ตัวผมฝึกมโนยิทธิ ขอปูเล่าเรื่องก่อน ท่านที่อ่านอยู่ก็นั่ง อ่านไปก่อนนะครับ
คือ สามเดือนก่อนกลับไทย ผมอยู่เดนมาร์ค แม่ ผมทํางานหนัก เพื่อเงิน
ตัวกระผม เลย พิจารณามาตลอดเลย ว่า เงิน ก็แค่ กระดาษาธรรมดา แต่คนส่วนใหญ่ อยากได้ คนตาย เยอะแยะ ก็เพราะ กระดาษาธรรมดา และผมก็อยากทําบุญไปวัด ตอนแรก ผมไปหาญาติ ที่อุตราดิสถ์ อยู่ คนเดียวส่วนใหญ่ อยู่ลําพังอ่าครับ ในห้อง ผมก็ฟุ้งซ่านนุ้นฟุ้งซ่านี้ เกี่ยวกับพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ ต่างๆ และ ก่อนจะมาอุตรดิสถ์ ญาติ ผม ค่อนข้างจนมาก ผมเลยให้ตังตาผม
ก่อนจะให้ ก็พิจารณา ว่าเงินมันไม่เที่ยง ผมควร ให้ตาผม เอาไปใช้จ่ายญาติผม
ผมหวัง แค่ว่าตอนนั้น ญาติๆ ผมคงจะมีความสุขได้สักพัก ไม่ได้หวังอะไรอีก
พอผมให้เสร็จ และก็ นั่งรถ กลับกรุงเทพ รถ รออยู่แล้ว ผมรู้สึกปลื้ม ใจ อย่างบอกไม่ถูก ตอนนั้น เหมือนมี แสง ไรไม่รู้ พุ่งออกจากหัว ได้สักระยะ ผมปลื้ม เป็นชั่วโมง ผมก็บอกไม่ถูกเหมือน กัน พอมารู้อีกที คือแสงบุญ แต่เค้าบอกว่า แสงบุญจะพุ่งจนไม่รู้ตัว แต่ผมมันพุ่ง ค่อนข้าง มีเวลา และผมก็รู้ตัวเลยแปลกดี
พอ ผมกลับกรุงเทพ ผมก็ฟุ้งซ่าย นอนน้อยมาก ไม่ได้นอนเลยก็ว่าได้ ไปที่ทํางานป้าเจอหนังสือธรรมะ เค้าแจกฟรี เลยหยิบ ง่าน มีเป็น 200 กว่าหน้า ผมเลยอ่านได้แค่ 20 กว่าหน้า เลยไปอ่านประวัติพระพุทธศาสนาแทน แต่ หนังสือ บอกว่า ความคิดไม่ดีฟุ้งซ่าน วิธีจะดับคือ ใช้สติ ปัญญา ดู ผมเลยเข้าใจอย่างง่ายดาย ตอนนั้น ความเหนื่อย ก็มา ผมเลย นอนหลับ คือ หลับเต็มอิ่มเลยก็ว่าได้ และผมก็ซื้อหนังสือ กว่าจะมาเป็นพระพุทธเจ้า และ หนังสือ ธรรมะ อีกหลายอย่าง แต่ ก็อ่านไม่จบ นะตอนแรก และวันต่อมาบอกป้าเลยว่า อยากไปวัด ป้าผม พาไป วัดป่า แถวบ้าน ที่กรุงเทพ ผมเลย จุดธุป ต่อหน้าพระพุทธรูป ตั้งจิตอธิฐาน ว่า สิ่งที่ ตัวผมได้คิดไม่ดี กับพระพุทธเจ้า ผมขอโทษ ยกโทษให้ผม ด้วย ผม ขอให้จิต ผมสงบสุข ผ่องใส บริสุทธิ เสร็จแล้ว
พระท่านก็ ให้สวดมนตร์ตาม นั่งสมาธิ ตอนผมนั่งสมาธิตอนแรกก็ปวดขา แต่พอไปสักพัก หายใจ เข้า หาย ใจ ออก ดูลมหายใจ แต่ไม่ได้ พุทโธคือตอนนั้น ไม่รู้ว่าได้ผลจริงเปล่า เลยภาวนาขอให้จิต ใจสงบ พอผม หยุดคิด ปล่อยมันไป
จิตผม มันดิ่งๆ สุดยอดเลยอะครับ คือไม่ได้ยึดติดอะไรอีกแล้ว ตอนนั้นนะ แต่นั่งแค่ 15 นาที ทําให้จิตผมดิ่งขนาดนี้ ถ้าผมบวช เป็นพระ นี่ ผมคงจะมีความสุข ทั้งชีวิตแน่ๆ แต่พอผมลืมตาเสร็จ รู้สึกเป็นคนละคน ตาผมแน่วแน่ มองไปที่แมว วัดอะครับ ผมมองไป แล้วบอกว่า ท่านมาหาเราเถิด คือคิดแบบนั้น คิดว่าแมวรู้
แมวมันก็ดันมา นั่งซบ ขาผม อ่อ ตอน ผมนั่งสมาธิ มีลมสบายๆ มาด้วย เหมือน สิ่งศักษ์สิทธิ ช่วยผม ให้ความสบายอยู่ อย่างงั้นก็ว่าได้ ตอนนั้น ผมอยากบวช
เลยนะครับ คืออยากบวชจริง ไม่อยากอยู่ครองเรื่อนอีกต่อไปแล้ว ผมบอกปู่บอกพ่อปู่ กับพ่อสนับสนุน แต่ ลุงไม่สนับสนุน เพราะ ผมอายุ 14 เพราะอนาคตยังอีกไกล อาจจะ บวช ตอนโตก็ได้ ควรจะศึกษาทางโลกก่อน ตอนนั้น ผมก็รู้สึกเสียใจนิดหน่อย แต่ก็ไม่ได้มากมาย เพราะ ผมก็รักษาศีล 5 อยู่แล้ว
ผมซื้อหนังสือพระ มา 5 เล่ม แต่อ่านจบเล่มเดียว คือ กว่าจะมาเป็นพระพุทธเจ้า
พอผมอ่านจบ ตอนกลางคืน ตอนนั้น ผมไม่ได้นั่งสมาธิอะไรเลย อยู่ ตาผมเห็นแสงที่ สว่าง กว่า ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ คือขาว มากกกกกกกกกก ถึงสองครั้ง ตอนแรก เห็น แล้ว หลุด แล้วก็ เห็นอีกที ตั้งแต่ ผมเด็ก ผมเรียนสังคมศึกษา
ผมเป็นคนที่ ไม่เชื่อเรื่องใดง่ายๆ เลย คือไม่หูเบา อ่านประวัติพระพุทธเจ้านี้ยิ่งไม่ชื่อใหญ่เลย ตอนนั้น มาถึงตอนนี้ ใช้ปัญญา คิดทีละข้อ เริ่มชื่อ ก็กลายเป็นศัทธา ในที่สุด เลยอยากเป็นพระพุทธเจ้าบ้าง
ต่อเลยนะครับ พอ ผมเห็นแสงสีขาวนั้น ผมคิดในใจก่อนนะครับ ว่า ตัวผมอยากเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต เพราะ อยาก เป็นคนที่ประเสริฐสุขในโลก คนที่มีแต่เมตตา และ อยากสอนด้วยใจจริงๆ อยากให้หลุดพ้น จาก การวนเวียนตายเกิด
ผมเลยตั้ง จิตอธิฐาณ เลยว่า ขอให้ตัวผมตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต
มาถึงตอนนี้ก็ยังแน่วแน่ แต่ พอมาคิดอีกที พระพุทธเจ้านั้นเป็นยาก ผมก็ไม่สน ความพยามอยู่ที่ไหนความสําเร็จอยู่ที่นั้น ก่อนที่จะเป็นพระพุทธเจ้า พระโพธิสัตว์ก็เกิดมา เหมือนผม ไม่รู้กี่ชาติแล้ว ตัวผมก็ ต้องมีชาติใดชาติหนึ่งในอนาคตแหละ ผมก็ได้เป็นแบบนั้นบ้าง ต่อให้ยากสิ่งใด ผมก็จะสู้
พอตอนนั้นเสร็จ ผมรู้สึกว่า มองหน้าหรือนึกคนบางคน จะรู้ได้เลยว่า คนนั้น รู้สึกยังไง คิดไง ชาติก่อนเป็นอย่างไง ( บางคนนะครับ ที่ผมทํานายถูกคือมันยังไม่ชัดเจน อะครับ) ญาติๆ ผมเลย คิดว่าผมเป็นบ้า พาไปหาพระ
คุยธรรม ผมเลยบอกไปว่า อยากเป็นพระพุทธเจ้า เพราะว่า อยากทําลายความเชื่อต่างๆ ที่งมงาย ทําตัวเหมือนสัตว์ กินขี้ ไรพวกนี้ คือไม่ใช่สายกลาง ผมคุยกับพระท่าน จนพระท่าน คอแห้งเลย ผมก็พูดอยู่ไปอย่างงั้นแหละ พระท่านเลย พาไปหา อาจารย์ของพระท่านอีกที แต่อาจารย์ตอนนี้เค้าไม่ได้บวชแล้ว สอนคนช่วย แก้กรรม ( ขอขมานะครับ ไม่ใช่แก้แบบนั้น คือการขอขมา ให้อโหสิให้ และพาไป ภพภุมิที่ดีกว่า นิพพาน ก็ว่าได้ บางวิญญาณนะครับ) ต่างๆ
อาจารย์ ผม ชื่อธวัชชัย พึ่งชัย เค้าบอกว่าตัวผมมี วิญญาณ มาอยู่ในร่างผมทั้งป่าช้า เลยอะครับ เพราะ เค้าบอกว่า ผมเดินหลังค่อม (เพราะวิญญาณแก่ ไรต่างๆๆ เยอะแยะครับ) อาจารย์ของผมก็ ให้จุดธุป และขอ อาราธนา พระบารมีขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และคุณ และพูดตามหลายอย่าง ผมก็จําไม่ได้ อาจารย์ก็ท่านว่า ตอนนี้ พระพุทธเจ้า ทําไรอยู่ ผมบอกไป ว่านั่ง ท่านก็บอกว่าถูก และะก็ ผมเห็น บรรไดทอง พาวิญญาณ ไปแดนพระนิพพาน ( จนถึงตอนนี้
ผมก็ยังไม่แน่ใจ ว่า พาไปนิพพาน หรือ สวรรค์ เพราะ ไปง่ายๆ แค่นี้เลยเหรอ)
เดี่ยวจะมาบอกอีกที คือตอนนั้น จิตผมเห็นเป็นบรรไดทอง และอาจารย์ก็ให้
วิธีฝึกมโนยิทธิมา พอผมกลับเดนมาร์คผมก็ฝึก เกิดนิมิตรหลายอย่าง ตอนแรกเห็นพระ (ผมไม่แน่ใจพระพุทธเจ้าเเปล่า บอกได้แค่ว่า พระแค่นั้น) และ พระพิคเนศ ผมก็ไม่แน่ใจใช่ท่านหรือเป็น เห็นเป็นช้าง ที่เหมือน พระพิคเนศอ่าครับ
เกิดนิมิตร นี่คือ ผมหลับตาก็เห็นเลยนะครับ แต่เห็นเป็นลางๆๆ เหมือน คนหลับตาแล้วมีแสง สีขาว มาแสดง และจะดําบางส่วน เพราะ หลับตา อะครับ พอนั่งสมาธิเมื่อวาร จาก ลาง ผมเห็นเหมือน แบบจริงๆ เลย ผมเลย แปลกใจ ปกติเห็นแบบลางๆ แต่เห็นแบบนี้ แปลกดี แต่ก็เฉยๆ รู้แค่ว่า เค้าคอยคุ้มครองก็พอใจแล้ว
แต่ถ้าเป็นเหล่ามาร ผมก็ บอกไปว่า ท่านอย่าทําแบบนี้เลย อย่าทําให้เราหลงทางเลย มันเป็นบาปนะ ผมก็แผ่เมตตา ไป คิดว่าเค้าก็ไม่รับเหมือนกัน ผมก็คิดอีกว่า
ขนาด พญามาร จะเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตได้ ทําไมเหล่ามาร จะเข้าใจธรรมไม่ได้ เป็นถึง มาร เทวดา ที่ไม่ดี ก็สามารถเข้าใจธรรมได้เหมือนกัน
อ่อก็มีตอนหนึ่งผม อยากเห็นพระพุทธเจ้า ตัวเป็นๆ อยากให้ท่านมาเข้าฝัน แต่ผมก็ไม่เคยมีฝันแบบนี้เลย ผมเลยละความพยายาม นั้น ผมคิดว่าท่านก็ช่วยแต่อาจจะไม่มาให้เห็น ผมเลย นั่งสมาธิไม่ได้คิดไร ตอนนั้น ผมเห็น พระ นั่งอยู่ใต้ต้นไม้ ผมคิดว่าเป็นผม กายในของผม เพราะตอนนั้น ผมอยากเห็นตัวเอง ผมเห็น ว่า พระคนนั้น ผมไม่แน่ใจเรียกพระถูกเปล่า เท่าที่ผมเห็นคือ เค้า เครื่องสวมใส่เขา มี ชดา ตรงเสื้อ เป็น เสื้อ แต่ไม่ได้ปิด ตรงกลาง ปิดแค่ หน้าอก ตรงกล้างหน้าท่องไม่ได้ปิด และตรง เข็มขัด หัวเข็มขัด เป็น กลมๆ กางเกง ก็ปกติ (บอกไม่ถูกเป็นไง) มีกําไรทองที่ข้อเท้าด้วย และ ผมเห็น รู้ได้เลยว่า เค้าเหนื่อย เหงื่อออกมาก ตอนนั้น เหมือนจะหา ทางพ้นทุกข์ แต่เค้าเหนื่อย มากๆ หมองขํา ชุดแต่งกายเค้า หมอง ผมตีได้สองอย่าง 1. อาจจะเป็นกายในผม( คือกายเทวดา) 2.อาจจะเป็นพระพุทธเจ้า 3. อาจจะเป็นสิ่งที่มาหลอกผม เหล่ามาร
ขอถามต่อเลยนะครับ นิมิตรที่ผมเห็นนี่แค่หลับตาก็เห็น พระ นี่คือ ท่านคอยมคุ้มครองดูแลใช่ไหม อ่อ ผมหลับตาเห็นนี่ ก็เพราะ ก่อนจะทานข้าว ท่าตอนไหนมีเวลา จะ นึกว่า ถวายองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และก่อนนอน ก็ขอให้ไปนอน บนแดนพระนิพพาน แบบนี้ ก่อนตื่น ก็นึกเห็นพระ เป็นพุทธนุสติ ก่อนอ่าครับ
อ่อ ก่อนที่ผมจะตั่ง ผมถาม คนหนึ่ง ที่ศึกษาด้านนี้มาเค้าอยู่เดนมาร์คผมโทรไปถามเค้าเลย เค้าบอกว่า สิ่งที่ผมเห็นเนี่ย คือจริง แต่ไม่จริง เค้าสอนธรรมะ ผมด้วยผมชอบ เลยชอบโทรไปคุย เลยอยากถาม หลวงปู่ฤษีลิงดํา นี่ท่านได้บอกไหมครับ ว่า ถ้าเห็นพระนี่ คือเห็นจริง แต่ในกระดาษ บอกว่าคือเห็นจริง แต่ ไม่จริง ผมไม่รู้มาจากไหน อ่าครับ
ตัวผมฝึกมโนยิทธิ แล้ว เห็นนิมิตร หลายอย่าง
ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ballbeamboy2, 8 ตุลาคม 2011.
-
-
ส่วนใหญ่จะเป็นนิมิตที่แทรกเข้ามานะครับ...เพ็นเพราะการจิตนาการมากกว่า....
วิชชามโนมยิทธิแท้นั้น....เมื่อคุณไปสงสัยตอนเห็นภาพ ภาพจะตัดไปทันทีเลยครับ....เพราะว่านิวรณ์เข้า....มโนมยิทธิจะเกิดจากกอารมณ์แรกที่เราไม่ได้มีความคิดเข้าไปปรุงแต่งไว้ก่อน สักเกตง่ายๆเลยนะครับ คุณได้คิดก่อนไมก่อนที่คุณจะเห็นภาพนั้น หรือ คุณได้มีความคิดวางแผนไว้หรือไม่ว่าเขาจะต้องเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ต้องพูดว่าอย่างนั้นอย่างนี้...อันนี้ระวังนะครับ....การฝึกในสายของเตวิชโชนี่ เจอเทวบุตรมารได้มาก ในขณะที่สุขวิปัสโก ไม่เจอเลยนะครับ เทวบุตรมารนี่....
จุดประสงค์ของการฝึกมโนฯ นั้นฝึกไว้เพื่อรู้นะครับ..ไม่ว่าเรื่องภพภูมิ กรรม .ตลอดจนเรื่องต่างๆ แต่ไม่ได้หมายถึงว่าให้ยึดติดถือมั่น เป็นการรู้เพื่อเข้าใจ ละวาง และถอดถอนกิเลส...
ว่างๆถ้าคุณจะทดสอบอารมณ์จิตว่าคล่องตัวหรือไม่ คุณสามารถฝึกได้เช่น การมองของที่อยู่ในตู้ ในถุง เลขธนบัตร อะไรอย่างนี้เป็นต้น ซ้อมอารมณ์จนไม่ผิดพลาด รู้จักวิธีวางอารมณ์ให้ถูกต้อง....นะครับ....
อย่าลืมว่าที่ฝึกอยู่นั้นเป็นโลกียฌาน สามารถเสื่อมได้ ต้องทรงไว้ให้ดีเสมอ....
ส่วนในเรื่องของคำกล่าวที่ว่าของที่เห็นเห็นจริง แต่มันไม่จริงนั้น...เป็นคำพูดของครูบาอาจารย์สายพระป่านท่านหนึ่งครับ ท่านมุ่งหวังให้ศิษย์ไม่หลงติดในนิมิต ท่านเป็นอุปนิสัยสุขวิปัสสโก ฝ่่ายสุขวิปัสสโกนี้เขา ไม่เห็นนรก ไม่เห็นสวรรค์ ไม่มีอภิญญา เป็นเรื่องปกติครับที่ท่านจะกล่าวเช่นนั้น... -
mamboo ก็นั่งสมาธิไม่เก่งหรอกนะคะ --'
แต่ขอพูดอะไรหน่อย นิดๆหน่อยๆ (ปกติไม่ค่อยอยากพูด เพราะคิดว่า เป็นกันทุกคน)
เมื่อก่อนนี้ mamboo เป็นพวก บ้าวิทยาศาสตร์ ไม่เคยเชื่อเรื่องจิตวิญญาณเลย ไม่เคยเชื่อเรื่องโลกหลังความตายเลย ไม่เคยสนใจศึกษาธรรมะเลย (เข้าแต่เวบ NASA)
-----
จนมีอยู่วันหนึ่ง ตอนอายุ 21 ปี
ขอข้ามรายละเอียดเลยนะ (มันยาว) สรุปคือ mamboo ได้มีโอกาสนั่งสมาธิ (เมื่อก่อนคิดว่า นั่งสมาธิเนี่ย นั่งหลับตาเฉยๆ ก็เลยไม่รู้สึกอะไร) แต่พอได้มีโอกาสนั่งสมาธิ จับลมหายใจ เข้า-ออก
mamboo ภาวนา พุทธ-โธ บ้าง.. บางทีก็ภาวนา ยุบหนอ-พองหนอ (คือ ทำแบบไม่ค่อยรู้เรื่องไง >< ลองทำมั่วๆ เดาๆดู)
อ่านบางที่บอกให้รวมสติไว้ที่ ท้องน้อย บางที่บอกให้รวมที่ปลายจมูก บางที่บอกให้รวมที่จุดกึ่งกลางระหว่างคิ้ว..
mamboo ก็ลองทำ หมดเลย!! ทำทุกวิธี(ที่อ่านเจอ)
ทำแบบไม่มีครูนะ อ่านในเน็ตนี่ล่ะ แล้วก็ทำ..
--------
mamboo เคยอ่านมานะ.. เขาว่า นั่งสมาธิ ถ้าจะถอดจิต หรือว่าจะมี six sense เนี่ย ต้องนั่งเป็นปีๆ วันละไม่ต่ำกว่า 1 ชม. นั่งทุกวัน เป็นปีๆ
ตอนที่ mamboo นั่งอ่ะ mamboo ก็คิดนะ ว่า.. ต้องทำแบบนี้เป็นปีๆ
แต่เชื่อไหม?? คนไม่เคยนั่งสมาธิมาก่อน พอมานั่ง แล้วมันยากมาก! ><
จิตมันฟุ้งซ่าน คิดไปเรื่องนู้นเรื่องนี้ (คำภาวนาหายตลอด) สมมติว่าเรานั่งไปได้สัก 5 นาที จิตเรามันจะออกไปฟุ้งซ่านซะ 10 นาที กว่าจะรู้ตัวนี่ก็ เสียเวลาไปเยอะมากๆๆๆๆ
แต่ mamboo ก็ไม่ท้อ.. (เพราะว่า ต้องการพิสูจน์ ว่าวิญญาณนเนี่ย มีจริงไหม)
เราก็ไม่คิดว่ามันจะเห็นผลเร็วขนาดนี้.. แต่เร็วมากจริงๆ ><
แค่ 3 วัน
3 วัน หลังการพยายามนั่งสมาธิ แบบต่างๆ นั่งไม่เก่งหรอก จิตก็ไม่ค่อยสงบหรอก แต่เราก็พยายาม
แล้วตั้งแต่นั้น.. มันก็เริ่มมา ทีละเรื่อง ทีละเรื่อง
ได้ยินเสียงข้างหูบ้างล่ะ เห็นแสงขาวๆพุ่งมาบ้างล่ะ เคยเห็นกายทิพย์ตัวเองด้วย (ไม่ได้ถอดจิตนะ แต่เคยนอนแล้วตื่นมากระทันหัน แล้วมันขยับตัวไม่ได้ ก็เลยพยายามยกแขนตัวเอง แล้วก็เห็นแขนมันยกขึ้นจริงๆ แต่มันยกขึ้นแบบทะลุผ้าห่มออกมา เป็นโปร่งๆแสงเลยอ่ะ)
แล้วก็เคยโดน แสงขาวๆดูด ไปอยู่อีกมิติหนึ่ง
mamboo ไปติดกับ กับเรื่องพวกนี้อยู่ เป็นปี.. พยายามเข้ามาถามในเวบพลังจิตนี่แหละ ก็มีคนตอบไปต่างๆนาๆ.. สุดท้าย เราก็ยังไม่ได้คำตอบที่ตรงกับคำถาม
mamboo ตัดสินใจ เลิกถาม แล้วศึกษาเรื่องพวกนี้เอง.. ลองใหม่ ลองนั่งสมาธิใหม่ ถ้ามีแสงขาวพุ่งมาแล้วจะดูดเรา เราก็ปล่อยให้มันดูดเลย เข้าไปในโลกทิพย์เลย
mamboo ฝึกสมาธิ ทั้งกลางวัน และกลางคืน ก่อนนอนก็อย่าหลับ ต้องมีสติตลอดเวลา 24 ชม.
จนตอนนี้... (4 ปีผ่านไป)
อย่าว่าอย่างนู้นอย่างนี้เลยนะ.. กว่า mamboo จะได้ศึกษาพระธรรมของพระพุทธเจ้าเนี่ย mamboo ก็ทดลองพวกเรื่องจิตวิญญาณมาเยอะ
และทั้งหมด ได้ผลสรุปว่า..
"สติ" เท่านั้น! ที่จะทำให้เห็นของจริง
และ mamboo ค่อนข้างมั่นใจว่า สิ่งที่คุณ จขกท. เห็นอ่ะ.. ไม่จริง.. เป็นสิ่งที่ "จิตของเรา" ปรุงแต่งขึ้น หมดเลย!!!
พระพุทธเจ้า ท่านไม่มีรูปร่างหรอกนะคะ หากท่านจะมาพบพวกเรา ท่านอาจจะมาในร่างเมื่อตอนที่ท่านเป็นพระพุทธเจ้า แต่ถ้าท่านจะมา ท่านต้องมีเหตุผล เช่น มาสอนธรรมะ
แต่ถ้าคุณเห็นพระพุทธเจ้า ใส่ชุดอะไร นั่งอยู่ใต้ต้นไม้ mamboo ว่า มันเป็นจิตปรุงแต่ง (เพราะคนที่ กำลังสติยังไม่มากพอ ก็มักจะ มองเห็นเรื่อยเปื่อย)
ปกติ ตาทิพย์ของพวกเรา มันจะทำงานโคกัน ประสานกัน กับข้อมูลในสมองที่ถูกส่งผ่านมาจากตาเนื้อ.. แล้วแปลงผลเป็นภาพที่พวกเราเห็นตอนตื่น
แต่พอตอนหลับ หรือตอนที่จิตมันแยกจากการทำงานของร่างกาย ตาทิพย์นี้ มันจะไม่ได้ทำงานประสานกับข้อมูลจากสมองแระ.. แต่มันจะทำงาน แบบ มั่วๆ (ผ่านข้อมูลในจิตใต้สำนึกของเรา)
ดังนั้น เมื่อจิตของคุณ(ส่วนของการมองเห็น)แยกออกจากการทำงานประสานกับตาเนื้อ มันจะทำงานของมันเอง(เพราะมันไม่เคยหยุดทำงาน) ที่เห็นชัดๆทุกๆวัน ก็คือ โลกความฝันอ่ะแหละ แต่เวลาฝัน สติจะน้อยกว่า เวลานั่งสมาธิ
ถ้านั่งสมาธิ แล้วจิตไม่สงบ แล้วยังยึดกับสิ่งต่างๆทางโลก เราก็จะมองเห็นภาพนิมิต เป็นสิ่งของบนโลก
แต่ mamboo ศึกษาเรื่องจิตวิญญาณมามากพอควร จะบอกให้เลยว่า สิ่งรอบๆตัวเรา ที่เรามองเห็นด้วยตาเนื้อเนี่ย.. มันไม่ได้มีรูปร่างหน้าตาแบบนี้หรอก.. (แต่ตาเนื้อของเรา มองเห็นมันเป็นแบบนี้ มันถูกจำกัดให้มองเห็นได้แบบนี้)
ดังนั้น.. ถ้าอยากรู้ว่า สิ่งที่เห็นในภาพนิมิตนั้น เป็นของจริงหรือปลอม ก็ดูได้จาก ถ้าคุณยังเห็นพระพุทธเจ้าเป็นมนุษย์ ถ้าคุณยังเห็นต้นไม้ ใบไม้ ตู้เย็น เสื้อผ้า โทรทัศน์ ฯลฯ เหมือนกับที่เห็นๆอยู่บนโลก.. ก็แสดงว่า สิ่งที่คุณเห็น คุณเห็นด้วย จิตใจที่ "ยึดติดทางโลก" และมันไม่ใช่ของจริง
ถ้าอยากเห็นของจริง คุณต้องมีกำลังสติให้มากๆ และต้องละทางโลก ต้องจิตใจสงบให้มากๆ และไม่ยึดติด
อีกอย่างนะ เวลาเห็นอะไรในนิมิตอ่ะ เราเปลี่ยนมันได้ด้วย.. (เพราะมันไม่ใช่ของจริง) ถ้าไม่เชื่อ คราวหลังลองเปลี่ยนดูสิ่ >< เช่น ถ้าเห็นกระป๋องโค้กในภาพนิมิต ก็ใช้จิตของเรานี่แหละ สั่งให้มันกลายเป็นแมว
เราทำอะไรแบบนี้ ได้หมดเลย
แล้วคนที่ไม่เคยเชื่อเรื่องวิญญาณ คนที่นั่งสมาธิใหม่ๆ เวลาเห็นอะไรแปลกๆ ได้ยินเสียงดังข้างหู เห็นนู่นเห็นนี่ระหว่างนั่งสมาธิ จะชอบเอามาตั้งกระทู้ถามเป็นเรื่องราวใหญ่โต บอกว่ามีเทวดามาหา มาให้เห็น มาทำอย่างนู้นอย่างนี้ บางคนสวดมนต์อยู่ได้ยินเสียงเคาะเพดานห้อง(ถ้าเทวดามาจริงๆ ทำไมเทวดาต้องเคาะเพดานห้องด้วย --' mamboo ว่า เสียงหนูมากกว่า)
-----
ถ้าคุณ จขกท. อยากจะเป็นพระพุทธเจ้าองค์ต่อไปจริงๆ คุณต้องละทางโลก ให้ได้
รัก โลภ โกรธ หลง 4 อย่างนี้ เป็นบ่อเกิดแห่งทุกข์ (แต่ก็ไม่มีใครทำได้ นอกจากพระพุทธเจ้า และพระอรหันต์) ปุถุชนทั่วๆไป ทำได้มากสุดก็แค่ ละ โลภ โกรธ หลง แต่ไม่มีใครละ ความรัก ได้..
คุณต้องเข้าใจ อริยสัจ ๔ และ มรรคมีองค์ ๘
และคุณต้องพิจารณาให้เห็น และเข้าใจได้ว่า สรรพสิ่งทั้งหลาย ล้วนเป็นสิ่งลวงตา ไม่มีอยู่จริง
ถ้าคุณยังยึดติดในร่างกายเนื้อหนัง ยึดติดในความอยาก ยึดติดในการมีอยู่ของสรรพสิ่ง คุณก็จะไม่สามารถ มองเห็นความจริง
เพราะจิตใจที่ยึดติดกับสิ่งต่างๆนี่แหละ.. มันทำให้เราตาบอด
ขนาด mamboo บอกคนทั้งหลายว่า "ร่างกายเรานี้ ผ่านการเกิดของจิตวิญญาณ มาหลายครั้ง" (ยังไม่มีใครยอมรับเลย ทุกคนยังยึดอยู่กับร่างกายนี้ ว่าเป็นของตัวเองอยู่ --')
เราชื่อจริง นามสกุล นี้ เป็นลูกพ่อแม่คนนี้ เราคิดว่า ร่างกายนี้เป็นของเรา แต่จริงๆแล้วไม่ใช่.. เราแค่ "ผ่านมา แล้วก็ ผ่านไป" แล้วต่อไปจะมีดวงวิญญาณอื่น ผ่านเข้ามาเกิด แล้วก็ ผ่านไป
ทำไมมันเกิดขึ้นได้.. (ถ้าให้เล่าตรงนี้ ก็เล่าไม่ได้ เพราะมันจะ ยาวมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก!!)
เอาเป็นว่า มันเป็นเรื่องจริง.. โลกนี้ จักรวาลนี้ ไม่มีเส้นแบ่งเวลา จิตวิญญาณ ไม่ขึ้นกับกาลเวลา ไม่กินเนื้อที่ ไม่กินระยะทาง ตัวเราที่เห็นว่าเป็นของเรา ก็ไม่ใช่ของเรา เราแค่ ผ่านมา แล้วก็ ผ่านไป แล้วมันก็จะมีดวงวิญญาณดวงอื่นๆ ผ่านมา แล้วก็ผ่านไป -
โมทนากับท่านสายมโนมยิทธิ
พระพุทธเจ้าเป็นผู้สอนวิชา มโยมยิทธิด้วยตัวพระพุทธองค์เอง
มโนมยิทธิญาณ
พุทธดำรัส:-ภิกษุนั้น เมื่อจิตเป็นสมาธิบริสุทธิ์ ผ่องแผ้ว ไม่มีกิเลส ปราศจากอุปกิเลส
อ่อน ควรแก่การงาน ตั้งมั่น ไม่หวั่นไหวอย่างนี้ ย่อมโน้มน้อมจิตไปเพื่อนิรมิต รูปอันเกิด
แต่ใจ คือนิรมิตกายอื่นจากกายนี้ มีรูปเกิดแต่ใจ มีอวัยวะน้อยใหญ่ครบถ้วน มีอินทรีย์ไม่บกพร่อง
ดูกรมหาบพิตร เปรียบเหมือนบุรุษจะพึงชักไส้ออกจากหญ้าปล้อง เขาจะพึงคิดเห็นอย่างนี้ว่า
นี้หญ้าปล้อง นี้ไส้ หญ้าปล้องอย่างหนึ่ง ไส้อย่างหนึ่ง ก็แต่ไส้ชักออกจากหญ้าปล้องนั่นเอง
อีกนัยหนึ่ง เปรียบเหมือนบุรุษจะพึงชักดาบออกจากฝัก เขาจะพึงคิดเห็นอย่างนี้ว่า นี้ดาบ นี้ฝัก
@๑. ญาณทัสสนะ เป็นชื่อของญาณชั้นสูง คือมรรคญาณ ผลญาณ สัพพัญญุตญาณ ปัจจ-
@ เวกขณญาณ และวิปัสสนาญาณ ฯ
@๒. ได้แก่ธาตุ ๔ คือ ดิน, น้ำ, ไฟ, ลม ฯ
ดาบอย่างหนึ่ง ฝักอย่างหนึ่ง ก็แต่ดาบชักออกจากฝักนั่นเอง อีกนัยหนึ่ง เปรียบเหมือนบุรุษ
จะพึงชักงูออกจากคราบ เขาจะพึงคิดเห็นอย่างนี้ว่า นี้งู นี้คราบ งูอย่างหนึ่ง คราบอย่างหนึ่ง
ก็แต่งูชักออกจากคราบนั่นเอง ฉันใด ภิกษุก็ฉันนั้นแล เมื่อจิตเป็นสมาธิบริสุทธิ์ผ่องแผ้ว
ไม่มีกิเลส ปราศจากอุปกิเลส อ่อน ควรแก่การงาน ตั้งมั่น ไม่หวั่นไหว อย่างนี้ เธอย่อม
โน้มน้อมจิตไปเพื่อนิรมิตรูปอันเกิดแต่ใจ คือนิรมิตกายอื่นจากกายนี้ มีรูปเกิดแต่ใจ มีอวัยวะ
น้อยใหญ่ครบถ้วน มีอินทรีย์ไม่บกพร่อง ดูกรมหาบพิตร นี้แหละสามัญผลที่เห็นประจักษ์
ทั้งดียิ่งกว่า ทั้งประณีตกว่าสามัญผลที่เห็นประจักษ์ข้อก่อนๆ.
สามัญญผลสูตร
พุทธดำรัส:- ภิกษุนั้น ย่อมโน้มน้อมจิตไปเพื่อนิรมิตรูปอันเกิดแต่ใจ คือ นิรมิตกายอื่นจากกายนี้
มีรูปเกิดแต่ใจ มีอวัยวะน้อยใหญ่ครบถ้วน มีอินทรีย์ไม่บกพร่อง ดูกรอัมพัฏฐะ เปรียบเหมือน
บุรุษจะพึงชักไส้ออกจากหญ้าปล้อง เขาจะพึงคิดเห็นอย่างนี้ว่า นี้หญ้าปล้อง นี้ไส้หญ้าปล้อง
อย่างหนึ่ง ไส้อย่างหนึ่ง ก็แต่ไส้ชักออกจากหญ้าปล้องนั่นเอง อีกนัยหนึ่ง เปรียบเหมือนบุรุษ
จะพึงชักดาบออกจากฝัก เขาจะพึงคิดเห็นอย่างนี้ว่า นี้ดาบ นี้ฝัก ดาบอย่างหนึ่ง ฝักอย่างหนึ่ง
ก็แต่ดาบชักออกจากฝักนั่นเอง อีกนัยหนึ่ง เปรียบเหมือนบุรุษจะพึงชักงูออกจากคราบ เขาจะพึง
คิดเห็นอย่างนี้ว่า นี้งู นี้คราบ งูอย่างหนึ่ง คราบอย่างหนึ่ง ก็แต่งูชักออกจากคราบนั่นเอง
ฉันใด ภิกษุก็ฉันนั้นแล ย่อมโน้มน้อมจิตไปเพื่อนิรมิตรูปอันเกิดแต่ใจ คือนิรมิตกายอื่นจาก
กายนี้ มีรูปเกิดแต่ใจ มีอวัยวะน้อยใหญ่ครบถ้วน มีอินทรีย์ไม่บกพร่อง แม้ข้อนี้ก็เป็นวิชชา
ของเธอประการหนึ่ง.
อัมพัฏฐสูตร
พุทธดำรัส:-ภิกษุนั้น เมื่อจิตเป็นสมาธิ บริสุทธิ์ผ่องแผ้ว ไม่มีกิเลส ปราศจากอุปกิเลส อ่อน
ควรแก่การงาน ตั้งมั่น ไม่หวั่นไหว อย่างนี้ ย่อมโน้มน้อมจิตไปเพื่อนิรมิตรูปอันเกิดแต่ใจ
คือ นิรมิตกายอื่นจากกายนี้มีรูปเกิดแต่ใจ มีอวัยวะน้อยใหญ่ครบถ้วน มีอินทรีย์ไม่บกพร่อง
ดูกรพราหมณ์ เปรียบเหมือนบุรุษจะพึงชักไส้ออกจากหญ้าปล้อง เขาจะพึงคิดเห็นอย่างนี้ว่า
นี้หญ้าปล้อง นี้ไส้ หญ้าปล้องอย่างหนึ่ง ไส้อย่างหนึ่ง ก็แต่ไส้ชักออกจากหญ้าปล้องนั่นเอง
อีกนัยหนึ่ง เปรียบเหมือนบุรุษจะพึงชักดาบออกจากฝัก เขาจะพึงคิดเห็นอย่างนี้ว่า นี้ดาบ นี้ฝัก
ดาบอย่างหนึ่ง ฝักอย่างหนึ่ง ก็แต่ดาบชักออกจากฝักนั่นเอง อีกนัยหนึ่ง เปรียบเหมือนบุรุษ
จะพึงชักงูออกจากคราบ เขาจะพึงคิดเห็นอย่างนี้ว่า นี้งู นี้คราบ งูอย่างหนึ่ง คราบอย่างหนึ่ง
ก็แต่งูชักออกจากคราบนั่นเอง ฉันใด ภิกษุก็ฉันนั้นแล เมื่อจิตเป็นสมาธิ บริสุทธิ์ผ่องแผ้ว
ไม่มีกิเลส ปราศจากอุปกิเลส อ่อน ควรแก่การงาน ตั้งมั่น ไม่หวั่นไหว อย่างนี้ เธอย่อม
โน้มน้อมจิตไปเพื่อนิรมิตรูปอันเกิดแต่ใจ คือ นิรมิตกายอื่นจากกายนี้ มีรูปเกิดแต่ใจ มีอวัยวะ
น้อยใหญ่ครบถ้วน มีอินทรีย์ไม่บกพร่อง ดูกรพราหมณ์ แม้ข้อนี้ก็เป็นปัญญาของเธอ
ประการหนึ่ง.
โสณทัณสูตร
พุทธดำรัส:-ภิกษุนั้นย่อมโน้มน้อมจิตไปเพื่อนิรมิตรรูปอันเกิดแต่ใจ คือ นิรมิตกายอื่นจากกายนี้
มีรูปเกิดแต่ใจ มีอวัยวะน้อยใหญ่ครบถ้วน มีอินทรีย์ไม่บกพร่อง ดูกรพราหมณ์ เปรียบเหมือน
บุรุษจะพึงชักไส้ออกจากหญ้าปล้อง เขาจะพึงคิดเห็นอย่างนี้ว่า นี้หญ้าปล้อง นี้ไส้ หญ้าปล้อง
อย่างหนึ่ง ไส้อย่างหนึ่ง ก็แต่ไส้ชักออกจากหญ้าปล้องนั่นเอง อีกนัยหนึ่ง เปรียบเหมือนบุรุษ
จะพึงชักดาบออกจากฝัก เขาจะพึงคิดเห็นอย่างนี้ว่า นี้ดาบ นี้ฝัก ดาบอย่างหนึ่ง ฝักอย่างหนึ่ง
ก็แต่ดาบชักออกจากฝักนั่นเอง อีกนัยหนึ่ง เปรียบเหมือนบุรุษจะพึงชักงูออกจากคราบ เขาจะ
พึงคิดเห็นอย่างนี้ว่า นี้งู นี้คราบ งูอย่างหนึ่ง คราบอย่างหนึ่ง ก็แต่งูชักออกจากคราบนั่นเอง
ฉันใด ภิกษุก็ฉันนั้นแล เธอย่อมโน้มน้อมจิตไปเพื่อนิรมิตรูปอันเกิดแต่ใจ คือนิรมิตกายอื่น
จากกายนี้ มีรูปเกิดแต่ใจ มีอวัยวะน้อยใหญ่ครบถ้วน มีอินทรีย์ไม่บกพร่อง ดูกรพราหมณ์
นี้แหละเป็นยัญซึ่งใช้ทรัพย์น้อยกว่า มีการตระเตรียมน้อยกว่า และมีผลมากกว่า มีอานิสงส์ มากกว่า กว่ายัญก่อนๆ.
กูฏทันตสูตร
พุทธดำรัส:-ภิกษุนั้น เมื่อจิตเป็นสมาธิบริสุทธิ์ผ่องแผ้ว ไม่มีกิเลส ปราศจากอุปกิเลส อ่อน
ควรแก่การงาน ตั้งมั่น ไม่หวั่นไหว อย่างนี้ ย่อมโน้มน้อมจิตไปเพื่อนิรมิตรูปอันเกิดแต่ใจ
คือ นิรมิตกายอื่นจากกายนี้ มีรูปเกิดแต่ใจ มีอวัยวะน้อยใหญ่ครบถ้วน มีอินทรีย์ไม่บกพร่อง
ดูกรผู้มีอายุ ภิกษุใดรู้อย่างนี้ เห็นอย่างนี้ ภิกษุนั้นควรหรือที่จะกล่าวว่า ชีพก็อันนั้น สรีระก็อันนั้น
หรือว่าชีพอย่างหนึ่ง สรีระอย่างหนึ่ง บรรพชิตทั้งสองนั้นกล่าวว่า ท่านผู้มีอายุ ภิกษุใด
รู้อย่างนี้ เห็นอย่างนี้ ภิกษุนั้นไม่ควรจะกล่าวว่า ชีพก็อันนั้น สรีระก็อันนั้น หรือว่าชีพอย่างหนึ่ง
สรีระอย่างหนึ่ง ดูกรผู้มีอายุ เรารู้อย่างนี้ เห็นอย่างนี้ เราจึงมิได้กล่าวว่า ชีพก็อันนั้น
สรีระก็อันนั้น หรือว่าชีพอย่างหนึ่ง สรีระอย่างหนึ่ง.
มหาลิสูตร
พุทธดำรัส:-ภิกษุนั้น เมื่อจิตเป็นสมาธิ บริสุทธิ์ผ่องแผ้ว ไม่มีกิเลส ปราศจากอุปกิเลส อ่อน
ควรแก่การงาน ตั้งมั่น ไม่หวั่นไหว อย่างนี้ ย่อมโน้มน้อมจิตไปเพื่อนิรมิตรรูปอันเกิดแต่ใจ คือ
นิรมิตกายอื่นจากกายนี้ มีรูปเกิดแต่ใจ มีอวัยวะน้อยใหญ่ครบถ้วน มีอินทรีย์ไม่บกพร่อง ดูกร
ผู้มีอายุ ภิกษุใดรู้อย่างนี้ เห็นอย่างนี้ ภิกษุนั้นควรหรือที่จะกล่าวว่า ชีพก็อันนั้น สรีระก็อันนั้น
หรือว่าชีพอย่างหนึ่ง สรีระอย่างหนึ่ง บรรพชิตทั้งสองนั้นกล่าวว่า ท่านผู้มีอายุ ภิกษุใดรู้อย่างนี้
เห็นอย่างนี้ ภิกษุนั้นไม่ควรจะกล่าวว่า ชีพก็อันนั้น สรีระก็อันนั้น หรือว่าชีพอย่างหนึ่ง สรีระ
อย่างหนึ่ง ดูกรผู้มีอายุ เรารู้อย่างนี้ เห็นอย่างนี้ เราจึงมิได้กล่าวว่า ชีพก็อันนั้น สรีระก็อันนั้น
หรือว่าชีพอย่างหนึ่ง สรีระอย่างหนึ่ง.
ชาลิยสูตร
พุทธดำรัส:-ภิกษุนั้น เมื่อจิตเป็นสมาธิ บริสุทธิ์ผ่องแผ้ว ไม่มีกิเลส ปราศจากอุปกิเลส
อ่อน ควรแก่การงาน ตั้งมั่น ไม่หวั่นไหวอย่างนี้ ย่อมโน้มน้อมจิตไปเพื่อนิรมิตรูปอันเกิดแต่ใจ
คือนิรมิตกายอื่นจากกายนี้ มีรูปเกิดแต่ใจ มีอวัยวะน้อยใหญ่ครบถ้วน มีอินทรีย์ไม่บกพร่อง.
ดูกรมาณพ เปรียบเหมือนบุรุษจะพึงชักไส้ออกจากหญ้าปล้อง เขาจะพึงคิดเห็นอย่างนี้ว่า
นี้หญ้าปล้อง นี้ไส้ หญ้าปล้องอย่างหนึ่ง ไส้อย่างหนึ่ง ก็แต่ไส้ชักออกจากหญ้าปล้องนั่นเอง
อีกนัยหนึ่ง เปรียบเหมือนบุรุษจะพึงชักดาบออกจากฝัก เขาจะพึงคิดเห็นอย่างนี้ว่า นี้ดาบ นี้ฝัก
ดาบอย่างหนึ่ง ฝักอย่างหนึ่ง ก็แต่ดาบชักออกจากฝักนั่นเอง อีกนัยหนึ่ง เปรียบเหมือนบุรุษ
จะพึงชักงูออกจากคราบ เขาจะพึงคิดเห็นอย่างนี้ว่า นี้งู นี้คราบ งูอย่างหนึ่ง คราบอย่างหนึ่ง
ก็แต่งูชักออกจากคราบนั่นเอง ฉันใด ภิกษุก็ฉันนั้นแล เมื่อจิตเป็นสมาธิ บริสุทธิ์ผ่องแผ้ว
ไม่มีกิเลส ปราศจากอุปกิเลส อ่อน ควรแก่การงาน ตั้งมั่น ไม่หวั่นไหว อย่างนี้ เธอย่อม
โน้มน้อมจิตไปเพื่อนิรมิตรูปอันเกิดแต่ใจ คือนิรมิตกายอื่นจากกายนี้ มีรูปเกิดแต่ใจ มีอวัยวะ
น้อยใหญ่ครบถ้วน มีอินทรีย์ไม่บกพร่อง แม้ข้อนี้ก็เป็นปัญญาของเธอประการหนึ่ง.
สุภสูตร
พุทธดำรัส:-ภิกษุนั้น เมื่อจิตเป็นสมาธิ บริสุทธิ์ผ่องแผ้ว ไม่มีกิเลส ปราศจากอุปกิเลส อ่อน
ควรแก่การงาน ตั้งมั่น ไม่หวั่นไหว อย่างนี้ ย่อมโน้มน้อมจิตไปเพื่อนิรมิตรูปอันเกิดแต่ใจ คือ
นิรมิตกายอื่นจากกายนี้ มีรูปเกิดแต่ใจ มีอวัยวะน้อยใหญ่ครบถ้วน มีอินทรีย์ไม่บกพร่อง
ดูกรเกวัฏฏ์ เปรียบเหมือนบุรุษจะพึงชักไส้ออกจากหญ้าปล้อง เขาจะพึงคิดเห็นอย่างนี้ว่า นี้
หญ้าปล้อง นี้ไส้ หญ้าปล้อง อย่างหนึ่ง ไส้อย่างหนึ่ง ก็แต่ไส้ชักออกจากหญ้าปล้องนั่นเอง
อีกนัยหนึ่ง เปรียบเหมือนบุรุษจะพึงชักดาบออกจากฝัก เขาจะพึงคิดเห็นอย่างนี้ว่า นี้ดาบ นี้ฝัก
ดาบอย่างหนึ่ง ฝักอย่างหนึ่ง ก็แต่ดาบชักออกจากฝักนั่นเอง อีกนัยหนึ่ง เปรียบเหมือนบุรุษ
จะพึงชักงูออกจากคราบ เขาจะพึงคิดเห็นอย่างนี้ว่า นี้งู นี้คราบ งูอย่างหนึ่ง คราบอย่างหนึ่ง
ก็แต่งูชักออกจากคราบนั่นเอง ฉันใด ภิกษุก็ฉันนั้นแล เมื่อจิตเป็นสมาธิ บริสุทธิ์ผ่องแผ้ว
ไม่มีกิเลส ปราศจากอุปกิเลส อ่อน ควรแก่การงาน ตั้งมั่น ไม่หวั่นไหว อย่างนี้ ย่อมโน้มน้อม
จิตไปเพื่อนิรมิตรูปอันเกิดแต่ใจ คือนิรมิตกายอื่นจากกายนี้ มีรูปเกิดแต่ใจ มีอวัยวะน้อยใหญ่
ครบถ้วน มีอินทรีย์ไม่บกพร่อง ดูกรเกวัฏฏ์ แม้ข้อนี้ก็เรียกว่าอนุสาสนีปาฏิหาริย์.
เกวัฏฏสูตร
พุทธดำรัส:- ภิกษุนั้น เมื่อจิตเป็นสมาธิ บริสุทธิ์ผ่องแผ้ว ไม่มีกิเลส ปราศจากอุปกิเลส อ่อน
ควรแก่การงาน ตั้งมั่น ไม่หวั่นไหวอย่างนี้ ย่อมโน้มน้อมจิตไปเพื่อนิรมิตรูปอันเกิดแต่ใจ
คือ นิรมิตกายอื่นจากกายนี้ มีรูปเกิดแต่ใจ มีอวัยวะน้อยใหญ่ครบถ้วน มีอินทรีย์ไม่บกพร่อง
ดูกรโลหิจจะ เปรียบเหมือนบุรุษจะพึงชักไส้ออกจากหญ้าปล้อง เขาจะพึงคิดเห็นอย่างนี้ว่า นี้
หญ้าปล้อง นี้ไส้ หญ้าปล้องอย่างหนึ่ง ไส้อย่างหนึ่ง ก็แต่ไส้ชักออกจากหญ้าปล้องนั่นเอง อีก
นัยหนึ่ง เปรียบเหมือนบุรุษจะพึงชักดาบออกจากฝัก เขาจะพึงคิดเห็นอย่างนี้ว่า นี้ดาบ นี้ฝัก
ดาบอย่างหนึ่ง ฝักอย่างหนึ่ง ก็แต่ดาบชักออกจากฝักนั่นเอง อีกนัยหนึ่ง เปรียบเหมือนบุรุษ
จะพึงชักงูออกจากคราบ เขาจะพึงคิดเห็นอย่างนี้ว่า นี้งู นี้คราบ งูอย่างหนึ่ง คราบอย่างหนึ่ง
ก็แต่งูชักออกจากคราบนั่นเอง ฉันใด.
ภิกษุก็ฉันนั้นแล เมื่อจิตเป็นสมาธิ บริสุทธิ์ผ่องแผ้ว ไม่มีกิเลส ปราศจากอุปกิเลส อ่อน
ควรแก่การงาน ตั้งมั่น ไม่หวั่นไหวอย่างนี้ เธอย่อมโน้มน้อมจิตไปเพื่อนิรมิตรูปอันเกิดแต่ใจ
คือนิรมิตกายอื่นจากกายนี้ มีรูปเกิดแต่ใจ มีอวัยวะน้อยใหญ่ครบถ้วน มีอินทรีย์ไม่บกพร่อง
ดูกรโลหิจจะ สาวกได้บรรลุคุณวิเศษอันโอฬารเห็นปานนี้ ในศาสดาใด ศาสดานี้แล ไม่ควร
ท้วงในโลก อนึ่ง การท้วงศาสดาเห็นปานนี้ นั้น ก็ไม่จริง ไม่แท้ ไม่เป็นธรรม ประกอบ
ด้วยโทษ.
โลหิจจสูตร
<!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end --> -
ผมขี้เกียจก่อความยาวสาวความยืด
ขนาดละลึกชาติได้แล้วนะเนี่ย -
แต่ยังไงสักวัน ผมคงจะละลึกชาติได้ จริงๆ หลายชาติ ไม่แน่ ผมก็ไม่แน่ใจหรอก
ส่วนคุณ Mamboo อืมครับขอบคุณ แต่ ตอนที่ผมเห็นพระนั่งใต้ต้นไม้เนี่ย ผมหลับตา แล้ว ก็ยังไม่เชื่อ พอลืมตา ภาพมันติดตาอยู่ ผมก็เฉย ที่ผมหลับตาเห็นพระ ผมก็ยังไม่ค่อยเชื่ออยู่ดี อาจจะ มารหรอก ก็ได้ ผมก็ยังต้องยึดติดทางโลกอยู่ต่อไป ต้องงเลี้ยงดูพ่อแม่ เมื่อบวช ก็ ทางธรรม แล้ว ไม่มีอะไรให้ยึดติด อีกแล้ว ชื่อเสียงเงินไทย ก็ไม่จําเป็น ก็พยายาม ผมก็ต้องยึดติด ในพระพุทธ พระ ธรรม พระสงฆ์ ยัง วางไม่ได้ บอกไม่ถูก ไม่อยากวาง ถ้าวางก็วางแปปเดียว คิด แบบ รัก พระพุทธเจ้า ชอบคําสั่งสอน รักพระสงฆ์แบบนี้ อ่าครับ ผมก็เชื่อ ที่ คุณ Mamboo พูด ชื่อนี้ นุ้นนี้ ตระกูลนี้ ก็ไม่ใช่ของเรา จิต มันอยากจะ หาทาง พ้นทุขก์ มันอยากจะไป นิพพาน แต่ มีเหตุไปไม่ได้ ตัณหา ราคะ โทสะ โมหะ อีกหลายอย่าง จิต มันอยากรู้สัจธรรม จะได้ ไม่หลง งมงายต่างๆ :( ตัวผมดับไม่ได้ เป็นปุถุชน ผมทําได้ มากสุดคือละ และก็ ทําให้ มันเบาบาง ลง ก็แค่นั้น แต่ตัวผมก็ต้องการ ความรัก อยู่ดี :D
แต่ แปลกอย่างหนึ่ง เมื่อวาร ผมนั่งสมาธิ แล้วมองไปที่กระดาษ กระดาษมันเคลื่อนที่ ดวงตาผมก็เปลี่ยนเป็นเหมือนเห็นพลังจิต มันเป็นมวลสาร ชนิดหนึ่ง แต่ ออกจากสมาธิก็ปกติ แต่ เคลื่อนที่ นี่ นิดเดียวนะครับ ไม่ได้ เยอะแยะ อ่อ ตอนนั่งสมาธิ ผมนั่งไม่ถึง 10 นาที แล้วเลิก จะนั่งก่อนนอน พอจะนอน ก็ นอน ท่าที่พระพุทธเจ้านอน สัก 5-10 นาที เท่าที่ทนได้ อ่าครับ