ตายแล้วไปไหน-พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน (วีระ ถาวโร) หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย ตุปั๊ดตุเป๋, 20 มีนาคม 2019.

  1. ตุปั๊ดตุเป๋ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2017
    โพสต์:
    425
    ค่าพลัง:
    +107
    ๘๐.ท่านขุนไกรตายแล้วไปเกิดเป็นเทวดาชั้นจาตุมหาราช

    “..ท่านท้าวมหาราชท่านมาบอกว่า ท่านท้าวเวหน เป็นเทวดาชั้นจาตุมหาราช ท่านคือ “ขุนไกร” บิดาของ “ขุนแผนหรือพระยากาญจนบุรี” อาตมาให้ช่างประเสริฐที่วัดท่าซุงปั้นรูปท่านไว้แต่ไม่มีแบบปั้น จึงบอกว่าให้ปั้นตามใจชอบ ช่างจึงปั้นรูปหน้าคล้ายลุงวงษ์พี่ชายของอาตมาที่ตาย และเคยอยู่ที่วัดท่าซุง

    เมื่อปั้นเสร็จแล้วจึงนำกระดูกลุงวงษ์เข้าบรรจุไว้ ให้ชื่อว่า “นายวงษ์ สังข์สุวรรณ” ที่รูปนั้น แต่ความจริงเป็นรูปของ “ขุนไกร”

    ที่ว่าเป็นรูปของท่านขุนไกรจริงๆ ก็เพราะว่า มีครั้งหนึ่งที่อาตมาไปกรุงเทพฯ ก็มีคนจะมาถ่ายรูปท่านขุนไกร คนที่อยู่วัดก็ดี พระก็ดี ไม่มีใครรู้จักท่านขุนไกร

    คนที่มาก็บอกว่าท่านขุนไกรไปเข้าทรงที่แม่สอด การเข้าทรงของท่านพูดอะไรก็ตรงไปตรงมา จริงทุกอย่าง แต่ทว่าพอเขาจะถ่ายรูปท่านก็บอก “มึงจะถ่ายอะไรวะ ถ่ายรูปเวลานี้ มึงก็ถ่ายรูปอีคนทรง มันจะติดกูได้อย่างไร รูปกูเขาปั้นไว้ที่วัดท่าซุง ห่างจากอำเภอเมืองไปประมาณ ๖ กิโลเมตร จังหวัดอุทัยธานี เขาปั้นไว้เหมือนเปี๊ยบเชียว ไปขอถ่ายที่นั่น”

    พระที่วัดก็เลยบอกว่า รูปอื่นไม่เห็นมี มีแต่รูปปั้นคุณลุงวงษ์ เวลานั้นรูปปั้นใหญ่มีรูปเดียวยังไม่มีรูปใคร เขาก็ถ่ายภาพไป จึงได้ทราบว่า ท่านท้าวเวหน ก็คือท่านขุนไกรบิดาของท่านขุนแผนหรือท่านพระยากาญจนบุรี..”
     
  2. ตุปั๊ดตุเป๋ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2017
    โพสต์:
    425
    ค่าพลัง:
    +107
    ๘๑.ตายไม่สูญ...แล้วไปไหน

    ....ความจริง “ตายแล้วไม่สูญ” และ “ตายแล้วไปไหน” นี้ไม่น่าจะเป็นที่ข้องใจของท่านเลย เพราะพระพุทธเจ้าตรัสไว้แล้วอย่างละเอียดว่า เมื่อตายจากโลกนี้ไปแล้ว ทางที่ไปก็มี ๕ สายคือ

    ๑) อบายภูมิ ได้แก่เกิดเป็นสัตว์นรก เป็นเปรต เป็นอสุรกาย และเป็นสัตว์เดรัจฉาน

    ๒) เกิดเป็นมนุษย์

    ๓) เกิดเป็นเทวดาหรือนางฟ้าอยู่บนสวรรค์

    ๔) เกิดเป็นพรหม

    ๕) ไปพระนิพพาน

    ท่านที่ตายแล้วจะไปเกิดที่ใด พระพุทธเจ้าก็ตรัสบอกเหตุที่จะไปเกิดไว้ครบถ้วนตามกฎของกรรมคือการกระทำ ได้แก่ความประพฤติดีหรือชั่วในสมัยที่เกิดเป็นมนุษย์นี้เอง กฎของกรรมหรือความประพฤติดีหรือชั่วที่จะพาไปเกิดในที่ใดที่หนึ่ง ตามที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ ๕ ทางนั้น ท่านว่าไว้อย่างนี้

    แดนเกิดสายที่หนึ่ง ที่เรียกว่า อบายภูมิ
    แดนเกิดสายที่หนึ่ง ที่เรียกว่า อบายภูมิ มีนรกเป็นต้นนั้น เป็นผลจากความประพฤติชั่ว คือก่อกรรมทำเข็ญในสิ่งที่สร้างความเดือดร้อนให้แก่คนและสัตว์ ท่านจัดกฎใหญ่ๆ ไว้ ๕ ประการคือ

    ๑) เป็นคนมีใจโหดร้าย ชอบข่มเหงรังแก เบียดเบียนคนและสัตว์ให้ได้รับความเดือดร้อนโดยเข้าใจผิดคิดว่าเป็นความดี หมายถึงละเมิดศีลข้อที่ ๑

    ๒) มือไว ชอบลักขโมยของที่เจ้าของยังไม่อนุญาต หรือฉ้อโกงเอาทรัพย์สินของคนอื่นด้วยเล่ห์กลโกง หมายถึงละเมิดศีลข้อที่ ๒

    ๓) ใจเร็ว ได้แก่มีจิตใจไม่เคารพในความรักของคนอื่น ชอบลอบทำชู้ บุตร ภรรยาและธิดา สามี ของคนอื่นด้วยความมัวเมาในกามคุณ หมายถึงละเมิดศีลข้อที่ ๓

    ๔) พูดปด ได้แก่พูดไม่ตรงต่อความเป็นจริงเพื่อหวังทำลายประโยชน์ของผู้อื่นโดยเจตนา หมายถึงละเมิดศีลข้อที่ ๔

    ๕) ชอบทำตนให้เป็นคนหมดสติ ด้วยการย้อมใจให้หมดความรู้สึกในการรับผิดชอบด้วยนํ้าเมา หมายถึงละเมิดศีลข้อที่ ๕

    กรรม คือความประพฤติในกฎ ๕ ประการนี้ ท่านว่าตายจากความเป็นคนแล้วไปสู่อบายภูมิมีตกนรกเป็นต้น

    แดนเกิดสายที่สอง คือเกิดเป็นมนุษย์

    แดนเกิดสายที่สอง คือเกิดเป็นมนุษย์ ท่านว่าคนที่ตายแล้วจะมาเกิดเป็นมนุษย์ได้ ต้องมีกรรมบถ ๑๐ หรือที่รู้กันง่ายๆ ก็คือ เป็นคนมีศีล ๕ ประจำได้แก่

    ๑) เป็นคนมีเมตตาปรานี ไม่รังแกข่มเหง ทำร้ายใครไม่ว่าคนหรือสัตว์ มีความรัก เมตตาปรานีคนและสัตว์เสมอด้วยรักตนเอง

    ๒) ไม่มือไว คือเคารพสิทธิในทรัพย์สินของบุคคลอื่น ไม่ยอมถือเอาทรัพย์สินของใครมาเป็นของตน ในเมื่อเจ้าของไม่อนุญาตด้วยความเต็มใจ

    ๓) ไม่ใจเร็ว ละเมิดความรักในบุตร ธิดา ภรรยา สามีของบุคคลอื่น

    ๔) ไม่เป็นคนไร้สัจจะ พูดแต่เรื่องที่เป็นสาระตรงต่อความเป็นจริง

    ๕) ทำตนให้เป็นคนมีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ คือเป็นคนมีอารมณ์รับรู้ความดีความชั่วตามกฎของกรรม ไม่ปล่อยใจให้เลื่อนลอยด้วยน้ำเมาต่างๆ

    ท่านที่ทรงความดี ๕ อย่างนี้ได้ ท่านว่าตายจากความเป็นคนแล้ว มีสิทธิ์กลับมาเกิดเป็นมนุษย์ใหม่ได้

    แดนเกิดสายที่สาม ได้แก่สวรรค์
    แดนเกิดสายที่สาม ได้แก่สวรรค์ อาการที่ทำให้คนเกิดเป็นเทวดาหรือนางฟ้าบนสวรรค์ ท่านบรรยายไว้มาก แต่เมื่อสรุปกล่าวโดยย่อมี ๒ อย่างคือ

    ๑) เป็นคนมีความละอายต่อความชั่ว ไม่ยอมทำชั่วในที่ทุกสถาน

    ๒) เกรงผลของชั่ว จะทำให้เกิดความเดือดร้อน

    เหตุ ๒ ประการนี้ เป็นผลทำให้ตายจากความเป็นคนไปเกิดเป็นเทวดาหรือนางฟ้า

    แดนเกิดสายที่สี่ ได้แก่พรหมโลก

    แดนเกิดสายที่สี่ ได้แก่พรหมโลก พรหมกับเทวดามีดินแดนที่เกิดเป็นคนละแดนกัน พรหมท่านว่าศักดิ์ศรีดีกว่าเทวดาและมีชั้นภูมิสูงกว่า มีอำนาจมากกว่า มีความสุขดีกว่า ความสวยสดงดงามก็ดีกว่าเทวดา

    แต่พรหมไม่มีเพศคือไม่มีเพศหญิงเพศชาย ทั้งนี้เพราะพรหมไม่มีการครองคู่ อยู่โดดเดี่ยวอย่างพระสงฆ์ตามวัดคือไม่มีภรรยาสามี ท่านว่ามีความสุขสงบสงัด ท่านที่จะเป็นพรหมได้ท่านว่าต้องเป็นนักกรรมฐานและมีอารมณ์จิตสุดท้ายก่อนตาย อารมณ์จิตเป็นฌานที่เรียกว่า เข้าฌานตาย

    แดนเกิดสายที่ห้า ได้แก่พระนิพพาน
    แดนเกิดสายที่ห้า ได้แก่พระนิพพาน แดนนี้เป็นเขตที่รู้เรื่องกันยากมาก เพราะนักปราชญ์สมัยนี้ถือว่า “นิพพานสูญ” กันเป็นประเพณีไปแล้ว ขอบอกไว้ย่อๆ ว่า คนที่จะถึงพระนิพพานได้นั้นต้องมีความบริสุทธิ์ ๑๐ อย่างคือ

    ๑) ไม่เมาในตนเองหรือวัตถุต่างๆ ที่คิดว่าเป็นสมบัติของตน รู้สึกเสมอว่าจะต้องตายและพลัดพรากจากของรักของชอบใจแน่นอน ไม่มีอะไรที่จะมาห้ามความตายและความพลัดพรากได้ ทำจิตใจเป็นปกติเมื่อความตายมาถึงหรือเมื่อต้องพลัดพรากจากสิ่งที่ตนรัก

    ๒) ไม่สงสัยในคำสอนของพระพุทธเจ้าที่ทรงสอนตามความเป็นจริงว่า ทุกอย่างในโลกนี้ไม่ว่าสิ่งที่มีชีวิตต้องทำลายตนเองลงในเมื่อกาลเวลามาถึง ไม่มีอะไรทรงสภาพเป็นปกติอยู่ได้ ใครทำความดี ความดีก็คุ้มครองให้มีความสุขใจ ใครทำชั่ว ความชั่วจะบันดาลความเดือดร้อนให้ แม้ผู้อื่นยังไม่ลงโทษ ตนเองก็มีความหวาดสะดุ้งเป็นปกติ

    ๓) รักษาศีลมั่นคง ดำรงจิตอยู่ในศีลเป็นปกติ

    ๔) ทำลายความใคร่ในกามารมณ์ให้สิ้นไปจากใจ ด้วยอำนาจความรู้ถึงความจริง รู้ว่าความรักเป็นเหตุให้เกิดความทุกข์ ภัยอันตรายที่มีขึ้นแก่ตนเพราะอาศัยความรักเป็นเหตุ

    ๕) มีจิตใจเต็มไปด้วยความเมตตาปรานี ไม่โกรธไม่จองล้างจองผลาญคิดทำอันตรายใคร ไม่ว่าใครจะแสดงอาการอย่างไร จิตก็ไม่คลายจากความเมตตา

    ๖) ไม่มัวเมาในรูปฌาน โดยคิดว่าการที่ตนทรงรูปฌานได้นี้ เป็นผู้ถึงที่สุดของความดี เมาฌานจนไม่สนใจความดีที่ตนยังไม่ได้

    ๗) ไม่มัวเมาในอรูปฌาน โดยคิดว่าความดีเพียงเท่านี้ ยังไม่เป็นทางสิ้นทุกข์

    ๘) มีอารมณ์เป็นปกติ ไม่คิดถึงเรื่องอารมณ์เหลวไหล มีจิตใจเต็มไปด้วยความหวังดี ไม่ว่าต่อคนหรือสัตว์ ตลอดเวลาที่ตื่นอยู่

    ๙) ไม่ถือตน ทะนงตน ว่าดีเลิศประเสริฐกว่าใคร มีอารมณ์ใจเป็นปกติ เห็นคน สัตว์ ทรัพย์สินทั้งหมดเป็นของธรรมดาที่จะต้องตายจะต้องสลายไป และมีอารมณ์ไม่หวั่นไหวเมื่อเข้าสังคมสมาคมใดๆ

    มีอาการเป็นเสมือนว่าสังคมนั้น สมาคมนั้นๆ เป็นกลุ่มของคนที่ต้องตาย ไม่ทำตัวใหญ่หรือเล็กจนน่าเกลียด ทำตนพอเหมาะพอสมควรแก่สมาคมนั้นๆ เรื่องของเขา เขาจะดีจะชั่วก็ตัวของเขา เราช่วยได้เราก็ช่วย ช่วยไม่ได้ก็เฉยไว้ ไม่สนใจที่จะไปเบ่งบารมีทับใคร

    ๑๐) ตัดความรักความพอใจในโลกีย์วิสัยให้หมด งดอารมณ์อยากดีอยากเด่น ทำอารมณ์เป็นพระพุทธในพระอุโบสถ พระพุทธท่านยิ้มเสมอ ท่านที่จะถึงพระนิพพานต้องยิ้มได้อย่างพระพุทธ ใครจะดีจะชั่วก็ยิ้ม

    เพราะเห็นเป็นของธรรมดามันหนีไม่ได้ไล่ไม่พ้น เมื่อยังมีตัวตนเป็นคนมันก็ต้องพบอาการอย่างนี้อยู่ ก็สบายใจ ความตายจะมาถึงก็ไม่สะดุ้งหวาดกลัวเพราะรู้ตัวอยู่เสมอว่าจะต้องตาย มีอารมณ์ใจปกติ ไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่ผูกพันทรัพย์สินหรือสัตว์หรือบุคคลอื่น เท่านี้ก็ไปพระนิพพานได้

    เมื่อพูดกันมาถึงทางหรือแดนเป็นที่ไป เมื่อตายแล้วว่ามี ๕ ทาง ท่านอาจจะสงสัยว่าเมื่อพระพุทธเจ้าตรัสไว้อย่างนั้น จะมีทางใดพิสูจน์ความจริงได้บ้างว่า คำสอนนั้นตรงต่อความเป็นจริง

    เคยมีใครบ้างไหมที่ฟังแล้วและเรียนข้อวัตรปฏิบัติตาม ไม่ใช่เรียนแล้วเอามาคุยอวดกัน ต้องเรียนแบบฝรั่งไม่ใช่เรียนแบบไทย ฝรั่งเขาสงสัยอะไรเขาค้นคว้าหาความจริงว่ามีหรือไม่เพียงใด

    สมัยนี้แม้แต่ดวงจันทร์ที่ทุกท่านคิดว่าเป็นของเกินวิสัย แต่ฝรั่งเขาไปดูจนได้เพราะเขาเรียนแล้วปฏิบัติด้วย ที่ว่าเรียนแบบไทยก็เพราะคนไทยเป็นคนมีบุญ ทุกอย่างไม่ต้องลงทุนคอยดูฝรั่งแสดงก็พอใจได้เปรียบกว่าฝรั่งมาก แต่ทว่าเนื้อแท้แล้ว เราก็รู้เพียงเขาว่าไม่ใช่เราเห็นเอง

    เรื่องของ “การตายแล้วไม่สูญ” และ “ตายแล้วไปไหน” ก็เหมือนกัน ถ้าเรียนกันแบบอ่านหนังสือแล้วก็ตั้งแง่สงสัยหรือเอาความรู้จากหนังสือที่อ่านจำได้แล้วเอาไปเบ่งบารมีกัน ก็ไม่ต่างอะไรกับคนนอนฝันหาความจริงไม่ใคร่ได้ ถ้าจะพบความจริงบ้างก็ต้องบังเอิญจริงๆ หลักเกณฑ์การปฏิบัติเพื่อรู้ว่าตายแล้วไปไหน

    ท่านสอนไว้ในหลักสูตรของวิชชาสาม ท่านให้เจริญสมาธิคือ เจริญกสิณกองใดกองหนึ่ง หรือเอากสิณเฉพาะเพื่อทิพจักขุญาณ ท่านให้ใช้เตโชกสิณเพ่งไฟ หรืออาโลกสิณเพ่งแสงสว่าง หรือโอทาตกสิณเพ่งสีขาว

    จนมีสมาธิถึงขั้นอารมณ์เริ่มเป็นทิพย์คือถึงอุปจารฌาน แล้วถือนิมิตกสิณเป็นสำคัญฝึกดูสวรรค์ นรก และพรหมโลก ถ้าทรงวิปัสสนาญาณด้วย ก็พิสูจน์พระนิพพานด้วยได้

    การพิสูจน์คำสอนของพระพุทธเจ้าต้องฟังแล้วปฏิบัติตาม ท่านจึงจะหมดข้อสงสัยเพราะท่านรู้เองเห็นเอง แต่ถ้าฟังกันแล้วแต่ไม่ทำตาม ความหวังที่ตั้งใจต้องล้มเหลวแน่เพราะเป็นเพียงเสือกระดาษจะกัดใครตายได้

    เวลานี้มีผู้ฝึก มโนมยิทธิเพื่อพิสูจน์คำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ตรัสว่า “ตายแล้วไม่สูญ” แดนอบายภูมิ แดนสวรรค์ แดนพรหม และแดนพระนิพพาน นั้นมีจริง

    เขาฝึกกันได้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่เป็นจำนวนมาก ต่อไปก็จะขอนำเรื่องราวของท่านผู้ที่ตายไปแล้วกลับฟื้นขึ้นมาใหม่ และได้ไปพบไปเห็นในแดนต่างๆ ว่ามีอะไรบ้าง เพื่อเป็นตัวอย่างให้ท่านทั้งหลายได้ทราบตามความเป็นจริงว่า ตายแล้วไม่สูญ..”
     
  3. ตุปั๊ดตุเป๋ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2017
    โพสต์:
    425
    ค่าพลัง:
    +107
    ๘๒.เรื่อง..ปัญญา

    "..ปัญญา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากล่าวว่า ปัญญา จงเป็นผู้มีความรอบรู้อยู่เสมอ จงใช้ปัญญาพิจารณาอารมณ์จิตว่า

    เวลานี้อารมณ์จิตของเรายังมีความผูกพันอยู่กับร่างกายหรือเปล่า ยังเห็นว่าร่างกายเป็นเรา เป็นของเรา เรามีในร่างกาย ร่างกายมีในเราหรือเปล่า หรือว่าเราไปพอใจร่างกายของบุคคลอื่นเขาหรือเปล่า ถ้าอารมณ์อย่างนี้มีอยู่ก็แสดงว่าเราเลวเกินไป

    สำหรับในฐานะที่เป็นสาวกขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ได้ใช้ปัญญาพิจารณาตามความเป็นจริง พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนแล้ว ไม่ฟัง ไม่ปฏิบัติตาม เป็นอันว่าสัญชาติของเราก็ไม่น่าจะเป็นสัญชาติมนุษย์

    เพราะว่ามนุษย์มีสัญชาติคือมีอารมณ์ใจสูง ถ้าเราไม่เชื่อฟังองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาหุ้มห่อร่างกายด้วยผ้ากาสาวพัสตร์ อันเป็นธงชัยของพระอรหันต์ ก็แสดงว่าเราเลวกว่าสัตว์เดรัจฉานประเภทเลว

    เพราะว่าสัตว์ประเภทนั้นมันยังไม่เอาผ้าเหลืองไปหุ้มกายมัน มันเป็นการหลอกลวงชาวบ้าน นี่ต้องใช้ปัญญาพิจารณาตัวของตัวให้ดี กระจกไม่มีก็ไปดูนํ้าใสๆ ชะโงกดูเงาว่าสภาวะรูปร่างของเรา แม้แต่ความเป็นอยู่ของเรามันเหมือนชาวบ้านเขาหรือเปล่า

    ปัญญาต้องใช้จุดนี้นะ พิจารณาอัตภาพร่างกายนี่มันไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในร่างกาย ร่างกายไม่มีในเรา หรือว่าด้วยขันธ์ ๕ คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ นี่มันไม่ใช่เรา เราไม่มีในขันธ์ ๕ ขันธ์ ๕ ไม่มีในเรา

    แล้วปัญญาก็พิจารณาต่อไปว่า เวลานี้เราสงสัยในคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาหรือเปล่า ถ้าสงสัยใช้ปัญญาแก้ซะให้ชัดว่า พระธรรมคำสั่งสอนที่องค์สมเด็จพระทรงสวัสดิ์ที่ทรงสอนน่ะ มันจริงหรือไม่จริง พระพุทธเจ้าโง่หรือว่าเราโง่ ใช้ปัญญานะอย่าใช้สัญญา

    แล้วปัญญาก็มาพิจารณาศีลที่เราจะพึงรักษาตามสภาวะของตัว ถ้าพระก็มีสิกขาบท ๒๒๗ รวมทั้ง อภิสมาจาร ด้วยเป็น ๓๐๐ เศษ สามเณรก็มีศีล ๑๐ สิกขาบท แล้วก็มี เสขิยวัตร อีก ๗๕ รวมเป็น ๘๕ สิกขาบท

    สำหรับอุบาสกอุบาสิกาก็มีศีล ๕ ศีล ๘ ตามอัธยาศัยที่พึงจะทำได้ ใช้ปัญญาใคร่ครวญพิจารณาศีลของเราให้เป็นปกติ อย่าให้มันด่างมันพร้อย มันขาดทะลุ อย่าให้บกพร่อง ถ้ามีปัญญาซะอย่างเดียว ไม่มีอะไรยาก

    แล้วก็ใช้ปัญญาพิจารณาว่า ร่างกายของคน ร่างกายของสัตว์ที่เรียกกันว่า รูป เสียง กลิ่น รส และสัมผัส เอาร่างกายคนก็แล้วกัน คนก็ดี สัตว์ก็ดี วัตถุก็ดี มันสกปรกหรือสะอาดให้พิจารณาใน "กายคตานุสสติ" และ "อสุภกรรมฐาน"

    หาความจริงในร่างกายของคนและสัตว์ แม้แต่ของเราให้ได้ว่ามันมีอะไรน่ารักตรงไหน มันมีอะไรยืนยงคงทนตรงไหน มันมีสภาวะทรงตัวหรือว่ามันสลายตัวไปในที่สุด ต้องเอาชนะอารมณ์นี้ให้ได้นะ จะไปติดอยู่ในตัวรักไม่ได้ ต้องเป็นตัวคลายความรัก

    แล้วก็พิจารณาอารมณ์ที่เราโกรธ อารมณ์ที่กระทบกระทั่งคือ ปฏิฆะ อารมณ์ที่เข้ามากระทบกระทั่งสร้างความไม่พอใจ มันเป็นเพราะอะไรจึงไม่พอใจในบุคคลอื่น ที่เขากล่าวอย่างนั้น ที่เขาทำอย่างนั้น เราก็ใช้ปัญญาพิจารณาดูว่าที่เราไม่พอใจ ที่เราโกรธเขา ที่เราเกลียดเขา คิดอาฆาตมาดร้ายเขาเพราะเรามันเลว ถ้าเราดีเสียอย่างเดียวใครจะว่าอะไรมันก็ไม่หนัก

    ที่พระพุทธเจ้าท่านกล่าวว่า

    "นินทาและสรรเสริญนี่ของธรรมดาของโลก เขาสรรเสริญเราว่าดี ถ้าเราเลวมันก็ไม่ดีไปตามคำเขาพูด เขานินทาว่าเราเลว ถ้าเราดีเราก็ไม่เลวไปตามคำเขาพูด"

    ดูที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถูก พระนางมาคัณฑิยา จ้างคนด่า ไปบิณฑบาตเขาก็ตามไปด่า ไปเทศน์ที่ไหนก็ตามไปด่า ไปอยู่พักผ่อนที่ไหนก็ตามไปด่า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ทรงเฉย ไม่เคยสะดุ้งสะเทือน

    ต่อมา ท่านสัญชัยปริพาชก ท่านก็นั่งด่า นั่งด่าเฉยๆ ไม่พอ ก็ด่าฝากคนอื่นไปให้พระพุทธเจ้าทราบด้วย พระพุทธเจ้าก็ไม่ได้ทรงหนักใจ

    ต่อมาอีกพวกหนึ่งก็ได้แก่ สุปิยปริพาชก นั่งด่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตลอดคืนยันรุ่ง พระพุทธเจ้าก็ไม่ได้ทรงหนักใจ พระองค์ก็ทรงเฉย ไม่เดือดร้อน ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่าพระองค์ดีเสียแล้ว

    ฉะนั้น ในฐานะที่เราเป็นสาวกขององค์สมเด็จพระประทีปแก้ว ไอ้เรื่องที่ใครเขาจะทำดีเขาจะทำชั่วนะ จะไปนั่งโกรธเขาเพื่อประโยชน์อะไร ถ้าไม่ถูกใจเราก็แสดงว่าใจของเรามันยังเลว มันยังมีกิเลส อาการที่เขาทำมาที่เขาพูดมาจึงเป็นที่ไม่ถูกใจจึงโกรธ แล้วไอ้ความโกรธมันตัวกิเลสคือ อารมณ์ของความชั่ว จงสังหารความชั่วอันนี้เสียด้วยอำนาจ "พรหมวิหาร ๔" และ "สักกายทิฏฐิ" ร่วมกัน

    ทีนี้ในข้อต่อไปก็ใช้ปัญญาพิจารณาใน รูปฌาน และ อรูปฌาน ว่ารูปฌานและอรูปฌานทั้ง ๒ ประการนี้ เป็นกำลังของจิตที่จะดึงปัญญาเป็นสะพาน ให้ปัญญาเข้าประหัตประหารกิเลสให้เป็นสมุจเฉทปหานเท่านั้น ไม่ใช่ดีอยู่แค่นี้

    แล้วก็ใช้ปัญญาพิจารณาต่อไปว่า ไอ้การที่เราจะถือตัว ถือตน ถือเรา ถือเขา ถือพวก ถือพ้อง ถือหมู่ ถือคณะ ว่าเราดีกว่าเขา เราเลวกว่าเขา เราเสมอเขา มันไม่มีประโยชน์ คนเกิด แก่ เจ็บ ตายเหมือนกัน ไม่ควรจะเอาอะไรเข้าไปเปรียบเทียบ ให้เป็นการแข่งกันและกัน หรือว่าถ่อมเกินไปอะไรพวกนี้ไม่ควรคิด

    คิดว่าทุกคนเกิดมาก็แก่เหมือนกัน ป่วยเหมือนกัน ตายเหมือนกัน รักสุขเหมือนกัน เกลียดทุกข์เหมือนกัน เราเป็นเพื่อนกันได้แบบสหาย จะเสมอไม่เสมอ จะดีกว่า จะสูงกว่า จะตํ่ากว่า ฉันไม่รู้ รู้อย่างเดียวว่าฉันเป็นมิตรที่ดีของท่านเท่านี้พอ

    อุทธัจจะ ใช้ปัญญาเข้าควบคุมกำลังใจว่าอารมณ์ใดที่จะเกิดขึ้นนั้น เราไม่ต้องการ เรามุ่งเฉพาะพระนิพพานอย่างเดียว

    อวิชชา ใช้ปัญญาเข้าจำแนกแจกลงไปว่า อวิชชา ตัวเกาะ เกาะในอารมณ์ที่เป็น "อนุสัย" ยังมีความหลงใหลใฝ่ฝันท้อแท้อยู่เลย คิดว่าถ้าเราเป็นอนาคามี ราก็มีความสบายไม่ควรทะเยอทะยานมากเกินไปให้มันเหนื่อย ก็ใช้ปัญญาสอนมันว่า ถ้าสิ่งใดก็ตามถ้าเรายังไม่เสร็จกิจ เราก็ต้องทำต่อไป ไหนๆ เมื่อเวลามันมีก็ทำลายให้มันพินาศไป ให้มันหมดกิจไปเสีย ขึ้นชื่อว่ากิเลสทั้งหมด อย่าให้ปรากฏว่ามีในจิต

    ปัญญาตัวนี้ องค์สมเด็จพระธรรมสามิสรกล่าวว่า เป็นผู้เข้ามีความเข้าใจใน "อริยสัจ ๔" เห็นว่าการเกิดเป็นทุกข์ แก่เป็นทุกข์ เจ็บเป็นทุกข์ ป่วยเป็นทุกข์ ตายเป็นทุกข์ มีกินเป็นทุกข์ ไม่มีกินก็เป็นทุกข์ โลกนี้มันเป็นทุกข์ไปหมด ที่มันจะทุกข์ก็เพราะว่าอาศัยตัณหาความทะยานอยาก เราจะตัดตัณหาความทะยานอยากได้ก็เพราะอาศัย

    (๑) มีศีลบริสุทธิ์

    (๒) มีอารมณ์สมาธิตั้งมั่น

    (๓) มีปัญญาพิจารณา

    มีความเข้าใจว่าขันธ์ ๕ คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณหรือว่าที่เราเรียกว่ากายนี้มันไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในขันธ์ ๕ ขันธ์ ๕ ไม่มีในเรา เมื่อจิตใจของเราวางขันธ์ ๕ เสียได้เมื่อไร ก็ชื่อว่าเราเข้าถึง "อริยสัจ" เมื่อนั้น จัดว่าเป็นพระอริยเจ้าเบื้องสูงคือ "พระอรหันต์" นี่เราว่ากันถึงปัญญา.."
     
  4. ตุปั๊ดตุเป๋ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2017
    โพสต์:
    425
    ค่าพลัง:
    +107
    ๘๓.
    หนังสืออ่านเล่น เล่มที่ ๒
    โดยพระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน

    คัดตอนจากไฟล์อริยบุตรหนังสือธรรมะ

    สารบัญ
    ๑.คุยกันก่อน
    ๒.วันที่ ๑๖ กันยายน ๒๕๓๑
    ๓.วันที่ ๑๗ กันยายน ๒๕๓๑
    ๔.คนถูกแกล้ง ไปสวรรค์
    ๕.วันที่ ๑๘ กันยายน ๒๕๓๑
    ๖.ดูหมู่บ้านจัดสรร
    ๗.วันที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๓๑
    ๘.เรื่องของวันที่ ๑๙
    ๙.มัณฑุเทพบุตรวิมาน
    ๑๐.วันที่ ๒๐ กันยายน ๒๕๓๑
    ๑๑.พระสารีบุตรถวายทาน
    ๑๒.พระสารีบุตรช่วยมารดา
    ๑๓.ผลของทาน
    ๑๔.เรื่องของนางฟ้าบุปผาชาติ
    ๑๕.วันที่ ๒๑ กันยายน ๒๕๓๑
    ๑๖.บันทึกเรื่องภายนอก
    ๑๗.วันที่ ๒๒ กันยายน ๒๕๓๑
    ๑๘.เรื่องของนักเรียน
    ๑๙.วันที่ ๒๓ กันยายน ๒๕๓๑
    ๒๐.อัตตโนปุพพกรรม
    ๒๑.วันที่ ๒๔ กันยายน ๒๕๓๑
    ๒๒.วันที่ ๒๕ กันยายน ๒๕๓๑
    ๒๓.วันที่ ๒๖ กันยายน ๒๕๓๑
    ๒๔.วันที่ ๒๗ กันยายน ๒๕๓๑
    ๒๕.พบหญิงแก่
    ๒๖.ก่อนตาย
    ๒๗.วันที่ ๒๘ กันยายน ๒๕๓๑
    ๒๘.วันที่ ๒๙ กันยายน ๒๕๓๑
    ๒๙.ยักษ์ครึ่งตัว
    ๓๐.วันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๓๑
    ๓๑.พระยายม
    ๓๒.ความประพฤติ
    ๓๓.วันที่ ๒ ตุลาคม ๒๕๓๑
    ๓๔.ตัดสินใจพิเศษ
    ๓๕.วันที่ ๓ ตุลาคม ๒๕๓๑
    ๓๖.เรื่องผี
    ๓๗.บวงสรวง
    ๓๘.ท้าวมหาราช
    ๓๙.วันที่ ๔ ตุลาคม ๒๕๓๑
    ๔๐.ท่านที่ถวายเงินทางไปรษณีย์
    ๔๑.คุยเรื่องผีต่อ
    ๔๒.ท่านลุงทั้งสอง
    ๔๓.พบพระอินทร์
    ๔๔.พระภูมิมีจริงไหม
    ๔๕.คุยกันเรื่องพระภูมิ

    ---------
    ๘๔. หนังสืออ่านเล่น เล่มที่ ๔
    ๘๕.หนังสืออ่านเล่น เล่มที่ ๕
    ๘๖.หนังสืออ่านเล่น เล่มที่ ๖
    ๘๗.หนังสืออ่านเล่น เล่มที่ ๘
    ๘๘.หนังสืออ่านเล่น เล่มที่ ๙
    ๘๙.หนังสืออ่านเล่น เล่มที่ ๑๐
    ๙๐.หนังสืออ่านเล่น เล่มที่ ๑๑
    ๙๑.หนังสืออ่านเล่น เล่มที่ ๑๔
    ๙๒.หนังสืออ่านเล่น เล่มที่ ๑๕
    ๙๓.หนังสืออ่านเล่น เล่มที่ ๑๖
    ๙๔.หนังสืออ่านเล่น เล่มที่ ๑๗
    ๙๕.หนังสืออ่านเล่น เล่มที่ ๑๘
    ๙๖.หนังสืออ่านเล่น เล่มที่ ๒๐
    ๙๗.หนังสืออ่านเล่น เล่มที่ ๒๑
     
  5. ตุปั๊ดตุเป๋ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2017
    โพสต์:
    425
    ค่าพลัง:
    +107
    ๑.คุยกันก่อน

    ขณะที่เขียนนี้ ต้นฉบับบันทึกประจำวัน เจ้าหน้าที่เอาไปคัดลอกเพื่อลงพิมพ์เสร็จเรียบร้อยแล้ว เธอมาขอคำนำคิดว่าเรื่องคำนำนี้ มีความสำคัญเฉพาะคนส่วนน้อย คนส่วนใหญ่ไม่ค่อยได้อ่าน เช่น ผู้เขียนนี่เองเป็นตัวอย่าง

    เมื่ออ่านคำนำ พอเริ่มต้นอ่านถ้าเห็นว่าข้อความเข้าท่าเข้าทางก็อ่านต่อไป ถ้าเป็นคำนำยาว ๆ และร่ายเวทย์แบบเพลงยาวก็ผ่านไปเลย ไม่อ่าน ฉะนั้น เมื่อเจ้าหน้าที่ฝ่ายการจัดพิมพ์มาขอคำนำ จึงเว้นคำนำมาชวนคุยกันดีกว่า

    เริ่มต้นการคุยก็ คือ หนังสือที่อ่านนี้ไม่ใช่หนังสืออาชีพ เป็นบันทึกเพื่อทบทวนความจำประจำวันเท่านั้น ไม่ได้คิดว่าจะพิมพ์เผยแพร่

    ในเมื่อคนภายในที่คัดลอกเพราะเขียนเองอ่านไม่ออก จึงต้องใช้พิมพ์คัดลอกข้อความไว้ เธอเห็นว่าควรพิมพ์เป็นเล่ม ก็จัดพิมพ์ขึ้นเป็นหนังสือสำนวนตามใจคนเขียน ไม่ใช่หนังสือตามใจคนอ่าน วันหนึ่ง ๆ มีอะไรบ้างก็บันทึกย่อไว้ทั้งเรื่องนอกคือเรื่องของกาย และเรื่องในคืออารมณ์เกิดจากใจ ที่เรียกว่า นิมิต

    นิมิตที่ปรากฏเป็นเมตตาของท่าน ท่านปรากฏให้เห็น ไม่ใช่มีอำนาจไปดึงมาเพื่อเห็น การเห็นแบบนี้เป็นกำลังที่มีสมาธิต่ำมาก เพียงแค่อุปจารสมาธิไม่ถึงฌานสมาบัติ นิมิตเมื่อปรากฏต้อนต้น ๆ ของการฝึกสมาธิ เห็นเพียงแวบเดียวภาพนั้นก็หายไป จิตเคลื่อนจากสมาธิระดับนั้นจึงไม่เห็น เลยโมเมว่าภาพหายไป

    การฝึกเพื่อใช้นิมิตให้ทรงตัวอยู่ได้นาน ๆ สามารถปะติดปะต่อเรื่องราวให้ตลอดได้ ต้องเริ่มต้นด้วยการรักษาลมหายใจเข้าออก และระงับนิวรณ์ห้าประการได้ชั่วคราว

    เวลาภาวนาหรือรู้ลมหายใจต้องไม่คิดอยากรู้อะไร นิมิตจะเกิดขึ้นเมื่อจิตสงัดจากอารมณ์วุ่นวายแบบนี้เป็นหมอดูไม่ได้ เพราะถ้าท่านไม่บอก หรือไม่มาให้เห็นก็ไม่รู้ ไม่เห็น นิมิตที่ปรากฏไม่ใช่เรื่องดีเสมอไป เป็นภาพร้ายที่ทำให้เกิดความลำบากก็มี เช่น

    เมื่อวันที่ ๑๙ ตุลาคม ๒๕๓๑ เวลาประมาณ ๘.๓๐ น. พักจากงานประจำเล็กน้อย เพราะเริ่มโหมงานมาตั้งแต่ตีสี่ หยุดเมื่อกินข้าวเล็กน้อยแล้วทำต่อไป ที่ต้องเริ่มโหมงานก็เพราะเกรงว่าจะลืม เมื่อเวลาใกล้ ๙.๓๐ น. หมดภาระเบื้องต้น เลยเอนกายลงไปพอหัวถึงหมอนก็จับลมหายใจเข้าออก พร้อมกับภาวนา ว่า นิพพานะ สุขัง ประเดี๋ยวหนึ่งจิตเริ่มคลายเหนื่อยและสงัดไป

    ขณะนั้นมีนิมิตคล้ายฝันแต่ไม่ใช่ฝันว่ามีคนเข้ามาในห้องมากมาย เข้ามาโดยที่ไม่ได้รับอนุญาต มีเก้าอี้นวมขนาดใหญ่เข้ามาตั้ง มีคนวัยแก่รูปร่างอ้วนใหญ่ แต่งตัวสมัยใหม่เรียบร้อยเข้ามานั่งเก้าอี้ มีบริวารเข้ามามากมาย

    แต่ในฐานะที่เป็นเจ้าของห้องจึงบอกให้พวกเธอออกไป แต่ทว่าในนิมิตเวลานั้นนอนและเหนื่อยมากลุกไม่ขึ้น ไล่พวกเธอ เธอทั้งหลายก็เฉยทำเหมือนไม่มีเราอยู่ในที่นั้น จึงออกแรงตวาดไปเป็นครั้งสุดท้าย นอนตวาดเพราะลุกไม่ขึ้น พวกเธอจึงค่อย ๆ ออกไป

    เมื่อพวกเก่าไปหมดแล้วก็มีพวกใหม่เข้ามาอีก พวกนี้พูดมากฟังเสียงพูดเหมือนภาษาไทยแต่ไม่รู้เรื่องสักคำ จึงออกแรงใช้เสียงตวาดอีก เธอก็ออกไป

    เมื่อพวกเธอออกไปหมดแล้ว ก็รู้สึกคืนสภาพปกติยังไม่ลืมตา ยังจำว่าเรื่องที่ผ่านมาทั้งหมดเป็นเรื่องที่เป็นจริงในปัจจุบัน คิดว่าพวกธนาคารที่มาให้เซ็นชื่ออกไปแล้ว เราไม่ได้ใส่กลอนจึงมีคนเข้ามารบกวนได้ พอลืมตาขึ้นปรากฏว่าประตูใส่กลอนแล้ว ผู้คนหรือร่องรอยอะไรก็ไม่มีเลย จึงคิดว่าคงเป็นผีอำ

    มันเหนื่อยมากจึงเอนกายลงนอน เริ่มจับ นิพพานะ สุขัง จิตเป็นสุขก็เห็นชายสี่คน นั่งใกล้หนึ่งคนยืนใกล้ ๆ หนึ่งคน นั่งห่างออกไปสองคนแต่งตัวเรียบร้อย ใบหน้าและท่าทางเป็นมิตรทุกอย่าง จึงถามว่าท่านคือใคร

    ท่านที่นั่งใกล้ท่านตอบว่า ผมคือ เวสสุวรรณ ครับ
    ท่านที่ยืนอยู่ใกล้ ๆ ตอบว่า ผมคือ ธตรฐ ครับ
    อีกสองท่านตอบว่า ผมคือ วิรุฬหก และ วิรูปักษ์ ครับ

    เมื่อเห็นท่านผู้ทรงเดชานุภาพอย่างนั้นอยู่ใกล้ ๆ ก็สงสัยว่าเทวดาทำไมปล่อยให้ผีมาอำได้ ท่านเวสสุวรรณท่านตอบว่า เทวดากันได้แต่ผีภายนอก แต่กันผีภายในไม่ได้ ถามท่านว่า ผีภายนอกหมายถึงผีประเภทไหน ท่านบอกว่า ผีภายนอกคือพวกวิญญาณต่าง ๆ ที่จะมารบกวน ผีประเภทนี้เทวดากันได้

    เมื่อถามถึงผีภายในว่าหมายถึงอะไร ท่านตอบว่า ผีภายในคือเลือดลมไม่ดี มีอาการคั่งในร่างกายไม่คล่องตัว เหมือนที่ท่านเป็นเมื่อสักครู่นี้ท่านป่วยมาก ล้างท้องเพลียแต่ไม่พักงาน ประสาทก็หวั่นไหวปั่นป่วนเป็นเหตุทำให้เหมือนมีภาพหลอนขึ้นมา เป็นเรื่องเป็นราว ตนเองสู้ไม่ได้ ผีคือประสาทประเภทนี้เทวดายอมแพ้ พูดแล้วท่านก็พากันหัวเราะชอบใจ

    เป็นอันว่านิมิตอย่างนี้ เป็นสมาธิกำลังต่ำไม่ใช่ฌานสมาบัติ เป็นเพียงอุปจารสมาธิเท่านั้น และต้องมีผลมาจากท่านเมตตาให้เห็น

    ไม่เหมือน มโนมยิทธิ มีฤทธิ์ทางใจ อย่างนั้นฝึกเข้าฌานสามารถบังคับอารมณ์ให้รู้ได้เห็นได้ตามใจชอบ มีหลายท่านอ่านแล้วสงสัยว่าจะฝึกได้อย่างไรจึงจะมีนิมิตอย่างนี้ ขอตอบว่า รักษากำลังใจให้เทวดาชอบใจเป็นใช้ได้


    ๒๐ ตุลาคม ๒๕๓๑

    ส.สังข์สุวรรณ
     
  6. ตุปั๊ดตุเป๋ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2017
    โพสต์:
    425
    ค่าพลัง:
    +107
    ๒.วันที่ ๑๖ กันยายน ๒๕๓๑

    วันนี้วันที่ ๑๖ กันยายน ๒๕๓๑ ขอคุยเรื่องของวันที่ ๑๕ กันยายน ตอนดึกสักเล็กน้อย เวลาก่อนหลับนอนพิจารณาและภาวนาเห็นพระหลายท่าน

    ที่เห็นเป็นชุดแรก คือ พระสารีบุตร กับพระโมคคัลลาน์ ต่อมาก็เห็น พระมหากัจจายนะ และพระอนุรุธ พระอานนท์ พระมหากัสสป และคณะ พระบิณโฑภารัชชวาชะ ต่อมาเห็นพระพุทธเจ้าแล้วก็หลับไป ตื่นเมื่อเวลา ๓ น.เศษ ๆ

    ภาวนาต่อหลับไป ตื่นใหม่ ๔ น.เศษ คราวนี้ทำอุจจาระกิจคือไปส้วม กลับมาแล้วนอนภาวนาสงบกำลังใจไปหาพระในที่ของท่าน ไหว้ท่านรับฟังโอวาทจากท่านเสร็จแล้ว เข้าบ้านของตนตรวจดูทรัพย์สินเห็นอยู่ครบตามเดิม

    ลงมาที่ดาวดึงส์ไหว้พ่อไหว้แม่ และท่านผู้มีพระคุณทั้งหมด หลวงพ่อปาน ท่านเตือนเรื่องอาหาร ท่านบอกว่าที่ไม่ปกติคืนนี้ เพราะกินฝรั่งมากไปท้องจึงอืด กินน้อยไม่เป็นไร ท่านเตือนว่าร่างกายยังดีไม่พอ ไม่ควรใช้พิมพ์ดีดให้ใช้เขียนไปพรางก่อน เมื่อท่านเตือนเสร็จแล้วก็ลาท่านกลับ

    เมื่อมาถึงเทวดา นางฟ้า ที่เมตตาสงเคราะห์มากท่าน จึงยกมือไหว้ขอบคุณทุกท่านที่เมตตา ถามท่านเวสสุวรรณ ถึงภัยอันตรายท่านบอกว่าไม่มี ถามถึงแขกที่จะมาหา ท่านบอกว่า วันศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ จันทร์ ๔ วันนี้ แขกมาก แต่ไม่ใช่ล้นวัด แขกที่มาทุกคนมีศรัทธาดี

    มองดูเวลา ๖ น. พอดี กำลังจะลุกขึ้นเก็บที่นอนและผ้าห่ม พอดีลุงพุฒมาคนเดียว วันนี้ท่านนุ่งผ้าพื้นโจงกระเบนเป็นผ้าไหมสวยมาก ท่านบอกว่า คุณ ไปบ้านผมหน่อยซิ บอกท่านว่า ลุงตอนนี้ ๖ โมงเช้าแล้ว ประเดี๋ยวเด็กจะมาขนของลงข้างล่าง

    ท่านบอกว่าไปประเดี๋ยวเดียวก็กลับได้ พอดีท่านพ่อ ท่านมาบอกว่า ไปเถอะคุณ คุณไปไหว้พระ ไหว้ท่านผู้มีคุณแล้ว ลุงท่านมีเรื่องด่วนจึงได้มาเวลากระชั้น จึงตกลงตามลุงท่านไป

    พอไปถึงท่านก็เข้าประจำที่ ท่านเรียกชายคนหนึ่งเข้ามา ขอสมมุติชื่อว่า นายจันทร์ คนนี้การสอบสวนแปลก เพราะไม่ผ่านเจ้าหน้าที่สอบสวน ลุงท่านเรียกมาหาท่านโดยตรง คงจะเป็นเพราะเวลาน้อย

    ชายคนนี้ที่เห็น ผอม หน้าตาซีดเซียว ท่าทางอิดโรยมาก แต่พบตอนหลังที่เธอเป็นเทวดาแล้วเธอทำภาพเมื่อเป็นมนุษย์ให้ดูเป็นชายล่ำสัน ลักษณะแบบผิวเนื้อสองสีค่อนข้างขาว มีขี้แมลงวันขนาดเล็กมากอยู่ระหว่างคิ้วทั้งสอง แต่ใกล้คิ้วขวามากเรื่องไฝหรือขี้แมลงวันใกล้คิ้วขวา

    นี้เป็นสัญลักษณ์บอกว่า เป็นคนที่ได้รับความเมตตาจากผู้หญิงมาก ถ้ามีไฝหรือขี้แมลงวันทางคิ้วขวา ตามีเสน่ห์มองหญิงแล้วหญิงงงทุกราย ตาเจ้าชู้หรือตายุให้หญิงมาร่วมชู้ ชายคนนี้ก็มีกรรมอย่างนี้เหมือนกัน

    มาคุยเรื่องของเธอ เธอตายเมื่อวันที่ ๑๗ สิงหาคม ๒๕๓๑ บ้านอยู่อีสาน แต่มาทำงานกรุงเทพฯ เธอไม่ได้บอกที่ตายของเธอ เธอตายเพราะอุบัติเหตุคือถูกตียัดกระสอบตาย เพราะความมีเสน่ห์ของเธอ

    ปกติสาวชอบมาหาเธอก็เมตตาทุกราย และที่เหตุร้ายเกิดขึ้นถึงตาย เพราะเธอไปยุ่งกับสาวคือเมียนายเข้า จึงต้องตาย และศพก็สูญหาย เพราะใส่กระสอบฝังดินกลางทุ่งนา ไกลตาคนไปพบเห็น เสน่ห์มากมันก็มีภัยอย่างนี้ ถามเธอว่า ทำไมรุ่มร่ามอย่างนั้น เธอบกว่า เห็นใจหญิงเธอมีความต้องการ ถ้าไม่ได้ตามความประสงค์เธอก็กลุ้ม

    ถามว่าเข้ามากรุงเทพฯ ทำงานอะไร เธอบอกว่าทำทุกประเภท เมื่อก่อนตายทำงานรับจ้างเป็นหัวหน้าหน่วยงาน นายเอาเธอไปใช้ที่บ้าน เห็นทำงานคล่องและสุภาพเรียบร้อย ความสุภาพและงานดีทำให้เป็นคนมีเสน่ห์ หญิงในบ้านนั้นทุกคนเมตตา มีความสุข ในที่สุดเมียนายก็เมตตาด้วยเป็นเหตุให้ได้สตางค์ใช้มากขึ้น เพราะเมียนายเมตตานี่เอง ในที่สุดก็กลายเป็นผี

    ประวัตินี้เธอเล่าให้ฟังเมื่อเป็นเทวดาแล้ว มาคุยกันเรื่องการสอบสวนต่อไป เมื่อท่านลุงเรียกเข้าไป รูปร่างลักษณะหน้าตาเลอะเทอะ เหมือนถูกทุบตีแบบยับเยิน

    ลุงถามว่า เอ็งชอบไปยุ่งกับลูกเมียเขาใช่ไหม เธอตอบว่า ใช่ ท่านลุงถามว่า ทำไมถึงทำอย่างนั้น เธอบอกว่า เห็นใจหญิง เมื่อเธอมาหาแล้วก็ไม่อยากให้เธอผิดหวัง

    ลุงบอกว่า เอ็งมีบาป แต่เวลาเอ็งไปฝึกกรรมฐานเอ็งบอกให้ฉันเป็นพยานทุกคราว ต่อไปถ้าขอให้ข้าเป็นพยานละก็จงอย่าทำบาปนะ มันผิดระเบียบของเขา แต่เมื่อให้เป็นพยานก็เป็นพยานให้ ท่านพูดต่อไปว่า

    ๑. เสาร์ อาทิตย์ จันทร์ ต้นเดือน เอ็งไปรับศีลแปดและปฏิบัติศีลแปด ตลอด ๓ วัน ใช่ไหม เธอตอบว่าใช่

    ๒. เธอถวายสังฆทานถึงเล็กถึงละ ๑๐๐ บาท รวม ๑๗ ถัง ใช่ไหม เธอตอบว่าใช่ จากนั้นภาพสังฆทานถังเล็กก็ปรากฏตั้งเป็นแถว

    ท่านลุงบอกว่า เท่านี้พอแล้วเอ็งดีมาก แต่เอ็งระยำวันอื่น

    นอกจากนั้นเล่นกาเมนอกบ้านทุกวัน ถ้าเกิดใหม่จะไปไหนเอาเมียไปด้วยนะ จะได้ไม่หิวกินไม่เลือกอย่างที่แล้วมา เอ็งมีบาปมาก สัตว์ คือ ปลา กบ เขียด งู ไก่ เอ็งเคยฆ่า

    โกหกก็เก่ง พบสาวโสดหรือสาวมีผัวรูปร่างต้องใจเมื่อไรเป็นโกหกทุกที กลับมาบ้านยังโกหกเมียอีก ลักขโมยเธอไม่เป็น สุราเมรัยดื่มนิดหน่อย แต่มันก็เป็นบาป เขาต้องเอาลงนรก

    ท่านลุงพูดจบ ดูเหมือนเธอทำท่าจะล้ม ท่านลุงเตือนให้ยืนตรง ๆ ท่านบอกว่า ข้ายังพูดไม่จบเลยทำท่าจะตายแล้ว ให้ข้าพูดจบก่อนซิ แล้วท่านก็พูดต่อไปว่า

    เมื่อเอ็งให้ข้าเป็นพยานบุญ ข้าก็ต้องเป็นและเบิกความให้ ข้าเป็นพยานให้แล้ว เอ็งไปรับผลของความดีก่อน ถวายสังฆทานและรักษาศีลแปดเดือนละ ๓ วัน

    ศีลขาดเดือนละ ๒๗ วัน เจริญกรรมฐานเดือนละ ๓ วัน ทำกาเมเดือนละ ๒๗ วัน ไม่เลือกกลางวันหรือกลางคืน

    ในเมื่ออารมณ์เศร้าหมองสลับกับอารมณ์แจ่มใส บุญอย่างนี้ปกติไปอยู่ชั้นนิมมานรดี แต่เพราะศีลขาดมากกว่าศีลดี จิตผ่องใสน้อยกว่าจิตเจ้าชู้ วิมานเอ็งอยู่แค่ดาวดึงส์ตามกำลังบุญของเอ็งก็แล้วกัน

    เมื่อเธอได้ฟังอย่างนั้น รู้สึกว่าร่างกายผ่องใสขึ้นทันที สวยขึ้น ๆ ในที่สุดก็แต่งกายเป็นเทวดาสวยงามมาก ท่านลุงจึงให้เทวทูตนำไปส่งวิมานของเธอ

    เมื่อเสร็จภารกิจของท่านลุงแล้ว ท่านก็หันมาพูดว่า ที่ผมไปตามคุณยามเช้าใกล้ไปธุระ ก็เพราะเจ้านี่มันเนื่องกับคุณ มันเป็นลูกศิษย์เหมือนอาจารย์

    ใจบุญแต่เจ้าชู้ สาวชอบมาหาเหมือนกัน คุณถ้าไม่บวชผมคิดว่าคงไปขึ้นต้นงิ้วสนุกแน่ เมื่อท่านพูดจบท่านก็อนุญาตให้กลับ กลับมาถึงที่นอนเวลา ๖.๓๐ น. สักประเดี๋ยวหนึ่งเด็กก็ขึ้นไปรับของขนลงมาเพื่อจะไปทำงานกลางวัน เป็นอันว่าจบเรื่องตอนเช้าเพียงเท่านี้

    ตอนกลางวัน พ.อ.อ.ประมวล ราชอินทร์ กับภรรยา เอาอาหารมาเลี้ยง ได้ฝากหนังสือประกาศงานของ หลวงพ่อลักษณ์ ไปให้ท่าน ท่านให้ช่วยร่างให้ หลังอาหารกลางวันมีความรู้สึกว่า เงียบเหงา ถ้าไม่มีแขกจะนอนพักผ่อนให้เป็นสุข

    ท่านเวสสุวรรณ ท่านบอกว่ามีแขกหลายคน ถามท่านว่า คนมาด้วยศรัทธามีมาไหม ท่านบอกว่า วันนี้ทุกคนมาด้วยศรัทธาแท้เหมือนกันหมด ขึ้นไปถามท่านพ่อท่านแม่ไปถามพระ ท่านตอบเหมือนกับท่านเวสสุวรรณ เวลา ๑๓.๑๕ น. โทรไปถามที่รับแขก คุณบัญชา ตอบว่ายังไม่มีใครมาเลย จึงบอกว่าถ้าอย่างนั้น เวลา ๑๔.๐๐ น. จะมีคนมาหรือไม่มาก็ตาม จะลงไปรับแขกตามระเบียบ

    ถึงเวลา ๑๓.๔๕ น. ถามไปอีกได้รับตอบว่า ไม่มีใครเลย คิดในใจว่า พระก็ดี เทวดา ท่านพ่อ ท่านแม่ ไม่เคยบอกอะไรผิด วันนี้ถ้าผิดก็แสดงว่าอารมณ์เราเฝือไป แต่พอถึงเวลา ๑๔.๐๐ น. ก็ลงไปที่รับแขก

    ปรากฏว่ามีรถยนต์จอดอยู่หลายคัน พอขึ้นไปบนที่รับแขกมีคนหลายคนมาจากกรุงเทพฯ ราชบุรี อุทัยธานี ลพบุรี แม่สอด เป็นอันว่าท่านพยากรณ์ของท่านตรง วันนี้มีคนทำบุญทั้งหมด ๒,๒๔๐ บาท

    เงินทำบุญที่สร้างวัดได้ ก็เป็นเงินทำบุญจากกรุงเทพฯ ที่ซอยสามลม เป็นทุนก่อสร้างหลัก รองลงมา คือ เป่ายันต์เกราะเพชร รองลงมาอีกก็เป็นเงินทำบุญในวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา ส่วนเงินประจำวันได้บ้างเล็กน้อยตามที่เขียนมา

    วันนี้ได้รับเงินทำบุญ ๒,๒๔๐ บาท แต่สั่งเครื่องทำน้ำแข็งแบบอนามัย ขนาดเล็ก ๑ เครื่อง ราคา ๖๕,๐๐๐ บาท เพื่อทำน้ำแข็งถวายพระบ้าง เลี้ยงเด็กบ้าง เลี้ยงคนที่มาทำงานวัดบ้าง และเลี้ยงคนที่มาในงานวัดบ้าง เป็นอันว่าได้น้อยจ่ายมาก

    ยังมีเงินจ่ายเป็นรายเดือนโดยเฉพาะค่าไฟฟ้าและค่าอาหารอีก วันละ ๔,๐๐๐ บาท สำหรับปี ๒๕๓๑ นี้อีก เรื่องที่คุยกันวันนี้ก็มีเรื่องธรรมะเล็ก ๆ น้อย ๆ คุยธรรมผสมเหตุการณ์ปัจจุบัน รู้สึกว่าฟังง่าย สบายใจผู้ฟัง เรื่องอื่นพิเศษมีเหมือนกัน แต่จะงดไม่คุยให้ฟังเพราะเกรงว่าจะเฟ้อไป

    เวลา ๑๘.๓๐ น. พ.อ.สถาพร และศิริพร พงษ์พิทักษ์ เอาเงินมาให้อีก ๔,๑๐๐ บาท รวมรับวันนี้ ๖,๓๔๐ บาท รอดตัวไปอีกวันหนึ่ง พ.อ.สถาพร ช่วยนวดให้ เพราะเป็นหมอนวดสมัครใจบรรเทาอาการปวดเมื่อยไปมาก
     
  7. ตุปั๊ดตุเป๋ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2017
    โพสต์:
    425
    ค่าพลัง:
    +107
    ๓.วันที่ ๑๗ กันยายน ๒๕๓๑

    เช้าวันนี้ขอคุยเรื่องเมื่อคืนที่ผ่านมาสักเล็กน้อย ตอนหัวค่ำ พ.อ.สถาพร มานวดให้ รู้สึกว่าอาการดีขึ้นมาก นอนหลับสบาย ภาวนานิดเดียวหลับไปเลย ขณะภาวนาดูภาพพระในนิมิตในอก ไม่ทันคุยอะไรหลับไป

    ตื่นเอาเวลา ๐๔.๐๐ น. รู้สึกสบายมาก ก่อนนอน ท่านย่า มาขอให้กินยาแก้อักเสบ และขอให้กินต่อไปอีก ๒ วัน ๆ ละ ๒ เวลา ยานี้เป็นยาที่ หมอจรูญ และคณะปรึกษากันแล้ว ตกลงเอายาขนานนี้มาถวายเพื่อฉันแก้อาการอักเสบ เป็นยาดีมากได้ผลชะงัด

    เมื่อคืนขึ้นไปหาพระกลับลงมาไหว้ท่านผู้มีคุณ ก่อนขึ้นก็ขอบคุณท่านท้าวมหาราช และเทวดานางฟ้าที่ท่านสงเคราะห์ ท่านเมตตาจริง ๆ อยู่ไม่ห่าง เสร็จแล้วไปไหว้ท่านพ่อท่านแม่

    แต่ก่อนขึ้น ท่านลุงทั้งสองท่านมาชวนไปบ้านของท่าน ได้บอกท่านว่า จะรีบไปไหว้พระก่อน เมื่อไปหาพระแล้วพระท่านก็บอกว่า รีบลงไปเถอะเพราะลุงมีธุระด่วน ก็รีบลงมา

    เมื่อมาถึงแล้ว ลุงพาไปบ้านท่าน วันนี้ทั้งสองลุงแต่งตัวสวยมาก นุ่งผ้าโจงกระเบนไหม ใส่เสื้อสวย พอไปถึงที่ทำงานท่านก็เข้าประจำที่ทำงานทันที เพราะเวลา ๐๕.๐๐ น. เศษแล้ว ท่านเรียกชายสองคนให้เข้ามา หัวโล้นคล้ายพระแต่ไม่ได้ห่มผ้าเหลือง

    เมื่อเข้ามาแล้ว ลุงแจ้งให้ทราบว่า เธอเป็นนักบวชแต่ไม่เคารพในระเบียบวินัย ไม่มีความประพฤติตามระเบียบของนักบวชไม่รู้สึกว่าบวช ทำตนเหมือนชาวบ้านที่เลว โทษของเธอ คือ อเวจีมหานรก แล้วก็สั่งให้เจ้าหน้าที่นำไป

    เมื่อเสร็จภาระของท่าน ท่านทั้งสองออกมาคุยด้วย ท่านบอกว่า ที่ต้องให้คุณมาเพื่อจะได้ทราบว่า นักบวชที่ลงนรกมีมาก เมื่อถามท่านว่า สองนักบวชนั้นอยู่ที่ไหน ท่านบอกว่า อย่ารู้เลย เขาอยู่สำนักใหญ่ เรียนสูงสุด แต่ประพฤติเลวสุด คนที่ติดกระดาษบูชาเขามาก เขาเลยเหลิง ทำชั่วทุกประเภท โทษกาเมมีเป็นปกติ โทษหลอกชาวบ้าน มีเป็นปกติ ทำตัวเรียบร้อย พูดดีมีเหตุผล แต่ในเลวที่สุด เขาไปแล้วช่างเขาเถอะ

    ว่าแต่คุณเรื่องพิมพ์ดีดก็ดี บันทึกเสียงก็ดี ขอให้งดไปสองเดือน เดือนพฤศจิกายน ๒๕๓๑ จึงจะทำได้ อาการที่ลำไส้อักเสบ คราวนี้เป็นเพราะพิมพ์ดีด คราวก่อนเป็นเพราะบันทึกเสียง เป็นอันว่ายังทำไม่ได้ขอให้งดไว้ก่อน แล้วท่านก็กลับไปทำงานของท่าน

    เมื่อท่านไปแล้วก็กลับมา มีเวลาเหลือ เพราะเพิ่ง ๖.๐๐ น. จึงจับอานาปา กราบพระทั้งสององค์ในกาย พระองค์หนึ่งท่านบอกว่า ร่างกายไม่ดี พักเรื่องพิมพ์ดีดและบันทึกเสียงไว้ก่อน เดือนพฤศจิกายน ๒๕๓๑ จึงค่อยใช้ ท่านแนะนำให้ดูร่างกายว่ามันไม่ดี มีแต่ความสกปรก มีการพังไปในที่สุด

    ต่อจากนั้นไปเข้าไปหาองค์ที่สอง ท่านบอกว่า วันนี้แขกมีหลายคน แต่ผลทางธรรมดี ปัจจัยเล็กน้อย สำหรับเรื่องปัจจัยนี้ไม่เคยคิดเพราะต้องการศรัทธา และธรรมมากที่สุด พอดีเด็กขึ้นมาขนของลงข้างล่าง ได้บอกให้ ปรีชา ไปบอก พระสุรจิต ว่า จะไปตรวจงานวันนี้ ขอให้เปิดประตูไว้ให้ด้วย

    วันนี้เวลาสาย ๘.๓๐ น. ออกตรวจงานก่อสร้างมี คุณสุรจิต ผู้ควบคุมฝ่ายก่อสร้าง คุณนิรัตน์ เลาหสุรโยธิน ผู้ควบคุมงานก่อสร้าง และเจ้าหน้าที่สั่งวัตถุก่อสร้าง มี คุณบัญชา คุณวิรัช เจ้าหน้าที่รับแขก และเตรียมการ การบัญชี ด.ต.ตระกูล เปาริก พลฯ วิม และกำนันสมนึก กำนันวัดท่าซุง และ จ.ส.ต. พเยาว์ ร่วมทางไปด้วยกัน

    เมื่อตรวจงานและสั่งงานเสร็จ ก็เข้าที่พัก เวลา ๙.๔๐ น. พ.ต.ท. ไพโรจน์ และภรรยา มาเยี่ยม และถวายสังฆทาน เวลา ๑๐.๑๐ น. คุณพจน์ ภู่อารีย์ และคุณลออ ภู่อารีย์ ภรรยา มาลากลับเพราะเกษียณอายุราชการ

    ท่านเอาอาหารมาให้ พร้อมขนมจีนน้ำพริก ผ้าไตร เป็นต้น เวลา ๑๐.๓๕ น. ท่านลากลับ เพื่อไปถวายของแด่ท่านเจ้าคุณพระราชอุทัยกวี เจ้าคณะจังหวัดอุทัยธานี ท่านถวายเงินไว้ ๒,๐๐๐ บาท แต่หน้าซองเป็นชื่อเจ้าคณะจังหวัด เข้าใจว่าหยิบผิดซอง จึงเก็บไว้รอท่านมาทวงหรือเปลี่ยน

    ถ้าไม่ทวงไม่เปลี่ยนเกินสิ้นเดือนถือว่าเป็นของที่ท่านให้แล้ว คุณพจน์ ภู่อารีย์ เป็นผู้ว่าฯ คนแรกของจังหวัดอุทัยธานีที่เข้าถึงบ้านถึงวัด ฐานะทางบ้านท่านดีมาก ทราบว่าภรรยาซื้อขายที่ดิน ผู้จัดการธนาคารกรุงไทยสาขาอุทัยธานีเคยบอกให้ฟังเสมอว่า

    ถ้ามีการจ่ายอะไรก็ตามที่เป็นส่วนของสาธารณประโยชน์ถ้าเงินไม่พอ ท่านผู้ว่าฯ ปิดรายการเสมอ เคยคิดว่าไม่มีข่าวโกงกิน เอาเงินที่ไหนมา เพิ่งทราบวันนี้เองว่า (๑๗ ก.ย. ๓๑) ฐานะทางบ้านท่านซื้อขายที่ดินรวยมากพอสมควร

    วันนี้แขกมาก ตามที่ท่านเวสสุวรรณบอกไว้ มาจากบุรีรัมย์ ลพบุรี บ้านหมี่ กรุงเทพฯ กำแพงเพชร นครสวรรค์ อ่างทอง และที่อื่นอีก จำไม่ได้สองแห่ง ทั้งหมดท่านให้เงินไว้ ๑,๗๗๐ บาท รวมของท่านผู้ว่าฯ พจน์ ภู่อารีย์ อีก ๒,๐๐๐ บาท เป็นเงินที่รับวันนี้ ๓,๓๗๐ บาท เรื่องความเป็นมาของวันนี้หมดไป มาคุยกันถึงเรื่องพระในสมัยต้นยุคพระพุทธศาสนาดีกว่า
     
  8. ตุปั๊ดตุเป๋ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2017
    โพสต์:
    425
    ค่าพลัง:
    +107
    ๔.คนถูกแกล้ง ไปสวรรค์

    เมื่อ พระโมคคัลลาน์ ท่านทำสมาธิสบายใจแล้ว พระอรหันต์ ท่านใช้เวลานานทีเดียว สมาธิและวิปัสสนา อภิญญาก็ครบถ้วน แล้วท่านก็ไปสวรรค์ชั้นดาวดึงส์

    ไปพบนางฟ้าคนหนึ่ง รูปสวย วิมานสวย สวนดอกไม้สวย ทุกอย่างสวยหมด เครื่องประดับก็สวย แสงสว่างก็มาก สว่างไสวทั่วจักรวาล ท่านจึงถามเธอว่า สมัยเป็นมนุษย์ทำอะไรไว้จึงสวยงามอย่างนี้

    นางฟ้าจึงกราบเรียนท่านว่า เมื่อมีชีวิต มีสามีแต่แม่ผัวขี้เหนียวเป็นมิจฉาทิฐิ วันหนึ่งแม่ผัวให้อ้อยหนึ่งท่อน เวลานั้นมีพระมาบิณฑบาต เธอถึงถวายอ้อยท่อนนั้นแด่พระสงฆ์องค์นั้นด้วยศรัทธาแท้

    ต่อมาแม่ผัวถามว่าอ้อยไปไหน เธอตอบว่า ถวายพระไปแล้ว แม่ผัวโกรธมาก ทุบตีเธอจนทนไม่ไหวถึงตาย ผลบุญที่ถวายอ้อยท่อนเดียวด้วยความเลื่อมใส เป็นเหตุให้มีผลตามที่พระคุณเจ้าเห็นแล้ว

    เรื่องนี้ชี้ให้เห็นว่า คนที่ถูกฆ่าตายหรือที่ชอบเรียกว่า ตายโหง ไม่ได้เป็น สัมภเวสี เสมอไป ไปสวรรค์ ไปนรกได้เหมือนกัน เหมือนหญิงคนนี้

    เวลา ๒๐.๐๐ น. เศษ นนทา โทร. มาแจ้งว่า ซองเงินของผู้ว่าฯ พจน์ ภู่อารีย์ ท่านถวายเลยไม่ต้องเปลี่ยน เป็นอันว่าหมดเรื่องกันไป
     
  9. ตุปั๊ดตุเป๋ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2017
    โพสต์:
    425
    ค่าพลัง:
    +107
    ๕.วันที่ ๑๘ กันยายน ๒๕๓๑

    วันนี้พอมาถึงที่ทำงาน พระเจริญ เอาเงินมาให้ ๑๐,๐๐๐ บาท (หนึ่งหมื่นบาทถ้วน) รู้สึกแปลกใจเธอเอาเงินมาจากไหน เพราะที่วัดท่าซุงไม่มีรายได้ขนาดนั้น

    สอบถามได้ความว่า มีคนมาถามเรื่องมีดหมอที่ทำแจกเมื่อคราวฝังลูกนิมิตพระอุโบสถ พ.ศ. ๒๕๒๐ เธอบอกว่า มีคนเขาขอซื้อ เธอแกล้งบอกราคาแพงคือ ๑๐,๐๐๐ บาท คนนั้นเกิดเอาจริง ๆ ก็เลยต้องให้เขาไป เธอเลยเอาเงินมาให้ มีดหมดชุดนี้ไม่ขออธิบายคุณภาพ

    เมื่อคืนวันที่ ๑๗ ก.ย. คืนนี้ทุลักทุเลมาก เพราะท้องปั่นป่วนมาก ทำเอานอนง่ายแต่หลับยาก เพราะมันปั่นป่วนกวนประสาท

    ก่อนหลับภาวนาพิจารณาตามปกติ นิมิตเกิดเห็นภาพพระ คืนนี้เห็นเฉพาะพระพุทธเจ้า เห็นในอก ๒ องค์ พระพุทธเจ้าหนึ่งองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าหนึ่งองค์ ในสมองสององค์ คือ พระพุทธกัสสป และพระพุทธทีปังกร ในอกนั้น คือ พระสมณโคดม

    ต่อมาเห็นที่ศรีษะภายนอกอีกหนึ่งองค์ ลอยในอากาศหลายองค์ จะออกไปมนัสการท่าน ท่านบอกว่า จับลมตามสายลมเดิมเพื่อหลับเถิด ทำตามท่านประเดี๋ยวก็หลับ

    เวลา ๒๐.๐๐ น. ตื่นตามปกติ คราวนี้เข้าส้วม ออกมาจากส้วมดื่มน้ำอุ่นแล้วจะเข้านอน เสียงบอกว่าท้องจะถ่ายเลยไปส้วมอีก เมื่อถ่ายเสร็จแล้วกลับมาจะนอน

    เมื่อนอนในอานาปาแต่เธอไม่ยอมหลับตามที่เคยสังเกตมา ถ้าท้องมันยังจะถ่ายละก็มันจะไม่ยอมหลับ เมื่อมันไม่หลับก็ไม่กลุ้ม ภาวนาบ้างพิจารณาบ้าง ทำเพื่อกันอารมณ์ฟุ้งซ่าน เมื่อเห็นนานเข้าไม่ยอมหลับ เลยตั้งท่าออกเที่ยว

    อันดับแรกซ้อมตาไม่มีเนื้อก่อน จับอานาปา จับรูปพระในอก ยกตัวในอกขึ้นมากราบท่าน ขอพรจากท่าน ท่านแนะนำพอสมควร ข้อที่ท่านแนะนำที่พอจะพูดได้ก็คือ ไม่ต้องวิตกกังวลร่างกายมากนัก

    แต่พยายามหลีกสิ่งที่ทำให้ร่างกายสะเทือน คือ อย่าพิมพ์ดีด และอย่าบันทึกเสียง จนกว่าจะหายเป็นปกติ หลังจากนั้นก็หันมาทางพระปัจเจกพุทธเจ้า ท่านแนะนำเรื่องทุน และเรื่องสุขภาพ

    หลังจากนั้นก็ขึ้นมาที่สมอง มนัสการ พระพุทธกัสสป และพระพุทธทีปังกร แล้วออกไปมนัสการพระพุทธเจ้าองค์ปฐมที่อยู่บนศรีษะ แล้วมนัสการพระพุทธเจ้าหลายพระองค์ในอากาศเสร็จแล้วไปดาวดึงส์ หาท่านพ่อท่านแม่ ไหว้ท่านแล้วลาท่านไปที่อยู่

    คราวนี้ขอไปตรวจสถานที่ เพราะไม่ไว้ใจร่างกาย เมื่อไปถึงแล้ว ร่างกายก็สวย เครื่องแต่งกายก็สวย ตัวเบาไม่มีน้ำหนัก บ้านก็สวย ตรวจบริเวณสถานที่อยู่แล้วไปวิมานพระพุทธเจ้า ของท่านสวยสว่างมาก มีพระอรหันต์อยู่ที่นั่นมาก

    พบองค์แรก คือ พระสารีบุตร พระมหากัสสป และยังมีอีกมาก มนัสการพระพุทธเจ้า มนัสการพระอรหันต์แล้ว นั่งฟังพระพุทธโอวาท พอได้เวลาสมควรก็กลับที่อยู่

    เมื่อมาถึงที่อยู่ปรากฏว่าพระสารีบุตร ท่านตามมา ท่านแนะนำเรื่องผลการปฏิบัติ ตอนหนึ่งท่านบอกว่า อะไรก็ตาม เมื่อยังไม่ถึงกำหนดก็ยังไม่ได้ เมื่อถึงกำหนดแล้วได้เอง ทุกอย่างไม่ต้องเร่งรัด ทำไปตามสบาย ๆ

    ท่านอธิบายถึง อภิญญา และปฏิสัมภิทาญาณ ว่า ที่ท่านได้กันไม่ใช่เร่งรัดจนเหนื่อย เมื่อจิตสะอาดสมควรได้แล้ว แต่เวลายังไม่ถึงก็ไม่ได้ พอเวลาถึงมันปรากฏเอง ท่านแนะนำแล้วท่านก็กลับไป

    ตอนนี้ชักสงสัยว่า เวลานี้สอนตอนกสิณ มีใครเร่งรัดอยากมีฤทธิ์กันบ้างหรือเปล่า ถ้าอยากมีฤทธิ์กัน ก็รักษา ทาน ศีล ภาวนา ให้ปกติ ระวังนิวรณ์ห้า อย่าเป็นทาสมัน แต่อย่าอยากได้เกินไป ทำเพื่อจิตเป็นสุขแล้ว เมื่อถึงเวลาฤทธิ์จะมาเอง
     
  10. ตุปั๊ดตุเป๋ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2017
    โพสต์:
    425
    ค่าพลัง:
    +107
    ๖.ดูหมู่บ้านจัดสรร

    หมู่บ้านจัดสรรนี้อยู่ที่นิพพาน เพื่อพระสารีบุตรท่านกลับก็นั่งเล่นสบายใจคนเดียว อารมณ์ไม่มีกังวล สุขเยือกเย็นสบายมาก ดูรอบ ๆ ตัวเป็นสุขมาก

    อาคารมีสามหลัง นั่งหลังโปร่ง เรือนพักฤดูร้อนของเมืองมนุษย์พักอยู่สักครู่หนึ่ง ก็มีสาวสวยโผล่เข้ามาคนแรก คือ แม่ศรี มาในชุดหญิง เธอมานั่งใกล้ ๆ เข้าใจว่าแกล้งยั่ว

    จึงบอกว่า แม่ศรี เปลี่ยนเป็นชุดนิพพานเถอะ ชุดหญิงนี้ไร้ค่าเสียแล้ว อารมณ์ไม่เกิด เธอเปลี่ยนทันที ชุดนี้มองแล้วสุขใน เพราะชุดนิพพานหรือชุดพรหม ไม่มีหญิง ไม่มีชาย

    มีแบบพิเศษ คือ แบบพรหมหรือแบบนิพพานโดยตรง จะเรียกว่าชุดกะเทยก็ไม่ใช่ เพราะสถานที่ทั้งสองแห่งนี้ไม่มีเพศ

    ต่อมาเมื่อนั่งคุยกันครู่หนึ่ง ออกเดินจะไปหมู่บ้านจัดสรร พบ คุณอ๋อย คุณบุญช่วย มาในรูปเดิมจึงบอกว่า ชุดกระสอบทรายนี่เลิกใช้เสียเถอะ มาในรูปปกติเถอะฉันรู้จัก ไม่ต้องใช้ชุดกระสอบทรายต่อไป

    ทั้งสองท่านก็เปลี่ยนเป็นชุดประจำถิ่นไปดูหมู่บ้านจัดสรรสวยจริง ๆ แพรวพราวทุกหลัง ถนนเรียบสวยเหมือนแก้ว หรือเพชรสะท้อนแสงอาทิตย์ ที่ประทับใจมากก็คือ มีบ้านว่างสร้างใหม่มากมาย เจ้าของยังเซ้งบ้านเก่าให้สัปเหร่อไม่ได้ บ้านใหม่จึงยังว่างคนอยู่มากเหลือเกิน นับได้เป็นแสน ๆ หลัง ดีใจคิดว่าต่อไปคนจะมีความสุขเยอะ

    เมื่อได้เวลาก็กลับมาพบ ท่านสหัมบดีพรหม ท่านพาเข้าที่ประชุมผู้มีคุณ คุยกับท่านเล็กน้อยก็ลาท่านกลับมาร่างเหยื่อสัปเหร่อ เห็นมันนอนไม่หลับ ก็ไม่ได้สนใจในมัน

    มองดูเวลา ๓.๒๐ น. พอจะหวนขึ้นไปอีกเสียงบอกว่า ประเดี๋ยวจะหลับอย่าไปเลย ถูกเตือนแบบนี้สองครั้ง เวลา ๓.๓๕ น. เข้าถ่ายท้องที่ส้วม ออกมาคราวนี้หลับเวลา ๖.๐๐ น. จบกันที แต่ท้องปั่นป่วนมาก ท้องมันผูกขี้ไม่ออก

    วันนี้เวลาบ่าย ๑๓.๓๐ น. ลงรับแขก เป็นวันอาทิตย์ผู้คนมามาก วันนี้มากไปด้วยชาวกรุงเทพฯ คนต่างจังหวัดมีเล็กน้อย เช่น สุพรรณบุรี นครสวรรค์ นครนายก เป็นต้น รับเงินบำเพ็ญกุศลทั้งหมดวันนี้ ๑๓,๐๕๐ บาท รวมทั้งที่พระเจริญถวายตอนเช้า ๑๐,๐๐๐ บาท เป็นเงินรับวันนี้ทั้งสิ้น ๒๓,๐๕๐ บาท

    วันนี้แจกเครื่องแต่งกายนักเรียน โรงเรียนชุมชนบ้านท่าซุง โรงเรียนชั้นประถมของรัฐบาลจำนวน ๒๓๔ คน รวมเป็นเงิน ๑๘,๕๐๐ บาท เป็นเงินที่ท่านสาธุชนให้มาเพื่อการศึกษา เด็กชั้นประถมนี้วัดไม่ได้ควบคุม ท่านที่มาอาจจะเห็นว่า มารยาทต่างจากโรงเรียนมัธยม (คือโรงเรียนพระสุธรรมยานเถระวิทยา) มาก เพราะวัดควบคุม

    นักเรียนชั้นประถมที่มารับเสื้อผ้านี้ แกคุยกันเสียงดังกลบเสียงพูด จนต้องใช้เครื่องขยายเสียงบอกให้เธอหยุด เธอยังไม่หยุด แสดงว่าครูใจดีมากเกินไป ปล่อยให้เป็นอิสระไม่เลือกสถานที่ ควรอบรมผู้ควบคุมเสียใหม่จะดีมาก

    ส่วนโรงเรียนของวัดคือโรงเรียนพระสุธรรมยานเถระวิทยา สุภาพเรียบร้อย สงบ สงัด มากกว่าเยอะเมื่อรวมตัวกันแบบนี้ ถ้าคุยกัน นั่นแสดงว่า ถูกลงโทษแน่ มารยาทสมัยเก่าดีกว่าสมัยใหม่เยอะ

    ขอขอบคุณคณะพระประแดง ที่ยกคณะมาลอกสระที่ตึกกลางน้ำ ถกหญ้าที่แสนจะลำบากมันรกมาก ทำตั้งแต่วันเสาร์ ถึงบ่ายวันอาทิตย์ วันเสาร์เลิกค่ำ วันอาทิตย์เริ่มแต่เช้าตรู่

    มาด้วยกันทั้งหมด ๔๐ คนเศษ ออกค่ารถกันเอง เอาอาหารมารับประทานเอง วัดไม่ได้จ่ายอะไรเลย ทำอย่างนี้เป็นเวลาแรมปีแล้ว สระรกเมื่อไร่มาเมื่อนั้น ท่านดีจริง ๆ ขออนุโมทนา และขอขอบคุณไว้ ณ ที่นี้ด้วย

    การสนทนาในวันนี้ ไม่มีอะไรเป็นแก่นสาร มีคนมาแจ้งว่า ถูกกระทำสองราย มาขอของป้องกันและขอให้รักษา การรักษาไม่มีความรู้ การป้องกันพอไหว แต่ผู้รับของไปต้องมีจิตใจมั่นคง ถ้าจิตใจไม่มั่นคงป้องกันไม่ได้เหมือนกัน

    เปรมจิต มาจากนิวซีแลนด์ เธอมาวัดตั้งแต่วันเสาร์ กลับวันอาทิตย์ คือวันนี้ เธอเดินมาชมวัดเสียเหนื่อย ไม่ทราบว่านับส้วมไปครบหรือไม่ เธอตั้งใจจะสร้างห้องกรรมฐาน ๑ ห้อง ๕๐,๐๐๐ บาท
     
  11. ตุปั๊ดตุเป๋ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2017
    โพสต์:
    425
    ค่าพลัง:
    +107
    ๗.วันที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๓๑

    วันนี้ วันที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๓๑ ขอคุยกันในเรื่องทีเกิดขึ้นตอนกลางคือวันที่ ๑๘ ก่อน เมื่อเสร็จภาระกิจในเวลากลางคืน มองดูเวลา ๒๓.๐๐ น.เศษ ก็ออกจงกรม วันนี้ร่างกายค่อยดีขึ้น พอคล่องตัวบ้าง แต่ไม่ดีเท่าที่ควร เพราะทางท้องยังผูกมาก

    เมื่อเวลา ๒๔.๐๐ น.เศษ เลิกจงกรมเข้าที่นอน กินยาช่วยหลับแต่ทว่ามันไม่ยอมหลับ คืนนี้อาการแปลกมาก เพราะตามปกติเวลาเท่านี้อยากหลับ คืนนี้ใจโพรง แม้ยาออกฤทธิ์ก็ช่วยอะไรไม่ได้ เมื่อมันไม่หลับก็ภาวนา เมื่อภาวนาก็หวังทรงอารมณ์เฉย ๆ ไม่อยากรู้ไม่อยากเห็นอะไรทั้งหมด

    แต่เมื่อเวลาผ่านไปสักสองนาที อามรณ์รู้ก็เกิดขึ้นมีความรู้สึกว่าพระใหญ่ท่านมาและมาหลายองค์ ในขั้นแรก กดอารมณ์เห็นไว้ติดว่าทำไม่รู้ไม่ชี้ แต่ก็กลับคิดได้ว่า อาการอย่างนั้นไม่สมควร คนก่อนตายถ้าเห็นพระแล้ว อย่างเบาตายแล้วไม่ไปอบายภูมิ เราไม่ควรตัดความดี และความเมตตาของพระท่าน จึงปล่อยอารมณ์ตามสมควร อารมณ์เห็นก็เกิดขึ้น เห็นพระท่านลอยอยู่หลายองค์สวยงามสว่างไสวแพรวพราวเป็นระยับมาก วันนี้รู้ และเห็นเฉย ๆ ไม่ได้พูดคุยกับท่าน

    เมื่อภาพพระลอยอยู่นานพอสมควร และท่านหายไปแล้ว ภาพหญิงก็เกิดขึ้นคนหนึ่งอายุประมาณ ๔๐ ปี อีกคนหนึ่งคราวแม่ของเธอ เนื้อเต็มพองาม ถามเธอว่า เธอคือใคร เธอตอบว่า ฉันเอง จำเสียงได้เพราะรูปร่างไม่เหมือนวันก่อน ๆ

    ถามเธอว่า รูปร่างแบบนี้เหมือนสมัยไหน เธอบอกว่า เหมือนสมัยเชียงใหม่ (พรรณวดีศรีโสภาค) ถามเธอว่า อายุ ๕๐ สวยขนาดนี้ สมัยเมื่อเตรียมการแต่งงานสวยขนาดไหน เธอก็ทำภาพให้ดูภาพเป็นอีกทรงหนึ่ง สวยเย็นตามาก

    อีกคนหนึ่งคือ ท่านแม่ ถามท่านว่า ท่านมาธุระอะไร ท่านบอกว่า มาช่วยให้หลับ แสดงว่าคืนนี้คงหลับไม่สะดวก เมื่อคุยกับท่านกลิ่นหอมเต็มห้องไปหมด หอมแรงมาก มีอารมณ์ติดขัดขึ้นมาวูบหนึ่งคิดว่า

    อาการที่ถึงเวลานอนแล้วนอนไม่หลับ ท่านท้าวมหาราชเคยบอกว่า อาจมีอันตรายก็ได้ท่านเลยทำให้ไม่หลับ เพื่อความคล่องตัวในการหลบหลีก คิดว่าเราป่วยและแก่ด้วย เมื่อมันเป็นกฎของกรรมบวกกับกฎของคนแก่ และรวมกับเราป่วย เราก็ไม่หลับเราไม่หนี ไม่ว่าอันตรายแบบไหนจะเกิดขึ้น เราจะอยู่ตรงนี้ และเราอาจจะตายตรงนี้

    เมื่อคิดเท่านี้ภาพท่านท้าวมหาราชและคณะก็ปรากฏขึ้น วันนี้ท่านใหญ่โตมาก เข่าของท่านสูงเลยหัวฉันขณะยืนมาก เวลาผ่านไป ๒.๐๐ น. รู้สึกปวดท้องนิด ๆ ไปส้วม ตอนนี้ถ่ายมาก เมื่ออุจจาระออกเลยง่วงนอนทันที เจ้าขี้นี่มันแกล้งไม่ให้หลับได้เมื่อมานอนก็หลับ ตื่นขึ้นเมื่อเวลา ๓.๐๐ น. นอนต่อ

    ตื่น ๖.๐๐ น. พอดี คืนนี้เห็นลุงท่านมาในขณะที่ท่านแม่มาคุย ลุงเป็นลูกชายคนโตของแม่ ที่เรียกลุงนั้น เรียกนำลูก ความจริงแล้วท่านเป็นพี่ชาย สำหรับนายบัญชีนั้นท่านเป็นลุงจริง ๆ ท่านเป็นพี่ชายของพ่อ
     
  12. ตุปั๊ดตุเป๋ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2017
    โพสต์:
    425
    ค่าพลัง:
    +107
    ๘.เรื่องของวันที่ ๑๙

    ตอนเช้าเพลียมากนอนไม่อยากตื่น ท้องปั่นป่วนเลยเขียนหนังสือระงับความเครียดของประสาท มองดูเวลา ๑๐.๐๐ น. แล้วพักไว้ก่อน ตอนเย็นเขียนใหม่

    หลังอาหารกลางวันแล้ว เข้าที่พักเพื่อลงรับแขกตามปกติเมื่อว่างงานจิตก็มีกังวล จึงหางานให้จิตทำคือนึกถึงพระไตรปิฏก ด้วยเมื่อคืนวันที่ ๑๘ หลับยาก จึงเอาหนังสือพระไตรปิฏกเล่ม ๒๖ มาอ่าน

    พอดีไปพบเรื่องที่ถูกใจเรื่องหนึ่ง คือ เรื่องเทวดากบ เรื่องมีมาในพระไตรปิฏกเล่มที่ ๒๖ หน้า ๗๔ ดังนี้
     
  13. ตุปั๊ดตุเป๋ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2017
    โพสต์:
    425
    ค่าพลัง:
    +107
    ๙.มัณฑุเทพบุตรวิมาน

    ขอให้นามว่า กบเทวดา หรือเทวดากบ ตามบาลีท่านว่า พระพุทธเจ้าตรัสถามเทวดากบว่า นั่นใครมีผิวพรรณสวยงามมาก รุ่งเรืองด้วยฤทธิ์ และยศสว่างทั่วจักรวาล ไหว้เท้าทั้งสองของตถาคตอยู่

    เทวดากบกราบทูลว่า เมื่อชาติก่อนข้าพระองค์เป็นกบเที่ยวหาอาหารอยู่ในถ้ำ เมื่อข้าพระองค์ฟังธรรมของพระองค์อยู่คนเลี้ยงโคได้ฆ่าข้าพระองค์

    ข้าพระองค์ตายจากความเป็นกบไปเกิดเป็นเทวดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ มีวรรณะ ยศ ฤทธิ์ เยี่ยงนี้ เพราะมีจิตเลื่อมใส ฟังธรรมะของพระองค์เพียงครู่เดียว สำหรับท่านที่มีโอกาสฟังนาน ๆ มีหวังไปนิพพานสิ้นทุกข์ เป็นดินแดนสิ้นโศก สิ้นความเร่าร้อนพระเจ้าข้า

    เป็นอันว่าเรื่องนี้ยืนยันว่า สัตว์เดรัจฉานก็ทำบุญได้ ตามที่นักเทศน์ชอบเทศน์กันว่า เทวดา พรหม สัตว์ ทำบุญไม่ได้ เป็นอันว่าท่านลืมอ่านพระไตรปิฏกที่เขียนมาแล้วนี้ ซึ่งเขียนตามบาลีในพระไตรปิฏก ต่อเติมเล็กน้อยเพื่อให้ได้ความชัด ต่อนี้ไปเป็นตอนหนังสืออ่านเล่น เชื่อก็ได้ ไม่เชื่อก็ได้ ได้สาระคงไม่มีอะไรมากนัก

    เมื่อกินข้าวเสร็จนอนคอยเวลา จึงนึกถึงเทวดากบท่าน คิดว่าท่านเป็นกบ ท่านเป็นเทวดาได้ เราเป็นคนลำบากเกือบตายสู้กบไม่ได้ อยากจะทราบว่าท่านนิพพานแล้วหรือยัง ถ้ายังท่านมีวิมานและทิพยสมบัติเป็นอย่างไร

    เมื่อนึกถึงท่านก็ปรากฏทั้งกายทั้งวิมาน ท่านทำให้เห็นชัดเท่าเห็นคนธรรมดา ท่านสวย วิมานก็สวย แสงสว่างก็มาก แต่ท่านไม่สวมชฎา จึงถามว่าท่านว่าทำไมจึงไม่สวมชฎา ท่านบอกว่า ท่านมาหาพระ ท่านไม่รีบกลับจึงไม่สวมชฎา ขอให้ท่านสวมชฎา เมื่อชฎาปรากฏบนศรีษะ ไม่ได้หยิบสวมเหมือนคนปรากฏขึ้นเอง ดูสวยไปอีกแบบหนึ่ง แล้วชฎาก็สลายไป

    ถามท่านว่า เมื่อถูกคนเลี้ยงโคแทงแล้วตายทันทีหรือเปล่า ท่านบอกว่า ยังไม่ตาย เขาเอาเหล็กแทงเอาเชือกร้อยแล้วลากไปกับพื้นดิน เพราะเขาหากบต่อไป มันเจ็บปวดที่สุด เมื่อถึงบ้านเขาวางตากแดดไว้ชานบ้าน มันเจ็บปวดแล้วร้อนแดดเพิ่มเข้าอีก ในที่สุดก็ตาย ทุกข์เหลือเกิน ถามท่านว่า

    เมื่อมาเป็นเทวดาแล้วคิดอยากเกิดเป็นกบหรืออยากเกิดเป็นมนุษย์อีกไหม ท่านยิ้มแล้วตอบว่า ไม่อยากเกิดเป็นอะไรเลยครับ มนุษย์ก็ทุกข์ สัตว์ก็ทุกข์ แม้เทวดา ผมก็ไม่อยากเป็นอีก อยากไปนิพพาน

    ถามท่านว่า ท่านฟังเทศน์สมัยพระพุทธเจ้าเป็นเทวดาแล้ว ได้ฟังต่ออีกไหม ท่านบอกว่า ฟังอีกหลายครั้ง ถามท่านว่า เป็นพระโสดาบันหรือยัง ท่านบอกว่า เวลานี้ผมเป็นพระสกิทาคามีผลขอรับ คนถามหน้าแหงเลย เพราะความคิดว่าเทวดาโง่เท่าตัวเอง เมื่อถามว่า เพราะกรรมอะไรจึงเกิดเป็นกบ

    ภาพที่ปรากฏก็คือ ท่านเองเป็นชายสูงโปร่ง ผิวดำเป็นลูกชาวนา เมื่อไถนาเสร็จแล้วก็เที่ยวหากบ ได้แล้วก็เอาเหล็กแหลมแทง ร้อยเชือกลากกบไปเหมือนที่เขาทำกับท่าน ท่านบอกว่า เศษบาป ผมยังชำระไม่หมด ถ้าไปเกิดใหม่ต้องชำระหนี้อีกมาก จึงอยากจะไปนิพพานเลย

    เมื่อคุยกับกบเทวดาสักครู่หนึ่ง ท่านย่า กับแม่ศรี ก็มา ท่านรู้จักกับเทวดากบดี ท่านเทวดากบเคารพท่านย่าและแม่ศรีมาก แม่ศรีบอกว่า เทวดากบเคยเกิดเป็นลูกมาหลายชาติ ท่านนึกถึงกันออกรู้ได้เหมือนกันทั้งสองฝ่าย

    แต่ฝ่ายผู้เขียนสบายใจมาก เพราะไม่รู้เรื่องเลย เวลาเดียวกันนั้น ลุงพุฒ มา ท่านมาคนเดียว แต่งตัวสวยในชุดสอบสวน ท่านมาบอกว่าคุณไปบ้านผมหน่อยซิมีเรื่องด่วน แต่ขอให้ไปรูปนอก เพราะถ้าไปเฉพาะรูปใน พวกรอการสอบสวนเขาเห็นยาก จึงถามท่านย่า แม่ศรี เทวดากบ ไปพร้อมกันไหม ท่านก็ไปด้วยกัน

    เมื่อไปถึงเห็นในห้องสอบสวน มีคนทั้งหญิงและชาย ๓๐ คน อยู่ในห้องสอบสวน แปลกใจเพราะเคยเห็นคนเดียวสอบสวนทีละคน แต่คราวนี้ทำไมมาก เมื่อเขานั่ง พวกนั้นพากันกราบ ตอนนี้แปลกอีก คนที่ถูกสอบสวนไม่เคยทำอะไรได้เลย

    ลุงท่านบอกว่า พวกนี้สอบสวนเสร็จแล้วครับ ให้คอยคุณเพราะพวกนี้ก่อนตายเขาทำบุญกับคุณไว้มาก ไม่เคยเห็นตัวจริงคุณเลยเห็นแต่รูปถ่ายไม่เคยถวายของกับตัวท่าน แต่เขาส่งถวายทางธนาณัติเหมือนกันทุกคน เป็นคนในกรุงเทพ ๓ คน คนอีสาน ๑๐ คน คนภาคกลาง ๑๗ คน เมื่อทำบุญแล้วเขาบูชาพระเขาขอให้ผมเป็นพยาน

    ผมก็เป็นพยานให้ไม่ต้องสอบสวน พวกนี้ไปชั้นยามา ๒ คน เพราะชอบสวดมนต์ สมาธิทำเหมือนกันแต่ยังไม่กระดิกหู ไปดาวดึงส์ ๘ คน นอกนั้น อยู่ชั้นจาตุมหาราช เมื่อท่านลุงให้คนทั้งหมดเข้ามาหาแล้ว และเสร็จจากการสนทนากันเล็กน้อยก็กลับมาที่อยู่ คราวนี้แปลกหน่อยไปทั้งเปลือก

    อย่าลืมว่าตอนนี้เป็นตอนอ่านเล่นนะอย่าโมเมเกินไป ขออนุโมทนาท่านผู้เมตตา บำเพ็ญกุศลในพระพุทธศาสนาทุกท่านขอทุกท่านจงมีความปรารถนาสมหวัง ตามที่ทุกท่านปรารถนาทุกประการ ดังนี้

    ๑. พระมีชัย วัดท่าซุง ทำบุญซ่อมแซมพระพุทธรูป และสร้างรถยนต์ธรรมทาน ๒,๐๐๐ บาท

    ๒. คุณโยม สุกิจ – พจน์ ดิลกโกมล ถวายน้ำหวาน ๒ ลัง ของอย่างอื่นอีกมากสองท่านนี้เป็นศิษย์ หลวงพ่อลักษณ์ ถวายเงินเพื่อสังฆทาน และวิหารทาน รวม ๕,๕๐๐ บาท

    ๓. คุณวัฒนา สุขมณี คุณอำไพ สังข์แก้ว คุณวิไลพร ชำนาญรบ ร่วมกันถวายเงินสร้างพระปัจเจกพระพุทธเจ้า ๕,๑๐๐ บาท

    ๔. คุณสุจินต์ สถิรบุตร สัตหีบ ถวายเงินร่วมสังฆทาน และวิหารทาน ๒,๐๐๐ บาท

    ๕. ท่านที่บริจาคโดยไม่แจ้งชื่อหลายรายรวม ๑,๘๖๓.๗๕ บาท

    ๖. ถวายเป็นค่ายารักษาโรคไม่ออกชื่อ ๑,๖๐๐ บาท

    ๗. มีผู้ถวายเงินตราต่างประเทศ เงินดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นเงินไทย ๒,๘๗๕ บาท

    รวมรับเงินวันนี้ทั้งหมด ๒๐,๙๓๘.๗๕ บาท
     
  14. ตุปั๊ดตุเป๋ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2017
    โพสต์:
    425
    ค่าพลัง:
    +107
    ๑๐.วันที่ ๒๐ กันยายน ๒๕๓๑

    วันนี้ วันที่ ๒๐ กันยายน ๒๕๓๑ ขอพูดเรื่องคืนวันที่ ๑๙ ก่อน วันนี้เป็นคืนที่สองที่ง่วงนอนตั้งแต่ ๒๒.๐๐ น. พอนอนกลับใจสว่างไม่ยอมหลับ คิดว่าอะไรจะเกิดขึ้น ก็พอดีฟังวิทยุเสียงตำรวจพูดกันว่า น้ำท่วมมีคนตายที่ อ.บ้านไร่ ขอเรือท้องแบน และที่ปากช่องน้ำบนเขาใหญ่บ่าลงมา ทำให้น้ำบนถนนสูงมาก

    ขนาดรถเก๋งยังลอยไปตามกระแสน้ำเมื่อฟังแล้วก็หนักใจ ขณะที่เขียนอยู่นี้วิทยุแจ้งว่า รถโดยสารแน่นไปด้วยผู้โดยสาร เพราะรถไฟตกรางเนื่องจากน้ำท่วม ข่าวจากนครสวรรค์ รถในขบวนที่ตกรางมี ๒๐ คัน ข่าวเวลา ๐๗.๓๐ น. ของวันที่ ๒๐ กันยายน ๒๕๓๑

    เวลานี้ผู้เขียนเองก็ป่วยมาเป็นปีที่สอง เรื่องกองทุนไม่ได้บอกบุญไว้ เพราะผู้จัดคือผู้เขียนบันทึกนี้ป่วยเลยไม่มีอะไรช่วยได้ สิ่งที่มีอยู่บ้างก็ช่วยในยามปกติหมด

    เรื่องนอนผิดปกติเป็นเรื่องธรรมดา ที่ต้องมีเรื่องที่ต้องสัมพันธ์ถึงเกิดขึ้น เมื่อวันที่ ๑๙ โยธิน มาคุยเรื่องถูกนักบวชเลวทำไสยศาสตร์ต้องต่อสู้กัน นักบวชประเภทนี้ทำให้พระพุทธศาสนาเสียหาย เป็นเรื่องเลวมาก แต่ก็ยังมีคนสนับสนุนคนพวกนี้ มาคุยกันตามพระสูตรดีกว่า

    ก่อนคุยเรื่องพระสูตรขอแจ้งว่า เมื่อคืนวันที่ ๑๙ ก่อนหลับ เห็นพระตามปกติ เมื่อนอนไม่หลับก็อ่านพระไตรปิฎก เวลา ๒๔.๐๐ น. เศษ จึงหลับ ก่อนหลับหรือตอนนอนใหม่ ๆ เห็นพระตามปกติจะอธิบายให้ฟังเกรงว่าจะรำคาญ
     
  15. ตุปั๊ดตุเป๋ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2017
    โพสต์:
    425
    ค่าพลัง:
    +107
    ๑๑.พระสารีบุตรถวายทาน ๑

    คืนหนึ่ง พระสารีบุตร ไปแดนเปรต พบเปรตหญิงคนหนึ่ง ซูบ ผอมหิวโหยมาก ท่านจึงถามว่า เมื่อเป็นมนุษย์เธอทำความชั่วทางกาย วาจา ใจ อย่างไรหรือ จึงอดอยากหิวโหยอย่างนี้ เปรต กราบเรียนว่า

    เมื่อเป็นมนุษย์ไม่เคยให้ทานเลย จึงเกิดมาเป็นเปรต อดอยากอย่างนี้ พระคุณเจ้าจะสงเคราะห์ โปรดถวายทานแด่พระสงฆ์แล้วอุทิศให้ฉัน ฉันจะมีความสุข มิฉะนั้น ฉันจะต้องทุกข์อย่างนี้ไป ๕๐๐ ปี

    พระสารีบุตร รับจะสงเคราะห์เธอ รุ่งขึ้นจึงถวายข้าวหน่อยหนึ่งประมาณเท่าฝ่ามือ น้ำหนึ่งขัน ถวายแด่พระรูปหนึ่ง แล้วอุทิศให้เธอ เมื่อท่านอุทิศแล้ว รูปกายเธอสวยทันที มีวิมานสวย มีเครื่องแต่งกายมากมาย เธอเข้ามาหาพระสารีบุตร ด้วยภาพของนางฟ้าที่สวยงาม พร้อมเครื่องประดับแพรวพราว

    พระสารีบุตร ถามเธอว่า เธอมาจากไหน วิมานสวย เครื่องประดับสวย รูปสวย เธอทำบุญอะไรไว้ให้ในสมัยที่เป็นมนุษย์

    เธอตอบว่า ฉันเป็นเปรต ที่พระคุณเจ้าไปพบที่ดินเปรตเมื่อคืนวานนี้ และเมื่อเช้านี้ พระคุณเจ้าได้ถวายทานแด่พระสงฆ์รูปหนึ่ง ด้วยข้าวฝ่ามือหนึ่ง น้ำขันหนึ่ง อุทิศส่วนกุศลให้ฉัน ด้วยบุญเพียงเท่านี้ เป็นเหตุให้ฉันมีรูปเป็นทิพย์ มีวิมานทิพย์ที่สวยงามมีเครื่องประดับอันเป็นทิพย์เจ้าค่ะ เมื่อกราบเรียนแล้วเธอก็ลากลับไป

    เรื่องนี้แสดงว่า การให้ทานเพื่ออุทิศส่วนบุญกุศล ถ้าผู้ให้บริสุทธิ์ คือ มีศีล สมาธิ ปัญญา ดี วัตถุทานบริสุทธิ์ คือ ของที่หามาได้โดยชอบธรรม ผู้รับบริสุทธิ์เป็นพระอรหันต์ มีผลสมบูรณ์แบบนี้ ถ้าอย่างใดอย่างหนึ่งย่อหย่อนผลที่จะพึงได้ ก็บรรเทาเบาบางลงไปบ้าง แต่คิดว่าไม่ไร้ผลเสียเลย แต่ถ้าให้แก่คนไร้ศีล จะอยู่ในเพศไหนก็ตามไม่ให้เลยดีกว่า เพราะไม่มีอานิสงฆ์ให้ผู้รับ

    การถวายทานกับพระ ไม่จำกัดว่ามีของมากหรือของน้อยมีอานิสงส์ทั้งหมด เว้นไว้แต่พระที่รับไม่มีศีล ถ้าเป็นอย่างนั้นท่านไม่มีผลแน่นอน จากพระไตรปิฎก เล่ม ๒๖ หน้า ๑๕๙
     
  16. ตุปั๊ดตุเป๋ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2017
    โพสต์:
    425
    ค่าพลัง:
    +107
    ๑๒.พระสารีบุตรช่วยมารดา ๒

    จากพระไตรปิฎก เล่ม ๒๖ หน้า ๑๖๑
    เมื่อพระสารีบุตรท่านเจริญพระกรรมฐานเป็นที่สบายอารมณ์แล้ว ท่านไปแดนเปรตเห็นหญิงเปรตคนหนึ่งผอมมีแต่ซี่โครง เปลือยกายมีเส้นเอ็นสะพรั่ง

    ท่านจึงถามว่า เธอเป็นใคร การถามแบบนี้จะเห็นว่าแปลกจากเรื่องก่อน แสดงว่าท่านทราบว่าเปรตนั้นเป็นใคร แต่ระเบียบของพระรู้แล้วต้องทำเป็นไม่รู้ ระเบียบนี้พระพุทธเจ้าทรงใช้เป็นปกติ

    เปรตตอบท่านว่า เมื่อก่อนฉันเป็นมารดาของท่าน ในชาติอื่นที่ผ่านมาแล้ว ๑๐๐ ชาติ เวลานี้ฉันหิวมาก มีความกระหายในอาหาร เมื่อความหิวเกิดขึ้นก็กินน้ำลาย เสมหะ น้ำมูก ที่เขาถ่มทิ้ง กินไขมันเหลวจากซากศพที่เขาเผา กินโลหิตของหญิงทั้งหลายที่คลอดบุตร เป็นต้น ลูกเอ๋ยลูกจงให้ทานอุทิศส่วนกุศลให้แม่บ้าง แม่จะได้เลิกหิวเสียที

    พระสารีบุตรท่านตั้งใจที่จะช่วยมารดา เมื่อท่านรับรองว่า จะช่วยแล้วท่านก็มาปรึกษากับ พระโมคคัลลาน์ พระอนุรุธ พระกับปินะ หรือที่ชาวบ้านหรือพระนักเทศน์เรียกว่า พระกะบิน ท่านทั้งหมดช่วยกันสร้างกุฏิ ๔ หลัง ในสี่ทิศ (สร้างกุฏิเพิงหมาแหงน) และถวายข้าว น้ำ แด่พระสงฆ์ (ในที่บางแห่งท่านบอกว่า ถวายข้าวหยิบมือหนึ่ง กับข้าวหยิบมือหนึ่ง ใส่ใบไม้ และน้ำหนึ่งฝาบาตร ผ้ากว้างคืบ ยาวคืบ หนึ่งผืน)

    และสร้างกุฏิเพิงหมาแหงน ถวายพระสงฆ์เป็นสังฆทานและวิหารทาน แล้วร่วมกันอุทิศส่วนกุศลให้มารดาพระสารีบุตร (มารดาคนนี้เคยเป็นมารดาท่านพระสารีบุตรเมื่อร้อยชาติที่แล้วมา ไม่ใช่มารดาในชาติปัจจุบันของ่าน ซึ่งก่อนตายท่านเป็นพระโสดาบัน)

    เมื่ออุทิศแล้ว อานิสงส์ถวาย ข้าว และ น้ำ ทำให้เธอได้ร่างกายที่เป็นทิพย์ ผ้า เป็นเหตุให้เธอได้เครื่องประดับที่เป็นทิพย์ เพิงหมาแหงน เป็นเหตุให้เธอได้วิมานที่สวยมาก น้ำหนึ่งฝาบาตร เป็นเหตุให้เธอได้สระโบกขรณี

    เมื่อยามราตรีเธอก็ปรากฏกายพร้อมทั้งวิมาน และสระโบกขรณี ให้พระโมคคัลลาน์เห็น พระโมคคัลลาน์ถามเธอว่า เป็นใคร เธอตอบว่า ฉันคือมารดาพระสารีบุตรที่เป็นเปรต ที่พระสารีบุตรถวายสังฆทานและพระคุณเจ้าช่วยกันสร้างกุฏิถวายสงฆ์แล้วอุทิศให้

    แสดงว่า คนฉลาดรู้จักทำบุญไม่ต้องสิ้นเปลืองมากก็ได้รับอานิสงส์สูง เมื่อให้เขา เขาได้รับ เราผู้ทำก็มีผลเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ให้ใครก็ตามมีผลไม่บกพร่อง
     
  17. ตุปั๊ดตุเป๋ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2017
    โพสต์:
    425
    ค่าพลัง:
    +107
    ๑๓.ผลของทาน

    ๑. อาหาร เป็นเหตุให้ได้ร่างกายเป็นทิพย์ ถ้ามาเกิดเป็นคนอีกเป็นเหตุให้มีร่างกายที่ได้ส่วนสวยงาม

    ๒. ผ้า เป็นเหตุให้ได้รูปร่างที่สวยงาม มีเครื่องประดับคือ เครื่องแต่งกายสวย และมีมาก

    ๓. ถวายพระพุทธรูป เป็นเทวดาหรือนางฟ้า พรหม มีรัศมีกายสว่างมาก ถ้าเกิดเป็นคนจะมีรูปสวย ผิวสวย ส่วนของร่างกายครบบริบูรณ์ สวยงามมาก

    ๔. การถวายเงินร่วม แม้แต่เพียงเล็กน้อย ตั้งใจร่วมการก่อสร้างจะวิมานสวย เกิดเป็นคนก็มีบ้านสวย มีคนให้ไม่ต้องสร้างเอง

    ๕. การถวายสังฆทาน ถ้ามีทรัพย์ไม่มาก จะถวายเงินหนึ่งบาทหรือสองบาทก็ได้ แจ้งแก่พระว่าถวายสังฆทานและวิหารทาน เท่านี้มีผลเลิศ หรือมีอาหารเล็กน้อย ตั้งใจถวายเป็นสังฆทานได้เลย เช่น ซื้อแกงมาหนึ่งถ้วย ข้าวหนึ่งถ้วย น้ำเล็กน้อย

    ถวายพระที่กำลังฉันหรือก่อนฉัน เท่านี้เป็นการถวายทานแก่พระ มีผลมาก ถ้าถวายพระในวัดจะมีกี่องค์ก็ช่าง ท่านฉันรวมกันอย่างนี้ เป็นสังฆทานมีอานิสงส์เลิศ

    วันนี้เวลา ๑๓.๓๐ น. ลงรับแขกตามปกติ ร่างกายอิดโรยมาก เพราะอดนอนมาสองคืน ฝนตกหนักตอนกลางคืน วิทยุตำรวจแจ้งว่า ที่อำเภอบ้านไร่น้ำท่วม มีคนตาย วิทยุประเทศไทยตอนหกโมงเช้าแจ้งว่าที่ปากช่องน้ำท่วมสูงมาก และน้ำไหลแรงมากขนาดรถเก๋งน้ำยังพัดลอยไปติดกำแพง วิทยุตำรวจแจ้งว่า รถไฟที่นครสวรรค์ตกราง เหนือตาคลี รถไฟตกราง

    วันนี้เป็นวันอังคารดูทุกอย่างเต็มไปด้วยความร้ายแรง เข้าใจว่า ทำไมนอนไม่หลับ เพราะถ้ามีเรื่องอะไรผิดปกติ มันจะนอนไม่หลับตามเวลา เป็นอันว่าเรื่องนี้ผ่านไป

    เมื่อลงไปรับแขก เห็นรถแท๊กซี่จากกรุงเทพฯ หนึ่งคันจอดอยู่ เมื่อขึ้นไปที่รับแขก พบชาวนครศรีธรรมราช ๔ คน กรุงเทพฯ ๒ คน คนกรุงเทพฯ เป็นคนพามาถามได้ความว่า มาเพราะข่าวลือกันมาเดินชมวัดแล้วแวะขอพร ในที่สุดเธอถวายพวงมาลัยสองพวง

    คณะที่สองเป็น ชาวกรุงเทพฯ สามคน ถวายเงินสร้างพระปัจเจกพระพุทธเจ้า ๕๐๐ บาท

    คณะที่สาม เป็นชาวระยอง พรรคพวกท่านผู้ใหญ่ วัดเขาไพร ท่านผู้ใหญ่เป็นทายกวัดเขาไพรบอกให้มาแวะหาหลวงพ่อให้ได้ ความจริงคณะนี้พาหนุ่มไปหมั้นสาวที่ตลาดอำเภอหนองฉาง ถวายเงินไว้ ๒,๔๓๐ บาท

    คณะที่สี่ ชาวพิษณุโลก ๒ คน มารักษาศีลเจริญกรรมฐานอายุยังน้อย ถวายสังฆทาน และถวายเงินไว้ ๒๐๐ บาท รวมรับเงินวันนี้ทั้งสิ้น ๓,๑๓๐ บาท

    ขออนุโมทนา ทุกท่านจงมีความสุขปรารถนาสมหวัง รวยมาก ๆ ด้วยกันทุกคนเถิด เมื่อกลับถึงรังนอนก็อาเจียนตามปกติเพลียมาก หยิบพระไตรปิฏกขึ้นมาอ่าน ดูอานิสงส์ถวายพวงมาลัย
     
  18. ตุปั๊ดตุเป๋ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2017
    โพสต์:
    425
    ค่าพลัง:
    +107
    ๑๔.เรื่องของนางฟ้าบุปผาชาติ

    จากพระไตรปิฏก เล่ม ๒๖ หน้า ๕๕

    พระโมคคัลลาน์ ท่านไปบนสวรรค์ พระไตรปิฏกไม่บอกสวรรค์ชั้นที่พระโมคคัลลาน์ไปคราวนี้ไว้ และท่านก็ไม่ได้ชมวิมานแสดงว่านางฟ้าคนนี้ไม่มีวิมาน เป็นเทพธิดาบริวารพระอินทร์ ท่านชมว่าเธอเอาดอกปาริฉัตรมาร้อยเป็นพวงมาลัย เธอสวยเครื่องประดับก็สวย เสียงขับร้องก็ไพเราะ ฟ้อนรำก็สวย ขอชมเพียงย่อ ๆ ก็แล้วกัน

    ถ้าว่าตามท่านชมก็ยาวเหยียด ท่านถามเธอว่า เมื่อเป็นมนุษย์เธอทำบุญอะไรไว้ เธอบอกว่า เมื่อเป็นมนุษย์ถวายดอกอโศกกับพระ จึงมีอานิสงส์ขนาดนี้

    นางฟ้าคนที่สอง คนนี้มีวิมาน วิมานเป็นแก้วผลึก มีพื้นเต็มไปด้วยทรายทอง มีบริวารมากมาย มีป่าไม้รังเป็นบริเวณดอกรังหอมระรื่น เมื่อต้องการดอก ต้นไม้จะเอนกิ่งลงมาให้เก็บดอกได้สะดวก ท่านชมความงามไว้มากท่านถามว่า

    เมื่อเป็นมนุษย์เธอทำบุญอะไรไว้ จึงมีวิมานสวย ตัวสวย เครื่องประดับสวย พื้นบริเวณก็เป็นทองหมด เธอตอบว่า เธอเลื่อมใสในพระพุทธเจ้าได้เอาดอกรับโปรยบนอาสนะ คือ ที่นั่งของท่าน มีอานิสงส์ตามที่กล่าวมาแล้ว

    นางฟ้าอีกคนหนึ่งมีมาในพระธรรมบท คือ สาตกีเทพธิดา เธอเป็นคนจน ไม่มีทรัพย์ทำบุญ เธอตั้งใจเอาดอกบวบขมไปบูชาเจดีย์ที่บรรจุพระธาตุของพระอรหันต์ แต่ออกไปไม่พ้นเขตบ้าน

    ถูกนางยักษิณีแปลงเป็นวัวแม่ลูกอ่อนขวิดเธอตาย เมื่อจิตออกจากร่างเธอไปอยู่ชั้นดาวดึงส์ มีวิมานทองคำ เครื่องแต่งตัวเหลือง วิมานเหลือง เครื่องใช้เหลืองหมด เพราะก่อนตายเธอเอาดอกบวบขมสีเหลืองคล้ายจีวรพระไปบูชาพระธาตุ

    เป็นอันว่า คนที่ถวายดอกไม้ด้วยศรัทธาแท้ มีอานิสงส์ตามที่เขียนมาแล้ว วันนี้เพลียมากขอพักเพียงเท่านี้
     
  19. ตุปั๊ดตุเป๋ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2017
    โพสต์:
    425
    ค่าพลัง:
    +107
    ๑๕.วันที่ ๒๑ กันยายน ๒๕๓๑

    วันนี้วันที่ ๒๑ กันยายน ๒๕๓๑ ขอพูดเรื่องเมื่อคืนวันที่ ๒๐ สักเล็กน้อย คืนวันที่ ๑๙ และ ๒๐ สองคืนนี้เสียท่าอากาศ เพราะตั้งแต่ ๒๒.๐๐ น. เป็นต้นไปร้อนจัด ไปบรรเทาความร้อนเอา ๒๔.๐๐ น. เศษ ร่างกายตอนแก่นี่แย่ ร้อนมันทนไม่ไหวเลยนอนไม่หลับ ไปหลับเอา ๒๔.๐๐ น. เศษบ้าง มันเลยรวน

    เวลาเดินทำท่าจะล้ม มาเมื่อตอนกลางวันที่ ๒๑ พระสารีบุตรท่านบอกว่า ตอนหัวค่ำเมื่ออากาศเย็นอย่าลดความเย็นของเครื่องปรับอากาศมากนัก รักษาความเย็นไว้ เมื่อถึงเวลา ๒๑.๐๐ น. ให้ออกจากห้องไปเดินจงกรม ในห้องเร่งเครื่องปรับอากาศให้เย็นที่สุด ๒๒.๐๐ น.เศษ จึงเข้าห้องความเย็นจะพอดี เพราะอากาศภายนอกร้อนจัด ทำตามท่านได้ผล

    เวลา ๒๑.๐๐ น. เร่งเครื่องปรับอากาศแล้ว ออกไปเดินนอกห้อง ตอนแรกอากาศเย็นดี พอเวลาเลยไปหน่อย เริ่มอุ่นและอุ่นเรื่อย ๆ ขึ้น ในที่สุด ๒๒.๐๐ น. ก็ร้อนจนทนอยู่ไม่ได้ต้องเข้ามาในห้อง พอเข้าห้องที่เร่งเครื่องปรับอากาศไว้ให้เย็นมาก ๆ คราวนี้เย็นพอดีนอนหลับได้

    ก่อนหลับเริ่มภาวนาและพิจารณาเล็กน้อย นิมิตปรากฏว่า ไปข้างบนพบพระมนัสการพระแล้ว เห็น พระสารีบุตร ท่านนั่งอยู่ ท่านแนะนำเรื่อง ปัญญา เพราะท่านเป็นผู้ควบคุมด้านนี้ และพบ พระมหากัจจายนะ ท่านแนะนำเรื่อง ปฏิภาณ ด้วยท่านคุมด้านนี้ ได้ขอความเมตตาจากท่านว่า เมื่อเวลาใช้ ปัญญา และปฏิภาณ ขอให้ท่านช่วย ท่านทั้งสองก็รับว่าช่วย

    เมื่อก่อนกลับไหว้พระภายใน คือ พระนิมิตในร่างกายที่อกมีพระพุทธเจ้า และพระปัจเจกพระพุทธเจ้า เห็นพระปัจเจกพระพุทธเจ้า ท่านเด่นออกมามาก มีความรู้สึกว่า ท่านจะพูดอะไร

    เมื่อไหว้พระพุทธเจ้าแล้ว พระพุทธเจ้าท่านก็บอกว่า พระปัจเจกพระพุทธเจ้าท่านจะพูดอะไร จึงเข้าไปไหว้พระปัจเจกพระพุทธเจ้า เมื่อไหว้ท่าน ท่านตรัสทันทีว่า พรุ่งนี้มีแขกมาหลายคนนะ เรื่องคนถวายทานมีเรื่อย ๆ ยังไม่ขาดสาย เรื่องงานก่อสร้างไม่ต้องวิตกกังวลทำไปเท่าที่มี ถ้าเงินขาดงานก็หยุดก็แล้วกัน เงินไม่ขาดงานอย่าหยุด เพราะจะเป็นการทำลายศรัทธาของพุทธศาสนิกชน

    ต่อจากนั้น ไปที่สมองมีนิมิตพระพุทธเจ้า ๒ องค์ คือ พระพุทธกัสสป และ สมเด็จพระพุทธทีปังกร กราบท่านแล้ว ท่านตรัสว่า ไม่เป็นไร พ่อช่วยทุกอย่าง

    หลังจากนั้นก็มีนิมิตภาพ เทวดา นางฟ้า พรหม มากมาย ไหว้ขอบคุณท่านแล้วหลับไป คืนนี้อาศัยความเมตตาของ พระสารีบุตร เป็นเหตุให้เกิดปัญญา และ พระมหากัจจายนะ เป็นเหตุให้เกิดปฏิภาณ นอนดีมาก ตื่นเวลา ๒.๒๐ น. ทำกรรมฐาน แล้วหลับต่อไป ตื่น ๕.๓๐ น. จบเรื่องการนอน
     
  20. ตุปั๊ดตุเป๋ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2017
    โพสต์:
    425
    ค่าพลัง:
    +107
    ๑๖.บันทึกเรื่องภายนอก

    เรื่องนอนไม่หลับ อาศัยเหตุผิดปกติที่เกิดขึ้น เรื่องจะเกิดขึ้นกับประเทศหรือโลกเป็นเหตุ อาการอย่างนี้เป็นปกติ คราวนี้อาศัยน้ำจะท่วมอำเภอบ้านไร่ อำเภอห้วยคด เลยนอนไม่หลับ แต่ต่อด้วยวุฒิสมาชิกยับยั้ง พ.ร.บ. กระจายเสียงของสภาผู้แทนราษฎร

    เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ สะเทือนใจคนทั้งประเทศ ส่วนเหตุผลนั้นไม่ทราบสุดแล้วแต่ความเห็น เรื่องนี้อาจจะเป็นเหตุให้มีสภาเดียวต่อไปในวันหน้าก็ได้

    วันนี้พม่ากำลังยุ่ง นักศึกษาปฏิวัติรัฐบาลเก่าลาออก ดูเหมือนจะเป็นรัฐบาล เส่ง ละวิน ต่อมาตั้ง หม่อง หม่อง ขึ้นมาแทน นักศึกษาไม่เอาอีก ต่อมา ซอ อะไร ไม่ทราบยึดอำนาจอีก คนนี้เป็นพลเอก แต่ดูเหมือนจะยึดอำนาจเฉพาะชื่อ ตัวเองไปนอนโรงพยาบาล เพราะถูกคนบังคับให้ปฏิวัติ

    คนที่บังคับนั้น หนังสือพิมพ์เขาเขียนว่า เป็นลูกสาวของเนวิน ขณะนี้ทหารใช้ปืนยิงประชาชน และนักศึกษาบางจุด คิดว่าพม่าต้องมีการปะทะกันอีก ถ้าหากคณะปฏิวัติไม่ลดลง แต่ก็ละได้ยากเสียแล้ว มีเพียงว่าฆ่านักศึกษา ประชาชน พระ บางกลุ่มที่เป็นหัวหน้า เรื่องอาจยุติ แต่ยากหน่อย เพราะมีประเทศที่สามร่วมมือกับนักศึกษา ประชาชน พระ ถ้าทหารยิงพระด้วย เรื่องจะไปกันใหญ่ เรื่องราวของพม่าจะเป็นอย่างไร ฟังกันไปก่อน

    มาคุยกันเรื่อง พระสารีบุตร และ พระมหากัจจายนะ อีกนิด พระสารีบุตร ท่านบอกว่า การเขียนตามพระสูตรนั้นดี แต่ถ้าไม่แทรกสำนวนอ่านเล่นลงไป หนังสือจะจืด การแทรกสำนวนอ่านเล่นต้องใช้ทั้ง ปัญญา และ ปฏิภาณ ซึ่งท่านทั้งสองจะช่วย ท่านให้เอาความจริงที่พบมา เขียนเป็นสำนวนอ่านเล่น

    ทั้งนี้ ก่อนหน้านี้เอาพระสูตรมาเขียนไว้ ไม่มีตอนอ่านเล่นต่อท้าย หวังจะให้ผู้อ่านได้รู้ตามพระไตรปิฏก ท่านบอกว่าจืดไป ตอนต่อไปเขียนตามใจท่าน

    เวลา ๘.๓๐ น. เลิกจากบันทึกที่อ่านมาแล้วนี้ พักเพื่อคลายความเพลีย รักษาอารมณ์อานาปา เพื่อทรงสติสัมปชัญญะ แต่เมื่อตั้งอารมณ์ทรงตัว อาศัยความเคยชินของจิตหรือที่ท่านเรียกว่า วสี คือ การคล่องตัว จิตก็ล่องลอยไปตามกำลัง

    ตอนนี้ขอเรียกว่า นิมิต เพื่อกันคนทะเลาะกัน เพราะนิมิตเป็นภาพธรรมดาของผู้เข้าถึงอุปจารสมาธิ เมื่อจิตลอยไปตามกำลัง ก็ไปหยุดที่แดนของพระที่นี่มีแต่พระ ไม่มีเทวดาหรือพรหม เมื่อเข้าไปมนัสการพระแล้ว ท่านพูดด้วยตามควร ท่านบอกว่า เพื่อกันอารมณ์เหงาให้หาทางคุยกับเทวดาหรือพรหม

    เมื่อคุยกันถามประวัติของท่านจะได้ทราบปฏิปทาของท่านที่รับผลความดีแล้ว เป็นเทวดา พรหม หรือ พระอริยะ แล้วท่านก็เรียกท่านสหัมบดีพรหมขึ้นไป ท่านให้ถามประวัติของท่านสหัมบดีพรหมว่า สมัยเป็นมนุษย์ปฏิบัติอย่างไร จึงเป็นพระอนาคามี

    ท่านสหัมบดีพรหมท่านตอบว่า เมื่อท่านเป็นมนุษย์ท่านเป็นคนรวย เพราะไม่กินเหล้า ไม่เล่นการพนัน ไม่เจ้าชู้ แต่มีเมีย ๔ คน เป็นคนในบ้านเดียวกัน เมื่อภรรยาเดิมเห็นว่าสมควร จึงเรียกน้องสาวของภรรยามา (ภรรยาเป็นคนเรียก) และหลานสาว โตเท่าน้าสาวอีก ๒ คน ให้มอบตัวเป็นภรรยา

    ทั้งสามคนเห็นชอบเลยมีภรรยาเพิ่มอีก ๓ คน โดยภรรยาจัดให้ ท่านบอกว่า ท่านต้องหนักทั้งงานภายใน งานภายนอกอีกมา แต่อาศัยที่เป็นคนรวยไม่มีอะไรหนักใจ

    เมื่ออายุ ๓๒ ปี บวช ตั้งใจบวชพรรษาเดียว แต่มันมีความสุขเลยมอบสมบัติทั้งหมดให้ภรรยาแล้วทำกรรมฐานเรื่อยมา การทำกรรมฐานไม่ได้เร่งรัดนัก ทำแบบธรรมดา ๆ จิตค่อย ๆ ลดตัวลงอย่างไม่เดือดร้อน อายุ ๗๒ ปี ได้พระอนาคามี ตายอายุ ๘๐ ปี เข้าพรหมชั้น ๑๔ แล้วก็เรื่อยมาชั้น ๑๖

    เมื่อท่านพูดมาถึงตอนนี้ ก็เห็นพรหมสองท่าน เดินตรงเข้าไปอย่างรีบร้อน พระท่านบอกว่า พระยายมกับนายบัญชีมาตามแล้ว คงมีเรื่องร้อนมาก

    เมื่อท่านมาถึงท่านบอกว่า ขอให้ไปบ้านผมด่วน เด็กบ่นหาท่าน พระและท่านสหัมบดีพรหมบอกว่า ควรไป และท่านสหัมบดีพรหมก็ไปด้วย

    เมื่อไปถึงสำนักพระยายม เห็นเด็กหญิงคนหนึ่งอายุ ๗ ปี รูปร่างขาวโปร่ง เป็นคนทางทิศตะวันออก เธอเห็นเข้า เธอก็วิ่งมาหา กราบลงไปที่เท้าและเกาะไว้ไม่ยอมปล่อย ลืมบอกไปว่าเมื่อก่อนถึงสำนักของท่าน ท่านบอกว่าคุณไปในรูปนอกนะเด็ก และคนที่เห็นจะได้จำได้ ถ้าไปในรูปในเขามองไม่เห็นหรือเห็นไม่ชัดเจนและอาจจะจำไม่ได้

    ถามเธอว่า ตายเพราะอะไร
    เธอตอบว่า เป็นโรคอหิวาต์ตาย

    ถามเธอว่า ตายเมื่อไร
    เธอตอบว่า เดือนกันยายน ๒๕๓๑ นี่เอง

    ถามเธอว่า ก่อนตายนึกอย่างไร
    เธอตอบว่า เมื่อสามปีที่แล้วมา เธอมาที่วัดท่าซุงกับพ่อและแม่ เมื่อพ่อแม่ให้ไปไหว้หลวงพ่อ หนูจะเข้าไปกราบที่ตักหลวงพ่อบอกว่าไม่ต้องกราบบนตัก กราบใกล้ ๆ ก็ใช้ได้
    เธอกราบแล้วนั่งตรงนั้นตลอดเวลาจนกว่าจะกลับ

    เมื่อกลับบ้านแล้วเห็นหลวงพ่อตลอดวัน (พระท่านบอกว่า ได้ณานในสังฆานุสสติ) พอตื่นนอนก็เห็นหลวงพ่อ เวลาจะทำอะไร ถ้าถามหลวงพ่อแล้ว หลวงพ่อยิ้ม แสดงว่าให้ทำได้ ถ้าไม่ยิ้มแสดงว่า ห้ามทำ

    เมื่อก่อนมาหา เธอได้ตีแมลงตอนเย็น มองดูหน้าหลวงพ่อไม่ยิ้ม เลยเลิกตี เมื่อป่วยท้องเดิน ร้อนภายในมาก

    แต่เห็นหลวงพ่อยิ้มและสวยขึ้น ๆ หนูเลยใจสบาย เมื่อจะตายเห็นแมลงฝูงใหญ่บินจะเข้าตา เลยตกใจตอนนี้เอง คน ๔ คน นุ่งแดงที่ยืนอยู่นี่แหละ เธอชี้ไปที่คนนุ่งแดง ๔ คนยืนอยู่ ท่านทั้งสี่ยิ้มชอบใจ คนแดงสี่คนไปชวนหนูมา หนูจะไม่มา

    หลวงพ่อบอกว่า ไปเถอะพ่อจะไปด้วย หนูจึงมา เมื่อมาถึงลุงแล้ว หลวงพ่อออกปากฝากลุง แล้วหลวงพ่อก็หายไป หนูเหงาเลยขอให้ลุงเอาหลวงพ่อหนูคืนมา เมื่อกี้นี้ลุงทั้งสองคนหายไปคงไปตามหลวงพ่อมา

    ได้ถามลุงว่า สอบสวนแล้วหรือยัง ท่านลุงตอบว่า เด็กได้ฌานในสังฆานุสสติ ฌานพลัดนิดเดียวที่เห็นแมลง เป็นการตายนอกฌาน เธอไปสวรรค์ได้เลย และท่านมาฝากผมจะต้องสอบอะไรกันอีก

    ในที่สุดทั้งหมดก็พาหนูน้อยไปดาวดึงส์ เธอบอกว่า เธอตายนอกฌานไปพรหมไม่ได้ เธอจะไปอยู่กับท่านปู่

    ถามท่านนายบัญชีว่า ทำไมเอามาแต่อายุยังน้อย ท่านกางบัญชีให้ดู ท่านอ่านให้ฟังว่ามีสิทธิเป็นมนุษย์ ๗ ปี แล้วกลับที่เดิม คือ ดาวดึงส์ เมื่อถึงดาวดึงส์ เธอเข้าไปหาท่านปู่ สนิทสนมแบบคนรู้จักกันดี เธอสวย เครื่องประดับก็สวยมา แสงสว่างมากด้วยอำนาจสังฆานุสสติ

    วันนี้มีคนทำบุญด้วยทั้งหมด ๑,๕๙๘ บาท คุณอนงค์ ปราจีนบุรี ถวายเงินสร้างตู้น้ำแข็ง ๕๐๐ บาท เงินวิระทะโย ๖๘ บาท ถวายตามอัธยาศัย ๑,๐๓๐ บาท คณะคุณ พเยาว์ จันทร์หอมกุล มาถวายอาหารพระทั้งวัดจ่าย ๑,๖๐๐ บาท จบเรื่องวันนี้ ๒๑ ก.ย. ๓๑
     

แชร์หน้านี้