ตามรอยพระบาท หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย jinny95, 27 ตุลาคม 2012.

แท็ก: แก้ไข
  1. jinny95

    jinny95 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    6,075
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +9,666
    [​IMG]

    ตามรอยพระบาท



    เทศน์งานครบรอบมรณภาพของหลวงปู่ขาว อนาลโย ณ วัดถ้ำกลองเพล อุดรธานี

    เมื่อวันที่ ๑๖ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๓๒



    นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส
    (๓ หน)



    วันนี้ เป็นวันบรรจบครบรอบแห่งวันมรณภาพของหลวงปู่ขาว ซึ่งชาวเราทั้งหลายก็ได้มาประชุมกันทุกๆ ปีเรื่อยมาจนกระทั่งถึงปีนี้ การกระทำเช่นนี้เป็นการระลึกถึงบุญถึงคุณท่านที่ได้มีแก่โลกมาเป็นลำดับ จนกระทั่งท่านมรณภาพจากไป คติธรรมทั้งหลายที่บรรดาลูกศิษย์ลูกหาได้ยินได้ฟัง ย่อมเป็นที่ระลึกและปฏิบัติตามไว้ได้นาน สาระสำคัญอยู่ที่ตรงนี้ ธรรมะที่ท่านสั่งสอนไว้แล้วอย่างใด ให้นำธรรมะซึ่งเป็นธรรมชาติที่ถูกต้องหรือตายตัวนั้นไปประพฤติปฏิบัติ ประหนึ่งจะเป็นเหมือนกับเราเดินตามหลังท่านไป ท่านถึงวันนั้นเราก็ถึงวันนี้


    เพราะ คำว่าธรรมของพระพุทธเจ้านั้น เป็นธรรมที่ออกมาจากพระทัยคือใจที่บริสุทธิ์ ใจที่บริสุทธิ์กับใจที่มีกิเลสเครื่องมัวหมองมืดตื้อครอบงำอยู่ย่อมต่างกัน การเห็นก็ไม่ชัด การรู้ก็ไม่ชัด ทุกสิ่งทุกอย่างที่เข้ามาสัมผัสสัมพันธ์ตีความหมายไปได้ต่างๆ นานา ซึ่งส่วนมากมักจะผิดไปเสมอ ผิดกับท่านผู้หูแจ้งตาสว่างภายในดังพระพุทธเจ้าของเรา พระพุทธเจ้าของเรานั้นเป็นใจที่สว่างกระจ่างแจ้ง ไม่มีสิ่งใดมาปกปิดกำบัง ถ้าจะเทียบแม้เมฆบางๆ ก็ไม่มีในพระทัยคือใจของท่าน คำว่าเมฆบางๆ นั้นก็หมายถึงกิเลสที่ละเอียดที่สุดอย่างนี้ก็ไม่มีในพระทัยของท่าน จึงเรียกว่าท่านบริสุทธิ์สุดส่วน และเต็มภูมิของศาสดาที่ควรแก่การสั่งสอนสัตว์โลก


    ด้วยเหตุนี้พระธรรมคำสั่งสอนของท่าน ไม่ ว่าส่วนหยาบส่วนกลางส่วนละเอียด จึงรวมเข้าในคำว่าสวากขาตธรรม คือ ตรัสไว้ชอบแล้ว ตรัสไว้ดีแล้วทั้งนั้น การที่ว่าตรัสไว้ชอบแล้วนั้น ก็เหมือนกันกับแถวทางที่ไปสู่จุดนั้นๆ ทางสายนี้ไปสู่บ้านนั้น ทางสายนี้ไปสู่ตำบลหรืออำเภอนั้น ผู้ที่ทำทางเอาไว้ให้ตรงต่อจุดที่หมาย คือบ้านหรือตำบล อำเภอนั้นๆ เรียบร้อยแล้ว แม้ผู้นั้นจะตายไปแล้วก็ตาม ผู้ดำเนินตามหลังก้าวเดินไปตามทางสายนั้น ย่อมถึงจุดที่หมายได้เช่นเดียวกับท่านผู้ทำทางยังมีชีวิตอยู่


    นี่ พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนก็ทรงสั่งสอนด้วยความชอบธรรม คือด้วยความรู้ความเห็นทุกสิ่งทุกอย่าง แล้วจึงได้นำธรรมที่รู้ที่เห็นนั้นมาสั่งสอนสัตว์โลก เวลาสั่งสอนในขณะที่พระองค์ยังทรงพระชนม์อยู่ก็เป็นความถูกต้องแม่นยำอยู่ เช่นนั้น เวลาท่านปรินิพพานผ่านไปแล้วคำสั่งสอนที่ชี้บอกนั้นก็เป็นความถูกต้องแม่นยำ ไม่ได้เคลื่อนคลาดหรือนิพพานไปตามท่านเลย จึงเรียกว่าสวากขาตธรรม คือตรัสไว้ชอบแล้วทั้งทรงมีชีวิตอยู่คือทรงพระชนม์อยู่และปรินิพพานไปแล้ว ธรรมะเหล่านี้ท่านผู้ใดนำไปปฏิบัติ ย่อมเป็นสิริมงคลแก่ท่านผู้นั้นเป็นลำดับลำดา ตามกำลังความสามารถของตนที่ได้บำเพ็ญมากน้อยเพียงไร ผลจะพึงสนองตอบเช่นนั้นเหมือนกันกับพระองค์ยังทรงพระชนม์อยู่ เพราะเป็นคำที่ถูกต้อง


    จึง ขอให้พี่น้องทั้งหลายได้ภาคภูมิใจในความเป็นมนุษย์ของเรา ที่ได้เกิดเป็นมนุษย์แล้วยังได้พบพระพุทธศาสนา อันเป็นธรรมอันเอกของศาสดาผู้มีพระทัยอันบริสุทธิ์ ซึ่ง แสดงไว้แล้วอย่างกระจ่างแจ้งไม่มีปิดบังลี้ลับ ตามหลักความจริงที่มีอยู่เป็นอยู่อย่างไรพระองค์ไม่ทรงลบล้าง เช่นพวกเปรตพวกผีมีพระองค์ก็บอกว่ามี เทวบุตรเทวดาอินทร์พรหมมีพระองค์ทรงรู้ทรงเห็นประจักษ์พระทัยแล้วก็บอกว่ามี นรกมีมีกี่หลุมพระองค์ก็บอกไว้หมด อันนี้เป็นที่เสวยกรรมของสัตว์ที่มีหนักเบาต่างๆ กัน สวรรค์มีกี่ขั้นกี่ภูมิ พระองค์ก็ทรงแสดงไว้เรียบร้อยแล้วทุกอย่างไม่ทรงลบล้าง จนกระทั่งนิพพานพระองค์ก็ทรงแสดงไว้


    นอก จากนั้น ยังทรงแสดงทางที่จะเข้าสู่ความดีสถานที่ดีทั้งหลายเป็นลำดับลำดา ตั้งแต่ภูมิแห่งความเป็นมนุษย์ ต้องเป็นผู้มีศีลธรรมเป็นอย่างน้อย มากกว่านั้นก็สร้างคุณงามความดีเพิ่มเติมแห่งความเป็นมนุษย์ของตนที่ได้เกิด มาเป็นมนุษย์แล้ว ให้เจริญยิ่งๆ ขึ้นไป ก็จะเพิ่มเติมหรือต่อเติมฐานะและความสุขความเจริญของเราให้ยืดยาวและสูงขึ้น ไปเป็นลำดับลำดา นี่พระองค์ก็ทรงสั่งสอนไว้ให้เราทั้งหลายได้ดำเนินตาม


    ส่วน ที่ชั่วพระองค์ทรงได้พบได้เห็นแล้ว เช่น สัตว์นรกที่ตกนรกหมกไหม้อยู่นั้น แน่นอัดกันอยู่ด้วยอำนาจแห่งกรรม เป็นความทุกข์ความทรมานมาก ในโลกทั้งสามนี้ไม่มีผู้ใดที่จะได้รับความทุกข์ความทรมานมากเหมือนสัตว์นรก ที่ตกอยู่ในหลุมแห่ง มหันตทุกข์มหันตโทษนี้เป็นอันดับหนึ่ง แห่งความทุกข์ในแดนสมมุติทั้งสาม คือ กามภพ รูปภพ อรูปภพ แดนนรกนี้เป็นสิ่งที่ให้ความทุกข์แก่บรรดาสัตว์ผู้ทำความหยาบช้าลามกอย่าง มาก เป็นกรรมหนามากให้ได้รับความทุกข์ความทรมานแสนสาหัสอยู่ในแดนนรกหลุมนั้น สัตว์ประเภทใดที่ไปตกนรกหลุมนั้นก็ย่อมจะได้รับความทุกข์เช่นเดียวกัน ไม่มียิ่งหย่อนกว่ากันเลย นี่พระองค์ก็ทรงรู้ทรงเห็นทุกสิ่งทุกอย่าง


    ไม่ ว่าแต่เห็นเพียงนรกนั้นเลยยังเห็นสัตว์นรกที่ตกอยู่นั้น แออัดกันไปด้วยความทุกข์ความทรมานทุกด้านทุกทาง ขึ้นชื่อว่าทุกข์แล้วกองอยู่ในหลุมนรกนั้นหมด ขึ้นชื่อว่าทุกข์ในแดนนี้ก็รวมกันอยู่ในนั้นหมด แดนนรกนี้เป็นแดนที่ให้ความทุกข์แก่สัตว์ ในสามแดนโลกธาตุนี้ไม่มีทุกข์ใดเสมอเหมือนสัตว์ที่ทำกรรมอย่างหนักกรรมหยาบ เช่น ฆ่าบิดา ฆ่ามารดา ฆ่าพระอรหันต์ ทำลายพระพุทธเจ้า ยุยงส่งเสริมให้สงฆ์ที่มีความพร้อมเพรียงสามัคคีเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน อยู่ให้แตกแยกจากกันเป็นสังฆเภท กรรมทั้ง ๕ อย่างนี้แล ผู้ใดทำกรรม ๕ อย่างนี้ผู้นั้นย่อมไม่พ้นจากนรกหลุมนี้ ต้องตกจนได้ และนรกหลุมหนึ่งๆ นั้นมีอายุไม่เหมือนกัน นรกหลุมที่มีความทุกข์ความทรมานมากที่สุดนั้นอายุยืนมากที่สุด แล้วถัดกันลงมาตามอำนาจแห่งกรรมของสัตว์ผู้ทำบาปชั่วช้าลามกขึ้นมาโดยลำดับ จนกระทั่งถึงมาเป็นสัตว์เดรัจฉาน และกลายมาเป็นมนุษย์ซึ่งเป็นสัตว์พิเศษอันหนึ่งจากบรรดาสัตว์ทั้งหลาย นี้ก็เพราะอำนาจแห่งกรรมดีของตน


    จึง ได้พูดให้พี่น้องทั้งหลายฟังในต้นๆ นั้นว่า เราที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์นี้เป็นบุญลาภของเราอันประเสริฐแล้วประการหนึ่ง ประการที่สองเรายังได้มาพบพระพุทธศาสนา อันเป็นคำสั่งสอนของท่านผู้รู้ผู้ฉลาด เป็นคำสั่งสอนของท่านผู้มีใจบริสุทธิ์วิมุตติหลุดพ้น เห็นแจ้งกระจ่างไปเสียทุกสิ่งทุกอย่างมาประกาศสอนธรรมแก่โลก เราจึงไม่ผิดหวังในบรรดาธรรมที่ทรงชี้บอกไว้แล้วอย่างใด สิ่งนั้นไม่ผิดหวัง สิ่งนั้นไม่เป็นโมฆะ มีจริงๆ เช่น นรกมี -มีจริง ๆ บาปมี-มีจริง ๆ บุญมี-มีจริง สวรรค์พรหมโลกนิพพานมี-มีจริง นี่ชื่อว่าท่านสอนไว้แล้วโดยถูกต้อง ที่รวมลงในคำว่าสฺวากฺขาโต ภควตา ธมฺโม พระ ธรรมอันพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ดีแล้วหรือตรัสไว้ชอบแล้ว ตั้งแต่ธรรมพื้นๆ ตั้งแต่ทุกข์ขั้นหยาบที่สุดจนกระทั่งทุกข์ขั้นละเอียด และสุขขั้นหยาบจนกระทั่งถึงสุขเป็นบรมสุข พระองค์ทรงสัมผัสสัมพันธ์ทรงรู้ทรงเห็นมาทุกสิ่งทุกอย่างแล้ว ถึงได้นำธรรมเหล่านี้มาสอนโลก


    การ สั่งสอนของพระพุทธเจ้าจึงไม่มีคำว่าลูบๆ คลำๆ กำดำกำขาวด้นเดามาสอนโลกอย่างนี้ไม่มีในบรรดาพระพุทธเจ้าทั้งหลาย มีพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันนี้เป็นสำคัญ ที่เราทั้งหลายได้นับถือได้กราบไหว้บูชาอยู่เวลานี้ เพราะฉะนั้นเราอยากจะเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าก็ให้พึงสร้างคุณงามความดีมีการให้ ทาน ดังเราทั้งหลายได้เคยให้มาแล้วนี้ จะเป็นทานประเภทใดก็ตาม การสงเคราะห์สงหา การให้ทานมีหลายประเภทดังที่ท่านแสดงไว้แล้ว ให้ทานด้วยความเชื่อความเคารพเลื่อมใส ให้ทานด้วยความเมตตาสงสาร ให้ทานด้วยการบูชาคุณหรือสงเคราะห์ความยากจนแห่งกันและกัน เหล่านี้จัดว่าเป็นทานทั้งนั้น และได้ผลเป็นลำดับลำดาไม่สูญหายไปไหน รวมเข้ามาหาผู้ให้ผู้ทำซึ่งเป็นตัวเหตุนี้ทั้งนั้น


    การ รักษาศีลก็เหมือนกัน ศีลก็คือคุณงามความดีสำหรับเป็นเครื่องประดับเรา ในความมีชีวิตอยู่นี้ก็เป็นสิ่งประดับกายวาจาใจของเราให้มีความสวยงาม และให้มีความอบอุ่นในศีลของตน เพราะศีลนี้เป็นสิ่งที่มีคุณค่ามาก คนที่ไม่มีศีลย่อมหาคุณค่าไม่ได้ เช่น การฉกการลักการปล้นการสะดมตีชิงวิ่งราวเหล่านี้ ล้วนแล้วแต่ความเป็นผู้ไม่มีศีล ทำลงไปก็ทำลายคุณค่าของตนๆ สุดท้ายก็เป็นบาปเป็นกรรมเผาไหม้ตัวเองด้วยการกระทำของตัวเอง พระพุทธเจ้าท่านสอนไว้แล้วอย่างใดย่อมไม่ผิด นี่เรียกว่าความทำลายตัวเอง


    การรักษาศีลประพฤติตัวแบบตรงกันข้าม ไม่ฉกไม่ลักไม่ปล้นไม่สะดม มี ความซื่อสัตย์สุจริตทั้งต่อตัวเองและผู้อื่น คนนั้นย่อมมีความร่มเย็นภายในจิตใจ นี่ก็เป็นบุญประเภทหนึ่ง เจริญเมตตาภาวนาไหว้พระสวดมนต์อบรมจิตใจของเราให้มีความสงบผ่องใส นี่ก็เป็นบุญประเภทหนึ่ง นี้เป็นต้นแห่งบุญเป็นรากแก้วแห่งบุญ ถ้าเป็นทำนบก็เป็นทำนบใหญ่เป็นที่ไหลมาแห่งบุญทั้งหลายที่สร้างไว้แล้วมาก น้อยหรือนานแสนนานขนาดไหนไม่สำคัญในความจำได้จำไม่ได้ บุญย่อมเป็นบุญอยู่เสมอ เป็นบุญทั้งที่ลับเป็นบุญทั้งที่แจ้ง รวมแล้วก็มาสู่ใจอันเป็นทำนบใหญ่ของเรานั้นแล นี่ก็ชื่อว่าเป็นบุญอันหนึ่ง


    การ สร้างคุณงามความดีไว้อย่างนี้นั้น พระพุทธเจ้าเราทั้งหลายตั้งแต่ยังเป็นพระโพธิสัตว์ก็ทรงพาดำเนินหรือทรง ดำเนินมาแล้วเป็นลำดับลำดา จนกระทั่งถึงพระบารมีสมบูรณ์เต็มที่แล้วได้ตรัสรู้ขึ้นมาเป็นศาสดาเอกและพ้น จากทุกข์โดยประการทั้งปวง ก็เพราะอำนาจแห่งบุญทั้งหลายที่ท่านสร้างมานั้นแล เพราะฉะนั้นพวกเราทั้งหลายได้ทำบุญให้ทานรักษาศีลภาวนานี้จึงเป็นเหมือนกับ เดินตามรอยพระบาทของพระพุทธเจ้าไปเป็นลำดับลำดาไม่ลดละท้อถอย วันหนึ่งคืนหนึ่งเดือนหนึ่งปีหนึ่งภพหนึ่งชาติหนึ่งจะต้องถึงจุดหมายปลายทาง จนได้ เพราะบุญนี้ส่งสัตว์ทั้งหลายผู้บำเพ็ญบุญ ผู้มีความดีทั้งหลายให้ไปสู่สถานที่ดีคติที่พึงหวังทั้งนั้น ไม่เคยว่าบุญนี้พาคนให้ตกนรกหมกไหม้นอกจากบาปเท่านั้น


    ขึ้น ชื่อว่าบาปแล้วไม่ว่าบาปเล็กบาปน้อยบาปขนาดไหนเป็นเหมือนกับไฟ ไฟไม่ว่าไฟชนิดใดมาสัมผัสเราจะต้องร้อนด้วยกันทั้งนั้น ถ้าหมดทั้งกองเราก็เป็นเถ้าเป็นถ่านไปได้ทั้งร่างของเรานี้แล นี่บาปกรรมทำมากๆ ลงไปก็เป็นไปดังที่กล่าวแล้วต้นๆ ว่าตกนรก นานก็นานแสนนาน ทุกข์ก็ทุกข์แสนทุกข์ แต่ใจนี้ไม่ยอมฉิบหายไม่ยอมตาย หากได้รับความทุกข์ความทรมาน จนกว่าจะสิ้นบาปสิ้นกรรมเสียเมื่อไรแล้วก็เป็นเวลานานอีกด้วย บาปเมื่อทำลงไปแล้วก็ไม่ไปเป็นข้าศึกต่อผู้ใด มาเป็นข้าศึกต่อผู้ทำนั้นแล ผู้ทำคือใคร ถ้าเราทำก็ต้องเป็นข้าศึกแก่เรา ถ้าเราไม่ทำบาปก็ไม่ติดตามและไม่เกิดแก่เราได้ เพราะต้นเหตุการกระทำเกิดขึ้นที่เราผลจึงปรากฏขึ้นที่เรา ไม่มีใครที่จะมาหักห้ามหรือต้านทานไว้ได้ มีการละการเว้นเท่านั้นเป็นของดีสำหรับเรา


    นอก จากการละเว้นในสิ่งชั่วช้าลามกทั้งหลายแล้วก็พยายามสร้างคุณงามความดี เพื่อเป็นเครื่องอบรมบ่มนิสัยของเราให้มีความดียิ่งๆ ขึ้นไป ผลคือความสุขก็จะเพิ่มพูนขึ้น นอกจากเป็นผลให้รับความสุขความเจริญในภพชาตินั้นๆ แล้ว บุญกุศลนี้ยังสามารถที่จะตัดหรือย่นภพย่นชาติที่เราจะต้องเกิดอยู่ใน วัฏสงสารนี้นานแสนนาน ให้หดให้ย่นเข้ามาเป็นลำดับลำดา จนกระทั่งถึงจุดหมายปลายทาง คือย่นเข้ามาถึงชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายของเรา ที่จะเสวยกองทุกข์ในวัฏสงสารนี้มีเพียงขันธ์ที่มีชีวิตอยู่นี้เท่านั้น


    ใจ เป็นใจที่บริสุทธิ์แล้วเพราะอำนาจแห่งบุญเข้าซักฟอก บุญเข้าชำระสะสาง กลายเป็นจิตที่บริสุทธิ์หมดมลทินคือเชื้อที่จะพาให้เกิดอีกแล้ว จิตที่หมดเชื้อแล้วนี้เป็นจิตที่ประเสริฐไม่มีสิ่งใดเทียบในโลกทั้งสามนี้ ก็คือจิตที่บริสุทธิ์นั้นแล เพราะฉะนั้นคำว่าความประเสริฐของจิตที่บริสุทธิ์นี้จึงไม่มีอะไรเหมือน ความสุขจึงไม่มีอะไรเหมือน คำว่าประเสริฐๆ ดังที่โลกสมมุตินิยมกันทั้งหลายว่าดีอย่างนี้ดีอย่างนั้น ไม่มีอันใดที่จะเหมือนธรรมชาติที่บริสุทธิ์คือใจนี้เลย นี่ละพระพุทธเจ้าของเราท่านทรงใจที่บริสุทธิ์นี้แลมาสั่งสอนสัตว์โลก


    ใจ ที่บริสุทธิ์นี้ได้หลุดพ้นมาจากอำนาจแห่งการสร้างความดี เริ่มแรกตั้งแต่ทรงสร้างพระบารมีมาโดยลำดับลำดา บางพระองค์ก็ ๑๖ อสงไขยแสนมหากัป นี่สร้างอยู่ตลอดมา บางองค์ก็ ๘ อสงไขยแสนมหากัป นี่นานย่นลงมา บางพระองค์ก็ ๔ อสงไขยแสนมหากัปดังพระพุทธเจ้าของเรา แล้วก็ถึงขึ้นเต็มภูมิ เมื่อถึงขั้นบุญกุศลที่สร้างมาๆ เต็มที่แล้ว ถ้าเป็นน้ำก็เต็มไหเต็มโอ่งเต็มถังแล้ว ทีนี้ออกแจกจ่ายได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย นี่หมายถึงได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าเป็นใจที่บริสุทธิ์พุทโธแล้ว


    ใจ ดวงนั้นกับใจที่ไม่บริสุทธิ์นั้นในใจดวงเดียวนั้นแล ขณะที่ยังไม่บริสุทธิ์เป็นใจที่มืดที่บอด รู้ก็รู้แบบมืดแบบบอด รู้ก็รู้แบบปิดหูปิดตา รู้ไม่ใช่แบบลืมตารู้ เห็นก็เห็นแบบหลับหูหลับตาเห็น เพราะกิเลสปิดบังไว้ทั้งทางรู้ทางเห็นทางได้ยินได้ฟัง ความคิดความปรุงความแต่งอะไรกิเลสปิดไว้ๆ จึงเป็นความมืดความดำไปหมด เห็นอะไรไม่ชัดไม่แจ้ง จึงไม่มีคุณค่าเท่าที่ควรสำหรับจิตที่ยังมีกิเลสครอบงำอยู่


    เพราะ กิเลสเป็นสิ่งที่ต่ำช้าเลวทราม ติดเปื้อนอันใดเข้าไปสิ่งนั้นลดคุณค่าลงทันทีๆ เมื่อติดในใจของเราใจของเราจึงไม่มีคุณค่าเต็มเม็ดเต็มหน่วย นี่ขณะที่จิตมีกิเลสครอบงำอยู่เป็นความรู้เช่นนี้ ทีนี้เมื่อสร้างพระบารมีได้แก่บุญกุศล ชำระซักฟอกสิ่งที่มัวหมองสิ่งที่มืดตื้อทั้งหลายนี้ออกเป็นลำดับลำดา จนกระทั่งถึงความสว่างกระจ่างแจ้งเต็มภูมิ คำว่ามลทินแม้นิดหนึ่งหรือปรมาณูก็ไม่ปรากฏในจิตดวงนั้นเลย จึงสว่างกระจ่างแจ้งเต็มที่เต็มฐาน ความสว่างใดไม่เหมือนจิตที่บริสุทธิ์สว่างนี้เลย ความรู้ใดไม่เหมือนความรู้ของจิตที่บริสุทธิ์ ความประเสริฐใดจึงไม่เหมือนใจที่บริสุทธิ์อันนี้


    ใจ ที่บริสุทธิ์อันนี้แลได้ส่องสว่างกระจ่างแจ้งไปหมดแดนโลกธาตุอันนี้ ได้เห็นทุกสิ่งทุกอย่างไม่มีสิ่งใดปิดบังลี้ลับพระญาณ คือความหยั่งทราบของพระพุทธเจ้าองค์นั้นๆ เลย เพราะฉะนั้นการนำธรรมะมาสั่งสอนสัตว์โลกท่านจึงสั่งสอนไม่อัดไม่อั้น ไม่ มีคำว่าหมดว่าสิ้น ไม่มีคำว่าบกว่าบาง เต็มพระทัยอยู่อย่างนั้น สอนชาวโลกจะสอนไปกี่กัปกี่กัลป์ก็ไม่สิ้นสุด เต็มไปด้วยสิ่งที่จะนำมาให้สอนสัตว์โลก แต่ทรงนำมาสอนเฉพาะที่จำเป็น สำหรับสัตว์โลกที่เกี่ยวข้องกับพระองค์และจะได้ผลได้ประโยชน์เท่านั้น นอกจากนั้นจะรู้เห็นขนาดไหนก็ไม่นำมาสอน เพราะไม่เกิดประโยชน์แก่ผู้รับฟัง


    นี่ละพระพุทธเจ้าท่านนำธรรมะมาสอนพวกเรานับพอประมาณ ๘๔ ,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ นี้อยู่ในวงของสัตว์ทั้งหลายที่จะต้องสัมผัสสัมพันธ์กันอยู่ตลอดมา ว่าบาปก็อยู่ในวงนี้ บุญก็อยู่ในวงนี้ ตั้งแต่นรกจนกระทั่งถึงนิพพานก็อยู่ในวงแห่งธรรม ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์นี้สั่งสอนพวกเรา นี่ละธรรมของพระพุทธเจ้า ใจของพระพุทธเจ้า ใจของท่านผู้สิ้นกิเลสแล้วจึงเป็นใจที่เลิศเลอ เราจะคาด-คาด ไม่ถูก ถ้าใจไม่บริสุทธิ์เสียเองคาดก็ไม่ถูก ใจเป็นเสียเองไม่คาดก็ถูก อยู่ที่ไหนก็ถูก นี่ละท่านผู้นี้เองเป็นผู้นำธรรมะมาสั่งสอนสัตว์โลก จึงเป็นที่เชื่อถือได้ เป็นที่ตายใจได้ เป็นที่ฝากเป็นฝากตายได้


    เรา ได้ศาสนธรรมของพระพุทธเจ้า มาเป็นที่พึ่งเป็นที่ฝากเป็นฝากตายอย่างนี้เป็นมนุษย์ที่หาได้ยาก ซึ่งมนุษย์ทั้งหลายมีจำนวนสักกี่ล้านๆ ในโลกนี้ ผิดพลาดจากหลักธรรมที่ฝากเป็นฝากตายได้นี้มีจำนวนมากเท่าไร เรายังมาเจอเอาธรรมที่ฝากเป็นฝากตายได้โดยไม่คาดไม่ฝัน เกิดมาในแดนแห่งพระพุทธศาสนาไม่มีบุญเกิดมาได้อย่างไร ต้องเป็นผู้มีบุญ ต้องเป็นผู้มีวาสนา จึงได้เกิดมาพบพระพุทธศาสนา ท่านชี้แจงอย่างไรจึงควรภาคภูมิใจประพฤติปฏิบัติตามท่าน


    ผู้ ที่จะแนะนำสั่งสอนอย่างนี้ เชื่อพึ่งเป็นพึ่งตายได้อย่างนี้ไม่มีว่าอย่างนั้นเลย ถ้าจะให้เป็นแบบพระพุทธเจ้านี้ไม่มี มีพระพุทธเจ้าเพียงพระองค์เดียวเท่านั้น คำว่ารู้ก็เหมือนกันตลอดทั่วถึงไม่มีสิ่งใดปิดบังลี้ลับพระญาณนั้นเลย นำมาสอนโลกในสิ่งที่ควรเป็นประโยชน์แก่โลก สิ่งใดไม่เป็นประโยชน์ก็เก็บไว้เสีย ๆ เพราะไม่หนักในพระทัย นำแต่สิ่งที่เป็นประโยชน์แก่โลกทั้งนั้น เพราะฉะนั้นในธรรมทั้งหลายที่กล่าวมานี้ให้พึงทราบว่า อยู่ในวิสัยของเราจะต้องสัมผัสสัมพันธ์ได้ด้วยกันทั้งนั้น


    เช่น บาป เรามีทางจะทำบาปได้ บุญเรามีทางจะทำได้ เพราะฉะนั้นท่านจึงสอนให้ระมัดระวังอย่าทำ บาปนั้นเมื่อทำลงไปแล้วเป็นไฟเผาตัวเอง ในความเป็นมนุษย์นี้ก็เผา คนทำบาปไม่ใช่คนร่มเย็นเป็นสุข คือคนเดือดคนร้อน แม้เขาจับไม่ได้ก็ตามก็ร้อนอยู่ในหัวใจคนคนนั้น ไปหลบไปซ่อนอยู่ที่ไหนก็ร้อนรนกระวนกระวายอยู่ในนั้น ไฟนรกทั้งเป็นมันเผาอยู่นั้น พอตายไปแล้วก็ลงนรกเมืองผี จะเชื่อก็ตามไม่เชื่อก็ตามว่านรกเมืองผีมีหรือไม่มี ไม่มีใครที่จะเกินพระพุทธเจ้ายิ่งกว่าพระพุทธเจ้าในบรรดาแทงทะลุไปหมดด้วย พระญาณของพระองค์ ว่าสิ่งนั้นๆ มีอยู่อย่างไร เพราะฉะนั้นสัตว์ทั้งหลายจึงไม่มีใครที่จะเป็นไปได้ตามเจตนา เป็นไปได้ตามความสำคัญของตนว่า บาปไม่มีทำบาปไม่เป็นบาป บุญไม่มีทำบุญไม่เป็นบุญ นรกไม่มีตายลงไปแล้วไม่ตกนรก อย่างนี้ไม่มี


    สัตว์ ทั้งหลายจะต้องเป็นไปตามกรรม ทำบาปต้องเป็นบาป ทำบาปเป็นบาปแล้วยังไม่แล้ว ทางแห่งนรกก็อยู่กับบาป ไปก็ไปเสวยบาปของตัวเองนั้นแล สถานที่ทรมานคนบาปท่านเรียกว่านรก มีบาปมากมีบาปน้อยคือนรกเป็นเครื่องทรมาน คำว่านรกเป็นเครื่องทรมานก็ไปจากอำนาจแห่งกรรมของเราที่ทำให้ไปตกนรกหลุม แปลกๆ ต่างๆ กันตามอำนาจแห่งกรรมของตน นี่ละพระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ซึ่งอยู่ในวิสัยของสัตว์โลกจะเป็นไปได้ด้วยกัน


    ถ้า ว่าบุญเราก็ทำได้ เป็นมนุษย์เราก็เกิดได้ เป็นสัตว์เดรัจฉาน เป็นเปรตเป็นผีเรามีทางจะเกิดได้ด้วยการทำดีทำชั่วของเรา ไปสวรรค์เราก็ไปได้ ในอรรถธรรมทั้งหลายท่านก็แสดงไว้แล้วว่า สวรรค์ไม่เคยร้างเพราะไม่มีคนดีไปขึ้นสวรรค์ ไม่ว่าสวรรค์ชั้นใดตั้งแต่ชั้นจาตุมฯขึ้นไปจนกระทั่งถึงพรหมโลก ๑๖ ชั้นตลอดนิพพาน ว่าได้ว่างหรือได้ร้างไปเสียเพราะไม่มีคนดีไปขึ้น มีแต่ไปตกนรกกันหมดอย่างนี้ไม่เคยปรากฏ


    นรก ก็แน่นอยู่ด้วยอำนาจแห่งกรรมของคนที่กล้าหาญต่อการทำกรรม ไม่เชื่ออรรถเชื่อธรรม เชื่อตัวเองเป็นสำคัญ ตัวเองนั้นแลทำตัวให้จม นี่ก็เต็มอยู่ในนรก นรกก็ไม่เคยร้าง ว่าสัตว์ทั้งหลายไม่ไปตกนรก มีแต่แน่นอัดอยู่ด้วยอำนาจแห่งกรรมของสัตว์ ทีนี้สวรรค์แต่ละชั้นๆ ก็ไม่ปรากฏว่าสวรรค์ได้รกร้างว่างเปล่าไปเพราะไม่มีคนดีสร้างบุญสร้างกุศล แล้วไปสวรรค์ สวรรค์จึงต้องร้าง สวรรค์จึงต้องว่าง ตลอดถึงพรหมโลกนิพพานว่างไปหมดเพราะสัตว์ไม่ไป อย่างนี้ไม่มี คนดีก็มีคนชั่วก็มีสับปนกันอยู่ในแดนมนุษย์หรือแดนโลกธาตุนี้นั้นแล เพราะฉะนั้นจึงต้องมีคนไปดีไปชั่ว มีคนเป็นสุขมีคนเป็นทุกข์ แต่อย่างไรก็ตามให้พึงทราบว่าที่กล่าวมาเหล่านี้อยู่ในวงแห่งศาสนธรรมของพระ พุทธเจ้าที่ทรงสั่งสอนไว้ ให้พอเหมาะพอดีกับนิสัยของเราที่จะเป็นไปได้ทั้งทางดีทางชั่ว ทั้งทางต่ำและทางสูง ตลอดทางสูงสุดคือพระนิพพาน ไม่นอกเหนือไปจากอำนาจแห่งมนุษย์นี้ไปได้เลย


    เพราะ ฉะนั้นพี่น้องทั้งหลายได้เกิดมาเป็นมนุษย์ นับว่าเป็นผู้มีบุญวาสนาล้นฝั่งแล้ว พูดง่ายๆ ว่าอย่างนี้ แต่อย่าลืมตัวก็แล้วกัน เกิดเป็นมนุษย์แล้วต้องสร้างความดี เราอย่าเพลิดเพลินในสิ่งที่ไม่ดี หลงกิเลสเอาไปต้มไปตุ๋นไปถลุงที่ไหนไปเสียแล้วก็จะจมโดยไม่รู้สึกตัว อย่างนี้ก็มีมาก เรามีธรรมะเป็นเครื่องเตือนใจของเราอยู่เสมอ ถ้าหากว่ารถก็มีเบรกห้ามล้อไม่เหยียบแต่คันเร่งอย่างเดียว ควรเร่งก็เร่ง ควรหมุนพวงมาลัยไปทางซ้ายทางขวาเพื่อจุดหมายปลายทางและเพื่อความปลอดภัยต้อง หมุนไป ควรเหยียบเบรกห้ามล้อก็ต้องห้าม


    สิ่ง ใดไม่ดีไม่ควรทำ อยากขนาดไหนก็คือความอยากเป็นทุกข์นั่นเอง การอยากทำความชั่วกับความอยากเป็นทุกข์อยู่ในเกลียวเดียวกัน ถ้าหากเราให้เป็นไปตามความอยากก็เท่ากับเรากลืนเอาความทุกข์ทั้งหมดมาไว้ใน หัวใจของเรา ความทุกข์นั้นก็จะเผาเราไม่ใช่เผาผู้อื่นผู้ใด เพราะฉะนั้นท่านจึงให้เหยียบเบรกห้ามล้อ


    อยาก ก็ตามขึ้นชื่อว่าความทุกข์เช่นเดียวกับของแสลงกับโรค โรคนี้ผิดอาหารประเภทนั้นๆ อันนั้นเป็นของแสลงสำหรับโรคชนิดนี้ก็อย่ารับประทาน ถ้านำมารับประทานแล้วก็โรคของเรานั้นแลกำเริบ โรคกำเริบกับความทวีรุนแรงของความทุกข์เกิดขึ้นในขณะเดียวกัน เรานั้นแหละจะเป็นทุกข์เพราะของแสลงที่เราฝืนรับประทาน นี่ก็เหมือนกันความชั่วช้าลามกทั้งหลายเป็นเหมือนของแสลง อย่าได้เป็นไปตามความอยากความทะเยอทะยาน เพราะความอยากความทะเยอทะยานนี้เป็นกลอุบายหรือเป็นมายาของกิเลสที่เคยหลอก ลวงสัตว์โลกมาเป็นเวลานานแสนนาน ให้โลกทั้งหลายได้ล่มจมจนกระทั่งถึงตกนรกอเวจีจนหาเวลาขึ้นไม่ได้ ก็เพราะอำนาจของกิเลสนั้นแหละมันต้มตุ๋น


    เพราะ ความเชื่อกิเลส เพราะความเชื่อความอยากมากกว่าความเชื่อธรรมถึงได้เป็นอย่างนั้นคนเรา ให้เราได้ทราบไว้เสีย เมื่อเรามีพุทธศาสนาเป็นเครื่องพร่ำสอนเราอยู่ ให้เชื่อศาสดาองค์เอกที่ตายใจได้นี้ ส่วนกิเลสตายใจกับมันไม่ได้ ไม่ว่าความโลภ ไม่ว่าความโกรธ ไม่ว่าความหลง ไม่ว่าราคะตัณหา ถ้าลงได้เกิดแล้วไม่มีเหตุมีผลทั้งนั้น มีแต่จะเอาท่าเดียว ๆ นั่นก็หมายความว่ามีแต่จะทำเราให้จมท่าเดียว ๆ ให้พึงทราบในขณะเดียวกันนั้น มันอยากมากขนาดไหนถ้าเราจะทำตามมันก็คือเราอยากจมมากเท่านั้น ๆ แล้วเราก็จมตามที่ว่านั้นจริง ๆ


    เพราะ ฉะนั้นจึงว่ากิเลสความชั่วช้าลามกทั้งหลายนั้นเคยหลอกลวงสัตว์โลกและต้มตุ๋น สัตว์โลก ให้ฉิบหายวายปวงให้ล่มจมมามากต่อมากแล้ว ส่วนธรรมะคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าที่ประทานเอาไว้นั้น ไม่มีธรรมะบทใดบาทใดที่จะหลอกลวงสัตว์โลกให้ล่มจมเสียหาย มีแต่การเทิดทูน มีแต่การบำรุงส่งเสริมยกขึ้นโดยลำดับลำดา ให้ได้รับความสุขความเจริญตามลำดับลำดา ที่ผู้นั้นเชื่อถือและปฏิบัติตามได้ ไม่มีความเสียแฝงอยู่ในนั้นแม้น้อยหนึ่ง ธรรมะจึงเป็นของตายใจได้ จึงเรียกว่าเป็นสิ่งที่ฝากเป็นฝากตายได้


    ขอ ให้พี่น้องทั้งหลายได้นำธรรมะนี้เข้าเป็นเบรกห้ามล้อ เมื่ออยากจะทำความชั่วช้าลามกสิ่งใดก็ให้พึงระลึกถึงธรรม ให้ระลึกถึงพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าอยู่กับธรรมนั้นแหละ เมื่อเราเชื่อธรรมเราไม่ฝืนธรรมก็ชื่อว่าเชื่อพระพุทธเจ้า เชื่อพระพุทธเจ้าแล้วเราจะดี เราจะมีความสุข คนไม่เชื่อครู ครูเอกอย่างพระพุทธเจ้านี้แล้วก็เป็นคนหมดหวัง เป็นคนอาภัพวาสนา เราไม่ได้อยากเป็นคนอาภัพวาสนาที่ไม่เชื่อครูเชื่ออาจารย์ แต่เราอยากเป็นคนมีอำนาจวาสนาบุญญาภิสมภาร จึงต้องเชื่อครูเชื่ออาจารย์ซึ่งเป็นอาจารย์เอกไม่มีอันใดเสมอเหมือน ก็ได้แก่พระพุทธเจ้าของเราหนึ่ง พระธรรมหนึ่ง พระสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้าที่เป็นพระอรหันต์ล้วนๆ นั้นหนึ่ง ท่านทั้งสามนี้เป็นสิ่งที่ฝากเป็นฝากตายได้สำหรับเราไม่ต้องสงสัย จึงขอให้อยู่ด้วยความภาคภูมิใจกับธรรมที่กล่าวเหล่านี้


    อย่า ได้อยู่กับความโลภจนเกินไป ความโกรธ ความหลง เหล่านี้มีแต่ฟืนแต่ไฟเผาไหม้ตลอดเวลา เวลาความโลภมีมากคนย่อมเกิดความทุกข์มากกระวนกระวาย ไม่ได้ทางดีเอาทางชั่ว ได้ไม่มีเมืองพอก็คือกิเลสพาโลภนั้นแหละ ได้เท่าไรไม่เพียงพอ เอาจนกระทั่งเจ้าของตายไปความโลภก็ยังไม่ถอย หากตายไปเฉย ๆ ความโลภนั้นยังไม่ถอย ความโกรธก็เหมือนกัน โกรธจนกระทั่งตายไปความโกรธก็ยังไม่ถอย ไม่เห็นโทษแห่งความโกรธ ความหลงเหมือนกัน ราคะตัณหาถ้าเราเดินตามมันเท่าไรแล้วสิ่งเหล่านี้จะฉุดจะลากคนไม่มีวัน ยับยั้งชั่งตัวได้เลย นอกจากมีธรรมะเข้าเป็นเบรกห้ามล้อ ให้อยู่พอประมาณ ทำได้อะไรมาก็ให้รู้จักพอ


    ใคร ที่รู้จักพอคนนั้นจะมีความสุข ถ้าไม่รู้จักพอแล้วแม้จะมีเงินกองเท่าภูเขาความพอยังไม่มีในหัวใจเลย ผู้นั้นละเป็นผู้ที่มีความทุกข์มากที่สุด ยิ่งกว่าคนกำพร้าหรือคนอนาถาเข็ญใจเป็นไหนๆ ความโกรธก็เหมือนกัน คนหนึ่งไม่โกรธคนหนึ่งโกรธนั่งอยู่ด้วยกัน คนโกรธย่อมแสดงความทุรนทุรายอย่างน้อยอยู่ภายในหัวใจ เป็นไฟอยู่ในนั้น คนผู้ไม่โกรธสบายแสนสบาย ยกมาเป็นข้อเปรียบเทียบเพียงสองอย่างเท่านี้ เราก็พอทราบได้ว่าสิ่งใดที่จะทำให้เรากระทบกระเทือน สิ่งใดที่จะทำให้เรามีความสงบสุข คือความพอประมาณ


    ให้รู้จักอิ่มจักพอ เช่นเดียวกับเรารับประทานถึงเวลาอิ่มแล้วก็ต้องอิ่ม อย่าให้เตลิดเปิดเปิง ความเตลิดเปิดเปิงแห่งการกินไม่หยุดไม่ถอย นี่ท่านก็แสดงไว้แล้วว่า ชูชก เอาจนท้องระเบิด ถึงท้องระเบิดก็ตามความอยากยังไม่ถอยในหัวใจของชูชก ท่านจึงสอนไว้ให้เป็นคติของพวกเราทั้งหลาย ให้นำไปประพฤติปฏิบัติต่อตนเอง

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 ตุลาคม 2012
  2. jinny95

    jinny95 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    6,075
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +9,666
    เรา เป็นมนุษย์เป็นผู้มีคุณค่าด้วยศีลด้วยธรรม มนุษย์เรามีคุณค่ามีราคาด้วยศีลด้วยธรรมด้วยความประพฤติหน้าที่การงาน อัธยาศัยใจคอที่ถูกต้องดีงามกลมกลืนกันกับธรรม ถ้าปราศจากอันนี้แล้วมนุษย์ก็สักแต่ว่าชื่อมนุษย์ เศษเดนแห่งมนุษย์ ไม่มีใครเหลียวแล ไม่มีใครอยากคบค้าสมาคมบรรดาผู้ดีทั้งหลาย นอกจากเป็นคนชั่วช้าลามกแบบเดียวกันก็เข้ากันได้แต่ไม่สนิทกัน คนชั่วเข้ากันเป็นเพื่อนเป็นฝูงกัน เราอย่าเข้าใจว่าเขาเข้ากันได้ด้วยความสนิทตายใจ ไม่มีความตายใจ หากจำเป็นต้องได้เข้าคบค้าสมาคมกันเฉยๆ เพราะความจำเป็นบังคับ ไม่ใช่คบค้าสมาคมกันแล้วระหว่างคนชั่วกับคนชั่วนั้นจะไว้ใจตายใจกันได้ คนชั่วกับคนชั่วก็ไฟกับไฟอยู่ด้วยกันก็เป็นไฟด้วยกันไม่มีใครยิ่งหย่อนกว่า ใคร แล้วจะไว้ใจกันได้อย่างไร


    คน ดีต่างหากไว้ใจกันได้ มีมากมีน้อยเป็นคนโง่คนฉลาดเมื่อมีศีลมีธรรมแล้วเข้ากันได้สนิทคนเรา ไม่มีอะไรจะเกินมนุษย์ที่ดีเข้ากันได้สนิท ไม่ว่าจะเป็นคนฉลาดคนโง่ ไม่ว่าคนมั่งมีศรีสุขประเภทใดชาติชั้นวรรณะใดก็ตาม เมื่อมีธรรมอยู่ภายในจิตใจแล้วย่อมเข้ากันได้สนิท ยกตัวอย่างเช่นพระพุทธเจ้าของเรา เวลาทรงปกครองไพร่ฟ้าประชาชนก็เป็นพระเจ้าแผ่นดินและเข้ากับประชาชนได้ทั้ง นั้น เวลาเสด็จออกทรงผนวชแล้วจนได้เป็นพระพุทธเจ้าก็เข้ากันได้กับสัตว์ทุกประเภท ไม่ได้ถือว่าพระองค์นี้เป็นบรมศาสดา เป็นผู้สูงส่งยิ่งกว่าสัตว์ทั้งหลาย ไม่สมควรที่จะไปคบค้าสมาคมเกี่ยวข้องกับบรรดาสัตว์ทั้งหลายอย่างนี้ไม่มี



    ความ เมตตาไม่มีใครเกินพระพุทธเจ้าที่มีใจจนถึงขั้นบริสุทธิ์ ธรรมบริสุทธิ์ภายในจิตใจ เข้าได้หมด แม้แต่เราไม่เห็นด้วยตาพระองค์ยังห้ามไม่ให้ทำลาย เช่นอย่างเชื้อโรคท่านก็ไม่ทำลาย พวกเปรตพวกผีอย่างที่ท่านสอนไว้นั้นท่านก็ไม่ลบล้าง ท่านเข้าได้สนิท โปรดเมตตาสงสารด้วยกันทั้งนั้น เมตตากระจายทั่วแดนโลกธาตุก็เพื่อสัตว์ทั้งหลายนั่นเอง ท่านไม่ทรงถือเนื้อถือพระองค์เลย นี่คนที่มีจิตถึงขั้นบริสุทธิ์แล้วย่อมเป็นจิตที่อ่อนโยนที่สุด



    คำ ว่าอ่อนโยนของจิตที่บริสุทธิ์นี้ ก็ไม่มีอันใดจะไปเทียบเคียงไปด้นไปเดาไปคาดไปคะเนได้เลย ความเข้ากับสัตว์เข้าอย่างนิ่มนวลที่สุด ก็คือใจของพระพุทธเจ้าหรือสาวกอรหันต์ท่านผู้บริสุทธิ์นั้นแล ท่านไม่ถือองค์ท่าน นี้ละท่านผู้มีธรรมในใจย่อมไม่ถือเนื้อถือตัว เข้าได้หมดทุกแห่งหน ไม่ได้ประมาทหรือไม่ได้ดูถูกว่าเป็นชาตินั้นชั้นนั้นวรรณะนั้นฐานะเช่นนั้น ไม่ถือ ถือเอาเหตุเอาผลเอาความสนิทตายใจต่อกัน เมื่อแสดงความดีต่อกันคนเราย่อมไว้ใจกัน นี่หลักแห่งความมีธรรมเป็นเช่นนั้น



    เรา อยู่ในบ้านในเรือนก็ให้รู้สึกตนอยู่เสมอ ท่านจึงเรียกว่าคนมีธรรม อย่าเห็นแก่คนอื่นเขาผิดเขาชั่วโดยถ่ายเดียว โดยเรานี้สำคัญว่าถูกตลอดไป คนนั้นละคือคนผิดตลอดไป ถ้าคนมีธรรมแล้วก็เหมือนเรามองดูหน้าเราในกระจก เป็นอย่างไรหน้าเราในกระจกกับหน้าที่มีอยู่นี้ มันจะบอกเลยว่าหน้าเราเป็นยังไงในกระจกเงานั้นแหละ นี่ก็เหมือนกันปัญญาสอดส่องเข้ามาภายในตัวของเรา เราจะได้เห็นความผิดพลาด ความผิดถูกชั่วดีของเรา ด้วยกระแสแห่งปัญญาที่ย้อนเข้ามาดูตัวเอง



    คน ที่มองดูตัวเอง รู้ทั้งเรื่องของตัวเอง ดูทั้งเรื่องของตัวเองดูทั้งเรื่องของคนอื่นประสับประสานกัน คนนั้นเข้าใครก็เข้าได้ไม่ค่อยทะเลาะวิวาท ไม่เห็นแก่ได้ ไม่กระทบกระเทือน ไม่กอบไม่โกยไม่รีดไม่ไถ เพราะเห็นใจเขาใจเราเทียบกันแล้วคนเรามีแต่หวังความสุขด้วยกันทั้งนั้น ไม่ได้หวังความทุกข์ การกระทำ อย่างนั้นก่อความทุกข์ให้แก่คนอื่นซึ่งเป็นเรื่องผิดธรรม ทำไม่ลง นี่แหละคนเราที่สนิทกันได้เพราะอย่างนี้เอง เพราะดูใจเขาใจเรา เทียบใจเขาใจเราเข้ามา พออด
    -อด พอให้อภัยต้องให้อภัย คนเราไม่ให้อภัยไม่มีใครให้อภัยกันในโลก ต้องให้อภัยกันเสมอ วางเป็นพื้นเป็นฐาน ไม่ควรจะโกรธจะเคืองกันก็ไม่ควรโกรธ เพราะคนเราอยู่ด้วยกัน


    ไม่ มีอะไรที่จะสนิทกันยิ่งกว่ามนุษย์อยู่ด้วยกัน เราอยู่กับสมบัติเงินทองข้าวของอยู่ได้ไม่กี่ชั่วโมง ถ้าหากว่าคำนี้ผิดก็ขอให้ท่านทั้งหลายเอาสมบัติเงินทองไปกองไว้แล้ว และไปนอนอยู่ในกองสมบัติเงินทองจะได้สักกี่ชั่วโมง อยู่ไม่ได้นานนะ ไปนั่งอยู่กับเงินกับทองนะ เพชรนิลจินดาทั้งนั้นมีแต่ราคาแพง ๆ อยู่ได้ไม่นาน เพราะสิ่งเหล่านั้นไม่คุยด้วย ก็ต้องวิ่งมาหาคนนั่นแหละ มาหาเด็กก็ตาม สนุกคุยกับเด็ก มาหาผู้ใหญ่ก็สนุกคุย นั่นละมนุษย์ด้วยกัน พูดกันรู้เรื่อง อยู่ด้วยกันรู้เรื่อง



    สมบัติ เงินทองนั้นเป็นแต่เพียงเครื่องอาศัยเครื่องใช้ไม้สอย ที่จะให้ฝากเป็นฝากตายหรือเป็นความสนิทจริงๆ ภายในจิตใจแล้ว ไม่มีอันใดเหมือนมนุษย์เราเลย เพราะฉะนั้นจึงต้องให้มีธรรมประจำมนุษย์ เพื่อประสานมนุษย์ให้เข้าถึงกันได้ด้วยความไม่ถือเนื้อถือตัว ด้วยความให้อภัย ด้วยความเมตตาสงสารซึ่งกันและกัน นี้เป็นความสนิทมากสำหรับมนุษย์เราอยู่ด้วยกัน สมบัติเงินทองนั้นใครมีมากมีน้อยก็ให้ถือว่าเป็นความมีมากมีน้อยธรรมดา อย่าเอามากระทบกระเทือนชาติชั้นวรรณะฐานะความโง่ความฉลาดของกันและกันเป็น สิ่งไม่ดี เพราะสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นมาค่อยมีมาทีหลัง



    ที แรกเกิดมาก็จากท้องแม่เหมือนกันหมดแต่งตัวโดยหลักธรรมชาติออกมา ไม่ว่าหญิงว่าชายเหมือนกันหมด แล้วสิ่งเหล่านั้นเกิดขึ้นมาทีหลัง เมื่อเกิดขึ้นมามีอะไรก็ใช้ไปตามอำนาจวาสนาบุญญาภิสมภารของคนเราที่ไม่ เหมือนกัน ก็ให้พึงเห็นคุณค่าของกันและกัน ให้เชื่อกรรม ใครไม่อยากจนแต่มันจนจะทำยังไง อยากมีด้วยกันแต่มันไม่มีจะทำยังไง นี่ละท่านเรียกว่ากรรม กมฺมํ สตฺเต วิภชติ ยทิทํ หีนปฺปณีตํ กรรมย่อมจำแนกแจกสัตว์ทั้งหลายให้เป็นต่างๆ กัน เกิดก็ไม่ได้เกิดในสถานที่เดียวกันแบบเดียวกัน ยังเกิดในสถานที่ต่างๆ ภพนั้นชาตินี้ฐานะสูงต่ำทั้งมีทั้งจนสับปนกันเต็มไปหมดก็คือสัตว์โลกนี้เอง นี่ก็เพราะเกิดด้วยกรรม อยู่ด้วยกรรม ไปด้วยกรรม แล้วจะประมาทกันได้อย่างไร เมื่อใครมีอย่างไรก็เสวยกันอย่างนั้น แต่ให้เห็นใจกันเป็นของสำคัญ ควรสงเคราะห์สงหาช่วยเหลือได้ยังไงก็ให้ช่วยเหลือกัน นี่ละมนุษย์ของเราอยู่ด้วยกันได้



    เมื่อ นำศาสนาไปเป็นเครื่องประสับประสานแล้วมนุษย์นี้จะเย็นที่สุด ถ้าห่างเหินจากศาสนาแล้วเป็นฟืนเป็นไฟก็ไม่มีใครเกินมนุษย์ เพราะมนุษย์เรานี้ฉลาด โกรธก็แรง โมโหก็แรง ความอยากทุกอย่างแรงหมด
    ..มนุษย์ ความฉลาดก็ฉลาด เครื่องเสริมให้คนชั่วช้าลามกรวดเร็วที่สุดก็อยู่ในหัวใจมนุษย์เรา ให้พากันระมัดระวัง


    เมื่อ เป็นเช่นนี้เราอยู่ในบ้านก็ได้เห็นเหตุเห็นผลของครอบครัวเหย้าเรือนของเรา เช่นสามีภรรยาลูกเล็กเด็กแดงอยู่ด้วยกันเป็นยังไง ควรอดควรออมกันก็ต้องอดต้องออม ควรให้อภัยกันก็ต้องให้อภัย ใครผิดต้องยอมรับกันว่าผิดจึงจะอยู่ด้วยกันได้มนุษย์เรา มีแต่จะผิดท่าเดียวๆ ให้คนอื่นให้อภัยอยู่ตลอดเวลาอย่างนั้น คนนั้นก็เป็นคนทำลายผู้ให้อภัย ไม่สมควรแก่ผู้ผิดนั้นเหมือนกัน ผู้ผิดต้องแก้ตัว เมื่อคนเรามีการรับผิดรับถูกซึ่งกันและกันแล้วย่อมอยู่ด้วยกันได้ เย็นไม่มีอะไรเย็นเกินมนุษย์เราแหละ



    เฉพาะ อย่างยิ่งคือสามีภรรยา ไม่มีอันใดที่จะรักมากยิ่งกว่าสามีภรรยา คู่พึ่งเป็นพึ่งตายก็อยู่ที่นี่ เพราะฉะนั้นจึงให้เอาธรรมเข้ามามัดหัวใจของกันและกัน แล้วอยู่ด้วยกันด้วยความตายใจ ด้วยความบริสุทธิ์ ด้วยความรักสนิทติดจมต่อกันจริง ๆ ด้วยศีลด้วยธรรม เงินทองข้าวของสมบัติมีมากมีน้อยจะเย็นไปตามๆ กันกับคนที่มีธรรมครองใจต่อกันนั้นแหละ สามีก็มีความซื่อสัตย์สุจริตต่อคู่ครองของตน ภรรยาก็มีความซื่อสัตย์สุจริตต่อคู่ครองของตน ไปไหนไปได้ไว้ใจกันได้ นี่เป็นอันดับลึกมากที่สุด เป็นรากเหง้าของครอบครัว เป็นรากเหง้าแห่งความร่มเย็นเป็นสุข ความฝากเป็นฝากตาย ความสุขจึงรวมอยู่ที่จุดนี้ก่อนจุดอื่น



    สมบัติ เงินทองข้าวของนั้นตามมาทีหลัง ถ้าหากว่าคู่ครองนี้ไม่ดีต่อกัน ต่างคนต่างทำลายตนทำลายศีลธรรมแล้ว สมบัติเงินทองมีมากน้อยเพียงไรก็มาเป็นเครื่องประหัตประหารกันได้หมด เป็นเครื่องมือให้ทำชั่ว เลยเป็นฟืนเป็นไฟกันไปหมด นี่ละความมีศีลธรรมกับความขาดศีลธรรมเราเห็นประจักษ์อยู่ในหัวใจของเรา ครอบครัวของเรา เฉพาะอย่างยิ่งสามีภรรยา ให้ต่างคนต่างเอาจริงเอาจัง รักกันเรายังรักจริงๆ ทำไมเชื่อกันจริงๆ ไม่ได้หรือมนุษย์เรา ถ้าเราไม่เหลวไม่เลวเสียจนเกินมนุษย์แล้ว ก็สามีภรรยานั้นแลจะเป็นผู้ที่ฝากเป็นฝากตายกันได้ เพราะรักกันก็รักมากไม่มีใครเกินสามีภรรยา ทีนี้เมื่อรักกันมากก็ให้เห็นความรักเป็นของมีคุณค่า เชื่อใจซึ่งกันและกันซิ ฝากเป็นฝากตายต่อกัน จึงจะสมกับมีความรักกันมาก นี่ละเมื่อนำศีลธรรมนี้ไปปฏิบัติแล้วเย็นไปหมด



    นี่ ละธรรมะพระพุทธเจ้ามีฤทธาศักดานุภาพที่ตรงนี้ ตรงที่เรานำเอามารักษา เอ้า จะเป็นยังไง เมียก็มีอยู่ ผัวก็มีอยู่ ยุ่งอะไรกับสิ่งภายนอกกินไม่รู้จักอิ่มจักพอ เอาศีลธรรมบังคับเข้าไป มีเท่านี้เป็นก็ตามตายก็ตาม คนมี ๑๐ ผัว ๒๐ เมียก็ตามก็ยิ่งจะมีแต่ความทุกข์ความทรมานใจ ไม่มีใครเกินจำพวกเหล่านี้ แล้วเหตุใดเราจึงจะไปถือจำพวกที่กองทุกข์ไฟทั้งกองเหล่านี้ เพราะมีมากๆ เอาไฟมามากๆ มาเผาบ้านเผาเรือนนี้มาเป็นคติเครื่องฉุดลากเราไปให้เป็นไฟอย่างเขา ถ้าเราไม่อยากเป็นไฟอย่างเขา ถ้าพวกนี้มีความสุขความเจริญความสะดวกสบายมากก็พอที่เอามาอวดโลก และควรที่เอามาแข่งอรรถแข่งธรรมพระพุทธเจ้า ท่านว่าให้ยินดีในสามีภรรยาของตนเท่านั้นไม่ให้ยินดีคนอื่น เพราะมีมากเท่าไรยิ่งเป็นฟืนเป็นไฟ



    ใคร จะเกินพระพุทธเจ้าเรื่องความสามารถความฉลาด แหลมคมที่สุดไม่มีใครเกินศาสดา ท่านจึงได้นำธรรมะที่เรียกว่าสวากขาตธรรมตรัสไว้ชอบแล้วนี้มาสั่งสอนพวกเรา ขอให้พี่น้องทั้งหลายปฏิบัติตัวให้จริงจัง ให้มีสารคุณต่อตัวของเราด้วยอำนาจแห่งธรรม เราจะเป็นคนมีคุณค่า เราจะทรงไว้ซึ่งความสุข เฉพาะอย่างยิ่งคือสามีภรรยาต่างคนต่างมีความสุขความตายใจซึ่งกันและกัน นี่ละทรัพย์สมบัติอันล้นค่าอยู่ที่ความรักกันตายใจซึ่งกันและกันด้วยอำนาจ แห่งศีลธรรม นอกนั้นไม่มีอะไรรับรอง มีเงินเป็นล้านๆ ก็ไม่มีอะไรรับรองถ้าใจแตกเสียอย่างเดียว ถ้าใจไม่มีขอบเขตเสียอย่างเดียวเท่านั้นเสียหมด



    คน เราอยู่ที่ใจ ใจที่มีศีลธรรมย่อมเป็นใจที่แน่นหนามั่นคง ย่อมเป็นใจที่เชื่อถือตัวเองได้ ถ้าใจขาดจากศีลจากธรรมเท่านั้นเชื่อไม่ได้ เป็นพิษเป็นภัยเผาไหม้ทั้งหมดนั้นแหละ คนนั้นก็มี ๕ ผัว คนนี้ก็มี ๕ เมีย ครอบครัวละ ๕ ผัว ครอบครัวละ ๕ เมีย ลองเอามาดูซิเพียงแค่เมืองอุดรเรานี้ หลวงตาบัวอยู่ในวัดน่ากลัวจะอยู่ไม่ได้มันจะพังไปหมดนั่นแหละ ถูกไฟเผาเอา คนนั้นก็จะเอาเรื่องนี้ไปยุ่ง คนนั้นก็จะเอาเรื่องนั้นไปยุ่ง ผู้หญิงก็จะเอาเรื่องผัวไปยุ่ง ผู้ชายก็จะเอาเรื่องเมียไปยุ่ง ผู้หญิงคนนั้นเป็นอย่างนั้น ผู้ชายคนนี้เป็นอย่างนี้ ไอ้หนูคนนี้เป็นอย่างนี้ ยุ่งไปหมดเลย แล้วเป็นยังไงอยากยุ่งไหมอย่างนั้น นี่ละคือความผิดศีลธรรมทำให้ยุ่งอย่างนี้



    ความ เป็นผู้มีศีลธรรมแล้วเอาเถิดว่าอย่างนั้นเลย เป็นก็เป็นด้วยกัน ตายก็ตายด้วยกัน ได้รักกันได้สนิทติดจมต่อกันแล้วเป็นอวัยวะเดียวกันแล้ว ชีวิตอันเดียวกันแล้ว เป็นก็เป็นด้วยกัน เอาธรรมนี้เข้ามาผูกหัวใจเจ้าของมันจะไปไหนได้ นอกจากจะสร้างความสุขความสบายความตายใจให้เราทั้งหลายได้ครองเท่านั้น เราจะเห็นความสุขในระหว่างครอบครัวเหย้าเรือนที่อยู่ด้วยกัน มีความสุขอย่างนี้ ไม่ใช่มีความสุขเพราะฟุ้งเฟ้อเห่อเหิมเป็นอย่างนั้น จำเอาพี่น้องทั้งหลาย



    ถ้า เราอยากเห็นศีลธรรมมีฤทธิ์มีเดชมีศักดานุภาพ เราต้องนำธรรมะมาดัดกิเลสตัวมันเก่ง ๆ ตัวมันคึกมันคะนองในหัวใจให้สงบลงซิ เราจะแสนสบาย อันนี้ปล่อยให้แต่กิเลสเหยียบหัวคนทำลายคน ไปที่ไหนบ่นแต่เรื่องกิเลสทำลายคน ธรรมไม่เคยได้ยินว่าทำลายใครที่ไหน ให้นำเอามาบำรุงหัวใจเรา บำรุงหน้าที่การงานการประพฤติปฏิบัติให้ดี การจับการจ่ายการใช้การสอยถ้ามีศีลมีธรรมแล้วจะรู้จักประมาณ พอดีพองามตามกันไปหมด นี่ละโลกจะร่มเย็น คือโลกมีธรรมย่อมร่มเย็น ถ้าไม่มีธรรมแล้วใครจะอวดดิบอวดดี ว่าจะเก่งสามารถขนาดไหนก็ไม่พ้นไฟนรกจะเผาหัวใจทั้งเป็นนี้ไปได้



    การ แสดงธรรมวันนี้ก็เพื่อท่านสาธุชนทั้งหลาย ได้ยินได้ฟังข้ออรรถข้อธรรมไปประพฤติปฏิบัติต่อตนเองในครอบครัวเหย้าเรือน หน้าที่การงาน แล้วครอบครัวเหย้าเรือนตลอดตัวของเราก็จะมีความร่มเย็นเป็นสุข และผาสุกสบายประสับประสานกันได้ทั่วโลกดินแดน



    ที นี้ทางฝ่ายพระเราก็เหมือนกัน อันนี้จะอธิบายธรรมะให้พระท่านฟังพอประมาณ ไม่อธิบายมากมายนักเพราะเวลานานแล้ว พระเราก็มีคุณค่าอยู่กับหลักธรรมหลักวินัย ชีวิตของพระคือหลักธรรมหลักวินัย กิริยาอาการของพระที่ถูกต้องตามหลักธรรมวินัยนั้นแล คือพระเต็มภูมิ พระไม่ขาดบาทขาดตาเต็ง พระอย่างนี้พระพุทธเจ้าท่านบวชให้เป็นพระ สมบูรณ์แบบในการบวช เรียกว่าสมบัติที่ท่านบวชนั้นว่า สมบัติ ๕ วิบัติ ๕ นี่ เราก็สมบูรณ์มาแล้วมาบวชเป็นพระ ทีนี้ให้พระเราสมบูรณ์แบบก็ต้องเป็นผู้มีหิริโอตตัปปะ มีความละอายต่อบาปต่อกรรมทั้งหลาย ไม่กล้าล่วงเกิน และตั้งหน้าตั้งตาประพฤติปฏิบัติตัว ชีวิตของเราอยู่กับคุณงามความดี



    เวลา นี้เราสละทุกสิ่งทุกอย่างมาแล้วจากบ้านจากเรือน เราอาศัยคนอื่นเป็นชีวิตจิตใจ ปัจจัยทั้งสี่ได้มาจากศรัทธาญาติโยมทั้งนั้น อาหารบิณฑบาต ที่อยู่ที่อาศัย มีแต่ญาติโยมเป็นผู้สนับสนุน คนดีมีอยู่มากมายที่จะสนับสนุนพระที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ยังไงก็ไม่ตาย ถ้าลงปฏิบัติดีปฏิบัติชอบแล้วใครก็เคารพใครก็เลื่อมใส ใครก็อยากกราบอยากไหว้อยากบูชา ไม่ว่าท่านว่าเราหัวใจเป็นเหมือนกันเพราะหาแต่ของดีทั้งนั้น พระก็อยากได้ของดี เพราะฉะนั้นจึงให้ต่างองค์ต่างประพฤติปฏิบัติตัวของเรา



    การ เดินจงกรมนั่งสมาธิภาวนานี้ท่านแสดงไว้แล้วในตำรับตำรา มีดาษดื่นมากที่สุด ว่าเดินจงกรมคืออะไร ชำระจิตใจของตนที่มันคึกมันคะนองให้สงบผ่องใสภายในจิตใจ นั่งสมาธิก็เหมือนกันชำระจิตใจให้มีความสงบผ่องใสเย็นใจ เห็นประจักษ์ภายในจิตใจของเราตั้งแต่เริ่มสมาธิขึ้นไป สมาธิคือความสงบใจ ความสงบใจนี้เป็นที่ไหลรวมลงมาแห่งความสุขเย็นใจสบายอยู่นั้นหมด จากนั้นก็ใช้ทางด้านปัญญาพินิจพิจารณาเรื่องกฎของอนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา ไม่ควรจะไปเกาะไปเกี่ยวไปยึดไปถือในสิ่งใด สำหรับเราเป็นพระมีแต่จะสลัดโดยถ่ายเดียวเท่านั้น สลัดไปทุกสิ่งทุกอย่างด้วยอำนาจแห่งปัญญา เมื่อปัญญามีความเฉลียวฉลาดก็ย่อมสามารถที่จะปลดเปลื้องสิ่งทั้งหลายที่เคย ยึดเคยถือได้ กลายเป็นใจที่ละเอียดเข้าไป ถึงกลับเป็นใจที่บริสุทธิ์วิมุตติพุทโธเต็มดวง ได้แก่ใจที่บริสุทธิ์



    ใน ครั้งพุทธกาลท่านทรงมรรคทรงผล องค์ใดออกบวชไม่ว่าจะออกมาจากสกุลพระราชามหากษัตริย์เศรษฐีกุฎุมพีพ่อค้า ประชาชนคนธรรมดา พอออกมาบวชแล้วได้รับการอบรมศึกษาจากพระพุทธเจ้าและครูบาอาจารย์ทั้งหลาย ส่วนมากมักเป็นพระอรหันต์ในครั้งนั้น ได้ยินได้ฟังแล้วออกปฏิบัติเดินจงกรมนั่งสมาธิภาวนา ในป่านั้นในเขานี้ แล้วปรากฏว่าองค์นั้นสำเร็จโสดา องค์นี้สำเร็จสกิทา องค์นั้นสำเร็จอนาคา องค์นี้สำเร็จพระอรหัต อยู่ในเขาลูกนั้นในถ้ำนั้นในเงื้อมผานั้น นี่ตำรับตำราทางเดินของท่านเพื่อบรมสุขแก่นักบวชทั้งหลาย เพราะนักบวชนี้ส่วนมากท่านมักจะหมายถึงธรรมขั้นสูงสุดเป็นสำคัญในครั้ง พุทธกาล บวชเพื่อชำระกิเลสตัณหาอาสวะให้หลุดพ้นโดยประการทั้งปวง



    เพราะ ฉะนั้นขอให้พระลูกพระหลานของเราตั้งหน้าตั้งตาประพฤติปฏิบัติ ให้ดูหลักธรรมหลักวินัย ให้มีหิริโอตตัปปะอย่ากล้าอย่าแข็งต่ออรรถต่อธรรม กระด้างกระเดื่องต่ออรรถต่อธรรม ก็เท่ากับมีการแข็งกระด้างต่อองค์ศาสดานั้นแลไม่ใช่เป็นของดี ถ้าไม่เป็นของดีแล้วเราก็ทรงความเลวไว้ ไม่สมกับความเป็นพระของเรา เพราะฉะนั้นให้เหมาะสมกับความเป็นพระของเรา ต้องเป็นผู้มีศีล ให้ทรงไว้ซึ่งศีลทรงไว้ซึ่งสมาธิขึ้นไปโดยลำดับจนกระทั่งถึงปัญญาวิมุตติ หลุดพ้น นั้นเต็มภูมิของเราเป็นพระ ที่บวชมาเพื่อความหลุดพ้นโดยแท้จริง



    ใน อวสานแห่งการแสดงธรรมนี้ขอพุทธานุภาพ ธรรมานุภาพ สังฆานุภาพ จงมาคุ้มครองท่านทั้งหลายให้มีความสุขกายสบายใจ และปราศจากโรคภัยไข้เจ็บ ให้ได้บำเพ็ญบุญญาภิสมภารด้วยความขยันหมั่นเพียร ด้วยความอุตส่าห์พยายาม ผลที่พึงได้รับทั้งหลายจะเป็นสมบัติของท่านแต่ละรายๆ แล้วบุญนี้จะส่งเราให้ไปถึงจุดที่หมายปลายทางได้แก่พระนิพพาน จึงขอให้พี่น้องทั้งหลายได้ทำความอุตส่าห์พยายามประพฤติปฏิบัติ กำจัดสิ่งที่จะเป็นภัยต่อการบำเพ็ญความดีทั้งหลายออกไปเรื่อยๆ และอุตส่าห์พยายามสร้างความดีให้หนาแน่นขึ้นโดยลำดับ ความสุขความเจริญจะเป็นของพี่น้องทั้งหลายโดยถ่ายเดียว



    จึงขอยุติการแสดงธรรมลงเพียงเท่านี้


    คัดลอกจาก http://www.luangta.com/thamma/thamma_talk_text.php?ID=1083&CatID=2
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 ตุลาคม 2012

แชร์หน้านี้

Loading...