ตัดกรรม

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย Nud, 11 กันยายน 2014.

  1. Nud

    Nud เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    1,020
    ค่าพลัง:
    +555
    สวัสดีค่ะ ดิฉันขอคำปรึกษาหน่อยค่ะ คือว่าไปดูดวงทางออนไลน์มา เขาเอาค่าครู ๑๕๐๐ บาทก็ตกลงจ่ายและดูไปแล้ว อ.ทักว่า ชื่อดิฉัน นงนุช ไม่เป็นมงคลแนะนำให้เปลี่ยน คือถ้าเปลี่ยนจริงๆไม่ได้ ให้เปลี่ยนแบบหลอกๆทำพิธีน่ะค่ะ ก็จะมีค่าเปลี่ยนและทำพิธีอีกหลายพันบาท อาจารย์ทักอีกว่า บ้านเลขที่ของดิฉัน ไม่เป็นมงคลทำให้บ้านร้อน คนในบ้านทะเลาะถ้าจะทำพิธีให้ดีขึ้น ต้องจ่าย ๕๐๐๐ บาทค่าครู ดิฉันเข้าปีชงเมื่อปีที่แล้ว ท่านบอกว่า ปีหน้าก็จะเข้าปีชงอีกมีเคราะห์ ถ้าจะแก้ ต้องเสียค่าแก้ปีชิง ๕๐๐๐ บาท ท่านบอกว่าที่ดิฉัน มีกรรม งานการถึงไม่ราบรื่น ครอบครัวไม่ราบรื่นต้องค่าทำพิธีตัดกรรม ค่าบูชา๕๐๐๐ บาท แล้วบอกว่าดิฉันเคยได้บนบานอะไรไว้แล้วเขามาทวง แต่ดิฉันจำไม่ได้แล้วว่าบนบานอะไรไว้บ้าง อ. แนะนำให้ ทำแก้บนรวมได้ แต่ต้องเสียค่าบูชา ๕๐๐๐ บาท ฟังๆดูแล้ว ทำแต่ละอย่าง อย่างละห้าพันบาท ทำไมทำพิธีดังกล่าวแพงจัง
    อยากทราบว่าใครพอรู้ สถานที่หรืออาจารย์ที่ทำพิธี ตัดกรรม เสริมดวง แก้ไขชื่อ ดูดวง ได้ มีมั้ยคะ? ที่ไม่แพงเท่านี้ค่ะและเชื่อถือได้ค่ะ ขอบคุณล่วงหน้าค่ะ
     
  2. lionking2512

    lionking2512 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,525
    ค่าพลัง:
    +7,632
    กรรมแก้ไม่ได้ คนเรามีกรรมเป็นแดนเกิด เป็นเผ่าพันธุ์ ใครทำกรรมใดๆไว้ เขาย่อมจักได้รับผลของกรรมนั้น เลิกเสาะหาผู้แก้กรรม แล้วหันมาปฏิบัติ ทาน ศีล ภาวนา จึงจะได้ชื่อว่าเป็นพุทธศาสนิกชนอย่างแท้จริง
     
  3. patiphat2499

    patiphat2499 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กุมภาพันธ์ 2013
    โพสต์:
    73
    ค่าพลัง:
    +183
    กรรมตัดไม่ได้ครับ มีแต่ทำดีหนีกรรมชั่ว เชื่อพ่อพระพุทธ พ่อพระธรรม พ่อพระสงฆ์เถิดครับ
     
  4. patiphat2499

    patiphat2499 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กุมภาพันธ์ 2013
    โพสต์:
    73
    ค่าพลัง:
    +183
    กรรมมุนี วตตีโลโก สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม
     
  5. เมธาวี1

    เมธาวี1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    692
    ค่าพลัง:
    +1,051
    ดู 10 คน ได้ 2 แสน *O*
     
  6. lovepyou

    lovepyou เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กันยายน 2008
    โพสต์:
    540
    ค่าพลัง:
    +974
    ที่แน่ ๆ คือคุณมีกรรมที่คุณจะต้องเสียหลายหมื่นแล้ว (ถ้าคุณเชื่อเขา)
    ซึ่งเป็นอะไรที่ชัดเจน เห็นผล ไม่ต้องรอเวลา คือคุณเสียเงินหลายหมื่นแน่นอน

    ถ้าอยากทำพิธี ตัดกรรม เสริมดวง แก้ไขชื่อ ดูดวง ที่ไม่แพง เดี๋ยวผมจะแนะนำให้


    การตัดกรรม
    1. บุคคลผู้วางซึ่งศาสตรา เครื่องประหัตประหาร ให้ชีวิตอื่นล่วงไป
    เท่ากับเป็นการให้ความปลอดภัย ชีวิตผู้อื่น
    2. บุคคลผู้พูดความจริง ไม่ให้คำหลอกลวง ไม่ให้การเท็จ
    เท่ากับเป็นการให้ความจริงแก่ผู้อื่น
    3. บุคคลผู้ไม่ขโมยของผู้อื่น หรือไม่นำของที่มีเจ้าของ มาเป็นของตัวเอง
    เท่ากับเป็นการให้ความปลอดภัยแก่ทรัพย์สินผู้อื่น
    4. บุคคลผู้ไม่ประพฤติผิดในจารีต ประเวณี ไม่เป็นชู้
    เท่ากับเป็นการให้พรหมจรรย์แก่ภรรยา หรือสามีคนอื่น

    บุคคลเมื่อละ กรรมกิเลส 4 ตัวนี้ได้แล้ว
    ย่อมไม่ทำบรรปกรรมโดยฐานะ 4 อย่าง คือ
    ไม่ทำข้อ 1-4 เพราะ ความรักหรือความชอบเป็นเหตุ
    ไม่ทำ 1-4 เพราะ ความโกรธหรือความเกลียดเป็นเหตุ
    ไม่ทำข้อ 1-4 เพราะความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ หรือความไม่รู้เป็นเหตุ
    ไม่ทำข้อ 1-4 เพราะความกลัวเป็นเหตุ

    "ผู้ใดประพฤติล่วงธรรม เพราะความรัก ความชัง ความกลัว ความหลง
    ยศของผู้นั้นย่อมเสื่อม ดังดวงจันทร์ในข้างแรม"
    "ผู้ใดไม่ประพฤติล่วงธรรม เพราะคสามรัก ความชัง ความกลัว ความหลง
    ยศย่อมเจริญในผู้นั้น ดุจดวงจันทร์ ในข้างขึ้น ฯ"

    หากคุณอยากให้ยศของคุณเจริญ ก็ให้ประพฤติตามนี้ อันเป็นคำที่พระพุทธเจ้าตรัสโดยตรง

    เมื่อทำ 4 ข้อนี้ได้แล้ว อยากเจริญยิ่งขึ้น ก็ให้ทำดังต่อไปนี้
    "ไม่เสพทางเสื่อมโภคะทั้ง 6"
    ทางเสื่อมโภคะ คืออะไร?
    ทางเสื่อมโภคะ ก็คือทางที่จะทำให้เราเสื่อมทรัพย์ นั้นเอง
    มีอะไรบ้าง
    1. การประกอบเนื่อง ๆ ด้วยการดื่มสุรา เมรัย อันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท
    2. การประกอบเนื่อง ๆ ด้วยการเที่ยวไปในตรอกต่าง ๆ ในกลางคืน
    3. การประกอบเนื่อง ๆ ด้วยการเที่ยวดูมหรสพ (คอนเสิรต์ การละเล่น เวทีโชว บันเทิงทั้งหลาย)
    4. การประกอบเนื่อง ๆ ด้วยการเล่นการพนัน
    5. การประกอบเนื่อง ๆ ด้วยการคบคนชั่วเป็นมิตร
    6. การประกอบเนื่อง ๆ ด้วยความเกียจคร้าน

    "ดูก่อนคฤหบดีบุตร โทษในการประกอบเนื่อง ๆ ซึ่งการดื่มน้ำเมาและสุราเมรัย
    อันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท 6 ประการนี้ คือ
    1. ความเสื่อมทรัพย์ อันผู้ดื่มพึงเห็นเอง
    2. ก่อการทะเลาะวิวาท
    3. เป็นบ่อเกิดแห่งโรค
    4. เป็นเหตุเสียชื่อเสียง
    5. เป็นเหตุไม่รู้จักละอาย
    6. เป็นเหตุทอนกำลังปัญญา
    ดูก่อน คฤหบดีบุตร โทษ 6 ประการในการประกอบเนื่อง ๆ ซึ่งการดื่มน้ำเมา คือ
    สุราและเมรัย อันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาทเหล่านี้แล ฯ"

    โทษของการเที่ยวไปตรอกต่าง ๆ ในกลางคืน มี 6 ประการ คือผู้นั้นชื่อว่า
    1. ไม่คุ้มครอง ไม่รักษาตัว
    2. ไม่คุ้มครอง บุตร ภรรยา (หรือคนที่เรารัก)
    3. ไม่คุ้มครอง ไม่รักษาทรัพย์สมบัติ
    4. เป็นที่ระแวงของคนอื่น
    5. คำพูดอันไม่เป็นจริงในที่นั้น ๆ ย่อมปรากฎแก่ผู้นั้น
    6. เป็นเหตุแห่งทุกข์เป็นอันมาก แวดล้อม

    โทษของการเที่ยวดูมหรสพ คือ (ปรับเอาตามยุคปัจจุบันละกัน)
    1. รำที่ไหน ไปที่นั้น
    2. ขับร้องที่ไหน ไปที่นั้น
    3. ประโคมที่ไหน ไปที่นั้น
    4. เสภาที่ไหน ไปที่นั้น
    5. เพลงที่ไหน ไปที่นั้น
    6. เถิดเถิงที่ไหน ไปที่นั้น

    โทษในการประกอบเนื่อง ๆ ซึ่งการพนันอันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท คือ
    1. ผู้ชนะย่อมก่อเวร
    2. ผู้แพ้ย่อมเสียดายทรัพย์ที่เสียไป
    3. ความเสื่อมทรัพย์ในปัจจุบัน
    4. ถ้อยคำของคนเล่นการพนัน พูดในที่ประชุมไม่ขึ้น (ไม่มีใครเชื่อ)
    5. ถูกมิตรอมาตย์หมิ่นประมาท
    6. ไม่มีใครประสงค์จะแต่งงานด้วย เพราะเห็นวาาคนเล่นพนันไม่สามารถจะเลี้ยงครอบครัว

    โทษในการประกอบเนื่อง ๆ ซึ่งการคบคนชั่วเป็นมิตร คือ
    1. นำให้เป็นนักเลงการพนัน
    2. นำให้เป็นนักเลงเจ้าชู้
    3. นำให้เป็นนักเลงเหล้า
    4. นำให้เป็นคนลวงผู้อื่นด้วยของปลอม
    5. นำให้เป็นคนโกง เขาซึ่งหน้า
    6. นำให้เป็นคนหัวไม้ (นิสัยไม่ดี เห็นแก่ตัว หยาบกระด้าง ฯลฯ)

    โทษประกอบเนื่อง ๆ ซึ่งความเกียจคร้าน คือ
    1. อ้างว่าหนาวนัก ไม่ทำงาน
    2. อ้างว่าร้อนนัก ไม่ทำงาน
    3. อ้างว่าเย็นแล้ว ไม่ทำงาน
    4. อ้างว่าเช้าอยู่ ไม่ทำงาน
    5. อ้างว่าหิวนัก ไม่ทำงาน
    6. อ้างว่ากระหายนัก ไม่ทำงาน
    เมื่อเขามากไปด้วยการอ้างผลัดเพี้ยนการงาน อยู่อย่างนี้
    โภคะที่ยังไม่เกิดก็ไม่เกิด โภคะที่เกิดแล้วก็ถึงความสิ้นไป.

    นี้คือโทษในการเสพโภคะทั้ง 6 ประการ

    ดูเถิด คุณ someone needs love หากคุณทำได้ตามนี้ ไม่มากไม่น้อย
    เท่ากับเป็นการหยุดทำกรรมชั่ว ที่จะมีผลในอนาคต อันเป็นเหตุให้คุณทุกข์ร้อน
    ไม่มีกรรมชั่ว จึงไม่ต้องแก้กรรม
    เมื่อไม่ต้องแก้กรรม ก็ไม่ต้องเสียทรัพย์

    ก็การทำพิธีคืออะไร?
    การที่คุณ someone needs love ปฏิบัติเอง
    จึงเรียกว่าเป็นการทำพิธีด้วยตัวเอง

    การตัดกรรม คืออะไร?
    การที่คุณ someone needs love ไม่ทำกรรมกิเลส 4 และบาปกรรมโดยฐานะ 4
    จึงเรียกว่าเป็นการตัดกรรม

    การเสริมดวง คืออะไร?
    การที่คุณ someone needs love ไม่เสพทางเสื่อมโภคะทั้ง 6
    จึงเรียกว่าเป็นการเสริมดวง

    การแก้ไขชื่อ คืออะไร?
    การที่คุณ someone needs love ทำทั้งหมดนี้
    จึงเรียกว่าเป็นการแก้ไขชื่อ (คือยกเครื่องพฤติกรรมเก่าท้ิง และปฏิบัติใหม่ จึงเหมือนเกิดเป็นคนใหม่)

    การดูดวงที่ไม่แพง คืออะไร?
    ดูเถิด คุณ someone needs love
    เราเรียกข้อปฏิบัติทั้งหมดที่ว่ามานี้ เป็นการทำพิธี ตัดกรรม เสริมดวง แก้ไขชื่อ
    ดูดวงที่ไม่แพง ก็เพราะเหตุอะไร?
    ก็เพราะ ข้อปฏิบัติเหล่านี้ เป็นข้อปฏิบัติที่ที่ปฏิบัติได้โดยไม่ใช้ทรัพย์ เมื่อไม่ต้องใช้ทรัพย์
    ก็เท่ากับคุณ someone needs love ได้รักษาทรัพย์ของตนเอง
    เราจึงเรียก ข้อปฏิบัติเหล่านี้ เป็นการทำพิธี ตัดกรรม เสริมดวง แก้ไขชื่อ ดูดวงที่ไม่แพง
    ด้วยเหตุเช่นนี้.

    สิงคลกสูตร.
     
  7. patiphat2499

    patiphat2499 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กุมภาพันธ์ 2013
    โพสต์:
    73
    ค่าพลัง:
    +183
    ตามี2ตา เห็นข้างหนึ่งอีกข้างหนึ่งเอาไว้ชะก่อน หูมี2หูฟังข้างหนึ่ง อีกข้างหนึ่ง เอาไว้ชะก่อน อย่าไปเชื่อหยั่งง่ายๆเด้อ ธรรมหลวงปู่...
     
  8. tsukino2012

    tsukino2012 หยุดจึงพบ สงบจึงเกิด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    1,311
    ค่าพลัง:
    +3,090
    เงินอาจจะซื้อหลายๆสิ่งได้ แต่เงินนั้นซื้อกฏแห่งกรรมไม่ได้หรอกครับ
    กรรมเกิดจากการกระทำ อยากแก้กรรมต้องแก้ที่การกระทำ
    อดีตผ่านมาแล้วย้อนไปไม่ได้ฉันใด กรรมเก่าที่ทำแล้วก็ย้อนไปแก้ไม่ได้ฉันนั้น
    แต่กรรมปัจจุบันเท่านั้นที่เราจะเลือกกระทำ เลือกแก้ไขได้
    กรรมปัจจุบันลิขิตด้วยกรรมในอดีต

    แต่กรรมในอนาคตลิขิตที่ปัจจุบัน!!
     
  9. markdee

    markdee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    745
    ค่าพลัง:
    +1,911
    แนะนำค่ะ..ไม่ต้องไปที่ไหนอีกเลย..กรรมแก้ไม่ได้ ตัดไม่ได้ อย่าหลงเชื่อหมอดูพวกนี้เลยค่ะเสียเงินเปล่าๆปลี้ๆไม่มีประโยชน์และก็ช่วยอะไรไม่ได้จริงๆมีแต่จะหลอกเอาเงินเข้ากระเป๋าตัวหมอดูเองค่ะ..สิ่งที่ไม่ดีทั้งหลายที่เกิดขึ้นมันเกิดจากการกระทำของเราเอง..ลองมองย้อนกลับไปสิว่ากรรมแบบนี้เราเคยได้ทำไว้หรือเปล่า..?
     
  10. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,942
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    ถาม : การแก้กรรมมีจริงไหมคะ ?
    ตอบ : การแก้กรรมมีจริง แต่บุคคลที่แก้กรรมให้ต้องรู้จริง ๆ สามารถติดต่อเจ้ากรรมนายเวรได้จริง ถ้าเป็นอย่างนั้น เขาบอกให้ทำแบบไหนก็ทำแบบนั้นสิ่งนั้นก็จะพ้นไปได้

    อย่างเช่น บางคนเจ็บไข้ได้ป่วยด้วยกรรมอะไรบางอย่าง เขาต้องการทดแทนแบบไหน ก็ทำให้เขาไป อาการป่วยนั้นจะหายทันที ไม่ต้องรักษาอะไรก็ได้

    แต่อย่าลืมนะคนนั้นต้องรู้จริง ๆ ถ้ารู้ไม่จริงอาจจะลำบากหน่อย โดนเขาหลอกได้ง่าย

    สนทนากับพระอาจารย์เล็ก สุธมฺมปญฺโญ
    ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ เดือนเมษายน พุทธศักราช ๒๕๔๕

     
  11. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,942
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    เมื่อดวงตก กรรมเก่ามาสนอง <hr style="color:#998049; background-color:#998049" size="1"> ถาม : กรรมเก่าหลีกเลี่ยงไม่ได้หรือคะ ?
    ตอบ : หลีกได้ ถ้ากำลังใจของเรามั่นคงในทาน ศีล ภาวนา กรรมเก่าที่จะมาสนอง จะมาได้ไม่เกิน ๒๕ %

    คราวนี้คำว่า กรรมเก่า หรือที่เรียกว่า เคราะห์กรรม ชะตาตก หรือดวงตก อะไรพวกนั้น ถึงวาระ ถึงเวลาเขาก็จะเข้ามาสนอง

    ...สมัยนี้บรรดาหมอดูที่พอจะมีจรรยาบรรณหายาก ส่วนใหญ่จะหาผลประโยชน์ รู้จริงแล้วหาประโยชน์ ยังพอจะอภัย ไม่รู้อะไรเลย เอาแต่มั่วอย่างเดียว มันน่า..!

    ถาม : แล้วควรจะทำอย่างไร อยู่อย่างนี้รู้สึกกังวล ?
    ตอบ : ถ้าหากมีโอกาส ก็ถวายสังฆทาน ปล่อยชีวิตสัตว์ ทำบังสุกุลตาย บังสุกุลเป็น หรือไม่ก็จัดงานศพตัวเองไปเลย

    ทำอะไรก็ได้สักอย่างหนึ่ง จะเป็นการตัดเคราะห์ ตัดกรรมที่จะมาถึงเรา จะช่วยให้หนีห่างไปได้ชั่วคราว

    การทำบุญใหญ่อย่างนั้น เราก็ทำอยู่เรื่อย ๆ อยู่แล้ว เพราะฉะนั้น..เอาเป็นว่า ทำสังฆทานสักเดือนละครั้ง หรือไม่ถ้าเจอเขาทำบุญกันที่ไหน มีโอกาสก็ร่วมบุญกับเขาไป จะได้ไม่สิ้นเปลืองมาก ไม่หมดมาก

    แล้วถ้าไป ๆ มา ๆ ถึงจังหวะสุดท้าย เออ..หมดแล้ว ไม่มีปัญญาจะทำแล้ว ทรัพย์สินเงินทอง กำลังกาย กำลังใจ หมดเกลี้ยงเลย อย่างนั้นถ้าจะตายก็ตายไปเถอะ..! ...(หัวเราะ)...

    สนทนากับพระอาจารย์เล็ก สุธมฺมปญฺโญ
    ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ เดือนมิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๔๔
     
  12. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,942
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    ถาม : (ไม่มีเสียง)
    ตอบ : เรื่องของบุญกฐินหลวงพ่อเคยบอกเอาไว้ว่า ใครเป็นเจ้าภาพกฐินตั้งแต่ ๓ ปี ติดกันขึ้นไปให้สังเกตตัวเองไว้ ความเป็นอยู่จะคล่องตัวกว่าคนอื่นเขา อันนี้พิสูจน์มาแล้ว เพราะว่าจะเป็นเจ้าภาพกฐินทุก ๆ ปี ติดกันมาตั้งแต่ก่อนบวช จนกระทั่งบวชมาสิบกว่าปีแล้วรู้สึกว่าทำอะไรคล่องตัวดี
    ถาม : หมายถึงในปัจจุบันด้วยนะคะ ?
    ตอบ : จ้ะ ชาติปัจจุบันนี้เลย ความคล่องตัวมันจะเกิดขึ้นเอง ถ้าเราไม่มีความสามารถจะเป็นประธานกฐินเองก็ร่วมกับคนอื่นเขา จะปัจจัยหรือว่าเป็นสิ่งของก็ได้ อย่างพระพุทธเจ้าสมัยท่านเกิดเป็นมหาทุคคตะ เจ้านายจะทอดกระฐิน ท่านเองท่านอยากจะร่วมบุญด้วย มีแค่เข็มกับด้ายเท่านั้นเอง ร่วมในกฐินแล้วท่านตั้งความปรารถนาขอให้ท่านสำเร็จพระโพธิญาณในอนาคตด้วย อย่าคิดว่าทำแค่นั้นนะ ปรากฏว่าได้อย่างที่ต้องการ
    บุญกฐินเป็นบุญสังฆทานพิเศษ เหตุที่เรียกว่า เป็นสังฆทานพิเศษ เพราะจำกัดจำเขตที่ทำปีหนึ่งจะมีเวลาทำบุญกฐินได้แค่เดือนเดียว คือแรม ๑ ค่ำ เดือน ๑๑ จนถึงกลางเดือน ๑๒ วันลอยกระทง เพราะฉะนั้นบุญกฐินก็เลยถวายเป็นบุญพิเศษ เป็นสังฆทานที่มีอานิสงส์ใหญ่มาก
    หลวงพ่อท่านบอกว่าบุคคลที่ทำบุญกฐินถ้าเกิดใหม่จะเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ๕๐๐ ชาติ หมดบุญจากนั้นลงมาเป็นพระมหากษัตริย์ ๕๐๐ ชาติ เป็นมหาเศรษฐี ๕๐๐ ชาติ ได้ลงไปเรื่อย ๆ ยังไม่ทันจะหมดบุญจากกฐินเข้านิพพานกันหมดแล้ว เพราะฉะนั้นถ้ามีโอกาสก็ทำถ้าไม่มีโอกาสก็รวมกันหลาย ๆ คน ไม่จำเป็นต้องมาก บุญกฐินสำคัญที่สุดตรงผ้าไตร ถ้าเรามีน้อยสบงผืนหนึ่งก็ได้ มีมากหน่อยก็จีวรสักผืนหนึ่งถ้าหากว่ามีครบไตรได้ก็ดี ถ้ามีมากกว่านั้นพระเขามีกี่องค์ถวายให้ครบองค์เป็นมหากฐิน
    เพราะฉะนั้นกฐินสำคัญตรงผ้าไตร กว้างคืบยาวคืบพระท่านเรียกว่าผ้าไตรแล้ว ผ้าสบงมันเกินคืบแน่ ๆ ก็คือจีวรในพระพุทธศาสนาดังนั้น ผู้ที่ถวายจีวรในพระพุทธศาสนาถ้าเป็นผู้หญิงเกิดใหม่จะมีเครื่องมหาลดา ปสาธน์แบบนางวิสาขามหาอุบาสิกา เครื่องมหาลดาปสาธน์นี่เป็นเสื้อคลุมทั้งตัว ที่มีมงกุฏเป็นรูปนกยูงรำแพน หางลงมาข้างล่างต่อลงมาเป็นเสื้อคลุมทั้งตัว ท่านใช้คำว่า ร้อยด้วยแก้วมณี เฉพาะแก้วก็คือเพชร แก้วมณีคือเพชร เฉพาะเพชรอย่างเดียว ๑๖ ทะนาน บุญไม่ดีจริงคอหักตายไปเลย ถ้าเป็นผู้ชาย ถ้าได้บวชกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพอท่านตรัสเอหิภิกขุจะมีจีวร สำเร็จด้วยฤทธิ์ลอยมาสวมตัวให้เลย ได้ทั้งหญิงได้ทั้งผู้ชาย เกิดเป็นผู้หญิงก็ได้บุญอันนี้ เกิดเป็นผู้ชายก็ได้บุญอันนี้
    เพราะฉะนั้นการถวายจีวรในพระพุทธศาสนาจะมีกุศลขนาดนี้ แล้วถ้ายิ่งเป็นจีวรในช่วงกฐินด้วย กฐินสมัยก่อนผ้ามีน้อย ส่วนใหญ่ท่านจะคัดเลือกบุคคล คือ ภิกษุที่มีผ้าเก่าที่สุดเพื่อที่จะมอบผ้าใหม่ผืนนั้นให้กับท่านไป
    แต่ว่าในปัจจุบันนี้ ส่วนใหญ่ผ้าจะได้มากอย่างวัดท่าซุงสมัยก่อน หลวงพ่อท่านถวายองค์ละไตรเลย อย่างของอาตมาที่นิมนต์เขามาทุกวัดก็ถวายครบทุกองค์ เพราะฉะนั้นแต่ละปี ๆ จะสั่งผ้าไตรจีวรจากร้านประจำ สั่งกันมาทีหนึ่งหลายลัง ทางด้านร้านประจำเขาจะมาส่งจีวรถึงที่แล้วคิดราคาเดิมทุกปีไม่มีขึ้น เขาถือว่าเป็นลูกค้าประจำ ปีที่แล้วก็สั่งไป ๕๐ ชุด

    สนทนากับพระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
    ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ เดือนเมษายน ๒๕๔๔

    ttp://www.indraphong.com/discuz/forum.php?mod=viewthread&tid=888
     
  13. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,942
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    ***คาถาเงินล้าน**

    ตั้งนโม 3 จบ

    สัมปะจิตฉามิ นาสังสิโม
    พรหมา จะ มหาเทวา สัพเพยักขา ปะรายันติ(คาถาปัดอุปสรรค)
    พรหมา จะ มหาเทวา อภิลาภา ภะวันตุ เม(คาถาเงินแสน)
    มหาปุญโญ มหาลาโภ ภะวันตุ เม(คาถาลาภไม่ขาดสาย)
    มิเตพาหุหะติ(คาถาเงินล้าน)
    พุทธะมะอะอุ นะโมพุทธายะ วิระทะโย วิระโคนายัง
    วิระหิงสา วิระทาสี วิระทาสา วิระอิตถิโย พุทธัสสะ
    มานีมามะ พุทธัสสะ สวาโหม(คาถาพระปัจเจกพุทธเจ้า)
    สัมปะติจฉามิ(คาถาเร่งลาภให้ได้เร็วขึ้น)
    เพ็งๆพาๆหาๆฤาๆ

    (บูชากี่จบก็ได้ ตัวคาถาต้อว่าทั้งหมด ข้อความอธิบายในวงเล็บไม่ต้องสวด)
    (พรหมา-อ่านว่า พรม-มา)
    (สวาโหม-อ่านว่า สะ-หวา-โหม)

    พระราชพรหมยาน(หลวงพ่อฤาษีลิงดำ)
    วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี

    คำอธิบาย-

    หลวงพ่อได้คาถาบทเหล่านี้โดยตรงจากองค์สมเด็จฯ(องค์ปฐม)ตั้งแต่ปี 2517 เป็นเวลา 4 ปี จึงจะได้ครบถ้วน ท่านบอกว่า คาถาที่ได้จากกรรมฐาน เขาจะไม่บอกใคร เมื่อวันที่ 31 ธันวาคม 2527 เวลา 23.59 น. องค์สมเด็จฯ ได้อนุญาตให้ลูกหลาน และพุทธบริษัทใช้ได้เป็นสาธารณะ เพื่อช่วยบรรเทาสภาวะเศรษฐกิจที่ย่ำแย่ อีกทั้งการก่อสร้างของวัดท่าซุง จะต้องเร่งรัดให้เสร็จทันฉลองวัดในปี 2532 จึงจำเป็นที่จะต้องใช้คาถาเหล่านี้ช่วย เพื่อพุทธบริษัท และลูกหลานของหลวงพ่อ มีความคล่องตัวยิ่งขึ้น
    คาถา"นาสังสิโม" หลวงพ่อให้ท่องเพิ่มเติมเมื่อปี 2532

    คาถา"เพ็งๆพาๆหาๆฤาๆ" พระปัจเจกพุทธเจ้ามาบอกหลวงพ่อ เมื่อ พฤศจิกายน 2533 เป็นภาษาโบราณ แต่เทียบกับภาษาไทยอ่านได้อย่างนี้ เป็น"คาถามหาลาภ" มีผลยิ่งใหญ่มาก......

    วิธีภาวนาคาถาเงินล้านให้บังเกิดผลวิธีที่ 1

    ถาม : ตอนนี้ผมเจอปัญหาอยู่ ผมไปที่วัดท่าซุงและตั้งจิตที่จะปฏิบัติยึดตามคำสอนของหลวงพ่อ ผมฟังธรรมะท่าน ฟังเอ็มพีสาม ตั้งจิตไว้ว่าขอนิพพานในชาตินี้ ผมมานั่งคุยกับเพื่อน เขาบอกว่าเกิดจากการที่เราตั้งจิตขอให้จบในชาตินี้ วิบากกรรมที่ได้รับกลับมา ในทางธรรมผมเห็นความเปลี่ยนแปลงระดับหนึ่งซึ่งผมตั้งใจไป แต่ทางโลกมันเกิดปัญหาในเรื่องการงาน ที่เคยตั้งใจหวังไว้หลายอย่างถูกทำให้เลื่อนออกไป ห่างออกไป เลยขอความเมตตาจากท่าน

    ตอบ : ไปเอา คาถาเงินล้านของหลวงพ่อวัดท่าซุง มาภาวนา สักเช้าชั่วโมงเย็นชั่วโมง ถ้าทำได้ต่อเนื่องกันสองเดือน ทุกอย่างจะคล่องตัวเอง เพราะในคาถาเงินล้านมีอยู่บทหนึ่งที่ใช้แก้ไขอุปสรรคโดยเฉพาะ ส่วนบทอื่นจะเสริมความคล่องตัวเรื่องการงานและการเงิน เราใช้เป็นคำภาวนาไปเลย ปกติเราจะภาวนาอย่างไรก็ช่าง แต่คาถาเงินล้านให้ภาวนาเช้าสักชั่วโมงเย็นชั่วโมง ภาวนาจับลมหายใจเข้าออกเหมือนกับที่เราภาวนาคาถาอื่น ไม่ใช่ท่องสักแต่ว่าให้จบ ภาวนาหายใจออกนึกตามไป หายใจเข้านึกตามไป ให้ใจอยู่เฉพาะหน้า ถ้าทำอย่างนี้ได้ต่อเนื่องสองเดือนก็จะเห็นผล ถึงเวลาก็อย่าบ่นแล้วกัน ถ้าอะไรไหลมาเทมาจนเยอะเกินกำลังของเรา

    ถาม : สิ่งที่เข้ามาอาจจะหนักสำหรับเรา

    ตอบ : แล้วคุณจะไปกลัวทำไม ?

    ถาม : เรื่องสังขารร่างกายผมไม่มีปัญหา ผมไม่กลัว แต่..

    ตอบ : คุณไม่ต้องไปใส่ใจ การที่เราตัดการเวียนตายเวียนเกิดนับชาติไม่ถ้วนลงไปได้ โดยการใช้ชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในแค่ชั่วอายุไม่กี่ปีของเรานี้ ดีกว่าการเกิดมาทุกข์อีกนับกัปไม่ถ้วน แล้วทำไมเราจะอยู่กับโลกนี้โดยดีไม่ได้แทนที่จะรู้สึกกลัว ควรจะรู้สึกบันเทิงเริงใจมากกว่า ถ้าเขายิ่งทวงมากเท่าไร เราก็ไปได้เร็วเท่านั้น

    ถาม : พระคำข้าว หลวงพ่อเคยบอกว่า..?

    ตอบ : ไม่ต้องเสียเวลาหรอก ถ้าคุณไปภาวนาคาถาเงินล้านภายในสองเดือนก็รู้เรื่องแล้ว

    ถาม : ภาวนาเช้าชั่วโมงเย็นชั่วโมง โดยประมาณใช่ไหมครับ ?

    ตอบ : ใช่..เรื่องของเรายังไม่หนักหนาสาหัสหรอก เรื่องของพระคำข้าวที่ท่านให้ขอพรได้ อาตมาไม่ได้ยินจากปากของหลวงพ่อเอง

    แต่เขาบอกต่อๆ กันมา แล้วมาเข้าหู อะไรที่ไม่ได้ยินมาจะไม่กล้ายืนยัน

    ถาม : เห็นเขาอ้างว่าท่านบอก

    ตอบ : อาตมาเพียงแต่บอกให้ทราบว่า ได้ยินมาอย่างนี้ แต่ไม่ได้ฟังจากปากหลวงพ่อเอง

    ถาม : เขาบอกว่าถ้าไม่สุดๆ เต็มที่ จนเลือดตากระเด็น อย่าไปทำเลย

    ตอบ : อาตมาเองก็ไม่เคยคิดที่จะทำด้วย เพราะว่าการที่เราใช้อะไรบางอย่างมากจนเกินไป ถึงเวลาเขาทวงคืนก็โดนมากเหมือนกัน

    ถาม : เหมือนกับเราติดหนี้มากขึ้นใช่ไหมครับ ?

    ตอบ : ใช่..เพราะฉะนั้นไม่จำเป็นอย่าไปทำ ใช้ความสามารถของเราเองนี่แหละ ถ้าคุณภาวนาคาถาเงินล้านให้อารมณ์ทรงตัวเช้าชั่วโมงเย็นชั่วโมง ภายในสองเดือนต้องเห็นผลแน่นอน ขอยืนยันทุกวันนี้อาตมาทำอะไรง่าย จนคนเขาอิจฉากันหมดแล้ว เพราะจริงๆ ก็คือ คาถาบทเดียวนี่แหละ ขอให้เราทำจริงเท่านั้น ทุกอย่างสะดวกแน่

    สนทนากับพระครูธรรมธรเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
    เก็บตกบ้านอนุสาวรีย์ ต้นเดือนมีนาคม ๒๕๕๔


    วิธีภาวนาคาถาเงินล้านให้บังเกิดผลวิธีที่ 2

    ถาม : เรื่องลดค่าเงินบาท ?

    ตอบ: ไม่ต้องถามจ้ะ เอาคาถาเงินล้านไปตั้งใจท่องอย่างจริงๆ จังๆ มันฟื้นเร็ว

    ถาม : ท่องวันละ ๙ จบ ?

    ตอบ: รู้มั้ย ? อาตมาเคยท่องวันละ ๑,๒๐๐ จบ จำไว้ว่าถ้าอยากรวยทำแค่นั้นนะเหรอ ? เยอะๆ หน่อย ๓๐๐,๕๐๐ จบไปเลยก็ได้ ท่องไปเลย ๓ วัน ๓ คืนก็ได้ คาถาเงินล้านมีเคล็ดลับอยู่ตรงที่ว่าอย่าทำเพราะอยากได้ให้ทำ เพราะว่าเป็นของดีที่สุดครูบาอาจารย์ให้ไว้ หน้าที่ของเราก็คือรักษาสมบัติครูบาอาจารย์ด้วยการท่องบ่นภาวนาเป็นปกติ อีกข้อหนึ่ง อย่าทำเพราะอยาก ว่าไปเยอะๆ อาตมาเริ่มต้นขึ้นมา ๓๐ ต่อไป ก็ ๓๐๐ มีแต่มากขึ้น ไม่มีน้อยลง ปัจจุบันนี้นึกได้เมื่อไรว่าเมื่อนั้น

    ถาม : จะดีขึ้นมั้ยครับ ?

    ตอบ: ถ้าหากว่าเอาคาถาเงินล้านไปทำ ทุกอย่างมันจะดี เพราะคาถานี้เป็นเรื่องของลาภผลโดยตรง แล้วห้ามบ่นว่าเหนื่อย ถ้าหากว่าเกี่ยวกับเรื่องการงานมันมาชนิดทำกันตายไปข้างหนึ่งเลย

    ถาม : หนักไปทางสวดมนต์

    ตอบ: อันไหนก็ได้ ขอให้เป็นการทำความดีเท่านั้น ในเมื่อเราสวดมนต์เก่ง ก็สวดคาถาเงินล้านแทนไปเลย

    ถาม : ๙ จบน้อยไป ?

    ตอบ: น้อยไป น้อยมาก อาตมาเองเล่นทีหลายๆ ร้อยจบมาหลายปีแล้ว มีอยู่ ๓ ปีเต็มๆ ที่ภาวนาคาถาเงินล้านวันละ ๓๐๐ จบเป็นอย่างน้อย ภาวนาไป ชักลูกประคำไปจน ๒ ข้างด้านเป็นเม็ดเบ้อเร่อเลย ลูกประคำเส้นนั้น โดนเขาปล้นไปแล้ว เพราะว่าชักมันจนเป็นแก้วไปเลย คิดดูแล้วกัน มือถูกับไม้จนกระทั่งไม้ใสเป็นแก้วไปเลย เป็นยังไงล่ะ ? ถ้าไม่ทำจริงๆ ขนาดนั้นไปไม่รอดหรอก

    ทำเพราะว่าอาตมาเชื่อครูบาอาจารย์ ท่านบอกว่าอะไรก็เป็นอย่างนั้น ตลอดเวลาที่เริ่มต้น ตั้งแต่รู้จักศึกษาวิชาการที่สอนให้ ทุกอย่างเป็นไปตามนั้นหมด ในเมื่อท่านบอกว่าคาถาเงินล้านทำแล้วรวย

    สมัยหลวงปู่ปาน ก็มีนายประยงค์ ตั้งตรงจิตร เจ้าของห้างขายยาตราใบโพธิ์ ท่านทำแล้วรวยเป็นหลักเป็นฐาน มาถึงรุ่นหลวงพ่อ ไม่มีใครทำจริงๆ อาตมาก็เลย...กูทำเองก็ได้ อาตมาใช้เวลาสร้างศูนย์ปฏิบัติธรรมเกาะพระฤๅษี เวลา ๑๓ เดือน สร้างครบถ้วนสมบูรณ์ทุกอย่างจากพื้นดินเปล่าๆ ปัจจุบันนี้ทำที ๔-๕ วัดพร้อมๆ กันโดยไม่กลัวไม่มีสตางค์ เพราะว่าคาถาบทนี้บทเดียว ไปทำเถอะ

    ถาม : งานขาดทุน สับสน?

    ตอบ: ไม่ต้องสับสนอะไรทั้งนั้น ถ้าเรามาถึงจุดนี้แล้ว โยมมีสมเด็จคำข้าวหรือสมเด็จหางหมาก สมัยหลวงพ่อไหม ? ถ้าหากว่าไม่มีไปหามาแล้วใช้ควบคาถาเงินล้าน ทุกอย่างจะคล่องหมด ขอให้ทำจริงๆ เท่านั้น ทุกอย่างจะคล่องตัวหมด

    เคยภาวนาแล้วอยากจะรู้ว่า ในแต่ละวัน ถ้าเราตั้งหน้าตั้งตาภาวนาคาถาเงินล้าน ภาวนาช้าๆ สติจับตามอยู่ตลอดทุกคำ ประเภทที่เรียกว่าเน้นคุณภาพ ไม่เน้นปริมาณ จะดูว่าได้เท่าไร ปรากฏว่าตั้งแต่ตี ๓ ยัน ๑ ทุ่มของแต่ละวัน จะได้ประมาณ ๑,๒๐๐ จบ จะมีเวลาหยุดกินข้าว ตีซะว่า ๒ มื้อ ๑ ชั่วโมงแล้วกัน ตี ๓ ถึง ๑ ทุ่มทำอยู่ทุกวัน ทำอยู่ประมาณ ๓ เดือนเต็มๆ ทำจนกระทั่งคำนวณได้ว่าแต่ละวันจะได้ประมาณ แต่ถ้าท่องเร่งๆ ได้เยอะกว่านั้นเยอะ แต่นี่ประเภทเอาคุณภาพกันเลย ทำให้มันจริงๆ ซะที อาตมาเอาต้นทุน ๓๐๐ นี่ล่อซะ ๓ ปีเต็มๆ เสร็จแล้ว ๑,๒๐๐ จบนี่เล่นอยู่ประมาณ ๓ เดือน แล้วหลังจากนั้นมาเปลี่ยนเป็นนึกได้เมื่อไรก็ว่าเมื่อนั้น ไอ้เรื่องนับจบเลิกนับแล้ว


    สนทนากับพระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
    เดือนธันวาคม ๒๕๔๕(ต่อ)
    ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ

    ttp://thammapontook.blogspot.com/2012/09/blog-post_15.html
     
  14. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,942
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    ประสบการณ์ของผู้ที่ปฏิบัติตามคำแนะนำของหลวงพ่อที่ได้รับผลในปัจจุบันนี้

    ผู้ถาม : "หลวงพ่อครับ ผมก็คิดเรื่องการเรื่องงานเป็นประจำเลยครับ ทีนี้อยากถามว่ากรรมฐานบทไหนที่ทำให้ค้าขายดีครับ..?"

    หลวงพ่อ : "อ๋อ... ก็บทค้าขายราคาถูกซิ เขาขายหนึ่งบาท เราขายห้าสิบสตางค์ รับรองพรึบเดียวหมด บทนี้ดีมาก เพราะเมตตาบารมีไงล่ะ"

    ผู้ถาม : "โอ้โฮ.. ตรงเปี๊ยบเลยหลวงพ่อ.."

    หลวงพ่อ : "ยังมีอีกนะ ถ้าบทที่สองดีกว่านี้อีก จาคานุสสติ แจกดะเลย"

    ผู้ถาม : ( หัวเราะ ) "โอ...บทนี้น่ากลัวจนแย่เลย"

    หลวงพ่อ : "ไอ้เรื่องค้าขายดีมีคาถาตกอยู่บทหนึ่ง"

    ผู้ถาม : "เดี๋ยวผมขอจดก่อนครับ"

    หลวงพ่อ : "ไม่ต้องจดหรอก คาถามหาโต๊ะ มหาโต๊ะนี่สมัยนั้นบวชด้วยกัน มีโยมคนหนึ่งแกหาบข้าวแกงมาขาย หาบไปตั้งแต่เช้ากลับมาบ่าย มันก็ไม่หมด

    วันหนึ่งมหาโต๊ะยืนล้างหน้าอยู่ที่หน้าต่างแกก็บอก

    "ท่านมหา มีคาถาอะไรดี ๆ ทำน้ำมนต์ให้ทีเถอะจะได้ขายหมดเร็ว ๆ "

    มหาโต๊ะแกไม่ใช่นักคาถาอาคมกะเขานี่ ก็นึกไม่ออก แต่ไอ้นี่น่าจะดีว่ะ "อนัตตา" แกนึกในใจนะ แกไม่ได้บอก แกก็เอาน้ำล้างหน้าพรม ๆ ยายนั่นแกก็กลับไป พอสาย ๆ แกก็กลับ ปรากฏว่าหมด"

    ผู้ถาม : "อะไรหมดครับ...?"

    หลวงพ่อ : "ของหมด ข้าวแกงหมด แต่หม้อยังอยู่ หาบยังอยู่และคนหาบก็ยังอยู่ แหม..นี่ต้องให้อธิบายให้ละเอียดเลยนะ"

    ผู้ถาม : ( หัวเราะ )"คือสงสัยครับ"

    หลวงพ่อ : "ก็เป็นอันว่าวันต่อมา โยมคนนั้นแกก็มาหาเรื่อย ๆ แกก็สังเกตมหาโต๊ะ ในที่สุดมหาโต๊ะต้องทำน้ำมนต์ด้วยคาถาบทนี้เอาไว้ที่บูชา แกก็ไปขายหมดทุกวัน ก็แปลกเหมือนกันเพราะจิตตรงใช่ไหม .. อนัตตา นี่เขาแปลว่าสลายตัวไงล่ะ"

    ผู้ถาม : "ลูกหลานเอาไปใช้ได้ไหมครับหลวงพ่อ..?"

    หลวงพ่อ : "ปู่ย่าตายายก็ใช้ได้"

    ผู้ถาม : ( หัวเราะ )"แล้ว คาถาพระปัจเจกพุทธเจ้า ใช้ได้ไหมครับ...?"

    หลวงพ่อ : "ความจริงคาถาพระปัจเจกพุทธเจ้าของเขาก็ดี เขาขายของแล้วก็พรมตั้งแต่ตอนเช้า ถ้าตั้งร้านก็พรมหน้าร้านตั้งแต่เช้าตรู่ ตอนล้างหน้านั่นแหล่ะ ทำตอนนั้น เอาน้ำ ล้างเสกด้วยคาถาพระปัจเจกพุทธเจ้า เสกแล้วพอล้างหน้าเสร็จก็พรม ตอนพรมก็ว่าไปด้วยนะ"

    ผู้ถาม : "บางคนก็บอกว่า ถ้าว่าคาถา มหาปุญโญ มหาลาโภ ภวันตุ เมฯ ก็จะมีลาภมาก..?"

    หลวงพ่อ : "มหาปุญโญ เป็นคาถาเสกพระวัดพนัญเชิง เจ้าอาวาสวัดนั้นรูปร่างผอมดำ นั่งเสกด้วยคาถาบทนี้ ๓ ปี ฉะนั้นวัดนั้นจึงมีลาภมาก แล้วต่อมาสมเด็จหรือใครก็ไม่ทราบ ถามว่าเสกด้วยคาถาอะไร ท่านบอกว่า เสกด้วยคาถา มหาปุญโญ มหาลาโภ ภวันตุ เมฯ แล้วท่านก็บอกให้ต่อด้วยคาถาพระปัจเจกพุทธเจ้า มีอยู่รายหนึ่งชื่อ นายแจ่ม เปาเล้ง บ้านอยู่อำเภอดำเนินสะดวก แกเป็นคนจน ทำสวนอยู่ที่บางช้าง ปลูกพริกขายเป็นอาชีพ เพราะอาศัยความจนของแก จึงได้เป็นหนี้เป็นสินเขาอยู่ตั้ง ๒ หมื่น ( นี่พูดถึงเงินในสมัยนั้นนะ เดี๋ยวนี้เป็นเงินเท่าไรก็คิดกันดู ) ตาแจ่มจึงมาขอเรียนคาถาพระปัจเจกโพธิ์ เมื่อได้ไปแล้ว วัน ๆ ไม่ได้ทำอะไรนอกจากท่องแต่คาถาอย่างเดียว นั่งทำอยู่ทั้งวันทั้งคืน
    ข้างฝ่ายลูกเมียของตาแจ่มก็ดีแสนดี ไม่ยอมให้แกทำอะไรเหมือนกัน นอกจากท่องคาถา

    "คาถาบทนี้ เขาทำแล้วรวยนี่ ต้องให้มันรวยให้ได้" ลูกเมียแกว่าอย่างนั้น

    ตาแจ่มแกคิดจะเอาอย่าง นายประยงค์ ตั้งตรงจิตร นั่นแหล่ะ? ทีนี้ พอพริกออกดอกออกผลขึ้นมาจริง ๆ ตาแจ่มก็คิดจะขายพริกละ ไอ้พริกของคนอื่นนะ งามสะพรั่งมีพริกเยอะแยะ มองดูหนาทึบ ไปหมด ส่วนพริกของตาแจ่มพิเศษกว่าเขา มียอดหงุก ๆ หงิก ๆ เม็ดก็บางตา มองดูโปร่ง ๆ ดูท่าทางแล้วเห็นจะขายได้ไม่กี่สตางค์

    อีตอนเก็บนี่ซิ คนอื่นเก็บพริกได้กองใหญ่เท่าไร ตาแจ่มก็เก็บได้กองโตเท่านั้น เห็นพริกบาง ๆ ยอดหงุกหงิก ๆ นั่นแหล่ะ เขาเก็บได้เท่าไร ตาแจ่มก็เก็บได้เท่านั้น มาถึงตอนขาย เจ๊กชั่งของคนอื่นได้ ๑ หาบ พอมาของตาแจ่มกลับเป็น ๒ หาบ ทั้ง ๆ ที่กองก็โตเท่ากัน เจ๊กหาว่าตาแจ่มโกง คิดว่าเอาทราบใส่เข้าไปในกองพริกเป็นการถ่วงน้ำหนักเลยเอะอะโวยวายใหญ่ ปรากฏว่าเม็ดดินเม็ดทรายที่เจ๊กว่า นั้นหาไม่ได้เลย เล่นเอาเจ๊กแปลกใจ แต่ก็ต้องซื้อไปตามนั้น



    พริกของคนอื่นเขาเก็บกัน ๒ - ๓ ครั้ง ก็หมดแล้วครั้งแรกมาก ครั้งที่สองได้มากหน่อย พอครั้งที่สาม เก็บได้อีกเพียงเล็กน้อยเป็นอันว่าหมดกัน ต้องถอนต้นพริกทิ้งแล้วปลูกกันใหม่ ส่วนพริกของตาแจ่มไม่เป็นอย่างนั้น ต้องลงมือเก็บกัน ๖ ครั้งถึงได้หมด พริกที่ได้แต่ละครั้งก็มีปริมาณเท่า ๆ กัน นี่ไอ้พริกใบหงุกหงิก ๆ นั้นแหละ เก็บกันซะ ๖ คราว ผลที่สุด พริกของตาแจ่มก็กลายเป็นของอัศจรรย์ แถมเจ๊กยังตีราคาให้สูงกว่า พริกของคนอื่นเสียอีก เพราะว่า "เมื่อส่งไปแล้วเป็นพริกที่มีค่า ทางโน้นเขาให้ราคาสูง" ปีนั้นจึงใช้หนี้สองหมื่นหลุดหมด แถมยังมีเงินเหลืออีกตั้งสองหมื่น"



    ( นี่เห็นไหม... ถ้าหากว่า ท่านภาวนาคาถาบทนี้อยู่เสมอ ท่านอาจจะรวยกว่านายแจ่มก็ได้นะ )

    ต่อมามีผู้นำคาถา อนัตตา ไปปฏิบัติหลังจากที่หลวงพ่อแนะนำไปแล้ว เขาผู้นั้นได้เข้ามารายงานกับหลวงพ่อว่า

    "หลวงพ่อครับ อนัตตา แจ๋วเลยครับ อัศจรรย์มาก ตอนบ่ายวันนี้ฟลุ๊คมาก ของที่ผมขายฝรั่งซื้อคนเดียว ๑,๖๐๐ บาท ไม่เคยมีปรากฏเลยครับ""

    "อาจารย์ทำยังไงล่ะ.. อาจารย์ใช้แบบไหน จึงมีผลตามลำดับ... จะได้แจกจ่ายคนอื่นเขาบ้าง"

    ผู้ถาม : "อันดับแรกตักน้ำใส่แก้ว แล้วนำไปไว้หน้าพระพุทธรูปที่โต๊ะหมู่บูชา แล้วชุมนุมเทวดาไหว้พระบูชาพระตามหลวงพ่อกล่าวนำ มีมนต์อะไรก็สวดไป ของผมสวดยาวหน่อย เมื่อสวดเสร็จแล้ว ก็อาราธนาบารมีพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พระอรหันต์ทั้งหลาย พระอริยสงฆ์ทั้งหลาย แล้วก็มาหลวงปู่ปาน แล้วมาหลวงพ่อ

    เสร็จแล้วเช้าตื่นมาก็กราบแก้วน้ำ ๕ ครั้ง แล้วก็เอามาที่ห้องน้ำ แบ่งครึ่ง ครึ่งหนึ่งใส่ขันสำหรับล้างหน้า ก่อนจะแบ่งก็ตั้งจิตให้ดี ว่านะโม ๓ จบ แล้วก็ว่าคาถานี้อีกครั้งหนึ่ง เท่าที่ใช้ก็ใช้คาถา มหาปุญโญ มหาลาโภ ภวันตุ เม ฯ แล้วก็มาว่า คาถาพระปัจเจกพุทธเจ้า เมื่อว่าเสร็จแล้วก็บอก "อนัตตา ขายเกลี้ยง"

    อีกครึ่งหนึ่งเราแบ่งมาแล้วก็ว่า คาถาวิระทะโย ไป แล้วก็พรมตู้อะไรต่าง ๆ แล้วก็ลงท้าย "อนัตตา ขายเกลี้ยง ๆ ๆ" แม้แต่หน้าร้านก็พรมออกไปเลย ถ้าใครเดินมาถูกน้ำมนต์ปุ๊บอยู่ไม่ได้ ต้องมาซื้อ อันนี้ได้ผลดีครับ"

    หลวงพ่อ : "อ้าว.. จำได้ไหมล่ะ อันนี้ก็ดีมีประโยชน์นะ ควรจะนำไปใช้ทุก ๆ คนนะ ฉันบอกให้อาจารย์เขาไปทำ ท่านทำแล้วผลมันเกิดขึ้นทุกวัน"

    ผู้ถาม : "แล้วถ้าฟลุ๊คอะไรเป็นพิเศษละก้อ เวลาจุดธูปเทียนหรือพรมน้ำมนต์ มันจะมีขนลุกซู่ซ่า ถ้าซู่มากละ มาแน่"





    หลวงพ่อ : "อ้อ..กำลังปีติสูง ใช่ เพราะซู่ซ่านี่เจ้าของมาแสดงให้ปรากฏ ถ้านึกถึงท่านจริง ท่านเข้ามาช่วยจริงก็ถือว่าเป็นอาการของปีติ เมื่อสัมผัสแล้วทางจิตใจก็เกิดปีติ ความอิ่มใจเกิดขึ้น ขนลุกซู่ซ่ามาก การแสดงออกตามอาจารย์พูดน่ะถูก ถ้าหากว่าสัมผัสน้อยก็มีผลน้อยหน่อย แต่ก็ดีกว่าปกติ สัมผัสมากก็มีผลมากหน่อย ปัจจุบันทันด่วน อันนี้ถูกต้อง ถ้าทำขึ้น หนักจริง ๆ นะ ถ้าขายของเป็นน้ำหนัก น้ำหนักจะสูงขึ้น แล้วก็ไม่สูงแต่ของเรา เอาไปขายคนอื่นต่อก็สูง นี่เขาทำมาแล้วนะ คนที่ไทรย้อยแกขายข้าว ไปซื้อข้าวมาวันนี้ พรุ่งนี้จะเอาไปขึ้นโรงสี แกก็พรมน้ำมนต์ก่อน พอถึงบ้านก็พรมน้ำมนต์หน่อย พอขึ้นโรงสีปรากฏว่าน้ำหนักสูง

    ถ้าหากว่าของที่เก็บไว้ในปี๊บในถงในอะไรก็ตาม จะมีปริมาณสูง

    เมื่อก่อนหลวงพ่อปานท่านบอก เอาข้าวใส่ยุ้งฉางให้เรียบร้อย ตวงให้ดี แล้วนับให้ดี ทำมาจนกว่าจะถึงฤดูออกมาใช้มาขาย แล้วตวง มันจะมากทุกคราว

    จำเอาไว้นะ ถ้าปฏิบัติ ทุกคนจะไม่จน ฉันอยากให้ทุกคนรวย ฉันจะได้รวยด้วย พระแช่งให้ชาวบ้านจนก็ซวย พระไม่มีกินน่ะซิ"



    จบ...

    คาถาเงินล้าน



    ตั้ง นะโม ๓ จบ





    นาสังสิโม พรหมา จะ มหาเทวา สัพเพยักขา ปะรายันติ (คาถาปัดอุปสรรค)

    พรหมา จะ มหาเทวา อภิลาภา ภะวันตุ เม (คาถาเงินแสน)

    มหาปุญโญ มหาลาโภ ภะวันตุ เม (คาถาลาภไม่ขาดสาย)

    มิเตพาหุหะติ (คาถาเงินล้าน)

    พุทธะมะอะอุ นะโมพุทธายะ วิระทะโย วิระโคนายัง

    วิระหิงสา วิระทาสี วิระทาสา วิระอิตถิโย พุทธัสสะ

    มานีมามะ พุทธัสสะ สวาโหม (คาถาพระปัจเจกพุทธเจ้า)

    สัมปะติจฉามิ (คาถาเร่งลาภให้ได้เร็วขึ้น)

    เพ็ง เพ็ง พา พา หา หา ฤา ฤา





    (บูชา 30 จบ ตัวคาถาต้องว่าทั้งหมด)

    พระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ)

    วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี
     
  15. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,942
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    ๖๒. คาถาเงินล้าน

    วัดท่าซุง จังหวัดอุทัยธานีนั้น เมื่อสองปีก่อนหนังสือพิมพ์บ้านเมืองประเมินราคาสิ่งก่อสร้างว่า ต้องใช้เงินประมาณสี่พันล้านจึงจะสร้างได้ขนาดนี้ ถ้าถามว่าเอาเงินมาจากไหนมามากมายขนาดนี้ ก็เห็นทีต้องคุยกันยาวหน่อย... ตามที่หนังสือพิมพ์ก็ดี วิทยุ โทรทัศน์ก็ดี เรียกวัดนี้ว่าวัดพันล้านก็ไม่ได้เกินจริงเลย หากแต่เขาคำนวนราคาตามที่สายตาเห็น แต่เวลาสร้างจริง ๆ ราคาไม่ถึงนั้น ตัวอย่างเช่นศาลาสองไร่ สถาปนิกคำนวณ ๑๒๐ ล้านบาท หลวงพ่อเห็นว่าแพงไป ขอสร้างเองตามแบบฉบับของท่าน ปรากฏว่าใช้เงินแค่เจ็ดล้านกว่าก็สร้างสำเร็จ... เหตุเพราะปูนก็ดี เหล็กเส้นก็ดี หลวงพ่อสั่งตรงจากโรงงานทีละเป็นร้อย ๆ ตัน จึงได้ราคาต่ำกว่าท้องตลาด วัสดุก่อสร้างอื่นก็เช่นกัน และหลวงพ่อควบคุมการก่อสร้างอย่างใกล้ชิด โอกาสจะทุจริตเลยไม่มี ประหยัดไปได้มหาศาล ดังนั้น เมื่อสองปีก่อนหลวงพ่อแจ้งยอดการก่อสร้างว่า ใช้เงินไปประมาณยี่สิบห้าล้านบาทเท่านั้น... เงินสามร้อยกว่าล้าน ถ้าเป็นงบประมาณแผ่นดิน นับว่าเล็กน้อยเหลือเกิน แต่ถ้ามาคิดว่านี่เป็นเงินที่วัดต่างจังหวัดวัดหนึ่ง ใช้เป็นงบประมาณก่อสร้างเท่านั้น ก็ต้องคิดหนักเสียแล้ว ว่าเงินมหาศาลขนาดนั้น ต้องเกิดจากศรัทธาญาติโยมจำนวนมหึมาขนาดไหน อะไรเป็นเหตุให้หลวงพ่อมั่นใจ จนถึงกับกล้าเป็นหนี้เขาทีละห้า – หกล้าน ในการสั่งของล่วงหน้าแต่ละที...
    หลวงพ่อเมตตาเล่าให้ฟังว่า เมื่อมาอยู่วัดท่าซุงใหม่ ๆ มีเงินติดย่ามมาร้อยเดียว “เงินร้อยสมัยปี ๒๕๑๑ มันหายากนะ...” ท่านใช้ คาถาพระปัจเจกพุทธเจ้า พร้อมกับทำงานก่อสร้างไปเรื่อย มี “พระ” ท่านมาบอก คาถามหาลาภ ซึ่งทางวัดพนัญเชิงเขาเคยใช้ เจ้าอาวาสวัดพนัญเชิงองค์แรกใช้ภาวนาอยู่สามปี วัดนั้นจึงมีลาภมากมาจนทุกวันนี้ หลวงพ่อก็ว่าของท่านเรื่อยไป...
    มาปีหนึ่งกำลังบวงสรวงอยู่ “พระ” ท่านบอกคาถาอีกบทว่าเป็นคาถาเงินแสน พอหลวงพ่อใช้ดู ปีนั้นกฐินได้เงินแสนกว่า สมัยนั้นจะหาซักหมื่นยังยากเลย ปีถัดมา “พระ” ก็บอกอีกบท ว่าเป็น คาถาเงินล้าน ให้ว่าต่อเนื่องกับบทก่อน แล้วลงท้ายด้วยคาถาพระปัจเจกพุทธเจ้า ปรากฏว่าได้เงินเป็นล้านจริง ๆ และรายรับดีขึ้นทุกทาง จึงกล้าเป็นหนี้เขาทีละมาก ๆ
    ต่อมา หลวงพ่อรวบรวมคาถาต่าง ๆ เป็นบทเดียว พิมพ์แจกเป็นของขวัญปีใหม่ปี ๒๕๒๘ ท่านบอกว่า เป็นเพราะ “ท่านย่า” กับ “ท่านแม่” ไปช่วยขอความกรุณาจาก “พระ” ว่า ในปี ๒๕๒๘ นั้นสถานการณ์ด้านต่าง ๆ จะเครียดมาก ถ้าลูกหลานไม่มีความคล่องตัว ก็ช่วยเหลือหลวงพ่อได้ไม่เต็มที่ การก่อสร้างของวัดจะชะงักลง “พระ” ท่านจึงอนุญาตให้บอกคาถาเหล่านี้แก่ญาติโยมได้...
    “พระ”ท่านว่า คาถานี้ทุกคนต้องทำด้วยความเคารพ ถ้าไม่เคารพจะไม่มีผล คาถาว่าดังนี้
    นาสังสิโม
    พรหมา จะ มหาเทวา สัพเพยักขา ปะรายันติ
    พรหมา จะ มหาเทวา อภิลาภา ภวันตุ เม
    มหาปุญโญ มหาลาโภ ภะวันตุเม
    มิเตพาหุหะติ
    พุทธะมะอะอุ นะโมพุทธายะ
    วิระทะโย วิระโคนายัง วิระหิงสา วิระทาสี
    วิระทาสา วิระอิตถิโย พุทธัสสะ มานีมามะ
    พุทธัสสะ สวาโหม
    สัมปะฏิจฉามิ

    พออาตมาได้คาถามา ก็ท่องวันละ ๙ จบทุกวัน รู้สึกตัวเลยว่า รายรับ – รายจ่าย คล่องตัวมาก การส่งเสียให้น้องสาวสองคน หลานอีก ๑ คนเรียนนั้น รู้สึกไม่หนักใจ ปีนั้นน้องเรียนจบ ปีถัดมาอาตมาก็บวช คราวนี้เห็นผลของคาถาชัดมาก หลวงปู่มหาอำพันกล่าวว่า “คุณเป็นเนื้อนาบุญแล้วนี่ บุญใหญ่มาหนุน ลาภผลก็มากซิ...”
    หลวงพ่อสอนพระเวลาออกบิณฑบาตว่า ก่อนจะไปบิณฑบาตให้ทรงกำลังใจให้สูงที่สุดเท่าที่เราจะทำได้ เพื่อผลใหญ่จะได้เกิดแก่ญาติโยมที่ให้การสงเคราะห์เรา อาตมาเล่นด้วยคาถาเงินล้านนี่แหละ แต่เพิ่มเป็นสามสิบจบ ว่าให้ช่ำปอดก่อน แล้วจึงออกบิณฑบาต ระหว่างเดินก็ว่าไปเรื่อยจนกว่าจะครบสามสิบ...
    อยู่มาวันหนึ่ง อาตมาตื่นตีสามตามปกติ ก็ว่าคาถาซะ ๑ จบก่อนจะไปสรงน้ำ ทำกรรมฐาน พอว่าจบลืมตาขึ้นมา ฟ้าสว่างโร่เลย...! คว้าบาตรออกบิณฑบาตแทบไม่ทัน เดินงงไปตลอดทาง เราไม่ได้หลับ สติไม่ขาดไม่เคลิ้ม อารมณ์ต่อเนื่องเป็นหนึ่งเดียว รู้ตัวตลอดเวลา ทำไมคาถาสั้น ๆ บทเดียวใช้เวลาเกือบสามชั่วโมง...!
    รุ่งขึ้นลองดูอีกที คราวนี้ได้ตั้งสามจบแน่...! ตั้งแต่นั้นมา ทั้ง ๆ ที่บวชใหม่นั่นแหละ ลาภผลเงินทองไม่รู้ว่าไหลมาเทมาจากไหน รับกันไม่หวาดไม่ไหว ใครจะทำบุญสุนทานอะไร ร่วมกับเขาทุกรายการ รายการละไม่ต่ำกว่า ๑๐๐ บาท ช่วยเป็นเจ้าภาพบวชพระ – บวชเณร เป็นว่าเล่น ถวายสังฆทานแทบทุกเดือน ใครเดือดร้อนเรื่องเงินละมาได้เลย...
    เงินมาเป็นเทออก ยิ่งเทก็ยิ่งมา อาตมาเพิ่มจากวันละสามสิบจบ เป็นวันละหนึ่งร้อยยี่สิบจบ เชื่อหรือไม่ว่า ให้ความคล่องตัวขนาดอาตมาขึ้นรถฟรีแทบทุกคัน คือ ถ้าเราไม่ยัดเยียดให้เขาจริง ๆ เขาก็ไม่รับ ขนาดพระกับพระนั่งไปด้วยกัน เขาเก็บค่ารถองค์อื่น เว้นอาตมาไว้องค์เดียว ยัดให้เขาก็ไม่รับ จะไปไหนแทบจะไม่ต้องพกเงินเลย...
    จากร้อยยี่สิบจบเพิ่มเป็นสามร้อยจบ คราวนี้อาหารการกินก็พลอยฟรีไปด้วย บางทีทนไม่ไหวบอกเขาว่า “อาตมามีเงินนะโยม” เขาก็บอกว่า “ผมถวายครับ” “หนูถวายเจ้าค่ะ” เคยทำสถิติจากอุทัยธานีมากรุงเทพฯ จากกรุงเทพฯ-กลับอุทัยธานี ระหว่างที่อยู่กรุงเทพฯ นั่งแท็กซี่อย่างเดียว ปรากฏว่าสิ้นค่าใช้จ่ายทั้งหมดสามบาท...! สามบาทจริง ๆ...!
    พยายามจะใช้เงินให้หมดก็ไม่มีวันหมด ลองถึงขนาดสามทุ่มซื้อน้ำหวานถวายพระจนหมดตัว สี่ทุ่มเขาเรียกไปสวดศพรับเงินมาจนได้ จะไปธุดงค์เทกระเป๋าทำบุญเกลี้ยง ก็มีคนตามถวาย หมดเมื่อไรได้ทันที เขาถวายจนระอาใจ ต้องพกเงินไปธุดงค์ด้วย ทุเรศตัวเองชะมัดเลย...
    มาถึงตอนนี้ อาตมาหมดความสงสัยโดยสิ้นเชิง ของอะไรทำจริงย่อมได้ผลจริง หลวงปู่มหาอำพันท่านบอกว่า “เรื่องวัตถุทางโลก ผมไม่หนักใจเลย” ท่านพลางชี้ให้ดูอาหารที่มากมายจนล้นโต๊ะ กินไม่ไหวใช้ไม่หมด “ถ้าเรามีความเชื่อมั่นในอานุภาพพระรัตนตรัยจริง ๆ ต้องการอะไรก็ได้อย่างนั้น...”
    ครับ...หลวงปู่กล่าวชอบแล้วทุกประการ นอกจากจะได้แล้ว ยังได้มากเสียด้วย ใครจะคิดถึงว่าขนาดอยู่กลางป่ากลางดงยังกินไม่ไหว ใช้ไม่หมด สามารถเลี้ยงพระ-เณรจนอิ่มหนำ ซ้ำยังเหลือเผื่อหมาอีกเยอะแยะ คุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ นั้นเป็นอัปปมาโณ หาประมาณมิได้จริง ๆ...!
    ๒๖ พฤษภาคม ๒๕๓๓
    พระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ

    ๖๓. นอกข้อไม่เหนียว

    ธรรมดาของคนเรา ย่อมหวั่นเกรงภัยอันตราย ดังนั้น การแสวงหาสิ่งคุ้มครองตนเอง จึงเป็นเรื่องปกติธรรมดา ในบรรดาเครื่องป้องกันตัวชนิดต่าง ๆ เครื่องรางของขลังมาเป็นอันดับหนึ่ง อะไรที่พกแล้วแคล้วคลาด อยู่ยงคงกระพันเป็นหากันให้ควั่ก...
    คนไทยเราผูกพันกับเครื่องรางของขลัง และไสยเวทอาคมมาแต่ดึกดำบรรพ์ จะเห็นได้จากประวัติการต่อสู้เพื่อผืนแผ่นดินไทย ของบรรพบุรุษของเรา เกี่ยวพันกับสิ่งเหล่านี้มาตลอด อาจจะพูดได้ว่าไทยเราเป็นไทยอยู่ทุกวันนี้ ก็ด้วยสิ่งยึดเหนี่ยวทางใจเหล่านี้เอง... จะไม่กล่าวถึงเกราะอ่อน หรือ กระจกกันกระสุนกันล่ะ มาว่าเฉพาะของขลังดีกว่า ของเหล่านี้แบ่งออกเป็นหลายประเภท คือ
    ๑. พระเครื่อง สร้างขึ้นโดยครูบาอาจารย์ต่าง ๆ ผ่านการอธิฐานจิต เพื่อเป็นเครื่องคุ้มคอรงแก่ผู้ระลึกถึง ตัวอย่างเช่น พระรอด พระคง กริ่งคลองตะเคียน เป็นต้น
    ๒. เครื่องราง ประกอบขึ้นตามวิธีการที่โบราณาจารย์ท่านถ่ายทอดสืบต่อกันมา และผ่านการพิสูจน์มาแล้วว่าได้ผลจริง เช่น ตะกรุด พิสมร ผ้ายันต์ เป็นต้น
    ๓. คาถา ถ้อยคำที่เชื่อว่าศักดิ์สิทธิ์ มีอิทธิฤทธิ์ปกป้องต่อผู้ท่องบ่นจริง ขอให้มีกำลังใจมั่นคงเท่านั้น เช่น หัวใจหนุมาน คาถามหาชาตรี คาถามงกุฏพระพุทธเจ้า เป็นต้น รอยสักก็จัดอยู่พวกนี้
    ๔. ว่านยา พืชจากธรรมชาติต่าง ๆ ที่เคี้ยวกินแล้ว ทำให้เนื้อหนังคงทนต่ออาวุธ แต่จะอยู่ชั่วเบาคือ ถ้าปัสสาวะก็หมดฤทธิ์ เช่น ว่านสบู่เลือด ว่านคางคก ว่านสามพันตึง ว่านเฒ่าหนังแห้ง เป็นต้น
    ๕. ของวิเศษธรรมชาติ เป็นของศักดิ์สิทธิ์ที่เกิดขึ้นเอง ใครมีบุญก็ได้ไป เช่น เหล็กไหล เพชรตาแมว คดไม้ เขี้ยวหมูตัน เขากวางคุด โป่งข่าม เม็ดขนุนทองแดง เป็นต้น
    ๖. ของที่เป็นไสยดำ เป็นพวกของสกปรกส่วนใหญ่ แต่คนถือมั่นก็คุ้มเขาได้ เช่น อีเป๋อ อิ้น งั่ง เป็นต้น ปกติแล้วคนทั่วไปไม่นิยม แค่ยึดถือกันเป็นกลุ่มเล็ก ๆ ...ฯลฯ
    จากตัวอย่างที่ยกมาทั้งหมด ของทุกอย่างล้วนมีจุดอ่อน มีวันดับ ของตนทั้งนั้น ถ้าหมดอายุขัยจริง ๆ ก็ช่วยไม่ได้ หรือ เขาหาของแก้ได้ ก็เสร็จเหมือนกัน ตัวอย่างคือ
    หลาวไม้ไผ่ กระสุนดิน เป็นของปราบเซียนชะงัดนัก เหนียวเท่าเหนียวก็ไปไม่รอด แม้แต่เหล็กไหลที่ว่าแน่ ๆ ถ้าโดนกดน้ำหรือรัดคอก็ไปไม่รอดเช่นกัน “หลวงพ่อ” เล่าว่า...
    มีอ้ายเสือรายหนึ่ง แขวนพระที่เหนียวสะเด็ดนัก ถูกตำรวจยิงตาย พอลากศพพ้นที่ตรงนั้นมานิดเดียว ยิงเท่าไรก็ไม่ออก ท่านว่าตรงนั้นเป็น “ที่ตาย” ของมันพอดี ของอะไรก็คุ้มไม่ได้ (พระที่เขาแขวนคือพระมเหศวรเศียรกลับ...)... น้าชายของหลวงพ่อเป็นตำรวจ ควงดาบฟันกับโจร ตั้งแต่เช้ายันเพลลายไปทั้งตัวไม่มีเข้า จังหวะหนึ่งเผลอยกมือขึ้นรับ โดนดาบมือแปไปเลยท่านว่า “นอกข้อไม่เหนียว”
    “นอกข้อ” คือ จากข้อมือข้อเท้าลงไป ไม่ทราบว่าเพราะอะไร ของขลังทุกชนิดคุ้มไม่ได้ แรก ๆ อาตมาไม่เชื่อ พอเจอกับตัวเองหลายวาระเลยยอมรับว่า “นอกข้อไม่เหนียว” จริง ๆ โดนเมื่อไรได้เรื่องเมื่อนั้น...!
    อาตมาโดนหมาฟัดจนมือแปไปเกือบสี่เดือน เข้าแต่บริเวณฝ่ามือสิบเอ็ดเขี้ยวถ้วน ๆ จากข้อมือขึ้นมามีแต่รอยขีดนูน ๆ เท่านั้น ครั้งอื่น ๆ ก็เข้าตรงเอ็นร้อยหวายกับในฝ่ามือที่โดนกระชากปวดขัดไปเป็นสิบวัน แต่ไม่มีเข้า...
    ของเหล่านี้ไม่ใช่ทางพ้นทุกข์ แค่เล่าสู่กันฟังเท่านั้น ถ้าหากทางพ้นจากการเกิด แก่ เจ็บ ตายได้ ก็ไม่ต้องหาของขลังกันให้เสียเวลา หรือท่านผู้อ่านว่าไม่จริง...!
    ๒๗ พฤษภาคม ๒๕๓๓
    พระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
    ʹյ
     
  16. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,942
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    หลีกได้ ถ้ากำลังใจของเรามั่นคงในทาน ศีล ภาวนา
     
  17. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,942
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    ถาม : .......................
    ตอบ : เรื่องของหมอดู อย่าเชื่อเสียทั้งหมด แต่ว่าให้ระมัดระวังไว้อันที่ท่านบอกว่าดีนั้น ไม่ต้องไปไขว่คว้ามันหรอกถ้าหากว่าเราทำเอาไว้ บุญเราถึง วาระเราถึงจริง ๆ มันได้ของมันเอง แต่ว่าถ้าท่านบอกว่าไม่ดีให้ระวังให้มากไว้ การระมัดระวัง ไม่ขาดทุนอะไรใช่มั้ย ? แต่ว่าวิธีแก้ไข ถ้ามันไม่เกินวิสัย ไม่ลำบากมากนัก ก็ทำ เช่นว่าให้สวดมนต์ถือศีลภาวนาเหล่านี้เป็นต้น แต่ถ้าหากว่ามันยากลำบากนักหนาอะไรก็เอาเหอะ ถ้ามันตายก็ให้มันตายไป ไม่ต้องเชื่อเสียทั้งหมด สิ่งที่ดีก็ไม่ต้องไปไขว่คว้า แล้วสิ่งที่ไม่ดีให้ระวังไว้

    ถาม : หลีกเลี่ยงไม่ได้เหรอคะ ?
    ตอบ : หลีกได้ กำลังใจของเรา ถ้ามั่นคงในทาง ศีล ภาวนากรรมเก่าที่มันจะมาสนอง มันจะมาได้ไม่เกิน ๒๕ % คราวนี้ว่ากรรมเก่า หรือที่เรียกว่าเคราะห์กรรม ชะตาตก หรือดวงตก อะไรพวกนั้นแหละ ถึงวาระที่มันเข้ามา แต่ว่าสมัยนี้บรรดาหมอดูที่พอจะมีจรรยาบรรณบ้างมันหายาก มันส่วนใหญ่จะหาประโยชน์ รู้จริงแล้วหาประโยชน์ ยังพอจะอภัย ไม่รู้อะไรเลย เอาแต่มั่วอย่างเดียวนี่มันน่าฆ่าซะ

    ถาม : แล้วควรจะทำยังไง อยู่อย่างนี้รู้สึกกังวล ?
    ตอบ : ถ้าหากมีโอกาสก็ ถวาย สังฆทาน ปล่อยชีวิตสัตว์ ทำบังสุกุลตาย บังสุกุลเป็น หรือไม่ก็จัดงานศพตัวเองไปเลยอะไรก็ได้สักอย่างหนึ่ง มันจะเป็นการตัดเคราะห์อย่างหนึ่ง ตัดเคราะห์ใหญ่ที่มันจะมาถึงเรา มันจะหนีห่างจากมันได้ชั่วคราว ถ้าเราได้ทำบุญใหญ่อันนั้น ง่ายจะตาย เราก็ทำอยู่เรื่อยอยู่แล้ว

    เพราะฉะนั้นก็เอาเป็นว่าทำสังฆทานสักเดือนละครั้งเลย หรือไม่ก็เจอเขาทำที่ไหน มีโอกาสก็ร่วมบุญกับเขาไป มันจะได้ไม่สิ้นเปลืองมาก ไม่หมดมาก แล้วไป ๆ มา ๆ ถึงจังหวะสุดท้าย เออ! หมดแล้วไม่มีปัญญาจะทำ ทรัพย์สินเงินทอง กำลังกาย กำลังใจหมดเกลี้ยงเลย ถ้ามันจะตายก็ให้มันตายไปเหอะ (หัวเราะ)

    ถาม : ถ้าเขาว่าไม่ดีนี่ เราทำให้ดีได้มั้ย ?
    ตอบ : ได้จ้ะ เขาว่ามันอยู่ที่ปากเขา กำลังใจของเราถ้าดี ทุกอย่างจะดีหมด ท่านบอกว่า มโนเสฏฐา มโนมยา สูง สุดที่ใจสำเร็จที่ใจ ถ้ากำลังใจของเราว่าดี แล้วตั้งใจทำ มันต้องดี ไอ้ที่ว่ามันปากเขาว่า กำลังใจเราอย่าไปตกตามเขา ถ้ากำลังใจมันทรงตัว ว่าให้ตาย มันก็ไม่สะเทือนหรอก

    ถาม : มันจะเหมือนสะกดจิตเราเองหรือเปล่าคะ ?
    ตอบ : ไม่ใช่สะกดจิตหรอก เป็นการแช่งตัวเอง ในเมื่อ มโนมยา สำเร็จด้วยใจ เราไปคิดว่าไม่ดี ๆ มันก็กลายเป็นไม่ดีไปจริง ๆ

    ถาม : ถ้าเราคิดว่าดี ดี ๆ
    ตอบ : สบายใจ ก็บอกแล้วว่า ถ้าใจดี ใจสบาย ทุกอย่างก็ดีหมด เพียง แต่ว่าเราจะทำได้ยังไง ให้จิตใจแจ่มใสอยู่เสมอ สำคัญตรงนั้นแหละ รักษาอารมณ์นั้นให้ได้ พระพุทธเจ้าท่านบอกแล้วว่า ศาสนานี้ท่านไม่สอนอะไรมากกว่าให้ละเว้นความชั่วทั้งปวงให้ทำความดีให้ถึง พร้อมรักษากำลังใจให้แจ่มใสอยู่เสมอ




    สนทนากับพระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
    เดือนมิถุนายน ๒๕๔๔
    ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ
     
  18. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,942
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    พอละ

    บอกตรงๆ คิดจะเอาเงิน ฟาดหัว อกุศลกรรม ไม่ให้มี เคราะห์กรรมมาสนอง จ่ายเงินหวังผลแบบนี้ ขอขำก๊ากๆๆๆๆๆๆๆทีครับ 5555555+




    แนะนำ จขกท ว่า

    ไปทำบุญ สังฆทาน วิหารทาน ปล่อยปลา ปล่อยนก ปล่อยวัว บลาๆๆๆ อุทิศให้เจ้ากรรมนายเวร ให้เลิกจองเวรกันไป

    โดยไม่หวังผลตอบแทนดีกว่านะ สร้างบุญ กุศลกรรม ดีกว่าครับ

    ทำทาน รักษาศีล ภาวนา ยังดีกว่าเอาเงินไปเสีย เอาเงิน ฟาดหัว เคราะห์กรรม นะครับ ^^

    .
     
  19. Nud

    Nud เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    1,020
    ค่าพลัง:
    +555
    อนุโมทนาสาธุ ค่ะ ขอบคุณสำหรับข้อคิดดีๆค่ะ
     
  20. Nud

    Nud เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    1,020
    ค่าพลัง:
    +555
    อนุโมทนาสาธุค่ะ ขอบคุณค่ะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...