อย่าเอาแต่ป้องกัน
แลกหมัดบ้างก็ได้ครับ
ธรรมะไร้กาลเวลาทั้งทางโลกทั้งทางธรรม
ในห้อง 'Black Hole' ตั้งกระทู้โดย ละอองไฟ, 8 มกราคม 2021.
หน้า 2 ของ 148
-
รักษามารยาท.. ขอเป็นผู้ฟังที่ดีครับ..:):)
-
ภาษาอื่นสื่อสารไม่เป็น -
บาลี ก็มีแปลมาเป็นไทย หมั่น ศึกษาเอา
จะได้ใช้ภาษาได้ถูกต้องขึ้น -
ธรรมใดที่เป็นประโยชน์
ก็ช่วยกันเผยแผ่ให้ได้มากเท่าที่จะทำได้
อย่าเก็บไว้คนเดียวครับ -
มารู้แจ้งแทงตลอดในความหมายของคำสอนกันค่ะ!
#กายคตาสติ *เปรียบเหมือนมหาสมุทร*
กายคตาสติ เปรียบเหมือนมหาสมุทร มีแม่น้ำเป็นธรรมทั้งหลาย
"ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ใคร ๆ นึกออกถึงมหาสมุทรก็จะเห็นได้ว่า แม้น้ำน้อยทั้งหลายใด ๆ ก็ตาม ที่ไหลลงทะเล ย่อมเป็นอันผู้นั้นหยั่งเห็นได้ กายคตาสติ (สติอันไปในกาย) ใคร ๆ เจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว กุศลธรรมทั้งหลายใด ๆ ก็ตาม ที่เป็นไปในส่วนแห่งวิชชา(ความรู้ธรรมะที่เป็นจริง) ย่อมเป็นอันผู้นั้นหยั่งเห็นได้."
เอกนิบาต อังคุตตระนิกาย ๒๐/๕๕
เปรียบดั่งแม่น้ำทั้งหลาย มีมหาสุมทรเป็นที่หยั่งลงภายใน
มหาสมุทร เปรียบดั่ง กายคตาสติ (ความไม่ประมาท)
แม่น้ำทั้งหลาย เป็นอุปมาของธรรมทั้งหลาย เหล่านี้ อันได้แก่
1.อานาปานสติสมาธิ เป็นธรรมอันเอก เป็นวิหารธรรมของพระศาสดาเมื่อปลีกวิเวก เป็นเครื่องอยู่เป็นสุขในปัจจุบัน ด้วยการพิจารณาว่า ลมหายใจเข้าและลมหายใจออก นั้นเป็นกายอันหนึ่งๆในกายทั้งหลาย ดังนี้ก็ชื่อว่า เจริญกายคตาสติ
2.การรู้อิริยาบถ เดิน ยืน นั่ง นอน
เราเดินอยู่ ย่อมรู้ชัดว่า “เราเดินอยู่”
เมื่อยืน ย่อมรู้ชัดว่า "เรายืนอยู่"
เมื่อนั่ง ย่อมรู้ชัดว่า "เรานั่งอยู่"
เมื่อนอน ย่อมรู้ชัดว่า "เรานอนอยู่"
เมื่อเราตั้งกายไว้ด้วยอาการอย่างใด ก็ย่อมรู้ทั่วถึงกายนั้น ด้วยอาการอย่างนั้น ก็ชื่อว่า เจริญกายคตาสติ
3. การมีสัมปชัญญะความรู้สึกตัวทั่วพร้อม
ในกรณีการก้าวไปข้างหน้า ถอยกลับหลัง การเหลียวดูแลดู การคู้ การเหยียด ... ทำความรู้สึกตัวทั่วพร้อม ในการกิน การดื่ม การเคี้ยว การลิ้ม การถ่ายอุจจาระปัสสาวะ การไป การหยุด การนั่ง การนอน การหลับ การตื่น การพูด การนิ่ง พระองค์ทรงตรัส ถึงการเป็นผู้มีสติสัมปชัญญะ ก็ชื่อว่า เจริญกายคตาสติ
4. การพิจารณากายในเรื่องของความไม่งาม(อสุภะสัญญา)
พิจารณาเห็นกายนี้ เบื้องบนแต่พื้นเท้าขึ้นไป เบื้องต่ำแต่ปลายผมลงมา มีหนังหุ้มอยู่ โดยรอบ เต็มไปด้วยของไม่สะอาด มีประการต่างๆว่า ในกายนี้มี ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก... ก็ชื่อว่า เจริญกายคตาสติ
5. การพิจารณากายโดยความเป็นธาตุมีอยู่ในกายนี้ (ดิน น้ำ ไฟ ลม)
พิจารณากายนี้
รู้โดยความเป็นธาตุดิน
รู้โดยความเป็นธาตุน้ำ
รู้โดยความเป็นธาตุไฟ และ
รู้โดยความเป็นธาตุลม ว่าไม่สำคัญโดยความเป็นธาตุเหล่านี้ ไม่ยินดีและไม่สำคัญว่า เป็นเรา ก็ชื่อว่า เจริญกายคตาสติ
ธรรมทั้งหลายทั้งปวงมีการกระทำในใจ (มนสิการ) เป็นแดนเกิด มีผัสสะเป็นเหตุเกิด มีเวทนาเป็นที่ประชุมลง ผู้เข้าไปตั้งกายคตาสติไว้แล้ว สำรวมแล้วในผัสสายตนะ ๖ มีจิตตั้งมั่นแล้วเนืองๆ พึงรู้ความดับกิเลสของตน
กายคตาสติของเรานี้ จักเป็นสิ่งที่เราอบรม
กระทำให้มาก
กระทำให้เป็นยานเครื่องนำไป
กระทำให้เป็นของที่อาศัยได้
เพียงตั้งไว้เนืองๆ
เพียรเสริมสร้างโดยรอบคอบ
เพียรปรารภสม่ำเสมอด้วยดี ดังนี้
กายคตาสติ (การมีความระลึกรู้อยู่ที่กาย)
พระศาสดาตรัสว่า สติเป็นใหญ่ในที่ทั้งปวง ผู้ใดไม่เจริญกระทำให้มาก ซึ่ง กายคตาสติ ผู้นั้นเป็นผู้หลงลืมอมตะ (ความไม่ตาย) เป็นผู้ประมาท(ต่อความตาย) ผู้ประมาทคือผู้ที่ไม่สังวรอินทรีย์ ผู้ที่ไม่สำรวมอินทรีย์คือผู้ที่ไม่มีสติสัมปชัญญะ
พระตถาคตตรัสอุปมาว่า แม่น้ำทั้งหลาย ย่อมไหลไปสู่ โน้มไปสู่ น้อมไปสู่ โอนไปสู่สมุทร ฉันใด กุศล ธรรมเหล่าใดซึ่งเป็นไปในส่วนวิชชา มีความไม่ประมาท เป็นมูล มีความไม่ประมาทเป็นที่ประชุมลง ฉันนั้น
ความไม่ประมาทเป็นยอดแห่งกุศลธรรมทั้งหลาย มีเบื้องต้นคือศีล และทิฏฐิ ที่ตั้งไว้ตรง เป็นเบื้องต้น ดุจดั่งพระราชาทั้งหลายย่อมเดินตามพระมหาจักพรรดิ์ ผู้เป็นยอดของพระราชาเหล่านั้น พระพุทธเจ้า ตรัสว่าสิ่งที่เรียกว่า จิตก็ดี มโนก็ดี วิญญาณก็ดี ดวงหนึ่งเกิดขึ้น ดวงหนึ่งดับไปตลอดวัน ตลอดคืน ปุถุชนผู้มิได้สดับ ในธรรมไม่อาจรู้ธรรมอันเป็นเครื่องเกิดปัญญา ที่เห็นความเกิดและความดับ อันประเสริฐ
พระองค์เปรียบอุปมากายของเรานี้อันเป็นที่ประชุมแห่งมหาภูติรูป ๔
เพราะเหตุแห่งการบังเกิดขึ้น การเสื่อมลงไป การถูกยึดครอง หรือแม้แต่การตายก็ดี ปุถุชนผู้มิได้สดับ ในธรรมนี้ก็ยังพอจะเบื่อหน่าย คลายกำหนัด ปล่อยวางลงได้บ้าง ในกาย กายจึงเปรียบเหมือนเสาเขื่อน เสาหลัก ยึดกาย จึงดีกว่ายึดจิต ดังนี้
จึงควรมีสติเข้าไปตั้งไว้ในกาย นี้จึงเป็น กายคตาสติ
อันพระองค์สรรเสริญว่าเป็นหนทางที่ให้ไปถึงธรรมในเบื้องหน้า หนทางให้ไปถึง อสังขตะ ทางคือความ สิ้นไปแห่ง ราคะ ความสิ้นไปแห่งโทสะ ความสิ้นไปแห่งโมหะ
กายคตาสติ เป็นธรรมที่พระองค์สรรเสริญว่า
เป็นไปเพื่อสติสัมปชัญญะ เพื่อปัญญาเจริญไพบูลย์ มีความไม่ประมาทเป็นที่ประชุม ลง ดังนี้แล้ว กายคตาสติจึงเป็นธรรมที่เอื้อต่อความอยู่เป็นสุขในปัจจุบัน
พระสูตรเกี่ยวกับการเจริญ
" กายคตาสติ "
[๒๒๕] ดูกรภิกษุทั้งหลาย กายคตาสติอันภิกษุรูปใดรูปหนึ่งเจริญแล้วกระทำให้มากแล้ว กุศลธรรมอย่างใดอย่างหนึ่ง ซึ่งเป็นไปในส่วนวิชชา ย่อมหยั่งลงในภายในของภิกษุนั้นเปรียบเหมือนมหาสมุทรอันผู้ใดผู้หนึ่งถูกต้องด้วยใจแล้วแม่น้ำน้อยสายใดสายหนึ่งซึ่งไหลไปสู่สมุทร ย่อมหยั่งลงในภายในของผู้นั้น ฉะนั้น
[๒๒๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมข้อหนึ่งซึ่งบุคคลเจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว เป็นไปเพื่อความสังเวชใหญ่ เป็นไปเพื่อประโยชน์ใหญ่ เป็นไปเพื่อความเกษมจากโยคะใหญ่เป็นไปเพื่อสติและสัมปชัญญะ เป็นไปเพื่อได้ญาณทัสสนะ เป็นไปเพื่ออยู่เป็นสุขในปัจจุบันเป็นไปเพื่อทำให้แจ้งซึ่งผล คือวิชชาและวิมุตติ ธรรมข้อหนึ่ง คืออะไร คือ กายคตาสติ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมข้อหนึ่งนี้แลบุคคลอบรมแล้ว กระทำให้มากแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อความสังเวชใหญ่ ย่อมเป็นไปเพื่อประโยชน์ใหญ่ ย่อมเป็นไปเพื่อความเกษมจากโยคะใหญ่ ย่อมเป็นไปเพื่อสติและสัมปชัญญะ ย่อมเป็นไปเพื่อได้ญาณทัสสนะ ย่อมเป็นไปเพื่ออยู่เป็นสุขในปัจจุบัน ย่อมเป็นไปเพื่อทำให้แจ้งซึ่งผล คือ วิชชาและวิมุตติ ฯ
[๒๒๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อธรรมข้อหนึ่งบุคคลเจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว แม้กายก็สงบ แม้จิตก็สงบ แม้วิตกวิจารก็สงบ ธรรมที่เป็นไปในส่วนแห่งวิชชาแม้ทั้งสิ้น ก็ถึงความเจริญบริบูรณ์ ธรรมข้อหนึ่ง คืออะไร คือ กายคตาสติ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อธรรมข้อหนึ่งนี้แล บุคคลเจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว แม้กายก็สงบ แม้จิตก็สงบ แม้วิตกวิจารก็สงบธรรมที่เป็นไปในส่วนแห่งวิชชา แม้ทั้งสิ้นก็ถึงความเจริญบริบูรณ์ ฯ
[๒๒๘] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อธรรมข้อหนึ่งบุคคลเจริญแล้ว กระทำให้มากแล้วอกุศลธรรมที่ยังไม่เกิด ย่อมไม่เกิดขึ้นได้เลย และอกุศลธรรมที่เกิดขึ้นแล้ว ย่อมละเสียได้ธรรมข้อหนึ่ง คืออะไร คือ กายคตาสติ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อธรรมข้อหนึ่งนี้แล บุคคลเจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว อกุศลธรรมที่ยังไม่เกิด ย่อมไม่เกิดขึ้นได้เลย และอกุศลธรรมขึ้นแล้ว ย่อมละเสียได้ ฯ
[๒๒๙] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อธรรมข้อหนึ่งบุคคลเจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว กุศลธรรมที่ยังไม่เกิด ย่อมเกิดขึ้น และกุศลธรรมที่เกิดขึ้นแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อความเจริญ ไพบูลย์ยิ่ง ธรรมข้อหนึ่ง คืออะไร คือ กายคตาสติ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อธรรมข้อหนึ่งนี้แล บุคคลเจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว กุศลธรรมที่ยังไม่เกิด ย่อมเกิดขึ้น และกุศลธรรมที่เกิดขึ้นแล้ว
ย่อมเป็นไปเพื่อความเจริญ ไพบูลย์ยิ่ง ฯ
[๒๓๐] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อธรรมข้อหนึ่งบุคคลเจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว ย่อมละอวิชชาเสียได้ วิชชาย่อมเกิดขึ้น ย่อมละอัสมิมานะเสียได้ อนุสัยย่อมถึงความเพิกถอน
ย่อมละสังโยชน์เสียได้ ธรรมข้อหนึ่งคืออะไร คือ กายคตาสติ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อธรรมข้อหนึ่งนี้แล บุคคลเจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว ย่อมละอวิชชาเสียได้ วิชชาย่อมเกิดขึ้น ย่อมละอัสมิมานะเสียได้ อนุสัยย่อมถึงความเพิกถอน ย่อมละสังโยชน์เสียได้ ฯ
[๒๓๑] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อธรรมข้อหนึ่งบุคคลเจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อความแตกฉานแห่งปัญญา ย่อมเป็นไปเพื่ออนุปาทาปรินิพพาน ธรรมข้อหนึ่งคืออะไร คือ กายคตาสติ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมข้อหนึ่งนี้แล บุคคลเจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว
ย่อมเป็นไปเพื่อความแตกฉานแห่งปัญญา ย่อมเป็นไปเพื่ออนุปาทาปรินิพพาน ฯ
[๒๓๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อธรรมข้อหนึ่งบุคคลเจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว ย่อมมีการแทงตลอดธาตุมากหลาย ย่อมมีการแทงตลอดธาตุต่างๆ ย่อมมีความแตกฉานในธาตุมากหลาย ธรรมข้อหนึ่งคืออะไร คือ กายคตาสติ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อธรรมข้อหนึ่งนี้แล
บุคคลเจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว ย่อมมีการแทงตลอดธาตุมากหลาย ย่อมมีการแทงตลอดธาตุต่างๆ ย่อมมีความแตกฉานในธาตุมากหลาย ฯ
[๒๓๓] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อธรรมข้อหนึ่งบุคคลเจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อทำโสดาปัตติผลให้แจ้ง ย่อมเป็นไปเพื่อทำสกทาคามิผลให้แจ้ง ย่อมเป็นไปเพื่อทำอนาคามิผลให้แจ้ง ย่อมเป็นไปเพื่อทำอรหัตผลให้แจ้ง ธรรมข้อหนึ่งคืออะไร คือ กายคตาสติ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมข้อหนึ่งนี้แลบุคคลเจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อทำโสดาปัตติผลให้แจ้ง ย่อมเป็นไปเพื่อทำสกทาคามิผลให้แจ้ง ย่อมเป็นไปเพื่อทำอนาคามิผลให้แจ้ง ย่อมเป็นไปเพื่อทำอรหัตผลให้แจ้ง ฯ
[๒๓๔] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อธรรมข้อหนึ่งบุคคลเจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อได้ปัญญา ย่อมเป็นไปเพื่อความเจริญแห่งปัญญา ย่อมเป็นไปเพื่อความไพบูลย์แห่งปัญญา ย่อมเป็นไปเพื่อความเป็นผู้มีปัญญาใหญ่ ย่อมเป็นไปเพื่อความเป็นผู้มีปัญญามาก ย่อมเป็นไปเพื่อความเป็นผู้มีปัญญาไพบูลย์ ย่อมเป็นไปเพื่อความเป็นผู้มีปัญญาลึกซึ้ง ย่อมเป็นไปเพื่อความเป็นผู้มีปัญญาสามารถยิ่ง ย่อมเป็นไปเพื่อความเป็นผู้มีปัญญากว้างขวาง ย่อมเป็นไปเพื่อความเป็นผู้มากด้วยปัญญา ย่อมเป็นไปเพื่อความเป็นผู้มีปัญญาว่องไว ย่อมเป็นไปเพื่อความเป็นผู้มีปัญญาเร็ว ย่อมเป็นไปเพื่อความเป็นผู้มีปัญญาร่าเริง ย่อมเป็นไปเพื่อความเป็นผู้มีปัญญาแล่น
ย่อมเป็นไปเพื่อความเป็นผู้มีปัญญาคม ย่อมเป็นไปเพื่อความเป็นผู้มีปัญญาชำแรกกิเลส ธรรมข้อหนึ่งคืออะไร คือ กายคตาสติ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมข้อหนึ่งนี้แล บุคคลเจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อได้ปัญญา ... ย่อมเป็นไปเพื่อความเป็นผู้มีปัญญาชำแรกกิเลส ฯ
[๒๓๕] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ชนเหล่าใดไม่บริโภคกายคตาสติ ชนเหล่านั้นชื่อว่าย่อมไม่บริโภคอมตะ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ชนเหล่าใดบริโภคกายคตาสติ ชนเหล่านั้นชื่อว่าย่อมบริโภคอมตะ ฯ
[๒๓๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย กายคตาสติอันชนเหล่าใดไม่บริโภคแล้ว อมตะชื่อว่าอันชนเหล่านั้นไม่บริโภคแล้ว
ดูกรภิกษุทั้งหลาย กายคตาสติอันชนเหล่าใดบริโภคแล้ว อมตะชื่อว่าอันชนเหล่านั้นบริโภคแล้ว ฯ
[๒๓๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย กายคตาสติของชนเหล่าใดเสื่อมแล้ว อมตะของชนเหล่านั้นชื่อว่าเสื่อมแล้ว
ดูกรภิกษุทั้งหลาย กายคตาสติของชนเหล่าใดไม่เสื่อมแล้ว อมตะของชนเหล่านั้นชื่อว่าไม่เสื่อมแล้ว ฯ
[๒๓๘] ดูกรภิกษุทั้งหลาย กายคตาสติอันชนเหล่าใดเบื่อแล้ว อมตะชื่อว่าอันชนเหล่านั้นเบื่อแล้ว
ดูกรภิกษุทั้งหลาย กายคตาสติอันชนเหล่าใดชอบใจแล้ว อมตะชื่อว่าอันชนเหล่านั้นชอบใจแล้ว ฯ
[๒๓๙] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ชนเหล่าใดประมาทกายคตาสติ ชนเหล่านั้นชื่อว่าประมาทอมตะ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ชนเหล่าใดไม่ประมาทกายคตาสติ ชนเหล่านั้นชื่อว่าไม่ประมาทอมตะ ฯ
[๒๔๐] ดูกรภิกษุทั้งหลาย กายคตาสติอันชนเหล่าใดหลงลืม อมตะชื่อว่าอันชนเหล่านั้นหลงลืม
ดูกรภิกษุทั้งหลาย กายคตาสติอันชนเหล่าใดไม่หลงลืม อมตะชื่อว่าอันชนเหล่านั้นไม่หลงลืม ฯ
[๒๔๑] ดูกรภิกษุทั้งหลาย กายคตาสติอันชนเหล่าใดไม่ซ่องเสพแล้ว อมตะชื่อว่าอันชนเหล่านั้นไม่ซ่องเสพแล้ว
ดูกรภิกษุทั้งหลาย กายคตาสติอันชนเหล่าใดซ่องเสพแล้ว อมตะชื่อว่าอันชนเหล่านั้นซ่องเสพแล้ว ฯ
[๒๔๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย กายคตาสติอันชนเหล่าใดไม่เจริญแล้ว อมตะชื่อว่าอันชนเหล่านั้นไม่เจริญแล้ว
ดูกรภิกษุทั้งหลาย กายคตาสติอันชนเหล่าใดเจริญแล้ว อมตะชื่อว่าอันชนเหล่านั้นเจริญแล้ว ฯ
[๒๔๓] ดูกรภิกษุทั้งหลาย กายคตาสติอันชนเหล่าใดไม่ทำให้มากแล้ว อมตะชื่อว่าอันชนเหล่านั้นไม่ทำให้มากแล้ว
ดูกรภิกษุทั้งหลาย กายคตาสติอันชนเหล่าใดทำให้มากแล้ว
อมตะชื่อว่าอันชนเหล่านั้นทำให้มากแล้ว ฯ
[๒๔๔] ดูกรภิกษุทั้งหลาย กายคตาสติอันชนเหล่าใดไม่รู้ด้วยปัญญาอันยิ่ง อมตะชื่อว่าอันชนเหล่านั้นไม่รู้ด้วยปัญญาอันยิ่ง
ดูกรภิกษุทั้งหลายกายคตาสติอันชนเหล่าใดรู้ด้วยปัญญาอันยิ่ง อมตะชื่อว่าอันชนเหล่านั้นรู้ด้วยปัญญาอันยิ่ง ฯ
[๒๔๕] ดูกรภิกษุทั้งหลาย กายคตาสติอันชนเหล่าใดไม่กำหนดรู้แล้ว อมตะชื่อว่าอันชนเหล่านั้นไม่กำหนดรู้แล้ว
ดูกรภิกษุทั้งหลาย กายคตาสติอันชนเหล่าใดกำหนดรู้แล้ว อมตะชื่อว่าอันชนเหล่านั้นกำหนดรู้แล้ว ฯ
[๒๔๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย กายคตาสติอันชนเหล่าใดไม่ทำให้แจ้งแล้ว อมตะชื่อว่าอันชนเหล่านั้นไม่ทำให้แจ้งแล้ว
ดูกรภิกษุทั้งหลาย กายคตาสติอันชนเหล่าใดทำให้แจ้งแล้ว อมตะชื่อว่าอันชนเหล่านั้นทำให้แจ้งแล้ว ฯ
เอกนิบาต ๑,๐๐๐ สูตร จบบริบูรณ์
- ฉบับหลวง ๒๐/๔๒-๕/๒๒๕-๒๔๖. -
ก็อปวางง่ายดี55
-
-
ก็ไม่ได้ว่าอะไรมาก เตือนกันเฉยๆ แต่ๆๆอย่ามารักผมนะ ไม่อาาว -
ขอต่อยอดยกเป็นธรรมให้เข้าใจได้ง่ายขึ้น
จงเป็นน้ำ อย่าเป็นปลา
จงเป็นฟ้า อย่าเป็นนก
ถ้านกกับปลา มาเม้าท์กัน(ไม่มีวันจบ)
ส่วนน้ำกับฟ้า เม้าท์กันไม่ได้( แต่น้ำรู้ว่าปลาเม้าท์ ฟ้ารู้ว่านกเม้าท์)
ดังนั้น ถ้าอยู่ฝ่ายสังขาร(ปรุงแต่ง)ก็เลือกเป็นนกกะปลา
ถ้าอยู่ฝ่ายวิสังขาร จงเลือกเป็นฟ้า หรือไม่ก็เป็นน้ำ ได้แต่รู้สิ่งที่ปรุงแต่งที่เกิดขึ้น ภายในสิ่งที่ไม่อาจปรุงแต่ง
คับ
แค่นี้ก็พ้นจากความเป็นเรา
คือพ้นจากการยึดขันธ์ 5
อยู่กับฝั่งใจที่ไม่ทุกข์ คับ -
-
นี่เป็นธรรมปัจจุบัน
คับ
จะจิบกาแฟเพื่อเป็นอรหัน 4 แดดหยอฮับ -
ลุงแกวิสังขารแล้วแกไม่เห็นประโยชน์อะไรในสังขารแล้วเราผู้ยังหลงมัวเมา
กรีดๆเจ้าหนี้ด่าชวิตดีดีย์เนาะ
จิบกาแฟนั่งเล่นในวัด55 -
รอมันเกิดขึ้นอีก ค่อยว่ากันฮับ -
-
-
มันบรรลุตั้งแต่ แรกแล้ว ฮ่าๆ -
กล่องไม้ขีดไฟ เป็นที่รู้จักกันดี
ท่านไร้คมตั้งกระทู้เองเลย
ท่าทางจะชอบ... -
ไม่อะไรมากละพูดเรื่องเงินละเงียบเปลี่ยนเรื่องเลย -
เหมือนเส้นผมบังภูเขา
ก็จะได้อานิสงค์จากการคุยกันนี่แหล่ะ
คับ
แต่ใช่ว่าทุกคนจะเก็ทได้ในมุขเดียว
กันหมดคับ
หน้า 2 ของ 148