ถ้าทำบุญกับพระแล้วไม่ได้บุญคุณจะทำอยู่ไหม
ผมคิดว่าหลายๆคนซะส่วนใหญ่ อาจจะไม่ทำถ้าโลกนี้ไม่มีบาปบุญจะมีใครทำบุญกันบ้างไหม จะมีใครใส่บาตร ถวายของที่วัดโดยไม่มีบุญหรืออะไรตอบแทนทั้งสิ้น ถ้าใครบอกว่ายังจะทำอยู่ถึงจะไม่ได้บุญก็ตาม ผมอยากให้ลองมองย้อนถึง ผู้คนที่ลำบาก ขอทาน หรือ เด็กแร่รอน สถานสงเคราะห์หลายๆที่
ด้วย ผมอยากให้เรารู้จักคำว่าแบ่งปันเพื่อนร่วมโลก มากกว่าหวังบุญเป็นผลตอบแทนนะครับ ผมไม่ได้ห้ามไม่ให้ทำบุญที่วัด แต่อยากให้เราคิดว่าเรามาแบ่งปันแก่ผู้ที่ถือศีล ผู้คนเหล่านั้นเป็นคนดี เราควรให้การสนับสนุน แล้วก็อย่ามองข้ามคนกลุ่มอื่นๆที่เขาลำบากด้วย ขอบคุณครับ
ถ้าทำบุญกับพระแล้วไม่ได้บุญคุณจะทำอยู่ไหม
ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย mokung18, 6 มีนาคม 2014.
-
“คนส่วนใหญ่ถ้าไม่มีความทุกข์ก็ไม่เข้าหาวัด ไม่เข้าหาธรรมะ อันนี้เป็นธรรมดาทุกยุคทุกสมัย ส่วนหนึ่งก็เข้าหาพระหรือเข้าวัดทำบุญ เพราะหวังความเจริญ ความมั่งมีศรีสุข หวังโชคลาภ หวังให้มีอายุยืน หวังหายป่วยหายไข้ พูดง่าย ๆ คือหวังความสุขทางโลก แต่ว่าสมัยก่อนไม่หนักเท่าสมัยนี้ สมัยนี้คนสนใจความรวยมากกว่าความดีหรือความสุข ผู้คนถูกกระตุ้นให้มีความโลภมาก นี้เป็นอิทธิพลของสังคมบริโภคนิยมซึ่งกระตุ้นให้คนอยากได้ใคร่มี จนยึดติดถือมั่นกับวัตถุ เพราะเชื่อว่าความสุขอยู่ที่วัตถุ อยู่ที่เงินทอง คนจำนวนมากชอบเครื่องรางของขลังหรือวัตถุมงคลที่อวดสรรพคุณว่าบ้านนี้อยู่แล้วรวย ใช่ไหม แต่รวยแล้วมีความสุขหรือเปล่าก็ไม่สนใจ รวยแต่ไม่มีความสุขก็ได้ ทำไมเราไม่แสวงหาความสุขแต่ไปแสวงหาความร่ำรวย ยุคนี้เน้นเรื่องความร่ำรวยมาก ทั้ง ๆ ที่ความร่ำรวยไม่ได้เป็นหลักประกันแห่งความสุข ฉะนั้นความปรารถนาความร่ำรวย จึงเป็นแรงดึงดูดที่สำคัญให้คนเข้าวัดในเวลานี้”
“มงคลทางพุทธศาสนาไม่มีใครให้ได้ ต้องเกิดจากการกระทำ ในคำสอนของพระพุทธเจ้าที่เรียก มงคลสูตร ท่านพูดถึงมงคล ๓๘ ประการ ล้วนเป็นเรื่องการทำความดีหรือทำสิ่งที่มีประโยชน์ทั้งนั้น เช่น การไม่คบคนพาล การคบบัณฑิต การบูชาบุคคลที่ควรบูชา ๓ ข้อนี้เป็นมงคลอันสูงสุด ความอ่อนน้อมถ่อมตน ความสันโดษ การฟังธรรม เหล่านี้คือมงคลอันสูงสุด พูดง่าย ๆ ความดีคือมงคล ส่วนวัตถุมงคลนั้นไม่ใช่มงคลที่ประเสริฐในพุทธศาสนา มงคลอันประเสริฐต้องเกิดจากความดีที่เราลงมือทำด้วย กาย วาจา ใจ ถ้าต้องการสิริมงคลก็ต้องทำความดี พระพุทธเจ้าตรัสว่า ธรรมย่อมคุ้มครองผู้ประพฤติธรรม ถ้าอยากแคล้วคลาดจากอันตราย ก็ต้องประพฤติธรรม สิริมงคลที่แท้จริงเกิดจากการทำความดี”
“การทำบุญเราสามารถทำได้ทุกที่ ทุกเวลา และไม่เฉพาะกับพระเท่านั้น การทำบุญไม่ได้แปลว่าต้องไปถวายเงินที่วัดเท่านั้น อยู่บ้านก็สามารถทำบุญได้ด้วยการรักษาศีล การที่คุณสมาทานศีลที่บ้าน ตั้งจิตว่าจะรักษาศีล ๕ ให้มั่นคงก็ได้บุญแล้ว อีกทั้งเป็นบุญที่มีอานิสงส์มากกว่าการถวายทานให้กับพระเสียอีก พระพุทธเจ้าตรัสว่า อานิสงส์ของทานน้อยกว่าอานิสงส์จากการรักษาศีล อานิสงส์จากการรักษาศีลน้อยกว่าอานิสงส์จากการภาวนา ดังนั้นอยู่บ้านก็ทำบุญได้ พูดอย่างนี้ไม่ได้แปลว่าเราไม่ควรไปทำบุญที่วัด
ขณะเดียวกันไม่ควรคิดว่าทำบุญช่วงนั้นช่วงนี้เท่านั้นถึงจะได้บุญมาก คุณจะทำช่วงเวลาไหนก็ได้ แต่แน่นอนคนเราส่วนใหญ่จะทำบุญก็ต้องอาศัยเทศกาลหรือบรรยากาศพาไป อย่างเช่นเทศกาลปีใหม่ คนส่วนใหญ่มองว่าเมื่อจะเริ่มต้นปีใหม่ทั้งที ก็อยากทำสิ่งที่เป็นสิริมงคล เช่นทำบุญ แบบนี้ย่อมดีกว่าการฉลองปีใหม่ด้วยการไปเที่ยวผับเที่ยวบาร์หรือกินเหล้าฉลองกัน ในเมื่อจะฉลองปีใหม่และเริ่มต้นปีใหม่ด้วยสิ่งที่เป็นสิริมงคล คุณก็ไปวัด แต่ว่านอกจากทำบุญที่วัดแล้ว เรายังสามารถทำบุญอย่างได้ เช่น ไปเลี้ยงอาหารเด็กกำพร้า ไปจัดงานเลี้ยงให้แก่คนชรา ให้อาหารสัตว์หรือหมาจรจัด เราสามารถทำบุญกับคนหรือสัตว์ที่ตกทุกข์ได้ยากก็ได้ ไม่จำเป็นต้องไปทำที่วัดที่เดียว การทำความดีเหล่านี้ช่วยให้จิตใจคุณมีความปิติอิ่มเอิบ เป็นมงคลที่เหมาะสำหรับเริ่มต้นปีใหม่”
คัดลอกจาก : มงคลที่แท้ของชีวิต
พระไพศาล วิสาโล -
ทำค่ะ..ถึงอย่างไรก็จะทำ..ถึงไม่ได้บุญก็จะทำ เพราะทำแล้วมันดีกว่าที่จะไม่ทำ ทำดีแล้วตัวเราเองสบายใจคนรอบข้างสบายใจจึงเลือกที่จะทำ ทำทุกอย่างเท่าที่จะทำได้ทั้งใส่บาตร ทำทานทุกอย่างทำเท่าที่โอกาสและปัจจัยอำนวยค่ะ อ้อ..!! และเดี๋ยวนี้ก็ไม่เคยหวังผลของการทำดีในทุกๆครั้งค่ะ
-
เนื้อนาบุญที่ดีที่สุด น่าจะเป็นใครก็ได้อาจเป็นคน เป็นสัตว์
ที่ให้เขาไปแล้วเขายินดีพอใจปลื้มใจในทานของเรา แม้จะเป็นแค่เงินเล็กๆน้อยๆ บาทสองบาทสิบบาทยี่สิบบาท
ไม่ใช่หลักพันหลักแสนหลักล้านบาทแบบทานของพวกเศรษฐี
หรือเศษอาหารเล็กๆน้อยที่เรากำลังกินอยู่ หยิบยื่นให้สัตว์ที่หิวโหยเช่นสุนัขจรจัด นก เป็นต้น -
ถ้าพระรูปนั้นไม่ดีก็ไม่ทำครับ ทำกับอย่างอื่นก็ทำบ้างแต่ถ้าเลือกได้อยากทำกับพระพุทธเจ้าครับ พระอริยะทำประจำเกือบทุกอาทิตย์อยู่แล้ว
-
บุญในปัจจุบันที่เราสังเกตได้ก็คือ ทำแล้วสุขใจ(สุขคติ) บาปทำแล้วไม่สบายใจ(อบายคติ)
เพราะธรรมทั้งปวงมีใจเป็นประธาน เกิดขึ้น สำเร็จได้ดวยใจ
ฉะนั้นเราก็ทำที่เป็นสุขใจ บุญในภายภาคหน้ามีจริงหรือไม่ประการใดไม่รู้ แต่ท่านทั้งหลายก็อุ่นใจได้ว่า ปัจจุบันเป็นสุขใจ
.ความสุขใจมันก็มีระดับหรือความเข้มตข้นนะ ตั้งแต่
.ทำบุญแล้วไม่เป็นสุขแถมทุกข์อีกเช่น คนชั่ว อันธพาล มิจฉาชีพปลอมบวช .ทำแล้วก็เฉยๆ สุขนิดๆหน่อยๆ
. ทำแล้วก็ค่อนข้างเป็นสุข เช่นให้คนดี(มีศีล) ไม่เบียดเบียนใคร
.ทำกับพระผู้ปฏิบัติดี ทรงศีล สมาธิ ชำระจิตให้สะอาด เราท่านทำแล้วก็เป็นสุขมาก
.คนเราทำได้ไม่เหมือนกัน ที่เป็นสุขมากแสดงว่าต้องมีอานิสงส์มากแน่
.เริ่มจากให้พ่อแม่ สงเคราะห์ญาติ ก็ดีทีเดียว
โมทนา สาธุ.. -
ทำบุญด้วยบุญที่เกิดจากกุศลจิต เป็นการทำบุญภายใน ไม่ใช่ทำบุญภายนอกด้วยวัตถุสิ่งของ แต่เราทำบุญโดยการสร้างกุศลจิต สร้างจิตที่ผ่องใส มีคุณงามความดี เป็นจิตที่ไม่ตระหนี่เหนียวแน่น จิตไม่เกิดโทสะ มานะทิฐิ จิตไม่ประกอบด้วยกิเลส จึงเป็นบุญมหาศาลหาค่ามิได้
ถ้าเราทำบุญอย่างนี้อยู่เสมอ ก็เป็นบุญอยู่ทุกอิริยาบท และเราก็เห็นบุญในตัวของเรา หรือการที่เราละความชั่วได้ เราไม่เก็บความชั่วไว้ในตัวของเรา อันนั้นก็เป็นบุญกุศลเกิดขึ้นที่จิต เราเองก็รู้สึกชื่นชมยินดีในตัวของเรา ที่ละทิ้งความชั่วได้ -
เจตนาที่จะทำบุญ บุญก็เกิดแล้ว
-
พระพุทธเจ้า เลือกประสูติที่ชมพูทวีป หรือในโลกของเรา เพราะมีความดี ความชั่ว มีกิเลส มีทุกข์ ทำให้สามารถปฎิบัติเพื่อนิพพานได้
ในโลกอื่น ในเมื่อไม่มีดี ไม่มีชั่ว จึงเหมือนกับไม่มีทุกข์ เมื่อมองไม่เห็นทุกข์ ก็ย่อมจะมองไม่เห็นว่าจะนิพพานไปเพื่ออะไร -
ก็ถวายเป็นสังฆทานสิหมดเรื่อง พระดีหรือพระเลวรับไปก็มีผลเสมอกัน เพราะพระที่รับเป็นเพียงแต่ตัวแทนสงฆ์เท่านั้น
ผมชอบหยอดตู้ทำบุญมากกว่าถวายเป็นสังฆทานแบบใส่ถัง เพราะมันง่ายดี เร็วด้วย อิอิอิ
แถมยังมีให้เลือกทำหลายบุญด้วย ทั้งวิหารทาน ธรรมทาน ค่าน้ำค่าไฟ ชำระหนี้สงฆ์ โอ้ เยอะแยะดีจริงๆ อิอิอิ