"ตัวปฏิบัติ เริ่มต้นที่ การเห็นจิตคิด"
"หลวงพ่อเทียนบอกว่า
การรู้กายเคลื่อนไหว ยังไม่ใช่ตัวปฏิบัตินะ
ตัวปฏิบัติ คือ การไปเห็นจิตที่มันคิด
นั่นคือตัวปฏิบัติที่แท้จริง
ฉะนั้น การไปเห็นจิตมันคิด เห็นความคิด
เห็นกิเลสที่มากับความคิด
พวกนี้เป็นตัวปฎิบัติที่จะสามารถละเหตุของความทุกข์
คือ สมุทัยได้
การรู้กายที่มันเคลื่อนไหว
คือ การกระตุ้นจิตให้ตื่น
ถ้าจิตไม่ตื่น กิเลสมันจะตื่น
ถ้ากิเลสตื่น มันก็จะเป็นใหญ่เหนือจิตใจเรา
การรู้การเคลื่อนไหว เป็นแค่เหตุ
นำไปสู่การเห็นการคิดเป็นผล
เมื่อใครฝึกเจริญสติ"ดี"แล้ว
ท่านบอกไปดูความคิดเลยก็ได้
เน้นว่า ต้อง"ดีแล้ว"นะ
คือ ผ่านความหลงแล้วจิตตื่นมา
แล้ว จึงค่อยไปดูความคิด
ถ้าไปดูความคิด สติยังไม่ตั้งมั่นพอ
มันจะไปไม่ถึงจิต มันจะไม่ใช่การตื่นรู้
แต่มันจะกลายเป็นการใช้ความคิดเข้าไปรู้
เป็นเรื่องของสมอง ไม่ใช่จิต
แต่ถ้ารู้สึก "สัมผัสรู้" ปุ๊บนี่ จิตมันจะดีดตัวออกมา
เป็นผู้รู้ทันทีเลย
เรียกว่าเป็นวิปัสสนา แปลว่า รู้ ดู เห็น"
เครดิต : ธรรมะจากหลวงพ่อเทียน จิตตสุโภ
จาก อ.กำพล ทองบุญนุ่ม
ตัวปฏิบัติเริ่มต้นที่ การเห็นจิตคิด
ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย I sea you, 3 มกราคม 2021.
หน้า 1 ของ 17
-
-
ดวงตา...เห็นธรรม
"ใจที่รู้ นั่นแหละคือ ใจที่สงบ
ใจที่ไม่รู้ นั่นแหละคือ ใจที่หลง
อย่าไปกลัวจะไม่สงบ
อย่าไปบังคับใจไม่ให้คิด
เรื่องใจมันเป็นอนัตตา
สิ่งที่หลายทั้งปวงบังคับบัญชาไม่ได้
มันจะสงบ อ๋อ! เราบังคับไม่ได้ มันสงบเอง
คนที่ภาวนาแล้วไปบังคับให้สงบ ไม่ให้มันคิด
นั่นแหละ! จะไม่มีวันรู้จัก "อนัตตา" เลย
ถ้าเห็นอนัตตาบ่อยๆ นี่ มันเข้าถึงธรรมได้นะ
จะเข้าถึงธรรมได้ ต้องเข้าถึงความจริงที่
กายจิตแสดงออกมา ยอมรับ และแก้ไข
ปรับปรุงไปตามหน้าที่ แม้ใจไม่อยากให้เป็น
ก็ อ๋อ! มันเป็นเรื่องของใจ ไม่ใช่เรื่องของเรา
ต้องเด็ดขาดลงไปอย่างนี้ ถึงจะได้ ดวงตา-
เห็นธรรม ไม่เช่นนั้นจะได้ ดวงตาหลงทาง"
ธรรมะจากหลวงพ่อเทียน จิตตสุโภ
โดย อ.กำพล ทองบุญนุ่ม -
ฝึ ก ส ติ ไ ว้... ไ ม่ ก ลั ว ต า ย
"สิ่งที่เรากลัวทั้งหมด มันคือ ความคิด ทั้งนั้น
เรากลัวตาย แล้วเราเคยตายไม๊?
เราก็ไม่เคยตายนะ แต่เรากลัวตาย
เราไปกลัวในสิ่งที่ยังไม่เคย
แต่ละคนมีความเกือบตายกันอยู่ทุกคน
ความกลัวมันหลอกให้เราเป็นทุกข์ล่วงหน้า
ความตาย เป็นประสบการณ์ครั้งสุดท้ายของชีวิตเรา
เป็นบทสุดท้ายของชีวิตที่ทุกคนจะต้องเจอ
เป็นศึกชิงภพที่เราจะต้องเจออย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
อารมณ์ของคนใกล้ตายที่ไม่มีสติ ขาดการภาวนานี่ จะมีความฟุ้งซ่านมาก จะมีความวิตกกังวล กลัวตาย
บางทีก็อ้างว้างว้าเหว่ เหมือนเรากำลังเดินทางอยู่บนทางสายเปลี่ยวเพียงคนเดียว ไม่มีใครเป็นเพื่อน
คนที่นั่งใกล้เรา คอยจับไม้จับมือเรา ก็ช่วยใจเราไม่ได้ ก็ยังดีกว่าปล่อยเราไว้อยู่คนเดียว
ฉะนั้นคนไม่ผึกมา จะว้าเหว่ ขาดสคิและกลัวมาก เราต้องฝึกสติ (จิตภาวนา)ไว้ ถ้าคนมีสตินี่
จะรักษาจิตให้เป็นปกติได้ จะไม่หลงตาย
คนฝึกสติมา จิตจะสงบง่าย อาจจะหวั่นไหวบ้าง แต่จิตจะกลับมาอยู่ที่ฐานได้ง่าย
หลวงพ่อเทียนสอนอยู่เสมอว่า แม้ว่าเราเจริญสติในแต่ละวัน
ทำอยู่เสมอนี่ แม้เราไม่เป็นอะไร ไม่รู้อะไร ไม่บรรลุผลอะไร
ก็ไม่เป็นไร ท่านบอกว่าก่อนจะตาย 10-20นาที เราอาจจะเห็นผลในตอนนั้นก็ได้ เพราะจิตมันจะไปคว้าเอาสิ่งที่เราเคยทำที่เป็นกุศลเอาไว้
เรามีกระเป๋าอยู่ 2 ใบนะ
ใบหนึ่ง อกุศลเราก็ทำ กุศลเราก็ทำ
บุญเราก็ทำ บาปเราก็ทำ
อะไรที่มันมากกว่า
สิ่งนั้นก็จะเข้าสู่จิตสุดท้ายได้มากกว่า
ฉะนั้น ศีล 5 จึงผิดไม่ได้ ความผิดและบาปแม้แต่นิดเดียว ไม่ทำเสียเลยดีกว่า มันมีผลนะ
ฉะนั้น สิ่งที่ทำอยู่เนืองๆ สำคัญต่อจิตสุดท้ายมาก
คนมีสติจะดึงเอาฝ่ายกุศลมาสู่จิตใจได้ไว ได้ชำนาญมากในจิตสุดท้ายใน 10-20 นาที
เราฝึกไว้ไม่สูญหาย คนฝึกสติไว้เนืองๆ เวลาเจอปรากฏการณ์อะไร มันจะไม่ตื่นเต้น จะเห็นเป็นเรื่องปกติ ธรรมดาไป
ถ้าฝึกไว้เป็นประจำนะ ด้วยศรัทธาและมีความเพียร เราอาจจะเกิดทางเห็นธรรมได้ คือ เห็นความจริงของกายของจิตที่เป็นไตรลักษณ์ด้วยสติด้วยปัญญาจนสามารถปล่อยวางจิตได้ในช่วงสุดท้ายก่อนจิตจะดับ เลยไม่ต้องผุดไม่ต้องเกิดอีกถือเป็นปาฏหาริย์ก่อนตายด้วยซ้ำไป"
ธรรมะหลวงพ่อเทียน จิตตสุโภ
โดย อ.กำพล ทองบุญนุ่ม -
ก็ไปก่อนแล้วครับ
ไม่ต้องบีบหนักมากๆจนทนไม่ได้
รู้ตัวว่าจะหมดลมหายใจ
ก็ชิงไปก่อนลมหายใจจะหมดครับคุณปวี -
จิตสุดท้าย ไม่ใช่ลมหายใจสุดท้าย
-
หรืลมหายใจหมดก่อนแล้วค่อยไปครับคุณบีมปวี -
ถ้าจิตสุดท้ายบางทียังทำงานอยู่ทั้งที่ร่างตายไปแล้ว (อ่านคำพระมา ท่านตอบแบบนี้)
-
แล้วกลับมาบอกอาการได้งัยครับคุณบีม -
......
ขั้นสุดท้ายของการปฏิบัติ (ข้อ4 )
จะได้พบเห็นต้นกำเนิดของความคิด (จิตอวิชชา) จะเห็นว่ามันเกิดขึ้นอย่างไรและดับลงอย่างไร
อาการเกิด - ดับเป็นอย่างไร อาการเกิด - ดับนี้เป็นสภาวะอาการ อย่าเข้าใจผิดว่ามันคิดครั้งหนึ่งเป็นเกิด - ดับครั้งหนึ่ง นั่นเป็นการเรียกอย่างสมมติว่าเกิด - ดับ
ถ้าเป็นปรมัตถ์ จะต้องเห็นสภาวะอาการเกิด - ดับ จริงๆ เพราะมันคิดและเลิก/หยุดคิดวันละหลายร้อยครั้ง เป็นเรื่องธรรมดาของมนุษย์ปุถุชน หลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภไม่เรียกมันว่าอาการเกิด - ดับ จนกว่าจะได้พบ สภาวะ นั้นจริง อาการเกิด - ดับแบบหลวงพ่อเทียนมีเพียงครั้งเดียวเท่านั้นในชีวิตนี้ และจะพบกับการเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวงของกาย - ใจ จะหมดสิ้นสงสัยเรื่องชีวิตจิตใจของตนเอง
จะมีจิตใจที่เป็นอุเบกขาโดยไม่ต้องเสแสร้งหรือฝืนใจให้เป็น จะเห็น จะรู้ จะเป็น จะมี สิ่งนั้นตลอดไป จะมีเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณที่ไม่เป็นทุกข์อีกต่อไป
บทสรุป
๑. รู้อารมณ์รูป - นาม เข้าใจเรื่องสมมติ ไม่เชื่อเรื่องฤกษ์ยาม ผี เทวดา นรก สวรรค์
๒. รู้อารมณ์นามรูป เกิดปัญญา เห็น รู้ เข้าใจเรื่องวัตถุ- ปรมัตถ์ - อาการ จิตใจเปลี่ยน ไม่ยึดมั่นถือมั่น
๓. รู้จักศีล ศีลขันธ์ สมาธิขันธ์ ปัญญาขันธ์ มีความปกติกาย วาจา ใจอยู่เสมอ
๔. รู้ - เข้าใจเรื่องความสงบ ๒ อย่าง คือ
สงบแบบสมถะ สงบชั่วคราว ไม่มีปัญญาสงบแบบวิปัสสนา
สงบด้วยปัญญา รู้แจ้งเห็นจริง ตามความเป็นจริง รู้บาป - บุญ, นรก - สวรรค์
๕. พบสภาวะอาการเกิด - ดับ รู้ เข้าใจเรื่องชีวิตจิตใจอย่างแจ่มแจ้ง สิ้นสงสัย ถึงที่สุดของทุกข์ -
ถึงที่สุดของทุกข์ตรงจุดไหนครับคุณบีม
จุดไหนคือที่สุดของทุกข์ครับ -
วางจิตอวิชชาได้ ก็ถึงที่สุดแห่งทุกข์ จบคอร์สสติปัฎฐานไงคะ
-
หรือไม่มีผู้วางครับคุณบีม -
ก็เทียบเคส ลพ.พุธก้อได้นิคะ ท่านบอกขณะเทศน์ท่านมีสติพิจารณาคำเทศน์ทุกคำ คงไปคลิ๊กคำไหนเข้า จิตอวิชชาก็ถูกวางลงทันที
ขยายความโดย ลพ.ปราโมทย์ จิต ลพ.พุธเกิดไตรลักษณญาณ จิตดับแป๊บนึงเร็วเหมือนกระพริบตา พอผ่านสภาวะบรรลุ ท่านรีบเทศน์ต่อทันที คนฟังเทศน์ยังไม่รู้เลยว่า ลพ.พุธพูดขาดตอน
การวาง ถ้าคนจะบรรลุ จิตเขาก็ทำหน้าที่วางจิตอวิชชาเองมั้งคะ จะจากการฟัง การพูด หรืออยู่อิริยาบทไหนก็ได้ทั้งนั้น ถ้าจิตคลิกสิ่งนั้นเป็นธรรมได้ -
-
ทู้เดี้ยน กลายเป็นทู้คุยไปอีกล้าววว... แง
-
ขออภัยในการรบกวนครับ -
-
เป็นการทำให้เกิดสติเต็มบริบูรณ์ หรือ ทำให้จิตถึงฐาน..
สติบริบูรณ์ นั่นแหละ คือ มหาสติ..
เมื่อ มหาสติ เกิดขึ้น จึงเป็น มหาสติปัฏฐาน..
สติปัฏฐาน หรือ มหาสติปัฏฐาน มีกาย เป็นเบื้องต้น.. -
พอจิตถึงฐาน มันก็เป็นฌานไปในตัว..
พอจิตถึงฐาน มันก็เป็น สติสัมโพชฌงค์..
พอ สติสัมโพสต์ฌงค์เกิดขึ้น สัมโพชฌงค์ อีก หก อย่าง ก็ เกิด มี ตาม มา.. -
หน้า 1 ของ 17