ลุงโจว ฝึกสมาธิบ่อยไหมคับ นานหรือยัง
ตอนนี้ผมสนใจคำว่าธรรมอุทาน
แบบสะดุ้ง หรือ สว่างวาบ คับ
ธรรมะไร้กาลเวลาทั้งทางโลกทั้งทางธรรม
ในห้อง 'Black Hole' ตั้งกระทู้โดย ละอองไฟ, 8 มกราคม 2021.
หน้า 135 ของ 148
-
ก่อนหน้านั้นผมแนะนำลุงโจว่า อ่านพระไตรปิฏกแล้วตีความดีดี เพราะว่า มีหลายค่ายกล่าวไม่สมควรอาจเพราะถือว่า มันพิสูจน์ยาก แต่ผมก็เคยลองพิสูจน์นะว่า มันต่างกันมากนะ เช่น ไม่รู้ว่าสรุปเขาด่าเราหรือไม่ กับ ใช่แน่ๆมันต้องด่าเราแน่ๆ และผลลัพธ์นั้นก็เห็นได้เรื่อยๆ ว่า เราไม่สามารถกดข่มมันได้จริงๆ แม้กระทั่งการกดข่มเรายังทำให่เชื่องไม่ได้ นี่แหละเลยเห็นว่า มีหลายค่ายที่มองข้ามความจริงของสติและความมีสติที่รู้ที่เห็นอารมณ์จริงที่เกิดขึ้น มันเกินบรรยายแต่...เอาเป็นว่า ทุกๆคน ควรเห็นเองจะดีกว่า
-
-
-
ยิ่งละเอียดปราณีต จะยิ่งสุกปรั่ง สว่าง ชัด แจ๋ว
เคยเห็นภาพถ่าย ที่เขาถ่ายติด ดวงธรรมที่เขาเรียกกัน ก็ประมานนั้น
แต่จะเปร่งปรั่งชัดแจ๋ว ตามความปราณีต ความละเอียดของฌาน -
กล่องไม้ขีดไฟ เป็นที่รู้จักกันดี
อ่านแทบไม่ทัน
ตาบอดคลำช้าง
คลำส่วนไหนก็ได้
แต่อย่าไปคลำหำมันแล้วกัน
มันจะโกรธเอา...อิอิ -
-
ไหนรึเปล่า ที่ผมมองคือ เขาภาวนาเพื่อไปหาอะไรที่เขาจะไม่มีวันเห็นจริง ในขณะที่สิ่งที่เห็นจริงตรงหน้าเขาไม่สน มีเยอะแแต่ถือว่าเล็กน้อย เช่น เรื่องอุปป..มีนิพพานเป็นอารมณ์ อันนี้ผมเองก็ทึ่งนะ มีนิพพานเป็นอารมณ์ นี่แหละที่ว่า ต้องเข้าให้ถึงให้ได้ ทำไมเริ่มด้วยมีนิพพานเป็นอารมณ์ ก็ไม่ได้หมายความว่า นั่นคือความจริง แต่คนทำบางคนมันเพลินไง เหมือนเป็นผู้วืเศษลืมไปเลยว่า เขาสมมุติขึ้น แบบนี้ชัดเจนที่สุด 10 ปี ไม่ได้อะไรเลย -
ต้องเพียรลงไปอีก ร้อยละร้อย ตกสมาธิไปก่อน เพราะเอะใจ ตกใจ
ถ้าภาพปรากอบแบบนี้ ก้เป้นระดับอุปจาระสมาธิ
ถ้าคล่อง ก็จะเป็นจุดน้อมปิติอาบได้เหมือนกัน
น้อมไปฝึก ทิพจักษุได้ด้วย ในการแผ่จิต -
-
-
ไหนก็ ยก อุทายีสูตร มาแว้ว
อุทายีสูตร มีหลาย บท ก็ ลองพินา อีกสักบท เนาะ
[๓๐๐] ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกท่านพระอุทายีมาถามว่า
ดูกรอุทายี อนุสสติมีเท่าไรหนอแล เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสถามอย่างนี้แล้ว
ท่านพระอุทายีได้นิ่งอยู่ พระผู้มีพระภาคได้ตรัสถามท่านพระอุทายีแม้ครั้งที่ ๒ ว่า
ดูกรอุทายี อนุสสติมีเท่าไรหนอแล เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสถามอย่างนี้แล้ว
ท่านพระอุทายีได้นิ่งอยู่ พระผู้มีพระภาคได้ตรัสถามท่านพระอุทายีแม้ครั้งที่ ๓ ว่า
ดูกรอุทายี อนุสสติมีเท่าไรหนอแล แม้ครั้งที่ ๓ ท่านพระอุทายีก็ได้นิ่งอยู่
ลำดับนั้น ท่านพระอานนท์จึงกล่าวกะท่านพระอุทายีว่า ดูกรท่านอุทายี พระ-
*ศาสดาตรัสถามท่าน ท่านพระอุทายีได้กล่าวว่า ดูกรท่านอานนท์ ผมได้ยิน
พระดำรัสของพระผู้มีพระภาคอยู่ แล้วกราบทูลพระผู้มีพระภาคต่อไปว่า ข้าแต่
พระองค์ผู้เจริญ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมระลึกชาติก่อนได้เป็นอันมาก คือ
ระลึกได้ชาติหนึ่งบ้าง สองชาติบ้าง ฯลฯ เธอย่อมระลึกถึงชาติก่อนได้เป็น
อันมาก พร้อมทั้งอาการ พร้อมทั้งอุเทศ ด้วยประการฉะนี้ ข้าแต่พระองค์
ผู้เจริญ นี้เป็นอนุสสติ ฯ
ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคได้ตรัสกะท่านพระอานนท์ว่า ดูกรอานนท์
เราได้รู้แล้วว่า อุทายีภิกษุนี้เป็นโมฆบุรุษ ไม่เป็นผู้ประกอบอธิจิตอยู่ แล้วตรัส
ถามท่านพระอานนท์ต่อไปว่า ดูกรอานนท์ อนุสสติมีเท่าไรหนอแล ท่านพระ-
*อานนท์ได้กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อนุสสติมี ๕ ประการ ๕ ประการ
เป็นไฉน คือ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ สงัดจากกาม ฯลฯ บรรลุตติยฌานที่
พระอริยเจ้าทั้งหลายสรรเสริญว่า ผู้ได้ฌานนี้ เป็นผู้มีอุเบกขามีสติอยู่เป็นสุข
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ นี้เป็นอนุสสติซึ่งภิกษุเจริญแล้ว ทำให้มากแล้วอย่างนี้
ย่อมเป็นไปเพื่ออยู่เป็นสุขในปัจจุบัน ฯ
อีกประการหนึ่ง ภิกษุย่อมทำอาโลกสัญญาไว้ในใจ ย่อมตั้งสัญญาว่า
เป็นกลางวันอยู่ เธอกระทำอาโลกสัญญาว่ากลางวันไว้ในใจ ฉันใด กลางคืน
ก็ฉันนั้น กลางคืนฉันใด กลางวันก็ฉันนั้น เธอมีใจปลอดโปร่ง อันนิวรณ์ไม่
พัวพัน ย่อมเจริญจิตที่มีความสว่างด้วยประการฉะนี้ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
นี้เป็นอนุสสติซึ่งภิกษุเจริญแล้ว ทำให้มากแล้วอย่างนี้ ย่อมเป็นไปเพื่อได้
ญาณทัสสนะ ฯ
อีกประการหนึ่ง ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นกายนี้ เบื้องบนตั้งแต่พื้นเท้า
ขึ้นไป เบื้องต่ำตั้งแต่ปลายผมลงมา มีหนังห่อหุ้มเต็มด้วยสิ่งไม่สะอาดมีประการ
ต่างๆ ว่า ในกายนี้ มีผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก
เยื่อในกระดูก ม้าม หัวใจ ตับ พังผืด ไต ปอด ไส้ใหญ่ ไส้น้อย
อาหารใหม่ อาหารเก่า ดี เสมหะ หนอง เลือด เหงื่อ มันข้น น้ำตา
มันเหลว น้ำลาย น้ำมูก ไขข้อ มูตร ดังนี้ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ นี้เป็น
อนุสสติซึ่งภิกษุเจริญแล้ว ทำให้มากแล้วอย่างนี้ ย่อมเป็นไปเพื่อละกามราคะ ฯ
อีกประการหนึ่ง ภิกษุพึงเห็นสรีระเหมือนถูกทิ้งไว้ในป่าช้าตายแล้ว
วันหนึ่ง สองวัน หรือสามวัน พองขึ้น มีสีเขียวพราว มีหนองไหลออก
เธอย่อมน้อมซึ่งกายนี้เข้าไปเปรียบอย่างนี้ว่า กายแม้นี้แลย่อมมีอย่างนั้นเป็น
ธรรมดา ย่อมเป็นอย่างนั้น ไม่ล่วงพ้นความเป็นอย่างนั้นไปได้ อนึ่ง พึงเห็น
สรีระเหมือนถูกทิ้งไว้ในป่าช้า ฝูงกา นกตะกรุม แร้ง สุนัข สุนัขจิ้งจอก
หรือสัตว์ปาณชาติต่างๆ กำลังกัดกิน เธอย่อมน้อมกายนี้เข้าไปเปรียบอย่างนี้ว่า
กายแม้นี้แล ย่อมมีอย่างนั้นเป็นธรรมดา ย่อมเป็นอย่างนั้น ไม่ล่วงพ้นความ
เป็นอย่างนั้นไปได้ อนึ่ง พึงเห็นสรีระเหมือนถูกทิ้งไว้ในป่าช้า มีโครงกระดูก
มีเนื้อและเลือด มีเอ็นเป็นเครื่องผูก มีโครงกระดูก ไม่มีเนื้อ และเลือด
มีเอ็นเป็นเครื่องผูก มีโครงกระดูก ปราศจากเนื้อและเลือด มีเอ็นเป็นเครื่องผูก
เป็นท่อนกระดูก ปราศจากเครื่องผูก เรี่ยรายไปตามทิศต่างๆ คือ กระดูกมือ
ทางหนึ่ง กระดูกเท้าทางหนึ่ง กระดูกแข้งทางหนึ่ง กระดูกขาทางหนึ่ง กระดูก
เอวทางหนึ่ง กระดูกสันหลังทางหนึ่ง กะโหลกศีรษะทางหนึ่ง เธอย่อมน้อม
กายนี้แลเข้าไปเปรียบอย่างนี้ว่า กายแม้นี้แล ย่อมมีอย่างนั้นเป็นธรรมดา ย่อม
เป็นอย่างนั้น ไม่ล่วงพ้นความเป็นอย่างนั้นไปได้ อนึ่ง พึงเห็นสรีระเหมือนถูก
เขาทิ้งไว้ในป่าช้า เป็นกระดูกมีสีขาวเหมือนสีสังข์ เป็นท่อนกระดูก เรี่ยราด
เป็นกองเกินหนึ่งปี เป็นท่อนกระดูกผุ เป็นจุรณ เธอย่อมน้อมกายนี้เข้าไป
เปรียบอย่างนี้ว่า กายแม้นี้แล ย่อมมีอย่างนั้นเป็นธรรมดา ย่อมเป็นอย่างนั้น
ไม่ล่วงพ้นความเป็นอย่างนั้นไปได้ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ นี้เป็นอนุสสติซึ่งภิกษุ
เจริญแล้ว ทำให้มากแล้วอย่างนี้ ย่อมเป็นไปเพื่อถอนอัสมิมานะ ฯ
อีกประการหนึ่ง ภิกษุบรรลุจตุตถฌาน ไม่มีทุกข์ ไม่มีสุข เพราะละ
สุขละทุกข์และดับโสมนัสโทมนัสก่อนๆ ได้ มีอุเบกขาเป็นเหตุให้บริสุทธิ์อยู่
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ นี้เป็นอนุสสติซึ่งภิกษุเจริญแล้ว ทำให้มากแล้วอย่างนี้
ย่อมเป็นไปเพื่อแทงตลอดซึ่งธาตุหลายประการ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อนุสสติ
๕ ประการนี้แล ฯ
พ. ดีละ ดีละ อานนท์ ถ้าเช่นนั้น เธอจงจำอนุสสติข้อที่ ๖ แม้นี้
คือ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ มีสติก้าวไป มีสติถอยกลับ มีสติยืนอยู่ มีสติ
นั่งอยู่ มีสตินอน มีสติประกอบการงาน ดูกรอานนท์ นี้เป็นอนุสสติซึ่งภิกษุ
เจริญแล้ว ทำให้มากแล้วอย่างนี้ ย่อมเป็นไปเพื่อสติสัมปชัญญะ ฯ
ยาวพอประมาณ นะ แต่ไม่ได้ มุ่งให้อ่าน แต่ถ้า
จะอ่าน ก็จะสังเกตเห็นว่า
อนุสติมี 6 อย่าง
แบบเข้มๆ ก็อย่างหนึ่ง
แบบ กว้างๆไม่เป็นทรงกลม อโลกา ก็อย่างนึ่ง
นอกนั้นก็มี อีก4 อย่าง
โดยเฉพาะข้อสุดท้าย ที่พระศาสดาทรงเสริม
นี่อันนี้ ระหว่างวัน ทำให้ได้ตลอด ตรงนี้ต่าง
หากถึงจะ 7วัน ไปนั่งจุมปุ๊ก อัปปางนาน ก็ไม่ได้อะไร -
-
ที่ขยายละเอียดมาก
จะเห้นแบบนั้นเลย เสียดายผมทำตัวอย่างหาย คลิบหาย
ได้มาเมื่อ สิบปีก่อน
เขาขยายภาพจากกล้องเจาะส่องลงไปยังผิวหนังลงไปยังเซลที่ละเอียดยิบ
ไปยังจนเล็กมากๆ ถึงนิวเคลียส
จะเห้นเป็นดวงสว่างๆ กรมๆ กระพริบได้ ซ่า จะคล้ายๆกันเลย -
-
-
เพียงแต่ ความเพียรไม่ต่อเนื่อง
ฝึกนั่งสมาธิแบบสมถะ มันจะผ่านอะไรไปหลายๆอย่าง
ขาชาเอย
ปวดเข่าเอย
ปวดหน้าแข้งเอย
ปวดเอวเอย
ปวดหลังเอย
ปวดต้นคอเอย
กระดูกจะแตกเอย
น้ำลายเต็มปากเอย
ลมออกตามจุดต่างๆ มีกลางกระหม่อมเอย
ลมออกกลางหลังเอย
กระดุกคอ กระดูกสันหลังจะแตกเอย
หลังเท้าชาเป็นแรมเดือนเอย
ตูดชาเป็นเดือนเอย
กลางอกเป้นก้อนพลังงานเอย
เนี่ย พวกนี้ จะได้ลิ้มรสด้วยตัวเองทั้งสิ้น
พอผ่านมาแล้วจะพูดได้เต็มปาก
นั่งทนนั่งถึก ผ่าเวทนา มันเป็นยังไง
ภายนอกเหมือนตอไม้แข็งถื่อ ภายในกลับอ่อนนุ่มปลอดโปร่ง -
-
ที่ลุงเคยเกริ่นไว้เมื่อหลายเดือนก่อนมั้ยคะ ที่เคยบอกให้หน่วงแสง แม้ตอนลืมตา
ตอนกลางคืนก้อสามารถหน่วงให้เหมือนกลางวันได้ -
หน้า 135 ของ 148