ตายแล้วไปไหน-พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน (วีระ ถาวโร) หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย ตุปั๊ดตุเป๋, 20 มีนาคม 2019.

  1. ตุปั๊ดตุเป๋ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2017
    โพสต์:
    425
    ค่าพลัง:
    +107
    ๒๐.ตายจากคนอาชีพจับปูทะเลขายแล้วไปเกิดเป็นนางฟ้าบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก

    “..ตามที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า “ก่อนจะตายถ้าจิตใจผ่องใส นึกถึงบุญกุศลนิดหน่อยตายแล้วก็ไปสวรรค์ทันที เรื่องนี้ให้ชื่อเรื่องว่า “เทพธิดาปูทะเล” เรื่องมีอยู่ว่า

    วันที่ ๑๘ ธันวาคม ๒๕๓๑ ขึ้นไปบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลกนั่งอยู่กับ ท่านปัญจสิกขเทพบุตร ซึ่งทำหน้าที่เปรียบเหมือนเลขาของท่านพระอินทร์ เห็นนางฟ้า ๘ องค์ รูปร่างหน้าตาสวยสดงดงามมาก ผิวพรรณผ่องใส เครื่องประดับก็สวย

    แต่มีองค์หนึ่งนั่งใกล้มากที่สุด ท่านมองหน้าไม่ละสายตา เบื้องหลังนางฟ้า ๘ องค์ไกลออกไปประมาณ ๒ เส้น เป็นภาพผู้หญิงอ้วนใหญ่ ผิวเนื้อดำแดงค่อนข้างดำ หน้าตาน่าเกลียดน่ากลัว ในความรู้สึกของอาตมาเป็นภาพนางยักษิณี

    จึงหันไปถามท่านปัญจสิกขเทพบุตรว่า “บนสวรรค์มีภาพประเภทไม่สวยอย่างนี้เหมือนกันรึ” ท่านตอบว่า “ปกติไม่มี แต่นางฟ้า ๘ องค์นี้เป็นคนมีบาปอยู่เบื้องหลัง” หมายความว่าในระยะต้นสร้างบาปไว้มากแต่ว่าไม่ถึงอนันตริยกรรม

    อนันตริยกรรมได้แก่ ฆ่าพ่อฆ่าแม่ ฆ่าพระอรหันต์ ทำร้ายพระพุทธเจ้าจนห้อพระโลหิต ยุยงให้สงฆ์แตกกัน ตอนช่วงหลังของชีวิตและตอนใกล้จะตายได้ทำกำลังใจเป็น สัมมาทิฐิ รู้จักการให้ทาน รู้จักการรักษาศีล รู้จักการเจริญภาวนา เวลาจะตายจิตใจก็เกาะความดี

    เมื่อตายแล้วก็มาเกิดเป็นนางฟ้าบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลกก่อน แต่ทว่าบาปยังติดตามอยู่ ถ้าไม่สร้างความดีต่อเป็นการป้องกัน เมื่อจุติไปจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เมื่อไรบาปจะดึงเธอทั้งหมดลงอบายภูมิทันที

    ท่านพุทธบริษัทเมื่ออ่านหรือฟังแล้ว จงคิดตามที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า

    “จิตเต สังกิลิฏเฐ ทุคติ ปาฏิกังขา” เวลาก่อนจะตาย จิตใจเป็นอกุศลหรือเศร้าหมองนิดหน่อย ก็จะไปอบายภูมิทันที

    “จิตเต ปาริสุทเธ สุคติ ปาฏิกังขา” ก่อนจะตาย แม้แต่จิตใจผ่องใสในด้านของบุญกุศลนิดหน่อย ก็จะไปสวรรค์ทันที

    อาตมาหันไปถามนางฟ้าที่อยู่ใกล้มากที่สุด และมองหน้าไม่ยอมละ ถามเธอว่า “สมัยเป็นมนุษย์อยู่ที่ไหน” เธอตอบทันทีว่า “จำฉันไม่ได้รึ”

    อาตมาบอก “ถ้าอย่างนั้นขอดูภาพเดิม” ให้เห็นภาพเธอเป็นคนแก่อายุประมาณใกล้ ๖๐ ปี รูปร่างใหญ่เทอะทะ ผิวเนื้อดำแดงค่อนข้างดำ ถามเธอว่า “รูปร่างของเธอเป็นอย่างนี้ เธอมีสามีหรือเปล่า” เธอตอบว่า “มี”

    เธอแสดงภาพให้เห็นตั้งแต่สมัยเป็นเด็กแล้วก็เป็นสาววัยรุ่นถึงสาวใหญ่ ตอนสาวรุ่นรูปร่างทรวดทรงดี หน้าตาดี ผิวพรรณไม่ดำ ผิวเนื้อดำแดงและเกลี้ยง ร่างกายมาเปลี่ยนแปลงตอนอายุใกล้ ๔๐ เธอเป็นคนจน

    เวลานั้นอาชีพจริงๆ ก็คือ จับปูทะเลมาขาย ปูทะเลจับมาได้ก็ต้องมัด จับปั๊บมัดปุ๊บ ทำมาแต่เด็กก็ทำได้คล่องรวดเร็วแล้วก็เอามาขาย พอเป็นสาวขึ้นมาก็จับปูทะเลขายเหมือนเดิม แต่งงานแล้วก็ยังทำอยู่เหมือนเดิม มาเปลี่ยนแปลงเอาจริงๆ

    เมื่อตอนอายุ ๓๐ ปีเศษ ขายปูได้กำไรพอสมควรมีทุนอยู่บ้าง ไม่จับปูเองแล้วแต่เป็นคนซื้อปูมาขายและคุมการขาย

    ให้นึกดูว่า สภาพปูถูกมัดกระดิกกระเดี้ยไม่ได้แบบนั้น มันทรมานขนาดไหน มีการเจ็บปวด มีการเมื่อยขนาดไหน สรุปแล้วเธอทำบาปมาอย่างหนัก เป็นบาปที่ติดตามมา ที่เห็นเป็นภาพนางยักษิณีอยู่ข้างหลังตอนที่มาเกิดเป็นนางฟ้าบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์แล้ว

    ความจริงในตอนระยะต้นๆ ตั้งแต่เด็กมาจนถึงสาวใหญ่ แต่งงานแล้วก็ตาม บุญเธอก็ทำบ้างแต่ก็ทำบุญแบบผิวเผิน หมายความว่าใส่บาตรบ้างแต่ก็นานๆ ใส่ครั้ง นานๆ ก็ไปฟังเทศน์บ้างแต่ก็ไม่ตั้งใจนัก เขาทำบุญเรี่ยไรก็ทำบ้างแต่ไม่ได้ตั้งใจมาก ทำประเภทปัดสวะให้ผ่านพ้นไป

    ฉะนั้นท่านทั้งหลายที่แจกฎีกาพึงทราบว่า คนที่เขาทำบุญตามฎีกาเขาจำใจทำกันมา แต่ก็ได้บุญถึงแม้จะได้บุญไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วยก็ตาม เปรียบเหมือนชาวบ้านเขามีข้าว ๑ กะละมังได้บุญเต็มเม็ดเต็มหน่วย แต่เราได้บุญไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย มีข้าวแค่ ๑ จาน ก็ยังดีกว่าไม่มีเลย

    ต่อมาเมื่อเธอมีอายุ ๔๐ ปีเศษๆ ก็มีความรู้สึกว่าอาชีพเดิมมันบาปทั้งหมด ก็เพราะบังเอิญมีพระหลวงตาที่น่าเคารพท่านหนึ่ง ท่านเป็นพระอยู่ใกล้บ้านไปรับบาตรเป็นประจำ ผ่านอยู่เสมอ ท่านอธิบายให้ฟังว่า “การทำแบบนี้มันบาป”

    ในที่สุดเธอก็ละจากอาชีพขายปูทะเลมาเป็นอาชีพรับจ้างอย่างอื่นที่ไม่เป็นบาป ความจริงน่าขอบคุณหลวงตาองค์นั้นที่ท่านแนะนำ ตอนหลังเธอตั้งหน้าตั้งตาทำบุญ บุญใหญ่เธอทำมาเป็นปกติ ใส่บาตร ฟังเทศน์ ใครไปเรี่ยไรก็ให้ ทำบุญมาเรื่อยๆ จิตใจเป็นบุญกุศล

    ต่อมาระยะใกล้จะตาย ๔ เดือน เธอก็มีโอกาสมาที่วัดท่าซุง ในงานเป่ายันต์เกราะเพชร เห็นวัดเข้าก็ชอบใจ คิดในใจว่าวัดสวยๆ แบบนี้หายาก เธอสนใจมณฑปแก้วที่ปิดกระจกทั้งข้างนอกและข้างใน ก็ชอบใจมากเข้าไปนั่งไหว้พระดูภาพพระก็ชอบใจ มีจิตใจสดชื่น ไปนั่งนานจนกว่าจะถึงเวลาเป่ายันต์เกราะเพชร ก็ไปรับยันต์เกราะเพชรตอน ๔ โมงเช้า

    ปรากฏว่าเขาประกาศว่ารถจะออก ๔ โมงเย็น จึงไปนั่งป๋ออยู่ที่มณฑปแก้วใหม่ สดชื่นมากจิตใจจับอยู่ที่นั่น

    ต่อมาได้ทราบข่าวว่า ที่ซอยสายลมมีพระวัดท่าซุงไปสอนพระกรรมฐานที่นั่น เธอก็ไปกับเขาด้วย ไปเจริญพระกรรมฐานวันแรกเธอบอกว่า “ภาพพระที่มองเห็นเวลาลืมตา แต่เวลาหลับตาแล้วพระองค์นั้นไม่เห็น เห็นแต่ปูที่คลานยั้วเยี้ยที่เธอจับมาก็ดี ภาพที่เธอกำลังมัดปูก็ดี นั่งขายปูก็ดี”

    รวมความว่า ภาพปูปรากฏเต็มไปหมด จะมองเท่าไรก็ไม่เห็นภาพพระเห็นแต่ปูแทน ในที่สุดลืมตาดูพระใหม่ ทิ้งภาพปู พอเห็นภาพพระแจ่มใสดี สดชื่น นานๆ เข้าจึงหลับตาใหม่ ก็ปรากฏเห็นภาพปูอีก

    เป็นอันว่าวันแรกของการเจริญพระกรรมฐานคือวันเสาร์ ไม่มีผลเห็นพระแต่มีผลเห็นปูทะเลแทน เธอก็เศร้าสลดใจ พอถึงเวลาอุทิศส่วนกุศล พระท่านแนะนำว่า “ให้ขอท่านพระยายมราชและเทพเจ้าเป็นพยานในการบำเพ็ญกุศล”

    เผอิญท่านพระยายมราชท่านมาบอกกับอาตมาในวันนั้นว่า “ถ้าใครทำบุญไว้ เวลาอุทิศส่วนกุศลให้บอกท่านให้เป็นพยาน ถ้าบังเอิญต้องผ่านสำนักท่าน การสอบสวนเรื่องบาปก็ไม่มี ท่านจะเป็นพยานให้เพราะบุญมีอยู่แล้ว จะส่งไปสวรรค์ก่อน”

    เธอบอกว่า “ดีใจในถ้อยคำนี้” เวลาพระท่านนำอุทิศส่วนกุศลสดชื่นมาก ตั้งใจจริงๆ เพราะว่าปูเป็นเหตุ ถึงอย่างไรก็ไม่ขอลงนรกแน่ เธอคิดในใจว่า “ถ้าขืนลงนรกเสียท่าปูแน่ ปูนับเป็นพันเป็นหมื่นมันตามเล่นงานแน่นอน เธอไม่ได้คิดถึงไฟนรกคิดถึงแต่ปูอย่างเดียว

    พออุทิศส่วนกุศลเสร็จเธอก็รีบไปที่จุดสังฆทาน จะเอาชุดใหญ่ ๕๐๐, ๑,๐๐๐, ๒,๐๐๐ เงินก็ไม่มี ผสมผเสได้ ๑๐๐ บาท ก็ถวายสังฆทานชุดเล็ก ๑๐๐ บาททันที

    วันรุ่งขึ้นเป็นวันที่สองไปใหม่ตอนกลางวัน ตั้งใจไปถวายสังฆทานชุดเล็ก ๑๐๐ บาททันทีและก็ฟังพระท่านคุยไป นั่งดูพระพุทธรูปไป ตัดสินใจว่าวันนี้จะไม่ยอมให้ภาพปูเข้ามากวนใจ จะขออยู่กับพระพุทธรูป หลับตาบ้างลืมตาบ้าง ใครจะคุยอย่างไรก็ช่าง สนใจพระพุทธรูปอย่างเดียว

    พอตอนกลางคืนเจริญพระกรรมฐาน เวลาหลับตาปรากฏว่า ภาพปูกับภาพพระแย่งกัน ภาพพระเกิดขึ้นบ้าง เห็นภาพปูบ้างสลับกัน เธอก็ดีใจว่าวันนี้พระสู้กับปูแล้วปูแพ้ เพราะภาพปูเกิดขึ้นมาน้อย เห็นภาพพระมากกว่า พอเจริญพระกรรมฐานเสร็จก็ถวายสังฆทานชุดเล็ก ๑๐๐ บาทอีก

    ต่อมาวันที่สาม ก็ทำอย่างนั้นอีก พอไปถึงปุ๊บไม่ต้องการอะไรทั้งหมด ตั้งหน้าตั้งตาจ้องพระพุทธรูปกับพระสงฆ์ที่พูด มองลีลาพระสงฆ์ที่นั่งพูดบ้างและจำภาพพระพุทธรูปบ้าง ดูสองอย่าง อย่างไหนเลือนก็จับอีกอย่างหนึ่งเข้ามาแทน

    ตั้งใจจับพระพุทธรูปกับพระสงฆ์ช่วยกันขับปู วันนี้ชนะเด็ดขาดภาพปูไม่ปรากฏเห็นแต่ภาพพระอย่างเดียว เห็นชัดทั้งภาพพระพุทธรูปกับพระสงฆ์ ภาพปูไม่เกิด เธอดีใจมาก

    ก็รวมความว่าเธอทำอย่างนี้มาได้ ๓ ครั้ง วาระที่สุดของชีวิตของเธอก็มาถึง เวลาที่จะตายจริงๆ เธอมีอาการป่วยกระเสาะกระแสะมาหลายวัน ปวดศีรษะบ้าง แน่นหน้าอกบ้าง เสียดท้องบ้างเป็นปกติ แต่ในเวลานั้นก็ตั้งใจภาวนาว่า “พุทโธ”

    นึกถึงภาพพระกับพระสงฆ์ที่เคยเห็น ภาพก็ชัดเจนแจ่มใสเป็นบางครั้ง บางทีมันปวดมากภาพก็หายไป พอคลายหน่อยจิตก็เห็นภาพ แต่ใจไม่ยอมปลด มันจะปวดอย่างไรก็ตาม ก็ตั้งใจภาวนา “พุทโธ” บ้าง “นะมะพะธะ” บ้าง จับภาพพระพุทธเจ้าบ้าง จับภาพพระสงฆ์บ้างสลับกันไปในที่สุดก็ตาย

    เวลาจะตายเธอบอกว่าไม่มีความรู้สึกว่ามันจะตาย มันเป็นแต่มีความรู้สึกวูบไป อาการปรากฏทีแรกมันอืดเสียดมาก เมื่ออาการอืดเสียดหายไป มีนงงหายไป จิตมีอารมณ์เป็นสุขมาก มีความเยือกเย็น มีความสบาย จิตก็จับภาพพระพุทธรูปภาวนาว่า “พุทโธ” เดี๋ยวก็ “นะมะพะธะ” สลับกับทั้ง ๒ อย่าง

    ภาพพระก็เกิดมีสภาพแจ่มใส สดใสขึ้น สวยขึ้นๆ ตามลำดับ เป็นทองอร่ามขึ้น ในที่สุดพระท่านยิ้ม เมื่อเห็นภาพพระพุทธรูปยิ้ม เธอก็มีอาการสดชื่น ตอนนี้เองเธอบอกว่า “มีความรู้สึกว่าวูบเหมือนกับตกจากที่สูง และมีความรู้สึกอีกทีหนึ่งก็มาอยู่ที่วิมานบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก วิมานสวยสดงดงามมากแพรวพราวเป็นระยับ เป็นเพชรสีน้ำมันก๊าด จะขาวก็ไม่ใช่แต่ใส

    ถามเธอว่า “ที่ได้วิมานสวยอย่างนี้เพราะอะไร” เธอตอบทันทีว่า “เพราะสนใจในมณฑปแก้วและพระพุทธรูปในมณฑปแก้ว” ถามว่า “ไปในมณฑปแก้วนั้นกี่ครั้ง” เธอตอบว่า “ไป ๓ ครั้งติดใจ เวลามีงานก็ไป ยามปกติก็ไป

    เวลาไปต้องเข้าไปในมณฑปแก้วก่อน ไปนั่งหน้าพระพุทธรูป ภาวนาให้สบาย ตัดภาพปูทิ้งไปเห็นพระแทน ดูภาพมณฑปแก้วก็ชอบใจ อันนี้เป็นปัจจัยให้วิมานแก้วใสมาก สว่างมาก” ถามว่า “เธอมีเทพบุตรหรือนางฟ้าเป็นบริวารเท่าไร” เธอยิ้มแล้วตอบว่า “ไม่มีเทวดาเป็นบริวาร มีแต่นางฟ้าเป็นบริวาร ๔,๐๐๐ องค์ เครื่องประดับประดาก็มีมาก” บอกเธอว่า “อยากจะเห็นวิมาน”

    ก็ปรากฏว่าเวลานั้นวิมานก็ลอยมา บ้านเราในเมืองมนุษย์ยกไปไหนไม่ได้ แต่ในเมืองสวรรค์วิมานลอยมาทันที นางฟ้าทั้งหมดหน้าตาแจ่มใสมาก วิมานของเธอใหญ่มากและมีความสว่างไสวมาก ถามเธอว่า “เธอมีความรู้สึกอย่างไรกับเรื่องบาปเก่า” เวลานี้ภาพนางยักษิณียังปรากฏอยู่

    เธอบอกว่า “ภาพนางยักษิณีนี่ความจริงไม่ใช่นางยักษิณีจริง เป็นภาพที่แสดงออกเมื่อท่านปรากฏนี่เอง ตามปกติฉันไม่เห็น แต่ว่าภาพนั้นคงเป็นพยานให้ท่านทราบว่า ฉันยังเป็นคนมีบาป” ถามเธอว่า “เธอทราบไหม ถ้าหมดบุญจากสวรรค์ที่ดาวดึงส์เธอจะไปไหน” เธอก็ตอบว่า “ทราบ เขาจะนำฉันไปไว้นรกขุมที่ ๕”

    ถามเธอว่า “จะไปไหม” เธอก็ตอบว่า “ที่ไปซอยสายลมพระท่านสอนว่า ให้หนีไปพระนิพพาน เวลานี้ฉันตั้งใจไปพระนิพพาน ฉันไปฟังเทศน์ที่พระจุฬามณีเจดียสถานเสมอ ที่บัณฑุกัมพลศิลาอาสน์และที่ประชุมเทวสภา

    ก็มีหลายวาระที่บรรดาพระโพธิสัตว์ท่านมาเทศน์ วันไหนพระโพธิสัตว์ท่านไม่ว่างมา ท่านพระอินทร์ก็เทศน์แทน ท่านเทศน์สงเคราะห์ให้เทวดาทุกองค์บำเพ็ญกุศลต่อ ให้ทุกคนมองดูกรรมดั้งเดิมของตัวเองก่อนที่จะตาย ว่ามีกรรมที่เป็นอกุศลไหมและกรรมที่เป็นอกุศลนั้นทิ้งเราหรือยัง เทวดาและนางฟ้าทุกองค์ก็ปฏิบัติตามท่าน

    รวมความว่าไม่มีเทวดา ไม่มีนางฟ้าองค์ไหนที่ไม่มีบาปกรรมต่อท้ายอยู่เบื้องหลัง ฉะนั้นเทวดาและนางฟ้าทุกองค์ก็ตั้งใจบำเพ็ญกุศลหวังไปพระนิพพาน

    เมื่ออาตมาคุยกับเธอจบก็ถามเธอว่า “มีอะไรสั่งไปถึงทางบ้านบ้างไหม” เธอก็ตอบว่า “ฉันขอสั่งเมื่อท่านเขียนหนังสือแล้วก็บอกเขาด้วยว่า ฉันคนชื่อ ป อยู่หน้า ตายเมื่ออายุ ๕๗ ปี อาชีพเดิมจับปูทะเลและก็ขายปู ต่อมาเมื่ออายุ ๔๐ ปีเศษก็กลายเป็นนักบุญ เวลานี้มีความสุขมาก

    ขอบรรดาลูกหลานทุกคนที่อยู่ในเมืองมนุษย์ที่คิดว่า การฆ่าสัตว์ตัดชีวิตเป็นปัจจัยให้เกิดความสุขแก่ตัวเองนั้น ความจริงไม่จริงมันจะลากไปสู่อบายภูมิ จะมีความทุกข์หนัก มันไม่คุ้มกันกับความสุขนิดหนึ่งที่ทำให้ร่างกายอิ่ม ฉะนั้นขอบรรดาลูกหลานและพี่น้องทุกคนจงละบาปอกุศล ทำงานรับจ้างเขาที่ไม่เป็นบาปดีกว่า..”
     
  2. ตุปั๊ดตุเป๋ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2017
    โพสต์:
    425
    ค่าพลัง:
    +107
    ๒๑.ตายจากหญิงแก่ชอบถวายสังฆทานไปเกิดเป็นนางฟ้าบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก

    “..อุปสรรคเป็นของธรรมดาๆ ท่านทั้งหลายต้องเตรียมพร้อมไว้ก่อนว่า การจะไปไหนก็ดี การจะทำงานทุกอย่างก็ดี แม้แต่การประกอบอาชีพต่างๆ ก็ต้องคิดถึงอุปสรรคก่อน เพราะอุปสรรคต้องมีกับทุกคน

    วันหนึ่งตั้งใจจะไปหาท่านพระยายมราช ก็ลุกจากที่นอนพอเคลื่อนออกจากที่ก็ปรากฏว่ามี หญิงแก่คนหนึ่งผิวขาว รูปร่างเพรียว อายุประมาณ ๗๐ ปี นั่งขวางทาง จึงให้ชื่อเรื่องนี้ว่า “หญิงแก่ขวางทาง” หลีกทางซ้ายเธอก็ขวาง หลีกทางขวาเธอก็ขวาง เดินตรงเธอก็ขวาง จึงถามเธอว่า “เธอจองเวรจองกรรมอะไรกับฉัน ทำไมจึงขวางทางเดินของฉัน

    ฉันจะไปหาท่านพระยายมราชแล้วเธอมาขวางทำไม” เธอก็ยิ้มบอกว่า “ที่ฉันมาขวางเพราะ ฉันยังไม่ต้องการให้ไปหาท่านลุง” ถามเธอว่า “เธอต้องการอะไร” เธอตอบว่า “ตามฉันมา” ก็เลยบอกว่า “ถ้าอย่างนั้น เธอก็นำหน้าฉันจะตามไป”

    เธอก็พาเดินเรื่อยขึ้นไปทางด้านทิศเหนือ ชันขึ้นไปๆ ปรากฏว่าดินแดนนั้นเป็น เขาพระสุเมรุ เป็นทางที่ราบรื่น สวยสดงดงามมาก ขึ้นไปไม่เหนื่อย พอไปถึงยอดเขาพระสุเมรุก็ไปถึงที่ปัญจสิกขเทพบุตร เป็นที่รวมใกล้พระแท่นบัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ เมื่อไปถึงเธอก็นั่ง คิดว่าพาไปหาผู้พิพากษาสวรรค์ชั้นดาวดึงส์

    จึงถามท่านปัญจสิกขเทพบุตรว่า “หญิงคนนี้คือใคร” ท่านก็ตอบว่า “เป็นหญิงคนหนึ่งที่มีคนเขาถามคุณที่ซอยสายลมว่า เธอตายแล้วไปไหน และคุณตอบสั้นๆ ว่า คิดว่าเธอมีความสุขเพราะว่าคนนี้ทำบุญไว้มาก เวลาเขาถามภาพเกิดกับคุณว่าหญิงคนนี้เคยสร้างพระพุทธรูป ถวายผ้าไตรไว้ในพระพุทธศาสนา แต่ความจริงบุญของเธอไม่ได้ทำแค่นั้น

    เธอทำไว้มากกว่านั้น เธอเป็นคนใจบุญ เรื่องบาปเป็นของธรรมดาของคนที่เกิดมาต้องมีบาป แต่เธอเป็นคนใจบุญหนัก เคยถวายสังฆทานที่เป็นอาหารกับพระ ถวายสังฆทานที่เป็นของแห้ง เคยทำบุญบวชพระ ทำบุญทอดกฐิน จิตใจของเธอจริงๆ จับอยู่ที่พระพุทธรูปกับผ้าไตร”

    อาตมาจึงหันมาถามเธอว่า “ความจริงเป็นอย่างนั้นไหม” เธอก็ตอบว่า “เป็นความจริงเจ้าค่ะ” ถามเธอว่า “บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ผู้หญิงแก่ๆ แบบนี้มีกับเขาด้วยหรือ เพราะนางฟ้าก็ดี เทวดาก็ดี พรหมก็ดี ที่มีรูปร่างแก่น่ะไม่มี” เธอก็ตอบว่า “เท่าที่ให้เห็นแก่จะได้ทราบว่าเมื่อตายอายุเท่าไร”

    ถามถึงอาการตายของเธอ เธอบอกว่า “มีอาการร้อนในท้องและก็แน่นในหน้าอกไม่มากนัก ต่อมาศีรษะก็มึน ความร้อนถึงศีรษะตาก็พร่า เวลานั้นจิตใจของเธอไม่ได้นึกอะไรมาก นึกอย่างเดียวว่าเวลานี้เรานับถือพระพุทธเจ้า เราเคยสร้างพระพุทธรูปขนาดหน้าตัก ๙ นิ้ว ไว้ในพระพุทธศาสนา นอกจากนั้นก็ถวายสังฆทานเป็นพระพุทธรูปหน้าตักขนาด ๕ นิ้วบ้าง ๔ นิ้วบ้าง มีผ้าไตร ที่เป็นวัตถุแห้งก็มาก ที่เป็นอาหารก็มาก ภาพทั้งหมดปรากฏกับเธอ

    และเวลานั้นก็ปรากฏ มีภาพแมวกับภาพสุนัขที่เธอเลี้ยงไว้ ให้ความเมตตาปรานี เจ้าแมวกับเจ้าสุนัขที่มาหมอบอยู่ข้างๆ จิตเธอก็มีความรักในมัน อาศัยภาพทั้งหลายเหล่านี้ปรากฏ ทุกขเวทนาที่ปรากฏในร่างกายมันก็สลายตัวไปเพราะจิตไม่เกาะ จิตไปเกาะภาพพระพุทธรูปบ้าง จิตไปเกาะผ้าไตรบ้าง การถวายสังฆทานบ้าง เวลานั้นอารมณ์เป็นสุข”

    ต่อมาก็เห็นภาพพระพุทธเจ้าเสด็จมาสว่างใสสะอาดมาก รูปร่างลักษณะโปร่ง ผิวขาวค่อนข้างเหลือง ริมฝีปากแดง สวยมาก ทรงแย้มพระโอษฐ์ จิตใจเธอก็จับพระพุทธเจ้า ต่อมาอีกนิดหน่อยก็เห็นเทวดากับนางฟ้ามีความสวยสดงดงามมากมาชวนเธอว่า

    “ขอให้ไปสวรรค์ด้วยกันเถิด ฉันอยู่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์” แต่เท่าที่ปรากฏเวลานั้นมีเฉพาะเทวดากับนางฟ้าบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์เท่านั้น เธอก็ติดใจนางฟ้า ในที่สุดจิตออกจากร่าง รูปร่างหน้าตาก็เป็นนางฟ้าสวยสดงดงาม”

    เมื่อเธอพูดจบก็ปรากฏว่าร่างกายแก่หายไป มีร่างกายเป็นนางฟ้าสวยสดงดงามแพรวพราวเป็นระยับ สวยมาก จึงถามว่า “เท่าที่บอกให้ตามมานี้ต้องการจะให้รู้อะไร” เธอก็ตอบว่า “อยากจะเล่าให้ฟังเรื่องราวจริงๆ ที่ท่านตอบเขาวันนั้น ยังตอบน้อยไป”

    ก็เลยบอกว่า “ฉันกำลังป่วยมากและก็เหนื่อยมาก คอก็แห้งเสียงไม่ออก เห็นภาพชัดๆ แค่พระพุทธรูปกับผ้าไตรลอยอยู่ข้างหน้าเธอ” เธอก็บอกว่า “ต้องการให้ทราบตามนี้” จึงถามต่อไปว่า “ต้องการอะไรอีก” เธอถามว่า “อยากจะดูวิมานฉันไหม” ตอบเธอว่า “อยากจะดูและวิมานของเธอได้มาจากอะไร”

    เธอก็ตอบว่า “สังฆทานถังที่ถวายท่าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเงินที่ถวายร่วม ท่านนำไปใช้เป็นสังฆทานบ้าง สร้างวิหารทานบ้าง สร้างพระพุทธรูปบ้าง ฉะนั้นอาศัยที่เงินของฉันมีส่วนในวิหารทาน ฉันจึงมีวิมาน”

    ถามว่า “วิมานของเธออยู่ที่ไหน” เวลานั้นก็ปรากฏมีวิมานทองคำลอยมาแต่ว่าบนยอดเป็นแก้ว พื้นของวิมานเป็นทองคำสวยสดงดงามมาก มีนางฟ้า สวยสดงดงามประจำอยู่ ๓,๐๐๐ องค์ บรรดานางฟ้าทั้งหลายเห็นเธอเข้าก็ลงมาไหว้

    ถามเธอว่า “วิมานของเธอเป็นทองคำเพราะอาศัยบุญอะไร” เธอตอบว่า “อาศัยบุญวิหารทานบ้าง สังฆทานบ้าง เลี้ยงสัตว์บ้าง แต่กำลังใจต่ำไปนิดจึงได้วิมานทองคำ” ถามว่า “ยอดวิมานของเธอแทนที่จะเป็นทองคำอย่างวิมานอื่น กลับกลายเป็นแก้วแพรวพราวเป็นระยับ”

    เธอตอบว่า “ที่เป็นแก้วเพราะ ฉันชอบใจเฉพาะยอดมณฑป ตั้งแต่หลังคาขึ้นไปเบื้องบนของมณฑป แต่ความสนใจในตัวอาคารของมณฑปน้อยไป ถ้าเข้าไปที่นั่นเห็นพระก็มีจิตชุ่มชื่น ฉันพอใจพระทุกองค์ จิตติดใจในพระตายแล้วก็ได้วิมานอย่างนี้”

    ถามเธอว่า “นอกจากนี้เธอมีอะไรอีกไหม” เธอตอบว่า “ท่านจะไปเขียนหนังสือเล่มนี้เป็นเล่มที่ ๖ อยากจะฝากไปถึงลูกถึงหลานเขาจะได้ทราบ บอกเขาว่า ฉันเป็นหญิงเชื้อชาติจีน เป็นจีนทั้งพ่อและแม่ เกิดมาในตระกูลของจีน แต่ว่าอยู่ในเขตพระพุทธศาสนาตั้งแต่เด็ก

    ชอบการให้ทาน เรื่องความโกรธความไม่ชอบใจก็มีบ้างเป็นของธรรมดา ศีลก็รักษาบ้าง ตอนเด็กๆ ก็ไปวัดกับแม่ แม่ให้ใส่บาตรก็ใส่บาตรบ้าง ทั้งๆ ที่ไม่รู้เรื่องว่าใส่บาตรมีอานิสงส์อะไรก็ได้บุญ เวลาพระเทศน์ก็ตั้งใจฟังบ้างไม่ตั้งใจฟังบ้าง คิดเรื่องอื่นบ้างถึงแม้ไม่สมบูรณ์แบบแต่ก็ได้บุญ

    ต่อมาก็ชอบในการถวายสังฆทานมาก การเลี้ยงพระก็ชอบ เลี้ยงพระก็เป็นสังฆทาน สังฆทานแห้งก็ชอบ ที่ชอบมากที่สุดก็คือ สังฆทานที่มีพระพุทธรูป มีผ้าไตร และมีอาหารแห้งโดยเฉพาะอย่างยิ่งติดตาติดใจพระพุทธรูปกับผ้าไตร

    ตอนต้นถวายพระพุทธรูปองค์เล็กๆ จิตใจก็ไม่ชุ่มชื่น อยากได้องค์ใหญ่ๆ ก็เลยทำบุญด้วยพระพุทธรูปหน้าตัก ๙ นิ้ว เพราะในโลกเขาถือเลข ๙ กัน อะไรๆ ก็เลข ๙ แต่ความจริงเลข ๙ ไม่ได้มีความหมายเด่นไปกว่านั้น

    ถ้าหากว่าฉันฉลาดฉันจะถวายพระ ๑๒ นิ้ว เป็นพระพุทธชินราชจะดีมาก เพราะสวยสดงดงามมาก แต่ทีนี้คนข้างๆ บ้านบ้าง เพื่อนกันบ้าง ลูกหลานบ้าง เขาบอกว่า ๙ ดี แต่ความจริง ๙ หน้า ๙ หลังนี่มันไปไม่ไกล ก้าวหน้าไป ๑ ก้าวถอยหลังไป ๑ ก้าว ก้าวเท่าไรก็อยู่แค่นั้น”

    รวมความว่าน่าจะไปสูงกว่านี้ แต่กำลังใจดีไม่สมบูรณ์แบบ ก็อยากจะแนะนำให้ลูกหลานจงจำไว้ว่า ขึ้นชื่อว่าบาป ทำกันแล้วก็พอกันเสียที ให้พยายามทรงความดี อย่างน้อยจิตใจตั้งอยู่ในทาน คิดว่าทานการให้จะมีในเรา

    ประการที่สองศีลรักษาทุกวันไม่ได้ก็รักษาบ้างเป็นประจำวัน

    ประการที่สามกิจที่ฉันทำคือ ฉันบูชาพระทุกวัน ตอนหัวค่ำกับตอนเช้าตรู่ ฉันไม่มีเวลาภาวนามากแต่อาศัยการบูชาพระเป็นกำลัง ฉันติดใจในภาพพระพุทธรูปมาก

    เวลาจะตายภาพพระพุทธรูปจึงปรากฏและในที่สุดพระพุทธเจ้าเสด็จมานี่เป็นปัจจัยให้ฉันเกิดความสุข ถ้าหากท่านไปพบลูกหลานของฉันบอกด้วยว่า “ฉันมีความสุข”

    ต่อมาอาตมาก็หันมาคุยกับท่านปัญจสิกขเทพบุตรถามว่า “หญิงคนนี้ตามบัญชีของท่านมีบุญวาสนาบารมีถึงไหน” ท่านตอบว่า “ท่านหมายถึงนิพพานใช่ไหม” ตอบว่า “ใช่”

    ท่านก็ตอบว่า “ยัง กำลังบารมียังอ่อนอยู่ ยังไปนิพพานไม่ได้ ทั้งนี้เว้นไว้แต่ว่าถ้าเธอมาอยู่บนสวรรค์แล้ว ตั้งใจบำเพ็ญความดีเพื่อนิพพานต่อไป อาจจะไปได้ แต่เรื่องนี้ก็ไม่ใช่เรื่องของเทวดาหรือพรหมจะพยากรณ์ เป็นหน้าที่ขององค์สมเด็จพระชินวรจะพยากรณ์แต่พระองค์เดียว แต่ถ้าเธอทำความดี ความดีก็จะช่วยเธอ”

    ขอบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายจงรักษาความดี ๔ ประการไว้คือ

    ๑) รู้จักการสงเคราะห์ซึ่งกันและกัน

    ๒) พูดไพเราะ ใช้วาจาดีๆ

    ๓) ช่วยเหลือการงานซึ่งกันและกัน

    ๔) ไม่ถือตัว

    คุณธรรม ๔ ประการนี้จะเป็นปัจจัยให้ท่านทั้งหลายมีความสุข เพราะความรักกัน..
     
  3. ตุปั๊ดตุเป๋ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2017
    โพสต์:
    425
    ค่าพลัง:
    +107
    ๒๒.ท่านท้าวเทพกษัตรีกับท่านท้าวศรีสุนทรได้มาบอกว่าท่านอยู่บนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก

    “..ถ้าใครไปเที่ยวจังหวัดภูเก็ต ผ่านอำเภอถลางจะเห็นอนุสาวรีย์ของวีรสตรี ๒ ท่าน คือ ท่านท้าวเทพกษัตรีกับท่านท้าวศรีสุนทร ประวัติของท่านมีดังนี้ ท่านท้าวเทพกษัตรี เดิมชื่อ “จัน” กับน้องสาวคือ ท่านท้าวศรีสุนทร เดิมชื่อ “มุก” เป็นชาวเมืองถลาง จังหวัดภูเก็ต เกิดในสมัยรัชกาลที่ ๑ กรุงรัตนโกสินทร์

    บิดาเป็นเจ้าเมืองถลาง คุณจันกับคุณมุกได้ฝึกฝนวิชาต่อสู้ด้วยอาวุธอย่างคล่องแคล่วชำนาญและมีความกล้าหาญ เมื่อเจ้าเมืองถึงแก่กรรม คณะกรรมการเมืองก็แต่งตั้งสามีคุณจันขึ้นเป็นเจ้าเมืองถลาง

    ต่อมาสามีคุณจันถึงแกกรรม พม่าก็ยกทัพมาตีเมืองถลาง ทั้งสองท่านได้ประชุมปรึกษากับคณะกรรมการเมือง โดยคิดอุบายลวงข้าศึก ได้รวบรวมผู้หญิงราว ๕๐๐ คน ให้แต่งตัวเป็นผู้ชายโพกศีรษะ พอถึงเวลากลางคืนใช้ทางมะพร้าวทำเป็นอาวุธถือเดินแปรขบวนระหว่างค่ายทุกวัน

    ตอนกลางวันก็เข้าทำเป็นกองหนุนเข้าสมทบในค่าย จนข้าศึกคิดว่าไทยมีกำลังหนุนอยู่เสมอ จึงนำทัพถอยร่นไป คุณจันจึงสั่งระดมยิงปืนใหญ่เข้าไปในกองทัพพม่า พม่าตกใจต่างหนีลงเรือแล่นออกจากอ่าวไป เมื่อศึกสงบแล้วรัชกาลที่ ๑ โปรดให้แต่งตั้งคุณจันเป็น “ท้าวเทพกษัตรี” และคุณมุกน้องสาวเป็น “ท้าวศรีสุนทร”

    วีรกรรมของท่านทั้งสองจึงเป็นเกียรติประวัติแก่ชาติไทยสืบมาจนทุกวันนี้ อนุสาวรีย์ของวีรสตรีทั้งสองท่านตั้งอยู่ที่ตำบลท่าเรือ สี่แยกเมืองถลาง จังหวัดภูเก็ต องค์พี่จูงมือน้องสาว มือขวาถือดาบ นุ่งโจงกระเบนใส่เสื้อแขนกระบอกมีตะเบ็งมาน ผมทรงดอกกระทุ่ม เป็นสำริดสีดำทั้งสององค์

    เมื่อวันที่ ๗ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๑๗ อาตมาเดินทางไปภาคใต้ ได้นั่งรถผ่านอำเภอถลาง จังหวัดภูเก็ต เห็นอนุสาวรีย์ของวีรสตรีทั้งสองท่าน จึงคิดว่าเรามาอยู่บนแผ่นดินของท่านทั้งสองผู้มีพระคุณใหญ่ที่รักษาผืนแผ่นดินนี้ไว้

    ถ้าเวลานั้นไม่มีท่านทั้งสองก็ยังไม่แน่นักว่าจังหวัดภูเก็ตจะเป็นของเราหรือเป็นของใคร ก็เลยมีความคิดว่าท่านทั้งสองตายแล้วไปอยู่ที่ไหน ถ้าพบได้ก็จะดี พอคิดเพียงเท่านี้ก็ปรากฏว่าท่านทั้งสองมาปรากฏอยู่ที่ข้างรถพอดี มายกมือไหว้ให้เห็นรูปร่างหน้าตาของท่านในสมัยที่ท่านเป็นแม่ทัพ ท่านบอกว่า “ท่านอยู่บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์”

    อาตมาจึงถามว่า “การสงครามต้องฆ่าคนตายไปสวรรค์ด้วยหรือ” ท่านยิ้มแล้วก็ถามว่า “ท่านก็เคยเป็นแม่ทัพมาเคยเป็นทหารมา เคยฆ่าคนมาเป็นอันมากและก็เคยฆ่าสัตว์ตัดชีวิตมาเป็นอันมาก ทำไมถึงไม่ลงนรกบ้างล่ะ”

    อาตมาตอบว่า “เรื่องก่อนเกิดจำไม่ได้และเรื่องของท่านจะรู้ได้อย่างไร ให้เล่าว่าเป็นคนวางนโยบายฆ่าคนเป็นจำนวนมากแล้วไปดาวดึงส์ได้อย่างไร” ท่านก็ตอบว่า “ฉันทำบาปได้ฉันก็ทำบุญได้ การทำบาปคราวนั้นฉันพลีชีวิต เลือดเนื้อ สติปัญญา กำลังกายกำลังใจ ก็เพื่อความสันติสุขของประชาชนส่วนมาก ฉันไม่ได้ทำเพื่อส่วนตัว จะตั้งฉันเป็นตำแหน่งอะไรก็ตาม นั่นเป็นเรื่องของพระราชาผู้ตั้ง

    เวลาทำฉันไม่ได้ต้องการแบบนั้น เมื่อทำแล้วฉันรู้ว่าเป็นบาปก็เลยทำบุญทำกุศล ทำจิตของตนให้ผ่องแผ้ว เวลาตายแล้วก็ไปสวรรค์” ท่านพูดแล้วท่านก็ยิ้ม

    อาตมามองไปที่อนุสาวรีย์แล้วก็มองรูปโฉมลักษณะของท่านที่มาปรากฏให้เห็นแต่งตัวเป็นแม่ทัพในสมัยนั้น คล้ายคลึงรูปจริงๆ ของท่านมาก แสดงว่าท่านทั้งสองคงดลใจให้คนปั้นรูปท่าน ปั้นได้คล้ายคลึงความเป็นจริงของท่านมาก
     
  4. ตุปั๊ดตุเป๋ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2017
    โพสต์:
    425
    ค่าพลัง:
    +107
    ๒๓.ปลูกต้นมะม่วงล้อมวิหาร ตายจากคนไปเกิดเป็นนางฟ้าบนแดนสวรรค์

    “..วันที่ ๒ ตุลาคม ๒๕๓๑ เวลา ๓.๐๐ น. หลังจากเดินจงกรมแล้ว จึงหยิบหนังสือพระไตรปิฎกมาอ่าน พอเปิดก็พบวิมานวัตถุพอดี อ่านดูแล้วคิดว่าดี ท่านอ้างว่าเป็นปฏิปทาของ พระโมคคัลลาน์ เรื่องการเที่ยวสวรรค์ นรกนี้เป็นปกติธรรมดาของทุกท่านที่ปฏิบัติธรรมในพระพุทธศาสนา ถ้ามุ่งเอาจริงตาม อิทธิบาท ๔ แล้วไม่พ้นความสามารถ ท่านเขียนไว้อย่างนี้

    ท่านพระโมคคัลลาน์ท่านไปสวรรค์ ท่านไปพบเทพธิดาองค์หนึ่ง ร่างกายเธอมีแสงสว่างไปทั่วจักรวาล มีสวนมะม่วงรื่นรมย์ เป็นสวนที่มีต้นมะม่วงแพรวพราวสว่างไสวมากเหมือนเอาเพชรมาประดับไว้ ภายในสวนมีวิมานใหญ่ มีโคมดวงใหญ่สว่างไสวมาก มีเสียงดนตรีและนางเทพอัปสรมาก

    ท่านโมคคัลลาน์ถามนางฟ้าองค์นี้ว่า “อยากทราบว่าเมื่อเป็นมนุษย์ เธอทำบุญอะไรไว้จึงมีทิพยสมบัติประเสริฐอย่างนี้” เธอตอบว่า “สมัยเป็นมนุษย์ฉันมีจิตเลื่อมใสได้สร้างวิหารถวายสงฆ์แล้วปลูกต้นมะม่วงล้อมวิหารนั้น (วิหารคือ กุฏิใหญ่) เมื่อสร้างเสร็จจึงฉลอง ล้อมต้นมะม่วงด้วยผ้า เอาผ้าทำเป็นผลมะม่วงแล้วประดับด้วยโคมไฟไว้ที่ต้นมะม่วง

    นิมนต์พระมาฉันภัตตาหาร แล้วถวายวิหารแด่พระสงฆ์ ด้วยบุญเพียงเท่านี้จึงมีสวนมะม่วงน่ารื่นรมย์ มีวิมานใหญ่กว้างขวางในสวนมะม่วงนั้น มีเสียงกึกก้องด้วยเสียงดนตรี และเกลื่อนกล่นด้วยนางเทพอัปสร

    และวิมานนี้มีประทีปดวงใหญ่ประจำ มีแสงสว่างไสวมาก เพราะถวายแสงสว่าง ด้วยบุญแบบนี้ฉันจึงมีวรรณะคือ ผิวงามและแสงสว่างออกจากกายไปทั่วทุกทิศ”

    ที่อาตมาเอาเรื่องนี้มาเล่าให้ฟัง ก็เพราะเห็นว่าทุกท่านทำบุญอย่างนี้แล้ว จึงต้องการให้ทราบอานิสงส์ที่จะพึงได้ เมื่อยังไปพระนิพพานไม่ได้ก็จะได้ทราบว่ามีที่พักบนสวรรค์น่ารื่นรมย์ใจอย่างนี้ แต่ทางที่ดีควรไปพระนิพพานดีกว่า ไม่ต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิดพบกับความทุกข์อีกต่อไป..”
     
  5. ตุปั๊ดตุเป๋ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2017
    โพสต์:
    425
    ค่าพลัง:
    +107
    ๒๔.ตายจากมนุษย์ไปเกิดเป็นพระกาล เป็นเทวดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก

    “..อาตมาขึ้นไปที่เทวสภาเพื่อไปหาพระกาลตามที่พระยายมราชบอก ก็พอดีท่านพระกาลออกมาจากที่ประชุมตอนนี้ท่านไม่แต่งชุดสีน้ำเงินแก่ ท่านแต่งเป็นเทวดาสวยมาก เพชรแพรวพราวเป็นระยับเต็มองค์ทั้งหมด เสื้อผ้าทั้งหมดที่จะว่างจากเพชรไม่มี และมีแสงสว่างมาก การมีเพชรก็ต้องสังเกตว่า ถ้าธรรมดาๆ เพชรจะสว่างไม่มาก

    แต่ถ้าเป็นพระอริยเจ้าเพชรจะสว่างมากขึ้น แต่ว่าท่านพระกาลท่านเป็นเพชรขนาดพระอนาคามี ก็มีความดีใจเพราะเห็นพระอริยเจ้า อาตมาจึงถามท่านว่า “เวลาท่านไปบอกว่าจะตาย ทำไมไม่ตายตามเวลา เทวดามีการโกหกด้วยหรือ”

    ท่านก็ตอบว่า “ผมไม่ได้โกหก ที่ผมไปบอกผมเห็นท่านไม่เกรงความตาย จะได้ตั้งใจให้มันแน่วแน่หลังจากบอกท่านแล้วท่านก็ปกติ ท่านก็ยอมรับว่าพร้อมแล้วเรื่องการตาย”

    ท่านบอก “ไม่ใช้คำว่าตายเขาใช้คำว่าไป ไปจากที่นี่ไปที่โน่น” ท่านบอกอีกว่า “ท่านไปนอนอยู่ที่นิพพานสบายใจผมก็เห็น ถึงเวลาตี ๓ ท่านลงมาผมก็เห็น” จึงถามว่า “เทวดาไม่หลับกันหรือ” ท่านก็บอกว่า “เมืองเทวดาก็ดี เมืองพรหมก็ดี เมืองนิพพานก็ดี ไม่มีกลางคืนกลางวัน เพราะไม่มีแสงอาทิตย์ ไม่มีแสงจันทร์ มันสว่างตลอดเวลา

    สามแดนนี่ไม่มีการเหน็ดเหนื่อยไม่ต้องทำงานทำการ มีงานทางใจอย่างเดียว นึกจะไปไหนมันก็ถึงที่นั้นนึกอยากจะได้อะไรมันก็ปรากฏ ใช้ใจอย่างเดียว เมืองที่ดีจริงๆ ก็คือเมืองนิพพาน มีความสุขตลอดกาลไม่ต้องมีการเปลี่ยนแปลง”

    ท่านบอกอีกว่า “หน้าที่ของผมที่จะพึงรับทราบว่าใครจะเกิดหรือใครจะตายใครจะจนหรือใครจะรวย ใครตายแล้วไปอยู่ที่ไหนเป็นหน้าที่ของผม โดยเฉพาะอย่างยิ่งบัญชีที่ต้องการให้รู้จริงๆ คือบัญชีที่ท่านพระยายมราชเพราะบันทึกไว้ทั้งบุญและบาป

    แต่บัญชีของผมบันทึกไว้แต่เฉพาะบุญอย่างเดียว ใครจะขึ้นมาอยู่สวรรค์ชั้นไหนผมรู้หมด และก่อนที่เขาจะขึ้นมาผมก็รู้ และใครจะตายเมื่อไรผมก็รู้” ถามว่า “ท่านเป็นพระกาลเพราะอะไร” ท่านบอกว่า “ตามวิสัยของผม สมัยเมื่อเป็นมนุษย์ผมก็เป็นนักบวชอย่างท่าน ผมบวชได้ไม่นานนักเพียงแค่ ๑๐ พรรษาผมก็ต้องตายในขณะเป็นพระ”

    ถามว่า “สมัยที่บวชได้อะไร” ท่านตอบว่า “สมัยที่บวชผมได้อภิญญา โดยเฉพาะความเป็นพระอริยเจ้าก็แค่พระสกิทาคามี เมื่อตายไปแล้วก็ปฏิบัติตนถึงพระอนาคามี และเวลาที่บวชอยู่ก็ดี เป็นฆราวาสก็ดีผมชอบรู้กาลเวลาของคนและของ เวลาไหนใครจะไปไหน เรียกว่าเป็นหมดดู ผมใช้ทิพย์จักขุญาณเป็นเครื่องดู รอบรู้ไปหมด

    ไอ้ตัวอยากรู้อยากเห็นอย่างนี้ เมื่อตายแล้วเขาเกณฑ์ให้เป็นพระกาลเพราะนิสัยเดิมชอบอย่างนั้น และผมเองก็ชอบรู้ทั้งหมด คนทั้งโลกผมรู้หมดแต่ไม่มีหน้าที่จะพูด”

    ถ้าบรรดามนุษย์มาคุยกับผมได้ จะสนุกมาก ผมชอบคุยแต่ทว่าไม่มีใครมาคุยกับผม คนที่เขาเป็นพิสูจน์เขาบอกว่า นรกสวรรค์พิสูจน์ไม่ได้ ผมฝากไปบอกเขาด้วยว่า ถ้าอยากพิสูจน์ได้อย่างอ่อนเอาอย่างเล็กๆ เบาๆ ให้ฝึกสองในวิชชาสามให้ได้ ก็จะเห็นรกได้ เห็นเปรตได้ เห็นอสุรกายก็ได้ เมืองมนุษย์อยู่ขอบเขตแค่ไหนก็เห็นได้ สวรรค์ก็เห็นได้ พรหมโลกก็เห็นได้ ถ้าจิตสะอาดเห็นพระนิพพานได้ นี่อย่างเด็กๆ

    เห็นได้แล้วแต่ไปไม่ได้ ถ้าอยากจะไปให้ได้ด้วยก็ต้องฝึกอภิญญาอย่างอ่อนแล้วก็อย่างแก่ อย่างผมนี่สมัยที่เป็นมนุษย์เวลาจะไปไหนผมลิ่วลอยไปทั้งตัวเลย ไม่ใช่ไปเฉพาะอทิสสมานกาย แต่การไปทั้งตัวอย่างเข้มแข็งมันไม่ดี เพราะมันเหนื่อยต้องไปสู้แดด สู้ฝน สู้ลม สู้แบบถอดจิตหรือถอดกายภายในไปไม่ได้ อันนี้ดีกว่ามาก

    ไม่มีใครเห็นและก็ไม่ต้องใช้นีลกสิณไปบังไม่ให้เขาเห็น อย่างนี้ก็ไม่มีใครเห็นอยู่แล้ว ไม่นั่งตักเขายังไม่รู้เลย เขานั่งคุยกันสองคน เราไปนั่งกลางเขายังไม่รู้เลย อย่างนี้ดีกว่า อย่างท่านมานี่ท่านก็มาแต่กายในไม่ใช้กายนอกมา กายนอกนอนแหงแก๋อยู่ที่กุฏิ นั่นดูสิ กายนอกมันบิดไปบิดมา ตะคริวกินเห็นไหม”

    ก็เลยบอกว่า “ปล่อยให้ตะคริวมันกินเข้าไป มันอยากจะกินเนื้อดิบๆ ก็กินเข้าไปเถอะตามใจมัน ฉันไม่สนใจมันหรอก ถ้ามันตายเมื่อไรฉันก็ไม่กลับเมื่อนั้น” ถามท่านว่า “ต่อไปประเทศไทยจะเป็นอย่างไร” ท่านตอบว่า “ไทยยังคงเป็นไทยตลอดไปอยู่ตลอดกาลตลอดสมัย เพราะคนไทยมีคนที่มีบุญมากปกครองอยู่”

    ถามว่า “ใคร” ท่านบอกว่า “พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลปัจจุบัน ท่านเป็นพระโพธิสัตว์ ถ้าพระโพธิสัตว์ครองที่ไหนรุ่งเรืองที่นั่น”

    ท่านพระกาลได้บอกกับอาตมาว่า “เวลานี้ผมเป็นพระอนาคามี เป็นเทวดาอยู่บนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก ผมไม่กลับไปเกิดอีกแล้ว ผมจะต่อนิพพานโดยตรง”

    ถามว่า “นานไหม” ท่านบอกว่า “ไม่นานหรอก ท่านตายแล้วไม่กี่วันผมก็ตามไป”
     
  6. ตุปั๊ดตุเป๋ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2017
    โพสต์:
    425
    ค่าพลัง:
    +107
    ๒๕.ท่านมาฆมาณพตายจากมนุษย์ไปเกิดเป็นท่านพระอินทร์ หัวหน้าเทวดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก

    “..พระแท่นบัณฑุกัมพลศิลาอาสน์บนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก มีบริเวณล้อมรอบไปด้วยกำแพงแก้ว ๗ ประการ พื้นก็เป็นแก้ว ๗ ประการ มีพระแท่นแก้วใหญ่มาก และรอบๆ นั้นทางด้านทิศใต้และทิศเหนือก็มีสวนสวย บริเวณกว้างขวาง

    ทั้งหมดนี้เกิดด้วยอำนาจบุญบารมีของท่านพระอินทร์ในสมัยที่เป็นมนุษย์คือ ท่านมาฆมาณพ กับเพื่อนอีก ๓๒ คน ที่ช่วยกับปลูกต้นทองหลางไว้ และก็เอาหินมาวางเป็นแท่น เพื่อให้คนทั้งหลายที่เดินไปเดินมาระหว่างทาง มีความร้อนจะได้นั่งพักให้สบาย ต้นทองหลางบันดาลให้เกิดความเย็นและแท่นหินที่วางไว้ จะได้นั่งพักผ่อนให้หายเมื่อยแล้วก็เดินทางต่อไป เวลาที่ท่านตายจากมนุษย์มีผลคือ

    อานิสงส์ที่ท่านปลูกต้นทองหลาง กลายมาเป็นต้นปาริชาต มีกลิ่นหอมมากเวลาที่มีดอกผุดขึ้นมา

    อานิสงส์ที่ท่านเอาหินมาวางเรียงรายรอบต้นทองหลาง กลายมาเป็นพระแท่นบัณฑุกัมพลศิลาอาสน์

    ท่านมาฆมาณพกับเพื่อนอีก ๓๒ คน รวมเป็น ๓๓ คน เห็นว่าการปลูกต้นไม้ให้เป็นที่พักมีความสบายก็จริง แต่ทว่ายังสบายไม่พอ สร้างศาลาให้คนเดินไปเดินมา เขาจะได้พักเขาจะได้นอนสบาย ก็เลยร่วมมือร่วมใจกันสร้างศาลาขึ้นหนึ่งหลัง

    เวลานั้นก็มีนายช่างอีกคนหนึ่งคือ ท่านวัฒกี และมีช้างตัวหนึ่งที่พระราชาให้มาเป็นพาหนะ เมื่อสร้างเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็ให้เป็นที่พักของคนเพื่อเป็นสาธารณประโยชน์ คนก็ได้พักอาศัย เมื่อคณะของท่านตายแล้ว อานิสงส์แห่งการสร้างศาลาเป็นสาธารณประโยชน์

    ท่านมาฆมานพตายแล้วขึ้นมาเป็นท่านพระอินทร์ มีเวชยันตวิมานตั้งอยู่ตรงกลางเพื่อน เพื่อนอีก ๓๒ คนขึ้นมาเกิดเป็นเทวดา มีวิมานล้อมรอบเวชยันตวิมาน คนละหลังๆ ไม่ต้องไปอยู่หลังเดียวกัน ๓๓ คนนายช่างวัฒกี มาเกิดเป็น ท่านวิษณุกรรมเทพบุตร มีวิมานอีกหลังหนึ่ง ช้างที่ช่วยเป็นพาหนะบรรทุกไม้ ลากไม้ เป็นเครื่องทุ่นแรง ก็มาเกิดเป็นเทวดามีนามว่า เอราวัณเทพบุตร มีวิมาน ๑ หลังเหมือนกัน ไม่ต้องรวมกับใคร

    นอกจากเวชยันตวิมานแล้ว ทางด้านทิศใต้มองข้ามสวนจิตรลดาวันไป จะพบสระโบกขรณี เป็นสระใหญ่มากมีท่าเป็นที่ลงมากมาย น้ำในสระก็แพรวพราวใสสะอาด มองแล้วคล้ายๆ กับแก้วต้องแสงอาทิตย์ดูระยิบระยับ สระนี้เกิดขึ้นจากอำนาจของ ๓๓ ท่าน มีท่านมาฆมาณพเป็นประธาน

    เมื่อสร้างศาลาแล้วก็มาคิดว่า คนเดินมาร้อนมานั่งที่ศาลาต้องการน้ำกิน จะอาบน้ำอาบท่า จะได้เกิดความสบายมากขึ้น ท่านก็พากันขุดสระขึ้น ขุดแล้วมีตานํ้า น้ำใสขึ้นมา คนที่มาพักที่ศาลาก็ได้กินได้อาบมีความสุข

    เมื่อเวลาที่ท่านทั้งหลายเหล่านั้นตายแล้วขึ้นมาเป็นเทวดา สระในเมืองมนุษย์ก็ตามมาเป็นสระโบกขรณีแต่เป็นสระที่ใหญ่กว่า มีนํ้าใสสะอาดกว่า สวยสดงดงามกว่า เป็นที่สบายของบรรดาเทวดาและนางฟ้าทั้งหลายชอบเล่นน้ำในสระนี้

    ที่มาของเทวสภา
    ท่านมาฆมาณพในสมัยที่เป็นมนุษย์ท่านมีภรรยา ๔ คน คนแรกชื่อ ท่านสุธรรมา คนที่สองชื่อ สุจิตรา คนที่สามชื่อ สุนันทา และคนสุดท้ายชื่อ สุชาดา อาศัยที่ท่านมีเมียมาก เมียคงจะทะเลาะกันมาก ท่านคงจะรำคาญเบื่อผู้หญิง

    คิดว่าต่อต่อแต่นี้ไปเราทำบุญอะไรก็ตาม เราจะไม่ให้ผู้หญิงร่วมต่อไป ในเมื่อท่านไม่ให้ทำ ท่านเมียใหญ่คือท่านสุธรรมามีความฉลาด เมื่อนายช่างทำศาลายังไม่เสร็จดี ศาลานี่ต้องมีช่อฟ้าจึงจะสวย จึงไปจ้างนายช่างทำช่อฟ้าให้พอเหมาะกับศาลาแล้วสลักชื่อว่า “ศาลาสุธรรมา” แล้วบอกว่า “ต่อไปสร้างศาลาเสร็จ ถ้าพวกผู้ชายเขาต้องการช่อฟ้าก็อย่าทำให้นะ มาเอาช่อฟ้าของฉันนี่ไปใส่ ฉันให้เงินพิเศษ ๑ พันกหาปณะ”

    เงินมันเข้าใครออกใครที่ไหน นายช่างทำแล้วก็ปิดปากเงียบ เมื่อทำศาลาเสร็จ ท่านมาฆมาณพกับเพื่อนก็จะทำช่อฟ้า นายช่างบอกทำไม่ได้ไม้มันสด ช่อฟ้าต้องใช้ไม้แห้งๆ ทำถ้าเอาไม้สดๆ ไปทำต่อไปช่อฟ้าแห้งจะหมองดูไม่สวย

    ท่านก็บอกถ้าอย่างนั้นก็ไปหาซื้อ หาไปหามาก็หาไม่ได้ นายช่างก็แนะนำว่าบ้านของท่านสุธรรมามีช่อฟ้า ท่านมาฆมาณพก็บอกว่าไปขอซื้อเขา ท่านสุธรรมาบอกว่า “ถ้าไม่ให้ร่วมบุญร่วมกุศลก็ไม่ขายแน่” ท่านมาฆมาณพก็ไม่ยอมรับเพราะไม่อยากคบผู้หญิง แต่ในที่สุดท่านก็จนใจยอมรับ เอาช่อฟ้าของสุธรรมาไปสวมกับศาลาก็พอดี

    ตอนนี้ท่านมาฆมาณพกับเพื่อนอีก ๓๒ คน รวมทั้งช่างอีกคนหนึ่งกับช้างรวมเป็น ๓๕ ทำกันเกือบตายไม่มีชื่อไปมีชื่อท่านสุธรรมาคนเดียว ใครไปใครมาก็เห็นเขียนชื่อท่านสุธรรมา

    เมื่อท่านสุธรรมาตายจากคนก็มาเป็นชายาของท่านพระอินทร์ ศาลาหลังนั้นก็ตามขึ้นมามีชื่อว่า “ศาลาสุธรรมา” เหมือนกัน เป็นศาลาที่ประดับประดาไปด้วยแก้ว ๗ ประการ มีแท่นที่ประทับของท่านพระอินทร์สวยสดงดงามมาก ศาลานี้เป็นที่ประชุมของเทวดา ที่เรียกว่า เทวสภา หรือ ธรรมสภา หรือ ศาลาสุธรรมา

    รวมความว่าศาลาหลังนี้มีชื่อของท่านสุธรรมาชื่อเดียว แต่ท่านมาฆมาณพกับเพื่อนอีก ๓๒ คน รวมทั้งนายช่างและช้าง ตายแล้วไปเกิดเป็นเทวดามีวิมานกันคนละหลัง ทั้งที่ศาลาหลังนั้นไม่มีชื่อทั้ง ๓๓ คนเลย ท่านสุธรรมาเองตายแล้วไปเกิดเป็นนางฟ้าก็มีวิมานอีก ๑ หลัง เจ้าของช่อฟ้าก็มีวิมาน ๑ หลังเหมือนกัน

    ฉะนั้น บรรดาพุทธบริษัททุกคนที่สร้างแล้วไม่ชื่อที่ศาลา ที่กุฏิ ที่โบสถ์ ที่วิหารก็ตาม ก็อย่าไปสนใจเรื่องชื่อ สนใจเรื่องศรัทธาเป็นสำคัญ ศรัทธาเรามีแล้วเราบริจาคแล้ว เราทำแล้ว ชื่อในเมืองมนุษย์จะเป็นชื่อใครก็ตาม แต่ว่าอานิสงส์ทุกท่านย่อมได้เหมือนกัน

    สวนจิตรลดา
    ท่านสุจิตราเป็นภรรยาคนที่ ๒ ท่านก็มานึกในใจว่า ท่านมาฆมาณพซึ่งเป็นสามี สร้างศาลา ปลูกต้นไม้ สร้างแท่นหิน ขุดสระ เป็นบุญสาธารณประโยชน์ ท่านสุธรรมาก็มีความฉลาดสร้างช่อฟ้าสวมศาลา เหมาศาลาหลังนั้นทั้งหมดแต่ผู้เดียว แต่อานิสงส์ได้ทุกคน

    ท่านก็คิดว่าอีกแถบหนึ่งของสระยังไม่มีสวนกับคนมาพักผ่อนที่ศาลาก็ดี อาบน้ำก็ดี อาจต้องการเดินเล่นในสวน ต้องการความสวยงาม ความสดชื่นจากดอกไม้และใบไม้ หรือดมดอกไม้หอมๆ เอาดอกไม้ไปนั่งดูบ้าง ทัดทรงบ้าง ติดอกบ้าง อย่างนี้ความสุขจะเพิ่มพูนขึ้น จึงได้สั่งคนไปปลูกสวนดอกไม้ไว้ใกล้ๆ กับสระ จัดสรรดอกไม้ที่ดีทุกประเภทมีไว้ให้ทุกอย่าง

    เมื่อดอกไม้ออกดอกงามสะพรั่งก็เป็นที่ชื่นใจของคนเดินทางมานั่งพักเห็นเข้าก็ชื่นใจ เมื่อท่านสุจิตราตายจากความเป็นคนก็ไปเกิดเป็นนางฟ้าบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก เพราะอานิสงส์สร้างสวนดอกไม้ไว้เป็นสวนสาธารณะ เป็นเหตุให้ได้วิมานใหญ่โตสวยสดงดงาม ๑ หลัง และมีสวนจิตรลดาวันเป็นสวนดอกไม้ข้างๆ สระโบกขรณี เป็นที่ยินดีและชอบใจของเทวดาและนางฟ้า

    สวนนันทวัน
    ท่านสุนันทาเป็นภรรยาคนที่ ๓ เห็นท่านสุจิตราปลูกสวนดอกไม้ท่านก็คิดว่าคนที่เดินทางมาอาจจะหิว ในเมื่อมีศาลาพัก มีนํ้ากินนํ้าอาบ มีดอกไม้ทัดทรง แต่ยังขาดอีกอย่างหนึ่งคือความอิ่ม ท่านจึงสั่งให้คนปลูกสวนผลไม้มีทุกประเภทที่คนนิยมเวลานั้น มาปลูกข้างๆ สระเป็นสวนใหญ่มาก

    เมื่อคนเดินทางไปมาหิวก็จะได้กินผลไม้แล้วได้พักผ่อน ก็มีความอิ่มหนำสำราญดี เป็นที่ชอบใจของคนเดินทาง เมื่อท่านสุนันทาตายจากความเป็นคนก็ไปเกิดบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก มีวิมานใหญ่โตสวยสดงดงาม ๑ หลัง และมีสวนนันทวันเป็นสวนผลไม้ปลากดขึ้นใกล้ๆ กับสระโบกขรณี อยู่ทางทิศตะวันออกของเวชยันตวิมาน ภายในสวนมีผลไม้ทิพย์ทุกอย่าง

    การสร้างวิหารทาน
    การปลูกต้นไม้ในวัด จะเป็นไม้ดอกหรือไม้ผลก็ตาม กับปลูกในที่สาธารณะมีอานิสงส์ต่างกัน เพราะวัดเป็นเขตของสงฆ์ เป็นพุทธเขต เป็นที่อยู่ของผู้ทรงศีลทรงธรรม ฆราวาสสร้างให้เป็นที่อยู่ของผู้ทรงศีลทรงธรรมแต่ผู้อยู่จะทรงศีลทรงธรรมหรือไม่นั้นเป็นเรื่องของส่วนบุคคล

    แต่จริง ๆ แล้วบรรดาพุทธบริษัทอุทิศตรงเพื่อพระพุทธศาสนาจึงจัดว่าเป็นของสงฆ์โดยตรงเป็นของพระพุทธศาสนาโดยตรง การไปซ่อมแซมวัดก็ดี บำรุงวัดก็ดี สร้างวัดก็ดี สร้างสวนผลไม้ในวัดก็ดี สร้างสวนดอกไม้ในวัดก็ดี ก็ชื่อว่าเป็นผู้มีส่วนบำรุงวิหารทาน ร่วมในการสร้างวิหารทาน คือร่วมกันสร้างกุฏิวิหารเป็นที่อยู่มีความสุข สวนผลไม้ทำให้อิ่มหนำสำราญ มีความสุขดอกไม้สร้างความชื่นใจให้เกิดขึ้นมีความสุข จึงจัดว่าเป็นส่วนหนึ่งของวิหารทาน

    ฉะนั้น อานิสงส์การสร้างในเขตของวัด ก็เหมือนกับท่านอินทกะ ถวายทานแด่พระสงฆ์ในพระพุทธศาสนามีอานิสงส์มาก สำหรับสวนสาธารณะใครก็ได้ คนมีศีลมีธรรมก็ใช้ได้ คนมีศีลมีธรรมกระพร่องกระแพร่งบ้างใช้ก็ได้ คนไร้ศีลไร้ธรรมก็ใช้ได้

    ฉะนั้นอานิสงส์ที่จะพึงได้ก็เหมือนท่านอังกุรเทพบุตร แต่ว่าบรรดาพุทธบริษัทก็จงอย่าเลือกเฉพาะผลใหญ่อย่างเดียว จงเลือกทั้งผลเล็กและผลใหญ่ สิ่งใดใกล้มือคว้าไว้ก่อนหมายความว่าถ้าสวนสาธารณะเขาต้องการต้นไม้ดอกไม้ เราก็ไปร่วมกับเขา

    อย่าลืมว่าข้าวแต่ละจานย่อมมีค่า ข้าว ๑ กาละมังใหญ่ก็มีค่า ข้าวแต่ละจานแม้จะน้อยกว่ากาละมัง แต่หลายๆ จานเข้าก็สามารถเต็มกาละมังได้ฉันใด บุญกุศลที่ท่านทั้งหลายทำบุญกับสวนสาธารณะ หรือที่สาธารณประโยชน์ถึงแม้ว่าจะไม่อยู่ในเขตสงฆ์ ถ้ามีโอกาสทำบ่อยๆ ก็ชื่อว่าจะเป็นการสั่งสมบุญให้เต็มที่ได้เหมือนกัน

    อย่างที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า “ฝนตกที่ละหยาดๆ สามารถทำภาชนะให้เต็มได้ฉันใด บุญกุศลที่เราทำแล้วไซร้แม้จะครั้งละน้อยๆ แต่ว่าทำบ่อยๆ ก็สามารถจะทำให้บุญบารมีของเราเต็มบริบูรณ์ได้

    ฉะนั้นขอทุกคนจงอย่างเลือกเฉพาะที่สงฆ์อย่างเดียว ส่วนใดที่จะเป็นประโยชน์กับประชาชนไม่จำกัด หมายความว่าเป็นสาธารณะ ให้ทำด้วยน้อยก็เอามากก็เอา อย่างนี้เราจะไม่เสียทีในการเกิด เพราะเป็นปัจจัยของความสุข ความสวยสดงดงามเป็นการให้ความสุขแก่คนที่เห็น คนได้ใช้ ได้ดม ได้กิน ผลอย่างนี้ถือเป็นทาน..”
     
  7. ตุปั๊ดตุเป๋ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2017
    โพสต์:
    425
    ค่าพลัง:
    +107
    ๒๖.ก่อนตายนึกถึงพระพุทธเจ้าตายแล้วไปเกิดเป็นเทวดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก

    “..เมื่อวันที่ ๑๖ ธันวาคม ๒๕๓๑ พูดถึงคนไปสวรรค์ คือตายจากความเป็นมนุษย์แล้วไปเกิดบนสวรรค์โดยไม่ต้องผ่านสำนักพระยายมราช เพราะการไปสวรรค์จริงๆ ถึงแม้ว่ากำลังใจจะไม่เข้มข้น หรือว่าทำบุญมาไม่มากนักก็ตาม จะเป็นการทำบุญชั่วจับพลัดจับผลูนิดหน่อย

    ประเดี๋ยวเดียว หรือชั่วขณะหนึ่งแต่ว่ามีความตั้งใจจริงและยิ่งกว่านั้นการตั้งใจเพื่อทำบุญอาจจะไม่ตรงนัก อาจตั้งใจเพื่อประโยชน์อย่างอื่นแต่บังเอิญไปตรงจุดของบุญเข้าอย่างนี้บุญก็บันดาลให้คนนั้นไปสวรรค์ได้ โดยไม่ต้องผ่านสำนักพระยายมราช ไม่ต้องมีการสอบสวน ดังตัวอย่าง

    ท่านมัฏฐกุณฑลีเทพบุตร
    ท่านมัฏฐกุณฑลีเทพบุตร ท่านเกิดในตระกูลที่นับถือศาสนาพราหมณ์ พราหมณ์นั้นแบ่งเป็น ๒ พวกคือ พวกที่นับถือศาสนาพราหมณ์โดยตรง ไม่ยอมเคารพนับถือพระพุทธศาสนา กับพราหมณ์ที่มีเหตุมีผลยอมรับนับถือเห็นว่าองค์สมเด็จพระทศพลทรงสอนตรงตามความเป็นจริง

    แต่ตระกูลพราหมณ์ของท่านมัฏฐกุณฑลีเทพบุตรเป็นตระกูลที่ไม่ยอมรับนับถือพระพุทธเจ้า บิดาของท่านอยู่ในฐานะคหบดี เป็นคนรวยมากและเป็นคณาจารย์ใหญ่ของพราหมณ์ ท่านมีลูกชายคนเดียว คือ ท่านมัฏฐกุณฑลีเทพบุตร สมัยเป็นมนุษย์ท่านชื่ออะไรก็ไม่ทราบแต่สมัยที่เป็นเทวดาท่านมีต่างหูเกลี้ยง จึงได้นามว่า “มัฏฐกุณฑลีเทพบุตร”

    ต่อมาท่านป่วย ท่านพ่อแสนจะขี้เหนียว จะซื้อยาหรือจะหาหมอมารักษาให้ลูกชายก็สามารถทำได้เพราะเป็นคหบดีมีทรัพย์นับเป็นสิบโกฏิ แต่ท่านไม่ทำเนื่องจากเสียดายสตางค์ที่มีอยู่ กลับไปถามหมอว่า “ลูกชายฉันเป็นโรคผิวเหลือง จะรักษาด้วยยาอะไรดี” หมอก็บอกยากลางบ้านแบบธรรมดาๆ

    เมื่อได้ตำรายากลางบ้านมาแล้วก็นำมาให้ลูกชายกิน ก็ไม่หายไข้ ทรุดลงตามลำดับ เมื่อลูกชายไข้ทรุดมาก ท่านก็มีความรู้สึกว่า เวลานี้ลูกชายนอนอยู่ในห้องสวยๆ ข้างในมีทรัพย์สินมาก มีเครื่องประดับประดามาก

    ถ้าบังเอิญญาติของเรารู้ข่าวว่าลูกชายของเราป่วย ก็จะพากันมาเยี่ยม และคนที่มาเยี่ยมนั้นถ้ามาเห็นของที่ชอบใจแล้วเกิดขอ ถ้าไม่ให้ก็จะเป็นการขัดใจกัน ทางที่ดีเพื่อเป็นการหลบเรื่องนี้ จึงเอาลูกชายมานอนที่ระเบียงบ้าน ซึ่งไม่มีทรัพย์สินอะไรเป็นเครื่องประดับ

    ต่อมาอาการป่วยทรุดหนักขึ้นทุกวัน แม้แต่แขนขาก็ยกไม่ขึ้น ท่านพ่อก็ไม่ยอมทำยาอย่างดีมารักษาโรคให้ เมื่อความตายปรากฏชัด แต่ทว่าท่านมัฏฐกุณฑลีก็ยังไม่อยากจะตาย จึงไม่มีความรู้สึกว่าเวลานี้จะต้องตาย คิดในใจแต่เพียงว่าเราต้องหายจากโรคนี้ ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า “ปมาโท มัจจุโน ปทัง” แปลว่า “ความประมาทเป็นทางแห่งความตาย”

    ความจริงอาการตายปรากฏชัดแต่ท่านยังไม่คิดว่าจะตาย จะหันไปหาพ่อแม่ก็หมดทางที่ท่านทั้งสองจะช่วยเหลือ เพราะท่านไม่สนใจท่านสนใจแต่ทรัพย์สินที่มีอยู่ ในที่สุดทุกขเวทนาเครียดมาก จึงมีความรู้สึกว่าชาวบ้านเขาลือกันว่า “สมเด็จพระสมณโคดมท่านเป็นพระใจดีมาก มีเมตตาสูง พระองค์สงเคราะห์ไม่ว่าใคร เวลานี้เราป่วยหนักอยากจะให้พระองค์มารักษา เราจะได้หายจากโรค”

    ให้พิจารณาความรู้สึกของท่านมัฏฐกุณฑลีว่า ไม่ได้มีความรู้สึกยอมรับนับถือพระพุทธเจ้าในด้านของความดีอย่างอื่น แต่ท่านมีความรู้สึกแต่เพียงว่าพระพุทธเจ้ามีความเมตตาไม่เลือกบุคคล และใจของท่านเวลานั้นก็นึกอยากจะให้พระองค์มาช่วยรักษาโรคเท่านั้น

    อาศัยที่เจตนาตั้งใจยอมรับนับถือพระพุทธเจ้าเพื่อให้เป็นหมอรักษาโรค ความจริงถ้าดูกันจริงๆ แล้วมันไม่ตรงกับบุญนัก ถ้าตรงกับบุญก็ต้องยอมรับนับถือในความดีและปฏิบัติตามคำสั่งสอนของท่านแต่นี่ท่านไม่ได้คิดอย่างนั้น ท่านต้องการเพียงให้มาช่วยรักษาโรคให้หายเท่านั้น

    นึกถึงพระพุทธเจ้าก่อนตาย
    แต่พระพุทธเจ้าก็มีพระมหากรุณาธิคุณ ในตอนเช้าทรงเสด็จมาบิณฑบาตกับพระอานนท์ ผ่านบ้านพราหมณ์ บ้านนั้นเขาไม่ยอมใส่บาตร และไม่ยอมยกมือไหว้เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จผ่านไป เวลานั้นท่านมัฏฐกุณฑลีนอนตะแคงหันหน้าเข้าหาฝา เห็นแสงสว่างประกายพุ่งมาเข้าตาของท่าน ก็สะดุดใจกลับตัวเหลียวไปเห็นองค์สมเด็จพระบรมศาสดากับพระอานนท์กำลังเดินบิณฑบาต

    ท่านจับภาพพระพุทธเจ้าขณะเดินบิณฑบาตกับภาพพระอานนท์ กับแสงที่ปรากฏกับตาของท่าน นึกถึงพระพุทธเจ้า ขอพระองค์จงสงเคราะห์ให้ข้าพเจ้าหายจากโรคเดี๋ยวนี้เถิด ขณะที่ท่านนึกอยู่อย่างนั้น แทนที่จะหายจากโรคกลับหายจากความเป็นคน นั่นก็คือ ตายจากความเป็นคนเวลานั้น ก็ไม่ผ่านสำนักของท่านพระยายมราช

    เพราะนึกถึงพระพุทธเจ้าอยู่ จึงตรงไปสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก ได้วิมานทองคำสูงใหญ่มาก แล้วท่านก็เป็นเทวดาอยู่ในวิมานนั้น มีต่างหูเกลี้ยงจึงมีนามว่า “มัฏฐกุณฑลีเทพบุตร” มีนางฟ้าหนึ่งพันเป็นบริวาร

    หลังจากลูกชายตาย ปรากฏว่าตอนเช้าๆ ท่านพ่อไปที่หลุมฝังศพของลูก ไปยืนพรรณนาขอให้ลูกชายกลับมาเกิดใหม่ เพราะเป็นลูกคนเดียว ต่อไปจะไม่มีใครรับมรดกเป็นผู้ปกครองทรัพย์สมบัติ ท่านมัฏฐกุณฑลีเทพบุตรเห็นท่านพ่อไปยืนพรรณนาให้กลับมาเกิดเป็นลูกใหม่ ก็มีความรู้สึกในใจว่า “ท่านพ่อของเราเป็นคนพาล” คำว่า “พาล” แปลว่า “โง่”

    เป็นคนพาลคือเป็นคนโง่ เวลาเรามีชีวิตอยู่ก็แสนจะขี้เหนียว มีเท่าไรเก็บหมด ไม่ค่อยจะกินจะใช้ เวลาเราป่วยไข้ไม่สบาย ค่ายาค่าหมอเป็นของไม่มากนัก ก็ไม่ยอมเสียสละเงินเพื่อรักษาเรา ปล่อยให้เราต้องนอนทนทุกขเวทนา ให้กินยากลางบ้านซึ่งไม่ถูกกับโรค ในที่สุดเราก็ต้องตาย

    แต่ด้วยอาศัยสมเด็จพระสมณโคดมทรงสงเคราะห์เราขณะที่เสด็จไปทรงบิณฑบาตแผ่แสงให้ปลากดชัด จึงได้มีความยอมรับนับถือขอให้พระองค์ทรงช่วยให้หายจากโรค แต่อาการของร่างกายมันเกินวิสัยที่จะทรงอยู่

    ด้วยบุญเพียงเล็กน้อยเท่านี้ก็สามารถทำให้เราเกิดเป็นเทวดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก มีวิมานทองคำเป็นที่อยู่ มีเครื่องประดับเป็นทิพย์มีร่างกายเป็นทิพย์ มีความเป็นอยู่อย่างเป็นทิพย์ มีความสุขมาก มีนางฟ้าหนึ่งพันเป็นบริวาร แต่ท่านพ่อของเราจมปรักอยู่กับความโง่ เราต้องไปทำให้ท่านพ่อเป็นสัมมาทิฐิ คือมีความเห็นถูกคลายจากความโง่ ให้มีความรู้สึกเคารพยอมรับนับถือในองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

    เมื่อท่านคิดอย่างนี้แล้ว จึงแปลงลงมาเป็นคนเหมือนรูปร่างเดิม เห็นท่านพ่อยืนร้องไห้อยู่ปากหลุมศพ ท่านจึงมายืนร้องไห้บ้างใกล้ๆ ท่านพ่อ พอท่านพ่อเห็นก็คิดว่าชายผู้นี้เหมือนลูกชายเราถ้าได้ไว้เป็นลูกจะดีมาก จึงเข้าไปใกล้ถามว่า “เธอร้องไห้ทำไม” ท่านมัฏฐกุณฑลีเทพบุตรก็ถามว่า “คุณลุงร้องไห้ทำไม”

    ท่านพ่อก็ตอบว่า “ฉันร้องไห้คิดถึงลูกชายของฉัน ลูกชายของฉันกำลังเป็นหนุ่มแน่น เป็นคนน่ารัก เป็นคนดีมาก แต่ทว่าเธอต้องมาตาย ซึ่งอายุยังน้อย ฉันมีลูกคนเดียวไม่มีใครปกครองทรัพย์สิน ถ้าลูกของฉันอยู่ก็จะมีโอกาสได้ปกครองทรัพย์สิน แต่ถ้าลูกของฉันกลับมาได้ ฉันก็จะให้ปกครองทรัพย์สินใหม่ ถ้าเธอไม่รังเกียจเป็นลูกบุญธรรมของฉัน ฉันก็จะให้ปกครองทรัพย์สินแทนลูกชายของฉัน “

    ท่านมัฏฐกุณฑลีเทพบุตร ได้ฟังดังนั้นก็นึกในใจว่า “พ่อของเราเมื่อเรามีชีวิตอยู่ ไม่ยอมซื้อยาแพง ไม่ยอมหาหมอมารักษา ขี้เหนียวที่สุด แต่เวลานี้กลับเห็นเราซึ่งเป็นคนอื่น จะมอบทรัพย์สมบัติให้บุคคลนั้น” ท่านพ่อได้ถามท่านมัฏฐกุณฑลีเทพบุตรว่า “เธอร้องไห้ทำไม”

    ท่านจึงตอบว่า “ฉันร้องไห้เพราะว่าฉันมีรถทองคำอยู่คันหนึ่งสวยมาก แต่ยังหาล้อที่เหมาะสมไม่ได้” ท่านพ่อก็ถามว่า “เธอต้องการล้อเงินหรือล้อทอง ฉันจะจัดให้ตามความประสงค์”

    ท่านมัฏฐกุณฑลีเทพบุตรก็คิดว่า “นี่เราเป็นคนอื่น ท่านพ่อจะให้ล้อเงินกับล้อทอง แต่เวลาที่เรามีชีวิตอยู่ไม่ยอมรักษาโรคให้ทรัพย์สมบัติก็ไม่ให้” จึงแกล้งบอกว่า “ฉันต้องการดวงจันทร์กับดวงอาทิตย์มาเป็นล้อทั้งสองข้าง”

    ท่านพ่อก็คิดว่า “ไอ้เจ้าเด็กนี่บ้า” ก็เลยบอกว่า “เธอบ้า เพราะว่าดวงจันทร์กับดวงอาทิตย์ใครจะนำมาได้” ท่านมัฏฐกุณฑลีเทพบุตรจึงบอกว่า “ในเมื่อฉันต้องการดวงจันทร์กับดวงอาทิตย์เป็นสิ่งที่ฉันเห็นได้ แต่ท่านต้องการลูกชายที่ท่านเห็นไม่ได้ ใครจะบ้ามากกว่ากัน”

    เป็นอันว่าท่านพ่อก็ยอมรับว่าบ้ามากกว่า ในที่สุดท่านมัฏฐกุณฑลีก็แสดงตนเป็นเทวดาประกาศให้ทราบว่าท่านคือลูกชาย เวลานี้ไปเกิดอยู่บนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก ท่านพ่อก็ถามว่า “ไปได้เพราะเหตุใด” ท่านก็ตอบว่า “ก่อนจะตายเห็นสมเด็จพระสมณโคดมกับพระอานนท์

    โดยเฉพาะอย่างยิ่งท่านนึกถึงสมเด็จพระสมณโคดมขอให้พระองค์มาช่วยรักษาโรคให้หาย แต่บังเอิญตายเสียก่อน เมื่อตายจากความเป็นคนก็ไปเกิดเป็นเทวดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก มีวิมานทองคำเป็นที่อยู่ มีนางฟ้าหนึ่งพันเป็นบริวาร ท่านจึงแนะนำท่านพ่อว่า “ต่อนี้ไปขอพ่อโปรดเคารพองค์สมเด็จพระบรมครู จงถวายทานในสำนักของท่าน จงรักษาศีล จงฟังเทศน์ ตายแล้วจะไปสวรรค์” แล้วท่านก็ลากลับไป

    เมื่อท่านพ่อกลับไปบ้านด้วยความดีใจบอกภรรยาว่า “วันนี้ฉันจะไปนิมนต์สมเด็จพระสมณโคดมกับพระสาวกมาฉันภัตตาหารที่บ้าน ทำกับข้าวให้มาก” ครั้นเมื่อไปพบองค์สมเด็จพระจอมไตร เวลานั้นมีชาวบ้าน ๒ พวก เป็นพวกของพราหมณ์กับพวกที่นับถือพระพุทธศาสนา ต่างคนต่างตามไป

    พวกของพราหมณ์ก็คิดว่า “วันนี้เราจะดูอทินกบุพกพราหมณ์ คือท่านพ่อของท่านมัฏฐกุณฑลีเทพบุตร ย่ำยีสมเด็จพระสมณโคดม” สำหรับบรรดาพุทธบริษัทก็คิดว่า “วันนี้จะดูลีลาพระพุทธเจ้าทรงสอนพราหมณ์ที่เป็นมิจฉาทิฐิให้เป็นสัมมาทิฐิทั้งสองฝ่ายต่างก็ไปยืนรวมกันที่นั่น เมื่อไปถึงแล้วท่าน อทินกบุพกพราหมณ์ก็ยกมือไหว้องค์สมเด็จพระบรมครูแล้วกล่าวว่า

    “ผมอยากจะทราบว่า คนที่ไม่เคยใส่บาตรกับพระองค์ ไม่เคยฟังเทศน์ ไม่เคยรักษาศีล ไม่เคยยกมือไหว้นึกถึงชื่อพระองค์อย่างเดียว ตายแล้วไปสวรรค์มีไหม” องค์สมเด็จพระจอมไตรก็ตรัสว่า “คนที่ไม่เคยใส่บาตร ไม่เคยฟังเทศน์ ไม่เคยยกมือไหว้ นึกถึงชื่อตถาคตอย่างเดียว ตายแล้วไปสวรรค์ไม่ใช่นับร้อย นับพัน นับเป็นโกฏิ”

    หลังจากนั้นพระองค์ก็ทรงเรียกท่านมัฏฐกุณฑลีเทพบุตรให้มาพร้อมวิมาน ท่านก็ลงจากวิมานมากราบพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าก็ทรงเทศน์โปรด เมื่อเทศน์จบ ท่านมัฏฐกุณฑลีก็เป็นพระโสดาบัน คนที่ยืนฟังอยู่ที่นั่นต่างก็บรรลุมรรคผลไปตามๆ กัน

    การที่นำเรื่องท่านมัฏฐกุณฑลีเทพบุตร มาเล่าให้ฟังก็เพื่อต้องการให้ท่านทั้งหลายทราบว่า คนที่ตั้งใจนึกถึงพระพุทธเจ้าเป็น พุทธานุสติกรรมฐาน ถึงแม้ว่าในกาลก่อนจะไม่เคยยอมรับนับถือ แต่เวลาก่อนจะตายถ้านึกถึงชื่อขององค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดา อย่างท่านมัฏฐกุณฑลีเทพบุตรอย่างนี้ตายแล้วไปสวรรค์แน่นอนโดยไม่ต้องผ่านสำนักพระยายมราช

    แต่ว่าบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายได้เปรียบกว่าท่านมัฏฐกุณฑลีเทพบุตรมาก เพราะว่าทุกคนยอมรับนับถือพระพุทธเจ้ามาในกาลก่อนและปัจจุบันก็ยังยอมรับนับถือ มีความเคารพในองค์สมเด็จพระบรมครู ถ้าหากว่าทุกท่านจะซ้อมความรู้สึกนึกถึงพระพุทธเจ้า คือตื่นขึ้นจากที่นอนสัก ๒-๓ นาที ว่ายอมรับนับถือในความดีของพระพุทธเจ้าด้วยความจริงใจ และก็ตั้งใจรักษาความดีอย่างใดอย่างหนึ่ง

    เช่นตั้งใจจะให้ทานก็คิดในใจว่าเราต้องการให้ทานถ้าโอกาสจะพึงมีเพียงเท่านี้จิตใจของท่านจะตั้งอยู่ในพุทธานุสติกรรมฐานกับจาคานุสติกรรมฐาน เวลาตายบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย อย่างเลวที่สุดก็ไปเกิดบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก

    ถ้าอย่างสูงที่สุดเห็นจะต้องไปพระนิพพาน เพราะว่า พระพุทธโฆษาจารย์ รจนาวิสุทธิมรรค ท่านกล่าวว่า บุคคลใดเจริญพุทธานุสติกรรมฐานเป็นประจำ บุคคลนั้นไปพระนิพพานง่ายที่สุด..”
     
  8. ตุปั๊ดตุเป๋ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2017
    โพสต์:
    425
    ค่าพลัง:
    +107
    ๒๗.พระอัสสชิพระสาวกรุ่นแรกของพระพุทธเจ้า ก่อนที่จะนิพพานมีทุกขเวทนาอย่างหนัก

    “..คืนวันที่ ๔ มกราคม ๒๕๓๒ เวลาประมาณ ๒๒.๐๐น. อากาศก็เริ่มร้อน อาตมามีอาการปวดท้องอย่างหนักมีอาการคล้ายเป็นบิด รู้สึกอุจจาระแข็งมาก เพราะไปซอยสายลมมาทุกคราวโรคที่มีอยู่ก็ทวีขึ้น ๓-๔ เท่า เนื่องจากต้องนั่งเครียดทั้งวันและมีการพูดตลอดเวลาที่รับแขก ต้องใช้ขันติอย่างหนัก

    ถ้าถามว่า “ใช้ได้อย่างไร” ก็ขอตอบว่า “ใช้ได้เท่าที่พึงจะใช้ได้ ถ้าเกินวิสัยจริงๆ ก็ลุกไม่ขึ้นเหมือนกัน”

    ดูอย่างท่าน พระอัสสชิ ซึ่งเป็นพระสาวกรุ่นแรกขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก่อนที่จะนิพพาน ท่านก็เป็นโรคกระเพาะอย่างหนัก ทั้งปวดทั้งเสียด อึดอัดทนไม่ไหว ท่านจึงคิดในใจว่าเวลานี้เราเสื่อมจากความดีแล้วหรือ จึงให้พระไปตามพระพุทธเจ้ามา

    เมื่อองค์สมเด็จพระจอมไตรเสด็จมาท่านจะลุกมาจากที่นอน พระพุทธเจ้าตรัสว่า “อัสสชิ นอนตามนั้นเถิด ตถาคตจะนั่งในที่ที่เขาจัดให้นั่งตามสมควร” ท่านก็กราบทูลพระองค์ว่า “เวลานี้ทุกขเวทนาหนักพระเจ้าข้า ข้าพระพุทธเจ้าทนไม่ไหว”

    พระพุทธเจ้าทรงมีพระพุทธฎีกาตรัสว่า “อัสสชิ เธอระงับกายสังขารไม่อยู่หรือ” หมายถึงใช้อานาปานุสติ กำหนดรู้ลมหายใจเข้าออก ถ้าจิตเป็นสมาธิตามสมควร ทุกขเวทนาจะคลายตัว ท่านก็กราบทูลว่า “ทนไม่ไหวพระเจ้าข้า ระงับไม่อยู่ ความดีที่ข้าพระพุทธเจ้าได้มาแล้ว คงจะสลายตัวไปแล้ว”

    พระพุทธเจ้าจึงตรัสถามว่า “อัสสชิ เธอถือว่าร่างกายเป็นของเธอหรือ” ท่านก็ตอบว่า “ไม่ใช่พระเจ้าข้า” พระองค์ถามว่า “หรือว่าเธอเห็นว่าเธอมีในร่างกาย” พระอัสสชิก็ตอบว่า “ไม่ใช่พระเจ้าข้า”

    ก็รวมความว่า ท่านอัสสชิยังถือว่าร่างกายไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในร่างกาย ร่างกายไม่มีในเรา เมื่อท่านตอบอย่างนี้แล้วพระพุทธเจ้าก็มีพระพุทธฎีกาตรัสว่า “อัสสชิ ความดีของเธอไม่เสื่อม ความดียังทรงตนอยู่” หลังจากนั้นเมื่อพระอัสสชิพบองค์สมเด็จพระบรมครูแล้วไม่นานก็นิพพาน

    แสดงให้เห็นว่าขึ้นชื่อว่า ขันติ มันจะทนได้ก็แค่พอจะทนไหว ถ้าเกินกำลังเมื่อไร อาตมาก็เช่นเดียวกับพระอัสสชิ แต่ทว่าท่านเป็นพระอรหันต์ในสมัยตอนต้นพุทธกาล เป็นพระอรหันต์ที่มีกำลังยิ่งยวดมาก เพราะยังไม่มีใครเป็นตัวอย่างเป็นแบบฉบับของพระอรหันต์

    ฉะนั้นการเป็นอรหันต์เวลานั้นต้องใช้กำลังใจสูงมาก มีความฉลาดมาก มีความอดทนมาก มีความเข้มแข็งมาก

    ขอให้บรรดาท่านพุทธบริษัท มีความเข้าใจในร่างกายเป็นสำคัญ วิปัสสนาญาณทุกข้อก็คือร่างกาย

    ให้พิจารณาร่างกายตามความเป็นจริงว่า ร่างกายเป็นโทษ ร่างกายเป็นทุกข์ ร่างกายน่าเบื่อหน่าย ร่างกายนี้เราควรจะวางเฉย เพราะว่าขืนเอาจิตใจติดตามร่างกายคิดว่า ร่างกายจะไม่แก่มันก็ต้องแก่ คิดว่าร่างกายจะไม่ป่วยไข้ไม่สบายมันก็ต้องป่วย

    คิดว่าร่างกายจะไม่มีทุกขเวทนามันก็ต้องมีทุกข์ ถ้ากำลังใจเราฝืนเราก็มีทุกข์ กำลังใจเราไม่ฝืนก็ไม่มีทุกข์ ยอมรับมัน ถ้าความแก่เข้ามาถึงก็ยอมรับความแก่ เมื่อความป่วยเข้ามาถึงก็ยอมรับว่าธรรมดาของร่างกายมันจะป่วย ความตายจะเข้ามาถึงก็ยอมรับว่าเป็นธรรมดาของร่างกายมันต้องตาย

    และก็พยายามหนีร่างกายด้วยการคิดว่า ขึ้นชื่อว่าการเกิดอย่างนี้จะมีกับเราชาติเดียวเป็นชาติสุดท้าย ต่อไปการเกิดมีร่างกายที่ประกอบไปด้วยความทุกข์อย่างนี้เราจะไม่มีอีก
     
  9. ตุปั๊ดตุเป๋ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2017
    โพสต์:
    425
    ค่าพลัง:
    +107
    ๒๘.ตายจากแม่ชีไปรออยู่ที่สำนักพระยายมราชแล้วไปเกิดบนสวรรค์ชั้นยามา

    “..อย่าคิดว่าคนที่มาเจริญพระกรรมฐานจะได้ดีทุกคนเวลาตาย อาจจะเผลอไปก็ได้เพราะคนที่เจริญพระกรรมฐาน เวลาตายอารมณ์ใจไม่เสมอกัน ถ้าเป็นฌานโลกีย์ก็มีอารมณ์ไม่แน่นอนอาจจะเผลอได้ดังตัวอย่างเรื่องนี้

    อาตมาไปพบแม่ชีคนหนึ่งตายเมื่อตอนกลางเดือนกรกฎาคม ๒๕๓๑ อายุ ๕๓ ปี อยู่จังหวัดฉะเชิงเทรา ไปรอการสอบสวนที่สำนักพระยายมราช เมื่อเจ้าหน้าที่ประกาศเรียกเธอออกมายืนแล้วเจ้าหน้าที่ก็ประกาศว่า

    “เมื่อเธออายุ ๑๒ ปี เธอฆ่าไก่เพื่อแกงขายเอาเงินมาใช้ใช่ไหม” เธอตอบว่า “ใช่” เจ้าหน้าที่ไม่พูดเรื่องมากมาย เพราะคนนี้จนบาป ทั้งชีวิตทำบาปครั้งเดียวคือฆ่าไก่ตัวเดียว

    เสียงเจ้าหน้าที่บอกว่า “บาปนอกจากนี้เธอไม่มี การเดิน นั่ง นอน ทับสัตว์ตายเพราะไม่รู้ ไม่ถือว่าเป็นบาป”

    จากนั้นเจ้าหน้าที่ก็พูดถึงบุญว่า “เธอเคยเอาเงินที่รับจ้างได้ผสมกับเงินนายจ้างที่ใช้เธอไปซื้อของเพื่อทำบุญ” เธอตอบว่า “ใช่เจ้าค่ะ”

    เจ้าหน้าที่ถามว่า “เธอไม่ประสงค์แต่งงาน เพราะเห็นว่าเป็นทุกข์ใช่ไหม” เธอตอบว่า “ใช่เจ้าค่ะ” เจ้าหน้าที่ถามว่า “เธอถวายสังฆทานกี่ครั้งในชีวิต” เธอตอบว่า “๑๗ ครั้งเจ้าค่ะ”

    เจ้าหน้าที่ถามว่า “เคยภาวนาใช่ไหม” เธอตอบว่า “ตั้งแต่อายุ ๑๙ ปี เป็นต้นมา ภาวนาก่อนหลับเป็นปกติ” เสียงเจ้าหน้าที่บอกว่า ต่อไปนี้เป็นหน้าที่ของท่านพระยายมราช

    เธอเข้ามาใกล้โต๊ะหรือแท่นของท่านพระยายมราช นั่งลงกราบแล้วก็ยืนขึ้นตามระเบียบเธอเป็นคนเรียบร้อยสงบเสงี่ยมน่ารักมาก ท่านถามว่า “เมื่ออายุ ๑๒ ปี ฆ่าไก่เพื่อแกงขายใช่ไหม” เธอตอบว่า “ใช่เจ้าค่ะ”

    ท่านบอกว่า “บาปของเธอแม้มีเพียงครั้งเดียวแต่ก็หนักมาก พยานเขามาคอยเธอนานแล้ว” พอท่านพูดจบ ไก่ก็โผล่ออกมารายงานว่า “เธอใจร้ายมาก จะจับมาเชือดคอก็กลัวว่าไก่จะเจ็บและเห็นเลือดแล้วใจไม่ดี จึงจับเอาหัวไก่ฟาดกับเสาจนหัวเละตายไปเลย”

    ท่านถามว่า “จริงไหม” เธอตอบว่า “จริงเจ้าค่ะ ที่ทำอย่างนั้นก็เพราะความจนไม่มีเงิน พ่อแม่ตายตั้งแต่ยังเด็ก มีไก่เลี้ยงประจำบ้านอยู่ตัวหนึ่ง ตัวอ้วนดี มีคนมาบอกว่า ถ้าแกงไก่ตัวนี้เขาจะให้เงินมากหน่อย เพราะความจนไม่มีเงินใช้จึงทำ

    หลังจากนั้นมาก็พยายามทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้เพื่อให้อโหสิกรรม ทำอย่างนี้ทุกวันหลังจากที่บูชาพระและนั่งเจริญภาวนา พออายุ ๔๐ ปีเศษก็บวชชีแล้วตายเมื่ออายุ ๕๓ ปี” เป็นอันว่าบุญมากกว่าบาป

    ท่านเลยถามว่า “ทำไมเจ้าถึงต้องมาสำนักพระยายมราช ซึ่งไม่จำเป็นเลย ถ้าบุญขนาดนี้จะต้องไปสวรรค์หรือพรหมโลกทันที” เธอก็เลยบอกว่า “ตอนต้นเวลาป่วยก็นึกถึงบุญกุศล ภาวนาบ้าง จิตใจก็สงบ

    ตอนใกล้จะตายขณะที่ภาวนาอยู่ ได้ยินเสียงไก่ร้อง ก็ตกใจภาวนาก็หยุด พอจิตหวั่นไหวแป๊บเดียว เห็นท่าน ๔ คนมารับไปเลย” ซึ่งถ้าปล่อยให้ภาวนาตามปกติ เธอจะไปสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ทันที

    ท่านถามไก่ว่า “เขาทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้แก่เจ้าตั้งแต่อายุ ๑๙ ปี จนถึงอายุ ๕๓ ปี เจ้าไม่ได้รับหรือ” ไก่ตอบว่า “ได้รับ” ท่านถามอีกว่า “ได้รับแล้วเอ็งยังจองเวรจองกรรมอยู่อีกหรือ”

    ไก่ตอบ “ไม่ได้จองเวรจองกรรม” ท่านบอกว่า “แล้วเอ็งมาเป็นโจทก์ทำไม” ไก่ก็เลยบอกว่า “ที่ต้องการให้มาที่นี่ก็เพื่อจะบอกว่า ฉันอโหสิกรรมให้แล้ว”

    ท่านทั้งหลายอย่าประมาทนะ การทำบุญทำกุศล เจริญภาวนา มันเป็นได้ตามนี้นะ

    หลังจากนั้นท่านก็บอกเทวดาที่อยู่ข้างหลัง ๕ องค์คอยส่งคน ท่านบอกว่า “คนนี้บุญบารมีเขาเจริญพระกรรมฐาน มีสมาธิทรงตัว บารมีของเขาต้องอยู่ชั้นยามา เวลานี้วิมานชั้นยามา มาแล้ว

    ท่านก็บอกเธอว่า “เจ้าต้องไปสวรรค์ชั้นยามา วิมานมีอยู่ที่นั่น แต่ไม่ใช่ลุงสร้างให้นะ ทานของเขาบ้าง ศีลของเขาบ้าง การเจริญภาวนาถ้าถึงอุปจารสมาธิ ก็ไปอยู่สวรรค์ชั้นยามา ถ้าฝึกกสิณจริงๆ ก็ไปเป็นพรหม” เธอยิ้มบอกว่า ชั้นยามาสบาย นึกว่าจะแย่แล้ว..”
     
  10. ตุปั๊ดตุเป๋ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2017
    โพสต์:
    425
    ค่าพลัง:
    +107
    ๒๙.ตอนเช้ากับตอนหัวค่ำจับพระที่ห้อยคอขอท่านคุ้มครอง ตายแล้วไปเกิดเป็นเทวดาบนสวรรค์ชั้นยามา

    “..เมื่อวันที่ ๒ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๓๕ ได้มีท่านผู้หนึ่งไปหาอาตมาที่วัดท่าซุง ไปถามว่า “คุณพ่อตายแล้วไปอยู่ที่ไหน”

    อาตมาไม่ได้บอกท่านผู้นั้น แต่ให้ไปฝึกพระกรรมฐานกับเขาในมหาวิหาร๑๐๐ เมตร ไม่เกิน ๓ วันคุณก็พบกับคุณพ่อคุณได้ บอกคุณก็ไม่เกิดประโยชน์ เพราะคุณก็ไม่หายสงสัย คุณก็จะถามเรื่อยไปและก็ไม่มีประโยชน์สำหรับคุณ

    ในที่สุดท่านผู้นั้นก็ตัดสินใจ วันรุ่งขึ้นก็ไปฝึกพระกรรมฐาน เพียงแค่วันแรกก็สามารถคุยกับคุณพ่อได้

    แต่ในขณะที่ท่านผู้นี้ถามอาตมา ได้บอกชื่อผู้ตาย อาตมาก็นึกถึง เมื่อนึกถึงผู้ตายก็มายืนข้างหน้า จึงถามว่า “เวลานี้คุณไปอยู่ที่ไหน”

    เขาตอบว่า “เวลานี้ผมไปอยู่บนสวรรค์ชั้นยามาครับ” ถามว่า “ไปอยู่ชั้นยามาได้ ปกติคุณทำอะไรสมัยยังมีชีวิตอยู่” ตอบว่า “ปกติผมทำสมาธิ” ถามว่า “คุณทำสมาธิเวลาไหน” ตอบว่า “เวลาตอนเช้ากับตอนคํ่าครับ ตอนเช้าผมตื่นนอนขึ้นมา ก็จับพระที่สร้อยห้อยคออยู่มาพนมมือ อาราธนาบารมีพระ หรือที่เรียกกันว่าปลุกพระก็ได้ ตอนคํ่าก็เกรงอันตรายจึงทำแบบนั้นอีกเหมือนกัน”

    การทำอย่างนี้ชื่อว่าเป็นการนึกถึงพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์ ทั้งตอนเช้าและ ตอนคํ่าก็เป็นสมาธิ สมาธิไม่จำเป็นต้องไปนั่งขัดสมาธิเฉยๆ จะทำแบบไหนก็ได้ นั่งแบบไหนก็ได้

    ถ้าอยู่ที่บ้านของเรา จิตนึกถึงพระพุทธเจ้าก็ถือว่าเป็นพุทธานุสติ จิตนึกถึงพระธรรมเป็นธัมมานุสติ จิตนึกถึงพระสงฆ์เป็นสังฆานุสติ เขาจึงไปอยู่ชั้นยามาได้..”
     
  11. ตุปั๊ดตุเป๋ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2017
    โพสต์:
    425
    ค่าพลัง:
    +107
    ๓๐.พระเยซูตายแล้วไปเกิดเป็นเทวดาบนสวรรค์ชั้นดุสิต

    “..ประมาณเกือบ ๒๐ ปีมาแล้วสมัยที่อาตมาไปวัดคริสต์ที่บางนกแขวก มีบาทหลวงบางคนเขาไปที่กรุงเทพฯ และก็ชอบๆ กัน เพราะสมัยนั้นอาตมาเรียนทั้งพุทธทั้งคริสต์ ที่เรียนคริสต์ไม่ใช่ไปเรียนที่โรงเรียนแต่คุยกัน

    ตอนนั้นพวกกุฎีจีนเขามาคุยแลกเปลี่ยนความรู้กัน ความจริงนักศาสนาจริงๆ เขาไม่ทะเลาะกัน เมื่อไปเยี่ยมเขาคุยไปคุยมา เขาถามว่า “ท่านทราบไหมว่า พระพุทธเจ้าท่านอยู่ที่ไหน”

    อาตมาตอบว่า “รู้” เขาถามว่า “เคยคุยไหม” ก็บอกว่า “ฉันไปหาท่านทุกวัน ท่านอยู่ที่นิพพาน”

    จึงถามเขาว่า “แล้วพระเจ้าของท่านอยู่ที่ไหน” เขาตอบว่า “ไม่รู้” ถามว่า “เคยเห็นไหม” เขาตอบว่า “ไม่เคยเห็น”

    เขาเลยถามว่า “ท่านเคยเห็นพระเยซูของผมไหมครับ” ตอบว่า “ไม่เคยสนใจ” แล้วก็คุยเรื่องอื่นต่อไป

    ต่อมากลับมาที่พัก ธรรมดาของพระก่อนจะนอนต้องทำจิตใจให้สะอาดสบาย ไม่อย่างนั้นนอนไม่สบาย พอเริ่มทำสมาธิจับอารมณ์ จิตมันหลุดโผล่ปั๊บถึงดาวดึงส์ ไปโผล่ช่วงระหว่างพระจุฬามุณีกับบัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ ไปเดินป๋อที่นั่น

    พอเดินไปก็มีบาทหลวงคนหนึ่งเดินสวนทางเดินตรงมาข้างหน้า ก็เลยถามว่า “พระเยซูใช่ไหม” ตามธรรมดาอารมณ์เป็นทิพย์มันจะบอกเลยว่าใครเป็นใคร ถ้ายังสงสัยก็ยังใช้ไม่ได้ ความเป็นทิพย์จะบอกชัดจะไปสงสัยไม่ได้เลย ท่านก็ตอบว่า “ใช่ครับ”

    อาตมาถามว่า “ทำไมถึงแต่งตัวรุ่มร่ามอย่างนี้ บนสวรรค์เขาแต่งตัวแบบนี้เหรอ” ท่านบอกว่า “ถ้าผมไม่แต่งตัวแบบนี้ เกรงว่าท่านจะจำไม่ได้ จะสงสัย” บอกว่า “ถ้าอย่างนั้นสภาพความเป็นจริงของท่านเป็นอย่างไร” ท่านก็ทำให้ดู

    ภาพนั้นหายไปกลายเป็นภาพเทวดาสวยงามมาก เครื่องประดับขาวเป็นประกายแวววับ ชฎาก็แหลมเปี๊ยบ เรียกว่างามจับตาเลย ถามว่า “อยู่ที่ไหน” ตอบว่า “อยู่ชั้นดุสิต”

    พอบอกอยู่ชั้นดุสิตอาตมาก็ตกใจ ต้องเป็นพระโพธิสัตว์แน่ๆ คุยไปคุยมา อาตมาก็บอกท่านว่า “คำสอนของท่านมันผิดอยู่ข้อหนึ่งนะ” ท่านถามว่า “ผิดอย่างไรครับ” บอกว่า “ล้างบาปนั่นนะ คนที่ทำความชั่วแล้วมันทำลายได้เรอะ อย่างกับเนื้อของเราถูกตัดเฉือนไปเป็นแผล เราจะเอาเงินไปแลกซื้อเนื้อใครเขามาได้ที่ไหน จ่ายเงินให้เขาแล้วแผลมันหายหรือ”

    ท่านตอบว่า “ความจริงผมไม่ได้สอนอย่างนั้นนะครับ ที่ผมสอนนั้น ผมสอนให้สารภาพบาปแบบพระแสดงอาบัติ อาการสารภาพบาปคือ ไปทำความชั่วมาจากไหน เราจะได้ไม่ทำต่อไป”

    คำสอนของท่านเป็นแบบนี้ มา ตอนหลังมาดัดแปลง พอล้างบาป สารภาพบาปแล้วบาปหาย ก็เลยบาปทั้งสองคน คนก่อนก็ไม่หมดบาป คนหลังบาปเพราะโกหก

    ผู้ที่มีสิทธิไปเกิดอยู่ชั้นดุสิต

    พอกลับลงมาก็มานั่งคิดว่า พระเยซูเป็นพระโพธิสัตว์อยู่ชั้นดุสิต ต้องมีบารมีเข้มแข็งมาก ถ้าไม่เข้มแข็งเข้าชั้นนี้ไม่ได้ เพราะชั้นดุสิตนี้เข้าได้ ๓ พวกคือ

    ๑) พุทธบิดาพุทธมารดาของพระพุทธเจ้า

    ๒) พระโพธิสัตว์ที่มีบารมีเข้มแข็งแล้ว

    ๓) พระอริยเจ้าตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไปจึงจะอยู่ชั้นนี้ได้

    สวรรค์ทุกชั้นไม่ใช่ใครจะอยู่ได้ทุกชั้นนะ ต้องเป็นไปตามขั้น ก็เลยมานั่งนึกว่า ทำไมพระเยซูมาอยู่ชั้นดุสิตได้

    มาดูอารมณ์ตอนหนึ่งของท่านคือ ถูกตอกตะปูกับไม้กางเขน ถ้าจิตไม่ดีพอ ท่านจะเป็นเทวดาไม่ได้

    ตามพระบาลีบอกว่า “ถ้าจิตเศร้าหมองก่อนจะตาย ตายไปก็ต้องลงอบายภูมิ” นั่นเขาเจ็บขนาดนั้นเขายังไม่โกรธ

    ลองคิดดูให้ดีไม่ใช่เรื่องเล็กนะเรื่องใหญ่มาก ทำความดีไว้มากตลอดชีวิต แต่เวลาตายจิตเศร้าหมองหน่อยเดียวก็ต้องลงนรกหน่อย

    อย่างพระนางมัลลิกาเทวี เป็นคนดีตลอดชาติ เวลาตายจิตคิดถึงที่เคยไปสะดุดเท้าของสามีนิดเดียว ความจริงโทษท่านไม่มี ถ้าจิตท่านไม่เศร้าหมองก็ไม่ลงนรก แต่ท่านแต่งตัวเป็นนางฟ้า เท้าแหย่ในนรก ๗ วัน..”
     
  12. ตุปั๊ดตุเป๋ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2017
    โพสต์:
    425
    ค่าพลัง:
    +107
    ๓๑.หลวงปู่พระครูบาธรรมชัย (พระครูวรเวทย์วิสิฐ) มรณภาพแล้วไปเกิดเป็นเทวดาบนสวรรค์ชั้นดุสิต

    “..หลวงปู่พระครูบาธรรมชัย (พระครูวรเวทย์วิสิฐ) วัดทุ่งหลวง อำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่ ท่านมรณภาพเมื่อวันที่ ๖ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๓๐

    ก่อนหน้านี้มีคนแจ้งข่าวให้อาตมาทราบว่าหลวงปู่ธรรมชัยท่านไม่สบายมาก เข้าโรงพยาบาล อาตมาฟังแล้วก็คิดในใจว่าวันนี้ตรงกับวัน ๑๒ ค่ำ ตามตำราโบราณถ้าป่วยวันนี้มันหายยาก

    หลังจากนั้นถัดไปอีก ๑ วันจากวันที่ได้รับข่าวว่าท่านมรณภาพแล้ว ก็คิดว่าเคยทำงานคู่กันในด้านสาธารณประโยชน์เหมือนกันแต่คนละด้าน ท่านไปแล้วก็เหลือแต่เรา

    จึงคุมกำลังใจตนเอง นอนภาวนาบ้างพิจารณาไปบ้าง พอจิตรวมตัว จิตรวมตัวนี่ไม่ต้องบังคับ พอจิตทรงตัวดีก็ไปหาพระ พอไปถึงก็กราบพระ ถ้าจิตมีกำลังอย่างนี้ตายเมื่อไรก็มาที่นี่ ก็นึกถึงหลวงปู่ธรรมชัยขึ้นมาได้ จึงกราบเรียนถามพระท่านว่า “เวลานี้หลวงปู่ธรรมชัยอยู่ที่ไหน”

    ท่านก็ตอบว่า “หลวงปู่ธรรมชัยอยู่ชั้นดุสิต” ก็ตกใจเพราะว่าหลวงปู่ธรรมชัยเดิมท่านเป็นพุทธภูมิ ต่อมาก็ลาพุทธภูมิต้องการเป็นอัครสาวกของพระศรีอาริย์ ท่านเคยบอกว่า “ขอเกิดอีกชาติ ต้องการเป็นอัครสาวกของพระศรีอาริย์”

    อาตมาจึงกราบถามพระว่า “ในเมื่อหลวงปู่ธรรมชัยไม่ได้เป็นพุทธภูมิ ก็ไม่มีสิทธิ์เข้าชั้นดุสิต เพราะชั้นดุสิตผู้ที่จะเข้าได้ต้องเป็นพระอริยเจ้าขั้นพระโสดาบันขึ้นไป และในเมื่อหลวงปู่ธรรมชัยปรารถนาเป็นอัครสาวกของพระศรีอาริย์ ก็เป็นพระอริยเจ้าไม่ได้จึงไม่มีสิทธิ์เข้าชั้นดุสิต

    และอีกประการหนึ่งหลวงปู่ธรรมชัยลาจากพุทธภูมิแล้ว และไม่ใช่บิดามารดาของพระโพธิสัตว์ ทำไมเข้าชั้นดุสิตได้”

    พระท่านก็บอกว่า “งานของหลวงปู่ธรรมชัยเป็นงานพุทธภูมิ มีเมตตา ความรัก กรุณา ความสงสาร ไม่มีขอบเขต ใครไปก็สงสารมีเงินหรือไม่มีไม่สำคัญ ต้องการสงเคราะห์อย่างเดียว

    ด้านมุทิตา ท่านไม่เคยอิจฉาริษยาใคร ใครได้ดีพลอยยินดีด้วย อุเบกขา วางเฉย คนที่ไม่ชอบใจเขาก็ว่าท่าน เขานินทาท่าน ท่านก็เฉย

    รวมความว่าท่านครบถ้วน บริบูรณ์ด้วยพรหมวิหาร ๔ ไม่มีขอบเขต อย่างนี้เขาเรียกเป็น อัปปมัญญา อัปปมัญญา นี้ไม่มีขอบเขต ถือว่างานประเภทนี้เป็นงานพุทธภูมิไม่ใช่งานสาวก และทำไมจะถือว่าเขาไม่มีสิทธิ์เข้าชั้นดุสิต”

    พอพูดจบท่านก็เรียกหลวงปู่ธรรมชัยเข้าไปนั่งคู่กับอาตมา อาตมาถามหลวงปู่ธรรมชัยว่า “หลวงปู่ออกจากร่างกายแล้ว รู้สึกเสียดายร่างกายไหม อยากกลับเข้าไปไหม”

    หลวงปู่ทำหน้าเบ้ปั้นไม่ถูกเลยตอบว่า “รังเกียจร่างกายจริงๆ” ถามว่า “อายุกาลมันสมควรหรือเปล่าในการตายครั้งนี้” ท่านบอกว่า “เป็นการตายที่ไม่สมควรแก่เวลาที่ควรจะตาย”

    พระท่านบอกว่า “สงสารเธอ กาลเวลามันเลยมาแล้ว เรื่องการก่อสร้างก็เหลือไม่มาก คนอื่นเขาทำต่อไปได้ ควรไปให้ได้มีความสุขบ้าง”

    หลังจากนั้นพระท่านก็เรียกพระศรีอาริยเมตไตรยขึ้นไป พอท่านขึ้นไปอาตมาก็กราบเรียนถามว่า “เวลานี้วิมานของหลวงปู่ธรรมชัยอยู่ที่ไหน” ท่านบอกว่า “เขาปรารถนาเป็นอัครสาวกของฉันก็อยู่ที่ฉัน”

    ใครฝึกมโนมยิทธิได้ก็สามารถพิสูจน์ได้ด้วยตนเอง เวลาจะพิสูจน์ก็ต้องทิ้งความจำที่รู้มาก่อน อย่างพระท่านบอกว่า “หลวงปู่ธรรมชัยอยู่สวรรค์ชั้นดุสิต” ต้องทิ้งอารมณ์นี้เสียก่อน

    ให้จิตมีความทรงตัวเป็นอุเบกขา อย่าให้อารมณ์เก่าที่เราได้ยินมามีในจิต จึงเริ่มภาวนา แล้วขึ้นไปหาพระแล้วก็กราบถามท่าน อย่างนี้จะไม่ผิด..”
     
  13. ตุปั๊ดตุเป๋ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2017
    โพสต์:
    425
    ค่าพลัง:
    +107
    ๓๒.หลวงพ่อปานวัดบางนมโคปรารถนาพระโพธิญาณมรณภาพแล้วไปเกิดเป็นเทวดาบนสวรรค์ชั้นดุสิต

    “..พระครูวิหารกิจจานุการ (หลวงพ่อปาน) วัดบางนมโค อำเภอเสนา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ท่านเป็นคนบางนมโค มีฐานะค่อนข้างจะมั่งคั่ง

    สมัยนั้นเขามีทาสกัน ที่บ้านท่านก็มีทาส เมื่อท่านเป็นเด็กอายุประมาณ ๔-๕ ขวบ ท่านวิ่งเล่นใต้ถุนบ้านย่าของท่าน เวลานั้นคุณย่าของท่านกำลังป่วยหนักใกล้จะตาย ตอนบ่ายประมาณ ๒-๓ โมงเย็น ทุกคนมาเยี่ยมรวมทั้งโยมพ่อโยมแม่ของท่านก็ไป

    เมื่อทุกคนขึ้นไปแล้ว ท่านก็ได้ยินเสียงบอกดังๆ ว่า “แม่ แม่ อรหังนะ อรหัง ภาวนาไว้ พระอรหัง จะช่วยแม่” ท่านยืนฟังอยู่ใต้ถุนบ้าน สงสัยเขาว่าอรหังกันทำไม จึงย่องขึ้นไปที่หน้าบันไดชานเรือน ก็เห็นเขาเอาปากพูดกรอกไปที่ข้างหูคุณย่าท่านบอกว่า “แม่ แม่ อรหังนะ อรหัง”

    แต่พอผู้ใหญ่มองเห็นท่านเข้าก็ไล่ท่านลงไป พอถึงตอนเย็นเป็นเวลากินข้าว ท่านแม่ก็เรียกลูกกินข้าว เมื่อทุกคนมาพร้อมกันแล้ว ท่านแม่ก็จัดกับข้าวมาวางตรงกลาง สำหรับหลวงพ่อปานท่านเป็นเด็ก เขาเอาข้าวใส่จานกับแกงเผ็ดฉู่ฉี่แห้งที่ท่านชอบมาให้ แบบประเภทข้าวราดแกง ไม่ต้องไปตักกับข้าวตรงกลางวง

    เมื่อท่านกินข้าวกับข้าวอร่อยถูกใจก็เกิดความชุ่มชื่นใจ จิตนึกถึงคำว่า “อรหัง อรหัง” ขึ้นมาได้ ท่านก็ปลื้มใจเลยเปล่งวาจาออกมาดังๆ ว่า “อรหัง อรหัง”

    ท่านแม่มองตาแป๋วลุกพรวดจับชามข้าวที่ท่านถืออยู่วางไว้ แล้วจับตัวท่านวางปังออกไปนอกชาน ร้องตะโกนสุดเสียงว่า “เอ้า จะตายโหงตายห่า ก็ไปตายคนเดียว จะมาว่า “อรหัง” ที่นี่ได้รึ คำว่า “อรหัง หรือ พุทโธ” นี่คนเขาจะตายเท่านั้นแหละเขาว่ากัน ทำเป็นลางร้ายให้คนอื่นเขาพลอยตายด้วย”

    ท่านแปลกใจคิดว่า เราว่าดีๆ แม่ดุเสียงเขียวปัด ในเมื่อถูกดุอย่างนั้นขืนว่าอีกก็เกรงไม้เรียวก็เลยไม่ว่าอีก ลุกไปหยิบจานข้าวไปกินทั้งน้ำตาคลอด้วยความเสียใจ ทีเวลาท่านให้คนอื่นพูดได้ แต่เราเป็นเด็กจะว่ามั่งก็ไม่ได้

    ตอนหลังที่ท่านบวชแล้ว ท่านได้แนะนำให้ท่านแม่ทราบว่า คำว่า “อรหัง หรือ พุทโธ” นี้ถ้าใครภาวนาไว้ เป็นวาจาที่กล่าวถึงคุณงามความดีของพระพุทธเจ้าและพระอริยสงฆ์ทั้งหมด เขาห้ามตกนรก

    ทั้งนี้ก็เพราะว่า คนที่ภาวนา “พุธโธ หรือ อรหัง” จัดว่าเป็นคนปรารถนาความดีของพระพุทธเจ้า มีความดีเกินกว่าที่จะลงนรก ท่านให้ท่านแม่ภาวนาทุกวัน เวลาท่านแม่ตายท่านก็ยึด “พุทโธ และ อรหัง” เป็นอารมณ์

    ก่อนที่ท่านทั้งสองจะตาย ท่านทรงฌานละเอียดและก็ได้วิปัสสนาญาณละเอียด ท่านจึงดีใจมากเวลาที่ท่านทั้งสองตาย แต่ท่านทั้งสองต้องกลับมาเกิดอีกวาระหนึ่ง เพราะหลวงพ่อปานต้องเกิดเป็นลูกท่านอีกครั้งหนึ่ง แล้วต่อจากนั้นท่านทั้งสองไม่มีโอกาสจะเกิดอีกแล้ว

    รูปร่างลักษณะของหลวงพ่อปานสมส่วนทุกอย่าง ผิวขาวนวล เสียงท่านเพราะมาก เมื่อท่านโตขึ้นมา ท่านช่วยพ่อแม่ทำนา ท่านเป็นคนขยัน เคยขอให้ท่านนั่งขัดสมาธิ แล้วกราบขออภัยท่าน

    ขอเอาเชือกวัดรอบศีรษะ วัดหน้าตัก วัดจากตักไปถึงบ่า ได้ส่วนทุกอย่างกับส่วนของพระพุทธรูปเป๊ะเลย เมื่ออายุท่านใกล้ถึงเกณฑ์บวช ท่านพ่อท่านแม่บอกจะขอลูกสาวคนรวยให้แต่งงานกับท่าน หลังจากบวชแล้ว ท่านบอกว่า “เรื่องแต่งงานเอาไว้ทีหลัง ขอให้บวชเสียก่อน เพราะบวชแล้วไม่แน่จะสึกหรือไม่สึก ถ้าสึกก็แต่ง ไม่สึกก็ไม่แต่ง”

    สมัยที่ท่านเป็นหนุ่ม ที่บ้านท่านมีคนรับใช้เป็นทาสอยู่คนหนึ่งอายุแก่กว่าท่าน ท่านเรียกว่าพี่เขียว อายุประมาณ ๒๕ ปี ตอนกลางวันอยู่ด้วยกัน ๒ คน ท่านเกิดสงสัยเนื้อผู้หญิงขึ้นมา เพราะตั้งแต่เกิดมานอกจากเนื้อแม่กับเนื้อพี่แล้ว ท่านไม่เคยจับเนื้อใคร จึงคิดว่าเนื้อผู้หญิงมันดีอย่างไร ผู้ชายถึงอยากได้กันนัก บางทีถึงกับฆ่ากันเลย ท่านจะบวชแล้วถ้ามันดีจริงก็จะสึก ถ้าไม่ดีก็ไม่สึก

    ท่านจึงเข้าไปหาพี่เขียวซึ่งอยู่ในครัว ยกมือไหว้ขอขมาบอกว่าไม่ได้ดูถูกดูหมิ่น ขอจับเนื้อดูหน่อย อยากจะพิสูจน์ว่ามันดียังไง ผู้ชายเขาถึงชอบกันนัก พี่เขียวก็แสนดีอนุญาตให้จับได้

    ท่านก็เลือกจับเนื้อที่หน้าอก แต่ไม่ได้จับมากหรอก และก็ไม่ได้ลวนลามไปถึงไหน จับๆ แล้วท่านก็มาจับเนื้อน่องของท่าน และบอกพี่เขียวว่า “เนื้อมีสภาพคล้ายกันนี่ เนื้อของเราก็มีแล้ว ไปต้องการเนื้อคนอื่นอีกทำไม” ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมาท่านก็เลยคิดว่า บวชคราวนี้ไม่สึกละ

    เข้าสู่ผ้ากาสาวพัตร์
    พออายุท่านครบ ๒๐ ปี บริบูรณ์ย่าง ๒๑ ปี ท่านพ่อก็พาท่านถือพานดอกไม้ธูปเทียนไปฝากหลวงปู่สุ่นเพื่อบวชที่วัดบางปลาหมอ อำเภอบางบาล จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ขณะที่เดินไปตามทางท่านพบปลาช่อนตัวใหญ่ตัวหนึ่งอยู่ในหนองน้ำเกือบจะแห้ง ท่านก็จับไปปล่อยในแม่น้ำ ท่านบอกว่า

    ในชีวิตของท่านไม่เคยฆ่าสัตว์เลย ไม่ว่าสัตว์ตัวเล็กตัวใหญ่ก็ตาม ถ้าฆ่าโดยเจตนาแล้วท่านไม่เคยทำ แม้แต่ยุงก็ไม่เคยตบ

    เมื่อไปถึงวัด หลวงปู่สุ่นเห็นเข้าก็กวักมือเรียก หลวงพ่อปานก็เข้าไปกราบท่านก็เอามือลูบศีรษะบอกว่า “อยู่กับพ่อจะได้ดีนะ นับตั้งแต่นี้ไปเป็นลูกของพ่อ วิชาความรู้จะถ่ายทอดให้ทั้งหมด และจะไม่สึก” ทำให้ท่านพ่อและหลวงพ่อปานปลื้มใจมาก เพราะเวลานั้นหลวงปู่สุ่น ท่านมีชื่อเสียงโด่งดังมากเป็นกรณีพิเศษ

    ความกตัญญูกตเวทีต่อพ่อแม่

    หลวงพ่อปานท่านมีความกตัญญูกตเวทีกับพ่อแม่มาก เวลาป่วยท่านไม่ยอมให้อยู่ที่บ้าน ท่านนำมารักษาที่วัดให้นอนในกุฏิท่าน ผ้านุ่งผ้าห่มของท่านท่านซักเอง เวลาท่านแม่ลุกไม่ถนัดท่านก็อุ้มลุกอุ้มนั่ง เช็ดขี้เช็ดเยี่ยวให้

    มีหลายคนตำหนิท่านว่า ท่านเป็นพระ ทำอย่างนี้แม่ท่านจะบาป ท่านก็เลยบอกว่า “พระพุทธเจ้าท่านว่าไม่บาป เป็นความดีที่แสดงความกตัญญูกตเวทีต่อพ่อแม่ เวลานี้ท่านเป็นพระเป็นลูกของพระพุทธเจ้า ท่านก็เลยทำตามพระพุทธเจ้า พระองค์เทศน์ไว้ในพระไตรปิฎกมีอยู่

    ในสมัยที่พระพุทธเจ้าเป็นพระโพธิสัตว์ เสวยพระชาติมีนามว่า “สุวรรณสาม” สมัยนั้นพระองค์ก็ปรนนิบัติดูแลท่านพ่อท่านแม่ของท่านเป็นอย่างดี

    ปัจฉิมโอวาทของหลวงพ่อปาน
    ต่อมาเมื่อหลวงพ่อปานอายุล่วงเข้า ๖๑ ปี ท่านป่วยมากเป็นครั้งแรก คณะศิษย์ในกรุงเทพฯรับท่านไปรักษาประมาณ ๑ เดือนท่านก็กลับวัด

    หลังจากป่วยคราวนี้แล้วท่านแจ้งให้บรรดาคณะศิษยานุศิษย์ทราบว่านับตั้งแต่นี้เป็นต้นไปอีก ๓ ปีท่านจะตายในวันแรม ๑๔ ค่ำเดือน ๘ เวลาประมาณ ๖ โมงเย็น ปรากฏว่ามีคณะศิษย์พากันมาหาท่านมาก

    เมื่อใครก็ตามเข้าไปหาท่าน ตอนนี้ท่านสงเคราะห์ทุกอย่าง ทั้งด้านการรักษาโรค คาถาอาคมที่เป็นประโยชน์ ที่เป็นโทษท่านไม่ให้กับใคร นอกจากนั้นท่านก็สอนเฉพาะศีล สมาธิ ปัญญา เป็นสำคัญ ท่านพูดย่อๆ ให้ฟังง่ายและเห็นชัด

    ส่วนใหญ่ท่านสอนด้านวิปัสสนาญาณ ให้ทุกคนรู้ตัวว่าตัวเองจะต้องตายและทุกคนก็ต้องตายเหมือนกัน จงอย่าประมาทให้สร้างแต่ความดี ถึงแม้ว่าจะมีคาถาอาคมดีเพียงใดก็ตาม เราก็ต้องตาย ก่อนที่จะตายนั้นควรจะเลือกทางเดิน อย่างน้อยที่สุดเราควรไปสวรรค์ชั้นกามาวจรให้ได้

    แล้วท่านก็อธิบายว่า การที่ท่านสร้างวัดวาอารามต่างๆ ถึง ๔๐ วัด ทำบุญสุนทานต่างๆ ทั้งหมดนี้ก็เพราะท่านห่วงบรรดาประชาชนทั้งหลายจะได้ร่วมกันทำบุญ มากบ้างน้อยบ้างด้วยทรัพย์สินบ้าง ด้วยกำลังกายบ้าง ทุกคนที่ได้ช่วยงานท่านอย่างนี้ อย่างน้อยทุกคนจะต้องไปเกิดบนสวรรค์

    ท่านสอนว่า ก่อนจะหลับให้นึกถึงความดีที่ตนเคยทำไว้ หมั่นภาวนาระลึกถึงพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระอริยสังฆคุณ เป็นต้น

    ก่อนหน้าวันตายของท่าน ๓ วัน หลวงพ่อปานได้บอกให้อาตมาจัดเครื่องบวงสรวงชุดใหญ่ พอวันรุ่งขึ้นเวลาประมาณ ๓ โมงเช้าท่านก็เริ่มพิธีบวงสรวงแล้วบอกว่า “วันนี้ใครจะคุยอะไรกับท่านก็คุยนะ หลังเที่ยงไปแล้วท่านจะไม่คุย พรุ่งนี้ท่านถึงจะตาย”

    ท่านนอนคุยเพราะลุกไม่ค่อยจะไหว เนื่องจากแรงท่านไม่มี พอถึงวันแรม ๑๔ ค่ำ ตอนเช้าท่านบอกว่า “นับตั้งแต่เที่ยงวันนี้เป็นต้นไป ท่านจะไม่พูดกับใครเลย” อาตมาได้ถามท่านว่า “ท่านจะสั่งอะไรบรรดาศิษย์เป็นครั้งสุดท้ายบ้าง เพราะวันนี้เป็นวันสุดท้ายของท่านแล้ว ถือว่าเป็นปัจฉิมวาจา”

    หลวงพ่อปานว่า “ให้สั่งพระกับชาวบ้านทั้งหมด ขอให้ทุกคนตั้งใจทำความดี คนไหนที่ทำความดีอย่างอื่นมากนักไม่ได้ ก็ให้สร้างความดี ๒ อย่างคือ ๑ อย่าดื่มสุราเมรัย ๒ อย่าลักขโมย คืออย่าประพฤติตนเป็นโจร”

    จากนั้นหลังจากเที่ยงไปแล้วท่านก็เงียบ พอเวลาใกล้จะ ๖ โมงเย็น เหลืออีกประมาณ ๑๐ นาที ท่านลืมตาขึ้นมองหน้าอาตมาบอกว่า “ถ้าพ่อตายละก็ ช่วยไปสร้างโบสถ์วัดเสาธง ตำบลสารี อำเภอบางปลาม้า จังหวัดสุพรรณบุรี ให้เสร็จด้วยนะ” อาตมาบอกหลวงพ่อว่า “เวลานี้พระมานั่งกันเต็มประมาณ ๒๐๐ รูป อาตมาต้องการให้พระสงเคราะห์อะไรบ้าง”

    ท่านเลยบอกว่า “ถ้าพระจะสงเคราะห์ ให้ท่านสวดอิติปิโส และจุดธูปหอมๆ ให้ได้กลิ่นด้วย” พอ พระสวดอิติปิโส ไปได้สักพักหนึ่ง เหลือเวลาอีกนิดเดียวจะ ๖ โมงเย็น ท่านลืมตาขึ้นบอกกับอาตมาว่า “ให้บอกพระกับชาวบ้านว่าพ่อลานะ แล้วขอให้ทุกคนมีความสุขนะ ทุกคนตายแล้วจงไปสวรรค์ จงไปพรหมโลก จงไปพระนิพพาน”

    เมื่อพูดจบท่านก็หลับตา ท่านลืมตาอีกครั้งแล้วก็หลับตาปั๊บอีกที นาฬิกาเป๋งแรก ๖ โมงเย็นพอดีปรากฏว่าชีพจรดับพร้อมกัน พระครูอุดมสมาจารย์ นั่งหลับตาอยู่ห่างๆ ได้ลืมตาขึ้นมาบอกว่า “หลวงพ่อไปแล้วไปอย่างสบาย ออกไปสวยเหลือเกิน รูปร่างท่านสวยมาก เทวดา พรหมห้อมล้อมไปส่งท่านถึงสวรรค์ชั้นดุสิต”

    พอบรรดาพระทราบว่าหลวงพ่อไปแล้ว ปรากฏว่าพระแก่หลายองค์เลิกสวดอิติปิโส แต่มาสวดร้องไห้แทน เมื่อพระร้องไห้ชาวบ้านที่อยากจะร้องอยู่แล้วมีมาก ก็เลยช่วยกันร้องเป็นการใหญ่ หลวงพ่อมรณภาพในกุฏิท่าน คนจะมาเคารพศพก็ลำบาก เพราะที่คับแคบ ต้องเคลื่อนศพมาไว้ที่ศาลาโดยไม่ได้ใส่โลงศพ

    สมัยนั้นยาฉีดกันเน่ากันเหม็นยังไม่มี จากวันแรม ๑๔ ค่ำเดือน ๘ จนถึง วันขึ้น ๘ ค่ำเดือน ๙ ร่างกายของท่านไม่ผิดปกติเลย มีอาการเหมือนคนนอนหลับ เนื้อหนังที่จะผิดปกติอย่างคนตายก็ไม่มี กลิ่นเหม็นสักนิดหนึ่งก็ไม่มี..”
     
  14. ตุปั๊ดตุเป๋ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2017
    โพสต์:
    425
    ค่าพลัง:
    +107
    ๓๓.พระศรีอาริยเมตไตรยปรารถนาพระโพธิญาณจึงไปเกิดเป็นเทวดาบนสวรรค์ชั้นดุสิต

    “..พระศรีอาริยเมตไตรย ในสมัยพระพุทธเจ้าท่านบวชเป็นพระมีนามว่า อชิตะภิกขุ เดิมทีท่านเป็นลูกศิษย์ของพราหมณ์พาวรี ท่านไปบวชเพื่อสร้างเสริมบารมี

    ต่อมาเมื่อ พระนางกีสา โคตมี ได้ทอจีวรด้วยมือของตนเองปรารถนาจะถวายพระพุทธเจ้า เมื่อเวลาพระนางไปถวาย พระพุทธเจ้าเรียกพระมาหมด นั่งเรียงแถวกันตามลำดับอาวุโสและคุณสมบัติ

    เมื่อพระนางกีสาโคตมีถวายผ้าแก่พระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าก็ส่งให้พระสารีบุตร ท่านพระสารีบุตรก็ส่งให้พระโมคคัลลาน์ ท่านพระโมคคัลลาน์ก็ส่งต่อๆ กันไปหมดจนถึงองค์สุดท้ายคือท่านอชิตะภิกขุ ท่านไม่รู้จะส่งให้ใครเพราะนั่งอยู่ท้ายสุด เป็นอันว่าท่านก็รับไว้

    พระนางกีสา โคตมีก็เสียใจว่าอุตสาห์ทำเองเลือกด้ายชั้นดีมาทอกับมือเองเพื่อถวายพระพุทธเจ้า แต่พระองค์ไม่รับกลับไปให้กับพระที่ไม่ได้แม้แต่ฌานสมาบัติมากมายอะไรนัก คือว่ายังเป็นพระปุถุชนคนธรรมดา

    องค์สมเด็จพระบรมศาสดาทรงทราบอัธยาศัยจึงเทศนาโปรดว่า พระองค์สุดท้ายไม่ใช่พระธรรมดา ท่านอชิตะภิกขุผู้นี้ต่อไปข้างหน้าจะได้ตรัสเป็นพระพุทธเจ้าองค์หนึ่ง มีพระนามว่า “สมเด็จพระศรีอริยเมตไตรย”

    ปัจจุบันนี้ท่านมาเกิดเป็นเทวดาบนสวรรค์ชั้นดุสิต วิมานท่านสวยสดงดงามมาก ท่านมีรัศมีกายสว่างมาก หน้าตาผ่องใสยิ้มระรื่นน่าชื่นใจ

    ท่านได้บอกกับอาตมาเมื่อ พ.ศ. ๒๕๒๙ ว่า นับตั้งแต่นี้เป็นต้นไป อีก ๑ ล้านกับ ๒ ปี ท่านจะลงมาเกิดในเมืองมนุษย์แล้วเป็นปุโรหิต หลังจากนั้นเกิดความเบื่อหน่ายก็ออกแสวงหาพระโพธิญาณเป็นพระพุทธเจ้า ถ้าจะเทียบพื้นที่ในสมัยนี้ พระองค์จะตรัสทางทิศเหนือของพม่า แต่ตามตำราเขาไม่ได้เขียนไว้
     
  15. ตุปั๊ดตุเป๋ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2017
    โพสต์:
    425
    ค่าพลัง:
    +107
    ๓๔.สองพี่น้องตายจากคน คนพี่ไปเกิดบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ส่วนคนน้องไปเกิดบนสวรรค์ชั้นนิมมานรดี

    “..เรื่องหนึ่งตามพระไตรปิฎก ในวิมานวัตถุกล่าวถึง สองสาวพี่น้อง คนพี่ชื่อ ภัททา คนน้องชื่อ สุภัททา สมัยที่เป็นมนุษย์พี่น้องสองคนนี้มีสามีคนเดียวกัน ท่านทั้งสองเมื่อมีชีวิตอยู่ชอบให้ทาน รักษาศีล ฟังเทศน์

    แต่การให้ทานต่างกันนิดหนึ่งคือ
    ท่านภัททาผู้พี่ชอบให้ทานส่วนบุคคล เป็นทานที่ใหญ่ๆ ยศใหญ่ ตำแหน่งใหญ่ ชื่อเสียงใหญ่
    ส่วนท่านสุภัททาผู้น้องในตอนแรกก็ให้ทานดะเหมือนกัน ชอบใหญ่ๆ เหมือนกัน
    ต่อมาได้พบ พระเรวัตตะ เข้าท่านเป็นพระอรหันต์ปฏิสัมภิทาญาณ เมื่อท่านสุภัททาจะถวายทานแก่ท่าน ท่านแนะนำว่า “ให้ถวายเป็นสังฆทานดีกว่า เพราะอานิสงส์มากกว่าถวายทานส่วนบุคคล ทานส่วนบุคคลนั้น แม้ผู้รับจะเป็นพระอรหันต์ แต่อานิสงส์น้อยกว่าสังฆทานมาก” เมื่อท่านทราบอย่างนั้นก็ขอถวายเป็นสังฆทาน

    ต่อจากนั้นก็ถวายเป็นสังฆทานตลอดมา คนนี้ต้องเรียกว่า นางฟ้าสังฆทาน พี่น้องทั้งสองท่านรักษาอุโบสถทุกวันพระ ๘ ค่ำ และ ๑๕ ค่ำ ฟังธรรมเป็นปกติ

    ท่านภัททาผู้พี่ตายจากความเป็นคนไปเกิดบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก มีวิมานสวย เครื่องประดับก็สวย รูปร่างผิวพรรณก็สวย ถ้าเปรียบกับเมืองมนุษย์ก็เหมือนคนชิงตำแหน่งนางสาวไทย และมีโอกาสเป็นนางงามประจำชาติไทยแน่

    แต่ท่านสุภัททาผู้น้องยิ่งกว่านั้นถ้าจะแข่งขันความสวย ต้องเปรียบเหมือนผู้ชนะความงามเลิศที่สุดในโลก เพราะท่านไปเกิดบนสวรรค์ชั้นนิมมานรดี ชั้นเดียวกับ พระนางวิสาขามหาอุบาสิกา

    วันหนึ่งท่านสุภัททาคิดถึงพี่สาวคือท่านภัททา อยากจะทราบว่าเกิดอยู่ที่ใด จึงใช้ใจที่เป็นทิพย์ตรวจดูก็รู้ว่า พี่สาวอยู่ดาวดึงส์ จึงมาหาพี่สาว พี่สาวจำไม่ได้เพราะสวยมาก แสงสว่างก็สว่างไสวมากเหลือเกิน

    จึงถามว่า “เธอเป็นใคร” น้องสาวก็ตอบว่า “ฉันคือสุภัททาน้องของพี่” พี่สาวจึงถามว่า “เวลานี้เธออยู่ที่ไหน ทำไมจึงสวยกว่าฉันมาก แสงสว่างก็ดูสว่างกว่าฉันมาก เธอทำบุญอะไรจึงมีอานิสงส์มากถึงเพียงนี้”

    ท่านสุภัททาก็ตอบว่า “ฉันรักษาอุโบสถศีลทุกวันพระ ฟังเทศน์จากท่านเรวัตตะ ท่านแนะนำให้ถวายสังฆทาน คือเมื่อเวลาฉันจะถวายทานแก่ท่าน ท่านแนะนำว่า สังฆทานมีอานิสงส์มากกว่าถวายทานส่วนบุคคล

    ฉันก็เลยถวายสังฆทานเรื่อยๆ มีมากถวายมากมีน้อยถวายน้อย และฟังเทศน์เสมอ ฟังแล้วพยายามปฏิบัติตาม ตามที่พึงจะทำได้ ตายแล้วจึงไปสู่สวรรค์ชั้นนิมมานรดี”

    เมื่อทั้งสองท่านคุยกันพอสมควรแล้วท่านสุภัททาก็ลาพี่สาวกลับ ขณะที่ทั้งสองท่านยืนคุยกันพระอินทร์ท่านเห็น ท่านจึงถามท่านภัททาว่า “เมื่อกี้เธอคุยกับใคร คนนี้สวยมาก เครื่องประดับก็สวยมาก รัศมีกายก็สว่างมากกลบแสงสว่างของเทวดานางฟ้าชั้นดาวดึงส์ทั้งหมด”

    ท่านจึงรายงานให้ทราบว่า คนนั้นเป็นน้องสาวชื่อสุภัททา เกิดที่ชั้นนิมมานรดี เมื่อเป็นมนุษย์รักษาอุโบสถศีลทุกวันพระ ฟังเทศน์เป็นปกติ ถวายสังฆทานเป็นปกติ เธอจึงมีอานุภาพมาก สวยมาก สว่างมาก ตามที่ท่านเห็น..”
     
  16. ตุปั๊ดตุเป๋ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2017
    โพสต์:
    425
    ค่าพลัง:
    +107
    ๓๕.ตายจากคนไปเกิดเป็นนางฟ้าบนสวรรค์ชั้นปรนิมมิตวสวัตตี

    วันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๓๑ เวลา ๑๗.๑๐ น. อาตมานอนภาวนาไปได้ไม่ถึง ๒ นาที ก็เห็นขาหญิงสาวสองคนเดินมา เห็นเพียงขาผิวขาวนวลเรียบไม่ย่นไม่มีตำหนิเนื้อเต็ม ลักษณะทรวดทรงงามมาก

    เมื่อเธอทั้งสองนั่งลงใกล้ๆ ก็เห็นร่างกายทั้งหมดของเธอสวยเรียบๆ จริงๆ ผิวหาที่ตำหนิไม่ได้เลย ส่วนของร่างกายเหมาะสมได้สัดส่วนมากอิ่มทั้งตัวและหน้า อาตมาถามเธอว่า “เธอมาเฝ้าเพื่อความปลอดภัยหรือ” เธอตอบว่า “ใช่”

    ถามเธอว่า “อยู่ชั้นไหน” เธอตอบว่า “ชั้นปรนิมมิตวสวัตตีเจ้าค่ะ” นางฟ้าสวรรค์ชั้นนี้สวยจริงๆ อาตมาเห็นเธอ ๒ คนนี้แล้วรู้สึกว่า ความสวยของสาวในโลกมนุษย์แห้งหมด ภาพที่เห็นนี้แลเห็นเป็นเหมือนเนื้ออย่างคนธรรมดา ถามว่า “ใครเป็นหัวหน้าส่งเธอมา”

    เธอตอบว่า “เธอเป็นเทพธิดาของท่านพัวหรือท่านอุบล” เป็นชื่อเมื่ออยู่เมืองมนุษย์ ท่านผู้นี้เป็นน้องสาวคนเล็กของอาตมา ท่านตายเมื่ออายุ ๔ ปี ท่านเป็นนักบุญ ชอบให้ทาน ชอบฟังเทศน์ และชอบภาวนาตั้งแต่ยังพูดไม่ชัด เธอทั้งสองบอกว่า “ท่านพัวเป็นเหมือนมารดา เพราะเธอไปเกิดบนตักของท่าน”

    อาตมาจึงบอกเธอว่า “ขอบใจลูกรักที่เมตตาพ่อ เพราะพ่อแก่และป่วย ผีหรือไสยศาสตร์อาจทำร้ายได้ เมื่อลูกมาช่วยระวังให้ความปลอดภัยจากสองประการก็มิได้มีแน่นอน” เธอบอกว่า “เธอเป็นหลานเพราะท่านพัวเป็นน้องสาว เธอต้องเรียกอาตมาว่าลุง”

    จึงบอกเธอว่า “ไม่จำเป็นเพราะคำว่าหลานห่างไปจากความรู้สึก ถ้าลูกจะมีความใกล้ชิดมาก” เธอทั้งสองดีใจมากก้มลงกราบ

    พอดีท่านย่ามา อาตมาได้ปรารภกับท่านว่า “นางฟ้าชั้นปรนิมมิตวสวัตตีนี่สวยงามมาก ทำเอานางฟ้าชั้นดาวดึงส์ซีดเลย” ท่านย่ายอมรับว่าจริง

    อาตมาถามถึงการทำบุญของเธอว่า “ทำบุญอะไรจึงมีบุญอย่างนี้” เธอบอกว่า “ชอบก่อสร้าง ชอบบูชาพระ รักพระพุทธรูปมาก พระองค์ใหญ่ๆ (พระประธาน) จิตเกาะตลอดเวลา (เป็นฌาน) มีศีลและกรรมบถ ๑๐ ครบถ้วน” และท่านบอกว่า “
    การที่อาตมาสร้างวัดอย่างนี้และตั้งใจสร้างปล่อยไม่ติดวัด เทวดาและพรหมชอบมาก ท่านมาร่วมเป็นไวยาวัจกรมาก ช่วยด้านที่ไม่เห็นตัว เพราะได้ต่อบารมีกันทั่วไป โดยเฉพาะงานเจริญภาวนาอีกอย่างหนึ่งที่ท่านชอบกันมาก จึงมาช่วยกันมาก”

    เมื่อเธอกล่าวจบท่านย่าถามว่า “ท่านพัวไม่มาหรือ” พอท่านย่ากล่าวจบ ท่านพัวมาถึงพอดี ท่านพัวมาในรูปนางฟ้ามีชฎา สองสาวที่คุยกันอยู่เดิมเธอมีเนื้อมีหนังเหมือนคนก็เลยเป็นนางฟ้าไปด้วย สวยกว่ารูปเดิมมากเครื่องประดับแพรวพราว..”
     
  17. ตุปั๊ดตุเป๋ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2017
    โพสต์:
    425
    ค่าพลัง:
    +107
    ๓๖.ท่านอาฬารดาบสกับท่านอุทกดาบส ตายจากความเป็นคนไปเกิดเป็นอรูปพรหม

    “..เมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว พระองค์ทรงต้องการให้คนอื่นมีความสุขด้วย ทรงนึกว่าใครหนอที่จะรับพระธรรมเทศนาที่พระองค์บรรลุแล้วได้ ก็ทรงหวนนึกขึ้นมาได้ว่าท่านอาจารย์ทั้งสองคือ ท่านอาฬารดาบส กับ ท่านอุทกดาบส สองท่านเป็นอาจารย์สอนให้พระองค์ได้สมาบัติ ๘

    ฉะนั้นในเมื่อท่านสอนให้ลูกศิษย์ได้สมาบัติ ๘ ได้ ตัวท่านก็ต้องได้สมาบัติ ๘ ด้วย การได้สมาบัติ ๘ คือ รูปฌาน ๔ และอรูปฌาน ๔ จิตละเอียดมาก ถ้ารับพระธรรมเทศนาจากองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าแผล็บเดียวก็เป็นอรหันต์ปฏิสัมภิทาญาณ คำว่า “ปฏิสัมภิทาญาณ” หมายความว่า

    ๑) ฉลาด ถ้าเขาพูดมาโดยย่อ ก็สามารถอธิบายให้ละเอียด เข้าใจชัดได้

    ๒) ถ้าเขาพูดมายาวๆ ก็สามารถย่อให้สั้นเข้า พอจำได้

    ๓) มีความฉลาดในภาษา มีปัญญารอบรู้ทุกอย่าง มีฤทธิ์ด้วยประการทั้งปวง เป็นอันว่าอภิญญา ๖ และวิชชา ๓ มีอะไร ปฏิสัมภิทาญาณก็มีหมด สำหรับปฏิสัมภิทาญาณนี้ต้องทรงสมาบัติ ๘ ก่อน

    องค์สมเด็จพระชินวรทรงคิดว่าจะไปเทศน์ให้ท่านอาจารย์ทั้งสองฟังเพื่อจะได้บรรลุมรรคผล ก่อนที่องค์สมเด็จพระทศพลจะทรงทำอะไรท่านมีพระพุทธญาณเป็นเครื่องรู้ ทรงใช้ทิพย์จักขุญาณดูว่าอาจารย์ทั้งสองเวลานี้อยู่ที่ไหน

    ก็ทราบได้ว่าเวลานี้ อาจารย์ทั้งสองตายจากความเป็นคนไปเกิดเป็นอรูปพรหม ไม่มีอายตนะคือไม่มีเครื่องรับ ไม่มีตาจะรับ ไม่มีหูจะรับ มีแต่ตาไม่มีหู ตีใบ้ก็ยังใช้ได้ มีแต่หูไม่มีตา ใช้เสียงก็ยังดี แต่นี่ไม่มีทั้งหูทั้งตา มีแต่จิตลอยเคว้งคว้างอยู่ในอากาศ

    สมเด็จพระบรมโลกนาถก็ทรงปลงอนิจจังว่า “โอหนอ น่าเสียดายอาจารย์ทั้งสอง ฉิบหายจากความดีเสียแล้ว” เพราะว่าองค์สมเด็จพระประทีปแก้วไม่มีโอกาสจะสนองคุณท่านอาจารย์ทั้งสอง เนื่องจากไม่มีอายตนะจะรับ ความจริงพราหมณ์เขาก็เก่ง เขามีการสอนกันถึงสมาบัติ ๘

    พรหมที่ว่ามี ๒๐ ชั้น เป็นพรหมที่มีรูป ๑๖ ชั้นและพรหมที่ไม่มีรูปที่เรียกกันว่าอรูปพรหมอีก ๔ ชั้น

    ความจริงไม่ได้เป็นชั้นที่ต่อสูงขึ้นไปเป็นชั้นที่ ๑๗,๑๘,๑๙,๒๐ หมายถึงไม่ได้อยู่สูงกว่าพรหมที่มีรูปและอรูปพรหมไม่ได้ตั้งปนอยู่กับรูปพรหม

    แต่อยู่ในช่องกึ่งกลางระหว่างรูปพรหมชั้นที่ ๘ กับรูปพรหมชั้นที่ ๙ จะเห็นเป็นทะเลอากาศขาวเป็นประกายระยิบระยับแพรวพราว มีความกว้างขวางมองหาที่สุดของพื้นที่ไม่ได้ หาวิมานสักหลังก็ไม่มี หารูปกายสักรูปหนึ่งก็ไม่มี

    สิ่งที่จัดว่าเป็นวัตถุในด้านของความเป็นทิพย์สักหน่อยหนึ่งก็ไม่มี แดนนี้เขาเรียกว่าแดนอรูปพรหม ที่เขาบอกว่าเป็นพรหมแล้วมีรูปร่างเหมือนฟักแฟง แบบนี้ยังไม่รู้จริง

    ถ้าหากว่ารูปไม่มีแล้วอะไรเป็นพรหม ก็จิตของพรหมแต่ละพรหมที่เห็นเป็นประกายระยิบระยับแพรวพราวอยู่ในบริเวณของอากาศนั้นแต่ไม่มีรูป

    พรหมทั้งหลายพวกนี้ไม่มีรูปก็เพราะในสมัยที่เป็นมนุษย์เขาไม่ต้องการรูปเขาเกลียดรูป เนื่องจากเวลาหนาวก็ดี ร้อนก็ดี หิวก็ดี กระหายก็ดี ป่วยไข้ไม่สบายก็ดี ปวดอุจจาระปัสสาวะก็ดี ถูกเพื่อนต่อว่าหรือถูกเจ้าหนี้มาทวงหนี้ก็ดี เขาคิดว่าอาการที่ไม่ชอบใจทั้งหมดเป็นเพราะมีร่างกายเป็นสำคัญ

    ถ้ายังมีร่างกายอยู่เพียงใด ความทุกข์ทั้งหลายเหล่านี้ก็จะปรากฏแก่เรา ฉะนั้นจึงได้บำเพ็ญบารมีในด้านอรูปฌานคือ

    ๑) อากาสานัญจายตนะ พิจารณาอากาศเป็นสำคัญว่า อากาศหาที่สุดมิได้

    ๒) แล้วพิจารณา วิญญาณัญจายตนะ ดูวิญญาณว่า วิญญาณนี้ก็หาที่สุดมิได้เหมือนกัน

    ๓) แล้วก็ได้ อากิญจัญญายตนะ ถือว่าในโลกนี้ไม่มีอะไรเป็นสำคัญ มันสลายตัวหมด

    ๔) แล้วก็พิจารณา เนวสัญญานาสัญญายตนะ เลยทำอารมณ์ของตัวเป็นคนที่มีความจำแต่ทำเหมือนว่าจำไม่ได้ คือไม่รับรู้อะไรทั้งหมด

    สำหรับอรูปพรหมทั้งหมด ๔ ชั้นนี้เป็นพรหมที่มีความอาภัพมาก เพราะว่าเวลาพระพุทธเจ้าเทศน์โปรดไม่มีโอกาสจะรับฟัง

    ไม่เหมือนบรรดารูปพรหมทั้งหลายที่มีโอกาสฟังเทศน์จากพระพุทธเจ้า เมื่อฟังเทศน์แล้วแต่ละคราว บรรดาพรหมที่เป็นพระอริยเจ้าอยู่บ้างก็เป็นพระอรหันต์เข้านิพพานไป

    บรรดาพรหมที่ทรงฌานโลกีย์ก็เป็นพระอริยเจ้าเสียก็มาก เป็นอันว่าพรหมมี ๒๐ ชั้นก็จริง เป็นรูปพรหมเสีย ๑๖ ชั้น ตั้งอยู่ระดับหนึ่ง สำหรับอรูปพรหม ๔ ชั้นอยู่อีกเขตหนึ่งไม่ได้ปนกัน..”
     
  18. ตุปั๊ดตุเป๋ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2017
    โพสต์:
    425
    ค่าพลัง:
    +107
    ๓๗.พระมหาทองปอนด์ วันม่อนธาตุ จังหวัดอุตรดิตถ์ มรณภาพเมื่อ ๑๓ มกราคม ๒๕๓๒

    “..ตอนเช้ามืดเวลาตี ๔ ของวันที่ ๑๓ มกราคม ๒๕๓๒ อาตมาตื่นไม่ทันจะลืมตา พอรู้สึกตัวก็เห็นภาพพระสงฆ์องค์หนึ่งลอยอยู่บนอากาศ แต่การลอยของท่านไม่ได้อยู่ในท่ายืนหรือว่าท่าเดิน หรือท่านั่ง เป็นการลอยในท่านอน

    รูปร่างอ้วนๆ เป็นคนลักษณะท้วม ผิวเนื้อสองสี ลักษณะสูงต่ำประมาณกลางคน จึงพิจารณาดูว่าพระองค์นี้เป็นใคร ตามความรู้สึกว่าพระองค์นี้เคยรู้จักกันมาก่อนและเป็นคนเคยสืบเนื่องกันมาในชาตินี้

    แต่มองเท่าไรก็ไม่เห็นหน้าเพราะมีผ้าคลุมหน้าและคลุมทั้งตัว จึงไม่ทราบว่าพระองค์นี้เป็นใคร ลักษณะการนอนตามความรู้สึกบอกว่าพระองค์นี้ตายแล้วและเป็นการตายสดๆร้อนๆ ไม่นานนัก อาจจะไม่ถึง ๒๔ ชั่วโมง ตื่นขึ้นมาเวลานั้นยังไม่ทันภาวนาแต่มีความรู้สึกตัว จิตมีความรู้สึกว่ารับรู้ลมหายใจเข้าออก นิมิตก็เกิด

    ถ้าจะถามว่า “เป็นการใช้ทิพย์จักขุญาณใช่ไหม” ต้องตอบว่า “ไม่ใช่” ภาพนี้เป็นภาพที่แสดงให้เห็นเองไม่สามรถจะบังคับได้ ฉะนั้นเมื่อภาพมีผ้าคลุมตลอดตัวจึงไม่สามารถบังคับให้เปิดผ้าได้ ถ้าเป็นทิพย์จักขุญาณก็สามารถบังคับให้เปิดผ้าได้ อยากจะรู้ชื่อของพระองค์นี้นึกเท่าไรก็ไม่สามารถจะรู้ได้

    จึงคิดในใจว่าพระองค์นี้ตายแล้วหรือยัง เวลานั้นปรากฏภาพพระขึ้น ๓ องค์เป็นพระที่มีความสำคัญลอยอยู่หน้าพระองค์นี้ แสดงว่าก่อนที่จะตายพระองค์นี้เห็นภาพพระ ๓ องค์ลอยอยู่เบื้องหน้า

    ก็มีความชื่นใจว่าลักษณะอย่างนี้เกิดขึ้นเป็นอาการบอกถึงความสุขโดยตรง ฉะนั้นพระองค์นี้อย่างต่ำก็ไปสวรรค์ ถ้าจิตใจมีความมั่นคงก็ไปพรหมโลก ถ้าเวลาที่ใกล้จะตาย จิตใจไม่นิยมร่างกายก็ไปพระนิพพาน เรื่องนิพพานเป็นของไม่หนักนักสำหรับบุคคลที่มีความเข้าใจ

    ในเมื่อภาพนั้นยังลอยชัด ลืมตาก็เห็นอย่าคิดว่าภาพนี้เห็นเฉพาะหลับตานะ และก็อย่าลืมว่าไม่ใช่ภาพจากทิพย์จักขุญาณแต่เป็นภาพที่แสดงให้ปรากฏ เวลานั้นมีความรู้สึกอย่างหนึ่งว่าพระองค์นี้ท่านจะไปสู่คติชั้นไหน จึงนึกถึงท่านลุงทั้งสอง

    พอนึกถึงท่าน ท่านลุงก็มาท่านไม่มาเฉพาะ ๒ องค์ เวลานั้นปรากฏว่ามาเต็มไปหมดมากมาย ก็เลยนึกในใจว่าพระองค์นี้มีบุญจริงๆ เวลาตายของท่านมีเทวดามีพรหมสนใจ จึงถามท่านลุงว่า “พระองค์นี้ตั้งแต่เกิดมาเคยทำบาปอกุศลไหม”

    ท่านลุงก็ตอบว่า “คนที่เกิดมาในโลกนี้จะไม่เคยทำบาปเลยแสนหายาก เกือบจะกล่าวได้ว่าไม่มีใครเลยในโลกที่ไม่เคยทำบาป การบีบมดให้ตายก็บาป บี้ยุงให้ตายก็บาป การด่าเขาก็บาป นินทาเขาก็บาป การพูดปดมดเท็จก็บาป การดื่มสุราเมรัยก็บาป รักคนที่เขาไม่อนุญาตให้ก็บาป ถือเอาของที่บุคคลอื่นไม่ให้มาเป็นของตนโดยไม่ชอบธรรมก็บาป”

    ท่านบอกว่า “คำว่าบาปย่อมมีแก่คนทุกคน” ถามท่านว่า “ถ้าพระองค์นี้มีบาป เวลานี้ไปสู่สุคติหรือทุคติ” ท่านก็ตอบตรงๆ ว่า “เวลานี้ไปสู่สุคติ” คำว่าสุคติหมายถึงสวรรค์ก็ได้ พรหมโลกก็ได้ พระนิพพานก็ได้

    อาตมาถามว่า “กรรมที่เป็นที่น่าข้องใจของพระองค์นี้มีอะไรบ้าง” ท่านบอกว่า “ตัวท่านเองก่อนจะตายท่านมีความกังวลอยู่อย่างหนึ่ง นั่นคือการไปในงานต่างๆ บางครั้งเขาจะสร้างโบสถ์ สร้างวิหาร สร้างเจดีย์ สร้างศาลาการเปรียญ สร้างวัด สร้างอะไรก็ตาม คนเขาถวายปัจจัยกับวัดและแวะมาถวายให้ท่านด้วย

    อาการนี้ท่านมีความข้องใจอยู่เล็กน้อยคิดว่า เป็นกิจที่ไม่สมควรที่เรานำมาวัดของเรา น่าจะถวายไว้ที่วัดนั้นแต่สิ่งนั้นได้ทำไปแล้ว” ก็ถามท่านว่า “ถ้าอาการอย่างนั้นเป็นบาปหรือไม่บาป”

    ท่านลุงบอกว่า “เขาตั้งใจถวายเป็นส่วนตัวก็น่าจะเสียสละมอบไว้กับวัดนั้น เพื่อเป็นบุญเป็นกุศลเป็นการสร้างเจริญศรัทธา สร้างความปลื้มใจแก่บรรดาพุทธบริษัท แต่บางครั้งท่านเผลอไปนำกลับมาวัดด้วย

    อันนี้ไม่เป็นปัจจัยให้เกิดในอบายภูมิ แต่เป็นอุปสรรคขัดข้องนิดหนึ่งที่จะไปพระนิพพาน” จึงถามท่านว่า “มีอารมณ์หนักไหม” ท่านบอกว่า “ไม่หนัก”

    ต่อมาในตอนเช้าเวลาประมาณโมงเศษๆ มีเจ้าหน้าที่เอาโทรเลขมาส่งให้ ในโทรเลขนั้นบอกว่า “พระมหาทองปอนด์ วัดม่อนธาตุ จังหวัดอุตรดิตถ์ มรณภาพเมื่อวันที่ ๑๓ มกราคม ๒๕๓๒”

    ก็เลยนึกในใจว่า พระองค์นี้ไม่ใช่ใคร คือพระมหาทองปอนด์นั่นเอง ความจริงท่านไม่ใช่ลูกศิษย์อาตมาโดยตรง แต่ว่าท่านยอมรับนับถือว่าเป็นครูบาอาจารย์ของท่าน อย่างนี้ถือว่าเป็นลูกศิษย์เหมือนกัน ถ้าจำไม่ผิดดูเหมือนท่านจะเป็นเปรียญ ๖ ประโยค และได้ปริญญาทางพระพุทธศาสนา เป็นด็อกเตอร์จากอินเดีย

    ต่อมาก็เป็นเจ้าคณะอำเภอที่ศรีสัชนาลัย จังหวัดสุโขทัย ต่อมาก็ลาออกจากเจ้าคณะอำเภอ มาอยู่อิสระ อย่างนี้ก็ถือว่าต้องการวิเวกก็เป็นความดี ในเมื่อได้รับโทรเลขแล้ว อาตมาก็อยากจะไปงานแต่ก็ไปไม่ไหว กำลังป่วยหนักอาการทางท้องเครียดมาก ได้แต่ส่งใจไปช่วย

    เป็นอันว่าพระที่มาลอยให้เห็นก็คือพระมหาทองปอนด์ ก่อนที่พระมหาทองปอนด์จะดับชีพ เห็นพระ ๓ องค์ลอยอยู่เบื้องบน จิตใจก็จดจ่ออยู่ที่พระ ๓ องค์นั้น อย่างนี้เป็นอารมณ์ของมหากุศล ขอบรรดาท่านพุทธบริษัทผู้เป็นสาวกขององค์สมเด็จพระประทีปแก้ว

    จงพากันรักษาความดีที่มีไว้แล้วให้เหมือนเกลือรักษาความเค็ม..”
     
  19. ตุปั๊ดตุเป๋ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2017
    โพสต์:
    425
    ค่าพลัง:
    +107
    ๓๘.พระเทพวิสุทธิเมธี วัดอนงคาราม มรณภาพแล้วไปเกิดเป็นพรหมชั้นที่ ๗

    “..วันที่ ๑๑ พฤษภาคม ๒๕๓๒ หลวงพ่อเดินทางเข้ากรุงเทพฯ เพื่อไปกราบศพ พระเทพวิสุทธิเมธี (ไสว สุจิตโต) วัดอนงคาราม ท่านเป็นเพื่อนหลวงพ่อมาตั้งแต่เข้ามาอยู่กรุงเทพฯใหม่ๆ เวลาที่วัดท่าซุงทำบุญประจำปี หลวงพ่อก็นิมนต์ท่านมาทุกปี แต่ตอนนี้ท่านมรณภาพเสียแล้ว มีคนสนใจเรื่องนี้และถามปัญหาดังนี้

    ผู้ถาม กราบเท้าหลวงพ่อที่เคารพอย่างสูง กระผมได้ยินข่าวมาว่า เมื่อวันที่ ๑๑ พฤษภาคม ๒๕๓๒ หลวงพ่อได้มีโอกาสไปเยี่ยมศพเจ้าคุณไสว วัดอนงคาราม กระผมอยากเรียนถามหลวงพ่อว่า มีความสัมพันธ์ไมตรีอย่างไรจึงเป็นปัจจัยให้หลวงพ่อไปงานนี้ขอรับ

    หลวงพ่อ เป็นศากยบุตรพุทธชิโนรสเหมือนกัน ตอบกว้างๆนะ ถ้าตอบแคบๆ คือ เรียนบาลีมาด้วยกัน เริ่มต้นวันเดียวกัน แต่ฉันเป็นพระองค์นั้นเป็นเณร เพราะฉันอยู่บ้านนอก พรรษาที่ ๔ ฉันเข้ามาเรียนเปรียญกับเขา องค์นั้นเป็นเณรอายุ ๑๘ เรียนคู่กันมา และผลที่สุดก็กินข้าวมาด้วยกัน

    ในขณะที่อยู่วัดอนงคารามก็ล่อนํ้าปลาคลุกพริกป่นเหมือนกัน พริกอะไรรู้ไหม พริกแถวสระบุรี แซบอีหลีโลด เผ็ดยิ่งกว่าพริกธรรมดามาก เวลานั้นอยู่ในระหว่างสงคราม ญาติโยมก็หนีสงครามไป และพระก็หนีสงครามไป พระที่ไม่ไปก็อดต้องเอาข้าวสารมาใส่หม้อเข้าหุงเองเลย

    ผู้ถาม แล้ววันที่ไปเยี่ยม ท่านมาหาหลวงพ่อบ้างหรือเปล่าครับ

    หลวงพ่อ ไม่ใช่มาหา ไปหาเขาน่ะ ถ้าถามมาหาไหม ก็ต้องตอบว่าคุยกัน

    ผู้ถาม แต่งตัวสวยงามหรือเปล่าครับ

    หลวงพ่อ เขาไปเป็นพรหมชั้นที่ ๗ ถามว่า “ไปเป็นพรหมได้อย่างไร” เขาบอกว่า “ไอ้โรคนี้ทุกขเวทนามันมากขอรับ ผมต้องใช้ขันติอย่างหนัก”

    และมีคนเล่าให้ฟังว่า โรคนี้ตามธรรมดากระสับกระส่ายมาก ทุรนทุรายมาก แต่องค์นี้ไม่มีอาการเลย เงียบสงบทุกอย่าง

    พอเขาพูดแบบนั้นก็ปรากฏว่า มีคนที่พยาบาลอยู่มาหาบอกว่าจริงตามนั้นครับ ก็แสดงว่าเวลานั้นจิตเขาเป็นฌาน ถ้าจิตเข้าถึงสมาธิเบื้องต้นหรืออุปจารสมาธิ ทุกขเวทนาจะน้อยมาก ความรู้สึกน้อยมาก

    ถ้าจิตเป็นฌานมันมีทุกขเวทนาเหมือนกันแต่พอทน อย่างมะเร็งมันเจ็บมากจริงๆ เป็นอันว่าท่านทนได้ขนาดนั้น จึงได้ถามว่า “ทนได้อย่างไร” ท่านบอกว่า ใช้ขันติอย่างหนัก..”
     
  20. ตุปั๊ดตุเป๋ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2017
    โพสต์:
    425
    ค่าพลัง:
    +107
    ๓๙.ประสบการณ์ตายของพระมหาถาวร (หลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง)

    “...เรื่องของคนที่ตายไปแล้วกลับมาเกิดใหม่ ระลึกชาติได้ก็ดี ตายชั่วคราวฟื้นขึ้นมาเล่าเหตุการณ์ที่ประสบมาก็ดี ที่เล่าเรื่องทั้งหลายมานี้ก็เพื่อเปลื้องความสงสัยที่บรรดาท่านสาธุชนและท่านปุถุชนทั้งหลาย พากันสงสัยในคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

    บางท่านก็พยายามค้านว่า คนที่ตายแล้วถ้าเกิดจริงตามที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ ทำไมไม่มีใครมาส่งข่าวคราวให้ทราบบ้าง บางท่านก็ว่าถ้าเทวดามีจริง ญาติที่เป็นเทวดาทำไมไม่มาช่วยเหลือให้มีความสุขบ้าง

    เรื่องสงสัยนี้แม้พระที่ท่านเทศน์โปรดประชาชนบางท่านที่เป็นสหายคู่เทศน์กับอาตมาเอง ก็เคยปรารภให้อาตมาทราบว่าท่านสงสัย แต่ท่านรูปนั้นขณะนี้หายสงสัยแล้ว ด้วยได้ให้กำลังใจท่าน โดยขอให้ท่านทดลองปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้า อย่าทำตนเพียงเป็นคนอ่านอย่างเดียว ให้ท่านทำตามด้วย

    ในที่สุดท่านก็ไม่มีอะไรสงสัยอีก ท่านจะได้อะไรถึงขั้นระดับไหนนั้น เป็นเรื่องที่ท่านเจ้าของจะอธิบายให้ฟัง

    เรื่องที่บรรยายมาแล้ว ท่านผู้อ่านจะเชื่อหรือไม่เชื่อ ผู้บรรยายก็ไม่มีกฎบังคับอะไร ท่านที่เชื่อก็ลองหาทางปฏิบัติเพื่อพ้นอบายภูมิ สำหรับท่านที่ไม่เชื่อก็คิดว่าฟังหลวงตาแก่เล่านิทานก็แล้วกัน

    เรื่องที่นำมาเล่าสู่กันฟังต่อไปนี้เป็นเรื่องที่ได้มาจากพระมหาถาวร ซึ่งเป็นเพื่อนรักเพื่อนเกลอกับอาตมา เคยร่วมสำนักอุปสมบทแห่งเดียวกัน เคยศึกษาพระปริยัติธรรมร่วมกันมา เคยฝึกพระกรรมฐานในสำนักเดียวกัน เคยร่วมงานบริหารคณะสงฆ์มาด้วยกัน

    บัดนี้ท่านเลิกทุกอย่างคือ เรื่องงานบริหารหรือแม้กิจนิมนต์ที่เห็นว่าไม่จำเป็นนัก ท่านปลีกตัวออกสู่แดนไพรเพื่อแสวงหาความสุขอันเกิดจากวิเวก คือความสงบสงัดมีร่มไม้ชายป่าเป็นที่อาศัย มีธรรมปีติเป็นอาหารใจ ตั้งใจปฏิบัติเพื่อความหลุดพ้น ท่านไม่สนใจในคำนินทาและคำสรรเสริญ

    ขอท่านทั้งหลายอ่านเรื่องราวของท่านต่อไป ท่านจะได้ทราบถึงการตายของท่านมหาถาวร ท่านตายถึง ๘ วาระ เมื่อตายแล้วท่านได้เห็นนรก สวรรค์ พระนิพพาน แล้วท่านมิได้นิ่งนอนใจท่านพยายามฝึกฝนตนเองเพื่อให้ได้ทิพยสมบัติส่วนใดส่วนหนึ่งตามที่ท่านตั้งใจไว้ ท่านจึงละทุกอย่าง อาทิ ลาภ ยศ สรรเสริญ และสุข ที่มีอามิสเป็นเชื้อออกสู่ป่าดง ประสงค์เพื่อได้สุขที่มีแต่ความบริสุทธิ์ไม่มีอามิสเป็นเชื้อ ท่านทั้งหลายจะได้ทราบเรื่องของท่านพระมหาถาวร ดังต่อไปนี้

    ก่อนที่ท่านจะเริ่มเข้าสู่ปฏิสนธิในครรภ์มารดา
    พระมหาถาวร เกิดที่เมืองสุพรรณบุรี อำเภอบางปลาม้า ตำบลสาลี หมู่ที่ ๒ เกิดวันที่ ๒๘ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๖๐ เวลา ๐๗.๓๑ น.

    บรรดาโหรทั้งหลายเมื่อได้วันเดือนปีเกิดของท่านแล้วโปรดช่วยกันผูกดวงดูด้วยว่า ท่านผู้นี้จะสึกจากพระมาเป็นชาวบ้านอีกหรือไม่ เมื่อท่านเกิด ท่านทราบจากท่านแม่ของท่านเล่าให้ฟังว่า ก่อนที่จะเข้าสู่ครรภ์ ท่านแม่ฝันว่าเห็นพระพุทธรูปองค์หนึ่งเป็นทองเหลืองอร่ามลอยมาทางด้านทิศตะวันออก เข้ามาทางจั่วบ้านทิศเหนือ

    พระพุทธรูปองค์นั้นนอกจากจะเป็นทองสุกปลั่งแล้วยังมีดาวประดับเต็มองค์ มีแสงสว่างมาก ท่านแม่เห็นเข้าก็วิ่งไปที่พระแล้วกางแขนออกรับ พระพุทธรูปองค์นั้นก็เข้ามาสู่วงแขนอยู่ภายในอ้อมกอดของท่านแม่

    แล้วท่านก็ตื่นหลังจากนั้นท่านก็เริ่มตั้งครรภ์ นี่เป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อท่านเริ่มเข้าสู่ปฏิสนธิในครรภ์มารดา คราวนี้มาพูดกันถึงเรื่องการตายของท่าน ท่านมีประสบการณ์ตายถึง ๘ วาระ ดังต่อไปนี้

    การตายครั้งที่ ๑
    เวลานั้นฉันอายุ ๒ ปีเศษๆ ย่างเข้า ๓ ปี ตั้งแต่อายุปีเศษๆ พอพูดได้บ้าง ท่านแม่ก็เกณฑ์แนะนำแกมบังคับว่าก่อนจะหลับต้องภาวนาว่า “พุทโธ” แต่การสอนภาวนาว่า “พุทโธ” ของท่านก็ไม่ต้องมีพิธีรีตองมาก ไม่ต้องกำหนดรู้ลมหายใจเข้าออก ไม่ใช่หายใจเข้านึกว่า “พุท” หายใจออกนึกว่า “โธ” ถ้าทำอย่างนั้นเด็กๆ ทำไม่ได้แน่

    ท่านต้องการคำเดียวคือว่า “พุทโธ” ก่อนจะหลับ จะต้องภาวนาให้ท่านได้ยิน ถ้าหลับก่อนที่จะพูดว่า “พุทโธ” ให้ท่านได้ยิน ๓ ครั้งไม่ได้ ท่านจะปลุกให้ตื่นให้ว่า “พุทโธ” ตามเดิม คือต้องให้ท่านได้ยินว่า “พุทโธ” “พุทโธ” “พุทโธ” เพียงเท่านั้นท่านให้หลับได้

    พออายุ ๒ ปีเศษๆ ใกล้ถึง ๓ ปี ฉันป่วยฉับพลัน นั่นก็คือเป็นโรคท้องร่วง เมื่อโรคท้องร่วงเกิดขึ้นท่านแม่ก็บอกให้ท่านลุงมารักษา ท่านลุงท่านเป็นทั้งแพทย์แผนปัจจุบันและแผนโบราณ เป็นหมอที่มีชื่อเสียงมาก แต่ว่ายาของท่านสู้โรคไม่ได้

    ในที่สุดฉันก็ตาย การตายคราวนั้นมีญาติอยู่มาก มีท่านย่ามาพยาบาลอยู่ด้วย เมื่อฉันตายเข้าจริงๆ ท่านย่าก็กลับบ้าน เป็นเวลาใกล้จะ ๕ โมงเย็น ที่ฉันรู้ก็เพราะท่านพ่อกับท่านแม่และท่านย่าเล่าให้ฟัง เด็กคงจำอะไรไม่ได้

    เมื่อท่านย่ากลับไปบ้านท่านก็อาบน้ำแต่งตัวแล้วก็จะกินข้าวเย็นอิ่มแล้วจะได้กลับมาฟังพระสวดอภิธรรม แต่พอแต่งตัวเสร็จก็ปรากฏว่าท่านลงจากบ้านวิ่งตื๋อมาบ้านฉันทันที บ้านไม่ไกลกัน บรรดาญาติพี่น้องทั้งหลายแปลกใจ ไม่เคยเห็นจริยาของท่านย่าแบบนี้

    ทุกคนก็วิ่งตามมามีความรู้สึกว่าท่านย่าอาจจะเสียใจที่ฉันตาย และเรื่องร้ายอาจจะเกิดขึ้นที่บ้านก็ได้ท่านจึงวิ่งมา ท่านย่าขึ้นมาบนบ้านแทนที่ท่านจะนั่งตามปกติ เพราะปกติท่านชอบนั่งพับเพียบ

    แต่วันนั้นพอขึ้นมาท่านนั่งสมาธิ ๒ ชั้น แล้วก็ถามว่า “ลูกของกูป่วยไข้ไม่สบายเท่านี้ มึงรักษากันไม่ได้หรือ ทำไมปล่อยให้ลูกของกูตาย” ท่านพ่อบอกว่า “คุณแม่ครับ คุณแม่ก็มารักษาด้วยตนเอง มาพยาบาลด้วยตนเองก็ทราบอยู่แล้ว” เสียงท่านผิดจากเดิม เป็นลักษณะของผู้ชาย พูดจาห้าวหาญ บอกว่า “กูไม่ใช่แม่ของมึง กูคือ พระอินทร์ เป็นพ่อของเจ้าเด็กคนนี้ เจ้าเด็กคนนี้เป็นลูกของกูมานับเป็นแสนชาติ ทำไมเท่านี้พวกมึงรักษากันไม่ได้หรือ”

    แล้วท่านก็เรียกหมอคือท่านลุงเข้ามาถามว่า “ทำไมโรคแค่นี้เอ็งรักษาไม่ได้หรือ โรคไม่หนักนัก” ท่านลุงก็บอกว่า “เกินวิสัยของผมแล้วครับ เป็นเร็วเหลือเกิน ยาสู้ไม่ได้”

    ท่านก็เลยบอกว่า “ถ้าอย่างนั้นเอ็งก็เอาน้ำมนต์” เมื่อทำนํ้ามนต์เสร็จ ท่านก็บอกว่า “เลื่อนเด็กเข้ามาใกล้ๆ ข้า” เขาก็เลื่อนศพไปใกล้ๆ

    ท่านเอามือลูบไปครั้งหนึ่งพร้อมกับเป่า แล้วก็นั่งมองประเดี๋ยวหนึ่ง ท่านก็ลูบไปอีกครั้งแล้วก็เป่าแล้วก็นั่งมองประเดี๋ยวหนึ่ง ท่านก็ลูบไปอีกครั้งแล้วก็เป่า พอ ๓ ครั้งท่านก็อมนํ้าประเดี๋ยวก็เป่าพรวด เป่าไปครั้งแรกไม่มีอะไรผิดปกติ พอเป่าไปครั้งที่ ๒ ปรากฏว่าเด็กที่ตายไปแล้วลืมตาขึ้น ขยับมือได้ พอเป่าไปครั้งที่ ๓ ปรากฏว่าเด็กลุกขึ้นพูดจาได้ตามปกติ อาการโรคต่างๆ ที่เป็นหายหมด

    หลังจากนั้นท่านก็ประกาศว่า “ต่อแต่นี้ไปถ้าเด็กคนนี้เป็นอะไร ถ้าเห็นว่าจะเกินวิสัยที่จะเยียวยาได้ให้จุดธูปบอกท่าน ท่านจะมาช่วยรักษา” แล้วท่านก็มองมาที่เด็ก เรียกเข้ามาใกล้ๆ ให้หันหน้ามาบอกว่า

    “เจ้าจงจำไว้นะ ว่าพ่อนี้คือพ่อของเอ็ง เอ็งเป็นลูกพ่อมานับเป็นแสนชาติ พ่อนี้คือพระอินทร์ ต่อนี้ไปถ้ามีความกลัวอะไรเกิดขึ้นหรือมีการขัดข้องอะไรก็ตาม จงนึกถึงพ่อ พ่อจะมาหาทันที ถ้ากลัวผีพ่อจะช่วยขับผี ถ้ากลัวหมาบ้าพ่อจะช่วยขับหมาบ้า”

    เวลานั้นฉันกลัวทั้งผีทั้งหมาบ้า ปกติกลัวผีมาก สมัยเป็นเด็กๆ อยู่บนบ้านคนเดียวไม่ได้ ถ้านั่งอยู่ข้างล่างก็นั่งอยู่คนเดียวไกลผู้ใหญ่ไม่ได้กลัว

    สำหรับสุนัขนี่ ผู้ใหญ่เขาหลอกว่าหมาบ้าจะกัดก็เลยมีอารมณ์กลัวหมาบ้าอีก หลังจากนั้นท่านก็ลาไป ปกติฉันเป็นคนกลัวผี บางวันท่านพ่อท่านแม่ พี่ท่านไปข้างล่างท่านบอก “อยู่ข้างบนนะ อย่าไปไหนเลย อย่าเที่ยวไป อย่าเล่นไป จะหล่นใต้ถุนจะเจ็บ” คำสั่งฉันถือเป็นคำสั่ง ถ้าเป็นคำสั่งของท่านผู้ใหญ่ก็ปฏิบัติตาม

    เมื่ออยู่คนเดียวก็กลัวผี ถ้าจะลงก็กลัวถูกตี ในที่สุดก็แก้ปัญหาช่วยตัวเองโดยนึกถึง “ท่านพ่อพระอินทร์” ว่า “ขอท่านมาช่วยโปรด เวลานี้กลัวผีแล้ว”

    พอนึกปั๊บก็เห็นท่านทันที เราเข้าใจกันว่าพระอินทร์ตัวเขียว ท่านก็มาเขียวๆ มาแล้วท่านก็บอกว่า “ไม่ต้องกลัว พ่อมาแล้ว ผีมาไม่ได้ ผีทั้งหมดสู้พ่อไม่ได้”

    และในบางครั้งท่านมีภารกิจ ท่านมาแล้วท่านก็บอกว่า “พ่อต้องรีบกลับแต่สองคนนี้จะช่วยลูก” สองคนเป็นผู้หญิงสาวและก็สวย ใส่ชฎาด้วย ทั้งตัวและเสื้อผ้าเต็มไปด้วยเพชรแพรวพราวเป็นระยับ หน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส

    ท่านบอกว่า “คนนี้เป็นแม่ของเจ้ามาหลายแสนชาติเพราะเป็นชายาของพ่อ และคนนี้เป็นพี่สาวของเจ้ามาหลายแสนชาติเหมือนกัน ท่านจะช่วยสงเคราะห์ ต่อแต่นี้ไปถ้าพ่อมีธุระ จะให้แม่กับพี่มา” ก็คุยกันแบบธรรมดา ฉันก็ชอบสวยๆ ท่านยิ้มแย้มแจ่มใส ท่านถามว่า “นี่สวยไหม ตรงนี้สวยไหม เพชรตรงนี้ดีไหม” ท่านก็ชวนคุย

    ฉันก็มีความเพลิดเพลินมีความสุข แต่คุยไม่นานท่านก็จับไปนอนตัก รู้สึกว่าเนื้อของท่านนิ่มกว่าเนื้อของแม่ในชาตินี้มากและมีความอบอุ่นเป็นพิเศษ ท่านลูบไปลูบมาประเดี๋ยวเดียวฉันก็หลับ นี่เป็นเรื่องของ เทวานุภาพ

    วันต่อๆ มาบางครั้งบางทีฉันอยู่คนเดียวก็มีความรู้สึกว่า มีลุงคนหนึ่งมาอยู่เป็นเพื่อนด้วย ลุงคนนี้เป็นลุงในชาตินี้ ท่านตายไปแล้ว สมัยเมื่อท่านมีชีวิตอยู่ท่านรักฉันมาก และเคยขอท่านพ่อท่านแม่ว่า “คนนี้ขอเป็นลูกของฉัน” เพราะท่านไม่มีลูก

    ท่านพ่อท่านแม่ก็อนุญาตยกให้เป็นลูก บางทีฉันนั่งข้างนอก ท่านก็มานอนอยู่ในห้องมีเสียงกรนให้ได้ยิน จำได้ว่าเป็นเสียงลุง ได้รับกลิ่นตัวก็จำได้ เป็นกลิ่นตัวของท่าน ก็หมดความกลัว

    บางขณะเดินไปไหนตอนที่ฉันโตเป็นหนุ่มแล้ว เมื่อเกิดความกลัวขึ้นมาก็รู้สึกว่า มีคนเดินตามมาข้างหลังแต่มองไม่เห็นตัว บางทีฉันก็แกล้งบอกว่า “เอ้า เดินข้างหน้าบางสิ เดินข้างหลังอย่างเดียวได้ไง” ก็รู้สึกเหมือนคนเดินหลีกไปทางขวาแล้วเดินไปข้างหน้าและก็มีเสียงคนเดินข้างหลัง บางคราวก็มีเสียงคุยกันจ๊อกแจ๊กหัวเราะต่อกระซิก ลักษณะคล้ายๆ เป็นการขบขันเหลือเกินที่กลัว ความจริงฉันเป็นหนุ่มแล้วฉันก็ยังหวาดกลัว

    แต่ลักษณะของฉันเป็นลักษณะของคนดื้อ ถ้าก้าวเท้าก้าวแรกออกแล้วจะไม่ยอมถอยหลังกลับ จะไปไหนต้องไปให้ได้มืดค่ำก็ตาม ฉะนั้นเสียงคนติดตามจึงมีอยู่เสมอ

    มีคราวหนึ่งฉันเดินไปที่ตรงนั้นมันมืดและก็มีสุมทุมพุ่มไม้ พอเข้าเขตนั้นชักไม่ไว้ใจตาก็มองจุดนั้น มือหนึ่งก็ดึงปืนออกจากกระเป๋า อีกมือหนึ่งถือมีดคิดว่าถ้าข้าศึกออกมาก็ต้องยิงกัน ถ้ายิงไม่ออกก็ต้องฟันกัน พอฉันคิดอย่างนั้น ก็มีเสียงหัวเราะครืนทันที จึงถามว่า “ใครมาหัวเราะทำไม ท่านแม่และท่านพี่หรือ” ตอบว่า “น้อง” ถามว่า “น้องมีกี่คน” ตอบว่า “รูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไร” ทั้งหมดแสดงให้ปรากฏชัด กลางคืนมืดๆ ก็เหมือนไฟสว่าง ๒,๐๐๐ แรงเทียน เห็นชัดมากหน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส เธอแต่งตัวเป็นนางฟ้าไม่ใช่คน

    เป็นอันว่าการตายครั้งแรกของฉัน ฉันเป็นเด็กไม่รู้ภาษีภาษา ก็อาศัยคำภาวนาว่า “พุทโธ” โดยไม่ได้ตั้งใจอะไร เป็นการบังคับของท่านแม่ซึ่งเป็นประโยชน์ เวลาที่ฉันตายแล้วฟื้นมาใหม่ ทำให้ฉันรู้จักเทวดา รู้จักพระอินทร์ รู้จักนางฟ้า ฉะนั้นฉันจึงเชื่อว่า เทวดามีจริง ทั้งๆ ที่เวลานั้นฉันยังไม่เคยฟังเทศน์ที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า เทวดามีจริง

    การตายครั้งที่ ๒

    เป็นการตายเมื่อวัยเด็กอายุ ๑๒ ปี ด้วยโรคอหิวาตกโรค โรคนี้แปลตามศัพท์แปลว่า โรคลมที่มีพิษเหมือนงูพิษ ป่วยก่อนวันตาย ๑ วัน ตอนนั้นอยู่ที่จังหวัดสุพรรณบุรี ตำบลสาลี อำเภอบางปลาม้า

    ตอนบ่ายก่อนวันตาย นักเลงสุราเขาหาหอยโข่งจากกลางนามาพล่ากินกับเหล้า เมื่อเขาทำเสร็จเขาก็เรียกฉัน แต่ทว่าฉันไม่ได้กินเหล้า บ้านฉันทั้งหมดไม่มีใครกินเหล้าเลย ชอบกินหอยโข่งพล่า เนื้อออกรสหวานๆ อร่อยมาก เขาพล่าแบบขี้เมา กินเสียจนอิ่มเต็มอัตราศึก

    เมื่ออิ่มแล้วก็ออกวิ่งเล่น ไม่มีอะไรแสดงว่าท้องจะเสีย แต่ทว่าเวลานั้นชาวบ้านกำลังตายด้วยโรคอหิวาต์กันเกลื่อน กลางคืนหาคนเดินเที่ยวเตร่ไม่ได้ ตำบลนั้นและตำบลใกล้เคียงเงียบสงัด สุนัขหอนตั้งแต่ตอนหัวค่ำเกือบตลอดแจ้ง

    วันรุ่งขึ้นตอนเช้าเวลาเกือบ ๙.๐๐ น. ก็เริ่มปวดท้องแล้วก็ถ่ายแบบไม่มีเสียงสะบัด เป็นสัญลักษณ์ของอหิวาตกโรค เมื่อถ่ายครั้งแรกก็เรียนให้ท่านแม่ทราบ ท่านจัดหายามาให้และใช้ให้คนรีบไปตามท่านลุงที่เป็นหมอ ท่านลุงเป็นหมอที่มีชื่อเสียงมาก มีความรู้ทั้งแผนโบราณและปัจจุบัน

    กว่าท่านลุงจะมาท้องก็ถ่ายเป็นวาระที่ ๓ มีอาการเพลียมากแรงไม่มี ท้องก็ปวดมากมาถึงผิวหนัง ภายในมีความร้อนมาก ผ้าที่นุ่งต้องวางทาบไว้จะขมวดหรือรัดเข็มขัดก็ไม่ได้ เพราะมันปวดเกินกว่าที่จะทำอย่างนั้นได้

    เมื่อท่านลุงมาถึงก็ฉีดยาให้ ๑ เข็ม ค่อยมีอารมณ์ใจสบาย เมื่อท่านแม่ให้กินยาแล้ว ท่านก็นำพระพุทธรูปองค์ที่ฉันรักมากที่สุดมาวางไว้ทางขวามือพอมองเห็นถนัด ท่านจุดธูปที่มีกลิ่นหอมมากเห็นจะเป็นธูปแขก หอมชื่นใจจริงๆ

    พอท่านแม่จัดเรื่องพระเสร็จท่านก็บอกว่า “ลูกภาวนาว่า พุทโธ นะลูก ภาวนาไว้และจำรูปพระให้ติดตา เมื่อหลับตาจงนึกถึงภาพพระ เมื่อลืมตาก็จงดูพระไว้ ภาวนาไว้ พระจะช่วยให้ลูกหายเร็วๆ และจะไม่เจ็บท้อง”

    เมื่อท่านแม่สั่งฉันก็ภาวนา ฉันอยากให้อาการปวดท้องหาย มันทรมานเหลือเกิน ฉันมองดูพระองค์ที่ฉันรัก ฉันรักท่านมาก สีท่านเหลืองอร่ามหน้าก็ยิ้มสวย กลิ่นธูปก็หอมตลบ ฉันสบายใจ

    เมื่อหลับตาฉันเห็นภาพพระลอยที่หน้าฉัน ภาวนาไปไม่กี่นาที อาการปวดท้องรู้สึกคลายลงพร้อมกับเห็นภาพพระที่ลอยตรงหน้าสวยมากขึ้นทุกที เดิมเป็นสีเหลืองธรรมดา ต่อมาเพิ่มความสดใสขึ้นทีละน้อยจนเห็นชัด

    ต่อมาเกิดเป็นแสงประกายคล้ายเพชรอย่างดีที่ถูกแสงไฟ และเป็นประกายแพรวพราวไปทั้งองค์ ใจฉันเพลิดเพลินกับความสวยของภาพพระ เลยลืมความเจ็บปวดเสียสิ้น มันไม่มีความรู้สึกเจ็บปวดเลย

    เวลาผ่านไปประมาณ ๙.๐๐ น.เศษ ฉันลืมตามองดูคนที่มาและภาพต่างๆ สายตามันสั้นเข้ามาทุกที ชั่วเวลา ๒-๓ นาที ก็มองอะไรไม่เห็นเลยแต่ใจสบาย สิ่งที่เสียดายมากที่สุดก็คือฉันมองไม่เห็นพระองค์ที่ฉันรัก ฉันเลยหลับตา ความรู้สึกสมบูรณ์ สติสัมปชัญญะปกติ อาการปวดไม่มี

    ฉันเลยคิดเอาว่าเมื่อไม่เห็นก็ไม่เป็นไร ท่านแม่เคยบอกว่าจะอยู่ที่ไหนก็ตาม ถ้าเราภาวนาว่า “พุทโธ” พระท่านจะไปหาทันที ฉันคิดได้ฉันก็เลยภาวนาเรียกพระ ขอให้ท่านมาหาฉัน

    พอภาวนาได้สัก ๓ ครั้ง ปรากฏว่าพระมา ท่านไม่ใช่พระพุทธรูปแต่เป็นพระสงฆ์ มีรูปร่างสวยมาก นิ้ว แขน ขา ทุกส่วนกลมไปหมดไม่เป็นเหลี่ยมเหมือนของฉัน ริมฝีปากท่านแดงน้อยๆ กำลังน่ารัก เนื้อเต็มไม่มีส่วนบกพร่อง ท่านเห็นฉันท่านยิ้มน้อยๆ แต่ท่านไม่พูด ท่านยิ้มตลอดเวลา ปกติฉันชอบคนยิ้ม ฉันเองก็ชอบยิ้มให้คนอื่นที่ฉันพบ แต่ถ้ายิ้ม ๓ คราวเขาไม่ยิ้มรับฉันจะไม่ยอมยิ้มให้อีกเลย ตรงนี้ไม่ค่อยดีเป็นเรื่องของคนที่มีกิเลส อย่าเอาไปปฏิบัติตาม

    ภาพพระท่านสวยขึ้นเป็นลำดับ ต่อมาท่านมีแสงออกจากตัวมี ๖ สี มองดูคล้ายพระอาทิตย์ทรงกลดแต่สวยมากกว่าจนเทียบไม่ได้ องค์พระแทนที่จะเป็นสีเหลืองกับมีสีเป็นประกายทั้งองค์ ฉันมองจนลืมตัว

    มองไปมองมาปรากฏว่าตัวฉันกลายเป็นคน ๒ คน คือคนหนึ่งไปยืนอยู่ข้างคนเดิม ตัวใหม่นี้สวยกว่าตัวเก่ามาก ฉันมองดูเนื้อฉันใสเหมือนแก้ว มีผ้านุ่งเป็นสีทอง เสื้อสีทอง มีแก้วประดับผ้าทั้งผืน มองดูเนื้อฉันสีทองมาจับแลเป็นสีทองทั้งตัว บนศีรษะมีชฎาทองประดับแก้ว แก้วที่ประดับเสื้อผ้าและชฎามีแสงสว่างออกมาก ฉันลองขยับเขยื้อนตัว มันคล่องแคล่วมีความเบาผิดปกติ การเคลื่อนไหวสะดวกมาก

    ดูตัวที่นอนฉันก็ทราบว่ามันเป็นตัวของฉันแต่มันไม่สวย น่าเกลียดน่ากลัวมาก ฉันไม่รักมันเลยมันไม่มีลมหายใจ ฉันไม่ชอบและไม่ห่วงมัน ฉันหันไปดูพระท่านหายไปเสียแล้ว เดินวนไปเวียนมาอยู่พักหนึ่ง เห็นมันสบายไม่เจ็บ ไม่ปวด ไม่เมื่อย มีความสบาย ชักอึดอัดใจที่ยืนอยู่บนบ้าน อยากจะลงไปเดินเล่นหลังบ้านเพราะที่นั่นเย็นสบายดี

    แต่การไปนอกบ้านปกติต้องลาท่านแม่ จึงเข้าไปลาท่านไปหลังบ้าน ท่านก็ไม่ยอมพูดด้วยท่านมองแต่เจ้าคนนอน เอามือไปจับตัวท่าน ท่านก็ไม่เหลียวมามอง ไปลาลุงท่านก็ทำแบบเดียวกัน

    เมื่อไม่มีใครสนใจก็เลยถือโอกาสไม่ลา เดินลงบันไดแล้วไปยืนอยู่หลังบ้าน ได้ยินเสียงบางคนบนบ้านร้องไห้ รู้สึกแปลกใจคิดว่าเขาร้องไห้ทำไม ไม่มีใครตายสักคน

    ยืนอยู่หลังบ้านครู่หนึ่งเห็นคนเดินมาจากทางทิศใต้เป็นแถวยาวเหยียด คิดในใจว่าพวกนี้เขาจะไปไหนกัน เมื่อพวกเขามาใกล้เห็นชาย ๔ คนคุมมา คน ๔ คนนุ่งผ้าเขียวเหมือนกันตัวใหญ่และสูงมาก พวกที่เดินตามมาหัวแค่เอวเขาเท่านั้นเอง

    ฉันเห็นเขาตัวใหญ่ก็เลยทำตัวใหญ่และสูงเท่าเขามั่ง ชาย ๔ คนนั้น คนหนึ่งเดินนำหน้ามีสมุดข่อยในมือ อีกสองคนเดินขนาบข้าง ๒ ข้าง คนที่ ๔ เดินท้าย แสดงว่าควบคุมกันหนี เมื่อหัวหน้าใหญ่มา ฉันก็เข้าไปยกมือไหว้ถามว่า “คุณลุงจะไปไหนกันครับ”

    คุณลุงมองหน้าฉันแล้วก็เปิดสมุดข่อยแล้วบอกว่า “ชื่อเธอไม่มีในบัญชี เข้าบ้านเถิดหลานเดี๋ยวแม่จะบ่นหา” แล้วก็จูงมือฉันมาที่บันไดบ้าน และกลับไปนำขบวนเดินต่อไป

    ฉันแปลกใจว่าตาลุงนี่ท่าจะยังไงเสียแล้ว ถามว่าไปไหนกลับมาบังคับเราให้เข้าบ้าน ต้องถามเอาความให้ได้จึงเดินตามออกไปเห็นคนที่เดินผ่านหน้าเป็นคนที่เคยรู้จักกันหลายคนและเขาตายไปหลายวันแล้ว ก็เลยสงสัยว่าเมื่อเขาตายไปแล้วเขามาเดินอยู่ได้อย่างไร พอคนที่ขนาบข้างและคนท้ายมาถึง ฉันก็เข้าไปถามเขาอย่างนั้น เขาก็ทำอย่างเดียวกัน ก็เลยสงสัยใหญ่

    เมื่อเขาเดินห่างไปประมาณครึ่งกิโลเมตรฉันก็สะกดรอยตามเขาไป เดินไปทางทิศเหนือไปไม่ได้ไกลนักก็เข้าป่าไผ่ มีทางเล็กๆ เดินคดเคี้ยวไปตามทาง ก็มีเขาต่ำๆ ขวางทางเป็นระยะๆ ข้ามเขาลงเขาไปประมาณ ๑๐ ลูก

    ในที่สุดก็ถึงเขาใหญ่และสูงมากหัวหน้าขึ้นไปถึงยอดเขาก็กางบัญชีออกตรวจพล เมื่อถึงคนสุดท้ายเขาบอกว่าครบ ก็พอดีฉันโผล่ขึ้นไปทั้ง ๔ ท่านรู้สึกมีอาการตกใจมากถามว่า “พ่อหนูมาทำไม” จึงบอกว่า “เมื่อผมถามคุณลุงว่าไปไหน คุณลุงไม่บอกผม ผมก็ต้องตามมาดูให้หายสงสัย” แล้วถามว่า “พวกนั้นเขาไปไหนกันครับ”

    คุณลุงฟังแล้วก็พากันหัวเราะฟันขาวด้วยตัวแกดำมากแล้วตอบว่า “ลุงไปรับพวกนั้นเขามาส่งนรก” จึงถามท่านว่า “คนที่เอามาส่งนรกเขาทำความผิดอะไร” เขาตอบว่า “คนพวกนี้เคยถูกลงโทษในนรกมาแล้ว เมื่อหมดโทษเขาให้ไปเกิดเพื่อทำความดีกลับทำตนเลวทราม ไม่เคารพศีลธรรมขาดความเมตตาปรานี เมื่อทำชั่วอีกเขาก็นำมาลงโทษอีก”

    ไปที่สำนักพระยายมราช
    ว่าแล้วก็ชี้ให้ดูทางทิศเหนือต้องลงจากเขาไปก่อนจึงจะถึงผืนแผ่นดินใหม่ นรกไม่ได้อยู่ใต้ดินมีพิภพต่างหากจากมนุษย์ มองตามไปเห็นแผ่นดินใหญ่โตกว้างขวาง มีอาคาร ๓ หลังมีคนยืนอยู่ทางด้านซ้ายหลายพันคน มีคนตัวโตๆ อย่างพวกคุณลุงมากมายยืนถือหอกหน้าถมึงทึง

    อาคารในจำนวน ๓ หลัง หลังกลางเป็นหลังใหญ่ที่สุด มีคนเข้าออกไม่ขาดสาย มีคนตัวโตเดินนำเข้าไปทีละกลุ่ม พวกที่สวนออกมามีคนตัวโตเดินนำหน้า เมื่อออกจากอาคารเดินเลี้ยวซ้ายไปทางทิศตะวันออก เรื่องทิศนี้เทียบทางเมืองมนุษย์ สำหรับเมืองนรก สวรรค์ พรหม หรือนิพพาน ไม่มีอาทิตย์เป็นเครื่องวัดทิศทาง

    เมื่อเห็นคนเข้าคนออกอาคารหลังนั้นก็สงสัย จึงถามคุณลุงว่า “คุณลุงครับพวกนั้นเขาเข้าไปในบ้านหลังนั้นทำไม และพวกที่ออกมานั้นดูท่าทางอิดโรยหน้าตาเศร้าสร้อยเขาไปทางไหนกัน”

    คุณลุงหัวหน้าบอกว่า “เมืองนี้เขาเรียกว่าเมืองนรก” แล้วชี้ไปทางคนที่ยืนคอยอยู่หลายพันคนแล้วบอกว่า “ทุกคนที่ยืนคอยนั้น เขาคอยการตัดสินของพระยายมราช พวกที่เข้าไปเขาถูกพระยายมราชเรียกตัวและชำระโทษตามความผิด พวกที่ออกมาและเดินไปทางทิศตะวันออกนั้น พวกนี้พระยายมราชชำระคดีแล้วก็นำไปลงโทษตามความผิด พวกที่ออกมาและเดินไปทางทิศตะวันออกนั้น พวกนี้พระยายมราชชำระคดีแล้วก็นำไปลงโทษ”

    พูดแล้วก็ชี้มือไปทางทิศตะวันออก เมื่อมองตามไปเห็นทุ่งกว้างหาที่สุดมิได้ มีแสงไฟพุ่งขึ้นสูง บริเวณแสงไฟก็ไกลแสนไกลไม่รู้ที่สุดของบริเวณอยู่ที่ไหน ท่านบอกว่าตรงนั้นแหละที่เรียกว่านรก เป็นสถานที่ลงโทษคนที่ทำความชั่ว เมื่อสิ้นลมปราณแล้วเขาก็นำมาลงโทษกันที่นี่

    ถามว่า “ เขาลงโทษนั้นเขาทำอะไรบ้าง” ตอบว่า “โทษที่เหมือนกันหมดก็คือ ถูกไฟเผาเหมือนกันแต่ความร้อนของไฟไม่เท่ากัน คนที่ทำชั่วมากไฟมีความร้อนมากกว่าคนที่ทำความชั่วน้อย นอกจากไฟยังมีประหารด้วยอาวุธ แต่ทว่าพวกนี้ไม่มีการตายต้องเจ็บต้องร้อนตลอดเวลา เป็นการลงโทษเพื่อให้เข็ดหลาบ”

    ฉันขออนุญาตลงไปดู ทั้ง ๔ ท่านต่างแสดงอาการเดือดร้อนมากร้องออกมาพร้อมกันว่า “ไม่ได้ ถ้าหลานลงไปลุงทั้ง ๔ คนจะถูกลงโทษอย่างหนัก” จึงถามว่า “เพราะอะไรคุณลุงจึงจะถูกลงโทษและใครเป็นคนลงโทษคุณลุง”

    ตอบว่า “เพราะว่ากฎของเมืองนี้มีอยู่ว่า คนก่อนที่จะตายถ้าภาวนา “พุทโธ” หรือ “อรหัง” ถ้าลุงอนุญาตให้เข้าไปในแดนนรก ท่านพระยายมราชจะลงโทษลุงอย่างหนัก” จึงบอกว่า “เมื่อคุณลุงไม่ได้จับผมไปเอง ทำไมคุณลุงจะต้องถูกลงโทษ” ตอบว่า “ไม่ได้ เพราะหลานมาขณะที่ลุงนำคนมา ถ้ามาเองและลงไปเองไม่เป็นไร”

    พอทำท่าจะลุกขึ้นเดินลงไป ก็พากันกั้นไม่ให้ลงแล้วถามว่า “อยากดูนรกขุนไหน” ถามว่า “นรกมีกี่ขุม” ตอบว่า “นรกขุมใหญ่มี ๘ ขุม นรกบริวารมีอีกขุมละ ๑๖ ขุม ยมโลกียนรกมีอีก ๑๐ ขุม” บอกว่า “อยากดูนรกขุมใหญ่ ๑ ขุม จะได้ทราบว่าเขาทำกันอย่างไร” คุณลุงชี้มือบอกว่า “นรกขุมที่ ๑ อยู่ตรงนี้” เห็นชัดเหมือนกับยืนดูอยู่ที่ปากขุม

    ภาพในนรกขุมนี้ไม่มีอะไรน่าสนุกเลย คนลงไปนอนอยู่ในทะเลเพลิงไฟสูงกว่าหัวหลายเท่า มีสรรพาวุธนาชนิดสับฟันตลอดเวลา เสียงร้องระงมไปหมด ไฟก็ไหม้อาวุธก็ประหารตายก็ไม่ตาย ขนาดถูกหอก ๓-๔ เล่มแทงทะลุพรุนไปหมด ไฟก็เผา ก็ไม่มีใครตาย ถูกฟันตัวขาดมันก็กลับติดกันทันทีไม่รู้จักตาย ดูแล้วก็สลดใจ

    คุณลุงบอกหมดเวลาแล้วทางเมืองมนุษย์เกือบสว่างแล้วหลานต้องรีบกลับ แต่ก็จำทางเดิมไม่ได้ คุณลุงจึงให้คนที่คุมท้ายแถวมาส่ง เขาก็จับขา๒ขาเอาตัวเหวี่ยงขึ้นบ่าพาแบกวิ่งขึ้นเขาลงเขา

    พอมาถึงหน้าประตูบ้านก็เหวี่ยงเข้าประตูไป ก็มีความรู้สึกทางร่างกายลืมตาขึ้น เห็นคนเต็มบ้าน รู้สึกกระหายนํ้าจัด เห็นพ่อหนุ่มคนหนึ่งอายุเกือบ ๓๐ ปี นั่งมองอยู่ข้างๆ จึงบอกขอน้ำสักขันจะกินให้สมกับที่กระหาย พอได้ยินเข้าเท่านั้นก็กระโดดผลุงข้ามตัวไปร้องเสียงดังว่า “ผีหลอก” ดูเถอะมนุษย์เป็นอย่างนี้ นั่งอยู่ข้างๆ ตั้งนานไม่กลัว พอฟื้นคืนชีพกลับถูกหาว่าเป็นผี

    เมื่อทุกคนได้ยินเสียงร้องว่าผีหลอก ก็เข้าใจว่าฟื้นแล้วเพราะหลังจากตายแล้วไม่นาน พระผู้ทรงคุณธรรมพิเศษได้ฌานสมาบัติมีศักดิ์เป็นลุงท่านมา ท่านบอกให้ปล่อยร่างกายไว้ตามนั้น เด็กจะฟื้นคืนชีพก่อนสว่าง

    คนที่อยู่กันเต็มบ้านคืนนั้นเขาอยากเห็นการฟื้น ท่านลุงให้คนเอาน้ำสะอาด (น้ำฝน) ๑ ขันใหญ่มาให้ ฉันก็กินจนหมดขัน เมื่อกินแล้วก็ลุกขึ้นคุยตามธรรมเนียมของคนตายแล้วฟื้น

    อาการป่วยที่เป็นก่อนตายไม่มีอาการปรากฏเลย ร่างกายสบาย ทุกคนต่างก็สนใจเรื่องที่ไปพบมา ต่างก็ถามท่านแม่ว่าเรียนมาจากไหน ท่านแม่ก็บอกว่า “เรียนมาจากหลวงพ่อปาน” วันต่อมาพวกกลัวตายก็พากันมาเรียนเป็นการใหญ่

    เมื่อฟื้นคืนชีพแล้ว ความชินของอารมณ์ ความมั่นใจในพระพุทธคุณ ทุกวันฉันอยากเห็นพระองค์นั้น ฉันรักอารมณ์อย่างนั้นและฉันก็รักษามาจนถึงวันบวชพระ ฉันชอบการท่องเที่ยวอย่างนั้น ฉันรักพระองค์ที่มีรูปร่างสวยมีรัศมีสว่างผ่องใส ฉันต้องเห็นท่านทุกวัน

    บางวันถ้าฉันว่างฉันเห็นท่านวันละหลายชั่วโมง ท่านเป็นพระใจดี ฉันนึกถึงท่านเมื่อไรท่านมาหาฉันทันที เพียงนึกอยากเห็นท่านเป็นเพชร ไม่ต้องออกปากองค์ท่านก็เป็นเพชรทันที ฉันรักท่านมาก ทุกวันถ้าถูกใครว่าฉันไม่สบายใจ ฉันก็หาที่ปลอดคน เรียกท่านให้มาหา วิธีเรียก ฉันยกมือไหว้ฟ้าแล้วก็กราบ ภาวนาว่า “พุทโธ” ๓ ครั้งท่านก็มาหาฉันทันที พอมาท่านยิ้ม

    เมื่อเห็นท่านยิ้มฉันก็หมดความทุกข์ใจ ถ้าฉันอยากไปดูนรก ฉันก็บอกท่านว่า “ผมอยากไปดูนรก” เมื่อบอกท่านแล้วท่านไม่พูดแต่ท่านยิ้ม พอท่านยิ้มฉันก็ไปถึงที่เคยไปกับท่านลุง ๔ คนทันที ไม่ทราบว่าไปได้อย่างไร

    ฉันคิดว่าอาการยิ้มของท่านเป็นการส่งฉันไป วันเวลาไปไม่แน่นอนจะเป็นกลางวันหรือกลางคืน ดีไม่ดีเวลาที่ฉันกินข้าวคนเดียวหรือดายหญ้าอยู่ ถ้าฉันอยากไปนรก ฉันก็วางมีดวางงานเสีย ภาวนาว่า “พุทโธ” ๓ ครั้งท่านก็มาหา

    ฉันก็บอกว่า “ฉันจะไปดูนรก” ท่านก็ยิ้ม ฉันก็ไปนั่งตรงที่ฉันเคยไป เมื่อฉันอยากเห็นนรกขุมไหนเขาทำอะไรกัน ฉันก็เห็นตามใจฉันนึกเหมือนกับฉันไปอยู่ในสถานที่นั้น แต่ทว่าฉันไม่เคยขอให้ท่านพาไปสวรรค์หรือพรหมโลก เพราะฉันไม่มีความรู้ เคยไปนรกก็ไปแต่นรกเท่านั้น แต่เมืองนรกก็มีคนลงไปใหม่ทุกวัน

    การไปนรกเป็นปกติของฉัน เมื่อท่านแม่กับท่านยายนิมนต์พระมาเทศน์ ท่านชอบเทศน์เรื่องนรกสวรรค์

    เมื่อเทศน์จบแล้วฉันถามท่านว่า “เคยเห็นนรกสวรรค์หรือเปล่า” ท่านบอกว่า “ไม่เคยเห็น” ถามท่านว่า “เมื่อไม่เคยเห็นแล้วเอาอะไรมาเทศน์” ท่านบอกว่า “อ่านจากตำรา”

    เมื่อพูดเรื่องที่ฉันไปเห็นมา ท่านหาว่าเป็นเรื่องโกหก เลยเกลียดพระ คิดว่าพระพวกนี้หลอกลวงชาวบ้านหากิน มาเล่าเรื่องนรกสวรรค์ให้ฟัง แต่ตัวเองไม่เคยเห็นเลย เรื่องที่เราเห็นมากลับหาว่าเป็นเรื่องโกหก เลยไม่อยากไหว้พระ

    ส่วนพระพุทธไหว้กับพระที่เป็นท่านลุง ท่านรู้นรกสวรรค์ องค์นี้ไหว้ พระองค์ไหนก็ตามถ้ามาที่บ้านต้องถามว่าเห็นนรกสวรรค์หรือเปล่า ถ้าบอกว่าไม่เห็นไม่ยอมไหว้ ของที่เขาจัดถวายก็ไม่ยอมประเคนเด็ดขาด

    การตายครั้งที่ ๓
    เวลานั้นฉันอายุ ๑๔ ปี ฉันอยู่กับเพื่อนรุ่นพี่คนหนึ่งเขาอายุ ๑๙ หรือ ๒๐ ปี เขาเป็นหนุ่มแล้ว ตอนเด็กๆ ฉันชอบเล่นกีฬา กีฬาบนบก กีฬาในน้ำ นี่ชอบมาก การออกกำลังเป็นปกติ วิ่งไม่พอ กระโดดโลดเต้นไม่พอ คว้าจอบมาฟันดิน ปลูกผัก ปลูกหญ้าแล้วก็ตักน้ำรดเอาทุกอย่าง ให้มีโอกาสได้ออกกำลังก็แล้วกัน

    ฉะนั้นเรื่องความเข้มแข็งของร่างกายเป็นของไม่หนักใจ แต่วันนั้นท่านผู้ใหญ่ไม่มีใครอยู่เลยไปธุระกันหมด เหลือฉันกับเพื่อนรุ่นพี่เพียงสองคนเท่านั้น อยู่ๆ พอตอนเย็นมันท้องถ่ายทั้งอาเจียน ถ่ายพรืดพราด ถ่าย ๓ ครั้งเริ่มหมดแรงเพราะในท้องไม่มีอะไรจะถ่ายและก็อาเจียนด้วย

    ท่านแพทย์ผู้ทรงคุณพิเศษ ๒-๓ ท่านก็มาให้การรักษา ความจริงโรคอย่างนี้ยาของท่านเคยชะงัด แต่ว่าการรักษาวันนั้นไม่มีผลเลย ยากินก็ดี ยาฉีดก็ดี การนวดเฟ้นคั้นบาทา ทำกันทุกอย่างไม่มีทางฟื้น ไม่มีทางดีขึ้น โรคไม่คลายตัว ฉันก็เพลีย เพื่อนเขาเป็นหนุ่มกว่ารู้สึกกำลังจะดีกว่า เขาก็เพลียเหมือนกัน ฉันก็เคลิ้มหลับ

    เวลานั้นเป็นเดือน ๑๑ น้ำนอง ปีนั้นเผอิญน้ำท่วมขึ้นมาใกล้พื้นบ้าน ขณะที่เคลิ้มไปพอเพลียจัดๆ เห็นมีเรือลำหนึ่งเป็นลักษณะเรือเดินทะเล เป็นเรือไม้ใหญ่ๆ หัวสูงๆ ทาสีขาว เทียบท่ามาหน้าบ้าน

    ฉันก็นึกในใจว่าคลองมันเล็กและทางเข้าบ้านเรา เรือใหญ่ขนาดนี้เข้าไม่ได้ แต่เรือลำนี้เข้ามาได้อย่างไร เข้ามาเทียบติดชานบ้าน มีคน ๔ คนก้าวขึ้นมาจากเรือ คน ๔ คนรูปร่างหน้าตาดีมาก ผิวพรรณก็ดี เป็นคนหนุ่มแต่ว่าเครื่องแต่งตัวเหมือนกันหมด คือสีแดง กางเกงขายาวสีแดง เสื้อแขนสั้นแค่ศอกก็สีแดง ผ้าโพกศีรษะก็สีแดง

    แต่ทว่าตอนก้าวขึ้นมาบนบ้านผ้าไม่ได้โพกศีรษะเขาคล้องคอ เป็นผ้ายาวคล้ายๆผ้าขาวม้ายาวแบบนั้นแต่พื้นเป็นสีแดงทั้งหมด พอก้าวขึ้นมาสองคนแรกเข้ามาใกล้ตัวห่างสัก ๑ วา อีก ๒ คนยืนชิดริมชานบ้านชิดเรือ พอ ๒ คนก้าวเขามาบอกว่า “พี่นี่สองคนนี่หว่า” อีกสองคนข้างหลังบอก “รับมาได้เลย ไม่มีพิษไม่มีสงอะไร ไม่ต้องปลํ้ากันละง่ายๆ”

    แต่สองคนที่เข้ามาก่อนมองดูอย่างพินิจพิจารณาสัก ๑ นาทีเห็นจะได้ เขามองดูฉันและก็มองดูเพื่อนรุ่นพี่ มองไปมองมาก็บอกว่า “เอาไม่ได้แล้วเราสองคนนี่”

    อีกคนที่ยืนข้างๆ ถามว่า “เพราะอะไร” เขาเปิดบัญชีปั๊บ “คนนี้เป็นลูกของพระอินทร์ ใครมันวางยาไม่ดูหน้าคน ลูกพระอินทร์นี่เอาไปไม่ได้ ถ้าขืนเอาไปเรามีโทษ”

    ก่อนที่เขาจะกลับ เขาก็ยกมือไหว้และค้อมหัวลงคล้ายๆ แสดงความเคารพ ฉันก็ไม่สนใจเขาจะไหว้หรือไม่ไหว้ก็ตาม ฉันก็เพลียแหงแก๋อยู่แล้ว พอเขาหันหลังกลับก็วิ่งขึ้นเรือบอกสองคน “เร็ว พวกเราจะมีโทษ”

    อีกสองคนกระโดดขึ้นเรือตาเหลือกลาน ร้องถามว่า “มีโทษอะไร” คนนั้นก็บอก “คนนั้นลูกพระอินทร์ แล้วใครมันวางยาไม่ได้ดูหน้าดูตาคน นี่เราจะมีโทษกัน คนนี้ไม่มีสิทธิ์ที่จะทำเขาได้เลย” แล้วเรือลำนั้นก็วิ่งจู๊ดหายวับไปกับตา ฉันก็หลับสบายไม่รู้สึกตัว

    ตอนหลับนั้นประมาณ ๒ ทุ่มเศษๆ ตอนสายประมาณสัก ๒ โมงเช้าหรือ ๓ โมงไม่ทราบ ตื่นขึ้นมาก็รู้สึกว่า ความปวดเสียดท้องมันหายไปหมด อาการต่างๆที่เป็นอยู่หายหมด ท้องโล่ง มีอาการคล้ายๆ กับถ่ายยาอย่างดีมีความรู้สึกอยากจะกินแกงเผ็ดไก่และต้องเผ็ดมากๆ

    ต่อมาท่านแม่ป่วยก็ไปพักรักษาตัวอยู่ที่บ้านน้าพลอย ซึ่งเป็นน้องสาวของท่านแม่ ก็ใช้รดน้ำมนต์บ้างกินยาบ้าง ในที่สุดท่านแม่ก็เสียชีวิตเมื่อฉันอายุได้ประมาณ ๑๔ ขวบ พี่สำเภา พี่วงษ์ และท่านพ่ออยู่ป่าที่จังหวัดชัยนาท แล้วนำศพท่านแม่มาเผาที่วัดสาลี ตำบลสาลี อำเภอบางปลาม้า จังหวัดสุพรรณบุรี

    หลังจากนั้นฉันก็มาอยู่กับท่านยายที่บ้านหน้าวัดเรไร ในคลองบางระมาด อำเภอตลิ่งชัน จังหวัดธนบุรี ในสมัยนั้นท่านยายปลูกบ้านใหม่สองห้องให้อยู่ตามลำพัง

    ช่วงนี้เป็นช่วงที่ฉันฝึกฝนตนเองเป็นช่างไฟฟ้าและช่างเครื่องยนต์กลไกลต่างๆ จนบ้านที่อยู่รกไปหมด และเวลาว่างก็ไปเรียนระนาดเอกกับ คุณหลวงประดิษฐ์ไพเราะ (ศร ศิลปบรรเลง) ก็เลยเป็นนักระนาดกับเขาด้วย

    การตายครั้งที่ ๔

    เมื่อปีพ.ศ. ๒๔๘๗ ฉันอายุ ๒๗ ปี ตอนนั้นระหว่างสงครามโลกครั้งที่ ๒ จำพรรษาและเป็นครูสอนบาลีอยู่ที่วัดประยูรวงศาวาส จังหวัดธนบุรี วันนั้นวันที่ ๒ มกราคม ขณะนั้นอากาศหนาวจัด ก็มีพระท่านทำยาขนานหนึ่ง ทุกองค์ฉันแล้วก็รู้สึกว่าสบาย

    ฉันก็อยากจะมีกำลังร่างกายปลอดโปร่งอย่างเขาบ้างเพราะเป็นนักเทศน์แล้วด้วย ก็ขอท่านฉัน พอฉันเข้าไปเดี๋ยวเดียวท้องก็ถ่าย ๓ ครั้งหมดแรง คราวนี้ตามันเริ่มสั้นเข้ามาทีละหน่อยๆ สายตามองไกลๆ มันเห็นสั้นเข้ามาๆ จนกระทั่งพระกับเณรนั่งข้างๆ ๒-๓ องค์ ไม่เห็นพอไม่เห็นก็หมดความรู้สึกภายนอก ใครจะไปใครจะมาก็ไม่เห็นหมด ใครพูดก็ไม่ได้ยินหมด

    แต่ความรู้สึกในขณะนั้นมันเป็นความรู้สึกแตกต่างกับที่ตายมาแล้ว คือมันยังไม่ตายจริงอย่างที่ชาวบ้านเขาเรียกว่าสลบ แต่ความจริงสลบมันไม่มีความรู้สึก ฉันเข้าใจว่ากำลังจิตเป็นฌานมากกว่า เพราะพอตามองไม่เห็น

    ฉันก็เริ่มจับพระกรรมฐานคือเริ่มจับอารมณ์ตามเดิม พอจิตเป็นสมาธิ จิตมันก็โปร่งสบาย ฉันนึกถึงพระพุทธเจ้าของฉันก่อน เราจะไปสวรรค์ได้ ไปพรหมได้ ไปพระนิพพานได้ ก็เพราะอาศัยพระพุทธเจ้าเท่านั้น ถ้าไม่มีพระพุทธเจ้า แล้วเราจะรู้ธัมมะธัมโมได้อย่างไร ฉะนั้นเราต้องเกาะต้นเค้ากันไว้ก่อน

    ฉันยึดพระพุทธเจ้าเป็นอารมณ์ ปกติฉันเห็นพระพุทธเจ้าอยู่ตลอดเวลา คือพระพุทธรูปทองคำที่ฉันชอบ และก็กราบพระพุทธเจ้าที่ท่านมาปรากฏพระองค์หลังจากการตายครั้งที่ ๓ ท่านสวยมากจับจิตจับใจ เพราะฉันชอบพระพุทธเจ้าสวยๆ เห็นท่านทุกเวลา

    เดินบิณฑบาตฉันเห็นตลอด นั่งอยู่ไม่มีใครกวนเห็นตลอด เวลาดูหนังสือเห็นท่านอยู่บนศีรษะเลย จิตใจสว่างจำอะไรได้ดี เวลาป่วยไข้ไม่สบาย ท้องถ่ายครั้งแรกฉันก็นึกในใจว่า อาการอย่างนี้มาอีกแล้ว ก็เลยจับอารมณ์เบาๆ ฉันไม่ได้ทำอารมณ์หนัก ฉันภาวนา “พุทโธ” หายใจเข้านึกว่า “พุท” หายใจออกนึกว่า “โธ” ใจก็จับพระรูปพระโฉมของพระพุทธเจ้าที่เคยเห็นชัดเจนมาก และพระองค์ก็ทรงแย้มพระโอษฐ์แต่ไม่เคยพูด

    ต่อมาความรู้สึกภายนอกหมด อารมณ์ภายนอกดับร่างกายไม่รู้สึก ตาไม่เห็นหูไม่ได้ยิน แต่มีความรู้สึกว่า ฉันนั่งอยู่ในโพรงๆ หนึ่งซึ่งมีความสว่าง ฉันพิจารณาว่าถ้ำหรือโพรงๆนี้มันคืออะไร

    ก็ปรากฏว่าเป็นร่างกายฉันเองเหมือนกับถ้ำหรือโพรงที่ใหญ่มากขนาดยืนต่อตัว ๒-๓ คนก็ไม่ถึง ฉันไปนั่งตรงกลางของส่วนอก สภาพของตัวเองเป็นพรหม ใสชัดเจนมาก สวยสดงดงามมากกว่าการตายครั้งก่อน

    ฉันนึกในใจว่าไอ้ถ้ำนี้หรือว่าเปลือกๆ นี้เราอาศัยมันมานานแล้ว เราควรจะอยู่หรือว่าควรจะไป ก็คิดอีกทีว่า ถ้าอยู่ดีกว่าเก่าเราก็จะอยู่ ถ้าอยู่แล้วไม่ดีกว่าเดิมเราจะไม่อยู่ เสียเวลาเปล่าๆ

    จึงนึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตั้งจิตอธิษฐานว่า “ข้าพระพุทธเจ้าควรจะอยู่หรือควรจะไป” ก็เห็นวิมานบนพรหมชั้นที่ ๑๑ ชัดเจน และบนอากาศมีเทวดากับพรหมและพระอริยะเต็มไปหมด แพรวพราวเป็นระยับ สดชื่นเหลือเกิน แต่ว่าทุกท่านไม่มีใครกวักมือเรียกเพียงแต่ยิ้ม

    ท่านสหัมบดีพรหม ยืนข้างหน้าบอกว่า “จงใคร่ครวญให้ดีก่อนว่าจะอยู่หรือจะไป”

    ฉันก็เลยนึกถึงพระพุทธเจ้า ตั้งจิตอธิษฐานว่า “ถ้าข้าพระพุทธเจ้าควรจะอยู่ขอให้มีฉัพพรรณรังสีรัศมี ๖ ประการ พุ่งมาบนเพดาน ถ้าหากว่าไม่ควรอยู่ ควรจะไป ขอไม่เห็นอะไรปรากฏเลย”

    พออธิษฐานเสร็จก็มีรัศมี ๖ ประการพุ่งมาเป็นแสงรุ้งเต็มเพดานแผ่อยู่พักหนึ่งก็หายไป

    ฉันคิดว่าท่านบอกว่าควรอยู่ จึงตัดสินใจว่า “หากฉันจะอยู่ต่อไปถ้าสมถธรรมของฉันจะดีกว่าเดิม ก็ขอเห็นฉัพพรรณรังสีรัศมี ๖ ประการพุ่งมาแล้ววนเป็นทักษิณาวัตร ถ้าหากว่าอยู่แล้วสมณธรรมของฉันไม่ดีกว่านี้ ก็ขอรัศมี ๖ ประการจงอย่าปรากฏ”

    พออธิษฐานเสร็จก็ปรากฏว่า มีรัศมี ๖ ประการพวยพุ่งมาใหม่วนเป็นทักษิณาวัตร สวยสดงดงามมาก อยู่ประมาณ ๑๐ นาที ฉันก็ชื่นใจ

    พอรัศมี ๖ ประการหายไปก็ปรากฏว่ามีเทวดาองค์หนึ่งคือ ท่านพระอินทร์ ท่านแต่งชุดสีขาว นุ่งผ้าธรรมดาๆ เป็นผ้าพื้น มีผ้าสไบเฉียงออกสีขาว ท่านเอายามาให้ก้อนหนึ่งเหมือนก้อนดินบอกว่า “คุณฉันยาก้อนนี้โรคจะหาย การที่คุณรับเทศน์ไว้ที่จังหวัดสมุทรสงครามวันมะรืนนี้ ไม่ต้องนิมนต์ใครไปแทน คุณไปเองได้ร่างกายจะดีเป็นปกติ”

    รับยามาฉันรสเหมือนดิน หลังจากนั้นก็มีความรู้สึกตัว ลืมตาขึ้นมาก็มองเห็นคนหลายคน ประเดี๋ยวหนึ่งกำลังก็ปรากฏหายจากโรคเป็นปลิดทิ้ง แต่ว่าเพื่อนพระบอกว่าเวลาสิ้นไป ๘ ชั่วโมงเศษ ฉันก็รอดตายมาได้

    การตายครั้งที่ ๔ นี้ มีประโยชน์ที่มีการเข้าใจว่าการเข้าฌานตายเป็นอย่างไร และการตายมันก็เหมือนกับความฝันนั่นแหละ เราอย่าไปนึกกลัวมันเลย ร่างกายมันก็เหมือนเปลือกนอก เมื่อทิ้งอัตภาพแล้วมันก็จะกองอยู่จิตก็เคลื่อนไปตามวาสนาบารมี

    การตายครั้งที่ ๕
    พอถึงปี ๒๕๐๐ ฉันอายุย่างเข้า ๔๐ ปี บวชพรรษาที่ ๑๙ หลวงพ่อปานท่านมาบอกก่อนว่าอีก ๓ ปี คุณจะป่วยหนักงานก่อสร้างทั้งหมดขอให้เบาตัว คราวนี้ป่วยหนักเลยเข้าโรงพยาบาลกรมแพทย์ทหารเรือ เพราะหลานชายอยู่ที่กรมแพทย์ทหารเรือและก็มีหลายๆ คนรู้จักกัน เวลานั้นหมอประกอบเป็นผู้อำนวยการ พักอยู่ที่ตึก ๑ เป็นห้องพิเศษ ทุกวันพอถึงเวลาจวนจะ ๒ ทุ่ม จะมีอาการแน่นท้อง เสียดหน้าอก มันแน่นขึ้นมาๆ จนกระทั่งหายใจไม่ออก แต่ตอนกลางวันไม่เป็นไร ป่วยคราวนี้ฉันรู้ตัวว่าฉันแก่แล้ว คิดว่าคราวนี้ฉันตายแน่

    พอถึงคืนวันที่ ๓ ก็คิดว่าคืนนี้มันคงจะเอาอีก ก็ตั้งท่าสู้พอถึงเวลาใกล้จะ ๒ ทุ่มก็เรียกจ่าพยาบาลมาให้ไขเตียงในท่านั่ง แล้วให้จ่าออกจากห้องปิดประตูใส่กุญแจหน้าห้องด้วย

    วันนี้ฉันตั้งท่าสู้โดยเอาสติจับสมาธิ จับอานาปานุสติกรรมฐานแล้วก็ปลงว่า ขันธ์ ๕ คือร่างกายมันจะพัง เราไม่ต้องการมันอีก ทรัพย์สินของเราไม่มี ญาติพี่น้องไม่มี พ่อแม่ไม่มี ที่พึ่งอื่นของเราไม่มีนอกจากคุณพระรัตนตรัย เวลานี้เราต้องการคุณของพระพุทธเจ้าเป็นอารมณ์ ธรรมใดที่พระพุทธเจ้าทรงเห็นแล้ว เราต้องการเห็นธรรมนั้น คิดในใจเพียงเท่านี้เองไม่ได้ทำอะไรมากหรอก

    พอเวลา ๒ ทุ่มตรงแทนที่อาการปวดเสียดมันจะมา กลับเห็นมีพรหมองค์หนึ่งมายืนอยู่ข้างหน้า แสงสว่างมากมีความสวยสดงดงาม ท่านคือ ท่านสหัมบดีพรหม ท่านบอกว่า

    “พระพุทธเจ้าให้มานิมนต์ไปเฝ้า” ก็เดินตามท่านไป เวลาออกจากตัวรู้สึกว่าร่างกายของฉันสวยกว่าการตายทุกครั้งที่ผ่านมา มีความบางกว่า มีความเบากว่า เครื่องประดับประดาก็สวยสดงดงาม

    ท่านพาเดินลัดเลาะไปตั้งแต่โลกันตมหานรกขึ้นมาถึงอเวจีมหานรก ขึ้นมาเรื่อยๆ เห็นนรกทุกขุม เรื่อยมาถึงแดนเปรต แดนอสุรกาย แดนสัตว์เดรัจฉาน แดนมนุษย์ แดนสวรรค์ตั้งแต่ชั้นที่ ๑ ถึงชั้นที่ ๖ แดนพรหมทุกชั้นถึงพรหมชั้นที่ ๑๖ กับอรูปพรหมอีก ๔ ชั้น

    ที่ท่านพาผ่านไปอย่างนั้นท่านต้องการให้ชมว่า คนเราถ้าทำชั่วก็ต้องตกนรกแบบนี้ เป็นเปรตแบบนี้ เป็นอสุรกายอย่างนี้ เป็นสัตว์เดรัจฉานแบบนี้ ถ้าทำดีเล็กน้อยก็เป็นคนบ้าง เป็นเทวดาเป็นนางฟ้าบ้าง เป็นพรหมบ้าง

    พอสุดทางพรหมชั้นที่ ๑๖ ท่านสหัมบดีพรหมก็บอกว่า “ผมมีหน้าที่พาท่านมาแค่นี้ ต่อจากนี้ไปไม่ใช่หน้าที่ของผม ท่านต้องไปคนเดียว” ถามท่านว่า “ไปทางไหน” ท่านก็ชี้ทางให้ไปก็เห็นทางไม่โตนัก พอย่างเท้าก้าวไปสู่ทาง ทางก็ใหญ่พรึบเป็นแผ่นดินๆ หนึ่งแต่เป็นแก้วผสมทอง สวยสดงดงามมาก

    พอออกจากเขตพรหมชั้นที่ ๑๖ ก็รู้สึกว่าหมดแรงเหมือนคนที่เป็นไข้หนักตื่นขึ้นมาใหม่ๆ เดินโผเผๆ ไม่มีแรง เมื่อเดินตรงไปก็พบสถานที่แห่งหนึ่งเหมือนวัด มีกำแพงคล้ายๆ แก้วผสมทอง มีหน้าบันคล้ายคลึงหน้าบันของวัดท่าซุงที่หน้าโบสถ์ แต่สวยวิจิตรพิสดารมากกว่า มีซุ้มประตูเป็นทางเข้า พื้นที่เดินเป็นแก้วผสมทองเดินเข้าไปพอเห็นหอระฆังหลังหนึ่ง

    มีอาคารอยู่ ๓ หลังใหญ่มาก หลังหนึ่งเป็นหลังทึบคล้ายๆ กับวิหารแก้ว อีก ๒ หลังโปร่งคล้ายๆ กับมณฑปหน้าวิหารแก้วทั้ง ๒ มณฑป ไม่เหมือนกันเปี๊ยบแต่โปร่งคล้ายๆ กัน สว่างไสววิจิตรตระการตามาก

    มองไปด้านทิศตะวันออกเห็นสระโบกขรณีมีนํ้าใส มีแท่นแก้ว มีต้นไม้แก้ว ตอนนั้นมีความรู้สึกว่าวัดอะไรสวยจริงๆ ไม่เคยเห็น เงียบสงัดหาคนไม่ได้ เดินไปเดินมาก็หมดแรง จึงไปนอนที่หอระฆังหันหน้าไปทางทิศตะวันออก ก็เห็นพระองค์หนึ่งมีฉัพพรรณรังสีรัศมี ๖ ประการพวยพุ่งออกมาจากกาย

    ท่านเดินมาทางด้านกำแพงทิศตะวันออกซึ่งไม่มีประตูเข้า พอท่านเดินมาถึงกำแพง กำแพงก็ขาดออกไป พอท่านเดินผ่านเข้ามา กำแพงก็ชนติดกัน พอเห็นก็จำได้ทันทีว่าพระองค์นี้คือ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะเคยเห็นบ่อย ท่านเดินมานั่งข้างๆ ฉันก็ลงจากพื้นของหอระฆังทองคำผสมแก้ว ท่านก็นั่งบนแท่น ฉันก็ก้มกราบท่านที่พระบาท

    ท่านก็ถามว่า “ในชีวิตนี้เธอคิดไหมว่าจะมานิพพาน” ก็กราบทูลตามความเป็นจริงว่า “ไม่เคยคิดพระเจ้าข้า”

    ท่านถามว่า “ทำไม” ก็ตอบว่า “เขาบอกว่านิพพานสูญ ข้าพระพุทธเจ้าไม่ทราบว่านิพพานอยู่ที่ไหน ก็เลยไม่คิดว่าจะไป คิดอย่างเดียวว่า ถ้าตายแล้วไม่ต้องการขันธ์ ๕ ไม่ต้องการความเกิดอีก”

    ท่านถามว่า “ที่เธอนั่งอยู่นี่เขาเรียกอะไร” ก็ตอบว่า “ไม่ทราบพระพุทธเจ้าข้า” ท่านก็ถามต่อว่า “ตั้งแต่ภุมเทวดา รุกขเทวดา อากาศเทวดาทั้งหมด พรหมทั้งหมด เธอรู้จักไหม” ก็ตอบว่า

    “ท่านสหัมบดีพรหมพาผ่านมาแล้วทุกจุดถึงพรหมชั้นที่ ๑๖” ท่านถามว่า “ที่นี่เขาเรียกพรหมชั้นที่ ๑๖ ใช่ไหม”

    ก็ตอบว่า “ไม่ใช่ เพราะว่าเลยมาแล้วพระพุทธเจ้าข้า” ท่านจึงบอกว่า “ที่นี่เขาเรียกว่านิพพาน พอเลยพรหมชั้นที่ ๑๖ มาเขาเรียกนิพพาน”

    ก็แปลกใจถามท่านว่า “เขาว่านิพพานสูญไม่ใช่หรือพระพุทธเจ้าข้า” ท่านก็ทรงแย้มพระโอษฐ์บอกว่า “ถ้านิพพานสูญ เธอจะนั่งอยู่ได้อย่างไร เธอไปอ่านหนังสือของคนที่เขาไม่รู้จักนิพพาน นิพพานไม่ได้มีศัพท์ว่า “สูญ” อย่างเดียว มีศัพท์ว่า “สุข” ด้วย”

    “นิพพานัง ปรมัง สุขขัง” แปลว่า “นิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง”

    และ “นิพพานัง ปรมัง สุญญัง” แปลว่า “นิพพานเป็นธรรมอันว่างอย่างยิ่ง” หมายความว่า “สูญจากกิเลส”

    “สูญ” แปลว่า “ว่าง” คือว่างจากกิเลส ว่างจากความชั่วทั้งหมด ขอให้เธอจงมีความเข้าใจว่า “นิพพานไม่มีสภาพสูญ”

    ท่านถามอีกว่า “เธอคิดจะมานิพพานไหม” ก็ตอบว่า “ไม่คิดพระพุทธเจ้าข้า” ท่านถามว่า “ทำไม” ก็ตอบว่า “เพราะวิปัสสนาญาณยังอ่อนพระพุทธเจ้าข้า”

    ท่านก็บอกว่า “จริง เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ชาตินี้เธอจะมานิพพานได้หรือไม่ได้ ลองดูก็แล้วกัน” ท่านก็เนรมิตไม้ขึ้นมา ๑๐ ท่อน ยาวประมาณแค่ศอก เป็นแบบไม้ไผ่แล้ววางไว้ ท่านก็เรียกพระขึ้นมา ๙ องค์ พระไม่รู้มาจากไหนโผล่ผลุบผลับก็มาถึง จำได้ว่าองค์ที่ ๓ คือ หลวงพ่อปาน วัดบางนมโค แต่ละองค์มาถึงต่างก็นมัสการพระพุทธเจ้า แล้วก็หยิบไม้ไปคนละอัน

    เหลืออีกอันหนึ่งพระพุทธเจ้าท่านบอกว่า “อันนี้เป็นของเธอ เธอยกไม้อันนี้” ก็นึกในใจว่ายกไม่ไหวแต่ก็เกรงใจท่าน จึงเข้าไปยกไม้ตั้งท่าเต็มที่ แต่พอยกเข้าจริงๆ ปรากฏว่าไม้เบามากเหมือนกระดาษ ฉันมีกำลังขึ้นมาทันทีเอาใส่บ่าเดินตามพระไป

    พอเดินไปได้ประมาณสัก ๑๐ ก้าว ท่านก็เรียกกลับมาบอกว่า “วางไม้เสียก่อน เธอยังไปไม่ได้ วิปัสสนาญาณยังอ่อน” ก็กราบท่าน

    ท่านบอกว่า “เธอสนใจสมถภาวนามากเกินไป วิปัสสนาญาณน้อย โดยที่เธอคิดว่าเธอปรารถนาพุทธภูมิ จะปรารถนาพุทธภูมิหรือสาวกภูมิก็ตาม วิปัสสนาญาณต้องควบคู่กับสมถภาวนา คือต้องให้สมํ่าเสมอกัน และอีกประการหนึ่งเธอก็มีความจำเป็นต้องลาจากพุทธภูมิ”

    ก็บอกท่านว่า “ไม่ตั้งใจจะลา” ท่านบอกว่า “เธอตั้งใจจะลาหรือไม่ตั้งใจจะลาก็ตาม ถึงเวลานั้นมันต้องลา” ก็เลยถามท่านว่า “จะลาเพื่ออะไร” ท่านบอกว่า “ลาเพื่อช่วยกัน ถ้ายังปรารถนาพุทธภูมิอยู่อย่างนี้ก็จะสนใจเฉพาะฌานโลกีย์ ฌานโลกีย์ยังช่วยตัวเองไม่ได้ เพราะถ้าพลาดเมื่อไรก็ลงอบายภูมิเมื่อนั้น

    ดูตัวอย่าง พระเทวทัต เธอต้องกลับไปเพื่อปฏิบัติวิปัสสนาญาณให้เต็มขั้นหลังจากนี้เป็นต้นไปเวลา ๔ ทุ่มตรง ถ้ามีแขกอยู่ก็จงเลิกรับแขก เข้าที่นอนบูชาพระ ฉันจะไปสอนอริยสัจจนกว่าเธอจะได้ผล

    และจงอย่าลืมนะ อารมณ์ที่เธอคิดนั้นเป็นอารมณ์ของพระอรหันต์ หมายความว่า การที่เธอจะมานิพพานได้ นี่เธอคิดว่าพ่อแม่ พี่น้อง เพื่อนฝูง ทรัพย์สินต่างๆ ไม่สามารถจะช่วยเธอได้เมื่อเธอจะตาย ไม่มีอะไรเป็นประโยชน์

    สิ่งที่เป็นประโยชน์คือ คุณพระรัตนตรัย และเธอไม่ต้องการร่างกายเพราะมันป่วยไข้ไม่สบาย มีความทุกข์อยู่เสมอ ขึ้นชื่อว่าความเกิดไม่ต้องการอีก อันนี้เป็นอารมณ์ของพระอรหันต์ ทุกคนถ้าคิดอย่างนี้เป็นอารมณ์ มานิพพานได้ทุกคน”

    ในที่สุดก็ลาท่านกลับมา พอฟื้นเวลาผ่านไปตั้งแต่ ๒ ทุ่มถึงใกล้สว่าง พอตอนเช้าก็มีจ่าพยาบาลมาเคาะประตู นำอาหารมาให้ กินข้าวกินปลาเสร็จ กำลังจิตก็มีความสุขสงัด ที่เขาเรียกว่า สังขารุเปกขาญาณ คือเจริญวิปัสสนาญาณควบคู่กับสมถภาวนา การไปพระนิพพานมาแล้วครั้งหนึ่ง ทีหลังนึกถึงพระนิพพานปั๊บก็ถึงเมื่อนั้น พอถึงเวลาเช้ามืดก็กลับลงมา จิตใจก็มีความสุข ไม่มีความห่วงใยในทรัพย์สินแม้แต่ร่างกายก็คิดว่าถ้ามันตายเมื่อไร เราก็มีความสุขเมื่อนั้น

    การตายครั้งที่ ๖
    การตายครั้งที่ ๖ เป็นปี พ.ศ. ๒๕๑๑ ตอนนี้มาอยู่ที่วัดท่าซุงเป็นปีแรก สถานที่อยู่ซึ่งท่านเจ้าอาวาสนิมนต์มาบอกว่าจะสร้างกุฏิให้หนึ่งหลัง ไปๆมาๆกุฏิของท่านมีแต่พื้นกับหลังคา ก็ต้องมาทำเองเป็นกระต๊อบเพิงหมาแหงน กุฏิเวลานี้นำมาสร้างอยู่ในสระข้างโบสถ์ แต่ขยายกว้างออกไปและสวยกว่าเก่า

    เดิมทีเดียวทำแค่ปุๆปะๆแค่พออยู่ได้ยาวแค่ ๖ ศอก กว้าง ๔ ศอก วันนั้นฉันก็นอนอยู่ที่กระต๊อบโคนโพธิ์ ตอนนั้นมีเตียงอยู่หนึ่งเตียง ก็นอนตะแคงขวา กำลังทางร่างกายก็น้อยลงไปทีละนิดๆ ในที่สุดก็ใกล้จะหมดแรง สายตาที่มองยาวออกไปมันก็เริ่มสั้นเข้ามาทีละน้อยๆ จนกระทั่งเห็นสั้นเข้ามาห่างจากร่างกายไปประมาณสัก ๒ วา

    อาการอย่างนี้มันเคยมีมากับฉันคืออาการเพลีย แต่ว่าอาการป่วยคราวนี้ของฉันไม่ได้ยั้งตัว หมายความว่าฉันเผลอไปเมื่ออายุ ๑๒ ปี มาครั้งหนึ่งแล้ว เกือบจะต้องถูกจับไปสอบสวนที่สำนักของท่านพระยายมราช ฉะนั้นการภาวนาฉันไม่มีหยุด การพิจารณาก็ดีถือเป็นปกติ เวลาไหนต้องการภาวนาก็ภาวนา เวลาไหนต้องการพิจารณาก็พิจารณา

    เมื่ออาการไม่ดีเกิดขึ้น ฉันก็นึกถึงร่างกายว่า ดีไม่ดีมันก็ตายวันนี้แหละ มันจะตายเมื่อไรก็ช่างเราเตรียมพร้อมไว้เพื่อจิตเป็นสุข มีความรู้สึกว่าร่างกายเราประคบประหงมมันเท่าไรมันก็ดีไม่ได้ เลิกกันเสียทีนะ เอ็งจะตายก็ตายเถอะ

    ก็เลยบอกว่า “มึงพังเสียได้ก็ดี กูจะได้มีความสุข เจ้าตัณหาเอ๋ย ฉันเป็นทาสแกมา ๕๐ ปีแล้ว ความดีนิดหนึ่งของแกไม่มีสำหรับฉันเลย ไอ้ร่างกายนี่แกให้ข้ามา และเวลานี้ข้าก็มีความเบื่อหน่ายร่างกายที่แกให้ แกจะต้องการร่างกายของแกคืนไปก็เชิญ ฉันไม่มีความปรารถนาร่างกายเลวๆ อย่างนี้”

    พอจิตคิดเท่านี้ ไอ้ตัวสั้นของสายตามันก็หยุดมันไม่สั้นเข้ามาอีก กายมันเพลียแต่ใจไม่ได้เพลียไปด้วย กายยิ่งเพลียเพียงใดจิตใจยิ่งแจ่มใสมากขึ้น ความสว่างไสวของจิตมากขึ้นกว่าเก่า แพรวพราวเป็นระยับ

    แต่ก็มีแปลกอย่างหนึ่ง ในอากาศไม่เห็นใครเลย ไม่เห็นเทวดา ไม่เห็นพรหม ไม่เห็นใครทั้งหมด ก็มีความรู้สึกว่าถ้าอาการอย่างนี้มันคงไม่เอาจริง แต่ในใจนั้นอยากให้มันเอาจริง เมื่อสายตายาวออกไป ร่างกายก็เริ่มมีกำลัง

    จึงคิดในใจว่า “ตัณหาเอ๋ย เจ้าทำไมถึงหลอกเราอย่างนี้ เจ้าคิดหรือว่าเราต้องการเจ้า เราเบื่อเจ้า เราเกิดมาหลายอสงไขยกัปเพราะเป็นทาสของเจ้า ไม่มีความดีสำหรับเราเลย ความจริงเราไม่ต้องการร่างกายเลวๆ ของเจ้า เมื่อไรเจ้าจะมาทวงเจ้าร่างกายของเจ้าตัวนี้ไป”

    มันนึกอยู่คนเดียว พอนึกๆ ไปก็เลยทำใจหยุด จะนึกไปทำไม มันจะอยู่ก็อยู่ มันจะตายก็ตาย มันตายเมื่อไรไปบ้านของเราเมื่อนั้น ใจฉันก็จับอยู่ที่บ้านสวยแจ๋ว มีความสวยงามมาก มีความสุข

    ในระหว่างนั้นเองก็เห็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีพระวรกายใหญ่มาก ถ้าพระพุทธรูปหน้าตัก ๔ ศอก ต้องถึง ๑๐ องค์ ถึงจะเท่าพระวรกายของพระองค์ เวลานั้นเห็นชัดเจนแจ่มใสแพรวพราวเป็นระยับลอยอยู่ข้างหน้าไม่ไกลจากฉันนัก ท่านลอยตํ่ากว่าหลังคากระต๊อบหลังนั้น

    แต่เวลานั้นภาพหลังคาไม่ปรากฏ เห็นแต่พระพุทธเจ้าทรงแย้มพระโอษฐ์ แล้วก็ตรัสว่า “สัมพเกษี อาการเพียงเท่านี้ เธอเป็นทุกข์มากหรือ”

    ก็ตอบพระองค์ว่า “ข้าพระพุทธเจ้า ไม่ทุกข์พระพุทธเจ้าข้า” ท่านตรัสว่า “ไม่ทุกข์ ทำไมจึงมีการท้าทายกับตัณหา” ตอบพระองค์ว่า “การท้าทายตัณหาก็เพราะข้าพระพุทธเจ้าไม่ต้องการตัณหาและก็ไม่ต้องการสมบัติของตัณหา เวลานี้สมบัติของตัณหาแต่ละชิ้นไม่ต้องการเลย มีความต้องการอย่างเดียวคือบ้านหลังนั้น”

    พระองค์ก็ทรงยิ้มแล้วตรัสว่า “อาการป่วยเท่านี้ อาการทุกขเวทนาเพียงเท่านี้จงอย่าบ่นนะ ทำใจให้สบาย จิตไม่ยึดถืออะไรทั้งหมด สลัดทุกอย่าง กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา สลัดให้หมด จงเข้าใจในทุกข์ของโลก คนที่เกิดมาในโลก ใครก็ตาม พระอรหันต์ก็ตาม พระพุทธเจ้าก็ตาม ก็ป่วยเหมือนกัน ร่างกายของพระพุทธเจ้าก็ป่วย ร่างกายของพระอรหันต์ก็ป่วย ร่างกายของเธอจะไม่ป่วยไม่ได้”

    หลังจากนั้น พระพุทธเจ้าก็ตรัสว่า “เธอจงรักษากำลังใจอย่างนี้ให้ปกติเป็นเอกัคตารมณ์ คือมีอารมณ์อันเดียวที่เราต้องการอย่างนี้ ถ้าพลาดพลั้งลงอบายภูมิ เจ้าหนี้ของเธอที่ยังไม่ได้ชำระหนี้เฉพาะคน สัตว์ไม่คิด เท่านี้เธอดู”

    ท่านชี้ไป ฉันก็เห็นหัวคน เขาตัดเฉพาะหัววางเรียงพื้นที่จากแนวของคลอง วางเรียงเป็นระเบียบเรียบร้อยจนสุดของพื้นที่ของวัดท่าซุงด้านเหนือสุดเลย และก็ไม่ได้วางชั้นเดียว เต็มพื้นที่หมด กุฏิอะไรไม่เห็นทั้งนั้น เห็นแต่หัวคนวางเรียงเป็นระเบียบ สูงกว่ายอดโพธิ์หนึ่งเท่าหรืออาจจะเป็นหนึ่งเท่าเศษ

    ท่านบอกว่า “คนทั้งหมดนี้เธอฆ่ามาในอดีต และเวลานี้กรรมที่เธอทำกับเขาทุกคน เธอยังไม่ได้ใช้หนี้ เวลานี้เธอกำลังใช้หนี้เศษกรรมส่วนอื่น ส่วนใหญ่นี่ยังไม่ได้ใช้”

    จึงได้กราบเรียนถามท่านว่า “การสร้างบาปขนาดนั้น ทำไมไม่ไปอบายภูมิ” ท่านก็ตรัสว่า “ทุกชาติหลังจากนั้นมาพันชาติเศษ เธอเป็นนักรบก็จริงแหล่แต่ทว่าก็เป็นนักบุญด้วย” นักรบก็เป็น นักบุญก็เป็น

    ดังนั้นเวลายามว่างก่อนรบก็ทำบุญ เวลาไปรบจิตใจก็นึกถึงพระเป็นที่พึ่ง กลับมาจากการรบก็ทำบุญ และก็ชอบเจริญสมาธิ นักรบต้องใช้อาวุธฟาดฟันกัน โดยเฉพาะใช้มีดใช้ดาบใช้หอก ต้องหนังเหนียวทุกคน จะหนังเหนียวได้เพราะอาศัยคุณพระคุ้มครอง ฉะนั้นจิตใจจึงนึกถึงพระเป็นปกติและเวลาจะตาย จิตใจนึกถึงพระเป็นปกติ อย่างนี้เป็นอารมณ์ฌาน อาศัยกำลังของฌานก็หนีบาปไปทุกครั้งพันชาติเศษ

    แล้วสมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์ก็ทรงให้โอวาทว่า “นับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป เธอจงถือกำลังใจสังขารุเปกขาญาณเป็นอารมณ์ อะไรจะเกิดขึ้นกับร่างกายก็ถือว่าเฉยไว้ เขาจะชมก็เฉย เขาจะด่าก็เฉย แล้วร่างกายจะเจ็บไข้ไม่สบาย ก็ทำใจสบายๆ เฉย ยอมรับนับถือกฎของธรรมดา คิดว่าร่างกายของเราต้องเป็นอย่างนั้น อย่าใช้อารมณ์ฝืนกฎของธรรมดาเท่านี้ อารมณ์จิตของเธอจะเป็นสุข

    หัวคนที่ปรากฏทั้งหมดนี่นับแสน กรรมอันนี้ไม่สามารถจะตามเธอทัน เธอมีโอกาสจะไป บ้านของเธอตามความประสงค์”

    การตายครั้งที่ ๗
    เมื่อวันที่ ๒๒ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๒๓ อาการตายคราวนี้แปลกไม่มีโรค ตอนเช้าลงมาจากกุฏิชั้นสอง ตื่นขึ้นมาล้างหน้าเสร็จก็หยิบเอกสารสำหรับทำงานลงมาที่ ตึกอินทราพงษ์ หวังจะทำงานเมื่อฉันเช้าเสร็จ พอวางเอกสารเสร็จก็อยากเข้าห้องส้วม

    พอนั่งในส้วมปั๊บมันไม่ขี้ไม่เยี่ยว มันมืดไปหมด ไม่ใช่หน้ามืดอย่างเดียว มันมืดไปทั้งหมดแม้แต่ยกมือขึ้นก็มองไม่เห็นมือ แต่ว่าจิตใจเป็นสุข ก็คิดว่าอาการอย่างนี้ควรเป็นอาการของความตาย ถ้าตายในเวลานี้ก็ไม่เห็นจะแปลกอะไร จิตใจเป็นสุขเราก็ไปนิพพาน

    นั่งอยู่นานสักครู่ก็คิดในใจว่าในโลกนี้ ตั้งแต่พระพุทธเจ้าอุบัติมาแล้ว ก็ไม่เคยมีพระอรหันต์องค์ไหนท่านนิพพานบนโถส้วม ถ้าเราตายบนโถส้วมก็จะเก่งกว่าพระอรหันต์ทั้งหมด และลูกศิษย์ของเราก็มีมาก ถ้าเขาทราบว่าอาจารย์ตายบนโถส้วมก็จะขายขี้หน้าเขา

    เลยลุกจากโถส้วม ก็มองไม่เห็นอะไรเลย เอามือคลำข้างฝา คลำราวผ้าออกมา พอถึงหน้าประตูห้องบันทึกเสียง พื้นห้องปูพรมก็เอนกายนอนลงตรงนั้น พอเอนกายลงไปแล้ว จิตก็ออกจากร่างไปติดอยู่แค่พระจุฬามณีเจดียสถาน ในบริเวณสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ทั้งหมดเต็มไปทั้งเทวดา นางฟ้า พรหม และพระอรหันต์ทั้งหมด ทะลุไปพระนิพพานไม่ได้ หาทางไปไม่ได้ เห็นพระพุทธเจ้าก็เข้าไปกราบท่าน

    ท่านก็ถามว่า “จะไปไหน” บอกท่านว่า “จะไปพระนิพพานครับ” ท่านบอกว่า “ฉันให้แกตายปี พ.ศ. ๒๕๒๕ ปีนี้พ.ศ. ๒๕๒๓ นี่แกตายไม่ได้” ก็บอกท่านว่า “ตายได้หรือไม่ได้ก็มาแล้ว จะไป”

    ท่านก็เลยบอกว่า “เอาอย่างนี้ก็แล้วกันกลับลงไปก่อน สัญญาเดิมปี ๒๕๒๕ ถ้าฉันปล่อยให้เธออยู่ถึง ๒๕๒๕ ฉันจะเอาเธอไว้ไม่ได้ ฉะนั้นปีนี้ ๒๕๒๓ ฉันต้องทำให้เธอตายชั่วคราวก่อนให้ถือว่าเป็นการเกิดใหม่”

    ไอ้เราก็ยังไม่กลับ ท่านก็มาด้วยก็เลยต้องมา ในเมื่อพระพุทธเจ้าท่านมาด้วยก็ต้องมา เมื่อเข้าในร่างกายก็ค่อยๆ ลืมตาขึ้น มันก็ยังมืดอยู่จึงหลับตาต่อไปอีกสักครู่หนึ่ง จึงลืมตาขึ้นก็ค่อยๆ สว่างท่านบอกว่า “ให้ถือว่าวันเกิดใหม่ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปนะ ฉันต่อให้อีก ๑๐ ปี”

    การตายครั้งที่ ๘
    วันที่ ๓ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๓๒ มีอาการผิดปกติ ไปนั่งรับแขกฉันหมากเข้าไปรู้สึกยัน เวลานั้นเวลาประมาณสักบ่าย ๒ โมง ๓ นาที จำไม่ได้แน่นอนนัก กำลังรับแขกอยู่ก็เกิดปวดอุจจาระ ก็ลุกไปส้วม มันอยากจะอาเจียน ก็หยิบขันน้ำมารองอาเจียน พออาเจียนเท่านั้นมันหมดความรู้สึกตัว

    แต่มีความรู้สึกว่าตัวออกไปนั่งคุยอยู่ข้างนอกกับเทวดา ๒ องค์ เป็นท่านอินทกะทั้งสองท่าน คือ ท่านบุเรงนอง กับ ท่านปิยะยาวี คุยกันแบบสบาย ร่างกายเป็นอย่างไรไม่รู้เรื่องเลย ออกไปเมื่อไรก็ไม่รู้

    พอกลับเข้ามาในตัวอีกทีก็รู้สึกว่า เสมหะนองเถือกเต็มพื้นไปหมด มันก็ไม่มีแรง นั่งรวบรวมกำลังใจอยู่นิดหนึ่ง ประตูก็ใส่กลอน พอมีแรงนิดหน่อยก็ค่อยๆ เกาะราวผ้าไปถอดกลอน ก็พอดีพระสมุห์บัญชาเรียกพระปลัดวิรัชว่า วิรัชๆ เร็วๆ วิรัชเร็วๆ จากนั้นก็ไม่รู้เรื่องเลย

    ปรากฏว่ามารู้เรื่องอีกทีก็เขานวดมือแล้ว ตอนออกตอนแรกพระท่านบอกว่า “เป็นการออกไปจากร่างกายเพราะร่างกายมันหนัก ถ้าไม่ออกไปจากร่างกาย มันจะหายใจไม่ทัน เสมหะออกมา มันจะขาดใจตายตอนนั้น”

    พระท่านกลัวจะตาย ท่านเลยดึงจิตวิญญาณออกไปเสียข้างนอก พอออกตอนหลังท่านเรียกว่า “สลบ” เพราะไม่รู้สึกอะไรเลย ไอ้ตัวสลบกับออกไปข้างนอก มันไม่เหมือนกัน เพราะสลบไม่มีความรู้สึก

    ต่อมารู้สึกตัวเห็นเขานวดกันไปนวดกันมา ก็พอดีจ่าปัญญากับคุณบังเอิญ สองสามีภรรยาหวังจะมาเยี่ยมก็มาพบอาการหนักเข้า ทุกคนก็วิ่งกันวุ่นวาย กำนันสมนึกบอกว่าคนร้องไห้กันหลายคน มันน่าจะร้องไห้เพราะไม่มีความรู้สึกแล้ว

    พอยกออกไปเหมือนกับคนตาย แต่พออาการคลายตัวขึ้นมาก็ปรากฏว่า มีความรู้สึกว่ามีแรงนิดหน่อย มีอาการสดชื่น เขานวดบ้าง เขาบีบบ้าง เขาทำอะไรก็ตาม ความสดชื่นก็ปรากฏ อีกสักครู่หนึ่งก็ลุกขึ้นเดินได้..”


    “ในที่สุดหลวงพ่อพระราชพรหมยานท่านก็มรณภาพเมื่อวันศุกร์ที่ ๓๐ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๓๕ เวลา ๑๖.๑๐ น. ที่โรงพยาบาลศิริราช ได้มีพิธีสวดพระอภิธรรมเป็นเวลา ๑๐๐ วัน พระศพท่านอยู่ในโลงแก้ว ประดิษฐานอยู่ในพระมหาวิหาร ๑๐๐ เมตร ที่วัดท่าซุงมาจนทุกวันนี้”
     

แชร์หน้านี้