ตะกี้ผมนั่งสมาธิมาดูลมหายใจ ผมปวดจมูก มันเหมือนมีไรมาอุด แล้วผมไปลองเปรียบเทียบ ตอนที่ผมนั่งสมาธิแล้วเกิดสุขจากปิติ จากปฐมฌาณตอนนั้นมันปีที่แล้ว แล้วผมก็มานั่งสมาธิใหม่ดูลมหายใจ อารมณ์มันคนละแบบ มันคิดไปเรื่อย แต่ตอนนั้นผมมันสบาย ได้ทําบุญวันพระด้วยตอนนั้นตอนอยู่เมืองไทย
ฌาณผมเสื่อมแน่นอน ผมคิดว่านะ เพราะผมมีโลกีย์ฌาณ ผมคิดว่าตอนนั้นผมภาวนาพุทโธไปด้วย น่าจะช่วยได้ไว้พรุ่งนี้จะลองดูใหม่แล้วค่อยจะมาบอก
(ผมแน่นอนปฐมฌาณแน่นอน เพราะผมลองอ่านดู เพราะตอนที่ผมเกิดสุขแล้วเหมือนตกจากเหวตกจากที่สูงคนอื่นๆก็เป็นผมอ่านมาแล้ว)
และอยากเล่าอารมณ์อย่างหนึ่งนั้น ผมอ่านมา มันง่ายมาก แต่ผมนั่งสมาธิจริงๆจังๆบวกกับอธิฐาณจิตด้วยที่วัดหน้าพระพุทธรูปวันนั้นวันพระด้วย พระเทศน์ หน้าฟังมาก แล้วผมก็สุขจริงๆ มันสนุกอย่างบอกไม่ถูกมันสุข มันสบายมาก ฟังเพลงแล้วเต้นๆกับเพื่อน ไม่เท่า นั่งแล้วได้ปฐมฌาณสักนิด ดูรูปคนสวยๆจินตนการลามก ก็ไม่เท่าปฐมฌาณ ผมสุขจริงๆ
แล้วผมดันโง่ดันไปคบกันนิวรณ์ ฌาณเสื่อมเลย (แต่มันน่าจะมาตอนที่ผมไม่คบ)
ฌาณเสื่อมทําไงให้มันกลับมา อารมณ์ฌาณ1(ตอนที่ผมรู้สึกอยากเล่า)
ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ballbeamboy2, 12 มกราคม 2012.
หน้า 1 ของ 3
-
-
แล้วผมดันโง่ดันไปคบกันนิวรณ์ ฌาณเสื่อมเลย
นิวรนี่ ชื่อสมาชิก หรือ นิวร ที่เป็นภาษาบาลีอ่ะ ล่ออเหลมนะเนี้ยยยยยยยยยย -
ปกติดีนี่ ที่เสื่อม
-
-
ฌาณ(ชาน) มีอุปมาเหมือนบันได เราเดินขึ้นได้ เดินลงได้
มี 4 ขั้นใช่มั้ยหล่ะ จะแบกมันไว้ทำไม แค่เราอาศัย เดินขึ้นเดินลงอย่างเดียวก็พอแล้ว เพื่อใช้ขึ้นสู่ภูมิวิปัสสนาญาณ ไม่ตก มีแต่ตัด อย่างเดียว !!
หมายถึงปัญญา นะ ไม่ใช่มารยา !!
เจริญในรสธรรม
-
ไปคบทำไม นั่นมือขวาพญามาร เลยนะนั่นน่ะ อุ๊บ.....catt3
-
ก่อนจะไปต่อ ต้อง ทวน ของเก่าให้ชำนาญ ครับ แล้วจะไม่เสื่อม เพราะชำนาญ(แน่น)ลองดุนะครับ ทุกครั้งที่ทำทวนของเก่าก่อน เอาใหม่นะครับ รับรอง ชำนาญ
-
ก็เคยบอกแล้ว ว่า ให้พยายาม รักษาอารมณ์ หรือ ทรงอารมณ์ฌาณ นั้น ๆ เอาไว้ให้ได้
ตลอดเวลา ไม่ว่าจะทำอะไรก็ตาม จนเกิดความเคยชินของจิต แล้วมันจะเสื่อมไปไหน ฮ่วย -
-
เดินจงกรม
-
ส่วนจะทำอย่างไรให้อยู่ได้นานๆ ถ้าในแบบธรรมดาเป็นขั้นเป็นตอนก็คือการฝึกจนเคยชินซึ่งมันเป็นวิธีการพื้นฐาน แต่ว่าฌานระดับนี้กำลังต่ำครับ ถึงจะฌานสี่ได้แต่ยากที่จะทรงถึงอภิญญาสมาบัติถ้าไม่มีของเก่าหนุนด้วยก็ยากมาก ฌานสมาบัติที่ถูกต้องที่ดีที่สุดคือเริ่มจากการตัดขันธ์ห้า เห็นว่าร่างกายนี้ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เราคือจิตเดียวที่ไม่ได้มีอะไรเกี่ยวข้องกับกายนี้เลย ถ้าเชื่อมั่นแบบนี้ได้ตลอด จิตจะทรงเป็นฌานเองแล้วจะมีกำลังสูงมากด้วย แรกๆ อาจจะไม่ง่ายหรอกครับ แต่ทำไปเรื่อยๆ จะจับทางได้เอง อย่าไปกังวลกับสิ่งต่างๆ ที่เข้ามากวนใจ เพราะทุกอย่างที่เข้ามานั่นคือการทดสอบกำลังใจตัวเองเสมอ ถ้าผ่านได้ก็ก้าวหน้าต่อไป ส่วนเรื่องที่ว่าทำถึงฌานไหนพยายามอย่าเพิ่งไปสนใจเปรียบเทียบครับ เพราะถ้าคิดว่าเราถึงนั่นนี่ ทำได้เท่านั้นเท่านี้แล้ว มันจะยึดถือตัวยึดนี้แหละก็เป็นศัตรูขวางใจเราไม่ให้รวมเป็นหนึ่งเดียวได้เหมือนกัน ส่วนถ้าจะเอาผลของฌานมาใช้งาน ตัวสำคัญสุดคือต้องยอมรับกฎของกรรมครับ ถ้าการจะนำมาใช้ไม่ไตร่ตรองด้วยดีมาก่อนแล้ว ส่วนมากจะใช้ได้ไม่เต็มที่ ใช้ไม่ได้ผล ก็พยายามดูใหม่ครับ เดี๋ยวจับทางได้ก็จะเข้าใจเองว่าจะต้องทำอย่างไร -
เรื่องปกติที่โลกียฌานจะมีการเสื่อมนะครับ....จขกท.ก็ทราบดีแล้วว่าเป็นเรื่องของจิตที่มันเคยชินที่จะคบอยู่กับนิวรณ์ธรรมทั้ง ๕ จึงเป็นเหตุให้เสื่อม.
หมั่นปฏิบัติให้เป็นปกติเนืองๆครับ...ไม่ตั้งความหวังให้ได้จนเป็นความอยากให้กลับกลายเป็นนิวรณ์....มีความสม่ำเสมอของการปฏิบัติ...เมื่อเราสามารถระงับนิวรณ์ธรรมได้บ้างแล้ว...ไม่นานมันก็จะกลับมาเอง..... -
ยินดีด้วย ที่พบสัจจธรรมที่รู้เห็นได้ยาก ขึ้นมาอีกตัวหนึ่ง
ปรกติ สุขจากปฐมฌาณ มันก็ได้มายาก
แต่มันไม่เท่ากับได้ปัญญา พิจารณาเห็นว่า สุขจากปฐมฌาณ มันก็ชั่วคราว
เพราะเป็นขงอที่ ชั่วคราว มีเจริญ มีเสื่อม จึงเรียกว่า "ภพชาติ" จึงไม่แปลก
เลยที่นักบวชนอกศาสนา จะ "อาลัยอาวรณ์ในอารมรณ์" ถึงกับ ยึด ภพยึดชาติ
คือ เอาสุขจากปฐมฌาณเป็นนิพพาน ซึ่งเป็นเรื่องที่ จขกท ตอนนี้พบแล้วว่า
นั่นเป็นเรื่องของคนที่ไม่เห็น สัจจธรรม
สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์ ดังนั้น ยกขึ้นดูไปเลย สุขจากปฐมฌาณเป็นทุกขสัจจ
ที่เราควรกำหนดรู้ ละสมุทัย(ละการอาลัยอาวรณ์อารมณ์) ประจักษ์นิโรธ แล้วก็ เจริญ
มรรคต่อไป
สังเกตุดีๆนะ
คุณเริ่มทำอานาปานสติ แล้ว สามารถซักฟอกจิตราคะ(อาลัยในสุขในกาลก่อนๆ ซึ่ง
สอดคล้องกับ "กำจัดอภิชญา และ โทมนัสในกาลก่อนๆได้" )
ดังนั้น คุณภาวนาได้ก้าวหน้า ไม่ใช่ไม่ก้าวหน้า จิตประจักษสัจจธรรมบางประการ
แล้ว แต่โยนิโสมนสิการไม่ได้ เพราะ ยังประมาทในธรรมทั้งหลายอยู่ -
แล้วผมดันโง่ดันไปคบกันนิวรณ์ ฌาณเสื่อมเลย
--------------
รู้จักนิวรณ์ ก็นับว่าเป็นคนมีปัญญาแล้ว นะท่าน
คบนิวรณ์ ฌาณเสื่อม เห็นฌาณเสื่อม(เห็นฌาณไม่เที่ยง)ได้ปัญญา
<TABLE width=800 align=center border=0><TBODY><TR><TD align=middle height=60>นิวรณ์ 5</TD></TR><TR><TD align=middle height=15></TD></TR><TR><TD align=left><DD>นิวรณ์ 5 หมายถึง สิ่งที่ขวางกั้นจิตทำให้สมาธิไม่อาจเกิดขึ้นได้ มี 5 อย่างคือ </DD></TD></TR><TR><TD align=middle height=15></TD></TR><TR><TD align=left><DD>1.กามฉันทะ คือ ความยินดี พอใจ เพลิดเพลินในกามคุณอารมณ์ ได้แก่ ความยินดี พอใจในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ(สิ่งสัมผัสทางกาย) อันน่ายินดี น่ารักใคร่พอใจ รวมทั้งความคิดอันเกี่ยวเนื่องด้วยรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะนั้น (คำว่ากามในทางธรรมนั้น ไม่ได้หมายถึงเรื่องเพศเท่านั้น)</DD></TD></TR><TR><TD align=middle height=15></TD></TR><TR><TD align=left><DD>2. พยาบาท คือ ความโกรธ ความพยาบาท ความไม่พอใจ ขัดเคืองใจ</DD></TD></TR><TR><TD align=middle height=15></TD></TR><TR><TD align=left><DD>3. ถีนมิทธะ แยกเป็นถีนะ คือ ความหดหู่ท้อถอย และมิทธะ คือ ความง่วงเหงาหาวนอน ถีนะและมิทธะนั้นมีอาการแสดงออกที่คล้ายกันมาก คือทำให้เกิดอาการเซื่องซึมเหมือนกัน แต่มีสาเหตุที่ต่างกันคือ</DD></TD></TR><TR><TD align=left><DD>ถีนะเป็นกิเลสชนิดหนึ่ง เกิดจากการปรุงแต่งของจิต ทำให้เกิดความย่อท้อ เบื่อหน่าย ไม่มีกำลังที่จะทำความเพียรต่อไป </DD></TD></TR><TR><TD align=left><DD>ส่วนมิทธะนั้นเกิดจากความเมื่อยล้าอ่อนเพลียของร่างกาย หรือจิตใจจริง ๆ เนื่องจากตรากตรำมามาก หรือขาดการพักผ่อนที่เพียงพอ หรือการรับประทานอาหารที่มากเกินไป มิทธะนี้ไม่จัดเป็นกิเลส (พระอรหันต์ไม่มีถีนะแล้ว แต่ยังมีมิทธะได้เป็นบางครั้ง)</DD></TD></TR><TR><TD align=middle height=15></TD></TR><TR><TD align=left><DD>4. อุทธัจจกุกกุจจะ แยกเป็นอุทธัจจะคือความฟุ้งซ่านของจิต และกุกกุจจะคือความรำคาญใจ</DD></TD></TR><TR><TD align=left><DD>อุทธัจจะนั้นคือการที่จิตไม่สามารถยึดอยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่งได้เป็นเวลานาน จึงเกิดอาการฟุ้งซ่าน เลื่อนลอยไปเรื่องนั้นที เรื่องนี้ที</DD></TD></TR><TR><TD align=left><DD>ส่วนกุกกุจจะนั้นเกิดจากความกังวลใจ หรือไม่สบายใจถึงอกุศลที่ได้ทำไปแล้วในอดีต ว่าไม่น่าทำไปอย่างนั้นเลย หรือบุญกุศลต่างๆ ที่ควรทำแต่ยังไม่ได้ทำ ว่าน่าจะได้ทำอย่างนั้นอย่างนี้</DD></TD></TR><TR><TD align=middle height=15></TD></TR><TR><TD align=left><DD>5. วิจิกิจฉา คือ ความลังเลสงสัย ไม่แน่ใจ หรือไม่ปักใจเชื่อว่าสิ่งใดถูกสิ่งใดผิด หรือควรทำแบบไหนดี จิตจึงไม่อาจมุ่งมั่นในอารมณ์ใดอารมณ์หนึ่งได้อย่างเต็มที่ สมาธิจึงไม่เกิดขึ้น</DD></TD></TR><TR><TD align=middle height=15></TD></TR><TR><TD align=left><DD>นิวรณ์ทั้ง 5 ตัวนี้ มีเฉพาะอุทธัจจะเท่านั้นที่เกิดขึ้นตัวเดียวได้ ส่วนนิวรณ์ตัวอื่น ๆ นอกนั้น เมื่อเกิดจะเกิดขึ้นร่วมกับอุทธัจจะเสมอ</DD></TD></TR><TR><TD align=middle height=15></TD></TR><TR><TD align=left><DD>นิวรณ์ทั้ง 5 เป็นอุปสรรคสำคัญในการทำสมาธิ ถ้านิวรณ์ตัวใดตัวหนึ่ง หรือหลายตัวเกิดขึ้น สมาธิก็ไม่อาจเกิดขึ้นได้เลย แต่นิวรณ์ทั้ง 5 นี้ไม่เป็นตัวขวางกั้นวิปัสสนาเลย ทั้งยังเป็นประโยชน์แก่วิปัสสนาอีกด้วย เพราะวิปัสสนานั้นเป็นการเรียนรู้ธรรมชาติของสรรพสิ่ง ไม่ว่าขณะนั้นอะไรจะเกิดขึ้น ก็เป็นประโยชน์ให้เรียนรู้ได้เสมอ นิวรณ์ทั้ง 5 นี้ก็เป็นธรรมชาติอย่างหนึ่ง ๆ ของจิตที่เป็นประโยชน์ในการเรียนรู้ ให้เห็นถึงความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่อยู่ในอำนาจ ของจิตเช่นกัน</DD></TD></TR></TBODY></TABLE>
http://suchart.rmutl.ac.th/Misc/Nivorn.php -
ผมก็เคยนั่งแล้วเหมือนจิตวูบลงไปแล้วสงบมีปิติสุข แต่ผมคิดว่ายังไม่ได้ฌาน
-
-
คุณปฏิบัตฺธรรมของคุณไปคะ อย่าอยากได้อะไร ถ้าคุณอยากได้ฌาณอีกคุณไม่ได้แน่นอนคะ คุณต้องปฏิบัติไปไม่ต้องอยาก ปฏิบัติไปเรื่อยๆให้ถูกทาง อย่าเอาจิตปรุงแต่ง อย่ายึดติดในนิมิตรต่างๆ อุเบกขาคะ เดี๋ยวได้เองคะบุญรักษาคะ
-
ต้องเข้าใจเรื่องกฎไตรลักษณ์ น่ะครับ ว่ามีได้ก็เสื่อมได้ ครับ ผมก็เป็น เลยเข้าใจมองเห็นเรื่องนี้อย่างชัดเจน ว่ามันมีเกิดขึ้นได้แต่พอเสื่อมก็อยากได้มันอีก แต่พอฟังเทศน์ของหลวงพ่อปราโมทย์เรื่องกฎไตรลักษณ์นี่ เลยเข้าใจ และอุเบกขามัน ตั้งหน้าตั้งตาสั่งสมบุญมากกว่าอยากได้มันครับ
-
เมื่อเข้าใจกฎไตรลักษณ์เราจะเข้าสู่วิปัสสนาครับ
-
ถ้าเสื่อม แล้วคณอยากได้กลับคืนมาแบบเดิม มันจะยิ่งพังไม่ได้อะไรเลย
ธรรมดา ฌาน มันแปรปรวนอยู่เป็นปกติอยู่แล้ว ยิ้งบังคับ ยิ่งเสื่อม
ต้องปล่อย ปล่อยไปเลย จะเสื่อมช่างมัน ไม่เสียใจ ไม่เสื่อมช่างมันไม่ดีใจ
เสื่อมก็ช่าง ไม่เสื่อมก็ช่าง อารมณ์จิตก็จะสบาย จิตจะได้ฌานกลับมาได้สบายๆ
หน้า 1 ของ 3