รูปร่างหน้าตาภายนอก
รูปร่างหน้าตาภายในเรียกว่ารูป
ธรรมะไร้กาลเวลาทั้งทางโลกทั้งทางธรรม
ในห้อง 'Black Hole' ตั้งกระทู้โดย ละอองไฟ, 8 มกราคม 2021.
หน้า 140 ของ 148
-
พรุ่งนี้ค่อยมาฟังใหม่ ขอบพระคุณคับ
-
-
นิพพานมีรูปไหม
รูปนิพพานเป็นอย่างไร
หรือนิพพานไม่มีรูป -
ทุกวันก็ลืมจริงๆ ซะด้วย
หากถามว่าจะปฏิบัติทำไม?? ก็ต้อง
พิจารณาไปเนืองๆ เพื่อ
กันลืม
แล้วก็ลืมจริงๆ ด้วย ถ้าลืมสติปัฏฐานหมดทุกฐาน จะไม่เหลืออะไรเลย
55 -
อริยสัจจะทั้งหมดล้วนอยู่ในบทสวดมนต์
ทำวัตร หากสวดด้วยความเคารพ
และโน้มเข้าสู่จิตใจ ใจก็เป็นธรรม
ไปทีละเล็กทีละน้อย
สะสมเป็นนิสสัยให้เห็นความ
เป็นอนัตตาได้ ในวันหนึ่งวันใดคับ -
หากไม่มีตัวตนให้ยึดมั่นถือมั่น
จะรู้จักการยึดมั่นถือมั่นตัวตนได้อย่างไร
หากไม่มีผู้ทุกข์
จะมีผู้พ้นทุกข์ได้อย่างไร
พระพุทธเจ้าเป็นผู้พ้นทุกข์แล้ว
จึงชี้ทางพ้นทุกข์
ให้เหล่าพระสาวกพ้นทุกข์ตาม -
พุทธชนผู้มีศรัทธาเลื่อมใส ปรารถนา
ความพ้นทุกข์สิ้นเชิง
จะเดินตามทาง
ที่เป็นพระธรรมคำสอน
องค์พระศาสดาทรงชี้ทางไว้ดีแล้ว
หรือจะทำการพิสูจน์ธรรมตามพระ
โอวาทต่างๆ ก็ย่อม
ทำได้ตามจริตและสติปัญญา ศรัทธา
ความเพียร
ของแต่ละบุคคลคับ -
จริตปัญญาธิกะ
เชื่อตามเหตุผลและปัจจัย
ที่ได้ยินได้ฟังได้อ่านมา
ไม่ว่าคนพูดคนเขียนจะเป็นใครก็ตาม
โดยลงมือปฏิบัติพิสูจน์แล้วเป็นจริง
จริตศรัทธาธิกะ
เชื่อเฉพาะคนเด่นดังคนมีชื่อเสียง
เชื่อเฉพาะคนมียศใหญ่มีตำแหน่งโต
จริตวิริยะธิกะ
เชื่อเฉพาะคนที่ปฏิบัติเนสัชชิก
ปฏิบัติแบบอุกกฤษ
เชื่อเฉพาะวิธียากๆลำบากๆใช้เวลานานๆ -
แต่ผู้เข้าใจผิดยึดกาย ยึดจิตเป็นอัตตาตัวตน ยึดตา ยึดหู ยึดจมูก ยึดลิ้นกายใจว่าเป็นตน
เป็นของตน เมื่อเกิดผัสสะ
และเกิดการปรุงแต่ง เกิดความรู้สึกพอใจบ้าง รู้สึกไม่พอใจบ้าง รู้สึกกลางบ้าง
ก็เข้าใจว่าเวทนาทุกข์ สุข เฉยๆ
เหล่านั้นเป็นตน เป็นของตน
เพราะเข้าใจผิด ว่าจิต(สังขาร)เหล่านั้น
คือตน และความรู้สึกต่างๆ
นั้นก็เป็นของตน
ด้วย จึงถึงที่สุดแห่งทุกข์ไม่ได้ -
ก็เพื่อปล่อยวางเพื่อหลุดพ้นทุกข์
หาใช่เรายึดกายยึดจิต
เพื่อแบกจิตแบกกายเข้านิพพาน -
(เพราะเป็นอนิจจังทุกขัง อนัตตา)
คือเป็นทฤษฎีของพุทธะ
ถ้าต้องมีเจ้าของหรือมีผู้ยึดกายกับจิต
ก็เป็นกลายเป็นอัตตาตัวตน
(เพราะเมาอวิชชาตัณหาอุปทาน)
เป็นเพียงทิษฐิส่วนตัว ไม่เป็นสัมมาทิษฐิ
และไปไม่ถึงที่สุดแห่งทุกข์ -
ก็กลายเป็นเรามีอัตตามีตัวตน
กลายเป็นเรามีกิเลส
เรามีตัณหาเรามีราคะเรามีอุปาทาน
ประโยคนี้เห็นชัดพอไหม
เราหมดกิเลสสิ้นราคะตัณหาอุปาทาน
เราปล่อยวางจิตปล่อยวางกาย
เราก็หมดตัวตนเราก็หมดอัตตา
เราก็หลุดพ้นเราก็ไปนิพพาน
ประโยคนี้เห็นชัดพอหรือยัง -
แต่ตัวเราไม่มี(จริง)
แล้ว จะมีใครไปปล่อยวางฮับ -
มองดูแต่จิตคนอื่นเลยเห็นแต่จิตคนอื่น
ไม่มองดูกายไม่มองดูจิตตัวเอง
ง่ายๆก็คือไม่ดูตัวเองมัวดูแต่คนอื่น
ก็เลยหลงเข้าใจไปว่าตัวเราไม่มีจริง
เจ็บจริง.รักจริง.โลภจริง.โกรธจริง.
หลงจริง.แก่จริง.ตายจริง.ไม่ยักดูตัวเอง
เราศึกษาปฏิบัติธรรม
ตามคำสอนพระพุทธเจ้า
ก็เพื่อให้เราปล่อยวาง
เพื่อให้เราหลุดพ้นออกจากทุกข์
ใครที่หลงเข้าใจว่าไม่มีผู้ปล่อยวาง
ปัญญาเข้าไม่ถึงจึงไม่เห็นเราก็เท่านั้นเอง -
ชื่อกระทู้แล้ว คงจะแก้ไข
ให้ไม่ไหวฮับ
ขอเชิญแสดงโอวาทต่อตาม
จะห์บายยจ์ 555 -
แต่ลืมแก้ไขมิจฉาทิฐิให้ตัวเอง
ปัญญาแก้ปัญหาตัวเองยังไม่ได้
ยังมีหน้าเจ้าเล่เพทุบาย
เทียวไล่แก้ปัญหาให้คนอื่น
พอเหตุผลที่ยกมาถูกหักล้าง
ก็มุดดำน้ำแบบ
ข้างๆคูๆถูๆไถลๆสไลเดอร์เพ้อลงโคลนตม -
ไม่ตอบหรอกไม่อยากตอบคำถามที่ถามหาคำตอบเองเถอะ อย่าไปว่าคนอื่นเลย เพราะถ้าว่าแปลว่า เป็นมารนะเอ้า งั้นเราก็มารปะทะมาร ละอองไฟก็อย่าเป็นเหมือนเขาเหล่านั้นก็แล้วกัน
-
งั้นพระพุทธเจ้าก็โดนด้วย
คนที่กล่าวโดนพระพุทธเจ้ารวมอยู่ด้วย
จะทำยังงัยล่ะทีนี้ -
เป็นมารเพราะกิเลสมีชัยเหนือใจตน
จะเป็นพระก็เพราะชนะตน
หน้า 140 ของ 148