จขกท. ทำไมต้องมาตั้งกระทู้ที่เว็บธรรมมะแห่งนี้ด้วยล่ะครับ
นั่นก็เพราะว่าท่านมีความคิดที่ว่าศาสนาย่อมมีผล เป็นที่พึ่งพิงได้
เป็นของแท้ เป็นจริงดำเนินไปในธรรมชาติ มีผลตอบแทน ผมไม่รู้ว่า
ภูมิธรรม วิริยะ ความอดทน อดกลั้น ความเชื่อมั่น ศรัทธา และปัญญา
ท่านมีมากแค่ไหน อยากพิสูจน์ตัวท่านเองหรือไม่ ในปัญหาที่ท่านเจอ
อยู่นี้ ว่าเป็นการพิสูจน์ความมีตัวตนที่เราเองยึดมันอยู่นี้ โดยใช้สติปัญญา
ไตร่ตรอง ถึงเหตุผลสิ่งที่เราเจอและถูกกระทำ ว่ามันเป็นปัญหาที่เราไม่พอใจ
ในสิ่งที่มากระทบต่อความรู้สึกไปในทางอกุศล เป็นการอยู่และเผชิญกับมัน
โดยเราวัดความเป็นผู้มี ปัญญา วิริยะ ศรัทธา ในทางดำเนินไปในทางธรรม
ไม่ใช่ดำเนินและปล่อยไปตามทางของโลก ที่มีแต่ความมีกิเลสเป็นอกุศล
ถ้าไหนๆ จขกท คิดว่าจะลาออก(บางครั้งมันไม่ใช่ทางออกที่ดีที่สุด มันเหมือนคนขี้แพ้ยังงัยไม่รู้)
ลองเล่นบท เป็นพระเอกที่ งี้เง่า ซื่อบื่อ น่าสมเพช
น่าสงสาร ซื่อสัตว์ ซื่อตรง มีคุณธรรมความดีเป็นที่ตั้ง ให้เขาล้อเล่น โคกสับ
ดุด่า ว่าร้าย นินทา โดยกระทำด้วยความบริสุทธิ์ใจใช้พระรัตนตรัยเป็นที่ตั้ง
ในการกระทำ ไม่พยอง เย้อหญิ่ง ดูถูกเหยียดหยาม ใช้ศีล คือความเป็นปกติ
ในการดำเนินชีวิต สักวันถ้าเราทนอยู่ได้ตลอดรอดฝั่ง วันนั้นแหละคือเราได้เห็นความเป็นสัจธรรม
ในธรรมชาติอย่างแท้จริง (สังคมทุกวันนี้จะมีแแบบแผนที่เป็นอย่างนี้ ในสังคมหายากมาก
เพราะเป็นสังคมเมืองแบบเห็นแก่ตัว ประโยชน์ต่อตนเอง แบ่งพรรคพวกเป็นส่วนมาก)
ถือว่านึกอยากสนุกๆก็ได้ครับ วันนึงผลเป็นอย่างไรมาแชร์บ้างน่ะครับ
ยุคสมัยสังคมปัจจุบัน สนุกเพลิดเพลินกับวัตถุ ที่ล้ำยุคสมัย แสงสีเสียง เงินทอง
เชื่อเสียงเท่านั้นทำให้เรามีความสุข เพราะทุกคนมองแต่เพียงว่าความสุขมันคือการที่เราได้รับผลตอบแทน
ที่เราได้กระทำมันอยู่ทุกวันที่ได้มาจาก ความอดทน อดกลั้น วิริยะ อุตสาหะ
เพียงเพื่อสนองความอยาก ความต้องการ ที่มีแต่คำว่ากิเลศ อกุศล
มุมมอง อุปมาได้ว่า มีน้ำบ่อหรือสระใหญ่อยู่หลายแห่ง ที่เราจะสามารถ นำมาดื่มกินได้
เราได้มีความไม่เป็นผู้รักษา ขนเทถ่าย เติมเต็มใน
สระ-บ่อ เหล่านั้นเป็นเพียงผู้มีความคิดในความสุขที่ได้นำมา ดื่มกินอย่างมี
ความสุข สนุกสนาน เบิกบาน ตลอดอายุไขย(ย่อมมีความสุข)
หรือ
มีน้ำบ่อหรือสระใหญ่อยู่หลายแห่ง ที่เราจะสามารถ นำมาดื่มกินได้ เราได้มีความเป็นผู้รักษา ขนเทถ่าย เติมเต็มใน
สระ-บ่อ เหล่านั้นเป็นเพียงผู้มีความคิดในความสุขที่ได้นำมา ดื่มกินอย่างมี
ความสุข สนุกสนาน เบิกบาน ตลอดอายุไขย(ย่อมมีความสุข)
แบบไหนเลือกได้ทุกคนย่อมมีสิทธิ์เห็นผลประโยชน์ในการกระทำของตนทั้งสิ้น
ทรมานกับสังคมที่ทำงานครับ
ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย redeye127, 3 มิถุนายน 2014.
หน้า 2 ของ 3
-
เจอเหมือนที่เจอ เข้าใจค่ะ แต่กลับบ้านก็ปิดทุกเรื่อง ไม่เก็บมาคิด พรุ่งนี้ว่ากันใหม่
พร้อมมองหางานใหม่ เรียนรู้เรื่องๆ ใหม่ๆ เป็นกำลังใจให้นะคะ -
ขอบคุณครับ สำหรับทุกๆคำสั่งสอน ^^ " ผมคิดแคว่าซักวันหนึ่งถ้าเรามีประสบการณ์มากพอแล้วก็จะออกมาครับ และจะไม่ทำตัวแบบนี้ หัวหน้าแบบนี้ กับที่ไหนอีก คิดซะว่ามาเอาความรู้ ประสบการณ์ เพราะถ้าผ่าน บริษัทนี้ไปได้ ออกไปที่ไหน หรือ เปิดกิจการส่วนตัว ก็มีคนยอมรับอย่างแน่นอนครับ สิ่งที่ผมจะทำต่อไปคือ มองโลกแง่ดี(จะพยายามากๆ) ใครจะนินทาก็ช่างมัน คิดซะว่าซักวันเรายิ่งใหญ่ ขอบคุณครับ ผมจะทำตัวเป็นคนดีเหมื่อนเดิมครับ จะไม่ให้สิ่งแวดล้อมมาเปลี่ยนแปลงตัวผมครับ เว๊บนี้ช่วยคนหลายๆคนได้จริงๆ ขอบคุณครับ
-
ปล.จากคนที่เคยผ่านมาก่อน -
วิญญาณนิพพาน ทีมงานอาสาฯ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด
ขอฝากหนังสือชีวิตเป็นอย่างนี้ ที่อยู่ใต้ comment ของผมให้คุณ redeye127 ลอง download ไปอ่านดูครับ ยังไงลองอ่านให้จบดูครับ อ่านจบแล้วเราจะเห็นอะไรอีกหลายอย่าง ที่เราไม่เคยเห็นมาก่อนอย่างแน่นอน ยังไงก็ขอเป็นกําลังใจให้นะครับ ทุกคนเกิดมาต่างก็มีปัญหากันหมดทุกคน เพียงแต่คนละเรื่องราวกันก็แค่นั้น ทําทุกอย่างให้ดีที่สุด บางอย่างเราไปแก้ไม่ได้ ก็ต้องปล่อยวางเข้าไว้ แล้วเราจะมีความสุขครับ เราอาจจะไปแก้ไขใครไม่ได้ แต่เราสามารถทําใจของเราให้มีความสุขด้วยการคิดบวกได้ครับ จริง ๆ แล้ว ปัญหาทุกอย่างที่ผ่านเข้ามาในชีวิตเรา แท้จริงแล้วล้วนเป็นบทสอบของเราทั้งนั้น ถ้าเราผ่านมันไปได้ ในอนาคต พอคุณ redeye127 หันกลับมามองอีกครั้ง คุณ redeye127 จะเห็นได้ว่า ตัวเองแข็งแกร่งขึ้นมาอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนครับ ยังไงก็ขอให้ปล่อยวางเข้าไว้ครับ แล้วทุกอย่างจะดีเองอย่างที่ผมบอก ขอให้โชคดีครับ สู้ ๆ ครับ
-
ถวายเทพเทวดาประจำตัวหัวหน้า สำนึกผิดในสิ่งที่ตนอาจทำไปโดยไม่รู้
ในกาลก่อนจนถึงปัจจุบันที่ทำให้หัวหน้าเขาไม่ชอบเรา
ขอให้เทพเทวดาประจำตัวหัวหน้าให้ช่วยเหลือเราด้วย
อย่าให้หัวหน้าทำแบบนี้เลย เพราะไม่มีประโยชน์ต่อใครเลย
เป็นการสร้างกรรมสร้างเวร
โดยเน้นให้โทษว่าเป็นความผิดตน สวดมนต์นั่งสมาธิแผ่เมตตา
อธิษฐานจิตขอขมา (นึกกราบเลยยิ่งดี นึกภาพว่าเรากราบหัวหน้า
นึกภาพว่าเรากราบเทพเทวดาประจำตัวเขา)
อโหสิกรรมให้เขาในสิ่งที่เขาทำให้เราทุกข์ใจ
แล้วแผ่ออก ตอนกรวดน้ำตั้งจิตมั่นระลึกถึงพระแม่ธรณีให้ท่านร่วมอนุโมทนาบุญและเป็นสักขีพยาน ระลึกนึกถึงเทพเทวดาประจำตัวเขาอีกครั้ง
ฝากบุญนี้ผ่านพระแม่ไปให้เทพเทวดาประจำตัวและชื่อ -นามสกุลของหัวหน้า
ขอขมา ขอให้อโหสิกรรมซึ่งกันและกัน
เวลาไปตักบาตร ทำบุญ ถวายสังฆทานอะไร ก็กรวดน้ำแบบนี้เลยค่ะ
เจาะจงบอกชื่อ นามสกุลของหัวหน้า อธิษฐานขอให้เขามีความสุข
มีความรุ่งเรืองในหน้าที่การงาน ขอให้เมตตาเอ็นดูเราเช่นลูกหลาน
ถ้าทำใจอโหสิกรรมให้เขาได้แท้จริงเมื่อไร จะเห็นผลเร็วมาก
เวลามีสิ่งใดกระทบเข้าตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เกิดจากใครก็แล้วแต่
ให้นึกอโหสิกรรม และสวดมนต์ หรือภาวนาพุทโธเบนไป
อย่าไปใส่ใจในอารมณ์นั้น ทำไปเรื่อยๆ เดี๋ยวดีเองค่ะ สู้ๆนะคะ
นี่แหละค่ะ ก้าวแรกที่ดี ถ้าทำได้ ชีวิตเปลี่ยนแน่นอน -
อดทน และยอมรับปรับสภาพกับมันเถอะครับ ตอนแรกๆผมก็เคยเจอแบบนี้รู้สึก Fail ครับ ต่อมาผมก็มองเป็นเรื่องปกติ คลายความทุกข์ใจไปได้ต้องเยอะ
-
เคยได้ยินได้ฟังมาเยอะเหมือนกันนะคะ เรื่องสังคมในที่ทำงาน ยิ่งพอมาอ่านกระทู้นี้ และความเห็นของทุก ๆ ท่านแล้วกระจ่างเลยค่ะ มั่นใจแล้วว่าต้องเจออะไรแบบนี้แน่ ๆ ในอนาคต
แอบคิดเหมือนกันว่าไม่อยากกลับไปทำงานกะคนไทยเลย (แต่คงเลือกมากไม่ได้) โดยส่วนตัวไม่ชอบสังคมของคนไทยอยู่แล้ว มันไม่เหมือนกับสมัยมัธยม ที่ถึงแม้ไม่ใช่เพื่อนสนิทในกลุ่ม แค่อยู่ รร. เดียวกัน แต่ก็คุยกันได้
อาจจะฟังดูมองโลกในแง่ร้ายแต่มันคือความจริงค่ะ ถ้าไม่ถูกใจยังไงขออภัยด้วย
คนไทยไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ก็มีแต่คนประเภทนี้ (ตามที่คุณ จขกท. เล่าเลยค่ะ) และยิ่งถ้าเป็นสังคมของ ผญ. ด้วยจะแย่กว่านี้ ไม่ต่างจากมารยาริษยา 555+ (อันนี้ ล้อเล่นค่ะ) แต่เคยเจอมากะตัว แต่สมัยนั้นยังเด็ก เลยไม่ได้คิดอะไรมาก
ปล. ยังไงขอให้ผ่านพ้นเรื่องนี้ไปได้ด้วยดีนะคะ -
ผมใช้บท ภาวนา สัมปติจฉามิ ที่คุณ Saber โพสไว้ เมื่อนานมาแล้ว ขอบพระคุณย้อนหลังด้วยครับ
ภาวนาและแผ่เมตตา ให้คนที่มาแกล้งเราครับ
ได้ผลจริงๆครับ น่าอัศจรรย์ตั้งแต่ผมภาวนาคาถาบทนี้ และแผ่เมตตาให้เขา
เขาก็ไม่มาจองเวรอีกเลย
หัวหน้าผม จากที่เคยด่า เคยว่า พอผมภาวนา สัมปติจฉามินี่
เงียบไปเลยครับ ไม่มีมาด่า มาประชด ถึงมีก็เบามาก ซะจนน่าแปลกใจ
(อันนี้ก็แล้วแต่กรรมเก่าเราด้วยนะครับ ถ้ากรรมหนัก ก็จะเบาลงหน่อย ถ้ากรรมเบาก็อาจจะเบาจนเกือบหาย)
และ ระลึกในใจว่า ชาติที่แล้วกระผมเคยกระทำกรรมแกล้งผู้อื่นไว้
ชาตินี้ผมจึงได้รับกรรมแบบนี้
กระผมจัก ไม่ขอจองเวร แก่ใครๆที่มากระทำต่อผม
เพื่อให้ชาติหน้า จักไม่ต้องมารับผลกรรมแบบนี้อีก
กรรมก็คือการกระทำ เราทำแบบไหนก็ได้รับผลแบบนั้น ไม่มีคำว่าลำเอียง หรือ อยุติธรรม สำหรับกฏแห่งกรรม
เหมือนเราทำงานเป็นมานุษย์ เราก็ต้องได้เงินเดือน
ถ้าเราทำดีก็ได้บุญ
ทำบาปก็ได้รับผลชั่ว
สิ่งเหล่านี้มันเป็นไปตามเหตุปัจจัยที่เราทำเอง
ชาตินี้กรรมส่งผล ก็ เป็นกฏของธรรมดา อย่าไปฝืนมัน ยิ่งฝืนยิ่งทุกข์ ไม่ฝืนไม่ทุกข์ ยอมรับมัน และทำแต่ความดี อย่าไปทำความชั่ว
สมเด็จองค์ปฐมกล่าวไว้
ชาตินี้ขอทนรับกรรมเป็นชาติสุดท้าย
หากเรายังต้องเวียนว่ายตายเกิดเพราะยังไม่หมดกิเลสแล้ว
เกิดมามีร่างกาย ก็ต้องมากินข้าวที่พ่อแม่หาให้จนโต
พอถึงวัยก็ต้องไปไล่เบี้ย นั่งเรียน กันใหม่
สมัยนี้ก็ ป ตรี มั่ง ป โท มั่ง ป เอก มั่ง
ม 6 ก็มี
พอมาทำงาน ก็ต้องหา เงินซื้อข้าวกิน ซื้อบ้าน อยู่ ซื้อรถขับ
มีเมียก็ต้องทนเอาใจเมียให้ดี ถ้าเอาใจไม่ดี ไม่ถูกใจ มันก็ไม่อยากอยู่ด้วย
ทีนี้ถ้า มีลูกก็ต้องมาเลี้ยง จนกว่าจะโตแบบเราอีก
ตายไปก็มาเกิดใหม่ ก็ต้องมาทนวนลูปแบบนี้อีก ไม่เอาอีกแล้ว
ถ้าเผอิญว่าเกิิดมาชาติไหน
เกิดรักชั่วขึ้นมา ไปปล้นเขากิน ไปฆ่าแกงคนอื่นด้วยอำนาจโทสะ ไปผิดลูกผิดเมียเขา ไปกินเหล้าเมายา ไปพูดจาโกหกหลอกลวงคนอื่น
ผิดศีล ๕ มันทุกข้อ
ก็ยิ่งทุกข์หนักเข้าไปอีก คืออยู่บนโลกก็ทุกข์ เพราะความกลัวบาป และ อาจติดคุกติดตารางก็ได้
ตายไปก็ไปรับผลกรรมในนรก
เกิดมาเป็นคนใหม่ ก็เกิดมา แบบปีศาจคลุกฝุ่น คือ เกิดมาทั้งจน ทังอััปปรีย์ ทั่งจิตชั่ว ยิ่งทุกข์ขนานใหญ่
แค่เราเกิดมาปกติ ทำมาหากินแบบธรรมดา ก็ทุกข์จะตายห๋าน อยู่แล้ว
ทั้งทุกข์ใจ และทุกข์กาย
ไม่เอาแล้ว โลกนี้ เบื่อเต็มที
ไม่อยากมาทนทุกข์รับกรรมอดีตชาติอีกต่อไป
เพื่อจักได้ไม่ต้องเกิดมามีร่างกาย
ชาติหน้าขอไปนิพพานลูกเดียว
ใครอยากไปนิพพานก็ให้เริ่มรักษาศีล ๕ ได้แล้ว
ขอผลวิทยาทานนี้ ขอให้ข้าพเจ้าได้เข้าสู่พระนิพพานได้โดยง่าย โดยเร็วพลันเทอญ.... -
เกิดเป็นคนแล้วต้องเจอปัญหา เปลี่ยนงานเปลี่ยนองค์กรก็เจอปัญหาอีก อาจแบบเดิมหรือแบบใหม่ ผมพูดก็ก็เพราะผ่านมาหลายรูปแบบเหมือนกัน เพียงบอกไว้ ใช้สติ แก้ปัญหา มนุษย์เรามักติดกับความเคยชิน และกลัวการเปลี่ยนแปลง เช่นเราทำงานที่ใดนานๆ หรือ ตำแหน่งใดนานๆ มักคุ้นเคยและไม่อยากย้ายไม่อยากเปลี่ยนงาน เพราะไม่รู้ว่า ย้ายไปที่ใหม่หรือตำแหน่งใหม่แล้ว จะสบาย ๆ แบบเดิมไหม
ที่เพียงบอกเล่าก็แค่อยากให้คิดตัดสินในด้วยตัวคุณเองและใช้สติไตร่ตรองให้ดี
( มีโอกาสเมื่อไหร่ ทำงานหรือกิจการของตัวเองให้ได้ ดีที่สุด ) -
คือ ตอนนี้ผมได้รับมอบหมายงาน ที่ไม่เคยทำมาก่อนเลยอ่าครับ ไม่รู้จะทำได้ไหม อ่าครับ กลัวมากๆเลยครับ เป็นงานที่ต้องเคยเรียนหรือ ศึกษามาอ่าครับ ถึงจะทำได้ แต่เค้ามอบหมายงานใหญ่ให้เราทำแบบนี้ บีบกันหรือป่าว เนี้ย = ="
-
อันนี้คาดเดานะคะ ลองสวดคาถาพ่อปู่พระอินทร์ได้ไหมอ่ะคะ
(ไม่รู้เหมือนกันนะ)
ที่ช่วยเรื่องการสอบอ่ะค่ะ คาถาสหัสเนตโตฯ จะช่วยได้ไหมไม่รู้อ่ะค่ะ -
-
ถ้าคุณตำแหน่งผู้น้อย .. จริงๆ เค้าไม่ค่อยคาดหวังนะครับ
แต่ถ้าตำแหน่งใหญ่แล้ว เป็นเรื่องปกตินะครับ ที่จะเจองานใหม่ๆ
ทีนี้แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่าเป็นกรณีไหน ?
สังเกตดังนี้ครับ เราต้องศึกษาเต็มที่ครับ แล้วเอาเข้าไปปรึกษา
กับหัวหน้าเพิ่มเติม มันต้องมีคำถามแน่นอนหากคุณพยายามลงรายละเอียด
เช่น ถ้าแบบนี้ จะต้องอย่างงี้ไหม? เป็นต้น ซึ่งเป็นส่วนของ Requirements
ยังไม่ได้เป็นเรื่องของ Solution
ถ้าหัวหน้าเห็นว่าเราลุยงานไปบ้างแล้ว แล้วเค้าช่วยเรา
แบบนี้แสดงว่าโอเคครับ
แต่ถ้าเขาไม่ช่วยเรา โดยโยนให้เราไปคิดสรุป Requirements
เอง แบบนี้ก็มีความเป็นไปได้สูงครับที่จะโดนบีบ
แต่ถึงอย่างไร .. ก็ถือว่ามีโอกาสที่ดีครับที่จะได้ทำงานกับหัวหน้า
เพราะ ชีวิตการทำงานขึ้นกับความสัมพันธ์กับหัวหน้ามากกว่า 50% ไปแล้วครับ -
เป็นผม ผมจะไปหาหมอดู ดูว่าทำงานนี้ไปแล้วจะไปได้ไหม เหมือนดูว่า ฟ้าลิขิตให้ทำหรือไม่ทำ อย่างไหงดี ถ้าในความคิดหรือสภาพแวดล้อมต่างๆ มันบังคับให้คุณทำ นั้นฟ้าลิขิตมา ทางพระ บอกพวกนั้นเค้าทำบุญมามากย่อมมีการช่วยเหลือจากสิ่งต่างๆ แต่คุณมีกรรม
ทางธรรมก็จะบอกว่าให้คุณทำใจหรือทำจิตให้สงบ และหาทางปรับตัวเองให้เข้ากับสภาพแวดล้อมหรือฟ้าลิขิตอันนั้นให้ได้ ซึ่งก็บอกไม่ได้ แล้วแต่ฟ้าจะกำหนดให้คุณทำได้ไหม สภาพที่คุณได้รับมันมาก น้อยขนาดไหน มันไม่เหมือนกัน หรือไม่โดนกับตัวไม่รู้ ไม่งั้นคงไม่มีคนโรคจิต หรือ ฆ่ากรโรคจิตให้เห็นเยอะไป เอาง่ายๆ ทุกอย่างมันอยู่ที่ผลประโยนช์ ใครได้มากแล้วไม่ได้ คนได้น้อยเค้าก็ไม่ย่อม มีประโยนช์กับเค้าไหม ถึงคุณจะเกร่งเป็นเทพ จบสูงเทรียบฟ้า หรือเส้นใหญ่เท่าช้าง คนเหล่านั้นมันจะดีหรือชัวกับเรา ก็ไม่โพนเรื่องผลประโยนช์ คนทำกรรม ทำบุญ ก็เรื่องผลประโยนช์ที่จะได้รับ ถ้าคนเราไม่นึกถึงผลประโยนช์ ก็ดีนะจะได้ไม่ยุ่งยาก วุ่นวาย ผลประโยนช์ก็มีหลายรูปแบบส่วนใหญ่ก็คือ เงิน เงินก็เลยการเป็นเทพโดยบริยาย
ถ้าทำไม่ได้ ก็ออกมาจากสภาพนั้นดีกว่า จิตจะเสื่อมเอา เรามันจะดีจะชัวก็แล้วแต่ตัดสินใจและความคิดของเรา ถ้าทำแล้วผลประโยนช์ได้มากกว่าเสียคุณก็ทำใช้ไหม ผมเคยโดนมาแล้ว สภาพแบบนี้ คือภายในระบบมีการโกงกินกัน ผมไปพบเห็นเข้า แต่ผมไม่ได้มีประโยนช์อะไรกับเค้า และแถมไปขว้างหมอข้าวเค้า ผมเป็นคนเข้าคนไม่เกร่ง ตรงมากจนเกินไป ทุกอย่าง ถ้ามันตึงก็ต้องย่อนลงบาง ถ้าย่อนมากก็ต้องดึงให้ตึง ก็ต้องเจอแบบนี้ไปตลอด สุดท้ายก็ต้องออก ไปหาหมอดูบอก ถ้าทำต้องคุณมีโอกาศเป็นบ้า หรือถูกทำลายแน่นอน จนทุกวันนี้ผมว่าผมยังมีบุญอยู่บางที่หลุดมาได้ แต่ในอนาคตคุณก็ต้องเจอมันอีกแต่ในอีกรูปแบบใหม่ๆ ก็ต้องเตรียมรับมือก่อน เพราะมันคือประสบณ์การของชีวิต -
ขนาดเคยเป็นเด็กฝึกงาน ยังอึดอัดมากๆ ค่ะ องค์กรใหญ่ๆ แต่ละคนนี่ นิสัยติ๊ดๆๆ กันไปไหน
-
ที่คุณเล่ามาแค่ครึ่งเดียวของผมเองครับ ผมยังทนมาได้ถึงตอนนี้ก็เจ็ดปีแล้ว
ผมใช้ อิทธิบาท 4 อย่างเดียวเลยครับ ตอนนี้ชีวิตก็ดีขึ้นเรื่อยๆ
คุณก็ทำได้ ถ้าคุณอยากทำ -
บริษัทจะใหญ่โตแค่ไหนก็ไม่ใช่ของเรา จบ ทนแล้วไม่ไหวเครียด ปวดหัว จิตตก ออกเถอะ ถ้าพร้อม
-
เจอเหมือนกันครับ ต้องคิดว่าเราเป็นตัวของเรา เขาก็เป็นแบบที่เขาเป็น เราอย่ายอมให้สิ่งแวดล้อมมาเปลี่ยนแปลงตัวเราเป็นอื่นไป
เราคือมนุษย์กว่าจะได้เกิดมายากลำบากหนักหนา ความดีสะสมไว้ให้มากครับ ความชั่วก็ละเว้นเสีย หากแม้นเรายังไม่ถึงซึ่งนิพพาน อย่างน้อยเวลาต้องเดินทางไกลเราก็มีสุขคติเป็นที่หวังได้
เมื่อใดก็ตามที่อาจจะท้อแท้บ้างกับโลกธรรมแปด ลองนึกถึงพระพุทธเจ้าตอนที่ท่านจะตรัสรู้สิครับ แม้กองทัพมารเป็นร้อยเป็นพัน ยังต้องพ่ายแพ้แก่คุณงามความดีของพระองค์
แล้วเราเล่ากับเรื่องเล็กๆน้อยๆ แค่นี้ท้อเสียแล้วหรือ นั่นไม่ใช่วิสัยของลูกพระพุทธเจ้าเลย เป็นกุศโลบายเรียกกำลังใจที่ใช้ได้ผลดีครับ ลองนำไปปฏิบัติดูครับ -
แต่บางที มันก็ทำให้สุขภาพจิตเสียทุกวันเลยครับ เป็นแบบนี้ไปตลอด ผมจะกลัวว่าจะลืมความดี TvT
หน้า 2 ของ 3