรือด้วยความไม่รู้ก็ดี หรือจะด้วย ถามเพื่อเทียบเคียงกับภูมิธรรมที่ตนมีและเข้าใจว่า เหมือนกันหรือต่างกันมากน้อยอย่างไร หรือเพื่อแลกเปลี่ยนภูมิธรรม หรืออื่นๆ อันเป็นประโยชน์

    กระผมขอตอบคำถาม โดยไม่ขอเอาปริยัติมาตอบ แต่ขอตอบตามสิ่งที่ได้ปฏิบัติ และมีความเข้าใจอย่างนี้ว่า

    1.อะไรเป็นเหตุให้เกิดสัญญา
    สัญญาอันหมายถึงความจดจำได้หมายรู้ มีทั้งอย่างหยาบ ปานกลาง และละเอียด สัญญาเกิดได้เพราะอาศัยอายะตะนะ ภายในเป็น เครื่องรับ และมีอายะตะนะภายนอกเป็นเครื่องส่งเข้ามากระทบ ก่อให้เกิดผัสสะ เมื่อผัสสะเกิดขึ้นแล้ว เวทนาก็เกิดขึ้น จากผัสสะทั้งมวล จึงก่อให้เกิดการรู้ว่าสิ่งที่มากระทบนั้นเป็นอย่างไรอย่างเช่น จดจำว่าภาพ เสียง กลิ่น รส สัมผัสนั้นเป็นอย่างไรจำได้หมายรู้ว่ามันก่อให้เกิด สุข ทุกข์ ดี ชั่ว พอใจ ไม่พอใจ หรือมีความรู้สึกกลางๆอย่างไร เกิดการจดจำและรับเอาอามรณ์ต่างๆเหล่านั้นเก็บไว้ในมโนวิญญาณ

    2.อะไรเป็นความต่างสัญญา
    อันความต่างของสัญญานั้น สามารถอุปมาได้หลากหลายแง่มุมหรือหลายด้านขึ้นอยู่กับเกณฑ์การแบ่งแยก อย่างเช่น
    สัญญาที่ปรุงแต่งให้เกิดสุข
    สัญญาที่ปรุงแต่งให้เกิดทุกข์
    สัญญาที่ไม่ปรุงแต่งให้เกิดทั้งสุขหรือทุกข์
    หรืออีกแบบหนึ่งคือ
    สัญญาเก่าที่เกิดและดับไปนานแล้ว
    สัญญาปัจจุบันที่กำลังเกิดอยู่และกำลังจะดับไป
    สัญญาใหม่ที่กำลังจะเกิดในอนาคตและดับในอนาคต
    หรือ
    สัญญาอันเป็นอตีตังคสัญญาก็ดี
    สัญญาอันเป็นปัจจุปันนังคสัญญาก็ดี
    สัญญาอันเป็นอนาคตังคสัญญาก็ดี

    3.อะไรเป็นวิบากสัญญา
    จากข้อ1 เมื่ออายะตะนะทั้งภายนอกและภายในได้ส่งกระทบเกิดผัสสะ ขึ้นแล้ว และสัญญา คือความจดจำได้หมายรู้ต่างๆเกิดขึ้นแล้ว วิบากสัญญา ย่อมเกิดต่อเนื่องตามมาคือ ความยินดีในสัญญาที่เป็นสุขก็ดี ความไม่ยินดีในสัญญาอันเป็นทุกข์ก็ดี ล้วนคือผลอันก่อให้เกิดการปรุงแต่งให้จิต ติดอยู่ในสุขและทุกข์

    4.อะไรเป็นความดับแห่งสัญญา
    ความดับแห่งสัญญาคือ อาการที่สัญญาทั้งหลายที่เป็นเสมือนดุจเงาติดตามจิต ไม่สามารถเข้ามาปรุงแต่งให้จิต ไปยึดติด บังคับ หรือเคลื่อนไหลไปตามสัญญานั้นๆที่มาปรุงแต่งจิตได้อีก เช่นนี้จึงกล่าวได้ว่า สัญญานั้นดับแล้ว

    5.ทำอย่างไรให้ถึงความดับแห่งสัญญานั้นๆ
    ขอตอบข้อ5โดยรวมอย่างนี้ว่า
    อันความดับแห่งสัญญา ย่อมดับได้โดยลำดับขั้นดังนี้
    ประการแรก สัญญาย่อมดับได้ด้วย การดับแห่งผัสสะของอายะตะนะทั้งหลายก่อนเป็นต้น ย่อมทำให้ปัจจุบันนังคสัญญาและอนาคตังคสัญญาทั้งหลายเหล่านั้นจึงดับไป
    ประการที่สอง สัญญาย่อมดับได้ด้วย การดับแห่งตัณหาอุปาทานให้ตกตะกอนคือมีสติ สมาธิ อาศัยฌาณ เป็นเครื่องระงับดับสัญญาทั้งหลาย รวบรวมจิตให้สงบนิ่งอยู่เป็นเอกคตา แล้วดึงจิตลึกลงสู่ฌาณ5 ฌาณที่เป็นเครื่องระงับสัญญาขันธ์ได้อย่างละเอียดนั้น คือฌาณที่5-8 เพราะด้วยอาศัยกำลังแห่งฌาณนี้เข้าถึงสภาวะที่เรียกว่า เนวะสัญญานาสัญญายตนะ อะรูปปาวัจจระ ธาตุสัมมาธิญานะ สัมปันโน ด้วยวิธีหนึ่ง
    ประการที่สาม สุดท้าย คือการดับสัญญา ด้วยการดับอวิชชาและตัณหาอุปาทานทั้งหลายอันเป็นเครื่องปรุงแต่งสัญญานักขันโธ อวิชชาและตันหาอุปาทาานต้องดับได้ด้วยวิชชา วิชชาเกิดได้ด้วย ปัญญา ปัญญาเกิดได้ด้วย วิปัสสนา คืออาศัยวิปัสสนาเป็นบาทฐาน
    ตามดูสัญญาที่เกิดดับ จนเกิดปัญญาเข้าใจ รู้แจ้งแล้วว่า
    ก็สัญญาทั้งหลาย ล้วนไม่เที่ยงเป็นอนิจจะลักขณะ ประการที่หนึ่ง
    ก็สัญญาทั้งหลาย เมื่อเป็นสิ่งที่ไม่เที่ยงจีรัง ล้วนเป็นทุกข์ เป็นทุกขลักขณะ ประการหนึ่ง
    ก็เมื่อสัญญาทั้งหลาย ล้วนเป็นทุกข์ จึงเป็นสิ่งที่เราไม่ควรยึดมั่นถือมั่น เป็นอนัตตะลักขณะ
    เมื่อเห็นเป็นอย่างนี้จึงยอมรับความจริง แล้วย่อมปล่อยวางดับในสัญญาได้ จิตจึงไม่ติดอยู่ในสัญญา จิตย่อมมีอิสระเหนือสัญญาทั้งหลายทั้งปวงได้ ข้อนี้สำคัญที่สุด เพราะจะทำให้สัญญาดับไม่มีเหลือเชื้ออะไรอีกเลยครับ สาธุครับ


    เหตุที่กล่าวว่า ต้องให้ถึงที่สุดแห่งปัญญา เพราะการดับสัญญาอย่างหมดไม่เหลือเชื้ออีกต่อไปนั้น ก็ต้องอาศัยปัญญาอย่างยิ่งนี่เองครับ สาธุครับ
     
  11. เ่ต่าโบราณ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2010
    โพสต์:
    713
    ค่าพลัง:
    +3,624
    พูดได้หลายยยยยคำว่า สุดยอดดดดดดดดดด
     
  12. ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    นั่นไงหล่ะ! คุณโต้ ชีริค คุณติ๊ก ชีโร่
    คุณเจอมวยถูกคู่ซะแล้ว งั้นผมยกให้คุณtjs ตอบคุณZero แนวปริยัติ
    แต่ผมถนัดแนวปฎิบัติ หรือลัดตัดตรงมากกว่า เพราะมันเสียเวลา
    อีกอย่างนึงไม่ชอบต่อกลอน ถนัดแต่เปิดประตู
    สรุปแล้ว คุณอย่ามัวเสียเวลาอยู่เลย ลมหายใจสั้นลงไปทุกทีๆแล้ว
    รีบไปหาคำตอบด้วยตนเอง ด้วยจิตเกาะพระ จะดีกว่า
    ถ้าคุณสนใจเดินมรรค หรือจะเอาปัญญาหรือปัญญาญาณ
    ก็ขอเชิญเดินตามก้นท่านjts ไปซะดีๆ
    ดีเหมือนกันจิตเกาะพระจะได้มีผู้รู้เรื่องปริยัติดีอย่างคุณ เพิ่มมาอีกหนึ่งท่าน
    แต่ก่อนละลงมือปฎิบัติธรรมกับพวกเรา คุณต้องรักษาศีล5ให้ครบ
    และวางของเก่าเสียก่อน เช่น คำภาวนา และอีโก้
    โดยเฉพาะตัวรู้ทางโลก(อีโก้) จะเป็นตัวขัดขวางการเข้าถึงธรรมของตนเอง โดยตรง
    หากคุณไม่เรียน ก็ไม่มีทางรู้ อย่าไปดูแค่ภายนอก นั่นคือนามสมมุติว่า จิตเกาะพระ ไม่มีกึ๋น
    อย่าเพิ่งไปคาดเดาให้ยาก
    แต่ถ้าคุณจะเดินเรียบๆเคียงๆ ชอบเดินทางอ้อม ก็ตามใจ
    ผมเตือนเพราะความหวังดี ไม่เรียนก็ไม่ว่ากัน
    แต่ผมยอมรับความเห็นต่างนะครับ

    สุดท้ายนี้ก็ขอขอบพระคุณ คุณtjsมาก(อาจารย์ปริยัติ) ที่สละเวลามาช่วยตอบให้กับคุณZero
    นี่ขนาดไม่ได้ตอบเชิงปริยัตินะเนี๊ย นี่เขาเรียกว่า มินิปริยัติ?
     
  13. jjppy เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    13
    ค่าพลัง:
    +296
    รายงานการฝึกจิตเกาะพระ เวอร์ชั่นเพื่อนคุยกับเพื่อนค่ะ

    น้อง รู้จักกับ พี่แป้น ซึ่งเป็นพยาบาลอยู่ที่โรงพยาบาลสมิติเวช พี่แป้นเป็นคนจิตใจดี
    ใจเย็น แต่มีปัญหาสุขภาพไม่แข็งแรง(ลิ้นหัวใจตีบ)ต้องทานยาและพบแพทย์เป็นประจำทุกเดือน

    ช่วงที่พี่แป้นยังทำงานอยู่(ปัจจุบัน เกษียณอายุแล้ว)ได้เคยแนะนำให้ไปเข้าปฏิบัติธรรมตามที่ต่างๆ แต่ก็ไม่สะดวกลางาน จนกระทั่งเกษียณแล้ว จึงได้ชักชวนอีกแต่พี่แป้นก็ติดโน่น นั่น นี่ ไม่ได้ไปอีก แต่ส่วนตัวพี่แป้นได้สวดมนต์ทั้งเช้า-เย็น และแผ่เมตตาอย่างต่อเนื่องมาตลอดเป็นเวลานาน

    จนเมื่อตัวเองฝึกจิตเกาะพระจนจบกิจแล้ว จึงได้โทรหาพี่แป้นเพื่อแนะนำวิธีปฏิบัติแนวนี้และชวนให้มาเข้าฟังการอบรมในวันที่ ๑๗ พย.๕๕ พี่แป้นมีความสนใจและตกลงทันที
    เมื่อจบการอบรม จึงพาไปแนะนำตัวกับครูน้องหนู(พี่แป้นรีเควสครูผู้หญิงค่ะ ฮ่าฮ่า)และเริ่มฝึกทันทีโดยให้ส่งการบ้านครูทางโทรศัพท์(พี่แป้นอยู่ชัยนาท ไม่ได้เล่นเน็ต)

    ช่วงแรกๆ คาดว่าพี่แป้นน่าจะงงๆกับการระลึกถึงพระ จึงโทรคุยกันทุกวัน ทั้งให้คำแนะนำต่างๆและให้กำลังใจ จนรู้สึกว่าพี่แป้นน่าจะเข้าใจและเกาะพระได้แล้ว จึงโทรห่างขึ้น สังเกตุว่าพี่แป้นมีความสงสัยน้อยมาก แต่มีความเกรงใจและศรัทธาในตัวครูมาก จึงตั้งใจและเชื่อฟังปฏิบัติตามคำแนะนำของครูน้องหนูดีมาก ทั้งนี้ พี่แป้นเคยบอกว่า ตั้งใจทำเพื่อให้กับเจ้ากรรมนายเวรที่ทำให้ตนเองต้องทุกข์กับสังขารที่เจ็บป่วยนี้ ส่วนความอยากให้ถึงซึ่งพระนิพพานนั้น หากตั้งใจทำ เมื่อถึงก็ถึงเอง จึงวางกำลังใจและอารมณ์แบบสบายๆ ไม่เคร่งเครียด ค่อยๆทำ จนจบกิจจิตยกได้เมื่อวันที่ ๑ มค.๕๖ นี้

    สุดท้ายนี้ ขอขอบพระคุณแทนพี่แป้นต่อครูน้องหนู ผู้สอนหลัก คณะผู้จัดงานสัมมนาจิตเกาะพระสัญจร ครั้งที่ ๑ และผู้เกี่ยวข้องทุกท่านที่มีส่วนช่วยยกดวงจิตของพี่แป้นนี้ด้วยค่ะ

    สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทามิ

    น้อง จบ.๑๐๘ รายงานค่ะ
     
  14. jjppy เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    13
    ค่าพลัง:
    +296
    ขอโมทนาบุญกับจิตบุญดวงที่ ๑๒๕, ๑๒๖, ๑๒๗ ครูผู้สอนและผู้เกี่ยวข้องทุกท่านด้วยค่ะ
    สาธุ สาธุ สาธุ
     
  15. เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2012
    โพสต์:
    428
    ค่าพลัง:
    +5,154
    สังเกตุไหมว่า คุณtjs จะวางมาดเป็นนักปฏิบัติ เกรงจะเสียรูป จึงต้องเก็กไว้ก่อน

    จึงต้องออกตัว ให้ล้อฟรี ไว้ก่อนว่า :

    "กระผมขอตอบคำถาม โดยไม่ขอเอาปริยัติมาตอบ
    แต่ขอตอบตามสิ่งที่ได้ปฏิบัติ และมีความเข้าใจอย่างนี้ว่า"

    หากคนๆนั้น มาอ่านอย่างเป็นกลางๆ ก็จะพิจารณา เข้ามาสำทับได้ทันทีว่า นี่มัน ภาษาปริยัติล้วนๆ

    แต่แท้จริงแล้ว คุณtjs เป็นนักปฏิบัติ และสื่อภาษาทางปริยัติ ได้ดี

    เพราะอะไรเล่า ก็เพราะ คุณบอกว่าปฏิบัติแล้วอย่างนี้ๆ ดีแล้ว สาธุด้วย

    ดังนั้น :

    ข้อ1 อะไรเป็นเหตุให้เกิดสัญญา
    คือ การกระทบผัสสะในอายตนะนอกใน เป็นเหตุให้เกิดสัญญา ถูกแล้ว

    ข้อ2 อะไรเป็นความต่างสัญญา
    ความต่าง ก็คือ ความต่างในอายตนะนอกใน
    เช่น ความจำได้ในรูป คือ ทางตา ความจำได้ในเสียง คือ ทางหู
    ความจำได้ในกลิ่น คือ ทางจมูก เป็นต้น
    ซึ่งไม่ใช่การปรุงแต่งใดๆ ในกองขันธ์ทั้งในอดีต ปัจจุบัน อนาคต
    แต่การปรุงแต่งย่อมเกิดจากสัญญา อุปมาว่า ความคิดไม่ใช่จิต แต่ความคิดเกิดจากจิต

    ข้อ3 อะไรเป็นวิบากสัญญา ก็คือ เวทนา ย่อมเกิดขึ้น จากข้อ1

    ข้อ4 อะไรเป็นความดับแห่งสัญญา ก็เพราะผัสสะดับ มีสติรู้เท่าทันในผัสสะ
    ที่ฝึกๆ ทำความสงบของใจ ก็เพื่อตรงจุดนี้ เพื่อดับซึ่งผัสสะ ที่จะทำให้เกิดเวทนา ตัณหา อุปาทาน ภพชาติ
    ยังมีผู้เข้าสัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติ ที่ระงับจิตสังขาร ในสัญญาและเวทนา เหล่านั้นได้

    ข้อ5 ทำอย่างไรให้ถึงความดับแห่งสัญญานั้นๆ
    นั่นก็คือการเจริญใน มรรคมีองค์8 คือ สัมมาสังกัปปะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ เป็นต้น คือ ปฏิปทาในการดำเนิน

    ฉะนั้น หากคนๆนั้น มีความยินดีพึงพอใจ ไม่พึงพอใจ ในการดูมวย บนเวที
    แสดงว่า คนๆนั้น ย่อมได้รับผัสสะ มีเวทนาอันเป็นที่พึงพอใจ หรือไม่พอใจ ก็ตาม
    ตัณหาความเร่าร้อนแสวงหา แน่นอน อุปาทาน คือ ทุกข์ ได้เกิดบังขึ้นแล้วกับคนๆนั้น
    คือ การสืบต่อภพ ในขณะนั้นๆ ด้วย กิเลส กรรม วิบาก

    "คนเราทุกข์เพราะความคิด"
    นั่นเพราะอะไร เพราะ ดำริไว้ผิด มี กามวิตก วิหิงสาวิตก เป็นต้น
    ด้วยการขาดความระลึกรู้ ด้วยสติสัมปชัญญะ

    บางคนนี่ จำพวกกายสักขี พอรู้อย่างนี้แล้ว จะมีมนสิการ
    เข้าไปอยู่ในฐานอาศัยจับภาพพระ ในทันควัน คือ รูปสัญญา
    ระลึกในกองลม แล้วใคร่ครวญ ให้เห็นเหตุแห่งการเกิด
    จึงเรียกได้ว่า คนๆนั้น มีสติสัมปชัญญะ ให้ถึงการดับไปแห่งสัญญา ว่า
    สัญญาทั้งหลายล้วนไม่เที่ยง สัญญาทั้งหลายล้วนเป็นทุกข์ ไม่ใช่ตัวตนไม่ควรยึดถือ

     
  16. Golden Sky เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    575
    ค่าพลัง:
    +8,976
    ขออนุโมทนา กับ จิตบุญดวงที่ ๑๒๗ น้องฝ้ายด้วยนะค่ะ ถึงเป็นเด็กแต่เป็นคนมีบุญบารมีเก่า และได้มาเกิดในครอบครัวที่ดี คือ มีพ่อ แม่ เป็นผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบก็ถือว่าเป็นบุญอย่างยิ่ง
    และในสมัยพุทธกาล ก็ยังมีเณรน้อยผู้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ได้ ก็ขออนุโมนา สาธุ กับครูผู้สอนทุกๆท่าน ด้วยเทอญ. :cool::cool:
     
  17. มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    ขอน้อมรับ ธรรมะ ของพระพุทธเจ้า และพระอรหันเจ้าทุกๆพระองค์

    ตลอดถึงธรรมทานทั้งหมดที่ทุกท่านได้นำมา เพื่อให้ได้เจริญในธรรมนั้นๆ ธรรมะที่ทุก

    ท่านนำมาเป็นธรรมทานล้วนแต่เป็นธรรมะคำสั่งสอนที่จะต้องนำมาปฏิบัติ. ผู้มีศรัทธา ผู้มี

    ปัญญา ควรอย่างยิ่งที่จะต้องนำมาปฏิบัติ เพื่อความหลุดพ้นจากความทุกข์ของตนเอง.

    ดิฉันขอน้อมรับธรรมะที่ทุกท่านนำมาเป็นธรรมทานทั้งหมด เพื่อจะได้นำมาปฏิบัติ เพื่อ

    ความสุข และความหลุดพ้นจากทุกข์ทั้งปวง ขออนุโมทนาค่ะ สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทามิ.

     
  18. tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    ======

    กระผมก็กล่าวตามความสัจจริง ตามที่กระผมปฏิบัติมาและก็เข้าใจเช่นนี้ และกระผมเองก็ไม่เคยมีมิจฉาทิฏฐิว่า จะต้องคิดว่าคนอื่นมาวางมาดเป็นนักปฏิบัติ เกรงจะเสียรูป จึงต้องเก็กไว้ก่อน
    จึงต้องออกตัว ให้ล้อฟรี ไว้ก่อนว่า : อะไรทำนองนี้
    เพราะกระผมไม่ได้สนใจว่าคนอื่นจะเป็นอย่างไร สนใจแต่ว่าตนเองเป็นอย่างไร เข้าใจธรรมะมากน้อยแค่ไหนแล้ว กิเลสทั้งหลายเบาบางลดลงไปบ้างเท่าไหร่แล้ว
    การที่เรายิ่งตำหนิ และกล่าวร้ายผู้อื่นมากเท่าไหร่ ก็เปรียบเสมือนการประจานความไม่ดีของตน ประจานในกิเลสอันขุนมัวของตน ก็สุดแท้แต่ปัญญาของท่าน เพราะวาสนาบารมีของคนเราสร้างมาทำไว้ไม่เหมือนกันครับ ผมถึงได้ปล่อยวางและเข้าใจสิ่งเหล่านี้ดี


    อนึ่งสิ่งที่ท่านกล่าวมาอาจจะเห็นไม่ตรงกันบ้างก็เป็นธรรมดา แต่ทว่าอ่านแล้วก็จะงงๆไม่ค่อยจะเข้าใจ แต่ก็ไม่คิดอะไรเพราะพื้นฐานเราต่างกัน จิตใจก็ต่างกัน การกล่าวแสดงออกก็ต่างกัน กระผมก็เป็นแบบนี้แหละ ทุกกระทู้ผมก็ตอบแนวทางแบบนี้ เพราะกระผมมีวิถีทางที่เป็นแบบนี้ คุณเองก็เช่นกันคุณก็เป็นแบบนี้ และก็เป็นมานานหลายภพชาติแล้ว ก็ยากนะที่จะเปลี่ยนแปลง เพราะตราบใดที่ยังไม่มีสติรู้อนุสัยสันดารเดิม หรือบางทีรู้แล้วแต่ไม่ยอมแก้ไข อย่างนี้ก็จัดว่ายังแย่ เพราะยังไม่รู้จักแก้ไขตน แก้ไขจิตตนให้ดีงาม แล้วอย่างนี้จะไปบอกผู้อื่นให้ผู้อื่นแก้ไขได้อย่างไร
    ความจริงแล้วการ จะว่ากล่าว หรือสั่งสอนแนะนำใคร ก็ควรพิจารณาตนก่อนด้วยว่า ตนได้เจริญแล้ว เป็นผู้สั่งสอนตนได้แล้วเป็นผู้ฝึกตนได้ดีมากพอสมควรแล้วจึงค่อยสอนผู้อื่นๆ ผู้ที่ฝึกตนได้แล้วนี้ความจริงแล้วดูไม่ยากครับ ลองสำรวจตนดูครับ แต่หากยังทำไม่ได้ไปไม่ถึงก็ควรรู้ว่าต้องทำอย่างไร ควรเพิ่มพูน ควรมีความเพียรอย่างไร ควรไม่ประมาทในธรรมอย่างไร หากท่านยังคิดไม่ได้คิดไม่ออก คิดไม่เป็น ก็สุดแท้แต่บุญวาสนาบารมีของท่านครับ กระผมก็แนะนำท่านได้เพียงแค่นี้ครับ

    สุดท้ายนี้ด้วยความเมตตาที่กระผมนี้มีต่อท่านนี้ เพราะท่านก็เป็นเพื่อนสหายผู้เกิดแก่เจ็บตายด้วยกัน ผู้ยังเวียนว่ายอยู่ในวัฏฏะเช่นเดียวกัน
    ก็ขอให้ท่านพึงมีดวงตาเห็นธรรม ขอมิจฉาทิฐฏิทั้งหลายจงอย่าได้เกิดมีแก่ท่านอีก ขอความเป็นผู้อ่อนโยน อ่อนน้อมด้วยจิตจงเกิดมีแก่ท่าน ขอความเป็นผู้น่าลื่อมใสเคารพจึงบังเกิดมีแก่ท่าน ขอความรอบรู้ในปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ จงเกิดมีแก่ท่าน ขอให้ท่านจงสำเร็จในธรรมอันยิ่งๆขึ้นไปด้วยเถิดครับ สาธุ




     
  19. เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2012
    โพสต์:
    428
    ค่าพลัง:
    +5,154
    "ดูกรกาม เราได้เห็นมูลรากของเจ้าแล้ว เจ้าเกิดจากความดำริ
    เราจักไม่ดำริถึงเจ้าอีกละ เจ้าจักไม่เกิดด้วยอาการอย่างนี้."

    คังคมาลชาดก
    กามทั้งหลายเกิดจากความดำริ
     
  20. อุษาวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2012
    โพสต์:
    531
    ค่าพลัง:
    +12,151
    "หาก มี ความกังวล มากนัก ก็ อาจทำให้ สมาธิไม่แน่วแน่ ฉะนั้น ถ้า มี ความตั้งใจ ว่า ทำสมาธิ แล้ว ก็ พึงละ ความกังวล ใหญ่น้อย ทั้งปวง เสียให้สิ้น มุ่งแต่ ธรรม อย่างเดียว แม้ ความรู้ ใน ทางธรรม ใด ๆ ที่ ได้เล่าเรียนมาแล้ว ก็ ควรพยายาม ปล่อยวาง ให้สิ้น เสียก่อน หากไม่ทำเช่นนั้น ก็ จะเกิดเป็น วิจิกิจฉา ขึ้น ทำให้ ผู้ปฏิบัติ ไม่เห็น ธรรม ได้ ตามต้องการ"

    พระมงคลเทพมุนี (หลวงพ่อสด วัดปากน้ำ)
    ที่มา fb สมาธิ จิต
     

แชร์หน้านี้