ฮี้ ฮี้ ฮี้ ฮี้
แก้ว จิตตินนท์ เอาแก้วมาใส่กาแฟ ตั้งไว้เฉยๆ ไม่แตก ถามว่า
เห็น ทุกขสัจจ ในแก้วบ่
ถ้า จิตตินนท์ เห็น ทุกขสัจจ ไม่ว่า แก้วจะตั้งอยู่เฉยๆ หรือ แก้วแตกไป
แล้ว จิตตินนท์ จะบัญญัตโลก ตอนไหน ว่า อย่างไร อยู่ หรือ !?
ธรรมทั้งหลาย มิใช่ อัตตา
ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย Samarnl, 3 มิถุนายน 2013.
หน้า 3 ของ 18
-
-
^คงไม่ได้ชี้ไปที่แก้วหรอกครับพี่สาม
แก้วจิตตินนท์ ไม่ต้องวรรค -
-
" คำสอนของพระพุทธองค์ " เป็น สิ่งที่ต้องให้ใคร
ดึงความ เป็น "กู" มาช่วยรักษาไว้ไหม !?
" คำสอนของพระพุทธองค์ " ปราศจาก " กู " ผู้ช่วย
รักษา คำสอนจะสืบทอดไปได้ไหม ...
ถ้าได้ ได้ด้วยอะไร "......."
ฮะเอ่อ !?
ยกแก้ว !!!!!! ใส่ "ชา" !!!! หรือไง ??? -
หากไม่อ่าน ฟังให้รอบ คงไม่เห็นส่วนท้ายที่พระท่านกันไว้เช่นกัน
-
เนี่ย เดียวสอนมวยให้หน่อย
คุณมองเห็นรถคันหนึ่งที่ประกอบขึ้นด้วยปัจจัยต่างๆ
คุณคิดขึ้นว่า"มันมี. " นี้เรียกว่าสุตโต่งไปข้าง1 ความมี
เเต่ถ้าคุณถามต่อว่า เเล้วรถคันนี้มัน"ไม่มี" หรอ? ก็เห็นๆอยู่
อาการนี้เรียกว่าไปสุตโต่งอีกข้าง คือความไม่มี
เเต่ถ้าจะเรียกให้ถูก ไม่เข้าไปหาสุตโต่งทั้ง2 ต้องเข้าใจว่า "สิ่งใดเกิดขึ้นสิ่งนั้นย่อมดับไป
เป็นธรรมดา" อนิจจัง ทุกขัง. อนัตตา นั้นเอง -
พระวจนะ" ภิกษุทั้งหลาย สิ่ง สิ่งนั้น มีอยู่ เป็นสิ่งซึ่งในนั้นไม่มีดิน ไม่มีน้ำ ไม่มีไฟ ไม่มีลม ไม่ใช่อากาสานัญจายตนะ ไม่ใช่วิญญานัญจายตนะ ไม่ใช่อากิญจัญญายตนะ ไม่ใช่เนวสัญญานาสัญญายตนะ ไม่ใช่โลกนี้ ไม่ใช่โลกอื่น ไม่ใช่ดวงจันทร์ หรือดวงอาทิตย์ทั้งสองอย่าง ภิกษุ ในกรณีเดียวกับ สิ่งสิ่งนั้น เราไม่กล่าวว่ามีการมา ไม่กล่าวว่ามีการไป ไม่กล่าวว่ามีการหยุด ไม่กล่าวว่า มีการจุติ ไม่กล่าวว่ามีการเกิดขึ้น สิ่งนั้นไม่ได้ตั้งอยู่ สิ่งนั้น มิได้เป็นไป และสิ้่งนั้นไม่ใช่อารมณ์ นั่นแหละคือ ที่สุดแห่งทุกข์ละ----อุ.ขุ.25/206/158..:cool:
-
อะไรมิทราบครับงง ก็ถูกไหมถ้าไปบอกว่ามีมันโต่งไปข้างไปบอกว่าไม่มีมันก็โต่งไปข้าง
ทีนี้เพราะพุทธเจ้าท่านฉลาด ท่านก็ใช้หลักอิทัจปัจจยตามาจับ ท่านก็ว่ามันมีก็เพราะถ้าเหตุปัจจัยมันพอให้มีมันก็มี ไม่มีพอมันก็ไม่มี ก็เหมือนไอ้ปัญหาตายแล้วเกิดเปล่าหรือตายแล้วไม่เกิดพระพุทธเจ้าท่านก็จะตอบแบบนี้
คาถาท่านก็ว่า เพราะ สิ่งนี้มี สิ่งนี้จึ่งมี เพราะสิ่งนี้ดับ สิ่งนี้จึ่งดับไป
มันก็ไม่โต่งไปข้าง...มันกลางและ
รถก็เหมือนกันโดยสมมุติมันมี(เพราะมันเกิดจากองค์ประกอบต่างๆๆมารวมเป็นรถ) แต่โดยปรมัตถ์มันไม่มี(เพราะพอแยกส่วนต่างๆๆออกไปเราก็หารถไม่พบอีก) พระพุทธศาสนาเขาสอนให้มองแบบนี้ ไม่ไปยึดเป็นบ้าเป็นบอแง่มุมหนึ่งตายตัว แต่มองทุกๆๆด้านจนครบทุกแง่มุม
ไม่ทราบว่าที่ว่าสอนมวยสอนมวยอะไร? ข่อยว่าข่อยพูดชัดนะ
ส่วนไอ้ประโยคสุดท้ายนี้ข่อยว่าคุณสับสนในตัวเองนะ "เเต่ถ้าจะเรียกให้ถูก ไม่เข้าไปหาสุตโต่งทั้ง2 ต้องเข้าใจว่า "สิ่งใดเกิดขึ้นสิ่งนั้นย่อมดับไป
เป็นธรรมดา" อนิจจัง ทุกขัง. อนัตตา นั้นเอง" ประโยคนี้แหละ ข่อยว่าคุณสับสนนะ
จะสื่อว่าถ้าอยากให้ ไม่สุดโต่งไปสองข้างต้องเข้าใจไตรลักษณ์จะสื่อแบบนี้ใช่ไหม? มันก็ไม่ผิดนะ แต่มันอยู่ในระดับที่คุณพูดโดยไม่เข้าใจมันเลยมันเลยคล้ายๆๆคุณพูดแล้วจำคำสวยๆๆมา
กวนให้มั่วๆๆ เละเทะ นะ -
พระวจนะ." ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ที่พระองค์ทรงเรียกอยู่ว่า ธรรมเป็นที่กำจักราคะ เป็นที่กำจัดโทสะ เป็นที่กำจัดโมหะ ดังนี้ คำว่าธรรมเป้นที่กำจัดราคะ เป้นที่กำจัดโทสะ เป็นที่กำจัดโมหะ นี้เป็นคำที่ใช้เรียกแทนชื่อของอะไรเล่าพระเจ้าข้า ----ภิกษุทั้งหลาย คำว่าธรรมเป้นที่กำจัดราคะ(ราควินโย) เป็นที่กำจัดโทสะ เป็นที่กำจัดโมหะ นี้เป็นคำที่ใช้เรียกแทนชื่อของ นิพพานธาตุ เรียกว่าเป้นธรรมที่สิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย แล---มหาวาร.สํ.19/10/31.....:cool:
-
ถ้าจะมา กอดเข่าเจ่าจุก สนทนาแบบ สั้นๆ พูดว่า พระ !! พระไหน หละ
คำไหนหละ ยกมาสิ
ถ้าไม่ยกมา แล้ว มาทิ้งเป็น ปริศนา ตอบก็ไม่ตอบ โยงไปไหนก็ไม่รู้อีก
โน้น ไปโน้น
ไปขึ้นรถไฟ แล้ว ตะโกนกันสั้นๆ แบบ หมา !!!
หรือไม่ก็ ไม่ต้องตอบ -
คุณรู้เหตุที่มีปัจจัยปรุงเเต่ง อาศัยกันเกิดขึ้นมันก็ดีอยู่เเล้ว
เเต่คุณหลงยึดอัตตาบางเที่ยง บางอย่างไม่เที่ยง
ภิกษุถามใครเป็นผู้อยาก.? คุณอาจจะเพลอว่าผม อัตตาของผม เเต่ พระองค์ตรัสว่า เพราะเวทนาเป็นปัจจัย จึงเกิดตัณหา
ระบบของมันก็เป็นอย่างนี้ เกิดเพราะเหตุ ดับเพราะเหตุมันดับ คุณอย่าเอาอัตตาเข้าไปยุ่ง
อีกอย่างที่คิดเเบบนั้นว่า ในสมมุติมี ปรมัตถ์ไม่มี เเบ่งเเยก อย่างคุมเครือ
อันนี้ถ้าคนที่ความรู้น้อยนำไปสมาทาน อาจไปนรกได้
บุคคลอาจจะนำไปคิดว่า ผลเเห่งวิบาก กรรมดีกรรมชั่วไม่มี บิดามารดาไม่มี ทำให้เกิมโนทุจริต. ต่างๆเกิดขึ้นตามมา -
มันสื่อว่าคุณไม่เข้าใจคำพูดผมเลยนะ....ที่คุณพยายามจะไปนี่....
มาดู ชาวบ้านบ้าง ไม่ต้องไปอ้างคัมภีร์บาลีเปลี่ยนบรรยากาศบ้าง ให้ดูเล่นๆๆ
เอาท่านพระพรหมคุณากรณ์มาบ้างท่านว่าไง ท่านเขียนว่า
"ข้อความในพระไตรปิฎก และอรรถกถานั้น ปฏิเสธตรงไปที่อัตตาเลย ไม่ว่าจะ
มีกี่นัย คือ ไม่ต้องปฏิเสธนัยไหนของอัตตาทั้งนั้น แต่ปฏิเสธอัตตาทีเดียวหมดไปเลย คือปฏิเสธอัตตาว่าไม่มีอยู่
จริงโดยปรมัตถ์ เป็นอันว่าไม่ต้องไปพูดว่าเป็นอัตตาหรือตัวตนแบบไหน นัยอย่างไหน เพราะท่านไม่ได้ปฏิเสธ
ความหมายต่างๆ ของอัตตา แต่ท่านปฏิเสธที่คำว่าอัตตาตรงไปตรงมา ทีเดียวเสร็จสิ้นไปเลยว่า อัตตาโดย
ปรมัตถ์ไม่มี ส่วนอัตตาโดยสมมติ คือตัวตนตามภาษาพูดที่ใช้สื่อสารในชีวิตประจำวันและในระดับศีลธรรม ก็
เป็นธรรมดาอยู่แล้ว ไม่ได้มีปัญหาอะไร หมายความว่า นอกจากอัตตาที่ท่านปฏิเสธไปแล้วนี้ คำที่กล่าวถึงอัตตา
ก็เป็นการกล่าวโดยสมมติเท่านั้น
แต่ที่สำคัญก็คือว่า ไม่มีพุทธพจน์ หรือข้อความในอรรถกถา หรือในคัมภีร์แห่งใดที่ระบุว่านิพพานเป็น
อัตตา แต่มีชัดเจนที่ระบุว่านิพพานเป็นอนัตตา
ส่วนคำว่าอัตตาจะใช้ในนัยไหน อันนั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่งหรือเป็นอีกประเด็นหนึ่งทีเดียว และก็ไม่ได้มี
ปัญหาอะไรในเมื่อเรารู้อยู่แล้วว่าเป็นการใช้โดยสมมติทั้งสิ้น" (อ้างจาก กรณีธรรมกาย)
ฝรั่งถือพุทธบ้าง Professor Richard Gombrich อดีตนายกสมาคมบาลีปกรณ์แห่งอังกฤษ
"มติของพระพุทธศาสนาที่แท้ว่า อัตตามีเพียงโดยสมมติ ไม่มีจริงโดยปรมัตถ์ และนิพพานก็รวมอยู่ใน
ธรรมที่เป็นอนัตตา "(อ้างจาก กรณีธรรมกาย)
ท่านพุทธทาส
"ธรรมทั้งปวง เป็นอนัตตตา จึงหมายถึง ธรรมหรือสิ่งทั้งหลายทั้งปวงซึ่งหมายครอบคลุมทุกๆสรรพสิ่งโดยไม่มีข้อยกเว้น
ว่าโดยตามความจริงขั้นสูงสุดแล้ว(ปรมัตถ์) ไม่มีตัวไม่มีตนที่เป็นแก่นแท้ๆ ล้วนเกิดแต่เหตุปัจจัย, นิพพานหรือสภาวธรรมชาติทั้งหลายอันเป็นอสังขตธรรม
ที่ไม่มีเหตุปัจจัยมาปรุงแต่ง แต่ก็ล้วนเป็นอนัตตาเป็นเพียงสภาวธรรม เมื่อเหตุปัจจัยดับ ธรรม(สิ่ง)นั้นก็ดับ, ดังนั้นจึงมีตัวตนขณะมีเหตุปัจจัย
หรือไม่มีตัวตนเมื่อเหตุปัจจัยดับ
ตัวตนทั้งหลายนั้นจึงมีเพียงโดยสมมติ ไม่มีจริงโดยปรมัตถ์หรืออาจกล่าวอีกนัยหนึ่งได้ว่ามีตัวตนอยู่แค่ชั่วขณะระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น
ขึ้นอยู่กับพิจารณาในมุมมองขณะใด แต่ที่สุดเมื่อเหตุปัจจัยดับ ธรรมหรือสิ่งนั้นก็ต้องดับไปด้วย ท่านจึงกล่าวว่าไม่มีแก่นสารหรือไม่มีแก่นแกนแท้ๆ จึงไม่มีค่าให้ไปยึดไปอยาก "
พระNyanatiloka ท่านเขียนในหนังสือ Buddhist Dictionary ว่า
"ในกรณีของลักษณะ 2 อย่างแรก ท่านกล่าวว่า 'สังขารทั้งหลายทั้งปวง' (สพฺเพ สงฺขารา) ไม่เที่ยง และ
เป็นทุกข์ ส่วนพระบาลีที่เข้าชุดกัน สำหรับลักษณะอย่างที่ 3 ตรัสว่า 'ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา' (สพฺเพ ธมฺมา อนตฺ
ตา; มัชฌิมนิกาย สูตรที่ 35 และธรรมบท คาถาที่ 279) พุทธพจน์นี้ช่วยย้ำว่าความเห็นผิดว่ามีอัตตาหรือตัวตนที่
อยู่ยงนั้น จะใช้กับสังขารหรือสิ่งที่ปัจจัยปรุงแต่งใดๆ ก็ตาม หรือจะใช้กับนิพพาน ที่เป็นอสังขตธาตุก็ตาม ก็ไม่ได้
ทั้งนั้นพระพุทธเจ้าทรงมีพระนามว่าเป็นอนัตตวาที...พระองค์ทรงปฏิเสธอัตตาโดยปรมัตถ์ ทรงเน้นย้ำหลักความจริงแห่งอนัตตา คือภาวะไร้ตัวตน และความ
ไม่มีตัวแท้แห่งสภาวธรรมทั้งปวง หากไม่มีความรู้เข้าใจเช่นนั้น คนก็จะต้องเข้าใจนิพพานผิดพลาดไปตามความ
โน้มเอียงของตนที่เป็นข้างวัตถุนิยม หรือไม่ก็ข้างอภิปรัชญาว่า (นิพพาน) เป็นการขาดสูญของอัตตา หรือไม่ก็
เป็นภาวะเที่ยงแท้ถาวรที่อัตตาหรือตัวตนเข้าถึงหรือกลืนรวมเข้าไป " -
เห็นคำถามนี้นึกถึงพี่ขจรแว๊บนึง
ส่วนข้อความต่อ ยังกล่าวถึงหลวงพ่อชาครับ
ในช่วงสุดท้ายของการบรรยายท่านกล่าวไว้
***
ฉะนั้น การจะรู้เรื่องอนัตตา จะต้องรู้ด้วยการปฏิบัติ ถ้าเอาไปคิดเฉยๆ นะ ศีรษะมันจะแตก!
วันนั้นพูดให้ฟังแล้วครั้งหนึ่ง คงจะยังไม่เข้าใจ เพราะว่าเรื่องอนัตตานี้จะไม่สามารถเข้าใจได้โดยการฟังจากคนอื่น จะต้องพิจารณาตนเอง
*** -
คุณ สามารถ ยั้งอาการ ไปจับความคิด ที่เป็น เขม่า เข้ามาเป็นประเด็นถกเถียง
เอา เทห์แบบ เก้อๆ ได้ โดยการใช้
"ศรัทธาต่อเพื่อมนุษย์ " ซึ่ง ต้องอาศัย ความรู้ชัดในความเป็น มนุษย์ที่คุณพอมี
เอา ศรัทธา นั้นโน้มไปที่ คุณ โฮดี้โจนส์ว่า
คนอย่าง โฮดี้โจนส์ จะมี ประพฤติ อกตัญญู ไม่เคารพ สมมติสัจจะ
แบบนั้นสัตว์เดรัจฉานเป็น จริงๆ หรือ
ก็ถ้า เออ นะ คุณ โฮดี้โจนส์ แม้จะกล่าวเป็น โวหาร เหมือนว่า ไม่
เคารพต่อสมมัติสัจจะ แต่ ความประพฤติ ปฏิบัติ ไม่ได้เป็นเดรัจฉาน
แน่ๆ ขับรถ ก็สามารถไม่ขับไปชนคันอื่นได้แน่ๆ
แค่นี้ ก็ไม่ต้องไปโง่ ให้ เขม่าสัญญา มาพาปากไปพูด เพ้อเจ้อ
กล่าวหาลอยๆ ว่า โฮดี้โจนส์เป็นพวกไม่เคารพสมมติสัจจ แต่อย่างใด -
-
ว่า " สองวรรคสุดท้ายของ พระ " ว่า หมายถึง พระไหน
พระมังคละมุนี หรือ พระ(หลวงพ่อชา)[ ซึ่งผมไม่ได้ไปตามอ่าน ]
ถ้าหมายถึง มังคละมุนี อันนี้ ผมไม่ทราบเลยว่าเป็น พระ
เท่าที่รู้ เป็น ฆารวาส ที่ ปฏิภาณตัวเองว่าเป็น พระ !!
เพราะถ้าเป็นพระ ก็ ควรจะออกตัว ให้รู้ว่าเป็น พระ โดยตลอดเวลา
เพื่อไม่ให้ ฆารวาส เผลอได้รับโทษอันใหญ่หลวง
แต่ถ้า พระ หมายถึง หลวงพ่อชา ที่คุณ มาเกริ่นเรื่อง ยกอีกแก้ว ยกอีกแก้ว
อันนั้น ก็ไปเอามาแสดง ซีคร้าบ อย่าให้ ทวงซ้ำสอง ซ้ำสาม เฮียเปล่าๆ -
"แต่ไม่ดูตัวเองเลย.....เข้าตำราแม่ปูสอนลูกปู
พวกคนพาลสันดานหยาบผมไม่เสวนาด้วย
โคลงโลกนิติท่านว่า "ปลาร้าพันห่อด้วย ใบคา. ใบก็เหม็นคาวปลา คละคลุ้ง. คือคนหมู่ไปหา คบเพื่อน พาลนา. ได้แต่ ร้ายร้ายฟุ้ง เฟื่องให้เสียพงศ์" -
คนเขา quote คุณ โตเกียว หมายพูดคุย กับ โตเกียว
ก็ดัน ทะลึ่ง อ่านแบบจับไปกระเดียด อ่านแล้ว ดันเห็น
ว่ากำลังว่า ตน เลยขอสักป๊าปปปป
เออ...เนาะ
แล้วนี้ พวก กำนัน จะมาด้วยไหม -
เพราะเท่าที่ผมพิมพ์ไม่ได้มี ยกอีกแก้ว ยกอีกแก้วเลย
คุยกับพี่ไม่สนุกล่ะ
ปล.อีกนิด ไม่ได้ว่าสองวรรคสุดท้ายของพระ
แต่เขียนว่า
อ้างอิง:
ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ บุคคลทั่วไป 3 คน
ในเคส ของ อานันทสูตร
ก็เหมือน เคสของการ ยกตัวอย่าง แก้ว เอามาตั้ง แล้วกล่าวว่า
ตอนนี้ มีอัตตา คือ มีแก้ว
แล้วก็ ชักชวนให้พิจารณาเงื่อนเวลา พอผ่านไป หรือ ทำให้แก้ว
แตกลงเสีย ก็ประกาศว่า บัดนี้ แก้วไม่มี
ซึ่งเป็นอาการ บัญญัติโลก เดี๋ยวมี เดี๋ยวไม่มี เรียกว่า อาการเข้าไปส่วนสุดทั้งสอง
ซึ่งเป็นลักษณะ ของ มิจฉาทิฏฐิ
ส่วน อนัตตาธรรม ไม่ใช่ เอามา บรรยาสภาพธรรม หลังแก้วแตก หรือ หลังการสลาย
อนัตตาธรรม เป็น หลักธรรม ที่จะต้อง แทงตลอด ไม่ขึ้นกับกาล เวลา
แล้ว โน้มกล่าวเห็นว่า มันไม่มีมาตั้งแต่ต้น !! ( ประมาณ นั้น ) ***
แล้วที่ไขว้กันอยู่ก็สองวรรคสุดท้าย
__________________ -
ไอ้อาการ เห่า เข้ามา เห่า สั้นๆ โดยส่วนตัว ผมไม่เรียกว่า เข้ามาคุย
หน้า 3 ของ 18