ตายแล้วไปไหน-พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน (วีระ ถาวโร) หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย ตุปั๊ดตุเป๋, 20 มีนาคม 2019.

  1. ตุปั๊ดตุเป๋ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2017
    โพสต์:
    425
    ค่าพลัง:
    +107
    ๖๐.ตายจากช้างและลิงไปเกิดเป็นเทวดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก

    "..ภิกษุชาวเมืองโกสัมพี ๒ รูป ต่างองค์มีบริวารกันองค์ละ ๕๐๐ รูป อยู่ที่โฆสิตารามใกล้เมืองโกสัมพี ได้เกิดทะเลาะวิวาทกันแบ่งเป็น ๒ พวก องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าก็ทรงมาห้ามปรามให้ภิกษุทั้ง ๒ ฝ่ายสามัคคีกัน ทรงห้ามถึงวาระที่ ๓ พวกเขาก็ไม่ยอมเลิกทะเลาะกัน

    พระองค์ก็ทรงระอา มีความรังเกียจ ทรงหลีกออกจากหมู่พวกนี้ไปอยู่แต่ผู้เดียว ได้เสด็จไปบิณฑบาตในเมืองโกสัมพีโดยไม่ตรัสบอกภิกษุทั้งหลาย ทรงถือบาตรจีวรของพระองค์เสด็จไปแต่พระองค์เดียว ไปจำพรรษาอยู่ที่โคนต้นไม้สาละใหญ่ในป่าชื่อ "รักขิตวันสัณฑะ"

    ซึ่งมี ช้าง มีนามว่า "ปาริไลยกะ" เป็นอุปัฏฐาก ช้างตัวนี้ละจากฝูงช้างมาจากป่า เข้ามาปฏิบัติองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าคือทำทุกอย่าง น้ำใช้นํ้าฉันก็ดี ช้างก็ใช้งวงจับกระบอกตักเอานํ้ามาถวาย ปรากฏว่าในป่านั้นมีอากาศหนาวมาก นํ้าสรงของพระพุทธเจ้า

    เวลาช้างจะทำนํ้าร้อนก็เอางวงจับไม้สีกันให้เป็นไฟ เมื่อไฟติดแล้วก็กลิ้งหินเข้าไปในกองไฟ แล้วก็เอาไม้เข้ามาใส่ พอเห็นว่าหินร้อนดีแล้วก็เอางวงจับไม้มางัดหินนั้นไปแช่ไว้ในนํ้า ซึ่งเป็นอ่างน้ำไม่ใหญ่โตนัก หลังจากนั้นก็เอางวงจุ่มนํ้าดู เมื่อนํ้าร้อนแล้วก็เข้ามาเฝ้าพระพุทธเจ้า

    พระองค์จึงตรัสถามว่า "ปาริไลยกะ เจ้าต้มน้ำแล้วหรือ" ช้างก็แสดงให้ทรงทราบ พระพุทธเจ้าก็เสด็จไปที่นั้น ในเวลานั้นพญาช้างก็ได้นำผลไม้ต่างๆ มาถวายแด่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า

    เมื่อพระพุทธเจ้าจะเสด็จเข้าไปบิณฑบาต พญาช้างก็ถือบาตรจีวรไว้บนตระพองตามเสด็จพระพุทธเจ้าไป เมื่อพระองค์เสด็จถึงแดนบ้านแล้วจึงรับสั่งว่า

    "ปาริไลยกะ ตั้งแต่ตอนนี้เป็นต้นไปเจ้าไม่อาจจะไปได้ เจ้าจงเอาบาตรจีวรของเรามา"

    ช้างก็ส่งบาตรจีวรถวาย แล้วพระพุทธเจ้าก็เสด็จเข้าไปบิณฑบาต ส่วนพญาช้างก็ยืนคอยอยู่ตรงนั้นจนกว่าพระพุทธเจ้าจะเสด็จออกมา

    ในเวลาที่พระองค์เสด็จมา ช้างก็ทำการต้อนรับถือบาตรจีวรนำไปวางไว้ ณ ที่ประทับก่อน แล้วถวายงานพัดด้วยกิ่งไม้ เป็นอันว่าช้างแสดงอาจริยวัตร ปฏิบัติอยู่ตลอดในเวลากลางวัน

    สำหรับในเวลากลางคืนช้างก็นำท่อนไม้มาท่อนหนึ่งเป็นท่อนใหญ่ใช้งวงจับไว้ เที่ยวเดินไปรอบๆ ในราวป่าจนกว่าอรุณจะขึ้น เพื่อเป็นการป้องกันอันตรายที่จะพึงมีแก่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

    เป็นอันว่าช้างตัวนี้ตั้งใจไว้ว่า เราจะรักษาพระพุทธเจ้าอย่างนี้ตลอดไปจนกว่าจะสิ้นชีวิต แสดงถึงน้ำใจของช้างซึ่งมีความจงรักภักดีในพระพุทธเจ้า จริยาอย่างนี้ถือว่าเหมือนกับ เราสมาทานพระกรรมฐานด้วยการใช้คำว่า ข้าพเจ้าขอมอบกายถวายชีวิตแด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั่นเอง

    ช้างปาริไลยกะเชือกนี้เป็นพระโพธิสัตว์ ในกัปนี้จะมีพระพุทธเจ้า ๑๐ องค์
    หลังจาก พระศรีอาริยเมตไตรย เป็นองค์ที่ ๕ จัดว่าเป็นชุดที่ ๑

    ชุดที่ ๒ คือ

    ๑. พระราม

    ๒. พระเจ้าปเสนทิโกศล

    ๓. ช้างปาริไลยกะ เป็นต้น

    ในกาลต่อมาเมื่อออกพรรษาแล้วมีภิกษุมาจากในทิศทั้งหลายรวมกัน ๕๐๐ รูป ได้เข้าไปหาพระอานนท์ อ้อนวอนบอกว่า "จงช่วยอาราธนาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หรือว่าพาข้าพเจ้าทั้งหลายไปเฝ้าเพื่อฟังธรรมกับพระพุทธเจ้าเถิด"

    พระอานนท์จึงได้พาพระภิกษุทั้งหลายไป ณ ที่นั้นแล้ว จึงสั่งให้พระ ๕๐๐ รูป พักอยู่ข้างนอกก่อน ท่านเข้าไปเฝ้าพระพุทธเจ้าแต่ผู้เดียวก่อน เวลานั้นช้างปาริไลยกะเห็นพระอานนท์เถระเข้ามา จึงเอางวงถือท่อนไม้แล้วก็วิ่งไปจะทำร้ายพระอานนท์คิดว่าเป็นศัตรู

    สมเด็จพระบรมครูทอดพระเนตรเห็นแล้วจึงได้ตรัสว่า

    "ปาริไลยกะ หลีกไปเสีย อย่าห้ามเธอเลย ภิกษุองค์นั้นเป็นผู้ปฏิบัติเราคืออุปัฏฐากของเรา"

    พญาช้างปาริไลยกะก็ทิ้งท่อนไม้เสียในที่นั้นเอง แสดงความเอื้อเฟื้อจะเข้าไปรับบาตร และจีวร พระเถระก็มิได้ให้

    พญาช้างก็คิดว่า ถ้าภิกษุรูปนี้จะมีวัตรอันตนได้เรียนแล้ว ท่านคงจะไม่วางบริขารของตนไว้บนแผ่นหินที่ประทับของพระพุทธเจ้า พระอานนท์เมื่อเข้าไปก็ไม่ยอมวางบาตรบนที่นั้นเพราะท่านมีความเคารพในองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

    พระพุทธเจ้าตรัสถามว่า "อานนท์ เวลานี้เธอมาคนเดียวหรือ"

    พระอานนท์ก็ได้กราบทูลว่า "ข้าพระพุทธเจ้ามากับพระ ๕๐๐ รูปด้วยกันพระพุทธเจ้าข้า เพราะว่าเธอได้มาจากทิศต่างๆ ปรารถนาจะนมัสการสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า จึงขอร้องให้ข้าพระพุทธเจ้าพามานมัสการ"

    พระพุทธเจ้าจึงได้มีพระพุทธฎีกาตรัสถามว่า "พระพวกนั้นเวลานี้อยู่ที่ไหน"

    พระอานนท์จึงได้กราบทูลว่า "ข้าพระพุทธเจ้าไม่ทราบว่า เวลานี้พระองค์ต้องการจะให้เธอทั้งหลายเหล่านั้นเข้ามานมัสการหรือไม่ จึงให้พักอยู่ภายนอก"

    พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า "เธอจงเรียกพระทั้งหลายนี้เข้ามาเถิด ตถาคตอนุญาต"

    ภิกษุทั้ง ๕๐๐ รูปเข้ามาถวายบังคมองค์สมเด็จพระจอมไตรแล้ว พระพุทธเจ้าก็ทรงทำปฏิสันถารกับเธอทั้งหลาย

    ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า "ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระองค์เสด็จประทับพระองค์เดียวตลอดไตรมาส ผู้ปฏิบัติถวายนํ้าสรงพระพักตร์ก็คงจะไม่มี พระองค์คงจะลำบากมาก พระพุทธเจ้าข้า"

    พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย กิจทั้งปวงของเรา อันพญาช้างมีนามว่า ปาริไลยกะ ทำแล้ว อันบุคคลผู้ได้สหายเห็นปานนี้อยู่ด้วยกัน เป็นการสมควร เมื่อไม่ได้สหายเห็นปานนี้ ความเป็นอยู่ผู้เดียวประเสริฐกว่า"

    ความจริงขึ้นชื่อว่าพระโพธิสัตว์เมื่อถึงโอกาสพบพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าตั้งใจไปโปรดช้างปาริไลยกะซึ่งเป็นพระโพธิสัตว์มากกว่า เพราะว่าเมื่อท่านเห็นว่าพระเมืองโกสัมพีปฏิบัติไม่ดี พระองค์จะเสด็จไปกรุงราชคฤห์หรือกรุงสาวัตถีก็ไปได้ วิหารก็มีอยู่ พระก็มีมาก

    เป็นอันว่าองค์สมเด็จพระชินสีห์ตรัสนี้มีประโยชน์มาก ท่านทั้งหลายควรจะยึดถือถ้อยคำของพระองค์ไว้ว่า

    "ถ้าเราได้เพื่อนที่ดีเราควรอยู่กับเพื่อน ถ้าเพื่อนเลวเราก็ไม่ควรอยู่ เพราะจะพาเราเลวไปด้วย เราอยู่สำหรับตนคนเดียวดีกว่า"

    เมื่อพระพุทธเจ้าตรัสคาถานี้จบ ภิกษุทั้ง ๕๐๐ รูปก็ได้สำเร็จอรหัตผล

    หลังจากนั้นพระอานนท์ก็กราบทูลพระพุทธเจ้าว่า "เวลานี้มีพระอริยสาวกอีกประมาณ ๕ โกฏซึ่งมีท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีและพระนางวิสาขาเป็นหัวหน้า หวังในการเสด็จไปโปรดขององค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า"

    พระพุทธเจ้าจึงได้มีพระพุทธดำรัสว่า "ถ้าอย่างนั้นเธอจงรับบาตรจีวร"

    พระอานนท์รับบาตรจีวรแล้ว พระพุทธเจ้าจึงเสด็จออกไป พญาช้างได้ไปยืนขวางทางไว้ บรรดาภิกษุทั้งหลายเห็นดังนั้นจึงได้ทูลถามว่า "ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ช้างทำอะไรพระเจ้าข้า"

    จึงทรงมีพระพุทธฎีกาตรัสว่า "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ช้างหวังจะถวายอาหารแก่เธอทั้งหลาย และช้างเชือกนี้แหละที่ให้อุปการะแก่เราตลอดราตรีนาน ๓ เดือน การทำให้ช้างนี้ขัดเคือง ไม่เป็นการสมควร ฉะนั้นขอพวกเธอทั้งหลายจงพากันกลับเถิด เพื่อเป็นการสนองความดีที่ช้างตั้งใจไว้แล้ว"

    พระพุทธเจ้าก็ทรงพาภิกษุทั้งหลายเสด็จกลับ ฝ่ายช้างเข้าสู่ป่าแล้วรวบรวมผลไม้ มีผลขนุนและกล้วย เป็นต้น นำมาไว้เป็นกองๆ แล้ว ในวันรุ่งขึ้นได้ถวายแก่พระภิกษุทั้งหลายเหล่านั้น

    ภิกษุ ๕๐๐ รูปฉันไม่หมดเพราะช้างนำมามาก เมื่อฉันอาหารเสร็จแล้ว พระพุทธเจ้าทรงถือบาตรจีวรเสด็จออกไป พญาช้างก็เดินตามไปคือ พระพุทธเจ้าเดินหน้า บรรดาพระเดินตามหลัง ช้างเดินคั่นกลางระหว่างพระพุทธเจ้ากับบรรดาพระ

    ต่อมาช้างก็มายืนขวางหน้าพระพุทธเจ้าไว้ บรรดาภิกษุทั้งหลายเห็นจึงกราบทูลถามว่า "ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ช้างทำอะไรพระเจ้าข้า"

    พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า "ภิกษุทั้งหลาย ช้างนี้จะส่งพวกเธอไป แล้วก็ชวนให้เรากลับ"

    องค์สมเด็จพระจอมไตรจึงตรัสกับช้างว่า "ปาริไลยกะ การไปคราวนี้ของเรา เราไปไม่กลับเพราะว่าถ้าเราจะอยู่ ฌานก็ดี วิปัสสนาก็ดี มรรคผลก็ดี ย่อมไม่มีแก่เจ้าด้วยอัตภาพนี้ เจ้าจงหยุดเถิด"

    พญาช้างได้ฟังคำสั่งดังนั้นแล้ว ได้สอดงวงเข้าปาก ร้องไห้เดินไปข้างหลัง พญาช้างคิดว่าถ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงกลับมา เราจะปฏิบัติเช่นนี้แด่องค์พระพุทธเจ้าตลอดชีวิต ฝ่ายพระพุทธเจ้าเสด็จมาถึงแดนบ้านแล้วตรัสว่า

    "ปาริไลยกะ แต่นี้ไปมิใช่ที่ของเจ้า มันเป็นที่อยู่ของบรรดาหมู่มนุษย์ทั้งหลาย อันตรายที่จะเบียดเบียนเจ้ามีอยู่รอบข้าง เจ้าจงหยุดอยู่เถิด"

    ช้างเมื่อได้ฟังพระพุทธดำรัสแล้วก็ยืนร้องไห้อยู่ตรงนั้นไม่กล้าตามไป ครั้นเมื่อสมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาเสด็จไปกับหมู่พระสงฆ์มองจนกระทั่งลับตาไปแล้ว

    ช้างก็มีหัวใจแตกตายและไปเกิดบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก มีวิมานสูง ๓๐ โยชน์และมีนางเทพอัปสรหนึ่งพัน เพราะมีความเลื่อมใสในองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ช้างตัวนั้นมีนามว่า "ปาลิไลยกเทพบุตร"

    ในขณะที่พระพุทธเจ้าจำพรรษาอยู่ที่โคนต้นไม้สาละใหญ่ในป่า เวลานั้นก็ยังมี วานรอีกตัวหนึ่ง ลิงตัวนี้เห็นช้างนั้นทำการปฏิบัติในองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็คิดว่าช้างทำได้ เราก็จักทำอย่างนั้นได้

    เมื่อช้างถวายผลไม้พระพุทธเจ้าได้ ช้างทำวัตรปฏิบัติพระพุทธเจ้าได้ ช้างไม่มีมือมีแต่งวง เรามีมือสองมือ มีเท้าสองเท้า มือของเราจะใช้เป็นมือก็ได้ จะใช้เป็นเท้าก็ได้ เป็นอันว่าเราได้เปรียบช้างแต่ตัวเราเล็กกว่าช้าง แม้เราจะเล็กเราก็มีความสามารถ

    ฉะนั้น เมื่อคิดดังนั้นแล้ว ลิงมีความเลื่อมใสในองค์สมเด็จพระบรมโลกนาถจึงเที่ยวไป วันหนึ่งไปเห็น รวงผึ้งที่กิ่งไม้ หาตัวผึ้งไม่มีแล้ว จึงได้หักกิ่งไม้นั้นมาแล้วก็นำรวงผึ้งนั้นมาพร้อมทั้งกิ่งไม้เข้าไปถวายพระพุทธเจ้า ได้เด็ดใบตองรองถวาย พระพุทธเจ้าทรงรับ

    ลิงมองดูเห็นพระพุทธเจ้าทรงนิ่งเฉยอยู่ไม่เสวย จึงคิดว่าพระพุทธเจ้าเห็นว่าเราเป็นลิงเล็กมีค่าไม่เท่าช้าง ความจริงน้ำผึ้งก็หวานดี จึงย่องเข้าไปดูใกล้ๆ เอามือจับปลายกิ่งไม้ที่พระพุทธเจ้าทรงถือ แล้วก็พิจารณาดู ก็เห็นผึ้งตัวอ่อนๆ มีอยู่ ๒-๓ ตัว จึงค่อยๆ นำเอาผึ้งตัวอ่อนนั้นออก แล้วจึงเข้าไปถวายใหม่ ตอนนี้พระพุทธเจ้าทรงรับแล้วก็เสวย

    เมื่อพระองค์เสวยน้ำผึ้ง ลิงก็ดีใจ คิดว่าช้างตัวใหญ่ทำการปฏิบัติพระพุทธเจ้าได้ เราเป็นลิงตัวเล็ก เราก็ทำได้ เราไม่แพ้ช้าง ก็ดีใจกระโดดโลดเต้นไปตามเพลงของลิง เวลานั้น กิ่งไม้ที่ลิงโดดไปจับและกิ่งไม้ที่ลิงไปเหยียบมันหักขึ้นมาพร้อมกัน ลิงตัวนั้นก็เลยตกลงมา โดนที่ปลายตอๆ หนึ่ง ตัวลิงถูกปลายตอแทงเข้าไป

    เพราะอาศัยที่จิตเลื่อมใสในองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อตายจากความเป็นลิง ก็ไปเกิดบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก มีวิมานทองคำสูง ๓๐ โยชน์ มีนางเทพอัปสรหนึ่งพันเป็นบริวาร

    รวมความว่า ช้างปาริไลยกะ มีความรักในพระพุทธเจ้า ลิงมีความรักในพระพุทธเจ้า ตายแล้วก็เป็นเทวดา

    การที่มีบางคนพูดว่า สัตว์ทำบุญไม่ได้ สัตว์ไม่มีโอกาสได้บำเพ็ญกุศล นั้นไม่จริง อย่างในเรื่องนี้ช้างและลิงก็ปฏิบัติรับใช้พระพุทธเจ้าได้ และที่ว่าเทวดาทำบุญไม่ได้ต้องทำบุญในขณะที่เป็นมนุษย์เท่านั้นก็ไม่จริง

    อย่างท่านมัฏฐกุณฑลีเทพบุตรก่อนจะเป็นเทวดาก็อาศัยก่อนตายมีจิตนึกถึงพระพุทธเจ้า เมื่อเป็นเทวดาแล้วฟังเทศน์พระพุทธเจ้าจบเดียวเป็น พระโสดาบัน

    บรรดาสัตว์ทั้งหลายที่เราเลี้ยงก็เหมือนกัน เราก็เลี้ยงตามที่เราจะพึงทำได้ สัตว์ก็มีความรักในเรา จิตก็เป็นกุศล สัตว์ทุกตัวที่เราเลี้ยงเมื่อตายแล้วเป็นเทวดาหมด.."
     
  2. ตุปั๊ดตุเป๋ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2017
    โพสต์:
    425
    ค่าพลัง:
    +107
    ๖๑.ตายจากงูเหลือมไปเกิดเป็นเทวดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์แล้วลงมาเกิดเป็นคนได้สำเร็จอรหัตผล

    "..ในสมัยสมเด็จพระพุทธกัปสป มีงูเหลือมแก่ตัวหนึ่ง ได้ยินเสียงพระสวดอภิธรรมได้คล่อง จิตก็พอใจในเสียงชอบบทอายตนะ จักขุนทริยัง โสตินทริยัง ฆานินทริยัง ฯลฯ มันลงยังๆ แต่ไม่รู้ว่าเป็นเสียงพระสวด แล้วก็ตาย

    เมื่อตายแล้วก็ไปเกิดเป็นเทวดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก เวลาที่พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันทรงอุบัติขึ้นในโลก

    ท่านก็ลงมาเกิดเป็น อเจลกแก้ผ้ามีนามว่า "สรสาณาชีวก" ผลความดีสมัยที่เป็นงูเหลือมชอบใจในเสียงพระสวดอภิธรรมในด้านอายตนะ ด้วยความดีเพียงแค่นี้ เป็นเหตุให้ท่านได้ทิพพจักขุญาณ

    หลังจากที่พระพุทธเจ้านิพพานแล้ว ท่านสรสาณาชีวกเป็นอาจารย์สำคัญของพระมารดาของ พระเจ้าอโศกมหาราช เพราะวันหนึ่งพระเจ้าอโศกมหาราชยังเล็กอยู่นั่งอยู่บนตักพระบิดา เกิดขี้แตกขึ้นมา ท่านพ่อก็จับเหวี่ยงลงไป พระแม่เจ้าก็นำไปล้างตัวแล้วก็นำไปเดินเล่นข้างนอก

    ก็ไปพบท่านสรสาณาชีวกแก้ผ้าเดินมาท่านบอกว่า "เลี้ยงให้ดีนะ ลูกชายคนนี้ต่อไปจะเป็นกษัตริย์ที่มีอำนาจและมีความสำคัญมาก และจะต้องฆ่าพระน้องต่างพระมารดาถึง ๙๙ พระองค์ เพราะว่าพวกนั้นจะขบถ"

    ต่อมาเมื่อพระราชบิดาพระเจ้าอโศกมหาราชทิวงคต ท่านก็เป็นพระเจ้าแผ่นดิน ท่านมีน้องชายร่วมพระมารดาองค์หนึ่งชื่อ "ลิตตกุมาร" และมีน้องชายต่างมารดาอีก ๙๙ องค์

    น้องต่างมารดาร่วมมือกันยกกองทัพใหญ่เข้ามาล้อมพระราชวัง กำลังของพระเจ้าอโศกมหาราชมีไม่มากจึงถามน้องชายว่า "สู้ไหม" น้องชายบอก "สู้ ไม่สู้เขาก็ฆ่า ต้องสู้ไหนๆ จะตายก็ต้องตายอย่างลูกผู้ชาย" ในที่สุดท่านก็สู้ ด้วยอำนาจของบุญญาธิการก็จับน้องชายต่างมารดาทั้ง ๙๙ องค์ได้ กองทัพแตกกระจัดกระจายไป ก็เลยสั่งประหารชีวิตทั้งหมด

    เมื่อท่านเป็นกษัตริย์แล้วไม่มีศัตรูแล้ว ก็ถามพระแม่เจ้าว่า "เรื่องราวทั้งหมดนี้ใครพยากรณ์ไว้" ท่านแม่ก็บอกว่า "ท่านสรสาณาชีวก อาจารย์ใหญ่พยากรณ์ไว้ เวลานี้ท่านอยู่ไกลไปประมาณ ๑๐๐ โยชน์"

    พระเจ้าอโศกมหาราชจึงสั่งให้คนนำวอไปรับมาเป็นที่ปรึกษา เมื่อขบวนใหญ่ไปรับอาจารย์ใหญ่เป็นอเจลกคือแก้ผ้า พอมาถึงหน้าวัดในป่าสงัด ท่านสรสาณาชีวกเห็นเป็นวัดพระด้วยกันแต่คนละนิกาย ก็ทำท่าจะเบ่ง จึงบอกให้อำมาตย์วางคานหาบแล้วบอกว่า "จะไปเยี่ยมพระด้วยกันสักหน่อย" ทำท่าเบ่งว่าพระห่มผ้าเหลืองนับถือพระพุทธศาสนาพระราชาไม่เคารพ ฉันอ๋องกว่า

    พอท่านเดินนวยนาดเข้าไป พระองค์นั้นท่านเป็นพระอรหันต์ปฏิสัมภิทาญาณ ท่านมองดูใจก็ทราบว่าเจ้างูเหลือมฟังอภิธรรมบทอายตนะ แต่ไม่รู้จักอายตนะ จิตเลื่อมใสในธรรมเมื่อตายจากงูเหลือมก็ไปเกิดเป็นเทวดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์

    ตอนนี้จะเป็นอรหันต์แล้วต้องจี้จุด พระอรหันต์ท่านดูใจคนไม่ได้ดูลีลา ไม่ได้ดูการแก้ผ้านุ่งผ้า ไม่ได้ดูกาย พอท่านสรสาณาชีวกเดินเข้าไป พระท่านก็ถามว่า "ชื่ออะไร" ท่านก็ตอบตามจิตเดิมว่าชื่อ "อายตนะ"

    พระท่านก็เลยถามว่า "ไงพ่ออายตนะ คุณลืมอายตนะเสียแล้วหรือ หรือเราจะเรียกก็ได้ว่าท่านงูเหลือม" ท่านตกใจถามว่า "ทำไมเรียกอย่างนี้" พระท่านก็บอกว่า "ท่านเป็นงูเหลือมในสมัยพระพุทธกัสสป ฟังพระสวดพระอภิธรรม ชอบอภิธรรมบทอายตนะ ทำไมมาลืมเสียเล่า"
    แล้วพระท่านก็พูดเรื่องอายตนะนิดหน่อย ความรู้สึกเดิมบุญเก่ามาสนองใจ ท่านเกิดความละอายนั่งพับเพียบกระมิดกระเมี้ยน พระท่านก็เลยไปหยิบสบงจีวรให้เอามาห่ม และก็อธิบายเรื่องอายตนะพอสมควร ท่านฟังแล้วก็เลื่อมใสคิดว่าที่นี่น่าอยู่ จึงไปบอกให้พวกนั้นกลับไปหาพระเจ้าแผ่นดิน ท่านจะอยู่ที่นี่ ให้ไปกราบทูลพระราชาว่า "เวลานี้ท่านอยู่ที่วัดมีกิจที่จะต้องทำ พอเสร็จแล้วจะมา" แล้วท่านก็เข้าไปใหม่ พระท่านก็สอนอายตนะให้

    ในที่สุดท่านสรสาณาชีวกก็ได้สำเร็จอรหัตผล
    พระเจ้าอโศกมหาราชก็อาศัยท่านสรสาณาชีวก ท่านแนะนำว่า "การนับถือศาสนาอื่นไม่ดีเท่าพระพุทธศาสนา" ความเลื่อมใสเกิดขึ้นกับท่านอเจลกที่เป็นชีเปลือย และก็เป็นพระอรหันต์

    ขึ้นชื่อว่าธรรมขององค์สมเด็จพระบรมครูสัมมาสัมพุทธเจ้า ถึงแม้ว่าเราจะฟังการสวดไม่รู้เรื่องแต่ว่าจิตเลื่อมใสในเสียง เรามีอารมณ์ดีกว่าสัตว์เดรัจฉานคือท่านงูเหลือม ไม่รู้ว่าเป็นเสียงธัมมะธัมโม พอใจในเสียงเท่านั้น ตายแล้วยังเกิดเป็นเทวดาได้ จากเทวดามาเกิดเป็นคนก็เลยได้เป็นพระอรหันต์

    สำหรับพวกเรานั้นก็เช่นเดียวกัน ถึงแม้จะไม่รู้ว่าสวดอะไรกันบ้าง ก็ทำใจเลื่อมใสไว้ก่อนว่านี่เป็นคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระพิชิตมาร อย่างเลวที่สุดตายแล้วเราก็เป็นเทวดาได้

    ถ้าจิตฝักใฝ่มีอารมณ์ถึงฌานเราก็เป็นพรหมได้ ถ้าบังเอิญจิตใจของเรานั้นมีความเบื่อหน่ายในร่างกายเราก็ไปพระนิพพานได้.."
     
  3. ตุปั๊ดตุเป๋ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2017
    โพสต์:
    425
    ค่าพลัง:
    +107
    ๖๒.ตายจากคนไปเกิดเป็นวัว

    "..มีผู้มาถามว่า เรื่องตายจากคนแล้วเป็นผีนั้นไม่สงสัย แต่อยากทราบว่าคนที่ตายแล้วไปเกิดเป็นสัตว์รับใช้มีบ้างไหม ก็พอดีอาตมาไปพบเข้าเรื่องหนึ่ง เป็นเรื่องของอดีตใกล้ปัจจุบัน เรื่องมีอยู่ว่า เมื่อวันที่ ๑๒ มกราคม ๒๔๖๕ พระภิกษุศรี วัดแก้วแจ่มฟ้า ได้เล่าเรื่องนี้ให้ พันโทพระพินิจศาลา ฟัง อาตมาทราบมาจากพระพินิจศาลาอีกทอดหนึ่ง

    เรื่องมีอยู่ว่า มีชายจีนคนหนึ่งชื่อ "เก๊า" มีภรรยาเป็นคนไทยชื่อ "ทองคำ" ตั้งร้านค้าขายอยู่ที่ตลาดน้อย จังหวัดพระนคร สมัยที่คุณพระเล่าเรื่องนี้ เขายังนิยมเรียกว่าเมืองบางกอก กรุงเทพฯ หรือพระนครนั้นเป็นชื่อที่ตั้งขึ้นภายหลัง

    นับถอยหลังจาก พ.ศ. ๒๔๖๕ ไป ๓๗ ปี สมัยนั้นแกค้ายาฝิ่นได้ถูกไฟไหม้ร้านค้า ขณะที่เกิดเพลิงไหม้ร้านค้านั้นเป็นเวลาดึกสงัด แกรู้สึกตัวขึ้นต่อเมื่อไฟลุกลามมากเสียแล้ว แกเก็บสมบัติส่วนอื่นไม่ทันเลย คว้าเอาบัญชีค้าขายออกมาได้อย่างเดียว โดยคิดว่าเอาอะไรไม่ได้ก็ช่าง ได้บัญชีไว้คงไม่อดตาย เพราะยังมีลูกหนี้ที่มาซื้อยาฝิ่นที่ยังไม่ได้ชำระเงินอีกหลายราย

    ต่อมาแกก็เลิกค้ายาฝิ่น หันมาค้าขายชันและนํ้ามันยาง จึงไปซื้อวัวมาตัวหนึ่งสำหรับบดชันขาย แกบดชันขาย แกก็ค่อยๆ รํ่ารวยขึ้นตามลำดับ จนปลูกตึกเป็นที่อยู่และร้านค้า ตอนนี้แกรวยมากก็คิดถึงความดีของเจ้าวัวคู่ยาก เพราะหลังจากไฟไหม้ร้านค้าฝิ่นแล้ว แกก็เกือบสิ้นทรัพย์

    ต่อมาค้าขายเล็กๆ น้อยๆ พอมีทุนบ้าง ก็ซื้อวัวตัวนี้มาบดชัน เป็นเหตุให้มีฐานะมั่นคงจนมีตึกมีร้านอยู่ จึงไม่อยากจะรบกวนเจ้าวัวเพื่อนยากให้ลำบากอีกต่อไป จะขายให้ชาวบ้านเอาไปใช้งานหรือก็เกรงว่าวัวจะต้องทำงานหนักอีก จะขายให้แขกก็เกรงว่าแขกจะฆ่า จะเอาไว้ที่ร้านค้าก็ไม่มีที่เหมาะสม ตรึกไปตรองมาก็คิดได้ว่าที่ วัดทองนพคุณ ฝั่งธนบุรี สมัยนั้นเป็นวัดอยู่ในสวนมีบริเวณกว้างมาก สนามหญ้าก็ใหญ่โต

    คุณเถ้าแก่เก๊าแกมองเห็นประโยชน์ ๒ ทาง คือ

    ๑) ถ้าแกเอาเจ้าวัวตัวนี้ไปถวายพระ พระท่านไม่มีงานใช้ จ้าวัวก็จะอยู่เป็นสุขสมกับความตั้งใจของแก ปรารถนาจะให้มันพักผ่อน ไม่ต้องทำงานต่อไป

    ๒) พระจะได้อาศัยวัวเก็บหญ้าในลานวัดกินเป็นอาหาร เป็นการช่วยพระปราบหญ้าไปในตัว

    เมื่อแกหารือกับคุณนายทองคำศรีภรรยาเป็นที่ตกลงกันแล้ว แกก็นำเจ้าวัวของแกข้ามจากฝั่งพระนครมาฝั่งธน สมัยนั้นสะพานข้ามแม่นํ้าเจ้าพระยายังไม่มี ต้องอาศัยเรือจ้างข้ามฟาก

    ตอนที่แกเอาวัวข้ามแม่นํ้าแกให้เจ้าวัวตัวนั้นว่ายนํ้า ตัวแกเองนั่งบนเรือ ถึงแม้วัวจะเหนื่อยหน่อยแกก็คิดว่าเป็นการเหนื่อยครั้งสุดท้าย

    เมื่อข้ามฟากไปฝั่งธนบุรีเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แกก็จูงเจ้าวัวเพื่อนยากไปฝากเจ้าอาวาส เมื่อท่านเจ้าอาวาสรับฝากแล้ว แกก็กลับบ้านมานอนสบายใจที่ได้สงเคราะห์วัวตัวที่แกรักได้สมเจตนา

    พอเช้าวันรุ่งขึ้นแกก็ต้องแปลกใจที่เห็นเจ้าวัวตัวนั้นมายืนอยู่หน้าประตูตึก สมัยนั้นวัวหรือม้าหรือควายเดินในท้องถนนหลวงไม่ใช่ของแปลก เพราะสัตว์พวกนี้มีมากในถนนหลวง รถหาได้ยากเต็มทน วันหนึ่งมีรถยนต์ผ่านหน้าไม่เกิน ๔ เที่ยวเป็นอย่างมาก รถที่ใช้เป็นพาหนะส่วนใหญ่ก็เป็นรถม้า นานๆ จะพบรถเจ๊ก เมื่อแกกินข้าวเช้าเรียบร้อยแล้ว แกก็นำเจ้าวัวตัวนั้นกลับไปให้พระวัดทองนพคุณใหม่

    ตายจากคนไปเกิดเป็นวัว
    คืนวันนั้นเองคุณเถ้าแก่เก๊าแกนอนหลับฝันไปว่า เจ้าวัวตัวนั้นมันมาหาบอกชื่อตัวเองว่าชื่อ "ลก"

    เมื่อสมัยที่แกขายยาฝิ่นนั้น นายลกหรือวัวตัวนั้นเคยซื้อยาฝิ่นเป็นสินเชื่อไว้ ยังชำระหนี้ไม่หมด เห็นว่าเลิกขายยาฝิ่น ก็เลยไม่ยอมจ่ายเงินให้

    เจ้าวัวตัวนั้นที่มาเข้าฝันก็พูดต่อไปว่า

    "เมื่อฉันเป็นหนี้นายและยังไม่ได้ชำระหนี้ ฉันจึงมาเกิดเป็นวัวเพื่อให้นายใช้งาน เป็นการชำระหนี้ด้วยแรงงาน ขอนายจงไปเอาฉันมาใช้งานจนกว่าฉันจะตายไปตามสภาพ ฉันจึงจะพ้นหนี้ ถ้านายไม่เอาฉันมาใช้ ชาติต่อไปฉันก็ยังจะต้องเกิดเป็นวัวให้ใช้งานต่อไป โอกาสที่จะหมดโทษก็จะไม่มี ถ้านายสงสารฉัน ขอให้นายไปรับฉันมาใช้งานตามเดิมเถิด..."

    พอรุ่งเช้าคุณเถ้าแก่เก๊าก็สำรวจตรวจสอบบัญชีลูกหนี้ พบชื่อ "ลก" จริงๆ มีหนี้ตามบัญชีอยู่ ๓๖ บาท เมื่อหลักฐานมีตรงตามความฝัน แกก็ไปนำเจ้าวัวแสนซื่อของแกมาไว้ที่บ้าน ใช้งานแต่เพียงวันละนิดหน่อยพอเป็นธรรมเนียมจนกว่ามันจะตาย

    เรื่องนี้คุณพระพินิจบอกว่า เจ้าพวกวัว ควาย ช้าง ม้าที่ถูกใช้งานหนักๆ โดยไม่มีค่าจ้างแรงงาน แต่ผลที่ได้รับเป็นเครื่องตอบแทนความเหนื่อยยากก็คือ หญ้าสดบ้าง หญ้าแห้งบ้าง เห็นจะเป็นเพราะสมัยเป็นมนุษย์คงจะโกงเงิน

    คือเป็นหนี้แล้วไม่ยอมชำระหนี้สินแบบนายลกนี้เป็นแน่ บางทีเจ้าของเงินเขาไม่ว่าแต่กฎของกรรมว่าเสียเอง ทั้งๆ ที่เจ้าของเงินไม่รู้เนื้อไม่รู้ตัวเรื่องการถูกลงโทษ ส่วนพวกวัวควายที่ถูกเขาใช้งานแล้ว

    เมื่อเขาหมดความต้องการก็ถูกเจ้าของจับฆ่าเป็นอาหาร ก็คงจะเนื่องมาจากชาติก่อนเคยฆ่าสัตว์ประเภทนั้นตาย จึงต้องไปเกิดเป็นสัตว์ประเภทนั้น และต้องถูกฆ่าตายจนกว่าจะครบจำนวนตามที่เคยฆ่ามาแล้ว

    ก็เป็นอันว่าคนที่คิดจะหลบหนี้ด้วยการฆ่าตัวตาย เพื่อเจ้าหนี้จะได้ตามทวงไม่พบ ถ้าเรื่องนี้มีผลตามที่ท่านคุณพระพินิจเล่าให้ฟังแล้ว ก็หนักใจแทนท่านที่หลบหนี้

    เพราะถ้ารับใช้สมัยเป็นคนเพื่อการชำระหนี้ด้วยแรงงาน ยังมีโอกาสกินข้าวกินขนมได้อย่างเจ้าหนี้ เหนื่อยก็ขอร้องผลัดผ่อนได้ ร้อนก็บอกได้

    แต่ตอนที่เกิดเป็นวัวเป็นควายนั้นแสนจะระทม หิวอาหาร กระหายนํ้า เหนื่อย ยุงกินริ้นกัด หมดทางที่จะรายงานเพราะพูดไม่มีใครรู้เรื่อง มันเป็นกรรมที่แสนจะทรมาน.."
     
  4. ตุปั๊ดตุเป๋ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2017
    โพสต์:
    425
    ค่าพลัง:
    +107
    ๖๓.ตายจากความเป็นคนไปเกิดเป็นนกยาง

    "..ท่านสุชาดา เป็นภรรยาคนที่ ๔ ของท่านมาฆมาณพหรือท่านพระอินทร์ในปัจจุบันนี้ ในสมัยเป็นมนุษย์ท่านเป็นคนสวย ไม่สนใจเรื่องบุญ ถือว่าเราเป็นเมียต้องบำรุงผัวให้มีความสุข แต่งตัวสวยๆ สร้างความสุขใจให้เกิดกับผัวเวลากลับมาบ้าน

    แต่คนที่มีอารมณ์อย่างนี้ก็อดจะมีอารมณ์อิจฉาริษยาคนอื่นไม่ได้เป็นของธรรมดา อาจจะสร้างความรำคาญให้อีกฝ่ายหนึ่งเพราะเข้าใจว่าตัวสวย ความจริงความสวยสดงดงามของร่างกายนี้มันไม่คงทนและไม่เที่ยงแท้

    เพราะร่างกายมีความสกปรก ผิวพรรณที่คิดว่าสวยมันก็สวยไม่จริง ประเดี๋ยวเดียวมันก็สกปรกโสโครก ภายในร่างกายของทุกคนมีสภาพเหมือนกันหมดมีแต่สิ่งสกปรกโสโครก แล้วร่างกายก็แก่เหี่ยวลงไปทุกวันๆ ความเบื่อหน่ายของร่างกายก็ย่อมมี

    เหตุฉะนี้นี่เองท่านมาฆมาณพจึงมีความเบื่อหน่ายสตรี คิดว่าชาติหน้าไม่ต้องการจะพบ

    เมื่อนางสุชาดามีความประมาทอย่างนั้น ดังที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า "ปมาโท มัจจุโน ปทัง" แปลว่า "ความประมาทเป็นทางของความตาย" ท่านมีความประมาทมาก ความสวยช่วยคนไม่ได้ หลงความสวยมากเท่าไร ก็มีทุกข์มากเท่านั้น และมีความเร่าร้อนมากเท่านั้น

    ผลสุดท้ายจะมีอารมณ์เต็มไปด้วยความทุกข์เพราะความสวยลดตัวลงไป เมื่อเธอประมาท ตายจากความเป็นคน ก็ไม่ได้เป็นนางฟ้ากับเขา แต่ไปเกิดเป็นนางนกยาง

    ท่านสุชาดาไปเกิดเป็นนกยาง
    ท่านมาฆมาณพ หรือ ท่านพระอินทร์ ก็พิจารณาว่าเมีย ๓ คนตามมาแล้ว แต่น้องแก้วสุชาดาหายไปไหน ท่านก็ใช้กำลังใจที่เป็นทิพย์ก็พบว่า ท่านสุชาดาไปเกิดเป็นนกยาง ไปยํ่านํ้าเตาะแตะๆ นํ้าตื้นๆ หาปลากิน

    ท่านพระอินทร์ก็ไปทรมานให้นางนกยางรู้จักรักษาศีล ๕ แสดงองค์ให้ทราบว่า "ฉันคือพระอินทร์หรือมาฆมาณพเป็นสามีของเธอในชาติก่อน เวลานี้ภรรยา ๓ คนของฉันเขาไปสวรรค์ชั้นดาวดึงส์แล้ว แต่เธอก็มีความสวยงามขาว สวยมาก แต่ไม่ไหวมาหากินแบบนี้มันเป็นบาป"

    ท่านสอนให้นางนกยางรู้จักรักษาศีล ๕ ไม่ทำปาณาติบาต นางนกยางก็เชื่อ แต่หาอาหารยาก เมื่อหาอาหารไม่ได้ตามต้องการ ร่างกายก็ผอมลงๆ ๆ ผลที่สุดก็ตาย

    ในฐานะที่เป็นนกมีศีล ตายแล้วก็ไปเกิดเป็นลูกสาวนายช่างหม้อ เป็นคหบดีมีความรํ่ารวย

    ท่านสุชาดาไปเกิดเป็นลูกสาวนายช่างหม้อ
    ในที่สุดท่านพระอินทร์ก็แปลงตัวไป เอาทองเท่าลูกฟักหนักเท่าตัวคนไปถามว่า "ใครรู้จักศีล ๕ บ้าง" เป็นอันว่าคนในเมืองนั้นทั้งเมืองไม่มีใครรู้จักศีล ๕ แต่ว่าลูกสาวนายช่างหม้ออาศัยที่เคยมีศีล ๕ มาตั้งแต่เป็นนกยาง อารมณ์เดิมก็ปรากฏยังจำได้นึกออก (บารมีติดตาม)

    ก็ตอบว่า "ฉันรู้จักศีล ๕ และกำลังรักษาศีล ๕ อยู่" ท่านมาฆมาณพจึงให้เธอมารับทองคำเท่าลูกฟักหนักเท่าตัวคนเอาไปไว้กินไว้ใช้ แล้วบอกว่า "จะได้เป็นสมบัติเลี้ยงตัวต่อไป จงรักษาศีลอย่าให้ขาด"

    แล้วก็แสดงตัวว่าเป็นพระอินทร์ เคยเป็นสามีของเธอในกาลก่อน ให้ตั้งใจทำบุญทำกุศลเพื่อไปเกิดในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ด้วยกัน

    ท่านสุชาดาไปเกิดเป็นลูกอสูร
    เมื่อลูกสาวนายช่างหม้อตายจากชาตินั้นก็ไปเกิดเป็นลูกอสูร อสูรพวกนี้เดิมทีอยู่บนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก ต่อมาเมื่อเทวดาไปอยู่ใหม่ มีบารมีสู้ไม่ได้ก็ลงตํ่าลงมาหน่อย

    ในเมื่อไปอยู่ในเขตอสูรก็ไม่สามารถจะพบกันได้อีก ท่านพระอินทร์ก็ต้องแปลงเป็นอสูรแก่ ในขณะที่ท้าวอสูรผู้เป็นพ่อประกาศหาสามีให้ลูกสาว โดยให้ลูกสาวเลือกสามี เธอดูแล้วก็ไม่ชอบใจ มาพบอสูรแก่ซึ่งเป็นคู่เก่าคือพระอินทร์เข้าแล้วก็ชอบ โยนพวงมาลัยให้

    เมื่อพระอินทร์รรับพวงมาลัยแล้วก็คว้าข้อมือขึ้นรถขับหนีทันที เพราะเกรงว่าอสูรจะรู้เข้า เพราะไม่ค่อยจะถูกกัน บรรดาอสูรทั้งหลายเหล่านั้นแปลกใจ ต่างพากันกวดแต่กวดพอจะเข้าเขตฉิมพลีก็ถูกครุฑต่อต้าน ไม่สามารถจะมาได้ ในที่สุดท่านพระอินทร์ก็พาท่านสุชาดามาไว้ในเวชยันตวิมาน

    ที่เล่าเรื่องนี้ให้ฟังก็คิดตามว่าทำแบบไหนดี ทำแบบไหนไม่ดี แบบหลงตัวว่าสวยแบบนี้เกิดเป็นนกยาง ถ้าต้องการมีความสุขก็รักษาศีล ๕ หรือกรรมบถ ๑๐.."
     
  5. ตุปั๊ดตุเป๋ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2017
    โพสต์:
    425
    ค่าพลัง:
    +107
    ๖๔.ตายจากพระสงฆ์ไปเกิดเป็นเต่า

    "..มีเต่าตัวใหญ่ตัวหนึ่ง เจ้าของมีความรู้สึกว่าเต่าอยากจะมาหาหลวงพ่อ จึงพามาที่บ้านสายลม วันแรกมาถึงเจ้าของจับใส่ไว้ในกล่อง เต่าอยากตะกายออกจากกล่องท่าเดียว พอพ้นออกมาได้ก็คลานมาหาอาตมาทันที

    วันรุ่งขึ้นเจ้าของพามาอีก ขณะที่หลวงพ่อเทศน์และให้นั่งเจริญพระกรรมฐานตอนกลางคืน เต่าอยู่นิ่งไม่คลานไปไหน มองตลอดเวลา พอเจริญพระกรรมฐานเสร็จ มองดูเต่า เต่ายื่นหัวออกมาจากกระดองจนสุดแล้วก้มหัวติดพื้น เต่านํ้าตาไหล

    อาตมาบอกว่า "เต่าตัวนี้ตายคราวนี้ไปเกิดเป็นเทวดาชั้นดาวดึงส์" พอเห็นภาพนั้นก็นึกในใจว่าอยากจะรู้กฎของกรรมว่าเป็นเพราะอะไร

    พอตอนเย็นขึ้นพักอาบนํ้าแล้วก็นอน วันนี้เพลียมากใจสั่นอารมณ์ไม่ทรงตัวนัก คุมอารมณ์แบบนี้มันก็จะแถไปแบบโน้น แต่มันไม่ลงตํ่ามันอยู่สูง แต่มันไม่ไปตามที่เราชอบ นึกในใจถ้ามีเรื่องอะไรจะต้องรู้ต้องเป็นแบบนี้

    ถ้าคุมอารมณ์ทรงตัวเราจะไม่รู้เรื่องนั้น ถ้าเรื่องจำเป็นจะต้องรู้มีอยู่ จะคุมอารมณ์ทรงตัวไม่ได้ จะเป๋ไปไม่เข้าทางตามที่เราต้องการนัก ก็เลยหยุด

    พอหยุดปั๊บก็มีเสียงบอก "ให้ทำฌานสมาบัติ" พอจับก็อยู่ เมื่ออยู่แล้วจิตก็นึกถึงเต่าว่า "เต่ามีความเป็นมาอย่างไรจึงสนใจพระ สนใจคน สนใจกับสิ่งที่เป็นกุศลมาก"

    พระท่านก็บอกว่า "เต่าตัวนี้ก่อนที่จะมาเป็นเต่าเป็นพระสงฆ์"

    เป็นอันว่าเต่าตัวนี้มาจากพระสงฆ์ ถามท่านว่า "เป็นพระตายแล้วน่าจะเป็นเทวดาเป็นพรหม" ท่านบอก "แน่นักหรือ พระนี่ไปอบายภูมิมากกว่าเกิดเป็นคน พระที่มาเกิดเป็นคนก็น้อยกว่าที่ไปเกิดเป็นเทวดา พระที่ไปเกิดเป็นเทวดาก็ยังน้อยกว่าที่ไปเกิดเป็นพรหม"

    ได้ถามความเป็นมาตอนต้นเขามีความประพฤติดี รักษาศีล รักษาธรรม ทำทาน รู้สึกดีมากในเกณฑ์ของศีลไม่ใช่สมาธิ สมาธิมีเล็กน้อย มีการเสียสละ มีการให้ทาน มีการก่อสร้าง เห็นประวัติเขาดีมากแต่ว่าตอนปลายมือจิตมัวไปหน่อย

    ตอนใกล้จะตายก็มีบริวารมากขึ้น มีลูกศิษย์ลูกหามากขึ้น ก็ทำดีบ้างไม่ดีบ้าง อารมณ์ก็เลยรักลูกศิษย์มากไป ลูกศิษย์ทำไม่ดีก็ไปโกรธ โกรธจนฝังใจ โกรธประเดี๋ยวเลิกมันก็ไม่ค่อยดีอยู่แล้ว แต่นี่โกรธค้างคืน

    ก็พอดีเวลาตายอารมณ์เศร้าหมองก็ไปเกิดเป็นเต่า เป็นเต่าแค่ชาติเดียวตายแล้วก็จะไปสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ตอนพูดถึงเต่าหันหน้ามานํ้าตาไหล อาตมาเลยสงสาร

    รวมความว่า อย่าลืมอารมณ์โทสะ ทุกคนต้องมีแต่พยายามฝึกอย่าให้มันค้างนาน แต่รายนี้ไม่ได้โกรธจะฆ่าใครหรอก แค่ลูกศิษย์บางคนทำไม่ดี จิตก็ไปเกาะมากเกินไป

    ต้องคิดว่าพระพุทธเจ้าตรัสว่า "อักขาตาโร ตถาคตา" แปลว่า "ตถาคตเป็นแต่เพียงผู้บอก" บอกแล้วทำดีเราก็คบหาสมาคม เมื่อไม่ทำดีเราก็เฉย หมดเรื่องกันไป

    คำว่าเฉยหมายความว่าไม่คบ ถ้าหนักเกินไปก็ลงพรหมทัณฑ์ ก็ต้องถือว่าตัวใครตัวมัน นี่เป็นเหตุเพียงเล็กน้อยเท่านั้นเอง ถ้าพูดตามส่วนก็ถือว่าโทษไม่มาก

    แต่จิตไปเศร้าหมองไปขุ่นมัวเมื่อลูกศิษย์ทำชั่ว และก็มีอารมณ์ขัง เมื่อตอนจะตายมันกระตุกขึ้นมา นึกถึงไอ้เจ้านั่นขึ้นมา อารมณ์จึงมัวและก็ตายตอนนั้น จึงมาเกิดเป็นเต่า.."
     
  6. ตุปั๊ดตุเป๋ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2017
    โพสต์:
    425
    ค่าพลัง:
    +107
    ๖๕.พระติสสะก่อนตายจิตนึกถึงจีวรแพรผืนใหม่ ตายแล้วไปเกิดเป็นเล็นเฝ้าจีวรอยู่ ๗ วัน

    "..ท่านติสสะ ท่านบวชในสำนักขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าขณะพระองค์ยังมี พระชนมายุอยู่ ต่อมาวันหนึ่งท่านเห็นเพื่อนเขาห่มจีวรแพร ท่านก็อยากจะห่มจีวรแพรบ้าง

    พอดีท่านมีจีวรอยู่ผืนหนึ่งรู้สึกว่าจะเป็นผ้าเนื้อหยาบสักหน่อย ท่านจึงเอาไปให้พี่สาวจัดการทำให้ พี่สาวเห็นผ้าของพระน้องชายเนื้อหยาบมาก ก็ทุบเสียไปสะไปสางไปกรอใหม่เป็นผ้าเนื้อนิ่ม ทำให้เป็นผ้าเนื้อละเอียดเย็บแล้วก็นำมาย้อมดูเป็นผ้ามีราคาสูง แล้วเอาไปให้พระน้องชาย

    เวลานั้นพระติสสะท่านป่วยมากจนไม่สามารถจะครองจีวรนี้ได้ เมื่อเห็นผ้าที่พี่สาวนำไปให้เป็นผ้าเนื้อละเอียดดีมาก แต่ผ้าของท่านที่ให้ไปเป็นผ้าเนื้อหยาบ อาศัยกำลังใจที่สะอาดมากของท่านจึงบอกกับพี่สาวว่า "ผ้าผืนนี้อาตมารับไม่ได้" พี่สาวก็ถามว่า "ทำไม" ท่านก็บอกว่า "ผ้าอาตมาที่ให้พี่ไปเป็นผ้าเนื้อหยาบ แต่ผ้าผืนนี้เป็นผ้าที่มีเนื้อดีมาก ไม่ควรแก่การที่จะรับไว้เพราะผิดพระวินัย เกรงว่าจะเป็นการขโมยหรือโกงผ้าของบุคคลอื่น"

    พี่สาวจึงบอกว่า "ความจริงผ้าผืนนี้เป็นผ้าของท่าน เมื่อท่านนำผ้าเนื้อหยาบมาให้ ฉันก็เลยทุบทำเสียใหม่ เอาด้ายมากรอเสียใหม่ ทำใหม่หมดเป็นด้ายเส้นเล็กๆ เนื้อถึงได้บางสวยแบบนี้" ท่านก็ยอมรับเห็นว่าไม่ผิดพระวินัย

    เมื่อพี่สาวกลับไปแล้ว ท่านก็อยากจะห่มจีวรผืนนี้เต็มที แต่ห่มไม่ไหวเพราะป่วยจนลุกไม่ขึ้น จิตใจก็มีความรู้สึกรักจีวรผืนนี้มาก แต่ไม่นานนักไม่ทันได้ห่มจีวรท่านก็ถึงแก่ความตาย

    ก่อนจะตายจิตแทนที่จะนึกถึงพระรัตนตรัย จิตท่านไปกระหวัดนึกถึงจีวร แทนที่จะไปเกิดเป็นเทวดาบนสวรรค์ กลับไปเกิดเป็นเล็นตัวเล็กๆ อาศัยอยู่ในตะเข็บของจีวรอยู่ ๗ วัน

    ตามพระวินัยถ้าพระตายไปแล้ว ทรัพย์สมบัติที่มีอยู่ทั้งหมดต้องตกเป็นของสงฆ์ ญาติพี่น้องจะถือว่าฉันมีสิทธิ์เป็นทายาทผู้รับมรดกไม่ได้ ถ้าจะให้กันต้องให้ก่อนตาย ถ้าไม่ให้ก่อนตายตกเป็นของสงฆ์หมด

    เมื่อพระติสสะตายแล้ว บรรดาพระทั้งหลายก็ไปจัดการว่าทรัพย์สมบัติของพระติสสะมีอะไรบ้าง ก็หยิบโน่นหยิบนี่ตามที่มีอยู่ หยิบอย่างอื่นไม่มีเรื่อง

    พอพระองค์หนึ่งไปจับจีวรแพรผืนนั้นเข้า เล็นติสสะร้องตะโกนเสียงดังว่า "ไอ้ขโมยปล้นจีวร ไอ้ขโมยปล้นจีวร" แต่เป็นการบังเอิญจริงๆ พระที่ไปนั้นไม่มีพระหูทิพย์เลย เลยไม่ได้ยิน

    พระพุทธเจ้าประทับอยู่ในพระคันธกุฎีได้ยินเสียงเล็นตะโกนแบบนั้น ทรงบอกพระอานนท์ว่า "ไห้รีบไปที่กุฏิท่านติสสะเดี๋ยวนี้ บอกพระทั้งหลายว่าจีวรผืนนั้นให้วางไว้ก่อน ภายใน ๗ วันนี้ห้ามมาแตะต้องเด็ดขาด วันที่ ๘ จึงแตะต้องได้"

    พระอานนท์กราบทูลถามพระพุทธเจ้าว่า "เป็นเพราะอะไร" พระองค์ก็ตรัสว่า "พระติสสะก่อนที่จะตายห่วงจีวร และมีความรักในจีวรผืนนี้มากเพราะเนื้อดีมาก ดีกว่าทุกผืนที่เคยมีอยู่ เธอตั้งใจจะครองผ้าผืนนี้แต่ว่าโอกาสไม่มีมาตายเสียก่อน ก่อนจะตายจิตใจก็นึกถึงจีวรผืนนี้ ตายแล้วก็ต้องมาเกิดเป็นเล็นเฝ้าจีวรอยู่ ๗ วัน"

    เพราะเล็นมีอายุแค่ ๗ วัน หลังจากนั้นวันที่ ๘ เล็นตัวนี้ก็จะตาย อายุขัยของเขาแค่นั้น มีอายุขัยแค่ ๗ วันเหมือนกับยุเล็นติสสะตายแล้วก็ไปเกิดเป็นเทวดาบนสวรรค์ชั้นดุสิต

    การที่องค์สมเด็จพระทรงสวัสดิโสภาคย์ทรงแนะนำให้เจริญพระกรรมฐาน ทำสมาธิจิตและวิปัสสนาญาณก็เพื่อจิตมุ่งอะไร ใจจะไปอย่างนั้นตามกำลังของใจเมื่อตายไปแล้ว ขณะทรงชีวิตอยู่ให้มีความรู้สึกนึกถึงความตายไว้เป็นปกติและไม่ประมาทในชีวิต

    อย่าไปหลงใหลใฝ่ฝันกับสิ่งที่ไม่มีประโยชน์เกินไป ให้คิดถึงความจริงของคนว่า ถ้าตายไปแล้วไม่มีโอกาสที่จะครองทรัพย์สมบัติใดๆ ได้อีก ทุกสิ่งทุกอย่างปล่อยมันไว้ ตายแล้วก็เลิกกัน ถ้าอารมณ์จิตของท่านเป็นอย่างนี้ จิตใจก็จะผ่องใส ถ้าจิตใจของเราในระหว่างเป็นมนุษย์จับพระนิพพานเป็นอารมณ์ ตายเมื่อไรก็ไปพระนิพพานเมื่อนั้น.."
     
  7. ตุปั๊ดตุเป๋ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2017
    โพสต์:
    425
    ค่าพลัง:
    +107
    ๖๖.หลวงพ่อเขียนถึงการมรณภาพของหลวงปู่คำแสน วัดดอนมูล จังหวัดเชียงใหม่

    “..คำว่า “คำแสนนุสรณ์” คำนี้อาจจะเป็นที่สะเทือนใจสำหรับผู้ที่เคารพนับถือหลวงปู่คำแสน ซึ่งเป็นที่เคารพของผู้เขียนและท่านทั้งหลายอยู่บ้าง โดยท่านอาจจะคิดว่าเป็นวาจาที่ปรามาสเกินไป

    โดยเจตนาของผู้เขียนแล้ว กล่าวเพียงให้สั้นเข้าเท่านั้น ไม่มีเจตนาปรามาสแต่ประการใด ถ้าบังเอิญเป็นที่ไม่ถูกใจท่านผู้ใดบ้าง ผู้เขียนขอประทานอภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วย

    หลวงปู่คำแสน เป็นพระที่น่ารักและเคารพมากของผู้เขียน มีความรู้สึกว่าท่านเป็นที่น่ารักและควรแก่การเคารพอย่างยิ่ง ด้วยความรู้สึกและอาการสัมผัสแล้ว เข้าใจว่า

    ท่านเป็นพระที่สมบูรณ์ด้วยศีลาจารุวัตรครบถ้วน

    อารมณ์ก็แสนจะเยือกเย็น เป็นที่รักแก่ผู้ที่พบเห็น

    จริยาก็เรียบร้อย ไม่โดกเดกรุ่มร่ามเหมือนผู้เขียน

    ส่วนลึกของความสามารถ เรื่องนี้ถ้าจะพูดกันให้จบต้องใช้หนังสือสัก ๕๐๐ หน้า ก็ไม่แน่ว่าจะครบถ้วนตามความสามารถ ขอพูดโดยย่อว่า ท่านมีความสามารถดังนี้

    ๑) เป็นนักธุดงค์ที่มีความสมบูรณ์ในปฏิปทาธุดงค์จริงๆ

    ๒) การตัดอารมณ์ ตัดได้ดีตามที่พระพุทธเจ้าต้องการ

    ๓) ความสามารถพิเศษที่ท่านหวงและห้ามไม่ให้พูดก่อนท่านตาย คือ

    อารมณ์ทรงตัวในด้านตัดอารมณ์ เรื่องนี้ขอพูดย่อแต่เพียงว่า ท่านมีความสบายทุกอย่างในอารมณ์

    ความสามารถพิเศษ วันหนึ่งนั่งคุยกันตามลำพัง ท่านชวนเล่นสนุกกันสองต่อสอง ได้กราบเรียนท่านว่า ท่านเป็นพี่ขอให้ท่านเล่นให้ดูแต่ผู้เดียว ท่านค้านว่าถ้าอย่างนั้นน้องก็จะเอาเปรียบ

    เป็นอันว่าวันนั้นตกลงกันไม่ได้ ต่อมาอีกหลายเดือน เมื่อมีโอกาสพบกันครบคณะคือ หลวงปู่คำแสน หลวงปู่ชุ่ม หลวงปู่ทืม การพบกันคราวนั้นเป็นการพบกันอย่างบังเอิญ ไม่มีใครเจือปนอยู่เลย พบกันแบบนักบวชซุกซน ไปชนกันเข้าโดยที่มิได้ตั้งใจ

    แต่ละท่านต่างก็ปรารภเหตุและผลในการปฏิบัติรู้สึกดีใจที่ทุกท่านเปิดเผยความจริงอย่างไม่มีอะไรปิดบัง เรื่องนี้พูดให้ฟังไม่ได้ ต่อมาท่านก็ทำสนุกให้ดู โดยหลวงปู่ชุ่มเริ่มต้นก่อน

    โดยท่านกล่าวหาว่าหลวงปู่คำแสนว่า มีดีแต่ชอบคุดดี เมื่อโต้เถียงกันอยู่ครู่หนึ่งหลวงปู่คำแสนก็สรุปสั้นๆ ว่า เราโตแล้วอย่าเล่นอย่างเด็กเลย ท่านหนึ่งในที่นั้นก็พูดว่า คนที่ไร้ความสามารถเท่านั้นที่เขาจะพูดอย่างนี้ คนที่มีความสามารถไม่มีใครเขาพูดอย่างนี้

    เพราะเวลานี้มีด้วยกัน ๔ คน หลวงปู่คำแสนท่านยิ้ม ไม่ยอมพูดอะไรทั้งหมด ท่านหาเรื่องคุยเรื่องอื่น เมื่อคุยกันไปสัก ๒ นาที ปรากฏว่าหลวงปู่คำแสนหายไปจากที่คุย กายหายแต่เสียงยังปรากฏ คุยกันตามปกติแต่มองไม่เห็นตัว

    ต่อมาปรากฏว่าหลวงปู่ชุ่มก็กายหายแต่เสียงมี สำหรับหลวงปู่ทืมก็กลายเป็นหนุ่มขาวสวยกว่าปกติมาก ผู้เขียนงงเต็มที่

    ในที่สุดเวลาผ่านไปสัก ๕ นาที ก็มีสภาพปกติ ถามท่านว่า หลวงปู่ทั้งสามเล่นกลแบบไหนครับ ท่านก็ตอบว่า เล่นแบบเด็กอมมือ ท่านถามว่า คุณทำไมไม่เล่น ผู้เขียนก็กราบเรียนท่านตามความจริงว่า เล่นไม่เป็น ไม่เคยฝึกวิชากล แล้วต่างคนต่างก็หัวเราะ

    หลวงปู่ชุ่มท่านต่อว่า หลวงน้องเอาเปรียบหลวงพี่ คนอย่างนี้บาปหนัก จึงกราบเรียนท่านว่า บาปมันหนักมันก็วิ่งตามผมไม่ทัน ผมสามารถหนีมันพ้น เท่านี้ผมสบายใจแล้ว ท่านทั้งสามก็หัวเราะพร้อมกัน

    เป็นอันว่าหลวงปู่คำแสนท่านมีดีมาก เรื่องที่พูดให้ฟังนี้เป็นเกร็ดความดีที่พระพุทธเจ้าท่านถือว่าเป็นความดีที่มีสาระน้อย จึงห้ามติดและห้ามเล่นดีประเภทนี้ให้คนอื่นเห็น ท่านทรงห้ามนั้นดีแล้ว ถ้าไม่ห้าม ผู้ที่พบความดีประเภทนี้เพียงเล็กน้อยก็จะลืมตัว

    ในที่สุดก็จะเป็นเหยื่อความชั่วคือ ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข ต้องจมอยู่ในวัฏฏะต่อไป มีอีกนิดหนึ่ง ความจริงมีมากแต่เกรงใจคนจัดพิมพ์จะต้องจ่ายเงินมาก ที่เขียนมานี้เห็นว่ามากเกินไปหรือไร้สาระ จะตัดทอนหรือทิ้งไปเลยไม่เอาลงพิมพ์เลยก็ได้ ด้วยคุณบุญรับไปหาขอให้เขียน น้ำกำลังเข้าท่วมวัด

    ขณะเขียนเป็นวันที่ ๑๓ ตุลาคม ๒๕๒๓ น้ำกำลังขึ้นเต็มที่ระบาดเข้ามาในที่นอน ขณะที่เขียนนี้นั่งแช่น้ำเขียนเป็นเรื่องหรือไม่เป็นเรื่องก็ช่าง เพราะแฉะก็แฉะ หนาวก็หนาว ไม่เขียนมาให้เกรงว่าคุณบุญรับจะเสียกำลังใจ มาว่าเรื่องของหลวงปู่กันต่อไป

    วันหนึ่งนั่งคุยกัน ท่านถามว่า บอกได้ไหมว่าได้อะไรไว้ ผู้เขียนได้กราบเรียนท่านว่า ผมไม่ได้อะไรเลย และก็ไม่อยากได้อะไร ท่านยิ้มแล้วท่านบอกว่า เท่านี้พอแล้ว ผู้เขียนก็ไม่เข้าใจความหมายของท่าน ท่านคงไม่คิดว่า “ผู้เขียนเป็นพระอรหันต์”

    เพราะผู้เขียนเป็นเพียงพระกังหัน หมุนไม่หยุด ท่านอาจจะคิดว่าเจ้าเบื๊อกนี่คิดว่าจะดีที่แท้ก็เป็นลิงป่าธรรมดานั่นเอง คุยกันไปสักประเดี๋ยวท่านก็เล่นกลอีก ตอนนี้ไม่ขอบอกว่าเล่นอะไร เป็นการเล่นแบบทบทวนความรู้ ในที่สุดท่านก็ต่อว่า ว่าไม่ได้อะไรทำไมรู้ จึงกราบเรียนท่านว่า ผมอ่านหนังสือมาก ผมรู้ตามหนังสือเขียนไว้

    ท่านยิ้มแล้วพูดว่า ใครๆ เขาก็รู้ตามหนังสือเหมือนกันทั้งนั้นแหละ ท่านทำท่าเหมือนไม่เชื่อ แต่ความจริงผู้เขียนไม่มีดีอะไรเลย ที่รู้ก็เพราะจากหนังสือจริงๆ สำหรับหลวงปู่ท่านจะคิดอย่างไรเป็นเรื่องของท่าน

    แต่คิดว่าท่านคงไม่คิดว่าผู้เขียนเป็นคนรู้ นอกจากจะเข้าใจถูกว่า เจ้าลิงป่าเอ๋ย จงเจียมตัวเจียมตนกับเขาบ้าง จะได้พ้นจากความเป็นสัตว์เดรัจฉาน ถ้าท่านคิดอย่างนี้ก็ต้องขอบพระคุณท่าน ที่ท่านคิดตรง คิดถูกตามความเป็นจริง

    พูดมากรำคาญคนอ่าน ขอสรุปว่าหลวงปู่ที่รักท่านตายไปแล้ว อีกไม่นานผู้เขียนก็ตาย ท่านตายไปคงดีที่สุด อย่างนี้ก็เพราะไม่รู้ว่าท่านไปไหน แต่ด้วยความรักและเคารพในท่าน ก็เลยคิดเอาเองตามใจคนที่รักกัน คิดว่าท่านคงไปดี สำหรับผู้เขียนนี้ยังไม่แน่ใจเลยว่า เมื่อตายแล้วจะไปอยู่นรกขุมไหนดี

    ด้วยอำนาจพระพุทธบารมีและความดีของหลวงปู่ที่สั่งสมไว้มากและบำเพ็ญมานาน ขอให้หลวงปู่ช่วยดึงผู้เขียนให้พ้นจากนรกเมื่อผู้เขียนตายด้วย และอาศัยความดีที่หลวงปู่ประทานแสดงให้ปรากฏบางประการ และกรุณาแนะนำธรรมที่ควรปฏิบัติไว้หลายประการ ผู้เขียนจะขอน้อมเกล้ารับไว้ปฏิบัติตามจนวันตาย

    คณะกรรมการขอให้ผู้เขียนมาเป็นกรรมการด้วย พิจารณาตัวแล้วเห็นว่าไม่สมควร จึงขอเพียงเป็นผู้อุปถัมภ์ในงานศพ ในงานทำศพถ้าไม่ป่วยจะมาอยู่ตลอดงาน

    ขออนุโมทนาที่ทุกท่านเมตตาเจ้าภาพ ช่วยเป็นภาระและธุระกันคนละอย่างสองอย่างจนงานนี้ลุล่วงไปด้วยดี สมศักดิ์ศรีที่เป็นเชื้อชาติไทยแท้..”

    พระมหาวีระ ถาวโร

    วัดท่าซุง อ.เมือง จ.อุทัยธานี

    ๑๓ ตุลาคม ๒๕๒๓
     
  8. ตุปั๊ดตุเป๋ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2017
    โพสต์:
    425
    ค่าพลัง:
    +107
    ๖๗.หลวงพ่อเห็นผีปอบที่ท่าลาน

    "..สมัยเมื่ออาตมายังอยู่วัดบางนมโค อำเภอเสนา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เคยพบผีปอบ คราวนั้นหลวงพ่อไปเรือยนต์ขนาดเล็กไปจอดนอนพักที่ท่าลาน เพื่อไปสืบราคาค่าเหล็ก ค่าปูน ว่าราคาเท่าไร

    พอไปจอดก็มีคนมาทำบุญ ตอนกลางคืนเวลาตี ๒ ตื่นขึ้นมาเห็นคนผู้ชายและผู้หญิงแต่งตัวไม่ดี วิ่งมายืนที่หน้าตลิ่ง และก็มีผู้ชายคนหนึ่งนั่งห้อยขาอยู่บนหลังคาเรือยนต์ แล้วกวักมือบอกว่า "มึงเก่งจริงมาซิวะ"

    ผลที่สุดพวกนั้นมองเห็นคนบนหลังคาเรือเข้าจึงวิ่งหนีไปหมดเลย จึงถามคนบนหลังคาเรือว่า "เป็นใคร" ให้ลงมา ท่านบอกว่า "ท่านชื่อพรสวรรค์" และพวกที่มาเป็นพวก "ผีปอบ"

    ตอนเช้าถามพวกแถวนั้นว่ามีผีปอบไหม เขาบอกว่า "มีมาก"

    ผีปอบก็เป็นผีที่มีรูปร่างหน้าตาเหมือนคนธรรมดาอย่างพวกเรานี่เอง

    "ผ้ายันต์แดง" คือ "ผ้ายันต์มหาพิชัยสงคราม" นี่ผีปอบหนี อาตมาเคยใช้มาแล้ว และให้ขอบารมีท่านพรสวรรค์ท่านอยู่บนพระนิพพานแล้ว ให้ท่านช่วยสงเคราะห์เพราะท่านปราบผีเก่ง.."
     
  9. ตุปั๊ดตุเป๋ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2017
    โพสต์:
    425
    ค่าพลัง:
    +107
    ๖๘.ตายจากคนซึ่งอยู่ข้างๆ วัดบางนมโค จังหวัดพระนครศรีอยุธยาไปเกิดเป็นสัมภเวสี

    "..เมื่อวันที่ ๒๒ มกราคม ๒๕๑๖ ให้ชื่อเรื่องว่า "ผีนายดวง" นายดวงเป็นคนข้างๆ วัดบางนมโค อำเภอเสนา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ได้ทำปืนลั่นถูกตัวเองตาย

    เมื่อนายดวงตายแล้วก็เที่ยวอาละวาดแสดงตนให้ปรากฏอยู่เสมอ ต่อมาหลวงพ่อปานก็สั่งพระว่า ผีเจ้าดวงอาละวาดมากแต่ความจริงมันไม่ได้หลอกใครหรอก เป็นแต่เพียงว่ามันต้องการความช่วยเหลือ แต่หาคนช่วยเหลือจริงจังไม่ได้ ท่านจะช่วยเองโอกาสก็ยังไม่มี เพราะนายดวงยังไม่ได้แสดงตนให้ปรากฏเฉพาะท่าน ท่านสั่งว่าอย่าล้อเล่นกันเรื่องผีนะ ผีมันจะผสมเอา

    ผีเจ้าดวงอาละวาด
    ต่อมาวันหนึ่งท่านจะเดินทางไปก่อสร้างที่เขาวงพระจันทร์ ท่านไปพร้อมกับพระผู้ใหญ่ซึ่งเป็นพระสำคัญๆ ทั้งหมด เหลือแต่พระลูกวัด บรรดาพระทั้งหลายเหล่านั้นในเมื่อแมวไม่อยู่หนูก็จะคะนองเป็นเรื่องธรรมดา ตอนกลางคืนทำเป็นผีหลอกกัน บางคราวก็เอาผ้าคลุมส่งเสียงเป็นผีหลอกกันบ้าง บางทีก็เขียนหน้ากากทำเป็นผีแล้วก็ชูขึ้นตามหน้าต่างบ้าง ทำกันอย่างนี้อยู่หลายวัน

    อาตมากับเพื่อนอีกสององค์ก็เตือนพระเหล่านี้ แต่เพราะเป็นเพื่อนกันไม่ใช่ผู้บังคับบัญชาจึงบอกเขาว่า เรื่องนี้หลวงพ่อปานเตือนไว้แล้วนะพวกเรา อย่าทำเลยถ้าขืนทำดีไม่ดีเจ้าดวงมันจะผสม แต่เขาก็ไม่เชื่อเล่นเป็นแบบสนุกกันไป เมื่อเตือนแล้วเขาไม่รับฟังก็เลยปล่อยเขา อาตมากับเพื่อนอีกสององค์ก็เข้าไปอยู่ในป่าช้าตามสบาย

    เวลาล่วงเลยไปไม่กี่วันก็ปรากฏว่าผีเจ้าดวงอาละวาด เมื่อพระหลอกกันเล่นหลายๆ วันเข้าผีเจ้าดวงก็เริ่มผสม อันดับแรกพระบอกว่ากลางคืนนั่งฉันนํ้าร้อนกันอยู่ในกุฏิ เจ้าดวงก็โผล่ขึ้นมาทางหน้าต่างบ้าง ส่งเสียงเรียกทางด้านประตูบ้าง มาขอนํ้าร้อนกินบ้าง ขอนํ้าตาลกินบ้าง

    วันแรกๆ พระก็ยังคิดว่าเป็นพวกเดียวกัน ต่อมานั่งประชุมรวมกันถามว่า เมื่อคืนใครไปหลอกไปล้อเล่น ใครไปยืนทางหน้าต่างหรือว่าใครทำภาพผีโผล่ทางหน้าต่างบ้าง พระทุกองค์ก็บอกว่าไม่มีใครทำ แต่ว่าพระด้วยกันก็ยังสงสัยว่าบางทีพระด้วยกันจะปกปิดกัน

    ทีนี้มาคืนหนึ่งปรากฏว่าพระมานั่งรวมกันทั้งหมด ปรากฏว่าเจ้าดวงโผล่หน้ามาทางหน้าต่าง พระก็รวมตัวกัน คราวนี้รู้ตัวว่าการขัดคำสั่งผู้บังคับบัญชาเป็นของไม่ดีแสดงว่ากลัวขึ้นมาแล้ว จึงนอนรวมกุฏิเดียวกัน พอวันรุ่งขึ้นตอนกลางคืนไม่มีพระไปสวดมนต์เย็มตามปกติ ต่างมารวมอยู่กุฏิเดียวกัน เจ้าดวงมาเคาะประตูเรียก เมื่อเคาะเรียกหนักๆ เข้าพระก็ไม่ออกมา

    พอดีอาตมากับเพื่อนอีกสององค์ออกมาจากป่าช้าเห็นว่าวันนี้พระเงียบสงัดดี จึงหาพระตามกุฏิก็ไม่พบจนไปถึงกุฏิสุดท้าย ปรากฏว่าพระมานอนรวมกันอยู่ที่นั่น ก็เลยถามว่า "ทำไมถึงมานอนรวมกันอยู่ที่นี่ ไม่กระจายกันอยู่ ประเดี๋ยวใครก็มาลักของสงฆ์ไปหมด หลวงพ่อปานก็ไม่อยู่"

    พระก็บอกว่า "จะไปแยกกันอยู่ได้อย่างไร ในเมื่อเจ้าดวงมาอาละวาด" จึงบอกว่า "ก็ผมบอกพวกท่านแล้ว หลวงพ่อปานก็สั่งแล้ว แต่พวกท่านก็ขัดคำสั่งผู้บังคับบัญชา มันก็เป็นอย่างนี้แหละ โบราณท่านบอกไว้ว่าถ้าเดินตามผู้ใหญ่หมาไม่กัด พวกท่านพยายามหลีกทางจากผู้ใหญ่ เรื่องเจ้าดวงนี่หลวงพ่อปานท่านเตือนแล้วว่าท่านยังไม่มีโอกาสจะช่วยมัน ท่านก็ยังฝืนทำ"

    ขณะกำลังคุยกันอยู่นั่นเอง ผีนายดวงแสดงเดชมาเคาะประตูโครมๆ แล้วก็พูดว่า "ผม ดวงมาแล้วครับ ใครอยากจะรู้จักก็เชิญ"

    อาตมากับเพื่อนอีกสององค์รู้สึกว่ามีอาการชินกับผีอยู่สักหน่อย เพราะเชื่อแล้วว่าผีมีจริง โดนผีหลอกเสียจนชิน ทั้งสามองค์ก็พรวดพราดออกไปก็เห็นเจ้าดวงวิ่งหนี ก็เลยวิ่งกวดเจ้าดวงมันก็วิ่งไปทางป่าช้า ก็วิ่งตามกันไปรวมทั้งพระทั้งหลายก็มีกำลังใจวิ่งตามไปด้วย

    พอไปถึงโลงศพที่เขาเก็บมันไว้มันก็วิ่งเข้าไปในโลงศพพอดี ก็เลยไปยืนล้อมกันแล้วก็บอกว่า "ดวง นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปอย่าอาละวาดอีกนะ ถ้าต้องการอะไรก็บอกฉันหรือพวกฉัน ฉันจะให้เธอ การที่เธอทำแบบนี้ไม่มีประโยชน์อะไร" ศพที่นอนอยู่ในโลงนั้นมันก็เงียบไม่มีเสียงพูด

    ก็เลยสั่งพระบอกว่า "นิมนต์กลับไปสวดมนต์ตามปกติ และเวลากลางคืนยามว่างควรจะภาวนา พุทโธ ธัมโม สังโฆ เสียบ้างก็ดี พวกท่านนี้ไม่เอาถ่านเลย บวชเข้ามาแล้วแบบนี้มันก็ลงนรกหมด เพราะว่าพระจะต้องศึกษาอธิศีลสิกขา อธิจิตสิกขา อธิปัญญาสิกขา แต่ว่าพวกท่านทำตนเป็นฆราวาส ผีสางนางไม้ดูถูกดูหมิ่นกันหมด อย่างนี้ก็แย่"

    บรรดาพระก็ไม่ว่าอะไรก็เดินกลับกุฏิ ก็เลยบอกว่า "นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปทุกองค์นอนประจำกุฏิของท่าน ไม่ต้องกลัว ผมรับรองว่าเจ้าดวงมันไม่อาละวาดท่านอีก ถ้ามันจะแสดงอะไรมันก็ต้องแสดงกับผมสามองค์" ตอนเช้าถามพระว่า "นอนหลับไหม" ทุกองค์ตอบว่า "ไม่ค่อยจะหลับเพราะหวาดเจ้าดวง"

    นับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมาเจ้าดวงมันก็เงียบ ต่อมาอีกประมาณเดือนเศษหลวงพ่อปานก็กลับวัด อาตมาก็รายงานให้ท่านทราบ ท่านก็บอกว่านางตะเคียนไปบอกว่าลูกศิษย์ไม่เชื่อฟังท่าน แกก็เลยปล่อยให้เจ้าดวงมาปราบ เมื่อคนพูดกันไม่รู้เรื่องก็ต้องปล่อยให้ผีสอนเสียบ้าง

    วันนั้นตอนใกล้คํ่าท่านก็เดินไปที่กุดังไปจำวัดตามปกติ เวลาใกล้ ๒ ทุ่ม ท่านถึงจะกลับ อาตมากับเพื่อนสององค์ก็ไปรับท่านที่กุดังช่วยถือกานํ้า ถือหมอน ถือเสื่อของท่านเอามาเก็บที่กุฏิเพราะท่านจะกลับมาจำวัดที่กุฏิ

    พอไปถึงท่านก็ยิ้มบอกว่า "ข้าเก็บเจ้าดวงแล้ว เวลาที่ข้าเดินมา เจ้าดวงมันโผล่ขึ้นมาข้างๆ ทาง หัวมันใหญ่เท่าพ้อมเห็นจะได้เข้ามาถามว่า "ท่านจะไปไหน" ข้าก็เลยบอกว่า "ข้าจะไปนอน" แล้วมันก็หายไป พอข้าเข้าไปนอนในกุดังมันก็โผล่หน้านอกประตู ทำหัวใหญ่มากและต่อจากนั้นก็ทำตัวเท่าคนธรรมดา แล้วก็นั่งลงกราบท่านบอกว่า "ลำบากมากต้องการให้ท่านสงเคราะห์"

    สัมภเวสี ต้องอุทิศส่วนกุศลเฉพาะบุคคล
    ข้าก็เลยบอกว่า "ในฐานะที่เจ้าดวงมันเป็นสัมภเวสีนี่ช่วยง่าย ข้าก็เลยอุทิศส่วนกุศลให้แก่มัน" แล้วมันก็กราบ ๓ หน พอกราบครั้งที่ ๓ ลุกขึ้นมาปรากฏว่าร่างกายของเจ้าดวงสวยมาก แล้วบอกว่า "นับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปมันมีความสุขแล้ว จะไม่รบกวนใคร"

    ท่านก็ถามว่า "เอ็งรบกวนเขาทำไม" เจ้าดวงตอบว่า "ความจริงไม่ได้ตั้งใจจะหลอก การที่ไปหาใครหรือทำให้ใครเห็นและก็บอกว่าชื่อเจ้าดวงประกาศให้ฟังทุกราย ก็เพื่อให้เขาทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้

    แต่หลายคนที่เขาทำบุญอุทิศส่วนให้เขาก็ว่า ยังกิญจิบ้าง อิมินาบ้าง ก็ไม่มีโอกาสจะได้รับ เพิ่งได้รับจากหลวงพ่อปานวันนี้เอง" เพราะว่าเวลาหลวงพ่อปานท่านอุทิศส่วนกุศลให้สัมภเวสีก็ดี หรือผีที่มาขอส่วนบุญก็ดี ท่านสอนว่าอย่าไปว่าภาษาบาลีให้ว่าภาษาไทยชัดๆ และก็อุทิศส่วนกุศลเฉพาะบุคคลที่จะพึงให้ ถ้าหว่านสาดๆ ไปคนที่มีกรรมหนักนิดหนึ่งก็ไม่มีโอกาสได้รับ หากให้เฉพาะเจาะจงเขาก็มีโอกาสได้รับ.."
     
  10. ตุปั๊ดตุเป๋ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2017
    โพสต์:
    425
    ค่าพลัง:
    +107
    ๖๙.หลวงพ่อวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ มรณภาพแล้วท่านไปพระนิพพาน

    “..ขึ้นไปพระจุฬามณีเจดียสถาน บนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก พอจะเข้าประตูก็พบพระอรหันต์องค์หนึ่งออกมา ท่านคือ หลวงพ่อวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ ถ

    ามท่านว่า “หลวงพ่ออยู่ที่ไหนครับ” ท่านบอกว่า “แกเสือกบอกเขาแล้วว่า ข้าไปอยู่นิพพาน แกมาถามข้าทำไม” ถามต่อว่า “หลวงพ่อไปหรือเปล่า ถ้าไม่ไปผมโกหกเขานะ”

    ท่านตอบว่า “ไม่โกหกหรอก ข้าไปนิพพานแน่” เรื่องที่เขาพูดหาว่าข้าเป็นพระพุทธเจ้าองค์ใหม่ ที่ตั้งฐานกำหนดลมไว้ ๗ ฐาน เกินพระพุทธเจ้า เพราะพระพุทธเจ้าท่านกำหนดไว้ ๓ ฐาน เขาเลยหาว่าข้าแข่งบารมีกับพระพุทธเจ้า แต่ความจริงเจตนาข้ามันเป็นอย่างนี้

    ไอ้คนจิตฟุ้งซ่าน ถ้าจะมีอารมณ์จิตเป็นสมาธิจะต้องจับหลายๆ แห่ง เพราะต้องระวังมากอารมณ์ถึงจะทรงอยู่ นี่เขาไม่สนใจกัน มีแกคนเดียวที่เข้าใจดี และกายเทพ กายพรหม กายธรรม กายนิพพานก็เหมือนกัน ก็มีแกคนเดียวที่เข้าใจข้า นอกนั้นเขาหาว่าข้าบ้า เอาเรื่องที่พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนมาสอน”

    กายทิพย์ หมายความว่า ได้อุปจารฌานเล็กน้อย จัดเป็นกายทิพย์

    กายเทพ ก็เข้าถึงจุดอุปจารฌาน จะเกิดเป็นเทวดาชั้นยามาได้เหมือนกัน ถ้าพูดถึงกายภายในเหมือนกันหมด

    กายพรหม ก็เป็นที่ทรงฌานได้ครบองค์ฌาน พอตายแล้วไปเป็นพรหม ก็เลยเรียกว่ากายพรหม

    กายธรรม ก็หมายถึงว่า ได้อริยเจ้า

    กายนิพพาน ก็หมายถึงว่า คนนั้นได้อรหันต์แล้ว

    ท่านบอกว่า “มีแกคนเดียวที่พอพูดให้ชาวบ้านเขาฟัง มันตรงตามความประสงค์ของข้านอกนั้นเขาหาว่าข้าบ้าๆ บอๆ บางคนหาว่า อวดอุตตริมนุสสธรรม ข้าก็ไม่ว่าอะไรเขาหรอก”

    หลังจากนั้นอาตมาก็ลาท่านเข้าไปในพระจุฬามณี วันนี้พระอรหันต์เต็มเอี๊ยด พรหมออกมาหมดแล้ว เทวดาก็ยังไม่กลับ พระอรหันต์เหมือนเอาดาวไปวางไว้สวยสะพรั่ง ร่างกายเป็นเหมือนแก้ว พระอรหันต์นิพพานแล้วบ้าง พระอรหันต์คนบ้าง ก็สวยเหมือนกัน พระพุทธเจ้าทรงเปล่งฉัพพรรณรังสีต่างๆ สวยมาก..”
     
  11. ตุปั๊ดตุเป๋ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2017
    โพสต์:
    425
    ค่าพลัง:
    +107
    ๗๐.ตายจากมหาเศรษฐีที่ "ความชั่วไม่มี ความดีไม่ปรากฏ" ไปเกิดเป็นลูกคนขอทาน

    "..อาตมาได้นำพระสูตรที่พระพุทธเจ้าตรัสเอง และพระอานนท์ท่านก็ได้เห็นและได้ยินเองด้วย เป็นเรื่องของบุคคลที่เกิดมาแล้ว "ความชั่วไม่มี ความดีไม่ปรากฏ" เรื่องนี้มีบรรดาพุทธบริษัทพูดกันมากว่า

    ถ้าเกิดมาแล้วเราไม่ควรทำความชั่วและเราก็ไม่สร้างบุญสร้างกุศล จะมีผลเป็นประการใด จึงขอนำเรื่องราวในสมัยเมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่ สมัยนั้นพระพุทธเจ้าทรงเทศน์สอนถึงเรื่องบาปบุญ คุณโทษ ประโยชน์มิใช่ประโยชน์ การทำความดีและความชั่วตายแล้วมีผลเป็นประการใด

    ในสมัยนั้นก็มีท่านมหาเศรษฐีท่านหนึ่งคือ ท่านอานันทเศรษฐีมีทรัพย์ ๘๐ โกฏิ ท่านมีความรู้สึกว่าทรัพย์สินของท่านที่ได้มานี้ชาวบ้านไม่ได้ให้ท่าน เป็นทรัพย์ของวงศ์ตระกูลท่านสร้างขึ้นมาแล้วก็ปกครองกันเป็นทอดๆ

    เรื่องอะไรที่เราจะไปเชื่อพระพุทธเจ้าซึ่งเป็นศากยบุตรออกมาบวช แล้วยุยงให้ชาวบ้านมาบำเพ็ญทาน แจกทรัพย์แจกสินของตนให้แก่บุคคลอื่น คนทั้งหลายเหล่านี้ไม่เคยมาช่วยเราหา ไม่เคยมาช่วยเราทำ เราจะไปให้เพื่อประโยชน์อะไร และขึ้นชื่อว่าบาปบุญคุณโทษใดๆ ท่านก็ไม่ทำ ปาณาติบาต อทินนาทาน กาเมสุมิจฉาจาร มุสาวาท สุราเมรัย ท่านไม่เคยละเมิด เรียกได้ว่า "ความชั่วไม่มี ความดีไม่ปรากฏ"

    ถ้ามองกันในฐานะของคนธรรมดาก็รู้สึกว่าท่านจะเป็นคนดีมาก ถึงแม้ว่าจะเป็นคนขี้เหนียวก็ตาม

    ไปเกิดเป็นลูกคนขอทาน
    ในสมัยที่พระพุทธเจ้ายังไม่นิพพาน ท่านอานันทเศรษฐีก็ตายจากความเป็นคน จิตที่ออกจากร่างกายคือกายภายในที่นักอภิธรรมเรียกกันว่า "นามธรรม" มันออกจากร่างนี้ก็ไปหาร่างใหม่ ในตระกูลเศรษฐีก็เข้าไม่ได้เพราะไม่มีทานบารมี จะไปเข้าท้องเมียของข้าราชการก็ไม่ได้มันสบายเกินไป เดินไปเดินมาก็หาได้ที่เหมาะสมกับตัวที่สุดคือ ท้องของคนขอทาน

    ขณะเมื่อเข้าไปอยู่ในครรภ์ของหญิงขอทาน ตอนเช้าบรรดาขอทานทั้งหลายก็พากันยกขบวนไปขอทาน ทุกวันเคยได้อาหารเงินทองมากมาย วันนั้นแต่ละคนไม่มีใครได้เลย อานุภาพของความชั่วไม่มี ความดีไม่ปรากฏแสดงแล้ว

    ขอทานทั้งหมดไม่มีใครได้อะไร ตอนเย็นกลับมาถึงที่พักหัวหน้าใหญ่ของขอทานก็เรียกประชุมประกาศว่า คนกาลกิณีคงจะปรากฏขึ้นอยู่ในหมู่ของเราแล้ว พวกเราขอทานไม่เคยอดแต่คราวนี้อดหมดทุกคนน่าสงสัย

    ฉะนั้น ในวันพรุ่งนี้พวกเราจงแบ่งกันเป็น ๒ พวก พอตอนเช้าก็แบ่งกันเป็น ๒ พวก พวกที่แม่ของท่านอานันทเศรษฐีที่เข้าไปอยู่ในท้องไม่ได้ไปด้วย พวกนั้นได้ของมากมายเหลืกกินเหลือใช้ ส่วนพวกที่แม่ของท่านอานันทเศรษฐีไปด้วยไม่ได้อะไรเลย

    หัวหน้าขอทานเริ่มสงสัย ตอนนี้ก็แบ่งกันไปแบ่งกันมาจนเป็นรายบุคคล เป็นอันว่าคนอื่นขอทานได้หมด แต่คนที่ท่านอานันทเศรษฐีเข้าไปอยู่ในท้องหาอะไรไม่ได้เลย เขาก็เลยรู้กันเลยว่าไอ้เจ้าเด็กคนที่มาเกิดในท้องของหญิงคนนี้คงเป็นเด็กจัญไร ทำให้คนอื่นไม่ได้กิน ทำให้คนที่เป็นแม่ก็พลอยไม่ได้กินไปด้วย

    ฉะนั้นหัวหน้าขอทานจึงสั่งระงับว่า แม่ของเด็กคนนี้ไม่ต้องออกไปขอทานจนกว่าจะคลอดบุตร ให้อยู่กับที่คนอื่นได้มาก็เลี้ยงกัน อาศัยได้กินจากบุญของคนอื่น

    ต่อมาเมื่อท่านอานันทเศรษฐีคลอดจากครรภ์มารดา วันไหนถ้าแม่พาลูกชายไปขอทานด้วย วันนั้นไม่ได้อะไรเลย แต่วันไหนถ้าไม่พาลูกชายไปวันนั้นได้

    เมื่อเด็กคนนั้นโตขึ้นเดินแข็งแรงแล้วอายุประมาณ ๓-๔ ขวบ แม่ก็ขับออกจากสำนักว่าเจ้าเป็นคนจัญไร พาให้แม่อด แล้วนำเอากระเบื้องแตกๆ สำหรับเป็นเครื่องมือขอทานใส่มือให้ แล้วก็ไล่ลูกไปหากินเองตามลำพัง

    สามารถระลึกชาติได้ ๑ ชาติ
    ท่านอานันทเศรษฐีคนนี้แกตายจากคนแล้วก็เกิดเป็นคน จึงเป็นคนที่ระลึกชาติได้ชาติเดียว เพราะมีสภาพเหมือนคนนอนหลับแล้วก็ตื่นขึ้น เรื่องราวต่างๆ ก่อนหลับทำอะไรไว้บ้างที่ไหนเราจำได้ฉันใด

    คนที่ตายจากคนแล้วไปเกิดเป็นคนก็มีสภาพเหมือนคนนอนหลับแล้วก็ตื่น ระลึกชาติได้ว่าก่อนที่เราจะมาเกิดเป็นเด็กตอนนั้นเราเป็นมหาเศรษฐีมีทรัพย์สมบัติมาก วันนี้แม่ไล่เราออกจากสำนักเราก็จะกลับไปบ้านของเรา

    การระลึกชาติได้ชาติเดียวนี่ไม่ต้องเจริญสมถกรรมฐานและวิปัสสนากรรมฐาน เพราะว่ายังไม่ลืมสภาพเดิม ส่วนคนอื่นๆ ที่เกิดมาแล้วไม่รู้สภาพเดิมว่าชาติก่อนนี้มาจากไหน ก็เพราะว่าไม่ใช่ตายจากคนแล้วเกิดเป็นคนทันที

    ตายจากคนอาจย่องไปนรกเสียนาน ไฟเผาเสียประสาทเสื่อมไป แล้วก็มาเกิดเป็นเปรต เป็นอสุรกาย เป็นสัตว์เดรัจฉาน มันนานเหลือเกินประสาทต่างๆ มันก็ลืม สัญญาต่างๆ มันก็ลืมหมดเลยระลึกชาติไม่ได้

    ส่วนคนที่ตายจากคนแล้วเกิดเป็นคน ระลึกชาติเดิมได้ทุกคนไม่ใช่ของยาก เมื่อท่านอานันทเศรษฐีเด็กระลึกได้ว่าเคยเป็นมหาเศรษฐีใหญ่ บ้านอยู่ที่ไหนท่านก็เดินไปตามทางสายนั้น ตอนเช้าไปถึงประตูบ้าน

    เวลานั้นลูกชายคนโตเป็นมหาเศรษฐีแทน พระราชาทรงแต่งตั้งตำแหน่งมหาเศรษฐีให้ สมัยนั้นคนที่จะเป็นมหาเศรษฐีต้องพระราชาแต่งตั้งแล้วก็มอบฉัตรให้ และมีโอกาสได้เข้าเฝ้าพระเจ้าแผ่นดินเหมือนขุนนางทั้งหลาย

    เมื่อไปถึงประตูบ้านท่านก็จะเข้าบ้าน ยามหน้าประตูก็ไม่ยอมให้เข้าเพราะรูปร่างคล้ายๆ กับผีเหมือนปีศาจคลุกฝุ่น เขาไม่ให้เข้าท่านก็ดึงดันจะเข้า เวลานั้นพอดีพระพุทธเจ้าเสด็จไปบิณฑบาตกับพระอานนท์พอดี

    เมื่อองค์สมเด็จพระบรมโลกนาถเห็นอานันทเศรษฐีผู้เป็นเด็ก พระองค์ก็ทรงแย้มพระโอษฐ์ ตามธรรมดาพระพุทธเจ้าถ้าไม่มีเรื่องหน้าท่านเฉยๆ ถ้ามีเหตุจึงจะยิ้ม

    ท่านพระอานนท์ก็สงสัย ทูลถามองค์สมเด็จพระจอมไตรว่า "เวลานี้พระองค์แย้มพระโอษฐ์ มีเหตุอะไรหรือพระพุทธเจ้าข้า" พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า "เธอเห็นอานันทเศรษฐีไหม" พระอานนท์ก็มองไปมองมา

    ความจริงท่านเคยรู้จักอานันทเศรษฐี ก็ทูลตอบพระองค์ว่า "ไม่เห็นพระพุทธเจ้าข้า เห็นแต่เด็ก" พระพุทธเจ้าจึงได้ตรัสว่า "เด็กคนนั้นแหละคืออานันทเศรษฐี" ท่านพระอานนท์ก็สงสัยจึงกราบทูลว่า "อานันทเศรษฐีตายไป ๓-๔ ปีแล้วพระพุทธเจ้าข้า"

    พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า "ใช่ อานันทเศรษฐีตายแล้วแต่ไปเกิดเป็นคน เป็นลูกของคนขอทาน คนที่ยืนจะเข้าบ้านที่นายประตูผลักไสอยู่นั่น ถ้าอยากจะทราบความจริงก็จงเรียกลูกชายคนโตที่เป็นเศรษฐีอยู่เวลานั้น"

    ท่านพระอานนท์จึงสั่งนายประตู "เรียกนายของท่านลงมา เวลานี้พระพุทธเจ้าต้องการพบ" นายประตูก็ไปตามนายมา

    เมื่อลูกชายท่านอานันทเศรษฐีเห็นพระพุทธเจ้าก็มีความเลื่อมใส ไม่เหมือนพ่อ จึงกราบถวายนมัสการ พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า "ดูก่อนมหาเศรษฐี เธอรู้จักพ่อเธอไหม" เขาก็ตอบว่า "รู้จักพระพุทธเจ้าข้า" พระองค์ก็บอกว่า "เด็กคนนี้คือพ่อของเธอ"

    ท่านเศรษฐีหนุ่มตกใจกราบทูลว่า "ไม่ใช่พระพุทธเจ้าข้า เพราะว่าบิดาของข้าพระพุทธเจ้าตายไป ๓-๔ ปีแล้ว เวลานี้ข้าพระพุทธเจ้าเป็นมหาเศรษฐีแทน"

    ความชั่วไม่มี ความดีไม่ปรากฏ
    พระพุทธเจ้าจึงได้ตรัสว่า "เรื่องนั้นเป็นความจริงแต่ว่าพ่อของเธอออกจากร่างที่ตายไปแล้วไปเข้าสู่ครรภ์ของขอทาน เพราะโทษที่ความชั่วไม่มี ความดีไม่ทำ เมื่อกินบุญเก่าก่อนที่จะมาเป็นมหาเศรษฐีได้เพราะให้ทานมามาก พอเป็นเศรษฐีเข้าจริงๆ กลับไม่ให้ทาน กินบุญเก่าเสียหมด ก็เลยเป็นคนจน"

    ท่านมหาเศรษฐีใหม่ฟังแล้วก็สงสัย พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า "เด็กคนนี้คืออานันทเศรษฐีบิดาของเธอ" เขาก็เลยไม่เชื่อ พระพุทธเจ้าจึงบอกว่า "จะพิสูจน์ให้ดู" พระองค์จึงเรียกเด็กคนนั้นว่า "อานันทเศรษฐีจงมาหาตถาคต"

    เด็กคนนั้นพอได้ยินเท่านั้นก็เดินมาไหว้พระพุทธเจ้า พระองค์จึงถามว่า "อานันทเศรษฐี ทรัพย์สินของเธอ ก่อนที่จะตายจากความเป็นมนุษย์ที่ฝังไว้แล้วยังไม่ได้แจ้งให้ลูกชายทราบมีอีกไหม" ท่านอานันทเศรษฐีเด็กก็กราบทูลว่า "เงินก็มี ทองก็มี แก้วแหวนเพชรนิลจินดาก็มี ของทั้งหมดมีราคาเป็นเรือนโกฏิๆ"

    พระพุทธเจ้าจึงได้มีพระพุทธบัญชาว่า "ถ้าอย่างนั้นจงพาลูกชายไป และก็ชี้สถานที่ที่ท่านฝังทรัพย์นั้นไว้ และให้ลูกชายขุดเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าเป็นความจริงเพียงใด" ท่านอานันทเศรษฐีก็เรียกลูกชายบอกว่า "จงตามพ่อมา"

    แล้วเดินไปข้างหน้าชี้ลงไปที่แผ่นดินบอก "ให้คนรับใช้ขุดลงไปตรงนี้ พ่อฝังทองไว้ ๓ ตุ่ม เป็นทองแท่ง ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์" ขุดไม่ลึกนักก็ปรากฏได้ทอง ๓ ตุ่ม แล้วเดินไปอีกหน่อยหนึ่งก็ชี้บอก "ตรงนี้พ่อฝังเงินไว้หลายตุ่ม" เขาก็ขุดพบแล้วก็ชี้ไป "ตรงโน้นมีแก้วแหวนเพชรนิลจินดา พ่อฝังไว้มากจงให้คนขุด" ปรากฏว่าได้อีกมาก

    เป็นอันว่าตอนนี้ลูกชายของท่านอานันทเศรษฐีเชื่อแล้วว่าเด็กคนนี้คืออานันทเศรษฐีพ่อของแก เพราะผลความจริงปรากฏ ก็เลยรับภาระเลี้ยงพ่อต่อไป

    จากเรื่องนี้แสดงให้เห็นว่าเมื่อตายจากความเป็นมนุษย์ จิตจะออกจากร่าง ร่างกายที่ทรงอยู่นี้เรามีโอกาสอาศัยได้เพียงชั่วคราวเท่านั้น เมื่อถึงกาลถึงสมัยมันก็พังทลายลง เมื่ออาศัยมันไม่ได้เราก็ไป คำว่า "เรา"

    ในที่นี้ก็คือ จิตหรืออทิสสมานกาย คือกายอีกกายหนึ่งซึ่งสิงอยู่ในกายเนื้อ เป็นผู้บัญชาการให้กายเนื้อพูด กายเนื้อทำ กายเนื้อคิด ความจริงกายเนื้อมีสภาพเป็นหุ่น ที่มันทำอะไรได้ก็เพราะอาศัยจิตหรือที่เรียกกันว่าอทิสสมานกาย เป็นกายที่เราไม่สามารถจะเห็นได้ด้วยตาเนื้อ กายภายในคือจิตเป็นผู้มีอำนาจสั่งการเป็นจอมบงการ เมื่อเวลาร่างกายนี้พังคือตาย จิตหรืออทิสสมานกายก็หาที่ไป

    คนที่ทำความดีจิตก็ไปสู่สถานที่ที่มีผลความดีบันดาล

    คนที่ทำความชั่วจิตก็ไปสู่สถานที่ที่ผลของความชั่วบันดาล.."
     
  12. ตุปั๊ดตุเป๋ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2017
    โพสต์:
    425
    ค่าพลัง:
    +107
    ๗๑.ในชาติก่อนซ่อมพระพุทธรูปที่ปรักหักพัง ตายแล้วมาเกิดเป็นคนที่มีความสาวความสวยไม่เปลี่ยนแปลงจนอายุ ๑๒๐ ปี

    "..พูดถึงคนสวยชั้นยอด ว่ากันแค่ร่างกายภายนอก อย่ามองเข้าไปถึงกระเพาะ ตับ ไต ไส้ ปอด ภายในร่างกายเพราะมันเต็มไปด้วยความสกปรกน่าเกลียด ไม่มีความสวย ในที่นี้หมายถึงรูปร่างภายนอกไม่เปลี่ยนแปลง คลอดบุตรคนแรกสวยขนาดไหนก็เป็นสาวขนาดนั้นจนกระทั่งถึงวันตาย

    อานิสงส์ซ่อมพระพุทธรูป
    ตัวอย่างก็คือ พระนางวิสาขามหาอุบาสิกา ท่านสวยด้วยอำนาจเบญจกัลยาณี ตามที่ท่านเจ้าคุณราชเมธี วัดประยูรวงศาวาส ท่านแต่งเป็นคำกลอนไว้ว่า

    งามผมสมพักตร์ลักขณา งามโอษฐาจิ้มลิ้มดูพริ้มเพรา

    งามทนต์ยลปลั่งดังสังข์ขัด ผิวทัดกณิการ์งามราศี

    คลอดบุตรสักเท่าไรวัยยังดี หญิงเช่นนี้ใครได้มางามหน้าเอย

    คำว่า "งามผมสมพักตร์ลักขณา" ก็เพราะว่าผมจะเรียบอยู่ตลอดเวลา ถ้าต้องการให้เป็นคลื่นก็จะเป็น และก็เรียบโดยไม่ต้องหวี ไม่ต้องแต่ง และก็จะยาวไม่มากถ้ายาวไปถึงเอวก็จะช้อนงอนขึ้นไม่ยาวลากดิน ผมก็ไม่เหม็นสาบเหม็นสาง ไม่ต้องสระไม่ต้องล้าง

    คำว่า "โอษฐาจิ้มลิ้มดูพริ้มเพรา" ก็เพราะว่าริมฝีปากแดงระเรื่อไม่แดงมากนัก แล้วเรียบไม่มีริ้วไม่มีรอย ปากสวย

    คำว่า "งามทนต์ยลปลั่งดังสังข์ขัด" ก็เพราะว่าฟันเรียบแลดูเป็นเงาเหมือนมุกน่าชม ไม่ต้องใช้แปรงสีฟัน ไม่ต้องขัด ไม่ต้องแต่ง

    คำว่า "ผิวทัดกณิการ์งามราศี" ขึ้นชื่อว่าผิวไม่มีไฝไม่มีฝ้า ถ้าขาวก็ขาวเนื้อละเอียดดี ถ้าดำก็ดำนวลๆ เรียกว่าพอสวยสำหรับในสมัยที่เขาต้องการ

    คำว่า "คลอดบุตรสักเท่าไรวัยยังดี" หมายความว่าเวลาที่คลอดบุตรคนแรกอายุเท่าไร ท่านคลอดบุตรคนแรกอายุ ๑๖ ปี แล้วก็เลยเป็นสาวแค่ ๑๖ อยู่แบบนั้น ร่างกายไม่เปลี่ยนแปลงอีกต่อไปจนกระทั่งอายุ ๑๒๐ ปี

    พระนางวิสาขามีบุตรหญิง ๒๐ คน แล้วบุตรหญิงของท่านคลอดบุตรมาอีกคนละ ๒๐ คน ระหว่างที่บรรดาหลานๆ เป็นสาวคราว ๑๕-๑๖ ปี ท่านวิสาขานั่งอยู่ท่ามกลางหลาน ท่านชีวกโกมารภัจนำพระเจ้าปเสนทิโกศลไปดู อยากจะทราบว่าพระนางวิสาขาคนไหน ก็ดูไม่ออกเพราะสาวเท่ากัน เรียกว่าท่านสาวเท่าอายุ ๑๖ ตลอดกาล

    อานิสงส์ที่พระนางวิสาขามหาอุบาสิกามีความสาวความสวยไม่เปลี่ยนแปลง ก็เพราะว่าในชาติก่อนท่านซ่อมพระพุทธรูปที่ปรักหักพัง ทรุดโทรม คือมีผิวแตกทองลอกไปเสียแล้ว ท่านซ่อมพระพุทธรูปด้วยกุศลเจตนาจริงๆ เกิดมาชาตินี้จึงกลายเป็นคนสวย

    และการที่ท่านมีเครื่องประดับประกอบไปด้วยแก้วเพชรนิลจินดาและทองคำ เสื้อคลุมตั้งแต่ศีรษะถึงเท้า มีนกยูงรำแพน มีแก้วมณีตั้ง ๒๐ ทะนาน และมีแก้วประพาฬ แก้วอินทนิล อะไรต่ออะไรอีก เสื้อตัวนั้นไม่มีด้ายเลย ที่ทำเป็นด้ายก็ทำด้วยเงินหรือเป็นทองคำ ก็เพราะอาศัยถวายผ้าไตรจีวรไว้ในพระพุทธศาสนาในอดีตชาติ.."
     
  13. ตุปั๊ดตุเป๋ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2017
    โพสต์:
    425
    ค่าพลัง:
    +107
    ๗๒.ลักษณะของผีปลวก

    "..ผีปลวก ต้องเป็นปลวกรังใหญ่มากๆ เท่านั้น ไม่ใช่ทั่วไปทั้งหมด หลวงพ่อปานท่าน
    บอกอาตมาตอนออกธุดงค์ว่า

    ถ้าไปพบปลวกรังใหญ่ๆ ให้ปักกลดระหว่างกลางเลยและจะไม่มีอันตราย พอตอนดึกลุกขึ้นมาเจริญพระกรรมฐาน ก็มองเห็นเป็นคนนั่งขาวโพลน ตัวใหญ่ๆ ขาวทั้งตัว ตัวก็ขาว ผ้าก็ขาว หัวก็ขาว ผมก็ขาว หน้าตาใหญ่มาก ดูแล้วน่ากลัว

    ได้ยินเสียงเหมือนนั่งสวดมนต์พึมพำๆ ฟังแล้วสำเนียงเหมือนภาษาไทย แต่เมื่อฟังแล้วเราจะไม่รู้เรื่องเลย

    ความจริงพวกนี้เขาไม่ใช่ผีปลวก แต่เขาเป็นเทวดาชั้นจาตุมหาราชเป็นลูกศิษย์ของท่านท้าวมหาราช ถ้าท่านท้าวมหาราชจำกัดเขตให้อยู่ในเขตนี้เป็นที่อาศัยและให้มีอำนาจในเขตนี้ เขาก็จะมีอำนาจในเขตนั้นและก็ต้องอยู่จุดนั้น

    ถ้าหากว่าเราไปทำลายที่ตรงนั้น เขาก็จะเดือดร้อนคือไม่มีที่อยู่เพราะเขาหาที่อยู่เองไม่ได้นอกจากจุดนั้นที่เขาอยู่ ถ้าเขาโกรธเรา เขาทำให้ตายไม่ได้แต่ทำให้ป่วยได้ เป็นเฉพาะบางจุดเท่านั้น ที่คนโบราณเรียกกันว่า "จอมปลวก" ต้องเป็นรังใหญ่มากๆ เท่านั้น

    ได้มีผู้หญิงคนหนึ่งได้มาเล่าให้ฟังว่า ปวดหัวบ่อยและฉี่บ่อยด้วย นั่งเดี๋ยวๆ ไปเป็นอย่างนี้มาครึ่งปีแล้ว ไปไหนก็ไม่ได้ ทำงานทำการก็ไม่ไหว พอเธอเล่าจบภาพก็เกิด เห็นตัวขนาดใหญ่มากกว่าพระพุทธรูปสักครึ่งได้ ผมขาว

    จึงถามว่า "เป็นใคร" ตอบว่า "เขาเรียกผมว่าผีปลวก" ถามว่า "มาทำไม" เขาก็บอกว่า "ยายคนนี้บนผมไว้ ขณะทำนาเกี่ยวข้าวแล้ว ขโมยมาลักข้าวใกล้ๆ นา แกก็เลยบนผีปลวกให้ช่วย ผมก็ช่วย ขโมยจึงเข้าเขตไม่ได้ แต่แกก็ลืมแก้บน"

    จึงถามผู้หญิงคนนี้ว่า "จำได้ไหมว่าบนอะไรไว้" เธอตอบว่า "จำได้เจ้าค่ะ" ผีปลวกก็บอกว่า "ต้องปรับของแถมที่ผีปลวกชอบด้วยคือ หมูที่มีมันไม่ต้องชิ้นโตนัก นำมาต้ม ข้าวปากหม้อ และพริกสีแดงหั่นให้มากผสมไปกับของสองอย่างนั้น เป็นสิ่งที่ผมต้องการ" บอกว่า "ถ้าเจอผีปลวกที่ไหน แต่ต้องเป็นรังใหญ่มากๆ เท่านั้นนะ เขาต้องการอย่างนี้ ไม่แพงนะ.."
     
  14. ตุปั๊ดตุเป๋ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2017
    โพสต์:
    425
    ค่าพลัง:
    +107
    ๗๓.นายพลโตโจอดีตแม่ทัพใหญ่ของญี่ปุ่นสมัยสงครามโลกครั้งที่สองมาบอกหลวงพ่อว่า "ท่านไม่ตกนรก"

    "..วันที่ ๑๖ เมษายน ๒๕๓๒ อาตมาเดินทางไปสอนพระกรรมฐานที่ประเทศสหรัฐอเมริกา ขณะที่อยู่บนเครื่องบินเวลาในประเทศไทยประมาณตี ๒ มีอาการเคลิ้มเหมือนกับคนครึ่งหลับครึ่งตื่น เห็นภาพคนมากมายรอบๆ เครื่องบิน ห่างออกไปก็หนาแน่นมากเหมือนกับเป็นการห้อมล้อมเครื่องบินทั้งข้างล่าง ข้างบน

    ทุกคนสวยหมด หน้าตาก็ยิ้มแย้มแจ่มใส มีอาการสดชื่น เห็นชัดเจนมาก หลังจากนั้นก็มีภาพคน ๒ คนโผล่ขึ้นใกล้ๆ คนที่นั่งข้างหน้ารูปร่างลักษณะทรวดทรงดี หน้าตาดี แต่คนข้างหลังยืน ลักษณะเป็นคนสูงเพรียว

    ถามว่า "คุณชื่ออะไร" คนหลังตอบว่า "ผมคือนายพลโตโจครับ เป็นนายกรัฐมนตรีของญี่ปุ่น" ท่านคนหน้าก็ตอบว่า "ผมคือเจ้าชายโกโนเย"

    อันนี้ถ้าไม่ตรงกับประวัติศาสตร์ก็ขออภัยด้วย เพราะไม่ได้อ่านประวัติศาสตร์ตอนนี้

    สำหรับเจ้าชายโกโนเยไม่ได้สงสัยเพราะท่านไม่ได้ประกาศสงครามและไม่ได้เข้าสงคราม ส่วนท่านนายพลโตโจท่านสั่งทหารรบ ทหารของท่านก็ต้องตาย และทหารของคนอื่นก็ต้องตาย การรบของญี่ปุ่นเวลานั้นบุกหนักจริงๆ บุกแบบสายฟ้าแลบคล้ายเยอรมัน ทุ่มเทกำลังมาก ในเมื่อคนตายมากๆ อย่างนั้นก็แสดงว่าท่านนายพลโตโจก็ต้องบาป

    จึงถามท่านว่า "ในเมื่อท่านเป็นนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นสั่งทหารให้รบ ท่านเป็นแม่ทัพใหญ่ ทหารฆ่าใครกี่คนท่านก็ต้องบาปด้วย และทหารทุกคนที่ตายไปท่านก็ต้องบาปด้วย เขาต้องพลัดพรากจากพ่อ จากแม่ จากลูก จากเมีย จากบ้าน จากช่วงที่เขามีความสุข ท่านก็ต้องบาป แล้วเวลานี้ท่านมายืนอยู่ที่นี่ ท่านไม่ได้ลงนรกหรือ"

    สาเหตุที่ไม่ตกนรก
    ท่านนายพลโตโจก็ยิ้มแล้วบอกว่า "ท่านขอรับ เมื่อท่านพูดถึงบาปผมก็ยอมรับ เพราะประเทศญี่ปุ่นก็นับถือพระพุทธศาสนา ถึงแม้จะมีนิกายต่างกันเป็นมหายานก็ตาม แต่ก็มีบุญมีบาป มีสวรรค์มีนรกเหมือนกันหมด

    แต่ฝ่ายมหายานหนักไปทางด้านพระโพธิสัตว์หวังเป็นครูสอนศาสนา การสั่งให้คนไปตายก็บาป การสั่งให้คนไปฆ่าคนก็บาป แต่ที่ผมไม่ตกนรกก็เพราะผมรู้วันตายครับ" ก็เลยตกใจ เพราะคนที่รู้วันตายต้องเป็นคนที่มีกำลังฌานเข้มแข็งมาก มีความกล้าเป็นพิเศษจึงรู้วันตายได้

    จึงถามท่านต่อไปว่า "ท่านรู้วันตายหมายความว่าอย่างไร" ท่านตอบว่า "ในเมื่อผมเป็นอาชญากรสงคราม สหประชาชาติเขาสั่งให้ผมตาย ผมก็ต้องตาย แต่ว่าผมจะไม่ตายด้วยการทำ ฮาราคีรี คือไม่ได้ฆ่าตัวตาย

    วันที่เขาจะฆ่าผม ผมรู้คำสั่งของเขาล่วงหน้าว่าผมจะต้องตายวันนั้น ในเมื่อผมจะต้องตายจริงๆ ที่พึ่งของผมไม่มี บิดามารดาก็ช่วยผมไม่ได้ บุตรภรรยาก็ช่วยไม่ได้ ญาติพี่น้องมิตรสหายก็ช่วยไม่ได้ ทรัพย์สินต่างๆ ก็ช่วยไม่ได้ ตำแหน่งหน้าที่การงานก็ช่วยไม่ได้ ไม่มีอะไรจะคุ้มครองความตายได้ ผมต้องตายแน่

    ฉะนั้นสิ่งที่จะเป็นที่พึ่งของผมก็คือ พระ ผมนึกถึงพระคือพระพุทธเจ้า กับพระที่เคยเป็นครูบาอาจารย์ผม ผมก็นั่งนึกว่าผมต้องตายแน่ ร่างกายนี้มันต้องตาย

    พระญี่ปุ่นก็สอนกันว่า ตายแล้วมีสวรรค์เป็นที่ไป มีนรกเป็นที่ไป สำหรับคนทำดีหรือทำไม่ดี เวลานี้ผมนึกถึงพระ ผมมีความเคารพพระ การที่ผมต้องรบก็มีความจำเป็นต้องรบ ถ้าผมไม่รบ ผมเหลือนํ้ามันที่จะต้องใช้อีก ๒ เดือนก็หมด ประเทศญี่ปุ่นถ้าขาดนํ้ามันก็ไปไม่รอดเพราะเป็นประเทศอุตสาหกรรม จึงมีความจำเป็นต้องรบเพื่อทรงตัวรอด

    จึงสั่งประกาศสงครามกับฝ่ายข้าศึกและก็ลงมือรบกัน ขณะที่ผมจะตาย ผมนึกถึงพระ นึกถึงพ่อถึงแม่ นึกถึงใครต่อใครเสร็จ ก็รวบรวมกำลังใจว่า ขอให้พระช่วยไปสวรรค์ แล้วเขาก็ลงมือฆ่าผม ผมก็ตาย

    เมื่อตายแล้วผมก็ไปตามใจผมนึก ผมจึงไม่ตกนรก" แกก็ไม่ได้บอกว่าไปสวรรค์ บอกแต่ว่า "เป็นไปตามใจผมนึกแต่ผมก็ไม่ตกนรก" เป็นสำนวนของผี เมื่อพูดเท่านี้ ๒ ผีคือเจ้าชายโกโนเยกับท่านนายพลโตโจก็หายไป.."
     
  15. ตุปั๊ดตุเป๋ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2017
    โพสต์:
    425
    ค่าพลัง:
    +107
    ๗๔.คนชาติฝรั่งตายแล้วไปเกิดเป็นเทวดารักษาพื้นที่ที่ชิคาโก ประเทศสหรัฐอเมริกา

    "..เมื่อเดือนเมษายน ๒๕๓๒ อาตมาไปสอนพระกรรมฐานที่ประเทศสหรัฐอเมริกา ขณะที่ไปฉันเพลที่บ้าน คุณสมคิด อยู่ที่ชิคาโก เป็นบ้านปลูกใหม่ใหญ่โต หรูหรา เยือกเย็นเป็นที่น่ารื่นรมย์ใจ

    เวลาที่เขาถวายภัตตาหารเพลตอนถวายข้าวพระ ตามที่หลวงพ่อปานสั่งไว้ว่า เวลาก่อนฉัน ก่อนนอนและตื่นใหม่ๆ จะต้องนึกถึงพระ เป็นการบูชาพระพุทธ พระธรรม พระอริยสงฆ์ก่อน

    แต่เวลานั้นไม่ใช่เวลาเจริญพระกรรมฐาน ไม่ใช่เวลาเจริญฌาน ใช้กำลังใจนิดหน่อยควบคุมกำลังใจนึกถึงพระพุทธเจ้า นึกถึงพระธรรม นึกถึงพระอริยสงฆ์ เพราะท่านเป็นผู้มีคุณ เราห่มผ้ากาสาวพัสตร์ได้ก็เพราะอาศัยท่าน จิตก็สงบมีอารมณ์วูบเผลอ ก็ปรากฏเห็นคนๆ หนึ่งยืนหน้าโต๊ะเป็นฝรั่งรูปร่างสูงใหญ่ มีเนื้อเต็ม ท่าทางสุภาพมาก เข้ามาถึงแล้วก็ยกมือไหว้ จึงถามว่า "คุณเป็นใคร"

    เธอตอบว่า "ผมเป็นหัวหน้าใหญ่รักษาพื้นที่อยู่ที่นี่ครับ เวลานี้คุณสมคิดกำลังเจริญรุ่งเรือง ผมช่วยทุกอย่างตามความสามารถ" จึงถามว่า "คุณสมคิดกำลังจะทำอะไรอีกอย่างหนึ่ง คุณจะช่วยได้ไหม" เธอตอบว่า "ผมช่วยเต็มที่ครับ ถ้าสิ่งใดไม่เกินความสามารถ ขอให้คุณสมคิดบอกผมก็แล้วกัน ผมจะช่วย แต่ผมชอบอาหารอย่างนี้"

    ถามว่า "ชอบอะไร" เธอก็ทำภาพให้ดู เป็นหมูหั่นสีเหลี่ยมชิ้นเล็กๆ อยู่ในจาน แล้วบอกว่า "อันนี้เป็นอาหารที่ผมชอบมากครับ" ก็เลยบอกว่า "ขอบคุณ เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน เราเป็นคนไทยมาเยี่ยมคนไทยด้วยกัน ท่านเป็นฝรั่งท่านก็ยังมีเมตตากับคนที่เป็นคนไทย ช่วยทุกอย่างตามกำลังที่จะพึงช่วยได้ ก็ขอให้เมตตาช่วยต่อไปก็แล้วกัน"

    เธอก็บอกว่า "ไม่เป็นไรครับ "วันทโก ปฏิวันทนัง" ผู้ไหว้ย่อมได้ไหว้ตอบ "ปูชโก ลภเต ปูชัง" ผู้ได้บูชาแล้วย่อมได้รับการบูชาตอบ ถ้าต้องการให้ผมช่วย ขอให้คุณสมคิดช่วยผมด้วย คือจัดอาหารแบบนี้ให้ก็แล้วกัน"

    ถามว่า "ท่านทำบุญอะไรไว้จึงมีบุญวาสนาบารมีมากอย่างนี้ และก็มีเมตตาสงเคราะห์ไม่เลือกว่าคนไทยคนฝรั่ง" เธอก็บอกว่า "ผมเป็นนักทานบารมีครับ ให้ทานให้การสงเคราะห์คน เพราะอาศัยการสงเคราะห์คนอย่างนี้ เมื่อตายแล้วผมจึงมีความสุข"

    ถามว่า "ผลของการให้ทานพอใจหรือยัง" เธอตอบว่า "ยังครับ ผมให้ทานเบาไปนิด ความจริงผมให้ทานมากทำบุญมากแต่ว่าคนรับทานไม่ค่อยจะทรงธรรม ไม่ค่อยจะทรงศีล มีจริยาไม่ค่อยจะดีนัก" พูดจบแล้วฝรั่งคนนั้นก็หายไป

    เป็นอันว่าผลของการให้ทานกับคนที่ไม่ทรงศีลทรงธรรม ก็มีอานิสงส์ด้อยไปหน่อย วันต่อมาเมื่อคุณสมคิดมาหาอาตมาที่บ้านคุณหมอสุภรณ์ จึงถามว่า "พบฝรั่งคนนั้นแล้วหรือยัง" (คุณสมคิดฝึกมโนมยิทธิได้ดีมาก)

    คุณสมคิดตอบว่า "พบแล้วครับ" ถามว่า "เขาว่าอย่างไร" คุณสมคิดก็ตอบว่า ฝรั่งคนนั้นบอกว่า ถ้าต้องการให้ช่วย ให้ถวายหมูอย่างนั้นวันละจานทุกวัน จะช่วยเหลือทุกอย่าง.."
     
  16. ตุปั๊ดตุเป๋ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2017
    โพสต์:
    425
    ค่าพลัง:
    +107
    ๗๕.ตายจากคนอเมริกันที่ให้ทานกับคนที่มีศีลมีธรรมน้อยจึงไปเกิดเป็นภุมเทวดาที่มีบุญน้อยมาก

    "..ปี ๒๕๓๒ อาตมาไปสอนพระกรรมฐานที่ประเทศสหรัฐอเมริกา ขณะที่พักที่รัฐเวอร์จิเนีย เวลาประมาณตี ๒ เศษๆ ตื่นขึ้นมาครึ่งหลับครึ่งตื่น เห็นผู้ชายผอมๆ คนหนึ่งเดินล่องใต้ หลังจากนั้นก็มีผู้หญิงคนหนึ่งใส่หมวกเหมือนหมวกญวน รูปร่างท้วมๆ เดินสวนทางกับชายผู้นั้น

    ผู้ชายคนนั้นถือไม้คานมาแต่ผู้หญิงถือกระจาดมา พอถึงตรงหน้าผู้หญิงก็วางกระจาดเข้าไปแย่งไม้คานผู้ชาย ผู้ชายเกือบเสียท่าเพราะผอมกว่า ก็มีฝรั่งคนหนึ่งรูปร่างสูงโปร่งค่อนข้างผอมเดินออกไปจากที่พัก

    ไปห้ามสองคนนั่นให้เลิกแย่งไม้คานกัน พอฝรั่งคนนี้เดินไปใกล้จะถึงสองคนนั้น ต่างคนต่างแยกกันไป แสดงว่าเกรงใจฝรั่งคนนี้ เมื่อฝรั่งคนนี้เดินเข้ามา ก็ถามว่า "คุณเป็นภุมเทวดาที่นี่หรือ"

    เธอก็ตอบว่า "ใช่ครับ ผมเป็นภุมเทวดารักษาที่นี่" จึงถามว่า "คุณเอาบุญมาจากไหน ที่นี่ไม่ได้นับถือพระพุทธศาสนา และทำไมจึงเป็นเทวดาที่มีบุญน้อย ภุมเทวดาถือว่าเป็นเทวดาที่มีบุญน้อยกว่าเทวดาทั้งหมด คุณน่าจะบำเพ็ญกุศลให้มีบุญมากกว่านั้น" เธอตอบว่า "ในเมื่อผมมีเท่านี้ จะให้ผมได้ขนาดไหน" ถามว่า "คุณทำบุญอะไร"

    เธอก็ตอบว่า ในสมัยที่ผมเป็นมนุษย์ ผมเป็นคนอเมริกันเป็นคนรวยมาก ชอบทำบุญมากคือการให้ทาน แต่ทว่าผมให้ทานกับคนที่มีศีลมีธรรมน้อย คือศีล ๕ ไม่บริสุทธิ์ บางคนก็มี ๑ บ้าง ๒ บ้าง บางคนก็ไร้ศีลไร้ธรรม ธรรมะในการปฏิบัติก็ไม่มี เห็นแก่ตัวมาก

    ผมทำบุญมากคือให้ทานแบบนี้มาหลายปีเพราะเป็นคนรวย เมื่อตายจากความเป็นคน จึงมีอานิสงส์ไปเกิดเป็นเทวดาที่มีบุญน้อยมาก คือเป็นภุมเทวดา.."
     
  17. ตุปั๊ดตุเป๋ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2017
    โพสต์:
    425
    ค่าพลัง:
    +107
    ๗๖.ขุนสมาหารราชวัตรตายจากคนไปเกิดเป็นเทวดาสวรรค์เขตจาตุมหาราช

    "..ภุมเทวดา เป็นเทวดาในเขตภาคพื้นดินมนุษย์ ที่เราเรียกกันว่า "พระภูมิเจ้าที่"

    ภุมเทวดาหรือภูมิเทวดา ภูมิ แปลว่า แผ่นดิน เทวดา แปลว่า ผู้ประเสริฐ ก็คือผู้ที่มีความประเสริฐในแผ่นดิน

    สำหรับภุมเทวดานี้ถ้าดูให้ดีจะเห็นว่าท่านเดินกันเกลื่อนกลาดไปหมด เดินอยู่ใกล้ๆ แผ่นดินแต่ว่าเท้าไม่ถึงดิน ลอยอยู่เหนือพื้นดินเล็กน้อย แต่ไม่ใช่สูงขึ้นไปบนอากาศ ภุมเทวดาหน้าตาท่านสะสวยยิ้มแย้มแจ่มใส มีเครื่องแต่งตัวเรียบร้อยสวยงาม ผิวละเอียด ลีลาการเดินสวย แลดูสวยกว่าคนสวยในเมืองมนุษย์มาก

    มือขวาตั้งแต่ข้อมือลงไปถึงปลายนิ้วปรากฏว่าสีแดง และก็แดงไม่เสมอกันทุกองค์ บางองค์ก็แดงเข้ม บางองค์ก็แดงจางๆ ถ้ามือเป็นสีแดงเข้มแสดงว่ามีอานุภาพมากกว่าองค์ที่มีสีแดงจางๆ ฤทธิ์ของท่านอยู่ที่มือ ภุมเทวดามีวิมานเป็นที่อยู่ แต่วิมานลอยอยู่สูงกว่าแผ่นดินประมาณสักคืบหรือศอก ไม่ได้มีการปักเสาอยู่ติดพื้นดิน

    ตัวอย่างท่านภุมเทวดาที่อาตมาได้พบมา เทวดาองค์นี้แต่งกายสีขาวทั้งชุด เครื่องประดับก็สีขาว หน้าตาอิ่มเอิบยิ้มแย้มแจ่มใส ถามท่านว่า "มีนามว่าอะไร" ท่านตอบว่า "สมัยที่เป็นมนุษย์ชื่อ ขุนสมาหารราชวัตร"

    ในตอนปลายสมัยที่ท่านมีชีวิตอยู่ ท่านเกษียณลาออกจากราชการแล้ว ท่านปลูกบ้านอยู่ที่อำเภอธัญญบุรี จังหวัดปทุมธานี ชอบพอกับท่านและเคยไปพักบ้านท่าน ภรรยาของท่านคนหลังชื่อว่า "คุณสมถวิล"

    ขุนสมาหารราชวัตร เคยเล่าให้ฟังว่า เพื่อนของท่านคนหนึ่งก่อนจะตายเคยพบพระภูมิหรือภุมเทวดาซึ่งเคยเป็นเพื่อนกัน ตายไปแล้วไปเกิดเป็นภุมเทวดามาพบในฝันบอกว่า "เวลานี้เราไปเกิดเป็นภุมเทวดามีความสุขมาก และรู้ความลับของคนทุกคน บ้านไหนก็ตามถ้าเราจะเข้าไปเราเข้าได้ทุกวัน จะปิดประตูลงกลอนขนาดไหนก็ตามเราก็เข้าไปได้" ปรากฏว่าเพื่อนท่านขุนสมาหารราชวัตรก็ติดใจในการเป็นภุมเทวดา

    ท่านภุมเทวดาท่านนั้นก็บอกว่า "เพื่อนเอ๋ย จงตั้งใจทรงศีล ๕ ให้บริสุทธิ์เวลาอยู่ที่บ้าน ถึงเวลาวันพระก็ไปวัดรักษาอุโบสถศีลให้บริสุทธิ์ด้วยความเต็มใจ และก็ตั้งใจไว้ว่าเวลาตายขอเป็นภุมเทวดา"

    ความจริงการรักษาอุโบสถศีลหรือว่ารักษาศีล ๕ บริสุทธิ์ ตายแล้วเป็นอากาศเทวดาได้แบบสบายๆ แต่คนที่จะเป็นเทวดาชั้นสูงได้ ถ้าต้องการเป็นเทวดาชั้นตํ่ากว่านี่เขาไม่ห้ามสุดแล้วแต่ใจต้องการ แต่คนที่มีบุญบารมีเป็นเทวดาชั้นตํ่าอยากเป็นเทวดาชั้นสูง เป็นไม่ได้เขาห้าม จะต้องบำเพ็ญบารมีให้สมควรแก่ฐานะของเทวดาชั้นนั้นๆ

    เป็นอันว่าเพื่อนท่านขุนสมาหารราชวัตรก็เชื่อเพื่อนที่เป็นภุมเทวดาบอก จึงรักษาอุโบสถทุกวันพระ วันไหนไปวัดไม่ได้ก็ตั้งใจสมาทานที่บ้าน และวันปกติที่ไม่ใช่วันพระก็รักษาศีล ๕ บริบูรณ์จนกระทั่งตาย เมื่อตายแล้วก็ไปเกิดเป็นภุมเทวดา

    แล้วมาเข้าฝันท่านขุนสมาหารราชวัตรบอกว่า "เวลานี้เราเป็นภุมเทวดาสมความปรารถนาแล้ว เป็นสุขจริงๆ งานการไม่ต้องทำ มีเครื่องทิพย์เป็นเครื่องบริโภค เวลาใครจะทำอะไร เขาก็ต้องเซ่นสรวง ต้องไหว้ ต้องบูชา ดีกว่าเป็นคนมาก ไม่มีความหิว ไม่มีความกระหาย ความร้อน ความหนาว ความเหนื่อยกายไม่มี จะไปทางไหนนึกปั๊บเดียวก็ถึงทันที"

    ต่อมาท่านได้บอกว่า "ท่านตั้งใจจะไปอยู่กับเพื่อนที่มาชวน" หลังจากนั้นท่านก็ตั้งใจสมาทานศีล ๘ ทุกวันพระ วันปกติท่านก็รักษาศีล ๕ ครบถ้วน ในที่สุดท่านก็ตาย

    เมื่อตายได้ประมาณเดือนหนึ่ง ก็ไปที่บ้านท่านโดยไม่ทราบว่าท่านตายแล้ว คุณนายสมถวิลภรรยาท่านได้ถามว่า "เวลานี้ท่านขุนตายแล้ว ท่านไปเกิดเป็นภุมเทวดาหรือเปล่า" โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาท่านขุนมีชีวิตอยู่ท่านชอบเล่นหวย ๓ ตัว ภรรยาท่านก็ชอบเล่น

    ก็เลยบอกกับภรรยาท่านว่า "ลองนอนสักคืนหนึ่ง ตอนกลางคืนจะเชิญท่านขุนมา หากว่าท่านเป็นภุมเทวดาจริง หรือเป็นเทวดาชั้นอื่นจริงๆ ถ้าปรากฏแล้วจะลองขอหวยให้" เป็นอันว่าตอนกลางคืนก่อนนอนก็บูชาพระสวดมนต์ตามหน้าที่ของพระ

    เมื่อสวดมนต์เสร็จก็นึกในใจว่า "ท่านขุนอยู่ที่ไหน ท่านเป็นเทวดาหรือเป็นอะไรก็ตาม ถ้าหากสามารถมาได้ขอได้โปรดมาพบ" ปรากฏว่าไม่ทันจะหลับ พอเคลิ้มๆ จะหลับท่านขุนก็มาในร่างเดิมคือเป็นกายเนื้อสมัยมีชีวิตอยู่

    จึงถามว่า "เวลานี้ไปเกิดเป็นอะไร" ท่านตอบว่า "เป็นภุมเทวดา" ถามว่า "บุญวาสนาบารมีที่รักษาอุโบสถศีลก็ดี รักษาศีล ๕ ก็ดี พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่าเป็นอากาศเทวดาได้ คือจะอยู่ชั้นดาวดึงส์ได้แบบสบายๆ ทำไมจึงได้อยู่ที่นี่"

    ท่านก็รับรองบอกว่า "เป็นความจริงขอรับ แต่ก่อนที่จะตายจิตใจผมมันปักอยู่เฉพาะภุมเทวดา เมื่อเวลาตายจิตออกจากร่างจึงเป็นภุมเทวดา มีวิมานเป็นที่อยู่ และอารมณ์จิตก็รู้ในขณะนั้นเองว่า ถ้าเราไม่ได้ตั้งจิตเป็นภุมเทวดา เราจะไปอยู่ชั้นดาวดึงส์ได้แบบสบาย" ก็เลยถามต่อว่า "ท่านจะไปอยู่ชั้นดาวดึงส์ไหม" ท่านตอบว่า "ไป" ถามว่า "เมื่อไหร่จะไป"

    อายุของชั้นจาตุมหาราช
    ท่านตอบว่า "ต้องหมดอายุชั้นนี้เสียก่อน" ถามว่า "ชั้นนี้มีอายุเท่าไร" ท่านตอบว่า "ชั้นนี้เขาเรียกว่าอยู่ในเขตของชั้นจาตุมหาราช จะเป็นภุมเทวดาก็ดี รุกขเทวดาก็ดี เทวดาชั้นจาตุมหาราชก็ดี มีอายุ ๕๐๐ ปีทิพย์

    ถ้าจะเทียบกับเวลาในเมืองมนุษย์ก็ ๕๐ ปีมนุษย์เป็น ๑ วันของจาตุมหาราช และเดือนหนึ่งก็มี ๓๐ วัน ปีหนึ่งก็มี ๑๒ เดือนเหมือนกัน เมื่อครบ ๕๐๐ ปีทิพย์แล้วจึงจะไปเป็นเทวดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ได้ เพราะหมดเวลาที่จะอยู่ในที่นี้"

    บอกท่านว่า "คุณนายสมถวิลต้องการหวย ท่านขุนจะสงเคราะห์ได้ไหม และเคยมาบอกไหม" ท่านก็เลยบอกว่า "แม่หวินนี่ผมห่วงแกมาก ผมมาหาแกหลายครั้ง เคยมาบอกแกแต่แกไม่ได้ยิน มาหาก็ไม่เห็น พูดด้วยแกก็ไม่ฟังอาจจะไม่ได้ยิน เวลานี้ท่านมาก็ดีแล้ว ผมขอฝากหวยให้แกด้วยว่า คราวนี้หวยออก ๘๘๐ ท้ายรางวัลที่ ๑"

    พอตอนเช้าก็บอกคุณนายตามนี้ ปรากฏว่าหวยออกตรงจริงๆ

    แสดงให้เห็นว่าการตั้งใจทำความดีและการตั้งจิตไว้ก่อนตาย ว่าต้องการจะเกิดเป็นอะไรนั้นมีความสำคัญมาก

    ส่วนบุญบารมีที่ทำให้เกิดเป็นภุมเทวดานั้น มีการให้ทาน รักษาศีลแบบธรรมดาๆ แต่ว่ามีจิตใจไม่มั่นคง ใครเขาไปวัดก็ไปกับเขา เขาสมาทานศีล ๕ ก็สมาทานกับเขาแต่ไม่ได้ตั้งใจรักษาศีล กลับออกมาก็ปล่อยให้ศีลตกอยู่หน้าศาลา

    เวลาเขาใส่บาตรก็ใส่กับเขา บางทีก็ใส่บาตรประเภทสนุก เรียกว่าทำตามประเพณีมากกว่า เห็นเขาทำกันก็ทำบ้างแต่ไม่ได้ตั้งใจจริง เป็นบุญเล็กๆ น้อยๆ กระจุ๋มกระจิ๋ม เรียกว่าสักแต่ว่าเป็นบุญ แต่เวลาตายจิตเกิดนึกถึงบุญกุศลที่เคยทำ จึงมาเกิดเป็นภุมเทวดา

    คุณธรรมของเทวดา

    สำหรับภุมเทวดาที่เรายกศาลบูชาท่านเพื่ออะไร จะเป็นเทวดาชั้นไหนก็ตามเราควรบูชา เพราะว่าท่านที่จะเป็นเทวดาได้ต้องมีคุณธรรมวิเศษ ๒ ประการ คือ

    ๑) หิริ คือความละอายต่อความชั่ว

    ๒) โอตตัปปะ คือความเกรงกลัวผลของความชั่วจะมาให้ผลเป็นความทุกข์

    เป็นอันว่าเทวดาเป็นผู้ที่ไม่ทำความชั่วได้ชื่อว่าเป็นคนประเสริฐ เป็นคนดี ทำไมเราจะกราบไหว้บูชาไม่ได้ คนธรรมดาทั้งๆ ที่ยังมีความชั่วอยู่ ทำปาณาติบาตก็ได้ โกหกมดเท็จก็ได้ เจ้าชู้ลูกเมียใครก็ได้ กินเหล้าเมายาก็ได้ เรายังไหว้คนเลวได้เลย

    โดยเฉพาะอย่างยิ่งพระพุทธเจ้าทรงสอนให้เจริญเทวตานุสสติกรรมฐาน คือการให้นึกถึงความดีของเทวดา ในอนุสสติ ๑๐
     
  18. ตุปั๊ดตุเป๋ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2017
    โพสต์:
    425
    ค่าพลัง:
    +107
    ๗๗.หลวงปู่ดู่ วัดสะแก จังหวัดพระนครศรีอยุธยา

    “..พระอรหันต์ทุกองค์ไม่มีองค์ไหนมีความประมาทในชีวิต ยกตัวอย่างพระอรหันต์ที่มรณภาพแล้วให้ฟังองค์หนึ่งว่า พระองค์นี้ก็คือ หลวงปู่ดู่ วัดสะแก จังหวัดพระนครศรีอยุธยา

    ใครไปคุยกับท่าน ท่านก็คุยธรรมะ ถ้าใครไปชมท่าน ท่านก็บอกว่าท่านยังเลวอยู่มาก หลวงปู่ท่านบอกท่านไม่มีอะไรดีเลย

    แต่เวลาตายแล้ว หลวงปู่ดู่ท่านไม่ไปนรก สวรรค์ก็ไม่ไป พรหมโลกก็ไม่ไป ท่านไปพระนิพพาน ที่พูดอย่างนี้ไม่ใช่ไปพยากรณ์นะ คือว่าถ้าพระองค์ไหนก็ตามคิดว่าตัวไม่ดี องค์นั้นเป็นพระที่ดีที่สุด ที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า “บุคคลใดมีความรู้สึกตัวเองว่าเป็นพาล ตถาคตกล่าวว่าบุคคลนั้นเป็นบัณฑิต” คำว่า “พาล” แปลว่า “โง่” คือรู้ตัวเองว่าไม่ดี

    ทีนี้หลวงปู่ดู่ท่านคิดว่าตัวท่านเป็นพาล แต่อารมณ์จิตของท่านผ่องใส ท่านเห็นแต่ความไม่ดีของร่างกาย หมายถึงร่างกายทุกส่วนมันไม่ดี..”
     
  19. ตุปั๊ดตุเป๋ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2017
    โพสต์:
    425
    ค่าพลัง:
    +107
    ๗๘.ตายจากคนไปเกิดเป็นเทวดารักษาเขตที่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตจังหวัดภูเก็ต สวรรค์เขตจาตุมหาราช

    อาตมาไปพักที่บ้านรับรองของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตที่จังหวัดภูเก็ต เมื่อวันที่ ๗ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๑๗ ตอนกลางคืนนอนพักผ่อน ก็ปรากฏว่ามีแขกมาเยี่ยม ท่านผู้นี้เป็นผู้ชายหน้าตาดีมาก รูปร่างสวยสดงดงาม ร่างกายท้วมๆ เนื้อเต็มผิวขาว แต่งตัวดี มีอารมณ์สดชื่น จึงถามว่า

    หลวงพ่อ : "เป็นใคร"
    ภุมเทวดา : "เป็นภุมเทวดาอยู่ที่นี่"

    หลวงพ่อ : "เวลานี้เจ้าหน้าที่องค์การไฟฟ้าฝ่ายผลิตของจังหวัดอยู่ที่ตรงนี้ ขอให้สงเคราะห์ด้วยช่วยรักษาให้มีความสุข"
    ภุมเทวดา : "ทุกคนมีความเคารพดีมาก ไม่เป็นไรถ้าไม่มีเหตุเกินสุดวิสัย จะช่วยให้มี ความสุข" ท่านรับรองด้วยดี

    หลวงพ่อ : "การที่จะมีบุญมาเป็นเทวดารักษาที่นี่ได้ ทำบุญอะไรไว้"
    ภุมเทวดา : "จะมาถามผมทำไม ถามผมแบบนี้ผมก็อายแย่น่ะซิ"

    หลวงพ่อ : "จะไปอายทำไมในเมื่อเราสร้างความดี เพราะการเป็นเทวดาชั้นเล็กก็ยังดีกว่ามนุษย์ชั้นใหญ่ๆ เพราะเทวดามีทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นทิพย์ มีความสุขเพราะอาศัยทิพยสมบัติ"
    ภุมเทวดา : "เมื่อท่านเห็นว่าดี ผมก็จะบอก ก่อนที่ผมจะตายตอนนั้นไม่ได้ทำบุญอะไร ใหญ่ แต่ว่ามีจิตใจเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา มีการใส่บาตรบ้าง มีการฟังเทศน์บ้าง มีการให้ทานบ้างพอสมควร แต่ว่ากำลังใจในการทำบุญนี้ รู้สึกว่าเป็นเรื่องของประเพณีเป็นส่วนมาก แต่จิตใจนั้นก็เคารพในพระสงฆ์อยู่

    เพราะพระสงฆ์ในสมัย นั้นมีจริยาวัตรดี อาศัยความดีที่ทำนี้ เวลาตายแล้วก็ไปเกิดเป็นภุมเทวดา ความ จริงแล้วการใส่บาตรแก่พระสงฆ์ในพระพุทธศาสนา น่าจะเป็นเทวดาบนสวรรค์ ชั้นดาวดึงสเทวโลก แต่ทว่ากำลังใจของท่านในการใส่บาตรนั้น ใส่ด้วยความเคารพก็จริงแต่ทำเป็นประเพณีเสียมากกว่า รักษาตามประเพณีที่พ่อแม่ ปูย่า ตายายแนะนำ เวลาตายไปก็เลยมาเกิดเป็น "ภุมเทวดา"

    หลวงพ่อ : "ก็ยังดี"

    พอตอนเช้าเจ้าหน้าที่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตนำอาหารมาถวาย เมื่อถวายแล้วก็ถามว่า

    เจ้าหน้าที่ : "ที่นี่เป็นอย่างไรบ้างครับ"
    หลวงพ่อ : "ดีนี่ เทวดาเขาใจดีมาก พวกคุณเคารพท่านอยู่เสมอมิใช่หรือ เห็นท่านบอกว่าพวก คุณเคารพในท่านดี ท่านก็ดีใจ"

    เจ้าหน้าที่ : "ได้ตั้งศาลให้ท่านอยู่ตรงโน้น และพวกเราทุกคนก็พากันเคารพบูชา ทุกคนก็บอกว่าเทวดาที่นี่รู้สึกว่าศักดิ์สิทธิ์ เป็นที่เคารพของประชาชน"
    หลวงพ่อ : "เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน พวกคุณก็พากันมีความเคารพนับถือในท่าน กราบไหว้ท่านจัดว่าเป็น "เทวตานุสสติกรรมฐาน" การระลึกนึกถึงความดีของเทวดา นี้ถือว่ามี ความสำคัญ ดังนั้นเวลาไปไหว้ท่านละก็ อย่าไปใช้ท่านอย่างเดียว บูชาความดีของท่านด้วย"

    เจ้าหน้าที่ : "บูชาความดีเทวดาทำอย่างไรครับ"
    หลวงพ่อ : "เทวดาทุกองค์ก่อนที่จะมาเกิดเป็นเทวดานี่ ต้องมีหิริและโอตตัปปะ หิริ แปลว่า อายความชั่ว โอตตัปปะ แปลว่า เกรงกลังผลของความชั่วจะลงโทษ คนที่อายความชั่วและเกรงกลัวผลของความชั่ว จึงจะเกิดเป็นเทวดาได้

    ดังนั้นเวลาที่ไปบูชากราบไหว้เทวดา ก็จงบูชาความดีของท่านด้วย โดยที่เราจะไม่ทำความชั่วทั้งในที่ลับและในที่แจ้ง เราจะอายความชั่วหมายถึงอายความประพฤติการปฏิบัติที่เราทำ ไม่ใช่อายคน ถ้าสิ่งใดที่เป็นความชั่วเราจะไม่ทำ เราจะทำแต่ความดีอย่างเดียว เพียงเท่านี้เทวดาก็จะช่วยพวกคุณได้มาก"

    เจ้าหน้าที่ : "ถ้าหากว่าผมจะขอให้เทวดาท่านช่วยป้องกันอันตราย คือทรัพย์สินทั้งหลายของหลวงที่องค์การไฟฟ้ามีอยู่ อาจจะมีขโมยมาลักขโมย ท่านจะช่วยได้ไหมครับ"

    หลวงพ่อ : "เรื่องนี้อาจจะเกินวิสัยอยู่บ้างก็ได้ เพราะเรื่องกฎของกรรมหรือเรื่องคนทำความชั่วนี่ เทวดากันไม่ค่อยได้เหมือนกัน ท่านเลยแนะนำให้ทำดังนี้ ให้คุณป้องกันด้วยแล้วขอให้เทวดาท่านช่วยด้วย เวลาใครจะมาลักมาขโมย ก็ขอให้เทวดาท่านดลใจให้เกิดอาการสงสัยว่าของทั้งหลายอาจจะหายไป

    เท่านี้เทวดาก็จะช่วยได้ คือช่วยให้รู้สึกสงสัยจะไปเกณฑ์ให้เทวดายืนอยู่ยามตลอดกาลตลอดสมัยก็แย่เหมือนกัน"
     
  20. ตุปั๊ดตุเป๋ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2017
    โพสต์:
    425
    ค่าพลัง:
    +107
    ๗๙.ท่านรุกขเทวดาที่เสาตกนํ้ามันมาหาหลวงพ่อที่วัดชิโนรสเป็นเทวดาเขตจาตุมหาราช

    "..เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๐๐ อาตมาป่วยหนัก ไปรักษาตัวที่กรมแพทย์ทหารเรือที่กรุงเทพฯ หลังจากรักษาอยู่ปีเศษอาการดีขึ้นแล้ว ก็มาพักฟื้นที่วัดชิโนรส อยู่ที่คลองมอญ

    ขณะที่หลวงพ่อกำลังนั่งเขียนหัวข้อที่จะไปพูดที่ สถานีวิทยุกองพล ๑ กำหนดหัวข้อไป ๕ ข้อ ถ้าพูดหัวข้อเดียวยังไม่หมดเวลาก็ต่อหัวข้อที่สอง ถ้าหมดเวลาตอนไหนก็เลิก

    ขณะกำลังเขียนอยู่ก็มีผู้หญิงคนหนึ่งอายุประมาณ ๓๐ ปีเศษๆ รูปร่างหน้าตาทรวดทรงดีถือพานดอกไม้ธูปเทียนมา แต่ว่ามองดูสีหน้าแล้วรู้สึกว่าใจไม่สบายหน้าไม่ปกติ

    ถามว่า "หนูมีธุระอะไร" หญิงคนนั้นก็บอกว่า "ที่บ้านฉันมีเสาตกนํ้ามันอยู่ต้นหนึ่ง ฉันไปหาหมอดูที่เป็นพระก็ดี ที่เป็นฆราวาสก็ดี มีหลายหมอพูดอย่างเดียวกันว่า "ขอให้รื้อเสาต้นนั้นทิ้งไปเสีย แล้วก็หาเสามาเปลี่ยนใหม่"

    ก็คิดในใจว่าการรื้อเสาทิ้งไม่ใช่ของง่ายนัก อาจจะทำได้แต่ว่าเจ้าของบ้านจะเสีย ๒ อย่างคือ

    ๑) เสียเสาเสียไม้ เสียค่าแรงงานค่ารื้อ

    ๒) ต้องซื้อของมาใหม่และก็เสียค่าแรงงานค่าทำใหม่

    อาตมาจึงบอกว่า "เอาอย่างนี้ก็แล้วกันนะ หนูเขียนข้อข้องใจมาสัก ๓ ข้อแล้วก็ใส่ไว้ในพานดอกไม้ธูปเทียน พรุ่งนี้ถ้ามีเรื่องอะไรพอจะทราบได้ ก็จะเขียนอธิบายให้ฟังตามความสามารถที่จะรู้ ถ้าไม่รู้ก็ไม่บอก"

    เมื่อเธอเขียนแล้วก็ลากลับไป ก็นำพานดอกไม้ธูปเทียนมาวางไว้บนโต๊ะเขียนหนังสือ เมื่ออาตมากำลังจะจรดปากกาเขียนหัวข้อที่จะไปพูด ก็ปรากฏว่า โต๊ะเขียนหนังสือสั่นสะเทือนเสียงดังปังเหมือนกับของหนักหล่นลงมา

    เวลานั้นเป็นเวลากลางวันมองดู ก็เห็นหญิงสาวรูปร่างหน้าตาสวย แต่งตัวแพรวพราวเป็นระยับใส่ชฎาสวยมาก พอมองหน้าเธอ เธอก็ไม่ยิ้มแต่พูดว่า "ฉันทำผิดคิดร้ายอะไร ทำไมจึงจะต้องมาไล่ฉัน"

    ก็แปลกใจว่าผู้หญิงคนนี้เราไม่เคยเห็น และมานั่งบนโต๊ะเขียนหนังสือ ผิดลักษณะของคนธรรมดา จึงถามว่า "คุณเป็นใคร มีธุระอะไร และเรื่องราวที่พูดมันเป็นอย่างไรกัน ใครไล่ใคร ฉันยังไม่ทันไล่"

    เธอก็ตอบว่า "ฉันเป็นนางไม้ ของบ้านที่เขานำดอกไม้ธูปเทียนมา ที่เขาบอกเรื่องเสาตกนํ้ามัน ไปดูหมอพระก็ดี หมอฆราวาสก็ดี ฉันก็ตามเขาไป ทุกรายบอกให้ถอนเสาทิ้งไปเสียและให้เปลี่ยนเสาใหม่

    ผู้หญิงคนนี้สามีเขาเป็นนายทหารเรือยศเรือเอก เวลานี้สามีของเขาไปรบที่เกาหลี ฉันก็ให้การคุ้มกันเรื่องอาวุธจะไม่ให้มีการต้องกายเขาเลย เขาจะไม่บาดเจ็บเพราะอาวุธและก็จะไม่เป็นโรคร้าย ฉันก็ช่วยเขาทุกอย่าง

    และที่บ้านนี้ฉันก็ไม่เคยแสดงอาการอย่างใดอย่างหนึ่งให้เขากลัว ตามปกติก็ตั้งใจช่วยการหาลาภสักการะ ถ้าสิ่งใดไม่เกินวิสัยที่ฉันจะช่วยได้ฉันก็ช่วย แต่เวลาฉันพูดเขาก็ไม่ได้ยิน ฉันแสดงตัวให้ปรากฏเขาก็ไม่เห็น รวมความว่าการที่ฉันช่วยมันก็เป็นการปิดทองหลังพระ ในเมื่อฉันช่วยขนาดนี้ทำไมต้องมาไล่ฉัน"

    ถามว่า "เธอมีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับเสาต้นนี้ ทำไมเสาต้นนี้จึงตกนํ้ามัน และทำไมเสาต้นนี้จึงเป็นที่อาศัยของเธอ"

    เธอก็ตอบว่า "เดิมทีเดียวเสาต้นนี้เป็นต้นไม้ในป่า ฉันเป็นรุกขเทวดามีวิมานแปะยอดไม้ อาศัยยอดไม้เป็นที่อาศัยตั้งวิมาน ถ้าต้นไม้ต้นนี้ล้มวิมานก็สลาย จะไปอาศัยต้นไม้ต้นใหม่ก็หายาก เพราะว่าต้นไม้ที่มีแก่นส่วนใหญ่ก็มีรุกขเทวดาที่เป็นผู้ชายบ้าง ผู้หญิงบ้าง อาศัยกันอยู่มากไม่ว่าง

    ในเมื่อไม้ต้นนั้นล้มมา ฉันก็ติดตามไม้ ไม้ไปทางไหนฉันก็ไปด้วย คำว่าไปด้วยไม่ได้หมายความว่าต้องขี่ท่อนไม้ คือกำลังใจรู้ต้องเดินดินมีความลำบาก วิมานก็ไม่มีต้องอยู่ที่โล่งแจ้ง

    ต่อมาเมื่อเขานำไม้ต้นนั้นมาทำเป็นเสา เมื่อไม้ตั้งขึ้นฉันก็มีสิทธิ์เอาวิมานเข้ามาแปะได้ จึงอาศัยไม้อันนี้ที่เป็นต้นเดิม ที่ไม่มีใครแย่งเพราะฉันเป็นเจ้าของเดิม

    วิมานฉันก็ทรงตัวอยู่ได้ แต่เวลานี้ปรากฏว่ามีนํ้ามันไหล ขอให้ทราบว่าเทวดาก็ดี นางฟ้าก็ดี องค์ไหนถ้ามีอานุภาพพอสมควรอาศัยอยู่ที่เสาต้นใดต้นหนึ่ง เสาต้นนั้นอาจจะมีนํ้ามันไหล"

    ถามว่า "ถ้าอย่างนั้นเธอจะให้ฉันบอกกับเจ้าของบ้านเขาอย่างไร" เธอก็ถามว่า "ท่านจะให้เขาถอนไหม" ตอบว่า "เรื่องถอนฉันไม่เห็นด้วยเพราะบ้านหลังนี้ปลูกมานานแล้ว เพิ่งจะมีการแสดงออกและเจ้าของบ้านไม่ได้บอกว่ามีการรบกวนอะไร ฉันกำลังคิดอยู่ว่าควรจะทำอย่างไรจึงจะไม่ต้องถอนเสา"

    เธอก็บอกว่า "เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน บอกเขาว่าไม่ต้องถอน ให้เจ้าของบ้านกับฉันเป็นเพื่อนกันดีกว่า ดีกว่าประกาศตนเป็นศัตรู" จึงถามเธอว่า "ถ้าต้องการเป็นเพื่อนกันให้ทำอย่างไร"

    วิธีการบูชาเสาตกนํ้ามัน

    เธอตอบว่า "ให้เจ้าของบ้านเอานํ้าหอมมาทาที่เสาตรงจุดที่ตกนํ้ามันแล้วเอาทองคำเปลวปิดสักแผ่นหนึ่งก็พอ เอาผ้าสีกับพวงมาลัยคล้อง การคล้องเสาขอได้โปรดอย่าใช้ตะปูตอกเสาต้นนั้น เว้นไว้แต่ที่เขาทำฝา ทำพรึงต้องตีตะปูติดกับเสา นั่นเป็นเรื่องหนึ่งต่างหาก แต่ว่าเรื่องการบูชา การตีตะปูขอจงอย่าให้มี ให้ใช้เป็นอย่างอื่น"

    ถามว่า "ตอกเสามันเป็นอย่างไร" เธอตอบว่า "ตอกเสาแล้วอานุภาพมันใช้ไม่ได้" บอกว่า "เขาทำได้แน่เพราะพวงมาลัยก็ดี ผ้าสามสีก็ดี ทองคำเปลว ๑ แผ่นก็ดี นํ้าหอมหน่อยหนึ่งก็ดี เป็นของไม่แพง"

    ถามต่อว่า "ถ้าเขาทำได้ เธอจะให้ลาภเขาได้หรือเปล่า" ตอบว่า "ถ้าต้องการให้ลาภก็ต้องทำบุญให้ด้วย" ถามว่า "ทำบุญต้องการอะไร" เธอตอบว่า "ให้เขานิมนต์พระสัก ๕ องค์ไปฉันเพล อย่านิมนต์ไปฉันเช้า วันเสาร์หรือวันอาทิตย์ก็ได้เพราะเป็นวันหยุด

    ถ้าหากว่าฉันเช้าเจ้าของบ้านจะวุ่นวายเพราะเวลากระชั้น เมื่อทำบุญเสร็จก็ขอให้อุทิศส่วนกุศลให้แก่ฉัน ฉันจะช่วยให้ลาภ"

    ถามว่า "เธอจะให้ลาภมากหรือลาภน้อย" เธอตอบว่า "บุญบารมีฉันน้อย ฉันให้ลาภมากๆ ไม่ได้ แต่ให้บ่อยๆ ได้" ถามว่า "ถ้าอย่างนั้นให้ทุกเดือนได้ไหม" ตอบว่า "ทุกเดือนหรือเกินเดือนละ ๑ ครั้งก็ได้ นั่นคือรางวัลเลขท้าย ๓ ตัว ข้างล่างนะ หรือว่าเลขท้าย ๒ ตัวอย่างนี้ได้"

    เป็นอันว่าอาตมาก็เขียนถ้อยคำตามที่พูดกับนางฟ้าองค์นั้นไว้ พอวันรุ่งขึ้นเวลาประมาณ ๔ โมงเย็น หญิงเจ้าของดอกไม้ธูปเทียนก็มา ก็ส่งจดหมายที่บันทึกไว้ให้แล้วก็บอกว่า

    "เขาคุ้มครองสามีของเธอ ตัวเธอเองเขาก็ช่วยสงเคราะห์ทุกอย่างให้มีความสุข และโดยเฉพาะอย่างยิ่งเขาไม่เคยแสดงอะไรให้ปรากฏ" เธอก็ตอบว่า "ใช่เจ้าค่ะ"

    เธอบอกพร้อมที่จะทำทุกอย่างแต่การเลี้ยงพระ ๕ องค์ ขอแถมเป็น ๙ องค์ ก็เลยบอกว่า "เขาบอกพระ ๕ องค์ หมายความว่าให้ทำบุญไม่น้อยกว่า ๕ องค์ แต่เกินไม่เป็นไร"

    เธอก็นิมนต์พระรวมทั้งอาตมาด้วยเป็น ๙ องค์ ไปฉันเพลในวันรุ่งขึ้นเพราะเป็นวันเสาร์ เมื่อเลี้ยงพระเสร็จ ผลที่ได้รับก็คือเธอถูกลอตเตอรี่เลขท้าย ๓ ตัว ๙ ใบ เลขท้าย ๒ ตัว ๕ ใบ และมานิมนต์พระไปฉันใหม่อีก ๙ องค์ ถามว่า "เลขที่ซื้อถูกใครบอก"

    ตอบว่า "ไม่มีใครบอก มีความรู้สึกว่าเมื่อออกมาจากที่ทำงานก็เห็นเลขนี้เข้า ก็อยากจะซื้อ ก็เลยซื้อเหมือนๆ กันเท่าที่มี ตั้งแต่โรงงานยาสูบเรื่อยมาถึงท่าพระจันทร์ ก็ได้มาเท่านี้

    ก็ถูกทั้งหมด เธอก็ทำบุญเลี้ยงพระใหม่ เอานํ้ามันจันทน์มาทาใหม่ ปิดทองมากแผ่นขึ้น มีผ้า ๓ สี และก็ซื้อผ้าไตรจีวรถวายพระ รู้สึกว่าการทำบุญหนักขึ้น งวดต่อไปเธอก็ถูกอีก

    รวมความว่าอยู่ที่นั่น ๒ ปี ทุกครั้งหลังจากหวยออกก็ถูกนิมนต์ไปทุกครั้ง เพราะบ้านนี้ถูกทุกงวดแต่เป็นรางวัลเลขท้าย ๓ ตัวบ้าง ๒ ตัวบ้าง ก็เป็นการพอ เพราะเวลานั้นค่าของเงินสูง ก๋วยเตี๋ยวชามละ ๑๐ สตางค์ ฉะนั้นการได้เงินเป็นพันก็ถือว่าไม่ใช่เงินเล็กน้อย.."
     

แชร์หน้านี้