เรื่องที่จะนำมาเล่านี้ท่านผู้อ่านจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็แล้วแต่ ถือว่ามาอ่านเพื่อประดับความรู้จริงเท็จอย่างไรไม่อาจพิสูจน์ได้ด้วยวิทยาศาสตร์ ถือว่าอ่านเป็นนิทานสนุกๆก็ได้ เพราะเรื่องนี้อ่านแล้วก็ไม่ได้ทำให้ได้มรรคได้ผลหรืออาจจะได้ก็ได้ เพราะในเรื่องนี้ก็ได้แสดงถึงการเวียนว่ายตายเกิด และกิเสลตัณหาความอยากเป็นตัวก่อ
ต้นกำเนิดมนุษย์คือ อาภัสราพรหมจริงหรือ
ในห้อง 'ภพภูมิ-สวรรค์ นรก' ตั้งกระทู้โดย Bens, 18 กันยายน 2006.
หน้า 1 ของ 2
-
-
กำเนิดชีวิต
กำเนิดชีวิต
<O:p</O:p
โลกที่เราอยู่นี้คืออะไร? โลกเกิดมาได้อย่างไร? เราท่านเกิดมาได้อย่างไร?
<O:p</O:p
พระพุทธเจ้าได้ทรงตรัสถึงวิวัฒนาการของโลกไว้ใน อัคคุญสูตร ซึ่งเป็นสูตรสำคัญสูตรหนึ่งใน คุมภีร์นิกาย สรุปใจความย่อๆมีใจความว่า<O:p</O:p
<O:p</O:p
จักวาลนี้เดิมทีเป็นกลุ่มก๊าซไอน้ำ โลกเราก็เป็นกลุ่มก๊าซไอน้ำก้อนมหึมาก้อนหนึ่ง ในความเวิ้งว้างของอวกาศนั้น<O:p</O:p
มีสัตว์หมู่หนึ่งล่องลอยอยู่ไปมา ไม่มีร่างกาย มีแต่จิต ไม่ต้องกินอาหาร หากกินความปีติอิ่มเอิบใจเป็นอาหารจะเรียกว่าเสวยอารมณ์ทิพย์ก็ได้<O:p</O:p
สัตว์หมู่นี้ชื่อว่า อาภัสรพรหม มีแสงสว่างรัศมีในตัวเองคล้ายหิ่งห้อย แต่ทว่าแสงสว่างรุ่งเรืองกว่าหิ่งห้อยหลายร้อยหลายพันเท่า<O:p</O:p
ยุคนั้นเป็นยุคมืดตื้อ ไม่มีดวงอาทิตย์ไม่มีดวงจันทร์ไม่มีหมู่ดาวไม่มีกลางวันกลางคืน โลกและจักรวาลมีแต่กลุ่มก๊าซไอน้ำ<O:p</O:p
กาลนานมาพวกสัตว์ไม่มีร่าง มีแต่จิตเสวยอารมณ์ทิพย์พวกนี้ได้ล่องลอยมาเห็นโลกเข้าหรือจะเรียกว่าจุติมาก็ได้ ได้พบว่าบนผิวน้ำนั้นมีโอชะดินหรือง้วนดินลอยเป็นฝ้าอยู่เหนือน้ำเต็มไปหมด เหมือนผ้าที่อยู่บนผิวนมร้อนตอนที่มันเย็นลงนั้นแหละ<O:p</O:p
ง้วนดินนี้ระเหยขึ้นมาจากก้นทะเลด้วยอำนาจความร้อนภายในของโลก มีกลิ่นหอมหวนทวนลมยิ่งนัก<O:p</O:p
พวกอาภัสรพรหมเห็นเป็นของแปลกประหลาดจึงได้ลองลิ้มชิมรสง้วนดินดู พบว่ารสชาติหอมหวานยิ่งนัก (เข้าใจว่าคงจะยิ่งกว่าน้ำผึ้งเดือนห้าละกระมัง)ต่างก็ติดอกติดใจรสชาติของง้วนดินเลยกินกันใหญ่ มีความหลงใหลในโอชะดินจนลืมคิดที่จะเหาะล่องลอยท่องเที่ยวไปในอากาศพากันเพลิดเพลินเจริญใจเสพโอชะง้วนดินไม่ไปไหน<O:p</O:p
เมื่อบริโภคง้วนดินนานๆเข้าก็ปรากฏเป็นรูปร่างหรือกายหยาบขึ้น รัศมีสีแสงในตัวก็หายไปทีละน้อยๆจนหมดสิ้นในที่สุดพอรัศมีหมดไปจิตหรือวิญญาณมีร่างกายหยาบครองด้วยวิตามินง้วนดินที่เสพเข้าไป ทำให้ไม่สามารถจะเหาะล่องลอยไปไหนมาไหนเหมือนหิ่งห้อยได้อีกต่อไปก็กลายเป็นสตัว์โลกไป<O:p</O:p
ตอนนี้เอง กลุ่มก๊าซไอน้ำทั้งหลายในห้วงจักรวาล ได้ก่อปฏิกริยาด้วยพลังงานสสารธาตุในตัวเองกลายเป็นลูกไฟดวงใหญ่มหึมาขึ้น จะเรียกว่าดาวฤกษ์ก็ได้ เรียกว่าดวงอาทิตย์ก็ได้ เมื่อเกิดดาวฤกษ์หรือดวงอาทิตย์ขึ้นก็เกิดดวงจันทร์ เกิดดวงดาวน้อยใหญ่ขึ้นตามมาด้วยกฎธรรมชาติของจักรวาลเอง โดยหาได้มีใครสร้างขึ้นมาไม่<O:p</O:p
เมื่อพระอาทิตย์ขึ้นมา โลกที่เต็มไปด้วยน้ำก็เริ่มระเหยกลายเป็นไอเพราะถูกแสงแดดแผดเผา<O:p</O:p
ตอนนี้อาภัสรพรหมที่หลงใหลติดใจในรสชาติง้วนดินได้กลายสภาพเป็นสัตว์น้ำ พวกแรกที่เกิดขึ้นในโลกแต่จะเป็นสัตว์อะไรนั้น พระพุทธเจ้าไม่ได้ตรัสถึงรายละเอียดพระองค์ทรงกล่าวแต่เพียวว่าเป็นสัตว์ที่ยังไม่มีเพศ ยังไม่มีความรู้สึกในด้านกามโลกีย์<O:p</O:p
กาลนานต่อมาอีกไม่รู้เท่าไหร่ ความร้อนของดวงอาทิตย์ที่แผดเผา ทำให้น้ำในโลกระเหยจนงวดเข้า เกิดแผ่นดินงอกขึ้นมาเป็นทวีป<O:p</O:p
สัตว์กลุ่มแรกหรือพวกอาภัสรพรหมที่มาติดใจในรสชาติง้วนดินได้ขึ้นมาเป็นสัตว์บก วิวัฒนาการทางรูปร่างเปลี่ยนไปตามธรรมชาติสิ่งแวดล้อม นอกจากจะกินง้วนดินเป็นอาหารแล้ว ยังกินพืชพันธุ์อย่างอื่นที่งอกขึ้นมาจากพื้นดินหล่อเลี้ยงชีพ ทำให้ร่างกายก็แปลกเปลี่ยนไปเรื่อยๆอย่างช้าๆ<O:p</O:p
จนในที่สุดได้เกิดแบ่งเป็นเพศตัวผู้และตัวเมียขึ้น ความเป็นสัตว์โลกโดยมบูรณ์ได้เริ่มขึ้นตอนนี้เอง คือเป็นสัตว์มนุษย์ จากนั้นการสืบพันธุ์แพร่ขยายชาติเชื้อก็ดำเนินไปตามกฎธรรมชาติ<O:p</O:p
ง้วนดินอันโอชารสได้หมดไปจากโลกแล้วในตอนนี้ มีแต่พืชพันธ์ต่างๆเป็นอาหารหล่อเลี้ยงชีพ ไม่โอชารสเหมือนง้วนดินในยุคแรกเลยต่อมาเหล่าสัตว์ไร้ร่างมีแต่จิตทั้งหลายคืออาภัสราพรหมที่อยากจะมาเกิดในโลก จึงจำใจต้องเข้าเกิดในท้องมนุษย์ พวกแรกนี้แทนบริโภคง้วนดิน การเข้าเกิดในท้องนี้ก็ฉวยโอกาสตอนที่มนุษย์ชายและหญิงสมสู่ร่วมประเวณีกันนั้นเอง โดยเข้าปฏิสนธิในครรภ์ฝ่ายหญิง<O:p</O:p
ต่อจากนั้นก็เกิดตัวตนออกลูกออกหลานแพร่ขยายพันธุ์กันมาเรื่อยๆเมื่อมีเกิด ก็มีตาย คือ เกิด แก่ เจ็บ ตาย<O:p</O:p
<O:p</O:p
กฎธรรมชาติ<O:p</O:p
ครั้นแล้วกฎแห่งธรรมชาติวิวัฒนาการของมนุษย์ได้เริ่มขึ้นใหม่อีกกฎหนึ่งในตอนนี้<O:p</O:p
นั้นคือกฎแห่งกรรมดี..กรรมชั่วหรือกฎธรรมชาติเมื่อมนุษย์แพร่ขยายพันธุ์ขึ้นในโลกมากมาย การแก่งแย้งชิงดีชิงเด่น แก่งแย่งกันทำมาหากินก็มากขึ้น มีการฆ่าฟันทำร้ายข่มเหงรังแกกันเป็นของธรรมดาสัตว์โลกปุถุชนกฎแห่งกรรมดี..กรรมชั่วหรือกฏหมายธรรมชาติที่เกิดขึ้นโดยอัตโนมัติอย่างน่าอัศจรรย์ในตอนนี้คือ...นรกโลกและเทวโลก<O:p</O:p
โลกทั้งสองที่เกิดขึ้นใหม่สดๆร้อนๆคือ นรกโลกและเทวโลกนี้ จัดไว้เป็นที่อยู่ของมนุษย์โลกที่ตายไปแล้ว เพื่อชดใช้กรรมดีและกรรมชั่วของตนที่เคยได้ทำไว้สมัยที่มีชีวิตอยู่ในโลกมนุษย์ นรกโลกและเทวโลกนี้ไม่มีใครสร้างเป็นโลกละเอียดปรมาณูหรือโลกวิญญาณที่เกิดขึ้นมาเองด้วยตัวของมันเอง โดยธรรมชาติกฎแห่งสากลจักรวาลอันเป็นหลักวิวัฒนาการ<O:p</O:p
มนุษย์คนไหนทำดี กฎหมายธรรมชาติคือทำดีได้ดีก็จัดส่งให้ไปเกิดในเทวโลก มนุษย์คนไหนทำชั่วคือทำชั่วได้ชั่ว กฏหมายธรรมชาติก็ส่งไปอยู่ในนรกโลกคือมนุษย์ตายไปแล้วสูญร่างกายหยาบ<O:p</O:p
ส่วนจิตวิญญาณที่มาจากอาภัสรพรหมนั้นยังคงอยู่เพื่อรับกรรม คือกฏแห่งการกระทำของตนเอง<O:p</O:p
<O:p</O:p
พรหมโลก<O:p</O:p
ขณะที่กฎแห่งธรรมชาติให้กำเนิดนรกโลกและเทวโลกขึ้นในจักรวาลนี้ พรหมโลกนั้นได้มีขึ้นอยู่ก่อนแล้ว คือโลกของอาภัสรพรหม หรือโลกของสัตว์ที่ไม่มีร่างหากมีแต่จิต เสวยอารมณ์ปีติอิ่มเอมใจเป็นอาหารทิพย์<O:p></O:p>
เป็นภูมินรกและภุมเทวดาได้เกิดขึ้นแล้วเช่นนี้ พวกอาภัสรพรหมที่คิดอยากจะท่องเที่ยวหรือจุติมาปฏิสนธิในโลกมนุษย์เหมือนอย่างแต่ก่อนก็เปลี่ยนไปคือไม่อยากจะมา เพราะโลกมนุษย์มีความเป็นสัตว์โลกหยาบช้าสกปรกมาก มีกิเลสชั่วร้ายมาก แก่งแย้งการทำมาหากินกันมาก ข่มเห่งรังแกกันมาก<O:p></O:p>
ฉะนั้นการเวียนว่ายตายเกิดจึงเกิดขึ้นเป็นวงโคจรหรือวัฏฏะขึ้นระหว่างมนุษย์โลก นรกโลกและเทวโลก<O:p></O:p>
ส่วนอาภัสรพรหมแห่งพรหมโลกที่อยากจะจุติมาเกิดในมนุษย์โลกบ้าง จะมาได้ก็ด้วยอาศัยพลังของตัณหาคือความอยาก<O:p></O:p>
ความอยากหรือตัณหาของพรหมนี้คือกิเลส อยากจะมาประกอบกรรมดีในโลกมนุษย์เพื่อทดลองบำเพ็ญความดี คือว่าอยากมาร่วมทุกข์ร่วมสุขวุ่นวายกับพวกมนุษย์ ไม่ใช่คิดอยากจะมากินง้วนดินอันโอชารสเหมือนพวกอาภัสรพรหมรุ่นแรกเพราะว่าตอนนี้ง้วนดินในโลกมนุษย์ไม่เหลือหลออะไรอีกแล้ว<O:p></O:p>
อาภัสรพรหมที่นึกสนุกอยากจะมาเกิดในมนุษย์โลกนี้มีเป็นส่วนน้อย ส่วนมากมักเลื่อนชั้นตัวเองขึ้นไปอยู่ภูมิที่สูงขึ้นไปอีกภูมิหนึ่งคือภูมิของ มหาพรหม<O:p></O:p>
<O:p</O:p
มหาพรหม<O:p</O:p
ภูมิมหาพรหมนี้ มีพรหมอยู่ร่างหนึ่งหรือองค์หนึ่ง ครองตัวเองอยู่อย่างโดดเดี่ยวท่ามกลางอาณาจักรอันเวิ้งว้างของจักรวาลอันเป็นเขต อวกาศ จะเรียกว่า สุญญากาศ ก็ได้ สุญตา ก็ได้มหาพรหมองค์นี้ เสวยสุข เสพปีติ ความอิ่มเอมใจอันละเอียดอ่อนเป็นอาหารทิพย์หล่อเลี้ยงมีแต่จิต ไม่มีร่างมีความบรมสุขยิ่งกว่าพรหมชั้นอาภัสรามากนัก<O:p</O:p
เมื่ออยู่คนเดียวองค์เดียวมหาพรหมก็หลงตัวเองคิดไปว่า ตัวเองยิ่งใหญ่กว่าพรหมทั้งหลายความจริงนั้นมหาพรหมก็เป็นเพียงสัตว์ชนิดหนึ่งในห้วงจักรวาลที่มีแสงรัศมีในตัวเองเท่านั้น เกิดขึ้นมาเองโดยธรรมชาติของสสารพลังงาน แต่เป็นธรรมชาติสสารพลังงานที่มีสติปัญญาคือธาตุรู้<O:p</O:p
มหาพรหมองค์นี้เสวยสุขอยู่คนเดียวมานานแสนนาน ก็เกิดเบื่อเหงา คิดอยากจะได้เพื่อนมาอยู่ด้วย พลันก็มีอาภัสราพรหมเลื่อนชั้นขึ้นมาอยู่ด้วยองค์หนึ่งคือเลื่อนชั้นขึ้นมาเองโดยธรรมชาติไม่มีใครดลบันดาลให้ขึ้นมาเลยเลื่อนชั้นภูมิตัวเองด้วยกฏอันเป็นข้อน่าอัศจรรย์ของมวลสารพลังงานจักรวาลนั้นเอง<O:p</O:p
มหาพรหมเกิดหลงผิดคิดไปว่า คนเองดลบันดาลให้อาภัสราพรหมองค์นี้ขึ้นมาเกิดอยู่ในอาณาจักรเดียวกัน เพราะเพียงแต่นึกอยากจะมีเพื่อนก็มีเพื่อนมาอยู่ด้วยเสียแล้ว อาภัสรพรหมได้เพิ่มจำนวนมาอยู่ด้วยทีละองค์สององค์เรื่อยๆ<O:p></O:p>
มหาพรหมก็เลยทึกทักเอาว่าตัวเองเป็นผู้วิเศษยิ่งใหญ่ นึกอยากจะให้อาภัสรพรหมมาอยู่ด้วยก็มาได้ทันใจดีแท้ มหาพรหมเข้าใจว่าตัวเองเป็นผู้เป็นเจ้าไปเสียแล้ว เป็นผู้สร้างสรรค์ทุกสิ่งทุกอย่างในสากลจักรวาลเป็นผู้กำหนด เป็นผู้ลิขิต เป็นผู้มีอำนาจสูงสุง<O:p</O:p
พวกอาภัสรพรหมที่จุติมาเกิดในโลกมหาพรหม เมื่อเห็นมหาพรหมมีอยู่ก่อนแล้วก็หลงผิดทึกทักเอว่ามหาพรหมเป็นใหญ่เกิดก่อนพวกตนต้องเป็นบิดาของตนแน่ พวกตนจึงได้มาเกิดมาอยู่ร่วมด้วยกับพระองค์ มหาพรหมเป็นผู้สร้างพวกตนให้เกิดขึ้นมา<O:p</O:p
กาลนานต่อมาพรหมในชั้นมหาพรหมเหล่านั้นได้จุติลงมาเกิดในโลกมนุษย์ด้วยอำนาจ กิเลสความอยากอะไรบางอย่าง<O:p></O:p>
เมื่อเติบใหญ่ครองเรือนอยู่ในโลกมนุษย์จนเบื่อหน่ายแล้วสัญชาตญาณดั้งเดิมของความเป็นพรหมได้ทำให้คิดละโลกีย์ สละโลก ด้วยอำนาจบำเพ็ญพรตเป็นฤาษีดาบส ไปตามกฎแห่งกรรมของตนเอง<O:p></O:p>
พอพำเพ็ญเพียรตบะได้ถึงจุดบรรลุฌานสมาบัติก็เกิดระลึกชาติขึ้นมาได้ว่าชาติก่อนตนเองเคยเป็นพรหมเสวยสุขบริโภคอาหารทิพย์ มีปีติอิ่มเอิบเป็นเครื่องเลี้ยงชีพ ก็เลยหลงผิดคิดว่าตัวเองลงมาเกิดในโลกมนุษย์นี้ เป็นเพราะมหาพรหมผู้เฒ่าองค์นั้นแน่ๆ เป็นผู้บันดาลให้มาเกิด<O:p></O:p>
ยิ่งทำให้หลงผิดเชื่อมั่นยิ่งขึ้นว่า มหาพรหม คือพระผู้เป็นเจ้าเป็นผู้ยิ่งใหญ่ทรงอำนาจสร้างสรรค์ทุกสิ่งทุกอย่าง อยากจะให้ใครเกิดก็ได้ ให้ใครตายก็ได้<O:p></O:p>
แหละนี่เองคือความหลงผิดของมนุษย์ในยุคแรกที่คิดว่ามีพระผู้เป็นเจ้าสร้างโลก สร้างจักรวาล ความรู้ความเข้าใจนี้ได้แพร่หลายออกไป กลายเป็นศาสนานับถือพระเจ้าขึ้นในโลกมนุษย์เป็นครั้งแรก<O:p</O:p
พระพุทธเจ้าผู้ทรงสัพพัญญุตญาณได้ทรงตรัสต่อไปว่าเมื่อธรรมชาติกฎแห่งจักรวาลได้สร้างมนุษย์โลก นรกโลก และเทวโลกขึ้นมาแล้ว ก็เกิดกฎแห่งการหมุนเวียนหรือวัฏฏะคือการเวียนว่ายตายเกิด เพื่อให้สัตว์ทั้งสามโลกนี้ได้ชดใช้กรรมดีกรรมชั่วของตัวเอง กฎแห่งวัฏฏสงสารนี้ก็คือกฎหมายธรรมชาติมีไว้สำหรับตัดสินสัตว์โลกนั้นเอง<O:p</O:p
<O:p</O:p
แดนนิพพาน<O:p</O:p
กฎแห่งธรรมชาติที่เกิดขึ้นตามมาอีกคือ กฎแห่งกการล่วงพ้นวัฏฏสงสาร กฎนี้มีไว้สำหรับผู้ต้องการบำเพ็ญความดีขั้นสูงสุด เพื่อความหลุดพ้นการเวียบว่ายตายเกิด ใครสามารถทำได้สำเร็จก็จะไปแดนพระนิพพาน ซึ่งเป็นแดนสุญตาหรือแดนพรหมขึ้นไปอีกไกลสุดกู่ พระพุทธองค์ตรัสว่า นิพพานังปรมังสุขัง นิพพานเป็นแดนสุขอย่างยิ่ง<O:p</O:p
พระพุทธเจ้าทรงค้นพบกฎแห่งการหลุดพ้นวัฏสงสารนี้ ชี้ให้สัตว์โลกเห็นแดนพระนิพพานซึ่งศาสดาดึกดำบรรพ์แรกนับถือมหาพรหม พระผู้เป็นเจ้า หลงเข้าใจผิดไปว่า แดนของพรหมคือนิพพานหรือนิรวาณัมอันเป็นแดนสุขอย่างยิ่ง เป็นอาณาจักรของพระเจ้า ซึ่งความจริงไม่ใช่<O:p</O:p
เพราะแดนนิพพานที่แท้จริงอยู่สูงไปอีกกว่านั้น เป็นแดนของพระอรหันต์โดยเฉพาะ ส่วนแดนนิพพานของพรหมก็คือแดนของพระอนาคามีในพระพุทธศาสนาเท่านั้นเอง<O:p</O:p
คุณๆผู้อ่านก็ได้รู้แล้วล่ะว่าเราท่านถือกำเนิดสืบเชื้อสายมาจากวิญญาณกลุ่มแรกที่มาจากนอกโลกคือ อาภัสรพรหม<O:p</O:p
แล้วอาภัสรพรหมล่ะ เกิดมาจากไหน?<O:p</O:p
คำตอบก็คือ อาภัสรพรหมเกิดขึ้นเอง เป็นเอง เป็นสสาร พลังงานธรรมชาติอย่างหนึ่ง ทีมีคุณพิเศษคือเป็นธาตุรู้ มีสติปัญญาความรู้สึกนึกคิดเป็นสัตว์ประเสริฐไม่มีร่างกายมีแต่ดวงจิตหรือวิญญาณ มีรังสีแสงเปล่งออกจากดวงจิตได้ด้วยพลังงานในตัวเอง<O:p</O:p
-
มาคิดกันเล่น ๆ
น่าคิด................
มาคิดกันเล่น ๆ ว่า
ต้นกำเนิดจักรวาล โลก มนุษย์ และสรรพสิ่ง
คือ "ง้วนดิน"
หรือ
คือ พรหมที่หมดบุญจากชั้นอาภัสสราพรหมพวกนั้น
(ที่หลงมากิน "ง้วนดิน" จนกลับไปไม่ได้)
ถ้า "ง้วนดิน" ลอยเท้งเต้งอยู่เฉย ๆ ไม่มีพวก "อาภัสสราพรหม" มากิน
กับถ้าพวก "อาภัสสราพรหม" ลงมาบนแผ่นดินโดยไม่ได้ลิ้มรส "ง้วนดิน"
จักรวาล โลก มนุษย์ และสรรพสิ่ง จะกำเนิดขึ้นได้หรือไม่
มาคิดเล่น ๆ แบบปัญหาโลกแตก
"ไก่กับไข่ อะไรเกิดก่อน" กันดีกว่า
ตกลงใครเป็นต้นกำเนิดจักรวาล โลก มนุษย์ และสรรพสิ่ง ???
-
โองการแช่งน้ำ
วรรณคดีประเภทร้อยกรองที่เก่าแก่ของไทย
ที่สันนิษฐานว่าแต่งในสมัยสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ (พระเจ้าอู่ทอง)
มีตอนที่กล่าวถึง "ง้วนดิน" ว่า
"ขอให้คนทรยศ ไปเกิดเป็นปล่องไฟที่ถูกไฟเผาตลอดเวลา
ดื่มน้ำคลอง ให้น้ำกลายเป็นพิษ
นอนในบ้าน ให้หญ้าคาที่มุงบ้าน เป็นดาบปลายงุ้มทำร้ายเอา
ให้ฟ้าถล่มทับ แผ่นดินแยกสูบเอาชีวิตไป
ให้อยากกินไฟเหมือนเมื่อพรหมอยากกินง้วนดิน"
(กลิ่นหอมของดินที่ถูกไฟเผา เรียกว่า ง้วนดิน)
เอามาให้อ่านเล่น ๆ
ไม่มีอาไรหรอกจ้า
-
เคยสงสัยเหมือนกันครับ แต่สงสัยว่า จิต นี้มันเกิดจากเหตุปัจจัยอะไรกันแน่
-
ทำไม จึงเข้าใจยากแท้ แล้วจุดจบของจิตคือ?
-
มีใครรู้ไหมครับ
-
ทำPAGEใหญ่อ่านไม่สนุกเลยครับ
-
แล้วต้นกำเนิดของจิตอาภัสสราพรหมม มาจากไหน
-
แล้วต้นกำเนิด "ง้วนดิน" อะ
ขอรู้ด้วยจ้า -
เคยมีเณรไปถามหลวงปูดูลย์ว่า ไก่กับไข่ อะไรเกิดก่อนกัน
หลวงปู่ดูลย์ ตอบว่า ไก่กับไข่ เกิดมาพร้อมกันนั่นแหละ -
เป็นเรื่องของอาจิณไตย
อยากรู้ปฏิบัติไปให้ถึงขั้นในภพภูมินั้นก่อน
วันนี้ยังไปไม่ถึงไหน อย่าไปเดา อย่าเพิ่งไปปราสมาสหรืออนุโมทนา
ธรรมะขั้นสูง รู้ได้ด้วยจิตเท่านั้น -
พระพุทธเจ้ารู้เรื่องกำเนิดทวีปต่างๆตั้งกว่า2500ปีมาแล้ว สมัยที่คนยังคิดว่าโลกแบนอยู่เลย นักวิทยาศาสเพิ่งมารู้ว่าโลกกลม ไม่นานนี้เอง ใครจำได้ว่ากี่ปีมาแล้วช่วยตอบด้วย
-
อนุโมทนาคะ
อ่านแล้วก็ดีคะ ชอบอ่านเรื่องแบบนี้
โพสอีกนะคะ จะรออ่านคะ -
อืม ยังไม่ค่อยเข้าใจ ค่อยศึกษากันไปแล้วกัน
-
โดยความเห็นกระผม พุทธศาสนิกชนควรวางอุเบกขาและหนักแน่นในหลักพระกาลามสูตรครับ หากรายละเอียดเนื้อหาใดที่ยังไม่อาจต่อยอดได้จากหลักพุทธสัจธรรมที่สำคัญ หรือยังเกินขอบข่ายหลักวิชาการทางวิทยาศาสตร์ที่พิสูจน์ยืนยันได้
มิใช่ว่าหัวแข็งไม่ยอมรับเนื้อหาพระคัมภีร์ของพุทธศาสนา หากแต่เป็นความเคารพยิ่งต่อพระคัมภีร์ที่สอนในหลักสำคัญคือความไม่ประมาท -
เรื่องนี้เป็นอจินไต ไม่สามารถมานั่งคิดเอาได้ แม้จะมีนักวิทายศาสตร์อธิบายการเกิดของโลกไวบ้างก็เป็นเพียงการสันนิฐาน
การที่จะรู้กำเนิดของโลกนั้นอย่างแท้จริงนั้นเป็นวิสัยของพระพุทธเจ้าแม้พระอรหันต์ยังไม่สามารถรู้ได้ท่านทั้งหลายคงต้องเป็นพระพุทธเจ้าเองถึงจะรู้
เพราะเช่นนั้นเรามารู้จักตัวเองให้ถ่องแท้ดีกว่ารู้กำเนิดโลกนะจ๊ะ -
-
-
อิอิ น่าฉงนสงสัยเหมือนกันนะคะ คิดเท่าไหร่หัวแทบแตก หาคำตอบจริงๆก็ไม่ค่อยจะเจอ เจอก็ทฤษฎินักวิทยาศาสตร์หลายๆคน (one-eye)
หน้า 1 ของ 2