ดวงเดียวเที่ยวไปสู่ความบริสุทธิ์หลุดพ้นจากอาสวะ

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย ธรรมภูต, 6 สิงหาคม 2011.

  1. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    ถ้าไม่รู้อะไรจริงๆก็อย่ารีบด่สวนสรุป จะหลงทางได้ง่าย

    ลองไปพูดให้ใครฟังก็ได้ว่า

    พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ พระนิพพาน ไม่มีตัวตน?

    ความหมายที่สื่อออกมานั้นเป็นว่า สิ่งเหล่านั้นไม่มีอยู่จริง(ไม่มีตัวตน)ใช่หรือไม่?

    เพราะอะไร เพราะว่าอะไรที่ไม่มีตัวตนอยู่ แสดงว่าสิ่งนั้นไม่มีอยู่จริง

    รู้หรือเปล่าว่าเป็นการกล่าวหาว่าร้ายว่า สิ่งที่พูดถึงนั้นไม่มีตัวตนอยู่จริง

    เหมือนที่เคยถกกับศิรัสพลไว้ อะไรๆก็ไม่มีตัวตน แม้พระพุทธเจ้า

    พอถามไปว่า แสดงว่าพระพุทธเจ้าไม่มีอยู่จริงสิ

    คำตอบที่ได้คือ เป็นเพียงรูปนามขันธ์๕เท่านั้น

    พอถูกถามว่า ที่มีชีวิตอยู่ทุกวันนี้ มีอยู่จริงหรือไม่? เงียบ

    แล้วถามต่อไปว่าถ้าพระพุทธเจ้าเป็นเพียงรูปนามขันธ์๕เท่านั้น

    ปุถุชนคนทั่วไปที่หนาด้วยกิเลส ก็เป็นรูปนามขันธ์๕ด้วยเช่นกันใช่หรือไม่?

    แบบพระเกีรยติของพระพุทธองค์ถูกลบหลู่ดูหมิ่นจนเสียหายหมดสิ

    เพราะไม่แตกต่างอะไรไปจากปุถุชนคนหนาด้วยกิเลสตรงไหนเลยใช่หรือไม่?

    การเรียนธรรมะไม่ใช่เป็นเพียงการอ่านมาก ท่องจำและเชื่อตามๆกันมาเท่านั้น

    พระพุทธองค์ทรงตรัสพระวจนะชัดๆว่า

    "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พวกเธอ(ทรงเน้น)จงยังสมาธิให้เกิดขึ้นเถิด

    ผู้ที่มีจิตตั้งมั่นดีแล้ว ย่อมรู้เห็นตามความเป็นจริงดังนี้"

    ต้องลงมือปฏิบัติสมาธิกรรมฐานภาวนาเท่านั้น

    จึงจะเข้าถึงธรรมอันละเอียดลึกซึ้ง ลุ่มลึก เข้าถึงได้ยากเท่านั้น

    ถ้ายังไม่รู้จัก"สัมมาสมาธิ"แล้วก็อย่ามาเสนอหน้าว่ามีสัมมาทิฐิ สัมมาสติเลย

    น่าอายจริงๆ เห็นตอบมาแต่ละอย่างยังรู้สึกอายแทนจริงๆ ที่พยายามขัดแย้งพระพุทธพจน์...
     
  2. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,480
    ค่าพลัง:
    +1,880
    โอ.......... คุณ ไม่รู้จักรูป-นาม นี่เอง รูปและนาม นั้น คือการ พิจารณาของตัวบุคคลแต่ละคน สิ่งที่ เห็น และ สัมผัส นั้น เป็นรูป(อายตนภายนอก คือรูป+อายตนะภายในคือตา+วิญญาน) ของเรา(ตัวผู้ภาวนา)นาม ก็ คือ สิ่งที่เกิด กับ ตัวผู้ภาวนา ไปสร้างสิ่งอื่นเป็นตัวตนที่เที่ยงนั้น เขา เรียกว่า อุปาทาน หรือ สักกายะทิฎฐิ แค่คุณหลับตา ลืม ตา นั้น ก็เรียกว่า เกิด ดับ แล้ว? แล้วสิ่งที่พระพุทธศาสนา ก็ เป็นอย่างที่ผม พูด ผม งง กับคุณจริงจริง ทบทวนดูละกันครับ ด้วยความปรารถนาดี..............................................
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 สิงหาคม 2011
  3. jinny95

    jinny95 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    6,075
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +9,666
    สัมมาทิฐิคืออะไร

    ปัญหา
    (พระกัจจานโคตรทูลถาม ที่เรียกว่า สัมมาทิฐิ สัมมาทิฐิ ดังนี้ด้วยเหตุเพียงเท่าไรหนอจึงชื่อว่า สัมมาทิฐิ ?

    พุทธดำรัสตอบ
    “.....ดูก่อนกัจจานะ โลกนี้โดยมากอาศัยส่วนสุด ๒ อย่าง คือ ความมี (สัสสตทิฏฐิ-ความเห็นว่าสิ่งทั้งปวงเที่ยง - มีอยู่ตลอดไป) ๑ ความไม่มี (อุจเฉททิฏฐิ ความเป็นว่าสิ่งทั้งปวงขาดสูญไม่มี) ๑ ก็เมื่อบุคคลเห็นความเกิดแห่งโลกด้วยปัญญาอันชอบตามเป็นจริงแล้ว ความ (เห็นว่า) ไม่มีในโลก ย่อมไม่มี เมื่อบุคคลเห็นความดับแห่งโลกด้วยปัญญาอันชอบตามเป็นจริงแล้ว ความ (เห็นว่า) มีในโลกย่อมไม่มี

    “โลกนี้โดยมาก ยังพัวพันด้วย อุบาย อุปาทาน และอภินิเวส แต่พระอริยสาวกย่อมไม่เข้าถึง ไม่ถือมั่น ไม่ตั้งไว้ ซึ่งอุบายและอุปาทานนั้น อันเป็นอภินิเวสและอนุสัย อันเป็นที่ตั้งมั่นแห่งจิตว่า อัตตาของเราดังนี้ ย่อมไม่เคลือบแคลงสงสัยว่า ทุกข์นั้นแหละเมื่อบังเกิดขึ้นย่อมบังเกิดขึ้น ทุกข์เมื่อดับย่อมดับ พระอริยสาวกนั้นมีญาณหยั่งรู้ในเรื่องนี้ โดยไม่ต้องเชื่อผู้อื่นเลย ด้วยเหตุเพียงเท่านี้แล.... จึงชื่อว่าสัมมาทิฐิ


    “ดูก่อนกัจจานะ ส่วนสุดข้อที่หนึ่งนี้มีว่า สิ่งทั้งปวงมีอยู่ ส่วนสุดข้อที่สองมีอยู่ว่า สิ่งทั้งปวงไม่มี ตถาคตแสดงธรรมโดยสายกลาง ไม่เข้าไปใกล้ส่วนสุดทั้ง ๒ นั้นว่า เพราะอวิชชาเป็นปัจจัยจึงมีสังขาร เพราะสังขารเป็นปัจจัยจึงมีวิญญาณ.... นามรูป... สฬายตนะ.... ผัสสะ.... เวทนา.... อุปาทาน.... ภพ....
    ชาติ ชรา มรณะ โสกปริเทวทุกข์โทมนัส อุปายาส ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งมวลย่อมมีได้ด้วยประการฉะนี้.....”

    กัจจานโคตตสูตร นิ. สํ. (๔๓-๔๔)

    ตบ. ๑๖ : ๒๑ ตท. ๑๖ : ๑๗
    ตอ. K.S. II : ๑๓


    http://www.84000.org/true/133.html
     
  4. jinny95

    jinny95 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    6,075
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +9,666
    ความหมายของสัมมาทิฐิ

    ปัญหา
    ข้อที่ว่าสัมมาทิฐิ ความเห็นชอบนั้นหมายถึงเห็นอะไร ?

    พุทธสารีบุตรตอบ
    “ดูก่อนท่านผู้มีอายุ เมื่อใดอริยสาวกรู้ชัดซึ่งอกุศล และรากเหง้าของอกุศล รู้ชัดซึ่งกุศล และรากเหง้าของกุศล.... รู้ชัดซึ่งอาหาร (๔ ประการ คือ อาหารคือคำข้าว อาหารคือผัสสะ อาหารคือความจงใจ และอาหารคือความรู้แจ้งทางทวาร ๖) เหตุเกิดแห่งอาหาร (ตัณหา) ความดับอาหาร และทางที่จะให้ถึงความดับอาหาร (มรรคมีองค์ ๘).... รู้ชัดซึ่งทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์ ความดับทุกข์ และทางให้พึงความดับทุกข์ .... รู้ชัดซึ่งชราและมรณะเหตุเกิดแห่งชราและมรณะ ความดับชราและมรณะ และทางที่จะให้ถึงความดับชราและมรณะ.... รู้ชัดซึ่งชาติ.... ภพ.... อุปาทาน.... ตัณหา....เวทนา.... ผัสสะ.... อายตนะ ๖..... นามรูป.... วิณญาณ..... สังขาร.... อวิชชา ..... อาสวะ..... เหตุเกิดแห่งอาสวะความดับแห่งอาสวะ และทางปฏิบัติเพื่อถึงความดับอาสวะแม้ด้วยเหตุเพียงเท่านี้ อริยสาวกชื่อว่าเป็นสัมมาทิฐิ”

    สัมมาทิฐิสูตร มู. ม. (๑๑๗-๑๒๘)

    ตบ. ๑๒ : ๙๐-๑๐๐ ตท.๑๒ : ๗๖-๘๒
    ตอ. MLS. I : ๕๘-๗๐


    http://www.84000.org/true/020.html
     
  5. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    คนอะไรหลงตัวเองได้ขนาดนี้

    เที่ยวกล่าวหาว่าคนโน้นคนนี้ว่าไม่รู้ ไม่ดูตนเองบ้างเลย

    ไม่รู้จริงๆหรือว่า ที่ไม่รู้หนะใครกันแน่?

    อ้าวมี "ของเราตัวผู้ภาวนา" เข้ามาอีกแล้ว อย่าตอบว่ารูปนามอีกหละ

    พอถูกถามว่า"ของเราตัวผู้ภาวนา"มาจากไหน? อย่าอ้างอีกหละว่าเป็นสมมุติ

    เพราะพูดเองว่า สิ่งที่เกิดกับตัวผู้ภาวนาคือรูปนามไปแล้ว

    แสดงว่ารูปนามไม่ใช่ของเราตัวผู้ภาวนาใช่หรือไม่?

    ไอัที่เรียกว่าอุปาทานหรือสักกายะทิฎฐิหนะ เกิดขึ้นที่ไหน? กายหรือจิต?

    รูปที่ไม่มีจิตครองหนะ จะเกิดเวทนาได้ด้วยหรือ?

    มีแต่คนบ้าเท่านั้นที่ลืมตาหลับเรียกว่าเกิดดับ เค้าเรียกลืมตาขึ้น หลับตาลงใช่หรือไม่?

    เคยเจอมั้ย เห็นคนตายมาหยกๆ พอหลับตาลงก็ยังเห็นอยู่เลย ทำไมภาพไม่ดับไปหละ?

    อย่าพยายามพูดเฉพาะในสิ่งที่ตนเองอยากพูดโชว์เท่านั้น ไม่ช่วยให้เข้าถึงสัจจะได้หรอก

    การสนทนากันนั้น ต้องถามตอบแบบตรงไปตรงมาจึงจะถูกต้อง

    ใช่คือใช่ ไม่ใช่คือไม่ใช่ ไม่ใช่ เดี๋ยวใช่ เดี๋ยวไม่ใช่ เดี๋ยวมี เดี๋ยวไม่มี...

    รู้จักคำว่า"เกิด" คำว่า"ดับ"มั้ย? ถ้าไม่รู้จักก็อย่าเที่ยวอธิบายมั่วไปล่ะ

    ขณะนี้ ที่ควรทำคือปรารถนาดีกับตนเองก่อนนะ....
     
  6. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    มหาสติปัฏฐานสูตร

    ก็สัมมาทิฏฐิเป็นไฉน ความรู้ในทุกข์ ความรู้ในทุกขสมุทัย
    ความรู้ในทุกขนิโรธ ความรู้ในทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา
    อันนี้เรียกว่า สัมมาทิฏฐิ ฯ

    ธรรมะของพระพุทธองค์ย่อมเชื่อโยงกันหมด

    มีพระพุทธพจน์รับรองไว้ชัดเจนเรื่อง"สัมมาทิฐิ"เป็นไฉน

    v
    v
    อ้างอิง มหาวาร สํ ๑๙/๕๒๐/๑๖๕๔ ฉบับสยามรัฐ

    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย จงยังสมาธิให้เกิดขึ้นเถิด
    ผู้มีจิตตั้งมั่นแล้ว ย่อมรู้เห็นตามความเป็นจริง
    ย่อมรู้เห็นตามความเป็นจริง ซึ่งอะไรเล่า???

    รู้เห็นตามความเป็นจริงซึ่งความจริงอันประเสริฐว่า
    นี้เป็นทุกข์
    นี้เป็นเหตุให้เกิดทุกข์
    นี้เป็นความดับไม่เหลือแห่งทุกข์
    นี้เป็นทางดำเนินให้ถึงความดับไม่เหลือแห่งทุกข์

    ^
    ^

    รู้เห็นตามความเป็นจริง ก็คือ รู้อริยสัจ ๔ ตามความเป็นจริงนั่นเอง
    คือ รู้ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ซึ่งก็คือ สัมมาทิฐิ ในองค์อริยมรรค ๘
    หรือ ปัญญา ในองค์อริยมรรค ๘

    อ้างอิงมหาสติปัฏฐานสูตร -- สัมมาทิฐิเป็นไฉน???
    ความรู้ในทุกข์
    ความรู้ในทุกขสมุทัย
    ความรู้ในทุกขนิโรธ
    ความรู้ในทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา ฯ

    การยังสมาธิให้เกิดขึ้นนั้น ใช่การฝึกฝนอบรมจิตของตนใช่มั้ย?
    ถ้าไม่เคยปฏิบัติสมาธิกรรมฐานภาวนาอย่างจริงจังจนชำนาญเป็นวสี
    จนกระทั่งรู้จักทุกข์ รู้เหตุแห่งทุกข์ รู้จักวิธีดับทุกข์ รู้จักชำนาญในเส้นทาง(มรรค)วิธีการดับทุกข์
    แล้วจะเอาสัมมาทิฐิมาจากไหน?

    สัมมาทิฐินั้นต้องเกิดจากการปฏิบัติจนกระทั่งรู้เห็นตามความเป็นจริงเท่านั้น
    ส่วนสัมมาทิฐิที่คิดเองเออเองนั้น เป็นเพียงแค่มีทิฐิที่เห็นว่าน่าจะถูกต้องเท่านั้น
    ต้องปฏิบัติเพื่อให้รู้เห็นตามความเป็นจริง จึงจะเรียกได้ว่าสัมมาทิฐินั่นเอง....
     
  7. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,480
    ค่าพลัง:
    +1,880
    ..................ดูปฎิจจสมุปบาท.............................
     
  8. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    เริ่มที่อวิชชา(ฝ่ายเกิด) จบลงที่อวิชชา(ฝ่ายดับ)

    แล้วทั้งหมดทั้งมวลที่เกิดขึ้นเป็นสายหนะ

    ล้วนแล้วแต่เกิดขึ้นที่ไหน?

    กายอันเป็นที่อยู่อาศัยของจิต ตายเน่าเข้าโลงได้?

    หรือจิตอันเป็นที่รองรับผลแห่งบาป บุญ คุณ โทษ ทั้งหลายที่ได้กระทำไว้

    และยังต้องเวียนตายเวียนเกิดไปตามผลแห่งกรรมนั้น?

    อย่าบอกล่ะทั้งหมดทั้งมวลที่ว่า ล้วนลอยไปก็ลอยมาหาที่ตั้งไม่ได้?


     
  9. oatthidet

    oatthidet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    3,498
    ค่าพลัง:
    +1,876
    อนุโมทนาครับ

    ขอให้เจริญในธรรมครับ
     
  10. apichai53

    apichai53 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    630
    ค่าพลัง:
    +2,261
    ขอบคุณในเจตตนาที่ดี ครับ..

    ปริยัติได้แจกแจงการเกิดดับของจิตอย่างชัดแจ้ง ปรากฏในหลักสูตรการเรียน
    การสอนพระอภิธรรม(ไปศึกษาดูได้)...ในด้านการปฏิบัติเล่า....ผู้ปฏิบัติ
    ที่ขึ้นวิปัสสนาอย่างถูกต้อง ก็จะเห็นการเกิด ดับของจิต สืบเนื่องกัน...

    การตีความพระไตรปิฏก อย่าให้เป็นสัทธรรมปฏิรูป
    ผู้รู้ผู้เข้าใจที่ติดตามดูอยู่ มีเยอะ โปรดไม่ได้ท่านก็ไม่โปรด
    การโต้แย้งกันมากมาย มีแต่สร้างอารมย์ที่ขุ่นหมองกัน
    ผมขออนุญาตโพสสั้นๆแค่นี้ ครับ..

    หากล่วงเกินท่านผู้ใด ก็ขออโหสิกรรมด้วย..
    อนุโมทนาสาธุ กับชาวพุทธผู้ศึกษาและปฏิบัติทุกๆท่าน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 11 สิงหาคม 2011
  11. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,480
    ค่าพลัง:
    +1,880
    :cool:
    :cool::cool::cool::cool::cool::cool::cool:
     
  12. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,480
    ค่าพลัง:
    +1,880
    .....................สุดท้ายท้ายสุดก็ขอบอกคุณว่าอย่าเพิ่งหยุดการเรียนรู้ผมก็บอกตัวเองอย่างนั้นเหมือนกัน.........................................................
     
  13. jinny95

    jinny95 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    6,075
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +9,666
    สวัสดีครับ นำมาร่วมกันศึกษาอีกแล้วครับ
     
  14. oatthidet

    oatthidet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    3,498
    ค่าพลัง:
    +1,876
    อนุโมทนาครับ

    ขอให้เจริญในธรรมครับ
     
  15. oatthidet

    oatthidet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    3,498
    ค่าพลัง:
    +1,876
    อนุโมทนาครับ

    ขอให้เจริญในธรรมครับ
     
  16. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    ^
    ^
    เพื่อไม่ให้การโต้แย้งเกิดขึ้นในภายหลัง

    "ผู้ปฏิบัติที่บอกว่าขึ้นวิปัสสนา ก็จะเห็นการเกิดับของจิต"

    ช่วยตอบแบบชัดๆว่า ใครคือผู้ปฏิบัติที่เป็นผู้เห็นการเกิดดับของจิต? ๑. หรือ ๒.

    ๑.จิตของผู้ปฏิบัติใช่มั้ยที่เป็นผู้รู้เห็นอาการของจิตเกิดดับไปตามอารมณ์ที่เกิดขึ้นและดับไป หรือ

    ๒.เห็นด้วยตาเนื้อของผู้ปฏิบัติที่รู้เห็นจิตเกิดดับ


    พระพุทธพจน์ไม่ต้องตีความใดๆทั้งสิ้น

    เพียงสรุปให้เห็นภาพชัดเจนยิ่งขึ้นก็พอ เพราะมีเหตุผลรองรับดีแล้ว

    ส่วนที่ควรเอาไว้เรียนตามๆกันนั้น ก็เพื่อเป็นการดำรงในส่วนปริยัติเอาไว้เท่านั้น

    ก็ไม่ควรนำมาปะปนกับพระพุทธพจน์ ในส่วนของการปฏิบัติ เพื่อความหลุดพ้น

    ที่ว่าผู้รู้ ผู้เข้าใจ รู้อะไร เข้าใจอะไร?

    ถ้ารู้หรือเข้าใจว่า จิตที่เป็นธาตุรู้นั้นเกิดดับ

    ไม่เรียกว่าผู้รู้ ผู้เข้าใจแล้ว ควรเรียกว่าผู้หลงว่ารู้ หลงว่าเข้าใจมากกว่า

    เพราะอะไร เพราะไม่สามารถตอบคำถาม ที่ถามไปได้อย่างชัดเจน ได้แต่อ้างว่าเท่านั้น
     
  17. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    ทศน์อบรมพระ ณ วัดป่าบ้านตาด

    เมื่อวันที่ ๑๔ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๔๖

    วิธีตัดราคะ

    ฯลฯ

    เพราะฉะนั้นพระอรหันต์ท่านถึงไม่เคยข้ามเกินพระธรรมวินัยนะ
    ท่านปฏิบัติด้วยความสวยงามเวลามีธาตุมีขันธ์อยู่
    ถ้าเป็นหลักธรรมชาติแล้วท่านจะเป็นโทษเป็นกรรมที่ไหนจิตของท่าน
    แต่กิริยานี้มันหากขัดกันอยู่ *จิตที่บริสุทธิ์แล้วมาครองขันธ์ แล้วจะพาขันธ์ไปทำสุ่มสี่สุ่มห้านี้
    จิตอันนั้นไม่ลงนะ เพราะยังรับผิดชอบกับขันธ์ รับผิดชอบต้องทำให้ถูกต้องตามหลักธรรมหลักวินัย*

    การปฏิบัติรักษาสิกขาบทวินัยน้อยใหญ่ ท่านจะเป็นเหมือนพวกเราๆ ท่านๆ
    เพราะธาตุขันธ์มีโดสมบูรณ์ การปฏิบัติรักษาให้เป็นความสวยงามตามโลกสมมุติในเวลามีธาตุขันธ์อยู่
    ก็ต้องปฏิบัติให้สวยงามสมบูรณ์ ท่านจึงไม่มีองค์ใดที่จะข้ามเกิน นี่เป็นขั้นหนึ่งนะ
    แต่ส่วนจิตนั้นไม่ต้องพูดแล้ว หมดปัญหาตั้งแต่กิเลสขาดสะบั้นลงไปหมด
    บาปบุญที่ไหนไม่มีเลยละ เลยไปหมดแล้ว

    ขันธ์นี้เป็นเรื่องของสมมุติ *ก็จิตของเรามันยังครองขันธ์อยู่นี้
    ก็เรียกว่าเรายังอยู่ในวงสมมุติอยู่
    ต้องปฏิบัติรักษาสมมุติให้สวยงาม
    ตามหน้าที่ตามแบบฉบับของพระเราซิ จะมาตำหนิติเตียน
    จิตเป็นอันหนึ่ง ร่างกายไปทำเหมือนลิงเหมือนค่างเหมือนสัตว์นรกอย่างนั้นไม่ได้
    มันเข้ากันไม่ได้กับ*จิตที่บริสุทธิ์ จิตที่บริสุทธิ์รักษาสิ่งที่จิตบริสุทธ์
    ซึ่งยังครองกันอยู่นั้นให้สวยงามเสมอกันไป นี้ละเรื่องราวมันเป็นอย่างนี้นะ
    * ลองไปทำอย่างนั้นดูซี
    จิตที่ว่าบริสุทธิ์ๆ หากจะมีเครื่องค้านกันอยู่ในนั้นให้รู้จนได้นั่นแหละ นั่นแสดงว่าไม่เหมาะ
    ทำอย่างไรเหมาะ ก็ปฏิบัติตามสวากขาตธรรม รักษาพระวินัยให้ดีไม่ว่าขั้นใดภูมิใดของจิตของใจ
    ถึงขั้นอรหันต์หากรักษาให้ดีเหมือนกันหมด เพราะเคารพพระพุทธเจ้า

    ฯลฯ

    Luangta.Com - ��ǧ����Һ�� �ҳ����ѹ��
     
  18. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,480
    ค่าพลัง:
    +1,880
    ............................ใคร..วิมุติญานทัสนะ....................................
     
  19. apichai53

    apichai53 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    630
    ค่าพลัง:
    +2,261
    จิตเห็นจิตอย่างแจ่มแจ้ง เป็นมรรค ....
     
  20. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    ก็ถูกต้องแล้วนิ ที่พระอาจารย์หลวงปูกล่าวไว้

    การเห็นตัวเอง เป็นมรรค มรรคคือทางเดินของอะไร? ใช่ของจิตมั้ย?

    ลองดูตนเอง(ร่างกาย) เดิน ยืน นั่ง นอน ที่เรียก กายเห็นกาย

    กายที่เดิน ยืน นั่ง นอน เป็นอาการของกายที่แสดงออกมาให้เห็นใช่หรือไม่?

    การตอบแบบแอบอ้างแบบนี้ ไม่ช่วยดูดีขึ้นหรอกนะ

    แต่กลับบอกให้รู้ว่า เลี่ยงที่จะไม่ตอบหรือตอบไม่ได้นั่นเอง?

    ถ้าจะสนทนาแบบนี้สู้เอาเวลาไป

    นั่งสมาธิกรรมฐานภาวนายังได้ประโยชน์มากกว่าเป็นไหนๆ เฮ้อ!!!
     

แชร์หน้านี้

Loading...