ติดตามสถานะการณ์

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย สุกิจSukit, 8 มิถุนายน 2013.

  1. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    223,130
    ค่าพลัง:
    +97,152
    ชาวฮอนดูรัส 3,000 คน ได้รับค่าแรงในการเดินขบวนชายแดนสหรัฐฯ ตามปกติคนยากจนกำลังถูกใช้



    Manatat Waiwong Hennessey ได้แชร์โพสต์

    3,000 Hondurans are getting paid to march up US boarder. As usual, the poor is being used
     
  2. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    223,130
    ค่าพลัง:
    +97,152
    # แผ่นดินไหวสึนามิ⚡
    #INDONESIA
    28/09/2018

    NEW INDONESIA VIDEO, ATERRADOR!

    # เกิดอะไรขึ้นใน #Palu #INDONESIA เมื่อ #September 28 / ตกใจจริงๆเราแทบไม่เคยเห็นเหตุการณ์แบบนี้ในวิดีโอ ..... คุณต้องดู uuuff ⚠️⁉️

    Vorapon Patcharasilatong ได้เพิ่มวิดีโอใหม่ลงในอัลบั้ม: GEOENGINEERING ⚠️



    #Earthquake, Tsunami ⚡
    #INDONESIA
    28/09/2018

    NEW INDONESIA VIDEO, ATERRADOR!

    #What happened in #Palu #INDONESIA on #September 28/ was really shocking, we can rarely see this kind of events in video ..... You have to see it uuuff ⚠️⁉️
     
  3. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    223,130
    ค่าพลัง:
    +97,152
    40138722_687880281569224_8833882060033622016_o - Copy.jpg

    แผ่นดินถล่มที่ไต้หวัน

     
  4. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    223,130
    ค่าพลัง:
    +97,152
    โหลด pdf ไปอ่านกันครับเป็นของคุณ anand สมาชิก พลังจิต และสำหรับผู้สนใจพระยาธรรมมิกราชก็อยู่ใน ตำนานพระเจ้าเลียบโลกทั้ง 11 ผูกครับ

    พุทธตำนานพระเจ้าเลียบโลก

    ตำนานพระเจ้าเลียบโลก หรือพุทธตำนาน เป็นคัมภีร์ปรากฎแพร่หลายในทางภาคเหนือของไทย ขณะนี้ยังมีต้นฉบับใบลานที่คัดลอกกันต่อๆ มา จำนวนมากหลงเหลืออยู่ตามวัดใหญ่ๆ โดยเฉพาะในเขตจังหวัดเชียงใหม่ ตามที่สถาบันวิจัยสังคม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ได้ทำการตรวจสอบทำบัญชีเอาไว้ มีดังนี้

    ฉบับความพิสดาร

    ตำนานพระเจ้าเลียบโลก ฉบับวัดกู่่คำ ต.วัดเกตุ อ.เมือง จ.เชียงใหม่
    ตำนานพระเจ้าเลียบโลก ฉบับวัดเวียง ต.ล้อมแรด อ.เถิน จ.ลำปาง
    พุทธตำนาน (จ.ศ.๑๑๙๖) ฉบับวัดเชียงมั่น ต.ศรีภูมิ อ.เมือง จ.เชียงใหม่
    พุทธตำนาน (ขาดผูก ๑,๑๑) ฉบับวัดเชียงมั่น ฉบับที่ ๒
    พุทธตำนาน (ขาดผูกที่ ๑) ฉบับวัดดอกเอื้อง ต.ศรีภูมิ อ.เมือง จ. เชียงใหม่
    พุทธตำนวน ฉบับวัดสันป่ข่อย ต.วัดเกตุ อ.เมือง จ.เชียงใหม่
    พุทธตำนวน ฉบับวัดเมืองลัง ต.ป่าตัน อ.เมือง จ.เชียงใหม่
    ตำนานพุทธเลียบโลก ฉบับวัดดอนปิน ต.แช่ช้าง อ.สันกำแพง จ.เชียงใหม่
    ตำนานพระบาทพระธาตุ ฉบับวัดแม่สุก ต.แม่สุก อ.แม่ใจ จ. พะเยา

    ฉบับความย่อ

    ตำนานพระเจ้าเลียบโลก ฉบัยวัดสันป่าเลียง อ.เมือง จ.เชียงใหม่
    พุทธตำนาน ฉบับวัดสันโค้ง ต.ทรายมูล อ.สันกำแพง จ.เชียงใหม่
    พุทธตำนาน ฉบับวัดดาวดึงษ์ ต.หายยา อ.เมือง จ.เชียงใหม่ (มี ๒ ผูก)

    ตำนานพระเจ้าเลียบโลกฉบับตะวันออกเฉียงเหนือ

    พระเจ้าเลียบโลก ฉบับศูนย์อนุรักษ์วรรณคดีภาคตะวันออกเฉียงเหนือ วัดมหาชัย อ.เมือง จ.มหาสารคาม
    พระเจ้าเลียบโลก ฉบับวัดบัานแสนยาง ต.เหล่าบก อ.ม่วงสามสิบ จ.อุบลราชธานี
    พระเจ้าเยี่ยมโลก ฉบับวัดโพธิ์ตก ต.ป่าหวายนั่ง อ.เมือง จ.ขอนแก่น

    เนื้อความโดยย่อ

    เอกสารใบลานเรื่อง ตำนานพระเจ้าเลียบโลก ฉบับวัดกู่คำมีจำนวน ๑๒ ผูก จำนวนหน้าลาน ๔๗๐ หน้า ผูกที่ ๑ ถึงผูกที่ ๑๑ เป็นเนื้อหาของเรื่องพุทธตำนานหรือตำนานพระธาตุพระบาทโดยสมบูรณ์ ส่วนเนื้อหาผูกที่ ๑๒ เป็นเรื่องย่อใจความในผูกที่ ๑ ถึงผูกที่ ๑๑ และสำหรับรายชื่อสถานที่บ้านเมืองต่างๆ บางชื่อ ผู้วิจัยไม่สามารถให้รายละเอียดได้ จึงเป็นการยากที่จะทำการศึกษาค้นคว้าให้กระจ่างชัดได้

    ความย่อในผูกที่ ๑

    เนื้อเรื่องเริ่มต้นด้วยการกล่าวยกย่องพระเกียรติคุณของพระพุทธเจ้าในสมัยที่พระองค์ได้เสวยพระชาติเป็นพระโพธิสัตว์ ซึ่งได้บำเพ็ญทานบารมีมาทุกๆ ชาติ ครั้งที่สมัยบังเกิดเป็นพระสิทธัตถะได้เสด็จ บรรพชาจนตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วเสด็จออกเทศนาสั่งสอนประชาชนตามบ้านน้อยเมืองใหญ่ เพื่อประดิษฐานรอยพระบาทและพระเกศาธาตุ รวมทั้งการที่ทรงทำนายอนาคตกาลของสถานที่เหล่านั้น เริ่มตั้งแต่ออกจากเมืองพาราณสีประเทศอินเดียจนล่วงเข้าไปในเขตเมืองลี้ อาณาจักรหริภุญชัย ประทับรอยพระบาทแล้วเสด็จถึงท่าหัวเคียนแล้วเสด็จเลียบริมฝั่งแม่น้ำปิงถึงที่หนึ่ง เทวดานำผลสมอมาถวายพระองค์ พระองค์เสวยแล้วทำนายว่าที่ตรงนั้นต่อไปจะเป็นมหานครใหญ่ นามว่า หริภุญชัย พระุพุทธศาสนาจะรุ่งเรืองโดยเฉพาะในสมัยของพระยาอาทิตตราชต่อจากนั้นเสด็จถึงอุจฉุบรรพต (ดอยสุเทพ) ประทับแล้วผินพระพักตร์ลงไปเบื้องล่างทางทิศตะวันออก ทำนายว่าต่อไปพระพุทธศาสนาจะมาประดิษฐานและรุ่งเรืองในอภินวนคร (เชียงใหม่) จะมีพระเถระรูปหนึ่งไปนำเอาพระบรมธาตุมากจากประเทศลังกา และจะประดิษฐานไว้ที่ยุปผาราม (วัดสวนดอก เชิงดอยสุเทพ) เสด็จจากดอยสุเทพ ไปสรงน้ำที่ปากแม่น้ำสา (เขตอำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่) ต่อไปยังตำบลยางหมอก

    พระองค์ทำนายต่อไปว่า จะเป็นสถานที่ประดิษฐานต้นพระศรีมหาโพธิ์ จากนั้นเสด็จเลียบฝั่งแม่น้ำปิงประทับรอยพระบาทบนหินก้อนหนึ่ง เรียกว่า พระบาทผาชะแคง (อีกชื่อหนึ่งคือ ผาชะแคง ในเขตอำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่) ลำดับนั้น เสด็จโดยลวงอากาศ (เหาะ) ชี้พระหัตถ์ไปยังยอดดอยแห่งหนึ่ง ทำนายต่อพระสารีบุตรพระอัครสาวก ว่า ศาสนาจะมารุ่งเรืองในเมืองเชียงดาว (อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่) จะบังเกิดอารามพระยาคำแดงแล้วพระองค์เสด็จไปยังเมืองลื้อ อาณาจักรสิบสองปันนา เมืองนี้จะเป็นที่ประดิษฐานพระบรมธาตุ คือมีดโกนพระเกศาของพระองค์ พุทธศาสนาจะรุ่งเรืองภายภาคหน้า เสด็จต่อไปยังอุตรปัญจนคร (แสนหวี) ที่พระองค์ได้เคยเสวยพระชาติเป็นพระโพธิสัตว์ มโหสถบัณฑิต เสด็จยังเมืองวิเทหะ (หนองแส) พระยาวิเทหะกระทำการอันประมาท คือนำอาหารและคิลานปัจจัยใส่ถาดทองคำวางบนหลังช้่างเพื่อนำไปถวายพระพุทธองค์ พระพุทธองค์ทำนายว่าเมืองนี้ต่อไปจะไม่มีช้างอีก แต่พุทธศาสนาจะรุ่งเรืองมากนั และเป็นที่ประดิษฐานพระเขี้ยวป้าง (ฟันเขี้ยวที่อยู่ถัดจากฟันกรามออกมา) แล้วเสด็จกลับกรุงโกสัมพี ชำระพระองค์ที่ริมฝั่งแม่น้ำคง (สาละวิน) ต่อไปจะได้ชื่อว่า ท่าข้าวตอก พระองค์ประทับรอยพระบาทบนหินก้อนหนึ่ง จากนั้นเสด็จเสวยภัตตาหารพร้อมด้วยพระอรหันต์ ๕๐๐ รูป ณ ดอยเวภารบรรพต (รังรุ้ง) อันเป็นเขตแดนรอยต่อของ ๓ อาณาจักร์ คือกรุงโกสัมพี (แสนหวี) หริภุญชัย (ไทย) และเมืองแพรหลวง (จีน) จากนั้นประทับรอยพระบาทซ้อนรอยพระบาทพระพุทธเจ้า ๓ พระองค์ (พระพุทธกกุสันธะ, พระพุทธโกนาคมนะ, พระพุทธกัสสปะ) บนหินก้อนหนึ่ง แล้วทรงทำนายว่าอีกสองพันปีรอยพระบาทจักปรากฏแ่ก่ตาคนทั้งหลาย จากนั้นพระองค์เสด็จกลับยังเชตวันมหาวิหาร เมืองสาวัตถี ความต่อไป พระสารีบุตรอัครสาวกกล่าวเรื่องเมืองแพรหลวงอันอยู่ด้านทิศเหนือกรุงโกสัมพี มีดอยลิง ๒ ดอย จะเป็นที่ประดิษฐานรอยพระพุทธบาท และพระบรมธาตุในอนาคต จากนั้นกล่าวถึงวิธีการบูชารอยพระพุทธบาทและพระบรมธาตุบนดอยกินรี และอีกที่หนึ่งเรียกว่า ผาม่อน และผาอูบธาตุ หลังจากพระพุทธองค์ปรินิพพานไปสองพันปี พรานผู้หนึ่งค้นพบรอยพระพุทธบาทบนดอยรังรุ้ง และกาลต่อมาพระเจ้ามังรายมหาราช (กษัตริย์องค์ที่ ๑ ราชวงศ์มังราย ผู้สถาปนาอาณาจักรล้านนา) พร้อมบริวารได้ทะนุบำรุงและสร้างถาวรวัตถุประกอบพระบาทรังรุ้ง (พระพุทธบาทสี่รอย อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่) เพื่อเป็นที่สักการบูชาของอนุชน ใจความตอนต่อไปกล่าวถึงพระบรมธาตุในเขตเมืองฝาง คือถ้ำดอยผาทตะลุ (ผาัตับเต่า) ที่นี่พระพุทธองค์ประทานเกศาธาตุแก่พระอานนท์พุทธอุปัฏฐากมาประดิษฐานไว้เพื่อเป็นที่สัการบูชาของคนและเทวดาตราบชั่ว ๕,๐๐๐ วัสสา จากนั้นพระพุทธเจ้าเสด็จรับภัตตาหารจากชาวละว้า ๒ คนสามีภรรยาแล้วประทับรอยพระบาทผาด่านบ้านยางควง (ตำบลรั้วหน่าง อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่) เมื่อพระองค์ปรินิพพานแล้วพระอรหันต์ ๗ องค์จะได้นำพระบรมธาตุมาบรรจุ ณ ที่นี้

    ความย่อในผูกที่ ๒

    ความกล่าวถึงพระพุทธองค์พร้อมด้วยพระอานนท์ พระอินทร์และพระยาอโศกเสด็จออกจากเมืองกุสินารา เทศนาสั่งสอนประชาชนไปถึงสถานที่หนึ่ง พระองค์ทำนายว่า ที่นี่ต่อไปพระพุทธศาสนาจะรุ่งเรืองตราบ ๕,๐๐๐ วัสสา และเมื่อถึง พ.ศ.๒๑๘ พระเจ้าอโศกมหาราชสถาปนาพระพุทธศาสนาให้รุ่งเรืองในเมืองปาฏลีบุตรแล้วเผยแพร่ไปทั่วชมพูทวีป พระองค์จะก่อพระเจดีย์บรรจุพระเกศาธาตุถึง ๕ องค์ องค์หนึ่งๆ จะจมลงไปในแผ่นดินเมื่อครบรอง ๑,๐๐๐ ปีจนถ้วน ๕,๐๐๐ วัสสา ทั้งนี้ในเขตอาณาจักรทวารวดี ความต่อไปกล่าวถึงการประดิษฐานพระเกศาบนดอยสิงกุตรในเขตเมืองหงสาวดี มีพ่อค้าสองพี่น้องคือตปุสสะและพลิกะ พระพุทธองค์ทรงประทานเกศาธาตุ ๘ องค์ เพื่อนำไปประดิษฐานเมืองอุบลนคร หรือหงสาวดี แต่ระหว่างการเดินทาง กษัตริย์แคว้นเชตุดร (อยู่ด้านทางทิศตะวันออกของอินเดีย) ขอแบ่งเอา ๒ องค์ พญานาคมาขโมยไป ๒ องค์ เหลือถึงพระยาหงสาวดี ๔ องค์ พระเกศาธาตุทำปาฏิหารย์กลายเป็น ๘ องค์ ดังเดิม จากนั้นกล่าวถึงการก่อเจดีย์ สถสูปประดิษฐาน ณ สิงกุตรบรรพตอย่างประณีตงดงามและได้ทะนุบำรุงสืบต่อมาอีก

    ความย่อในผูกที่ ๓

    กล่าวถึงพระพุทธองค์และพระอรหันต์เสด็จเข้าสู่เขตสุวรรณภูมิ สมัยอาณาจักรทวารวดีถึงเมืองเชียงของ (อำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย) ประทานพระเกศาธาตุและประทีปรอยพระบาทที่เมืองคาง (ปัจจุบันเรียกว่าบ้านกลาง) จากนั้นเสด็จเมืองเชียงตุง (เขตพม่า) ประทานเกศาธาตุและประทับรอยพระบาทที่ท่าผาคมและที่ดอยช่องหว่า หมู่บ้านจ่องบ่อง (บ้านที่มีัลักษณะเป็นช่องเป็นรู) จากนั้นเสด็จปราบบยักขเสนาที่ดอยรูปช้างหมอบ ริมฝั่งแม่น้ำมุคคนที ณ ที่นี้พระองค์ประทับรอย พระบาทซ้อนรอยพระบาทพระพุทธเจ้า ๓ พระองค์ ซึ่งต่อไปพระบาทเรียกว่าพระบาทท่าวังงาม (เขตนาคุลละ ประเทศพม่า) ดอยนั้นได้ชื่อว่า เวสาลบรรพต หรือดอยพุปูสร้าง เมืองสูง ลำดับนั้นเสด็จประทับรอยพระบาทในถ้ำแห่งหนึ่ง เขตเมืองสูงและเสด็จประทับรอยพระบาทดอยผาช่อ ดอยพูคำ (ปูคำ) เสด็จต่อไปยังดอยมหิยงค์ (เมืองยอง เขตสิบสองปันนา) ทำนายว่าต่อไปจะเป็ฯประดิษฐานพระเกศา ๔ องค์ เมื่อพระองค์ปรินิพพานแล้วจะเป็นที่ประดิษฐานพระนลาฏะาตุ ครั้นพระองค์ปรินิพพานได้ ๗๗ ปี พระยาสุรงควัติได้สร้างเจดีย์ธาตุและทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาให้เจริญรุ่งเรืองพระพุทธเจ้าปรินิพพานได้ ๒,๐๐๐ ปี บ้านเมืองเกิดยุคเข็ญ พระบรมธาตุจึงเสด็จปาฏิหาริย์และบังเกิดนักปราชญ์ท่านหนึ่งเป็นที่นับถือกราบไหว้ เมื่อนั้นบ้านเมืองจึงจะสงบสุขและรุ่งเรืองอีกครั้งหนึ่ง

    ความย่อในผูกที่ ๔

    กล่าวถึงพระพุทธองค์เสด็จเมืองฮ่อ เขตยูนาน และย้อนกลับมาเมืองลื้อ เขตสิบสองปันนา ได้ประทับรอยพระบาทที่เมืองฮ่อและเมืองแข่ (เป็นที่อยู่ของพระแข่ไตหลง หรือไทหลวง) บ้านแจ้งคำ บ้านเขียวค่ำ และเสด็จประทับรอยพระบาทขนาดย่อที่ดอยผาน้อย เมืองอาฬวี (เมืองลา) เสด็จเมืองเชียงใต้ เชียงเหนือ เสด็จต่อไปประทับรอยพระบาทที่บ้านแจ้งค่อนยาม และที่ห้วยน้ำอูน (อุ่น) ในเขตบ้านล้านองค์ และต่อไปยังบ้านแกว่น ลำดับนั้นเสด็จประทับรอยพระบาทที่เมืองลื้อหาง และเมืองลื้อ ต่อไปเมืองผาง (พ่างร้าย) เมืองคนใจหมิ่น (ใจแคบ) ต่อไปเมืองบาง เมืองแช่ทอง หมู่บ้านจอมทอง แล้วเสด็จประทับรอยพระบาทเมืองร่มฟ้าร่มอู่ เสวยภัตตาหารและประทับรอยพระบาทเมืองอู่ไต จากนั้นประทับรอยพระบาทที่เมืองน้อยอ้อยเหลืองที่ดอยผาแรม เมืองชุง

    ความย่อในผูกที่ ๕

    พระพุทธองค์เสด็จออกจากดอยผาแรม โปรดชาวเมืองแล้วประทับรอยพระบาที่เมืองซางหลวง ต่อไปประทับรอยพระบาทเมืองลา เมืองบาน บ้านลวงพันแข้ง บ่อแร่ (บ้านบ่อหลวง) บ่อเป็นล้างแต่ง เมืองลาใต้ ลาาเหนือ จากนั้นเสด็จประทับรอยพระบาทลงคิดลวงแวน ประทับรอยพระบาทเมืองเชียงแข็ง เมืองขันม่อน ( ดอยผารูปช้าง) พระบาทแห้ (แร่หินกรวด) พระบาทผานอน พระบาทท่าน้ำฑุน พระบาทผาลวงกู พระบาทปูจี่ (ดอยลำแท้) พระบาทคทิงคชี พระบาทบ้านท่อง พระบาทผาน้อย เสด็จเมืองเชียงครึ่ง ประทับรอยพระบาทผาค้ำดอยหรือพระบาทผาคำ ต่อไปที่พระบาทผาขาว

    ความย่อในผูกที่ ๖

    พระพุทธองค์เสด็จหมู่บ้านสุทธาวาส ที่นี่ไม่เหมาะกับการประดิษฐานพระเกศาธาตุ พระองค์จึงประทับรอยพระบาทบนหินก้อนน้อยไม่เต็มรอย ที่โบราณคาม เสด็จถึงดอยจอมไกล ชาวบ้านมิได้ทูลขอรอยพระบาท พระพุทธเจ้าทำนายว่า ต่อไปจะเป็ฯที่ประดิษฐานพระธาตุแล้วเสด็จประทับรอยพระบาทดอยจอมไค้ เพียงสันพระบาท ในเขตเมืองลวงใต้ ลวงเหนือ คือพระบาทฟ้าวลง ต่อมาเรียกพระบาทฟั่งลง ในเขตบ้านเชียงมุ่นแล้วเสด็จประดิษฐานพระเกศาสธาตุ ดอยปู่หลาน บ้านวังแดง และประทับรอยพระบาท ณ เมืองน้อยเมืองงาม ต่อไปเมื่อพานฝาย พระบาทกูมา เมืองพานใต้ ประทับรอยพระบาทผาดอกไม้ เมืองหน เสด็จเมืองราย ประทับรอยพบาทบนผ้าขาวให้ชาวบ้านนำไปประดิษฐานบนดอย ต่อมาได้ชื่อว่า พระบาทหินก้อน ประทับรอยพะรบาทห้วยตุมตุ๋ม และที่เมืองอองเต่า(กระดองเต่า) ต่อจากนั้นเสด็จประทับรอยพระบาท ณ เมืองเสี้ยว (เชียงคา) ต่อไปเมืองงาด ต่อไปบ้านหก บ้านเติม บ้านดอย ที่นี้ประทับรอยพระบาทบนผ้าขาว ภายหน้าจะเห็นเป็นรอยเสื้ออยู่บนพระบาท เสด็จเมืองพานประทับรอยพระบาท เสด็จเมืองขางประทับรอยพระบาทถ้ำผาแดง ซึ่งเป็นการประทับซ้อนรอยพระบาทพระุทธเจ้า ๓ พระองค์ จากนั้นสอนชาวเมืองให้รู้จักทำยนต์ผัดน้ำ (ยนต์หมุน) เข้านา ต่อไปประทับรอยพระบาทเมืองคราง อยากน้ำ พระบาทบ้านเวียง บ้านฝาง แล้วเสด็จดอยช้างสาร (ดอยรูปช้างหมอบ) ประทับสีหไสยาสน์ สยนบัลลังการ ตามพุทธประเพณีแห่งพระพุทธเจ้า ๓ พระองค์ ตราบจนึงสมัยพระอริยเมตไตรยเนื้อความต่อไปอธิบายเหตุแห่งอายุมนนุษย์ในกัปป์ต่างๆ

    ความย่อในผูกที่ ๗

    พระพุทธเจ้าเสด็จประดิษฐานพระเกศาธาตุ ณ ดอยเยืองขึ้น และเสด็จประทับรอยพระบาทยังบ้านดาวลวงที่ ๑ ต่อไปพระบาทบ้านแก้ว เสด็จปราบอาฬวกยักษ์ เมืองอาฬวี ประทับรอยพระบาทซ้อนรอยพระบาทพระพุทธเจ้า ๓ พระองค์ ที่มีในตำนานกล่าวถึงถ้ำกวางคำและเรื่องราวของอาฬวกยักษ์ซึ่งกินคนในเมืองอาฬวีจนเกือบหมด จนถึงพระยาอาฬวีต้องส่งพระราชบุตรไปให้ยักษ์กิน พระพุทธองค์ปราบพยศยักษ์ได้ ให้ยึดถึอศีล ๕ และพระรัตนตรัยเป็นที่พึี่ง ให้ส่งคืนราชบุตรแก่พระยาอาฬวี พระองค์อยู่จำพรรษา ณ อังคารเจอีย์ ดอยโลหกุตร ตามคำอาราธนาของพระยาอาฬวี พระองค์ทำนายต่อพระอานนท์ว่า ภายหลังปรินิพพานแล้ว อังคารเจดีย์จะเป็นที่ประดิษฐานกระดูกกระหม่อมของพระองค์ ส่วนเจ้าราชบุตรได้บวชและสำเร็จเป็นพระอรหันต์มีนามว่า มหาหัตถกอาฬวกเถระ พระบาทซ้อนรอย ๓ พระพุทธองค์ได้ชื่อว่า พระบาทดงนั่ง พระบาทลำน้ำทรายคำ ประทับรอยพระบาทที่หาดใหม่ ต่อไปถึงพระบาทบ้านทุ่งยาง พระบาทลวงสูงลวงต่ำ พระบาทว่าวใต้ ว่าวเหนือ เสด็จเมืองวัง ประทับรอยพระบาทห้วยพร้าว ซ้อนรอยพระบาทพระพุทธเจ้า ๓ พระองค์ ต่อไปพระบาทของดอกไม้ (พวงดอกไม้) พระบาทติงตาย พระบาทแจงแคม พระบาทเชียงผา พระบาทเมืองมาง จากนั้นโปรดเทศนาประชาชนในเขตเขมรัฐ คือเมืองเชียงตุง

    ความย่อในผูกที่ ๘

    พระพุทธองค์ออกจาเมืองเขมรัฐเข้าสู่โยนกนคร ถึงแม่น้ำพยาก เมืองเพียะ ประดิษฐานพระเกสาธาตุ ทำนายว่า ต่อไปจะมีเจดีย์ธาตุเป็นที่ประดิษฐานหัตถะาตุข้างขวา พระพุทธศาสนาจะรุ่งเรือง แล้วพระองค์เสด็จสู่ดอยโลหกุตร พระยาอโศกและพระอรหันต์ทูลขอพระเกศาธาตุบรรจุผอบทองคำซ้อนในผอบแก้วประดิษฐานไว้ในถ้ำแห่งหนึ่ง พระองค์ประทับรอยพระบาทไว้ด้วย รับสั่งว่า เมื่อพระองค์ปรินิพพานแล้วจงเอาหัตถ์ข้างซ้ายมาประดิษฐานที่นี้ จากนั้นเสด็จเข้าเมืองช้างแสน (เชียงแสน) ประทานเกศาธาตุมอบละว้าขุนแสนทองคำบรรจุผอบทองคำประดิษฐานไว้ริมฝั่งแม่น้ำกุกุฏนที (แม่น้ำกก) เมื่อพระองค์ปรินิพพานแล้วจงเอากรธาตุข้างซ้ายมาประดิษฐานไว้ จากนั้นเสด็จเมืองชีราย (เชียงราย) ปรายชีม่านร้ายแล้วประทานเกศาธาตุบรรจุผอบแก้วประดิษฐานไว้ในถ้ำแห่งหนึ่ง เมื่อพระองค์ปรินิพพานแล้วจงเอาธาตุองคุลีทั้ง ๑๐ มาประดิษฐานไว้ จากนั้นเสด็จเมืองพระยาว (พะเยา) ประทานเกศาธาตุ พระยาสุตโสมเจ้าเมืองนำมาบรรจุผอบทองคำประดิษฐานไว้ในถ้ำแห่งหนึ่ง เมื่อปรินิพพานแล้วจงนำเอาธาตุแขนข้างซ้ายมาประดิษฐานไว้ด้วย จากนั้นเสด็จเมืองลัมพาง (ลำปาง) ละว้าชื่ออ้ายคอนถวายหมากพร้าว (มะพร้าว) เสวยแล้วประทานเกศาเอาใส่ผอบทองคำประดิษฐานในหลุมลึ ก ต่อไปจะมีการสร้างเจดีย์บรรจุกัณฐธาตุ (ธาตุกระดูกคอ) เรียกว่าเจดีย์ธาตุลำปาง จากนั้นเสด็จเมืองน่าน ประทานเกศาธาตุใส่ผอบแก้วแล้วใส่ในน้ำเต้าทองคำบรรจุในเจดีย์สถูป ทรงทำนายว่า ต่อไปจะเป็นที่ประดิษฐานธาตุกระดูกข้อพระกรข้างซ้าย จากนั้นเสด็จเมืองแพร่ประทานเกศาธาตุบรรจุผอบแก้วไว้ที่ถ้ำแห่งหนึ่ง ต่อไปจะเป็นที่ประดิษฐานพระธาตุกระดูกข้อศอกซ้าย ลำดับนั้นเสด็จบ้านละว้าผู้หนึ่ง เขตแดนต่อเมืองหงสาวดี ริมฝั่งแม่น้ำปิงที่นั้นเรียก ท่าลอย ประทานเกศาธาตุบรรจุอผบทองคำขุดหลุมฝังไว้ ภายหน้าจะเป็นที่ประดิษฐานธาตุกระดูกแขนซ้าย เสด็จต่อไปท่าทราย (เขตอำเภอฮอด จังหวัดเชียงใหม่) ประทานเกศาธาตุบรรจุผอบทองคำประดิษฐานไว้ในถ้ำแห่งหนึ่ง เรียกว่า ถ้ำทรายคำ (สุวรรณคูหา) และประทับรอยพระบาทถ้ำดอกไม้ เสด็จต่อไปยังเมืองลี้ จากนั้นเสด็จไปทางป่าทิศตะวันตกเฉียงเหนือของเมืองลี้ และประทับรอยพระบาทบนหินก้อนหนึ่ง เสด็จดอยผาเรือประทับรอยพระบาทแท่นผาคำในถ้ำมีหีบพระธรรม ๗ หีบ ซึ่งพระจุนทเถระอรหันต์สาวกพระพุทธเจ้าสร้างไว้ก่อนท่านนิพพาน พระพุทธองค์ประทานเกศาธาตุแก่พระยาอโศกและเจ้าละว้าขุนแสนทอง บรรจุผอบทองคำลูกใหญ่นำไปประดิษฐานในถ้ำแห่งหนึ่ง พระพุทธเจ้าทำนายว่าที่นี้ต่อไปจะเป็นที่ประดิษฐานพระนลาฏธาตุเบื้องซ้าย และดอยนี้จะมีชื่อว่า ดอยเกิ้ง (อำเภอฮอด จังหวัดเชียงใหม่)

    ความย่อในผูกที่ ๙

    พระพุทธองค์ประทับที่ดอยเกิ้ง ๗ วัน แล้วเสด็จลงมาเลียบฝั่งแม่น้ำปิงไปทางด้านทิศเหนือ พญานาคตนหนึ่งควักดวงตาถวายบูชาพระพุทธองค์ประทับรอยพระบาทบนหินก้อนหนึ่ง ตรงที่พระองค์ประทับยืนมีชื่อเรียกว่า สังเวโสนเจดีย์ ทรงรำพึงว่าต่อไปบริเวณนั้นจะเป็นมหานครและจะเป็นที่ประดิษฐานพระบาทธาตุมากกว่าที่ใดๆ แล้วเสด็จกลับถึงบ้านกุมภเศรษฐีประทานเกศาธาตุองค์หนึ่ง พระอรหันต์และกุมภเศรษฐีนำบรรจุผอบทองคำขุดหลุมฝังไว้ ซึ่งต่อไปจะมีการสร้างเจดีย์ครอบลงไป ทำนายว่าจะเป็นที่ประดิษฐานพระธาตุกระดูกกระหม่อมข้างขวาของพระองค์ จากนั้นเสด็จบ้านทิชา ต่อไปจะมีชื่อเรียกว่ากุมกาม ประทานเกศาธาตุและพระยาอโศกกับละว้าทั้งหลายนำไปบรรจุผอบทองคำขุดหลุมฝังไว้ จากนั้นเสด็จประทับดอยคำหลวง ๑ คืน รุ่งเช้าเสด็จประทับรอยพระบาทบนหินใต้ต้นไม้ต้นหนึ่ง ทรงรำพึงในพระทัยว่าบริเวณที่นี้ต่อไปจะเป็นมหานคร คอเมืองเชียงใหม่ ภายหน้าพระพุทธศาสนาจักรุ่งเรืองจะเกิดมีมหาอาราม ๘ แห่งได้แก่ บุปผาราม (วัดสวนดอก) เวฬุวันอาราม (วัดป่าหกหรือวัดป่าไผ่ได้แก่วัดกู่เต้า) วัดบุพพาราม อโศการาม (วัดป่าแดง) พีชอาราม (วัดหลวงศรีเกิด) สังฆาราม (วัดเชียงมั่น) นันทอาราม (วัดนันทา) และโชติอาราม (วัดเจดีย์หลวง) ในแต่ละแห่งพระองค์ได้ประทานเกศาธาตุเพื่อประดิษฐานแห่งละ ๑ องค์ ส่วนบริเวณที่เป็นตัวเมืองเชียงใหม่นั้นเดิมชื่อว่า อภินวนคร เพราะพระองค์ได้ประทานเอหิภิกขุอุปสัมปทาแก่นักบวชพม่า ๒ องค์ ลำดับต่อจากนั้นพระองค์เสด็จประทับที่บ้านกุมภเศรษฐี กุมภเศรษฐีป่าวร้องละว้าชาวบ้นช่วยกันสร้างพระพุทธรูปดินเผาได้ถึง ๓,๓๐๐,๐๐๐ องค์ นำถวายพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าก็โปรดให้ขุดหลุมฝังดินทั้งหมด ทำนายว่าเมื่อพระองค์ปรินิพพานแล้ว พระพุทธรูปเหล่านั้นจะปรากฏออกมาให้เห็นเป็นที่สักการบูชาแก่คนทั้งหลาย หลังจากนั้นเสด็จประทานเกศาธาตุ ประดิษฐาน ณ ดอยนางนอน (นางน้อง) ต่อไปถึงเมืองยวม (อำเภอขุนยวม จังหวัดแม่ฮ่องสอน) ประทับพระบาทแล้วเสด็จต่อไปเมืองพระบาง (ฉบับเชียงมั่น ว่าเมืองทราย) ประทับรอยพระบาท เสด็จผ่านเมืองแปร ผ่านเมืองตะโก้ง กลับถึงเชตวันมหาวิหาร ความต่อจากนั้นกล่าวเรื่องพระพุทธองค์เมื่อพระชนมายุ ๖๐ พรรษา เสด็จเข้าเขตโยนกนคร โปรดเทศนายัขราชาที่ดอนอ่างสลง (สลุง) ในเขตเมืองเชียงดาว (อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่) ยักขราชาละพยศ สมาทานศีล ๕ พระองค์ทำนายว่า เมื่อพระพุทธศาสนาย่างเข้าเขต ๓,๐๐๐ วัสสา ยักขราชาจะบังเกิดเป็นพระยาธรรมิกราชปราบยุคเข็ญ และทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาให้รุ่งเรือง ในเมืองเชียงดาวนั้น

    ความย่อในผูกที่ ๑๐

    เนื้อเรื่องกล่าวถึงคำทำนายของพระพุทธองค์ต่อพระอินทร์ เกี่ยวกับความเจริญและความเสื่อมของพระพุทธศาสนาในช่วง ๕,๐๐๐ ปี ดังนี้

    พ.ศ.๒๑๘ พระเจ้าอโศกมหาราชจะทรงรวบรวมเอาพระธาตุแจกจ่ายไปยังบ้านน้อยเมืองใหญ่ ถึง ๘๔,๐๐๐ เมือง (พระเจ้าอโศกเป็นพระยาธรรมิกราชในระหว่าง ๑,๐๐๐ วสาแรก)

    พ.ศ. ๕๐๐ พระภิกษุณีจะหมดไปจากพระพุทธศาสนา

    พ.ศ. ๑๐๐๗ พระสงฆ์จะแตกแยกออกไปเป็น ๔ เหล่า (นิกาย)

    พ.ศ.๑๐๘๐ จะบังเกิดพระยาธรรมิกราชองค์หนึ่งมาทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา

    พ.ศ. ๑๙๐๐ จะหมดเชื้อสายพระอรหันต์

    พ.ศ. ๑๙๐๘-๑๙๑๙ จะเกิดกลียุครบราฆ่าฟันกันไปทั่วแผ่นดิน

    พ.ศ.๒๐๐๐ ผู้คนจะละเว้นการปฏิบัติตนอยู่ในศีลธรรม
    พระสงฆ์หมู่หนึ่งจะหล่อพระพุทธรูป ๕ องค์ด้วยทองเหลือง ทองคำ แก้วมณี หินและไม้จันทน์ นำไปประดิษฐานใเมืองต่างๆ ๕ เมือง และเมื่ออายุพระพุทธศาสนาล่วงเข้าเขต ๓,๐๐๐ ปี พระพุทธรูปทั้ง ๕ องค์จะมารวมกัน ณ เมืองเดียวกัน จะบังเกิดพระยาธรรมิกราชองค์หนึ่งมาทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา แต่ในช่วงนั้นพระสงฆ์อรัญวาสีจะค่อยๆ หมดไปด้วยพอใจที่จะมาอยู่วัดในเมืองคือคามวาสี มีความผิดปกติเกิดขึ้นนั่นคือ ชาวป่าชาวเขาเกิดศรัทธาใฝ่ใจทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาในขณะที่คนในเมืองอาศัยวัดวาอารามเป็นที่ทำมาหากินโดยไม่กลัวบาป สมณะชีพราหมณ์ละเลยการปฏิบัติวัตรครองธรรมอันดีงาม ความเป็นไปดังกล่าวอยู่ในช่วง พ.ศ. ๒๐๐๐ -๔๐๐๐ พระสงฆ์มากันสั่งสมสมบัติ ลาภยศ แล้วพากันลาสิกขาบทออกไปเป็นผู้ครองเรือน พระพุทธองค์ทำนายความเจริญความเสื่อมของพระพุทธศาสนาในช่วง ๕,๐๐๐ วัสสนา และเมื่อใกล้ถึง ๕,๐๐๐ ปี จะเกิดกลียุค (ไฟบรรลัยกัลป์ล้างโลก) ด้วยเทวดาอารักษ์เป็นผู้บันดาลให้เกิดขึ้น เพราะความไม่พอใจในการกระทำของหมู่มนุษย์ แต่พระพุทธเจ้าได้สั่งพระอินทร์ไว้ว่า เมื่อถึงช่วงทุกๆ พันวัสสนาให้ส่งพระยาธรรมิกราชจากสวรรค์ลงไปเกิดในโลก เพื่อพยุงพระพุทธศาสนาให้สืบต่อไปจนถึง ๕,๐๐๐ ปี เรื่องดังกล่าวพระอินทร์ได้บอกแก่อินทสมภารฤาษี ซึ่งอยู่ ณ ดอยคำหลวง เขตเมืองหริภุญชัย เพื่อนำไปประกาศให้คนทั้งหลายได้ทราบโดยทั่วกัน

    ความย่อในผูกที่ ๑๑

    ความกล่าวถึงพระพุทธองค์ประสูติ ออกบรรพชา ตรัสรู้และเทศนาโปรดปัญจวัคคีย์แล้ว กล่าวถึงวัสสาที่ ๑๗ ได้เสด็จจำพรรษา ณ เมืองอาฬวี ใกล้ดอยจอมทอง ในเขตอาณาจักรสิบสองปันนา แล้วกล่าวถึงการปรินิพพานของพระองค์ เมื่อถวายพระเพลิงพระบรมศพแล้ว ได้มีการจัดสรรปันส่วนพระบรมธาตุ กล่าวถึงพระบรมธาตุที่บ่แตกม่ม้าง (อยู่ในสภาพดี ไม่แตกไม่หัก) มี ๗ องค์ ได้แก่

    พระธาตุกระดูกกระหม่อม ๑ องค์
    พระธาตุกระดูกด้ามมีด (ไหปลาร้า) ๒ องค์
    พระธาตุทาฒ (เขี้ยว) ๔ องค์

    ส่วนพระบรมธาตุที่แตกกระจัดกระจายอยู่มี ๓ ถ้าน (ระดับ) ได้แก่

    พระธาตุขนาดใหญ่ เท่าเมล็ดถั่วค้างหักครึ่ง สีเหมือนทองคำ
    พระธาตุขนาดกลาง เท่าเมล็ดข้าวสารหักครึ่ง สีเหมือนแก้วมุกดา
    พระธาตุขนาดเล็ก เท่าเมล็ดพันธุ์ผักกาด สีขาวเหมือนปีกนกยาง


    สำหรับพระบรมธาตุทั้งหลายนี้จะมีผู้นำไปประดิษฐานไว้ในที่ต่างๆ ตามคำทำนายของพระพุทธเจ้า ดังนี้

    พระธาตุกระดูกกระหม่อม ประดิษฐานไว้ที่เมืองหริภุญชัย

    ธาตุกระดูกไหปลาร้าข้างขวา และพระเกศาธาตุบางส่วน ประดิษฐานไว้ในพรหมโลก

    ธาตุเขี้ยวซ็ายบนและเขี้ยวล่างขวา ประดิษฐาน ณ เมืองตักศิลาเมืองคันธาราษฎร์ ตามลำดับ

    ธาตุเขี้ยวบนขวาและพระเกศเหล้าจุฬามณี (ผมมุ่นเกล้า) ประดิษฐานไว้ในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์

    ธาตุเขี้ยวล่างซ้าย ประดิษฐานไว้นาคทวีป

    พระนลาฏธาตุ ประดิษฐานไว้ในประเทศลังกา

    ธาตุย่อย ประดิษฐานไว้ในเจดีย์ธาตุแห่งละ ๑ องค์ คือเมืองราชคฤห์ เมืองเวสาลี เมืองกบิลพัศดุ์ หมู่บ้านราชคาม เมืองกุสินารา และเมืองสาริกานคร

    ธาตุออกออหัว (มันสมอง) ประดิษฐาน ณ อังคารเจดีย์ เมืองอาฬวี แคว้นสิบสองปันนา

    ธาตุกกระดูกคาง ประดิษฐาน ณ เมืองสุโขทัย

    ธาตุกระดูกคอ ประดิษฐาน ไว้ในนาคทวีป

    ธรรมกรก (ที่กรองน้ำ) และผ้ากายพัน (รัดประคต) ประดิษฐานเมืองปาฏลีบุตร

    ไม้สีฟันทิพย์ ประดิษฐานเมืองมิถิลา (ตาลีฟู)

    กระบอกเข็ม ประดิษฐานเมืองวิเทหะ

    รองพระบาท ประดิษฐานเมืองเจติยนคร

    สนุกบาตร (สมุกบาตรหรือผ้าหุ้มบาตร) ประดิษฐานที่หมู่บ้านพราหมณ์ ชื่อ อุสิลคาม

    ไตรวีจร (ผ้า ๓ ผืน) ประดิษฐานที่พันธุมดี

    บาตร ประดิษฐานเมืองมวร (มธุ) นคร

    ผ้าปูนั่ง (นิสิทน) ประดิษฐานที่กุรุรัฐ (โกสัมพี)


    ความตอนต่อไปกล่าวถึงการประดิษฐานพระบรมธาตุต่างๆ ในอาณาจักรหริภุญชัย

    ๑. ธาตุย่อยกับเกศาธาตุ ไว้ดอยจอมไกล (ทุรบรรพต)
    ๒. ธาตุย่อยกับเกศาธาตุ ไว้ดอยปู่หลาน
    ๓. ธาตุกระดูกฝ่ามือขวากับพระเกศาธาตุ ไว้ดอยแจ้ขุม เมืองพยาก (อำเภอเชีียงแสน จังหวัดเชียงรายป
    ๔. ธาตุกระดูกฝ่ามือซ้ายกับพระเกศาธาตุ ไว้ดอยว่อง เมืองพาน
    ๕. ธาตุกระดูกแขนขวากับพระเกศาธาตุ ไว้ดอยจอมกิตติและดอยทองเมืองเชียงแสน
    ๖. องคุลีธาตุพระหัตถ์ซ้ายกับพระเกศาธาตุ ไว้ดอยจอมทองเมืองเชียงราย
    ๗. ธาตุกระดูกแขนซ้ายกับพระเกศาธาตุ ไว้ดอยจอมทอง เมืองพะเยา
    ๘. กัณฐธาตุกับพระเกศาธาตุ ไว้เมืองลำปาง
    ๙. ธาตุกระดูกข้อพระกรซ้ายกับพระเกศาธาตุ ไว้ภูเพียง แช่แห้งเมืองน่าน
    ๑๐. ธาตุกระดูกข้อศอกซ้ายกับพระเกศาธาตุ ไว้เมืองแพร่
    ๑๑. ธาตุข้อศอกขวากับพระเกศาธาตุ ไว้ท่าลอย
    ๑๒.ธาตุกระดูกกลางศอกทั้งสองข้างกับพระเกศาธาตุ ไว้ท่าทราย
    ๑๓. ธาตุกระดูกกระหม่อมกับพระเกศาธาตุ ไว้เมืองหริภุญชัย
    ๑๔. ธาตุกระดูกคางขวากับพระเกศาธาตุ ไว้กู่คำ (เวียงกุมกาม)
    ๑๕. ธาตุกระดูกคางซ้ายกับพระเกศาธาตุ ไว้วัดเจดีย์หลวง เมืองเชียงใหม่

    พระเกศาธาตุแห่งละ ๑ องค์ไว้ ณ สถานที่ดังต่อไปนี้

    ๑. วัดพระสิงห์ เมืองเชียงใหม่
    ๒. วัดหลวงศรีเกิด เมืองเชียงใหม่
    ๓. วัดกู่เต้า เมืองเชียงใหม่
    ๔. วัดนันทาราม ประตูเชียงใหม่ เมืองเชียงใหม่
    ๕. วัดเชียงมั่น เมืองเชียงใหม่
    ๖. วัดสวนดอก เมืองเชียงใหม่
    ๗. วัดดอยนางน้อง (ดอยนางนอน) เมืองติง
    ๘. ดอยนางพี่ (ภีก) เมืองเมย

    พระนลาฎธาตุด้านซ้ายและเกศาธาตุ ไว้กับหีบพระธรรม ๗ หีบของพระจันทรเถระ ณ ดองเกิ้ง (คำ) เมืองหอด (ฮอด)

    ความตอนต่อไปกล่าวถึงการทำสังคายนาครั้งต่างๆ จนถึงครั้งที่ ๓ พ.ศ. ๒๑๘ มีพระมหาโมคคัลลีบุตรเถระเป็นประธาน พระเจ้าอโศกมหาราชให้ค้นหาอุโมงค์บรรจุพระบรมธาตุสมัยพระเจ้าอชาติศัตรู เมืองราชคฤห์ พบแล้วนำมาบรรจุผอบแจกจ่ายไปตามบ้านเล็กเมืองน้อยถึง ๘๔,๐๐๐ เมือง คือในประเทศอินเดียและภายนอก ได้แก่ ลงกา พม่า จีนและไทยเป็นต้น ความต่อจากนั้นเป็ฯเรื่อง พระเจ้ามังรายมหาราชยึดเมืองหริภุญชัยได้ ต่อมามีการสร้างเมืองเชียงใหม่และทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาให้รุ่งเรือง จนถึงสมัยพระเจ้ากือนา ซึ่งกิจการพระพุทธศาสนาเจริญมากและค่อยเสื่อมลง โดยเฉพาะหลังจากพระไชยเชษฐาธิราช กษัตริย์ล้านช้างมาครองเมืองเชียงใหม่แล้วเสด็จกลับไปเลย หลังจากนั้นเกิดศึกสงครามจนบ้านเมืองเสียแก่พม่าข้าศึก

    ความตอนต่อไปเป็นตอนสำคัญเกี่ยวกับเรื่องพระเจ้าเลียบโลก คือบอกความเป็นมาของพระบาทและพระบรมธาตุ ซึ่งมีข้อความปรากฏบนแผ่นหินในลังกาทวีป จนถึงสมัยพระเจ้าอนุรุทธมหาราช เมืองหงสาวดีอาณาจักรพม่า ได้ส่งพระสงฆ์ออกไปสืบพระพุทธศาสนาในที่ต่างๆ ร้อยเอ็ดหัวเมือง โดยเฉพาะการส่งพระธรรมรโสไปลังกา ท่านได้ไปคัดลอกตำนานพระบาทและพระบรมธาตุจากสมเด็จพระสังฆราชวัดรพะหิน (มหาเศลอาราม) ซึ่งมีรายละเอียดว่า พระบรมธาตุในอาณาจักรหงสาวดีมีถึง๕๒ แห่ง อาณาจักรหริภุญชัยมี ๒๓ แห่ง รอยพระบาทมี ๑๒ แห่ง พระบาทและพระบรมธาตุในเมืองลื้อเมืองไทยมีถึง ๗๐ แห่ง ครั้นเมื่อพระธรรมรโสเดินทางกลับ และแจ้งเรื่องราวแก่พระเจ้าอนุรุทธมหาราชแล้ว ท่านก็ออกเดินทางจาริกแสวงบุญไปบูชาสถานที่เหล่านั้น จนกระทั่งมาถึงดอยเกิ้ง เขตเมืองหอด (ฮอด) พระมหาโพธิสมภาร ลูกชาวบ้านนาวการคาม (บ้านชาวเรือ) อยู่วัดตีนดอยเกิ้ง ได้พบท่านและขอจารคัดลอกตำนานดังกล่าวไว้ เมื่อปี จ.ศ.๘๘๕ (พ.ศ.๒๐๖๖) และหลังจากนั้นก็ได้มีการจารคัดลอกตำนานกันต่อๆ มาหลายชั่วอายุคน

    ความย่อในผูกที่ ๑๒ เป็นการกล่าวสรุปเรื่องราวในผูกที่ ๑-๑๑

    https://palungjit.org/threads/๒-พุทธตำนาน-พระเจ้าเลียบโลก.263575/
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  5. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    223,130
    ค่าพลัง:
    +97,152
    ส่วนบทความเกี่ยวกับมโนยิทธิผมไม่เคยฝึกน่ะครับ วิธีฝึกก็แสนง่าย เดินตามทาง พระจูฬปันถกเถระ เอตทัคคะในทางผู้ชำนาญในมโนมยิทธิ ก็พอครับ "พระพุทธเจ้าได้ประทานผ้าเช็ดพระบาทสีขาวบริสุทธิ์ให้ท่านพร้อมกับสั่งให้ท่านลูบผ้านั้นไปเรื่อย ๆ พร้อมกับภาวนาว่า รโชหรณํ ๆ (แปลว่า ผ้าสำหรับเช็ดฝุ่น) ท่านลูบผ้าได้ไม่นาน ผ้าขาวนั้นก็หมองคล้ำลง ท่านจึงสติคิดได้ว่า "ผ้านี้แต่ก่อนก็ขาวบริสุทธิ์ แต่พอถูกลูบบ่อย ๆ ก็กลับดำ สรรพสิ่งมันช่างไม่ยั่งยืน" แล้วท่านจึงได้เจริญวิปัสสนากรรมฐานยกผ้าผืนนั้นขึ้นเปรียบเทียบกับอัตตภาพร่างกายเป็นอารมณ์ จนได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ปฏิสัมภิทาในวันนั้นเอง แต่บางตำนานกล่าวว่าพระพุทธเจ้าเล่าเรื่อง จูฬเศรษฐีชาดกให้พระจูฬปันถกเถระฟัง"

    พระจูฬปันถกเถระ

    พระจูฬปันถก หรือ พระจูฬปันถกเถระ, พระจุลลปันถกะ เป็นชาวเมืองราชคฤห์ แคว้นมคธ เป็น 1 ในพระอสีติมหาสาวก ของพระพุทธเจ้า

    พระจูฬปันถก เป็นน้องชายของพระมหาปันถก ท่านบวชตามการสนับสนุนของพี่ชาย เมื่อแรกบวชท่านเป็นคนมีปัญญาทึบมาก ไม่สามารถท่องมนต์หรือเข้าใจอะไรได้เลย จึงทำให้ท่านถูกพระพี่ชายของท่านขับไล่ออกจากสำนัก เมื่อพระพุทธเจ้าทราบความจึงได้ให้ประทานผ้าเช็ดพระบาทสีขาวบริสุทธิ์ให้ท่านไปลูบ จนในที่สุดท่านพิจารณาเห็นว่าผ้าขาวเมื่อถูกลูบมีสีคล้ำลง จึงนำมาเปรียบกับชีวิตของคนเราที่ไม่มีความยั่งยืน ท่านจึงได้เจริญวิปัสสนาและบรรลุเป็นพระอรหันต์เพราะสิ่งที่ท่านพบจากการลูบผ้าขาวนั่นเอง

    เมื่อท่านบรรลุพระอรหันต์ ท่านได้ปฏิสัมภิทาญาณชำนาญในการใช้มโนมยิทธิ ท่านจึงได้รับการยกย่องจากพระพุทธเจ้าให้เป็นผู้เป็นเอตทัคคะในด้านชำนาญในมโนมยิทธิ[1]

    พระจูฬปันถก เป็นตัวอย่างสำคัญที่แสดงให้เห็นว่า ปัญญาในการตรัสรู้ไม่เกี่ยวกับปัญญาในการจำเรียนรู้ทั่วไป (สัญญา) ปัญญาในการตรัสรู้คือภาวนามยปัญญา กล่าวคือความสามารถที่จะใช้ปัญญาแยบคายที่เกิดจากใช้ปัญญาภายในพิจารณารู้เห็นตามความเป็นจริงของโลกได้ด้วยตนเอง การท่องจำหรือเรียนหนังสือไม่เก่งจึงไม่ใช่อุปสรรคในการตรัสรู้ธรรม

    ประวัติ[แก้]
    ออกบวชเพราะพี่ชาย[แก้]
    พระจูฬปันถกะ เป็นน้องชายร่วมมารดาบิดาเดียวกันกับพระมหาปันถกเถระผู้สำเร็จเป็นพระอรหันต์ไปก่อนหน้า พระจูฬปันถกได้เห็นพี่ชายมีแต่ผู้คนเคารพกราบไหว้ ดูแล้วอยากเป็นบ้าง จึงถามพี่ชายทำอย่างไรถึงมีผู้คนเคารพกราบไหว้ แล้วน้องจะเป็นได้ไหม พี่ชายจึงให้ออกบวช จากนั้นพี่ชายก็ขออนุญาตจากธนเศรษฐีผู้เป็นคุณตา ซึ่งก็ได้รับอนุญาตด้วยความเต็มใจอย่างยิ่ง เพราะคุณตาก็เป็นผู้มีศรัทธาในพระพุทธศาสนาเป็นอย่างมากอยู่แล้ว

    ถูกไล่สึกโดยพี่ชาย[แก้]
    เมื่อท่านออกบวชพระพี่ชายของท่านได้สอนให้ท่องคาถาบทหนึ่งคือ

    ปทุมํ ยถา โกกนุทํ สุคนฺธํ ปาโต สิยา ผุลฺลมวีตคนฺธํ องฺคีรสํ ปสฺส วิโรจมานํ ตปนุตมาทิจฺจมิวนฺตลฺเข ฯ

    คำแปล: ดอกปทุมชาติที่ชื่อว่าโกกนุท ขยายกลีบแย้มบานตั้งแต่เวลารุ่งอรุณยามเช้า กลิ่นเกษร หอมระเหยไม่รู้จบเธอจงพินิจดูพระสักยมุนีอังคีรส ผู้มีพระรัศมีแผ่ไพโรจน์อยู่ ดุจดวงทิวากร ส่องสว่างอยู่กลางนภากาศ ฉะนั้น

    ปรากฏว่าเวลาผ่านไปถึง 4 เดือน ท่านก็ไม่สามารถท่องคาถาดังกล่าวที่มีเพียง 4 บรรทัดได้ [2] เพราะท่านเป็นคนปัญญาทึบมาก (ท่านกล่าวถึงตนเองเมื่อภายหลังว่า "เมื่อก่อน ญาณคติเกิดแก่เราช้า") จากการผลของกรรมที่ท่านทำไว้ในอดีต ท่านจึงถูกพระพี่ชายของท่านไล่ออกจากสำนัก

    พระพุทธเจ้าโปรดพระจูฬปันถก-บรรลุอรหันต์[แก้]
    หลังจากท่านถูกพี่ชายไล่สึก ท่านมีความน้อยเนื้อต่ำใจมาก เพราะยังมีความอาลัยในผ้าเหลือง จึงไม่ยอมรับแม้กิจนิมนต์ที่หมอชีวกโกมารภัจจ์นิมนต์พระ 500 รูป เพื่อรับฉันภัตตาหารในวันรุ่งขึ้น ท่านได้ไปยืนร้องไห้อยู่ที่ใกล้ซุ้มประตูวัดชีวกัมพวัน พอดีกับพระพุทธเจ้าเสด็จผ่านมาเห็น จึงทรงเข้าไปถาม เมื่อทรงทราบความจึงได้ตรัสว่า "ท่านบวชพระเพื่ออุทิศพระพี่ชายที่ไหน ท่านบวชเพื่ออุทิศให้เราต่างหาก ท่านมาอยู่กับเราดีกว่า" จากนั้นทรงลูบศีรษะและจับแขนพากลับเข้าวัดไปที่หน้าพระคันธกุฏี จากนั้นพระพุทธเจ้าได้ประทานผ้าเช็ดพระบาทสีขาวบริสุทธิ์ให้ท่านพร้อมกับสั่งให้ท่านลูบผ้านั้นไปเรื่อย ๆ พร้อมกับภาวนาว่า รโชหรณํ ๆ (แปลว่า ผ้าสำหรับเช็ดฝุ่น) ท่านลูบผ้าได้ไม่นาน ผ้าขาวนั้นก็หมองคล้ำลง ท่านจึงสติคิดได้ว่า "ผ้านี้แต่ก่อนก็ขาวบริสุทธิ์ แต่พอถูกลูบบ่อย ๆ ก็กลับดำ สรรพสิ่งมันช่างไม่ยั่งยืน" แล้วท่านจึงได้เจริญวิปัสสนากรรมฐานยกผ้าผืนนั้นขึ้นเปรียบเทียบกับอัตตภาพร่างกายเป็นอารมณ์ จนได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ปฏิสัมภิทาในวันนั้นเอง แต่บางตำนานกล่าวว่าพระพุทธเจ้าเล่าเรื่อง จูฬเศรษฐีชาดกให้พระจูฬปันถกเถระฟัง

    แสดงฤทธิ์-ได้รับยกย่องเป็นเอตทัคคะ[แก้]

    เช้าวันต่อมาพระภิกษุ 599 รูป พร้อมทั้งพระพุทธองค์เสด็จไปรับภัตตาหารที่บ้านหมอชีวกโกมารภัจจ์ พอหมอชีวกนำภัตเข้ามาถวายพระพุทธองค์ พระพุทธองค์ทรงปิดบาตรและตรัสว่า "ยังเหลืออีกรูปหนึ่งในวัด" หมอชีวกจึงใช้ให้คนไปนิมนต์ ปรากฏว่าคนนิมนต์เข้าไปวัดเห็นแต่พระสงฆ์นับพันที่พระจูฬปันถกเนรมิตด้วยฤทธิ์มโนมยิทธิขึ้นมา จึงกลับมา พระพุทธองค์จึงให้คนนิมนต์กลับไปบอกพระเหล่านั้นอีกว่า พระพุทธองค์เรียกพระจูฬปันถก เมื่อคนนิมนต์ไปที่วัดและเรียกเช่นนั้น ปรากฏว่าพระทุกรูปตอบว่าตนคือจูฬปันถกหมด คนนิมนต์จึงกลับมาอีก คราวนี้พระพุทธเจ้าจึงตรัสให้คอยสังเกตว่ารูปไหนพูดก่อน ให้คว้ามือรูปนั้นไว้ ปรากฏว่าคนนิมนต์กลับไปทำเช่นนั้น พอจับมือพระจูฬปันถกตัวจริง พระที่ถูกเนรมิตรก็หายไปหมด จึงเป็นที่รู้กันว่าพระจูฬปันถกได้กลายเป็นพระอรหันต์ผู้ทรงอภิญญาในครั้งนั้นเอง

    ในวันนั้น พระพุทธองค์จึงทรงให้พระจูฬปันถกทำอนุโมทนาแก่หมอชีวก และด้วยเหตุดังกล่าวพระพุทธเจ้าจึงยกย่องให้พระจูฬปันถกเป็นเอตทัคคะในด้าน ผู้ชำนาญในมโนมยิทธิ [3]

    ท่านดำรงสังขารอยู่พอสมควรแก่กาลก็ได้ดับขันธปรินิพพาน

    บุรพกรรม[แก้]

    พระจูฬปันถก ตั้งจิตปรารถนาไว้ตั้งแต่ครั้งพระพุทธเจ้าปทุมุตตระ ครั้งนั้นท่านเกิดเป็นน้องชายของกุฎุมพี ชาวเมืองหงสวดี (คือพระมหาปันถกในชาติปัจจุบัน) วันหนึ่งได้เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าพร้อมกับพี่ชายและพวกชาวเมืองเพื่อฟังธรรม เห็นพระพุทธเจ้าทรงตั้งพระสาวกรูปหนึ่งไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะด้านชำนาญในเจโตวิมุติ และด้านชำนาญในมโนมยิทธิ (การใช้ฤทธิ์ทางใจ) แล้วปรารถนาจะได้เป็นเช่นพระสาวกรูปนั้นบ้าง

    ท่านแสดงศรัทธาให้ปรากฏ ด้วยการถวายมหาทานแด่พระพุทธเจ้าและพระสาวกติดต่อกัน 7 วัน วันสุดท้ายได้กราบทูลพระพุทธเจ้าให้ทรงทราบถึงความปรารถนาของท่าน และได้รับพุทธพยากรณ์ว่าจักได้ออกบวชเป็นสาวกของพระพุทธเจ้าโคดมในอีก 100,000 กัปข้างหน้า จักได้บรรลุอรหัตผล พระพุทธเจ้าโคดมจักตั้งท่านไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะด้านชำนาญในเจโตวิมุติ และชำนาญในมโนมยิทธิ

    เมื่อท่านได้ฟังพระพุทธเจ้าตรัสพยากรณ์แล้วเกิดปีติโสมนัสเป็นอย่างยิ่ง ได้ทำบุญอื่นๆ สนับสนุนอย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต จากชาตินั้นบุญส่งผลให้เวียนว่ายตายเกิดในภพภูมิต่างๆ จนมาถึงพุทธุปบาทกาลของพระพุทธเจ้ากัสสปะ ในชาติที่พบพระพุทธเจ้ากัสสปะนั้น ท่านออกบวชเป็นสาวกของพระองค์ มีสติปัญญาดีมาก ทรงจำพระพุทธพจน์ไว้ได้มากและแม่นยำ คราวหนึ่งได้ฟังพระปัญญาทึบรูปหนึ่งสาธยายพระพุทธพจน์ผิดๆ ถูกๆ แล้วหัวเราะเยาะ จนพระรูปนั้นอายเลิกท่องจำพระพุทธพจน์อีกต่อไป จากชาตินั้นท่านเวียน ว่ายตายเกิดในภพภูมิต่างๆ[4]

    จนมาถึงสมัยของพระพุทธเจ้าพระองค์ปัจจุบัน ท่านเกิดมาเป็นน้องชายของพระมหาปันถก ตอนบวชใหม่ๆ บาป กรรมที่เคยหัวเราะเยาะพระปัญญาทึบตามมาให้ผล โดยทำให้ท่านไม่ได้กัลยาณมิตรแนะนำการปฏิบัติธรรม จึงไม่สามารถท่องจำคาถาแม้เพียงบทเดียวได้ จนถูกพระมหาปันถกขับไล่ให้สึก แต่ต่อมาพระพุทธเจ้าทรงแนะนำให้เจริญกรรมฐาน จึงได้บรรลุอรหัตผล อาศัยเหตุที่ตั้งจิตปรารถนา มาแต่อดีตชาติ ประกอบกับเหตุการณ์ในปัจจุบันชาติ ที่เมื่อบรรลุอรหัตผลแล้วมีความชำนาญในการเข้าสมาธิ และชำนาญในการใช้ฤทธิ์ทางใจเนรมิตร่างกายท่านได้ตั้ง 1,000 ร่างในขณะจิตเดียว พระพุทธเจ้าจึงทรงตั้งท่านไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะด้านชำนาญในการเข้าสมาธิ (เจโตวิมุติ) และชำนาญในการใช้มโนมยิทธิ[5]

    อ้างอิง[แก้]
    1. กระโดดขึ้น↑ พระไตรปิฎก เล่มที่ ๗ พระวินัยปิฎก เล่มที่ ๗ จุลวรรค ภาค ๒ อนาถบิณฑิกคหบดีสร้างพระเชตวัน. พระไตรปิฏกฉบับสยามรัฐ. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก [1]. เข้าถึงเมื่อ 5-6-52
    2. กระโดดขึ้น↑ พระจูฬปันถกเถระ-เอตทัคคะในทางผู้ชำนาญในมโนมยิทธิ. เว็บไซต์พระธรรมขันธ์ พระไตรปิฏกออนไลน์. เข้าถึงเมื่อ 5-6-52
    3. กระโดดขึ้น↑ พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๐ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๒ เอกบุคคลบาลี. พระไตรปิฏกฉบับสยามรัฐ. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก [2]. เข้าถึงเมื่อ 5-6-52
    4. กระโดดขึ้น↑ หนังสือพิมพ์ธรรมลีลา ฉบับที่ 72 พ.ย. 49 โดย ผศ.ร.ท.ดร.บรรจบ บรรณรุจิ. ผู้จัดการออนไลน์. เข้าถึงเมื่อ 5-6-52
    5. กระโดดขึ้น↑ พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๐ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๒ เอกบุคคลบาลี. พระไตรปิฏกฉบับสยามรัฐ. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก [3]. เข้าถึงเมื่อ 5-6-52
    แหล่งข้อมูลอื่น[แก้]
    https://th.wikipedia.org/wiki/พระจูฬปันถกเถระ
    --------------------------------------------------------------------------------------------------------
    เรื่องพระจูฬปันถกเถระ [๑๗]
    ข้อความเบื้องต้น
    พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเวฬุวัน ทรงปรารภพระเถระชื่อว่าจูฬปันถก ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า “อุฏฺฐาเนนปฺปมาเทน” เป็นต้น.

    พระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้มีปัญญา ได้ทำการหัวเราะเยาะ ในเวลาที่ภิกษุเขลารูปใดรูปหนึ่ง เรียนอุเทศ, ภิกษุนั้นละอายเพราะการหัวเราะนั้น เลยเลิกเรียนอุเทศ ไม่ทำการสาธยาย.

    เพราะกรรมนั้น จูฬปันถกนี้พอบวชแล้ว จึงเป็นคนโง่, บทที่เรียนแล้วๆ เมื่อเธอเรียนบทต่อๆ ไป ก็เลือนหายไป. เมื่อเธอพยายามเพื่อเรียนคาถานี้แล. สี่เดือนล่วงไปแล้ว.

    จูฬเสฏฐิชาดก๑- แล้ว ตรัสคาถาว่า
    “ผู้มีปรีชาเห็นประจักษ์ ย่อมตั้งตนได้ด้วย
    ทุนทรัพย์แม้น้อย เหมือนคนก่อไฟกองน้อยให้ลุก
    เป็นกองใหญ่ได้ฉะนั้น.”
    ____________________________
    ๑- ขุ. ชา. เล่ม ๒๗/ข้อ ๔. อรรถกถา ขุ. ชา. เล่ม ๒๗/ข้อ ๔ จุลลกเสฏฐีชาดก.

    แล้วตรัสว่า “ภิกษุทั้งหลาย เราเป็นที่พึ่งพำนักของจูฬปันถกนี้ เฉพาะแต่ในบัดนี้หามิได้. ถึงในกาลก่อน ก็ได้เป็นที่พึ่งพำนักแล้วเหมือนกัน; แต่ว่า ในกาลก่อน เราได้ทำจูฬปันถกนี้ให้เป็นเจ้าของโลกิยทรัพย์, บัดนี้ ทำให้เป็นเจ้าของโลกุตรทรัพย์” ดังนี้แล้ว

    ทรงประชุมชาดกว่า

    “จูฬกันเตวาสิก แม้ในครั้งนั้น ได้เป็นจูฬปันถก (ในบัดนี้),
    ส่วนจูฬกเศรษฐีผู้ฉลาดเฉียบแหลม เข้าใจพยากรณ์ นักษัตร (ในครั้งนั้น) คือเรานั่นเอง.”

    พวกภิกษุชมพระจูฬปันถก

    อีกวันหนึ่ง ภิกษุทั้งหลายสนทนากันในธรรมสภาว่า “ผู้มีอายุพระจูฬปันถก แม้ไม่สามารถจะเรียนคาถา ๔ บท โดย ๔ เดือนได้ ก็ไม่สละความเพียร ตั้งอยู่ในอรหัตแล้ว, บัดนี้ ได้เป็นเจ้าของทรัพย์คือโลกุตรธรรมแล้ว.”
    พระศาสดาสอนให้ทำที่พึ่งด้วยธรรม ๔ ประการ
    พระศาสดาเสด็จมาตรัสถามว่า “ภิกษุทั้งหลาย บัดนี้พวกเธอนั่งประชุมกันด้วยเรื่องอะไรหนอ?” เมื่อภิกษุเหล่านั้นกราบทูลว่า “ด้วยเรื่องชื่อนี้ (พระเจ้าข้า)”, จึงตรัสว่า “ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในศาสนาของเรา ปรารภความเพียรแล้ว ย่อมเป็นเจ้าของแห่งโลกุตรธรรมได้เที่ยว”
    ดังนี้แล้ว ตรัสคาถานี้ว่า
    ๓. อุฏฺฐาเนนปฺปมาเทน สญฺญเมน ทเมน จ
    ทีปํ กยิราถ เมธาวี ยํ โอโฆ นาภิกีรติ.
    ผู้มีปัญญา พึงทำเกาะ (ที่พึ่ง) ที่ห้วงน้ำท่วมทับไม่ได้
    ด้วยความหมั่น ด้วยความไม่ประมาท ด้วยความระวัง
    และด้วยความฝึก.

    แก้อรรถ
    บรรดาบทเหล่านั้น สองบทว่า ทีปํ กยิราถ ความว่า ผู้มีปัญญาประกอบพร้อมแล้วด้วยปัญญาอันรุ่งเรืองในธรรม พึงทำ คือพึงกระทำ ได้แก่อาจทำเกาะ คืออรหัตผล อันเป็นที่พึ่งพำนักของตนในสาคร คือสงสารอันลึกยิ่ง โดยความเป็นที่พึ่งอันได้ยากยิ่งนี้ ด้วยธรรมอันเป็นเหตุ ๔ ประการเหล่านี้ คือ
    ด้วยความหมั่น กล่าวคือความเพียร ๑
    ด้วยความไม่ประมาท กล่าวคือการไม่อยู่ปราศจากสติ ๑
    ด้วยความระวัง กล่าวคือปาริสุทธิศีลสี่ ๑
    ด้วยความฝึกอินทรีย์ ๑.
    ถามว่า “พึงทำเกาะเช่นไร?”
    แก้ว่า “พึงทำเกาะที่ห้วงน้ำท่วมทับไม่ได้.” อธิบายว่า พึงทำเกาะที่ห้วงน้ำ คือกิเลสทั้ง ๔ อย่าง ไม่สามารถจะท่วมทับ คือกำจัดได้, แท้จริง พระอรหัต อันโอฆะไม่สามารถนจะท่วมทับได้เลย.
    ในเวลาจบคาถา ชนเป็นอันมากได้เป็นพระอริยบุคคล มีพระโสดาบันเป็นต้นแล้ว.
    เทศนามีประโยชน์แก่บริษัทผู้ประชุมกันแล้วดังนี้แล.
    เรื่องพระจูฬปันถกเถระ จบ.

    http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=25&i=12&p=3
     
  6. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    223,130
    ค่าพลัง:
    +97,152
    เม็กซิโก: การเตือนภัยเนื่องจากความผิดทางธรณีวิทยาในXalpatláhuac; แผ่นดินโลกเปิดออก
    17 ตุลาคม 2018

    บ้านอย่างน้อย 50 หลัง และวิทยาเขตของ Colegio de Bachilleres ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงจากความผิดปรกติทางธรณีวิทยาที่เกิดขึ้นหลังจากการเกิดแผ่นดินไหว เมื่อเดือนกันยายนปีที่ผ่านมา ซึ่งได้บังคับให้ย้ายที่อยู่อาศัยของบ้าน และนักเรียนเหล่านี้

    ความผิดปรกตืทางธรณีวิทยานี้ เกิดอยู่บนเนินเขาที่ย่าน Tlacomulco ตั้งอยู่ และมีวิทยาเขต 38 แห่ง Colegio de Bachilleres ในXalpatláhuac ซึ่งตามความเห็นของการคุ้มครองทางแพ่งมีความเสี่ยงที่จะเกิดแผ่นดินถล่ม

    หลังจากเกิดแผ่นดินไหวในเดือนกันยายนปี 2017 ในเขตเทศบาลแห่งนี้มีรอยแตกที่บ้านและสิ่งอำนวยความสะดวกของ Bachilleres ซึ่งเริ่มเห็นได้ชัดเจน ในเดือนพฤศจิกายนของปีเดียวกันนั้น และด้วยเหตุผลดังกล่าว ของเทศบาลและรัฐ

    ดังนั้นจึงจำเป็นต้องย้ายที่ทำการกลุ่ม Colegio de Bachilleres ชั่วคราว ในหอประชุมแห่งชาติซึ่งมีห้องเรียนไม้ชั่วคราว และผู้อยู่อาศัยในละแวกนั้น ได้รับแจ้งว่าพวกเขาต้องออกจากบ้านเนื่องจากความเสี่ยงที่พวกเขาจะได้รับผลกระทบรุนแรงต่อโครงสร้างอันเป็นผลมาจากรอยร้าวที่มีขนาดใหญ่ขึ้นในบริเวณดังกล่าว

    วันอังคารนี้นายกเทศมนตรีเมือง La Montaña, Rosendo Larios Rosas กล่าวว่าข้อผิดปรกติทางธรณีวิทยานี้เกิดขึ้นหลังจากเกิดแผ่นดินไหวเมื่อปีที่แล้ว และเขาได้ร้องขอการแทรกแซงของ Civil Protection ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ทำการประเมินความเสี่ยง และกำหนดให้ทันที ย้ายโรงเรียนและที่อยู่อาศัย

    นายกเทศมนตรี PRI กล่าวว่า "รอยร้าวเริ่มแผ่กระจายออกไปอย่างค่อยๆ เริ่มมีในโครงสร้างและบ้านที่ตั้งอยู่ในย่าน Tlacomulco"

    เขายอมรับว่าตามความเห็นของการคุ้มครองทางแพ่งของรัฐ เนื่องจากความผิดปรกติทางธรณีวิทยานี้ เนินเขาที่ตั้งอยู่เหนือพื้นที่ใกล้เคียงและสิ่งอำนวยความสะดวกทางการศึกษา 'มีความเสี่ยงที่จะเกิดแผ่นดินถล่มในปริมาณมากนั่นคือเหตุผลที่เรามี ถามครอบครัวที่ออกจากบ้านของพวกเขา เราได้แจ้งให้ทราบถึงความเสี่ยงแล้ว และเราจะพยายามช่วยพวกเขาให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ "

    ในกรณีของ Colegio de Bachilleres เขาชี้ให้เห็นว่ามีห้องโถง ห้องทดลอง ห้องคอมพิวเตอร์สำนักงานของผู้บริหารโรงเรียน และศาลมุงหลังคาได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง และไม่สามารถฟื้นฟูได้: ห้องพักไม่สามารถพักฟื้นได้ แทรกแท่งเชื่อมได้ถึง 50 เมตรในรอยแตกและไม่ได้สัมผัสด้านล่าง

     
  7. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    223,130
    ค่าพลัง:
    +97,152
    ไม่มีอาหาร ไม่มี FEMA: ผู้รอดชีวิตจากพายุเฮอริเคนไมเคิลกำลังโกรธ | โดย
    The Daily Beast 10/14/2018
    40138722_687880281569224_8833882060033622016_o - Copy.jpg
    ภาพ เม็กซิโกบีช ฟลอริด้า ถูกทำลายโดยพายุเฮอริเคนไมเคิล

    อเมริกาไม่สามารถตอบสนองต่อภัยธรรมชาติได้ ไมเคิลเป็นพายุที่คาดการณ์ไว้ เรารู้ว่าการทำลายล้างของไมเคิลจะเกิดขึ้น อย่างไรก็ตามเราไม่ได้เตรียมพร้อม อีกครั้งหนึ่งความอ่อนแอของอเมริกาถูกเปิดเผย:

    ชาวอเมริกันไม่สามารถตอบสนองต่อภัยพิบัติทางธรรมชาติได้อย่างรวดเร็ว และเพียงพอ

    ตั้งแต่เกิดพายุไม่มีไฟฟ้า และไม่มีน้ำในเมืองปานามาซิตี้ การบรรเทาภัยพิบัติในภาวะฉุกเฉินเกิดขึ้น เมื่อเช้าวันเสาร์ และชาวบ้านต่างรู้สึกหงุดหงิดและหมดหวังมากขึ้น

    Chantelle Goolspy นั่งอยู่ในรถของเธอ โทรศัพท์ติดต่อขอความช่วยเหลือ Goolspy และเพื่อนบ้านหลายคนของเธอ อาศัยอยู่ในบริเวณที่อยู่อาศัยของรัฐในเมืองปานามาซิตี้ ซึ่งเสียใจอย่างมาก

    "เราต้องการอาหาร น้ำ อะไร เราไม่ได้รับความช่วยเหลือใด ๆ ทั้งถนน ต้องการความช่วยเหลือ "Goolspy กล่าวกับกาชาด FEMA เรียกฉันมาหาคุณ คนบอกให้ฉันโทร 211 "

    ไปตามถนน Barbara Sanders ยืนอยู่นอกหน่วยลูกสาวของเธอ

    "เราไม่ได้รับความช่วยเหลือใด ๆ " เธอกล่าว "เราต้องการอาหาร มันบ้า "

    แซนเดอร์ กล่าวว่าไม่ได้มีหน่วยงานบรรเทาทุกข์ เพียงแห่งเดียวมาตรวจสอบ เฉพาะตำรวจมาและบอกทุกคนให้ออกไป แซนเดอร์กล่าวว่า "พวกเขาบอกเราว่า ไม่มีอะไรที่พวกเขาสามารถทำได้ และมันต้องใช้เวลาอีกนานในการสร้าง"

    https://www.onepolitics.com/onepoli...ichaels-survivors-are-furious-the-daily-beast
     
  8. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    223,130
    ค่าพลัง:
    +97,152
    อีจัน



    ชาวสวนร้องปาล์มราคาตก #เผาปาล์มประชด หน้าศาลากลางจังหวัด ยื่นข้อเสนอถึงนายกฯ

    วันนี้ 17 ต.ค. 2561 เวลา 15.30 น. กลุ่มเกษตรกรชาวสวนปาล์ม 7 จังหวัด รวมตัวเรียกร้อง พร้อมยื่นข้อเสนอ 6 ข้อเกี่ยวกับปาล์มน้ำมัน ให้กับผู้ว่าราชการจังหวัดกระบี่ เพื่อส่งถึง พลเอก ประยุทธ์ จันโอชา นายกรัฐมนตรี

    1.ให้มีการดำเนินการตามมติการประชุมของคณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติเมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม 2561
    2.ให้มีการใช้น้ำมันปาล์มในการผลิตไฟฟ้าที่โรงไฟฟ้ากระบี่ ให้มีการผลิตและเพิ่มการใช้ไบโอดีเซลบี 10 บี 20 และบี 100 3.ให้เป็นพลังงานทางเลือกสำหรับประชาชน เพื่อรักษาเสถียรภาพปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์มทั้งระบบอย่างยั่งยืนของประเทศไทย
    4.ให้มีการรับซื้อผลปาล์มน้ำมันดิบที่มีคุณภาพตามเกณฑ์มาตราฐาน เปอร์เซ็นต์น้ำมัน 18 ไม่ต่ำกว่ากิโลกรัมละ 4.50 บาท
    5.ให้คณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ และคณะกรรมการส่วนจังหวัดว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ ปฏิบัติตามอำนาจหน้าที่ตามพระราชบัญญัติและบริการอย่างจริงจัง
    6.ให้การไฟฟ้าส่วนภูมิภาครับซื้อกระแสไฟฟ้าจากโรงงานสกัดปาล์มน้ำมันที่นำของเสียจากกระบวนการผลิตปาล์มน้ำมันทุกโรงงาน

    หลังจากนั้นประชดด้วยการวางดอกไม้จันท์ เผาปาล์มพร้อมทั้งโลงศพ และจะปักหลักนอนรอคำตอบ ที่หน้าศาลากลางจังหวัดกระบี่

    อย่าลืม!!!
    กดติดดาว ⭐️ เพจด้วยนะ จะได้ไม่พลาดโพสต์ของเรา
    ***อีจันมีกลุ่มนะ ‍‍‍ กดเข้ากลุ่มลับ อีจัน FC กลุ่มของคนใจๆ ได้ที่นี่ https://www.facebook.com/groups/ejanfc/
    .................................................
    ติดตามข่าวอื่นๆ ได้ใน www.ejan.co

    ติดตาม #อีจัน ใน YouTube > https://www.youtube.com/Ejannews
     
  9. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    223,130
    ค่าพลัง:
    +97,152
    โปรรัสเซีย - Pro Russia

    รัสเซียจะอัพเกรดเครื่องบินรบ Su-57 ให้เป็นอากาศยานไร้คนขับ
    f&w=540&h=282&url=https%3A%2F%2Fx-true.info%2Fuploads%2Fposts%2F2018-10%2Fmedium%2F1539818615_5d.jpg
    พล.อ.อ.วิคเตอร์ บอนดาเรฟ ผู้นำกองทัพอากาศรัสเซียเผยว่าเครื่องบินรุ่นดังกล่าวสามารถอัพเกรดให้เป็นอากาศยานไร้คนขับเต็มรูปแบบได้ซึ่งจะมีคุณสมบัติเทียบเท่าเครื่องบินรบรุ่นที่ 5+ หรือรุ่นที่ 6 เลยก็ว่าได้

    ขณะที่ได้มีการถกเถียงกันเรื่องการพัฒนาเครื่องบินรบรุ่นที่ 6 บอนดาเรฟและเหล่านายพลทอ.ส่วนใหญ่ต่างไม่เห็นด้วยโดยเห็นว่าควรจะสร้างสรรค์และพัฒนาศักยภาพของ Su-57 ให้สมบูรณ์แบบและล้ำสมัยมากกว่า

    ปัจจุบัน Su-57 กำลังอยู่ในขั้นทดสอบเครื่องยนต์รุ่นใหม่ตามคุณสมบัติที่ควรจะเป็นของเครื่องบินรบรุ่นที่ 5 ทั้งนี้รวมถึงความสามารถในการเข้าสู่ความเร็วเหนือเสียงได้ในโหมด driveless (ไร้คนขับ) ขณะที่ยังคงรักษาความคล่องตัวเอาไว้ได้

    https://x-true.info/74924-su-57-stanet-osnovoj-bespilotnogo-istrebitelja-shestogo-pokolenija.html
     
  10. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    223,130
    ค่าพลัง:
    +97,152
    โปรรัสเซีย - Pro Russia
    .ru%2Fimages%2F2018%2F10%2F17%2F19%2F20181017190543513%2Fdetail_41fd41a86751ee120b534360b0b785ed.jpg
    JSC Kuznetsov เสร็จสิ้นการผลิตเครื่องยนต์สำหรับ Tu-160 รุ่นใหม่ในล็อตแรก
    บริษัทอุตสาหกรรมอากาศยาน JSC Kuznetsov ได้เสร็จสิ้นการผลิตเครื่องยนต์รุ่นใหม่ NK-32 02 สำหรับเครื่องบินบรรทุกขีปนาวุธ Tu-160 M2 จำนวน 4 เครื่อง
    เครื่องยนต์จำนวน 4 เครื่องนี้เป็นสัญญาล็อตแรกระหว่างบริษัทกับกับกลาโหมขณะที่สัญญาล็อตที่ 2 จำนวน 22 เครื่องกำลังเริ่มดำเนินการซึ่งตามแผนคาดว่าในปี 2020 รัสเซียจะมีเครื่องบินรุ่นนี้ใช้งานเพิ่มมาอีกเป็น 27 ลำ

    https://lenta.ru/news/2018/10/17/tu...woBnCRAnartwHwlYD7cP2CX347G3WnIl6S87Pjz31dzbU
     
  11. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    223,130
    ค่าพลัง:
    +97,152
    เห็นด้วยครับ แต่ควรให้บริษัทน้ำมันของชาติ ลดราคาราคาน้ำมันแก๊สโซฮอล์ 95 ให้ต่ำกว่าราคาขายปกติทั่วไปลง 3 บาทต่อลิตร โดยรัฐจะต้องไม่ใช้เงินของรัฐเข้าไปอุดหนุน อยากเห็น บริษัทน้ำมันของชาติ ช่วยเหลือคนในชาติ ในด้านใดด้านหนึ่งก็ดีครับ ขอบคุณ
    บริษัทน้ำมันของชาติ ล่วงหน้าครับ

    SpringNews

    เห็นด้วยหรือไม่! รัฐจ่อคลอดมาตรการอุดหนุนราคาน้ำมัน ช่วยวิน 450 บาท/คน/เดือน
    .
    นายสมบูรณ์ หน่อแก้ว รองอธิบดีกรมธุรกิจพลังงาน (ธพ.) เปิดเผยถึงมาตรการช่วยเหลือค่าครองชีพให้กับกลุ่มรถจักรยานยนต์รับจ้างที่ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ โดยจะมีการอุดหนุนราคาน้ำมันแก๊สโซฮอล์ 95 ให้ต่ำกว่าราคาขายปกติทั่วไปลง 3 บาทต่อลิตร เพื่อช่วยลดต้นทุนให้กับกลุ่มมอเตอร์ไซด์รับจ้าง โดยจะนำเงินอุดหนุนจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงและผู้ค้ามาตรา 7 มาใช้
    .
    สำหรับการช่วยเหลือเบื้องต้น รองอธิบดี ธพ. กล่าวว่า จะให้ส่วนลดกับผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐและใบอนุญาตขับจักรยานยนต์รับจ้าง ที่มีอยู่ประมาณ 100,000 คันทั่วประเทศ ให้ได้รับส่วนลดน้ำมันแก๊สโซฮอล์ 95 ในอัตราลิตรละ 3 บาท จำกัดไม่เกิน 5 ลิตรต่อวัน คิดเป็นเงินส่วนลด 15 บาทต่อวัน หรือ 450 บาทต่อเดือน รวมเป็นวงเงิน 45 ล้านบาทต่อเดือน หรือ 540 ล้านบาทต่อปี
    .
    อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง https://www.springnews.co.th/view/363170

     
  12. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    223,130
    ค่าพลัง:
    +97,152


    น้ำท่วมรุนแรงในซาอุดิอาระเบีย

    17/10/2018
     
  13. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    223,130
    ค่าพลัง:
    +97,152
  14. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    223,130
    ค่าพลัง:
    +97,152
    Kornkit Disthan

    ภาพทหารโซเวียตนั่งบัลลังก์ฮ่องเต้ประเทศ "ต้าหมั่นโจวตี้กว๋อ" หลังเคลื่อนทัพยึดแมนจูเรีย บุกเข้าพระราชวังหลวงฮอ่งเต้หมั่นโจว ที่เมืองฉางชุน ก่อนหน้านี้สามารถรวบตัว "อ้ายซินเจว๋หลัว ผู่อี๋" ฮอ่งเต้หุ่นเชิดของญี่ปุ่นไว้ได้ที่สนามบินเมืองเสิ่นหยาง บัลลังก์จึงร้างไร้ผู้ครอบครอง เมืองฉางชุน เมืองหลวงของหมั่นโจวกว๋อ ตกเป็นของโซเวียตเป็นการชั่วคราว เมื่อวันที่ 20 สิงหาคม 1945 กระทั่งจีนเข้าสู่ช่วงสงครามการเมืองเต็มตัวในปี 1946

     
  15. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    223,130
    ค่าพลัง:
    +97,152
    ปฏิบัติการหมาเฝ้าบ้าน

    จากทุ่งสงแอ่วเมืองเหนือ หรอยอย่างแรง #ปีหน้าเจอกันใหม่

    ช่วงปลายฝนต้นหนาวแบบนี้ กิจกรรมดูงานแอ่วภาคเหนือเยือนลมหนาวก็มา รอบนี้จัดหนักยกทัพทัวร์ 7 วัน 6 คืน เช็คอินกันรัว ๆ เก็บทุกรายละเอียดไฮไลท์ พาบุคลากรและคณะครูแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ทั้งขึ้นดอย ไหว้พระสายบุญ ชมธรรมชาติสวนนก แช่เท้าน้ำพุร้อนแม่ขะจาน เดินชิค ๆ ตลาดน้ำ และเซลฟี่สุดล้ำที่สามเหลี่ยมทองคำ

    ทริปแสนชิลล์รอบนี้เป็นของโรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 6 ที่เป็นโรงเรียนขยายโอกาสตั้งอยู่ ต.กะปาง อ.ทุ่งสง จ.นครศรีธรรมราช ทำโครงการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ โรงเรียนต้นแบบคุณภาพและสุขภาพภาคกลางและภาคเหนือ ระหว่างวันที่ 10-16 ตุลาคม 2561

    คณะดูงานเริ่มออกเดินทางช่วงเช้าวันที่ 10 ตุลาคม ระหว่างทางแวะไหว้หลวงปู่ทวดเสริมสิริมงคล วัดห้วยมงคล อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ ต่อด้วยหกโมงเย็นเข้าสักการะองค์พระปฐมเจดีย์ จ.นครปฐม หนึ่งทุ่มพากันไปช็อป ชิมแถวตลาดหลังองค์พระ ตกดึกเข้าพักโรงแรมในตัวเมืองนครปฐม

    ช่วงเช้าวันที่ 11 ตุลาคม เข้าดูงานโรงเรียนวัดจินดาราม สพป.นครปฐม เขต 2 ครึ่งเช้าดูงานเรียบร้อย ตกบ่ายก็พากันไปลั้นลาสบาย ๆ ที่ตลาดน้ำดอนหวาย อ.สามพราน ต่อด้วยไหว้พระวัดใหญ่ชัยมงคล วัดเก่าแก่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา สี่โมงเย็นเดินชิลล์ ๆ ตลาดน้ำอโยธยา ตลาดย้อนยุคแลนมาร์คแห่งใหม่ ตกเย็นแวะเข้าชมธรรมชาติ เดินเล่นที่สวนนกชัยนาท จ.ชัยนาท คืนนั้นเข้าพักโรงแรมแถวปากน้ำโพ นครสวรรค์

    วันที่ 12 ตุลาคม จัดทริปสายบุญตลอดทั้งวัน เริ่มตั้งแต่สาย ๆ เข้าสักการะพระพุทธชินราช วัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร จ.พิษณุโลก ต่อด้วยช่วงบ่ายเข้านมัสการพระธาตุที่วัดพระธาตุลำปางหลวง จ.ลำปาง จากนั้นเข้าพักโรงแรมตัวเมืองเชียงใหม่ ที่สามารถมองเห็นวิวดอยสุเทพ ตกดึกย่ำราตรี ตลาดไนท์บาซ่า เชียงใหม่

    รุ่งเช้าวันต่อมาทำบุญตักบาตร สิบโมงขึ้นรถแดงมุ่งหน้าสู่ดอยสุเทพ จากนั้นรับลมหนาว ไหว้วัดพระธาตุดอยสุเทพราชวรวิหาร เที่ยง ๆ แวะทานข้าวซอย ต่อด้วยเช็คอินแฮชแท็กหนาวไหมกอดเราได้นะ ที่น้ำพุร้อนแม่ขะจาน อ.เวียงป่าเป้า จ.เชียงราย บ่ายสองเซลฟี่รัว ๆ วัดร่องขุน สถานที่เช็คอินชื่อดัง หกโมงเย็นลอดท้องช้าง ไหว้พระเชียงแสนสี่แผ่นดิน สามเหลี่ยมทองคำ หนึ่งทุ่มเข้าพักโรงแรมแถวแม่น้ำโขง

    เช้าวันที่ 14 ตุลาคม ตื่นเช้าปั่นจักรยานเล่นสบาย ๆ สไตล์ชิค ๆ แถวริมแม่น้ำโขง ช่วงสายเข้าดูงานโรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 15 (เวียงเก่าแสนภูวิทยาประสาท) จากนั้นขึ้นรถทัวร์มุ่งหน้าสู่แพร่ ห้าโมงเย็นแวะถ่ายรูป พร้อมเดินชมวนอุทยานแพะเมืองผี จ.แพร่ ตกดึกเข้าพักโรงแรมสไตล์โมเดิร์นใจกลางเมืองแพร่

    15 ตุลาคม สิบโมงเช้าเข้าสักการะองค์พระธาตุช่อแฮ พระอารามหลวง จ.แพร่ เที่ยงแวะทานข้าวร้านอาหารชื่อดังเมืองอุตรดิตถ์ วาร์ปหายโผล่เช็คอินอีกครั้งช่วงหนึ่งทุ่มอยู่กรุงเทพฯ ก่อนแยกย้ายปล่อยฟรีสไตล์ จากนั้นตกดึกออกไปเปิดหูเปิดตาแถวถนนข้าวสาร ต่อด้วยเดินตลาดนีออน ตลาดนัดกลางคืนย่านประตูน้ำ

    16 ตุลาคม ขึ้นรถมุ่งหน้ากลับสู่ปลายทาง ระหว่างแวะเที่ยว ช็อปของฝากที่ตลาดด่านสิงขร ตลาดชายแดนไทย-พม่า จ.ประจวบคีรีขันธ์ พร้อมลงโพสต์ขอบคุณมิตรภาพสำหรับทริปแห่งความสุข ส่งท้ายด้วยแฮชแท็กปีหน้าเจอกันใหม่

    #โรงเรียนราชประชานุเคราะห์6 #กะปาง #ทุ่งสง#นครศรีธรรมราช #แอบแฝงท่องเที่ยว #ดูงาน#ปฏิบัติการหมาเฝ้าบ้าน 61-10-016

    -------------------------------------------------
    ติดตาม Line@ และ IG หมาเฝ้าบ้าน: @Watchdog.ACT
    รับสมัครอบรมปฏิบัติการหมาเฝ้าบ้าน@ทุ่งสง
    http://www.actwatchdog.com/wd41/

     
  16. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    223,130
    ค่าพลัง:
    +97,152
    Richard Whitt

    • ถึง FanPage ทุกท่าน ผมได้นำบทความของอาจารย์ ดร. นายแพทย์ 'ไตรรักษ์ พิสิษฐ์กุล' หัวหน้าศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาเชิงระบบ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย หรือ CUSB มาเผยแพร่ซึ่งเป็นผลงานวิชาการในระดับชาติและนานาชาติให้การยอมรับ

    • คือ...ศูนย์วิจัยที่รวมความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีในด้านชีววิทยาการแพทย์ โดยยึดหลักของ 'ชีววิทยาเชิงระบบ' ซึ่งเป็นการศึกษาระบบอันซับซ้อนที่เชื่อมโยงกันในสิ่งมีชีวิต โดยเน้นในด้านสุขภาพและการรักษาโรคต่าง ๆ

    • ศูนย์ชีววิทยาเชิงระบบมีเป้าหมายหลักเพื่อที่จะพัฒนาวิธีการวินิจฉัยโรค และวิธีการรักษาโรคแบบใหม่ ที่มีประสิทธิภาพและมีความปลอดภัยมากขึ้นกว่าวิธีการในปัจจุบัน โดยใช้ความรู้ที่ได้จากการศึกษาและเข้าใจชีววิทยาในระดับโมเลกุลในระบบต่าง ๆ เพื่อรักษาโรคมะเร็ง , โรคภูมิแพ้ตนเอง (Systemic Lupus Erythematosus (SLE) และโรคอื่น ๆ อีกมาก...มุ่งมั่นพัฒนายา Biologics 'เพื่อให้คนไทยจำนวนมากมีโอกาสเข้าถึงยาที่มีประสิทธิภาพ'

    • ผมได้ 'เล็งเห็น' ประโยชน์มหาศาลในระยะเวลาอันใกล้นี้ ที่จะเกิดปรากฏการณ์การค้นพบทางการแพทย์แห่งทศวรรษ ผมขอขอบคุณทุกท่านที่ได้ Share เรื่องราวนี้

    • ด้านล่างคือ...Link ศูนย์ชีววิทยาเชิงระบบ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

    Credit : http://sysbio.chula.ac.th/home/

     
  17. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    223,130
    ค่าพลัง:
    +97,152
    ผวาท่องเที่ยว อช.ภูหินร่องกล้า-ภูทับเบิกทรุดยาว เถ้าแก่รีสอร์ตรุมจี้รัฐเร่งเปิด ทล.2331 เผยแพร่: 18 ต.ค. 2561 07:00 ปรับปรุง: 18 ต.ค. 2561 07:35 โดย: ผู้จัดการออนไลน์
    561000010829701.jpg

    เพชรบูรณ์ - เถ้าแก่รีสอร์ต-ร้านค้าภูทับเบิกจี้ยกเลิก-ผ่อนผันคำสั่งปิด ทล.2331 ทางขึ้น-ลงแหล่งท่องเที่ยวชื่อดัง อช.ภูหินร่องกล้า-ทับเบิก หลังฝนถล่มถนนทรุดต้องปิดซ่อมยาวตั้งแต่ 31 ก.ค. กระทบท่องเที่ยว ขีดเส้นขอคำตอบ 22 ต.ค.นี้

    561000010829704.jpg

    กรณีทางหลวงหมายเลข 2331 จาก อ.หล่มเก่า ขึ้นอุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า ตอนโจ๊ะโหวะ เกิดการทรุดตัวในช่วงที่มีฝนตกหนักตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2561 ที่ผ่านมา และ พล.ต.ต.สัณห์ โพธิ์รักษา ผบก.ภ.เพชรบูรณ์ ในฐานะเจ้าพนักงานจราจร ได้มีประกาศคำสั่งปิดเส้นทางชั่วคราว โดยให้นักท่องเที่ยวเลี่ยงไปใช้เส้นทางบ้านแยง อ.นครไทยแทน ส่งผลกระทบต่อการท่องเที่ยวและธุรกิจเกี่ยวเนื่องบน อช.ภูหินร่องกล้า-ภูทับเบิกในฤดูหนาวไฮซีซันนี้อย่างเลี่ยงไม่พ้น

    561000010829702.jpg


    ขณะที่ห้วงสัปดาห์ที่ผ่านมา พล.ต.วิชิต วงศ์สังข์ ผู้บัญชาการกองพลทหารม้าที่ 1 พร้อมเจ้าหน้าที่ได้ลงพื้นที่ตรวจสอบถนนทางขึ้นภูทับเบิก เส้นทางหลวงหมายเลข 2331 ตอน โจ๊ะโหวะ-อุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า ช่วงระหว่างหลักกิโลเมตรที่ 9+300 ถึงหลักกิโลเมตรที่ 10+650 พร้อมสั่งการให้กองพันทหารช่างที่ 8 เร่งนำเครื่องจักรลงพื้นที่เพื่อปรับปรุงเส้นทางให้ใช้ได้ชั่วคราวก่อน

    561000010829703.jpg

    นายอลงกรณ์ พรหมศิลป์ ผู้อำนวยการแขวงทางหลวงเพชรบูรณ์ที่ 1 แจ้งว่า แม้ถนนจะหยุดการทรุดตัว แต่อยู่ในภาวะอันตรายไม่อนุญาตให้รถนักท่องเที่ยวใช้ เพียงผ่อนผันให้รถของชาวบ้านและรถบรรทุกพืชผลทางการเกษตรผ่านเท่านั้น ซึ่งทาง ทล.อยู่ระหว่างการออกแบบ-จัดงบซ่อมแซมประมาณ 200-300 ล้านบาท ซึ่งต้องทำการแก้ไขระบบน้ำใต้ดินที่เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ถนนเกิดการทรุดตัว

    อย่างไรก็ตาม ล่าสุดวานนี้ (17 ต.ค.) นายยุพราช บัวอินทร์ อดีต ส.ส.เพชรบูรณ์ พรรคประชาธิปัตย์ พร้อมด้วยกลุ่มผู้ประกอบการที่พักรีสอร์ตบนภูทับเบิก และร้านค้าสิ่งของที่ระลึก จำนวนราว 50 คน ได้พากันเข้ายื่นหนังสือถึงผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบูรณ์ผ่านศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดฯ โดยอ้างว่าได้รับผลกระทบจากคำสั่งปิดถนนทางขึ้นลงภูทับเบิก ถนนทางหลวงสาย 2331 (โจ๊ะโหวะ-อุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า)

    เนื่องจากกำลังเข้าสู่ฤดูกาลท่องเที่ยว ผู้ประกอบการเกรงว่าจะได้รับผลกระทบในระยะยาว จึงขอให้ยกเลิก หรือผ่อนปรนคำสั่งปิดถนนสายดังกล่าวเพื่อเปิดเส้นทางให้นักท่องเที่ยวและชาวบ้านสัญจรได้ตามปกติ และขอให้แขวงทางหลวงฯ เร่งดำเนินการซ่อมแซมถนนให้เสร็จโดยเร็ว

    561000010829705.jpg

    เส้นทางหลวงหมายเลข 2331 หล่มเก่า-อช.ภูหินร่องกล้า ตอนโจ๊ะโหวะ เกิดการทรุดตัว และต้องปิดเส้นทางห้ามรถบรรทุก-รถนักท่องเที่ยวผ่าน มาตั้งแต่ 31 ก.ค.61 จนถึงขณะนี้ยังใช้การไม่ได้ แต่ผ่อนผันให้รถชาวบ้านสัญจรได้เท่านั้น

    นายพิเชฐ บางณรงค์ ผู้อำนวยการกลุ่มงาน ศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดฯ, พ.อ.ฐาวิรัตน์ ยางน้อย รอง ผอ.กอ.รมน.เพชรบูรณ์ ร่วมเจรจาชี้แจงว่า ขณะนี้การทรุดตัวของถนนเส้นนี้ไม่มีแล้ว แผนงานซ่อมแซมก็เสร็จแล้ว เหลือแต่การออกแบบ หากได้ผู้รับจ้างจะใช้ระยะเวลาซ่อมแซม 6 เดือนก็เสร็จสิ้น ส่วนถนนลำลองสายเหมืองแบ่ง-ทับเบิก โดยทางหลวงชนบทฯ รับออกแบบคาดว่าคงเสร็จสิ้นแล้ว และอยู่ระหว่างรองบฯ ก่อสร้าง เพราะเหลือเส้นทางที่จะเชื่อมต่อเพียง 4 กิโลเมตรเท่านั้น

    ขณะที่นายยุพราช และผู้ประกอบการฯ แจ้งว่า ในขั้นตอนนี้ต้องการข้อสรุปว่าทางจังหวัดฯ จะปลดล็อก หรือยกเลิกประกาศคำสั่งห้ามรถยนต์ทุกชนิดสัญจรผ่านบริเวณถนนทรุดได้หรือไม่ภายในวันที่ 22 ตุลาคมนี้ ก่อนกำหนดท่าทีการเคลื่อนไหวอีกครั้ง

    561000010829706.jpg

    https://mgronline.com/local/detail/...wEOLhp7gc5GxVyIsWqFlvzuUJyCIo4KILsvIH3IP6XXKI
     
  18. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    223,130
    ค่าพลัง:
    +97,152
    ชาวบ้านผวา! ตลิ่งเจ้าพระยาทรุดตัว เร่งรื้อบ้านทรงไทยอายุกว่า 100 ปี ก่อนเสียหาย เผยแพร่: 17 ต.ค. 2561 22:10 ปรับปรุง: 18 ต.ค. 2561 08:18 โดย: ผู้จัดการออนไลน์
    561000010824401.jpg
    พระนครศรีอยุธยา - ตลิ่งแม่น้ำเจ้าพระยาทรุดต่อเนื่อง ชาวบ้านกุ่ม ต้องเร่งรื้อเรือนไทยโบราณอายุนับ 100 ปี หวั่นพังถล่มได้รับความเสียหาย

    วันนี้ (17 ต.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ได้รับแจ้งจากชาวบ้านใน ต.บ้านกุ่ม อ.บางบาล จ.พระนครศรีอยุธยา ต้องเร่งรื้อถอนบ้านที่ปลูกอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา เนื่องจากตลิ่งกำลังทรุดตัวเพิ่มขึ้นอีกครั้ง จึงเดินทางไปตรวจสอบ พบ นางอุ่นเรือน ดนตรี อายุ 60 ปี พร้อมช่างนับ 10 คน กำลังเร่งรื้อถอนบ้านทรงไทย อายุนับ 100 ปี เลขที่ 21 หมู่ 7 ต.บ้านกุ่ม อ.บางบาล จ.พระนครศรีอยุธยา ที่ปลูกอยู่ริมตลิ่งติดกับแม่น้ำเจ้าพระยา ก่อนที่จะพังลงไปในแม่น้ำทั้งหลัง

    โดยพบว่าตลิ่งพังเพิ่มเป็นวงกว้าง ทำให้พื้นคอนกรีตใต้ถุนบ้านแตก และทรุดลงหลายจุด รวมถึงเสาบ้านเริ่มคลายออกจากนอตที่ยึดไว้ ทำให้ชาวบ้านตื่นตระหนก ทั้งนี้ ตลิ่งได้ทรุดตัวต่อเนื่องมาตั้งแต่ช่วงเดือนเมษายนที่ผ่านมา จนนายสุจินต์ ไชยชุมศักดิ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดพระนครศรีอยุธยา สั่งเร่งให้ช่วยเหลือเพื่อบรรเทาความเดือดร้อน ด้วยการนำเข็มไม้มาตอกป้องกันการทรุดตัวชั่วคราวระหว่างรอการสร้างเขื่อนป้องกันถาวร

    นางอุ่นเรือน กล่าวว่า ตลิ่งเริ่มทรุดตัวอย่างหนักเมื่อช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา แต่เมื่อวานนี้หนักมาก ซึ่งตนเองไม่อยู่บ้านพอดี พอกลับมาจึงได้ประสานช่างที่รู้จักมาตรวจสอบ พอเช้าวันนี้ช่างมาดูเห็นสภาพบ้านทรุดหนัก จนหวั่นจะพัง และได้รับความเสียหาย

    เนื่องจากเป็นบ้านทรงไทยเก่าแก่กว่า 100 ปี ไม้สักทั้งหลัง จึงให้ทำการรื้อออกเพื่อเป็นการป้องกันดินทรุดตัว ที่ผ่านมา พบว่าพื้นบ้านทรุดตัวลงไปประมาณ 30 เซนติเมตรแล้ว ส่งผลให้บ้านของตน และบ้านที่ปลูกติดกันอีก 3 หลัง ได้รับผลกระทบทรุดตัวด้วย แผ่นปูนแตกลึกกว่า 30 เซนติเมตร ได้รับความเสียหายในขณะนี้ ต้องรื้อบันไดบ้านไปไว้หลังบ้าน และต้องเฝ้าดูสถานการณ์ หากทรุดต่อเนื่องก็จะต้องรื้อบ้านออกก่อน

    ก่อนหน้านี้ ทางโยธาธิการและผังเมืองอยุธยา ได้ทำการตอกเสาเข็มจำนวนหลาย 100 ต้นเป็นการป้องกันตลิ่งพังชั่วคราว พร้อมประสานผู้รับเหมาสร้างเขื่อนถาวร โดยจะเริ่มดำเนินการในเดือนพฤศจิกายนที่จะถึงนี้
    561000010824402.jpg
    561000010824403.jpg
    561000010824404.jpg
    https://mgronline.com/local/detail/9610000104036
     
  19. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    223,130
    ค่าพลัง:
    +97,152
    ท้าพิสูจน์! UNSEEN น้ำน่าน จุดตลิ่งแคบสุดแค่ 1.5 เมตรจนเห็นสายน้ำวิ่งสวนกัน เผยแพร่: 15 ต.ค. 2561 17:42 ปรับปรุง: 16 ต.ค. 2561 07:31 โดย: ผู้จัดการออนไลน์
    561000010731501.jpg
    พิษณุโลก - คนพิษณุโลกแห่พิสูจน์ UNSEEN ตลิ่งแม่น้ำน่านแคบสุด บนสันตลิ่งกว้างแค่ 1.5 เมตรจนเห็นสายน้ำวิ่งสวนทางกัน ยิ่งมองมุมสูงยิ่งเห็นชัด

    561000010731502.jpg

    “แม่น้ำน่าน” ที่ไหลผ่านพื้นที่หมู่ 3 ต.วังน้ำคู้ อ.เมืองพิษณุโลก เป็นช่วงที่ไหลคดเคี้ยวมากที่สุดช่วงหนึ่ง โดยสายน้ำไหลโค้งอ้อมพื้นที่สีเขียวลักษณะเหมือนเกาะขนาดใหญ่ รูบร่างคล้ายหัวใจ เนื้อที่ประมาณ 180 ไร่ ก่อนไหลลงใต้เข้าเขต จ.พิจิตร ก่อให้เกิดช่วงตลิ่งที่แคบที่สุด เฉพาะสันตลิ่งกว้างเพียงแค่เมตรกว่าๆ เท่านั้น เป็นพื้นที่ลักษณะคล้ายบางกระเจ้า ปอดของชาวกรุงเทพมหานคร ที่แม่น้ำเจ้าพระยาไหลคดเคี้ยว และมีพื้นที่สีเขียวคล้ายกระเพาะหมู

    สำหรับจุดแคบสุดของแม่น้ำน่านอยู่ห่างจากตัวเมืองพิษณุโลกบนเส้นทางถนนประมาณ 26 กิโลเมตร ใช้ระยะเวลาเดินทางโดยรถยนต์ไปตามถนนสายพิษณุโลก-บางกระทุ่ม มาทางตำบลวังน้ำคู้ เมื่อเลยจากเทศบาลตำบลวังน้ำคู้มาไม่กี่กิโลเมตร เลี้ยวเข้ามาทางสถานีอนามัยวังน้ำคู้ก็จะมาถึงจุดเข้าชม ซึ่งต้องจอดรถยนต์ไว้ริมถนนภายในหมู่บ้านแล้วเดินเข้าไปชมจุดที่แคบที่สุดที่อยู่ห่างไปประมาณ 200 เมตร
    561000010731504.jpg

    เมื่อมาถึงจุดที่แคบที่สุด และไปยืนอยู่บนสันตลิ่งจะพบว่ามีความกว้างประมาณ 1.5 เมตร ขณะที่ตลิ่งด้านล่างมีฐานกว้างประมาณ 15 เมตร และค่อนข้างชันมาก ด้านขวามือจะเป็นแม่น้ำน่านที่ไหลลงทิศใต้ ด้านที่หันหน้าเข้าไปจะเป็นป่าสีเขียว-พื้นที่ทำเกษตร ที่เป็นที่ดินกรรมสิทธิ์ของชาวบ้านหลายราย ด้านซ้ายมือก็จะเป็นแม่น้ำน่านที่ไหลอ้อมผ่านพื้นที่สีเขียวรูปหัวใจเข้าสู่เขตพิจิตร

    ขณะที่ภาพจากโดรนส่องเห็นจุดที่แคบที่สุดนั้นมีทางเดินเชื่อมไปยังพื้นที่สีเขียวรูปหัวใจ ระยะทางยาวประมาณ 30 เมตร ความกว้างของทางเดินเมื่อมองจากมุมสูงลงมายิ่งดูแคบมากๆ

    ชาวบ้านตำบลวังน้ำคู้ให้ข้อมูลว่า เป็นธรรมชาติของแม่น้ำน่านช่วงนี้ที่ไหลคดเคี้ยว และเกิดขึ้นมานานมากแล้ว ในอดีต 40-50 ปีก่อนเมื่อระดับน้ำในแม่น้ำน่านเพิ่มสูงเกือบล้นตลิ่ง จะมีลำคลองเล็กๆ ที่ชาวบ้านใช้ล่องเรือผ่านจุดแคบสุดของแม่น้ำช่วงนี้เพื่อร่นระยะเวลาการเดินทาง

    ขณะที่ช่วงน้ำหลากมากๆ โดยเฉพาะปีมหาอุทกภัย 2554 น้ำได้กัดเซาะจุดที่แคบสุดจนพังลง ชาวบ้านก็จะนำไม้มาปัก นำดินมาถม เพื่อให้คงสภาพเป็นทางเดินไปยังพื้นที่สีเขียว ซึ่งเป็นพื้นที่ทำการเกษตรของชาวบ้านหลายราย

    ล่าสุดหลังอาจารย์ขวัญทอง สอนศิริ อาจารย์โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาภาคเหนือ ได้เดินทางมาดู และเก็บภาพโพสต์ลงบนเฟซบุ๊กส่วนตัว ทำให้มีชาวพิษณุโลกเดินทางมาพิสูจน์จุดที่แคบที่สุดของแม่น้ำน่านในจังหวัดพิษณุโลกแห่งนี้อย่างต่อเนื่องตั้งแต่ต้นเดือนตุลาคม 61 เป็นต้นมา

    561000010731503.jpg

    https://mgronline.com/local/detail/9610000103139
     
  20. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    223,130
    ค่าพลัง:
    +97,152
    Thanong Fanclub

    13. เมื่ออูฐถูกบีบไข่

    The New York Timesรายงานว่า ยูเอ็นออกรายงานฉบับพิเศษในช่วงปลายเดือนสิงหาคมที่ผ่านมาว่า ซาอุและยูเออีที่เป็นผู้นำพันธมิตรในการทำสงครามเยเมน ได้ฆ่าประชาชนไปหลายพันคน โดยการโจมตีทางอากาศ ทรมาณนักโทษ ข่มขืนผู้หญิง และใช้เด็กอายุ8ปีเป็นทหาร โดยการกระทำเช่นนี้ถือว่าเป็นอาชญากรรมทางสงคราม

    รายงานของยูเอ็นระบุว่า การโจมตีทางอากาศของซาอุและยูเออีทำให้เกิดความเสียหายกับพลเรือนเยเมน โดยเป้าที่ถูกทำลายเป็นที่พักอาศัยของพลเรือน ตลาดสด งานศพ งานแต่งงาน คุก เรือ และโรงพยาบาล

    เรื่องโศกนาฎกรรมในเยเมนใหญ่กว่า การเสียชีวิตของนายคาซอคกี้เพียงคนเดียวนะคุณปู่ทรัมป์

    GENEVA — The military coalition led by Saudi Arabia and the United Arab Emirates in Yemen has killed thousands of civilians in airstrikes, tortured detainees, raped civilians and used child soldiers as young as 8 — actions that may amount to war crimes, United Nations investigators said in a report issued Tuesday.

    The report singled out Saudi and Emirati airstrikes for causing the most civilian casualties, saying they had hit residential areas, markets, funerals, weddings, jails, boats and medical facilities.
    https://www.nytimes.com/2018/08/28/world/middleeast/un-yemen-war-crimes.html

     

แชร์หน้านี้

Loading...