..คนเราเกิดมาต่างกัน แต่จุดหมายปลายทางเดียวกันคือป่าช้า ความเที่ยงแท้คือของหลอก ความแตกดับความตายคือของจริง..อย่าให้วันเวลาผ่านไปเปล่า.เปล่า..หมั่นทำบุญ.รักษาศีล.ประพฤติธรรม..
…หลวงปู่บุญมา สุชีโว…
ที่มา พระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น
ธรรมะ จากเพจ พระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น
ในห้อง 'หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต' ตั้งกระทู้โดย สายหลวงปู่มั่น, 4 กันยายน 2017.
หน้า 540 ของ 1045
-
สายหลวงปู่มั่น สมาชิก
-
สายหลวงปู่มั่น สมาชิก
บุญที่ทำในรูปของการถวายทานนั้น ไม่ว่าจะเป็นอาหารหรือเงินก็ตาม จุดหมายสูงสุดอยู่ที่การลดความยึดติดถือมั่นในตัวกูของกู ยิ่งลดได้มากเท่าไรก็ยิ่งเข้าใกล้นิพพานอันเป็นประโยชน์สูงสุด แต่หากทำบุญเพราะหวังแต่ประโยชน์ส่วนตน อยากได้เข้าตัวมาก ๆ แทนที่จะสละออกไป ก็ยิ่งห่างไกลจากนิพพาน หรือกลายเป็นอุปสรรคขวางกั้นนิพพานด้วยซ้ำ
(โอวาสธรรม พระไพศาล วิสาโล)
ที่มา พระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น -
สายหลวงปู่มั่น สมาชิก
เรื่อง “คำขอขมาพระรัตนตรัย”
(คัดลอกจาก วัดท่าซุง หลวงพ่อฤาษีลิงดำ)
เพื่อให้เกิดผล ควรสวดขอขมาทุกเช้าเย็น
ด้วยความตั้งใจจริง ตั้งมั่นซื่อตรงต่อธรรม
____________________________________
ที่มา พระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น -
สายหลวงปู่มั่น สมาชิก
การทำบุญทำกุศลเป็นการถางทางไปสู่ภายภาคหน้า เหมือนกับที่หลวงปู่จามบอกว่า ให้ทานเพื่อเป็นอุปนิสัยเอาไว้ ในเมื่อต่อไปภายภาคหน้าเราเคยทำบุญเป็นอุปนิสัยไว้แล้ว เกิดมาในภพใดชาติใดอาจจะพบเห็นพระปัจเจกพุทธเจ้า หรือพระพุทธเจ้า หรือพระอรหันตสาวก อย่างใดอย่างหนึ่งครองผ้ากาสาวพัสตร์ผ่านมา เราเคยทำบุญเป็นอุปนิสัยมาแล้ว พอเราเห็นผ้าเหลืองเท่านั้น เราก็สาธุ หาสิ่งของไปทำบุญกับพระอรหันต์ นั่นล่ะ อานิสงส์จะมากมายมหาศาล แต่ถ้าเราไม่เคยทำบุญไว้เป็นอุปนิสัย เห็นแล้วก็แล้วไป ไม่ได้ใส่ใจในการทำบุญทำทาน ต่อไปภายภาคหน้าเห็นพระอรหันต์ก็อย่างนั้นแหละ เห็นพระพุทธเจ้าก็อย่างนั้น เพราะฉะนั้น เราควรจะวางรากฐานของตนเอง ควรจะทำบุญทำทานไว้
เราอาจมีกระปุกขึ้นมาในครอบครัวของเรา เราจะทำบุญทุกวันไม่ให้ขาด เราก็หยอดกระปุกทุกวัน พอมีงานบุญขึ้นมา เราก็เอาเงินในกระปุกไปทำบุญ เท่ากับคนในครอบครัวทุกคนทำบุญร่วมกันเป็นกองทุนในครอบครัว ก็เป็นบุญเป็นกุศล เป็นการปลูกฝังอุปนิสัยของลูกหลานของเราให้เป็นผู้มีจิตใจน้อมไปในทางทานศีลภาวนา ทั้งสามนี้จะหนีจากกันไม่ออก ก่อนที่เราจะเจริญรุ่งเรืองเป็นพระอรหันต์ได้ เราต้องมีทานเป็นเปลือกเบื้องนอกก่อน ต่อไปก็กระพี้คือศีล และแก่นคือการภาวนา เราควรจะทำทั้งสามอย่าง ทานเป็นเครื่องเพิ่มกำลัง ศีลเป็นเครื่องเกื้อหนุน และภาวนาเป็นเครื่องตัดกิเลส
หลวงพ่ออินทร์ถวาย สนฺตุสฺสโก
๓๐ กรกฎาคม ๒๕๕๙
ที่มา พระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น -
สายหลวงปู่มั่น สมาชิก
“…อย่าพลาดท่าให้แก่โลก โลกมันไม่รู้จบ
ตอนนี้มันจบได้ มันลงได้ในใจของตน
คิดอ่านแก้ไขตนของตนให้ดี ชีวิตใดมันทำความดีได้มาก
ชีวิตนั้นจิตก็สูง มีคุณแก่ตัว
แต่ในชีวิตใดพลาดท่าตกต่ำ ก็ยากในการแก้ไข…”
โอวาทธรรมองค์หลวงปู่จาม มหาปุญโญ ผู้มากมีบุญ วัดป่าวิเวกวัฒนาราม
(วัดป่าบ้านห้วยทราย) บ้านห้วยทราย ต.คำชะอี อ.คำชะอี จ.มุกดาหาร
๓ กันยายน ๒๕๕๙
กราบขอบพระคุณและขออนุโมทนาบุญท่านเจ้าของผู้ถ่ายภาพนี้ พร้อมทั้งผู้ที่มีส่วนร่วมในการเผยแผ่โอวาทธรรมคำสอนนี้ ทุกๆ ท่านครับ
ที่มา พระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น -
สายหลวงปู่มั่น สมาชิก
” ห น ท า ง ดั บ ทุ ก ข์ ”
จิตฺตํ ทนฺตํ เอวํ นิพฺพานเสว สนฺติเก
การฝึกจิตเป็นหนทางพระนิพพาน
ผู้ฝึกหัดจิตตนได้ ผู้นั้นย่อมดับทุกข์ได้
รูปํ – รูป คือสกลกายก้อนนี้
เจตสิกํ – ดำริเจตนาของจิตจะให้เป็นดีหรือเป็นชั่ว
จิตฺตํ – ตัวเราผู้เข้าอาศัยรูปนาม สกลกายก้อนนี้ตัวเราผู้อาศัยขันธ์อาการ ๕
ปัญจขันธา ขันธ์ทั้ง ๕ อาการเป็นธรรมชาติที่มา รองรับความดีหรือ
รองรับความชั่ว
การฝึกหัดจิต/การฝึกหัดตน
จึงต้อง ตั้งลงที่ กาย
ตั้งลงที่ วาจา
ตั้งลงที่ ใจ
ตั้งลงที่รูปนามอายตนะขันธาทั้งห้า
อาศัย กาย ใจ จึงเป็นบารมีธรรม
อาศัย กาย ใจ จึงเป็นทุกข์เป็นสุข
ทุกข์ – สุข เป็นของทั่วไป คำว่า – ทั่วไป- คือ ทั่วอยู่ในกายจิต
เมื่อจิตยังคลุกเคล้าอยู่กับทุกข์แลสุข บุญและบาป ดีและชั่วนี้อยู่ต้องฝึกต้องหัดให้คืนธรรมชาติเติมอันบริสุทธิ์สะอาด
๑. เราให้ทานการกุศล เพื่อ ขจัดมัจฉริยะจิต
ขจัดความเห็นแก่ได้แก่ตัว
๒. เรารักษาศีลเพื่อให้ กาย วาจา จิต เป็นปกติดีงาม
เป็น กาย ที่จริงไม่มีทุกข์โทษ
เป็น วาจา ที่จริงไม่มีทุกข์โทษ
เป็น จิต ของผู้มีสัตยธรรม ไม่ดำริหาทุกข์หาบาป
๓. เราฝึกหัดภาวนา เพื่อเสริมกำลังของสติปัญญา
มีสติระลึกได้ มีปัญญารู้จัดการดีชั่วในตัวตน
ทุกๆ คนด้วยกันนี้ล้วนแล้วแต่คิดถึงตน หวังประโยชน์ของตน สละตนออกมาบวช มาบำเพ็ญ มาถือการปฏิบัติ ก็เพราะนึกคิดถึงตนของตนมุ่งปรับปรุงแก้ไขความดิบดื้อดิบห่ามของตน
สุหุชุ จ หมุนจิตให้ตรง ตั้งเจตนาให้ตรง
ทำจิตของตนให้ดี
เมื่อตรงแล้ว ดีแล้ว รูปนามทั้งหมดก็จะเป็นธรรมะเป็นธมฺมขนฺธา
การกระทำพฤติกรรมก็เป็นศีล
คำพูดจาก็เป็นศีล
เจตนา เจตสิก ก็เป็นศีลเป็นธรรมะ
เป็นนามธรรมอันปกติ เป็นรูปธรรมอันปกติ
เพราะเมื่อมาระลึกในความเป็นปกติของกายใจตนแล้วนี้ ว่าตนเป็นปกติดีว่าตนเป็นผู้บริสุทธิ์อยู่ ดังนี้ก็จะ มีกำลังใจ
มีกำลังขึ้นในใจ
มีใจดื่มด่ำในธรรมะ รักใคร่ยินดีพอใจในธรรมะ
เป็นความอยากความต้องการในสิ่งดีงาม
จึงมาฝึกหัดในการละ การบำเพ็ญเพียรภาวนา
ศีลวินัยมีอยู่ก็ละกิเลสได้
สมาธิภาวนามีอยู่ก็ละกิเลสได้
ปัญญามีอยู่ก็ละกิเลสได้
ให้ใช้ปัญญาอบรมจิตอยู่เสมอ อดทนอดกลั้น
จริงใจต่อการแก้ไขตนของตน
คิดถึงตัวเอง มั่นคงในการบำเพ็ญ มีเมตตา
อุเบกขาต่อโลกียวิสัย นี่คือหลักจิตหลักใหญ่ของการขัดเกลาให้เงางาม
ใช้ตนเองนำหน้าตนเอง
ใช้ขันธาทั้ง ๕ ทอดต่อธรรมะ เอาดินอิฐล่อหยกเนื้องาม
อย่าให้รูปปิดบังศีลวินัย
อย่าให้ขันธามาบังธรรมะ
องค์หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต เพิ่นว่า…
“ ขันธ์อันใดธรรมะก็อันนั้น
ขันธ์อยู่ที่ใด ธรรมะก็อยู่ในนั้น
เมาสุขเป็นขันธ์ เมาทุกข์เป็นขันธ์
เมาสมมุติเป็นขันธ์ ”
นี่ให้พิจารณาให้ดีว่า เมื่อใดยังเป็นขันธ์อยู่
เมื่อนั้นก็เป็นวิสัยของโลกโลกียะนี้อยู่
คือยังอยู่ในระดับโลกียจิต ดื้อมึนไปตามเรื่อง
หยาบไปตามเรื่อง
ดิบห่ามไปตามเรื่อง ไม่ยอมอ่อนไม่ยอมน้อมต่อธรรมวินัยข้อระเบียบ กฎเกณฑ์อันจะนำสุข นำเจริญมาสู่ตน
เป็นเนวเสกขานาเสกขจิต จิตกำลังศึกษา
จิตกำลังแสวงหา
จิตที่ยังไม่มั่นคง
ยังไม่หมดภาระจากทุกข์ จากขันธ์ จากกิเลส
ขอให้หยุดคิดพินิจพิจารณาให้ดีในตนของตน
พื้นฐาน เบื้องต้น ท่ามกลาง ที่สุด อยู่ที่ใด
ทสบารมี มรรคา วิชชา วิมุตติ พระนิพพานอยู่ที่ใด
รูปกายมีจิตครอง ให้ผลต่อโลกโลกีย์
รูปกายมีจิตคลาย ให้ผลต่อธรรมะ
จิตอยู่กับรูป หมุนจิตให้ตรง รูปก็ตรงนามก็ตรง
พระพุทธเจ้าของเรา ตอนเพิ่นเป็นพระโพธิสัตว์เพิ่นก็ไม่ได้ลืม ทาน ศีล ภาวนา บารมี ๓๐ ทัส ให้ขาดตกบกพร่องเลย
– พระมหาชนก ลอยคอในน้ำทะเลมาแล้ว ๗ วัน ไม่รู้ว่าจะตายในวันใดแต่กลับไม่ลืมอุโบสถของตน เอาน้ำทะเลบ้วนปาก สมาทานวิรัติเจตนาจะรักษาศีลอุโบสถของตน
– พระเวสสันดร ชาวเมืองไล่ออกจากพระนคร ให้ไปอยู่ป่า
แต่ไม่ทิ้งทานบารมี – ให้ทานเกวียน – ทานม้า
– ให้ทานกัณหาชินา – ชาลี
– ให้ทานมัทรีแก่พราหมณ์อินทาธิราช
– ภูริทัตต์นาคเผือกขึ้นมาจากบาดาล มาอยู่บนจอมปลวก
ไม่ลืมศีลของตน
ไม่ลืมการอดความโกรธของตน
– สุวรรณสาม ลูกธนูปักอกจะตายแล้ว
ยังรำลึกในบุญคุณของพ่อแม่ตาบอด ต้องเลี้ยงต้องดูแล
– มโหสถ ผู้เกิดมามียาติดมือมาด้วย เมื่อถูกอริศัตรูคู่แข่งใส่ร้ายป้ายสี หากแต่ก็ยังอนุเคราะห์รักษาอาการป่วยให้จนหายขาด
เหล่านี้ เป็นการให้ธาตุขันธ์รูปกายอายตนะของตนของพระมหาสัตว์เพื่อให้เป็นบารมีธรรม เป็นอุปะ เป็นปรมัตถะ
ยากเย็นนักกว่าที่จะข้ามห้วงทุกข์นี้พ้นไปได้
ให้คิดอ่านให้ดี เหยาะแหยะเหลาะแหละ โลเลเอาแต่ใจตนเอง เอาแต่ทิฐิทัสสนะมาทับมาถม อวดเขี้ยวอวดงาอยู่เช่นนี้
โอ…เมื่อใดหนอจะดีจะงาม จะเลอเลิศขึ้นมา
ปุเรกชาติ
ทูเรอวิทูเรกชาติ
อดีตชาติ ของแต่ละจิตแต่ละใจ มิใช่ของล้อเล่น หนักหนานัก
เป็นมาแล้ว ดำเนินมาแล้ว เป็นคติเป็นทางออก เป็นมรรคเป็นวิชชา เป็นทางพ้นทุกข์ จึงนำมาบัญญัติ เป็นหลักของศีลวินัย
เป็นหลักของสมาธิ
เป็นหลักของปัญญา
เป็นหลักของพระวินัย
เป็นหลักของพระสูตร
เป็นหลักของพระอภิธรรม
ศึกษาให้ดี คิดอ่านให้ดี
ศีลจะกี่ข้อก็รักษาตนของตน
ภาวนาจะกี่ครั้งก็รักษาจิต
กิริยาบุญใดๆ ก็รักษาจิต รักษามรรคา
บารมีทั้งหมดก็เพื่อจะได้วางจิตวางใจนี้ได้…..
คติธรรมองค์หลวงปู่จาม มหาปุญโญ ผู้มากมีบุญ วัดป่าวิเวกวัฒนาราม
(วัดป่าบ้านห้วยทราย) บ้านห้วยทราย ต.คำชะอี อ.คำชะอี จ.มุกดาหาร
๓ กันยายน ๒๕๕๙
กราบขอบพระคุณและขออนุโมทนาบุญท่านเจ้าของผู้ถ่ายภาพนี้ พร้อมทั้งผู้ที่มีส่วนร่วมในการเผยแผ่โอวาทธรรมคำสอนนี้ ทุก ๆ ท่านครับ
ที่มา พระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น -
สายหลวงปู่มั่น สมาชิก
~*มหาปุญฺโญวาท*~
โอวาทธรรมองค์หลวงปู่จาม มหาปุญโญ ผู้มากมีบุญ วัดป่าวิเวกวัฒนาราม
(วัดป่าบ้านห้วยทราย) บ้านห้วยทราย ต.คำชะอี อ.คำชะอี จ.มุกดาหาร
๓ กันยายน ๒๕๕๙
กราบขอบพระคุณและขออนุโมทนาบุญท่านเจ้าของผู้ถ่ายภาพนี้ พร้อมทั้งผู้ที่มีส่วนร่วมในการเผยแผ่โอวาทธรรมคำสอนนี้ ทุกๆ ท่านครับ
ที่มา พระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น -
สายหลวงปู่มั่น สมาชิก
“…โลกทุกโลก มิเคยว่างจากการเกิด ตาย มิเคยว่างจากทุกข์
เราต้องการพ้นจาก กองทุกข์ พ้นจากโลก ให้ทำความดี…”
โอวาทธรรมองค์หลวงปู่จาม มหาปุญโญ ผู้มากมีบุญ วัดป่าวิเวกวัฒนาราม
(วัดป่าบ้านห้วยทราย) บ้านห้วยทราย ต.คำชะอี อ.คำชะอี จ.มุกดาหาร
๓ กันยายน ๒๕๕๙
กราบขอบพระคุณและขออนุโมทนาบุญท่านเจ้าของผู้ถ่ายภาพนี้ พร้อมทั้งผู้ที่มีส่วนร่วมในการเผยแผ่โอวาทธรรมคำสอนนี้ ทุกๆ ท่านครับ
ที่มา พระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น -
สายหลวงปู่มั่น สมาชิก
“…ผู้จะไปพระนิพพาน ก็เพราะใจมีองค์ญาณ
หมดอาสวะใดๆ ไม่มา เกี่ยวข้องอะไรอีกในโลก
ผู้ไปแล้วจะไม่มาเกิดอีก เพราะ กายเป็นธรรมะ ใจเป็นธรรมะ…”
โอวาทธรรมองค์หลวงปู่จาม มหาปุญโญ ผู้มากมีบุญ วัดป่าวิเวกวัฒนาราม
(วัดป่าบ้านห้วยทราย) บ้านห้วยทราย ต.คำชะอี อ.คำชะอี จ.มุกดาหาร
๓ กันยายน ๒๕๕๙
กราบขอบพระคุณและขออนุโมทนาบุญท่านเจ้าของผู้ถ่ายภาพนี้ พร้อมทั้งผู้ที่มีส่วนร่วมในการเผยแผ่โอวาทธรรมคำสอนนี้ ทุกๆ ท่านครับ
ที่มา พระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น -
สายหลวงปู่มั่น สมาชิก
-
สายหลวงปู่มั่น สมาชิก
“ โคพระโพธิสัตว์ โดยหลวงปู่จาม มหาปุญโญ ผู้มากมีบุญ ”
วันหนึ่งไปเขานิมนต์ในงานวันสารท อยู่วัดศรีจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่
เมื่อคืนก่อนวันจะไปเรานั่งภาวนาอยู่ตอนใกล้แจ้งสว่างมีโพธิสัตว์ตนหนึ่งแสดงรูปเป็นโคตัวผู้ใหญ่สีแดงน้ำผึ้งป่าลักษณะงดงามทุกอย่างสะอาดสะอ้านเกลี้ยงเกลา เล็บกีบเท้า หู เขา หัว หางลักษณะเป็นโคอุสุภราชได้ทุกอย่าง มารายงานให้ทราบว่า…
“ ขอนิมนต์เทศน์โปรดเอาผมด้วยเถอะพระผู้เป็นเจ้าเอย……
กระผมตกทุกข์เป็นเดรัจฉานอยู่ วันพรุ่งนี้ท่านไปจะได้เห็นผมอยู่หน้าวัด ”
หลวงปู่จาม (มหาปุญโญ) ก็ซักถามหลายอย่างหลายประการจึงรู้ว่า..
เป็นพระโพธิสัตว์องค์ที่ ๑๑ นับแต่พระศรีอารีย์เมตไตรโย ไป
“ ผมนะครับจะได้เป็นพระพุทธเจ้าองค์หนึ่งต่อไป บำเพ็ญบารมีแบบวิริยาธิกะที่ ๒ อายุ ๙๐,๐๐๐ ปี (โคโพธิสัตว์)
จะได้ตรัสรู้อยู่ประเทศอินเดียกรุงโกสัมพี ต่อจากองค์ครูบาเจ้าศรีวิชัย แล้วก็เป็นลำดับของผมต่อไป (โคโพธิสัตว์)
ขอท่านจงเมตตาด้วยเถอะ พ้นจากวิบากกรรมเป็นโคตัวนี้แล้วจะได้ไปเกิดอยู่อีสานแล้วจะได้บวชเป็นพระ ” (โคโพธิสัตว์)
“ เอาเถอะตั้งใจบำเพ็ญของตนไปเถอะท่านโพธิสัตว์เอย ” (หลวงปู่จาม มหาปุญโญ)
ทีนี้ตอนเช้าเดินจากที่พักไปวัดศรีจอมทอง หลวงปู่จาม (มหาปุญโญ) ก็พูดกับท่านอาจารย์สิม (พุทธาจาโร) ว่า…..
“ ท่านอาจารย์วันนี้เช้านี้ พวกเราจะได้เห็นโคสีแดงออกน้ำผึ้งป่าตัวผู้ใหญ่ก่อนจะเข้าวัดศรีจอมทอง ” (หลวงปู่จาม มหาปุญโญ)
“ อย่าไปเชื่อนักเน้อนิมิตขี้จุ๊ก็มีหน๋า ” (หลวงปู่สิม พุทธาจาโร)
“ แท้ๆ นะครับท่านอาจารย์ ” (หลวงปู่จาม มหาปุญโญ)
“ เอ้าจะคอยพิสูจน์หากมีจริงก็ไม่เสียศิษย์ไม่เสียอาจารย์ ” (หลวงปู่สิม พุทธาจาโร)
ทีนี้ก็เดินไปตามทางไปเห็นโคเขาลากเกวียนมา
“ ตัวนี้หรือ ? ” (หลวงปู่สิม พุทธาจาโร)
“ไม่ใช่ครับ” งัวตัวนี้เขาไล่ไปเลี้ยงครับท่านอาจารย์ (หลวงปู่จาม มหาปุญโญ)
“ ตัวนี้หรือ ? ” “ ตัวนี้หรือ ?” (หลวงปู่สิม พุทธาจาโร)
จนไปถึงวัดศรีจอมทอง หลวงปู่จาม (มหาปุญโญ) ก็ชี้ให้ท่านพระอาจารย์สิม (พุทธาจาโร) ดู
“ นั่นท่านอาจารย์ตัวนั้นหล่ะครับ ” (หลวงปู่จาม มหาปุญโญ)
พระอาจารย์สิม (พุทธาจาโร) ก็ยังไม่เชื่อเราก็เข้าไปยืนพิจารณาอยู่ใกล้ๆ ดูลักษณะโคตามที่หลวงปู่จาม (มหาปุญโญ) อธิบายให้เพิ่นฟัง
“ โอ…เนาะแท้เน้อท่านจามเน๊อ ” (หลวงปู่สิม พุทธาจาโร)
“ ครับผม ” (หลวงปู่จาม มหาปุญโญ)
เมื่อเข้าไปในวัดแล้วโยมศรัทธาของวัดศรีจอมทอง ก็กล่าวขึ้นในท่ามกลางผู้คนญาติโยมไปทำบุญวันนั้นว่า…..
“ ตะวานนี้ผมได้ซื้อโคงามผู้หนึ่งไว้ราคา ๑๕๐ บาท ผมคนเดียวออก ๕๐ บาท คนนั้นคนนี้หลายคนออกช่วยกันได้อีก ๖๐ บาท ตอนนี้ยังขาดเงินอยู่ ๔๐ บาท ขอพี่น้องให้เมตตากรุณาธรรมแก่โคตัวนี้ด้วยเถอะจะเอาไว้ใช้เป็นโคของวัดไว้ลากเกวียนลากฟืนหรือใช้ลากของอย่างอื่น ”
พอผู้คนได้ยินดังนั้นแล้วก็ออกเงินช่วยกันมาอีกต่อยอดขึ้นไปอีกได้เงินเกือบ ๔๐๐ บาท เขาก็เรียกคนซื้อโคนั้นให้มาเอาเงิน ๑๕๐ บาท เพิ่มให้ อีก ๑๐ บาท เป็นรางวัลเพราะได้ทำบุญไถ่ชีวิต
เมื่อพระเณรฉันจังหันแล้วศรัทธาก็นิมนต์ ให้ท่านอาจารย์สิม(พุทธาจาโร) ขึ้นเทศน์ธรรมอนุโมทนาการให้ชีวิตเป็นทาน
วัดศรีจอมทองวรวิหารนี้ เดิมชื่อ วัดพระธาตุเจ้าศรีจอมทอง ตำบลบ้านหลวง อำเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่
วัดนี้บรรจุพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้าโคตมะของพวกเรา
ในสมัยพระชาติที่เกิดเป็นลูกกษัตริย์นาคชื่อภูริทัตต์นาคราช ได้ขึ้นมาบำเพ็ญบารมี(ศีลปาระมีขั้นปรมัตถ์ปาระมีของพระโพธิสัตว์) ตรงจอมปลวก ตรงที่สร้างองค์พระเจดีย์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุทุกวันนี้นี้ล่ะ
อันนี้หลวงปู่ตื้อ อจลธัมโม เพิ่นได้กล่าวเอาไว้บารมี ๓๐ ทัศของพระพุทธเจ้าของเรา…
ธรรมะประวัติองค์หลวงปู่จาม มหาปุญโญ ผู้มากมีบุญ วัดป่าวิเวกวัฒนาราม ตอนที่ ๑๙๐
(วัดป่าบ้านห้วยทราย) บ้านห้วยทราย ต.คำชะอี อ.คำชะอี จ.มุกดาหาร
๓ กันยายน ๒๕๕๙
กราบขอบพระคุณและขออนุโมทนาบุญท่านเจ้าของผู้ถ่ายภาพนี้ พร้อมทั้งผู้ที่มีส่วนร่วมในการเผยแผ่โอวาทธรรมคำสอนนี้ ทุกๆ ท่านครับ
เพจพระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น https://www.facebook.com/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B8%AB%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B9%8C-%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%A1%E0%B8%B1%E0%B9%88%E0%B8%99-238296179593402/?fref=ts
ที่มา พระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น -
สายหลวงปู่มั่น สมาชิก
นะโม โพธิสัตโต นะโม โพธิพรหมปัญโญ
อาคันติมายะ อิติภควา…
นะโม พุทธายะ พระพุทธไตรรัตนญาณ มณีนพรัตน์
สีสะหัสสะ สุธรรมา พุทโธ ธัมโม สังโฆ ยะธา พุท โม นะ พุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา อัคคีธานัง วะรังคันธัง สิวลี จะมหาเถรัง อะหังวันทามิ ทูระโต อะหังวันทามิ ธาตุโย อะหัง วันทามิ สัพพะโส พุทธะ ธรรมะ สังฆะ ปูเชมิ….
ขอนอบน้อมในพระรัตนตรัยอันเป็นสรณะสูงสุด ขอนอบน้อมนมัสการพระมหาโพธิสัต์เจ้าผู้ทรงคุณอันประเสริฐ ขอความสุขสวัสดี ความเจริญรุ่งเรืองด้วยศิริสวัสดิ์ พิพัฒนมงคล สมบูรณ์พูนผลด้วยมงคลทุกๆประการ ขอให้ทุกท่าน เจริญด้วยอายุ วรรณะ สุขะ พละ ปฏิภาน ธนสารสมบัติ โลกุตรสมบัติ เจริญรุ่งเรืองในธรรมแห่งพระสุคต มีดวงตาเห็นธรรม รู้แจ้งแทงตลอดบรรลุถึงซึ่งมรรคผลนิพพานในปัจจุบันอันใกล้นี้เทอญ สาธุ สาธุ สาธุ
ที่มา พระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น -
สายหลวงปู่มั่น สมาชิก
ราเกิดมาในกามภพนี้ จึงได้สุขจากกาม จึงได้ทุกข์จากกาม
ความรักความชัง ความยินดี ความยินร้าย
จึงเป็นตัวกาม เป็นตัวตัณหา
แม้สุขก็สุขอยู่กับทุกข์ จึงเป็นทุกข์ล้วน ๆ ในชีวิตของเรา …
โอวาทธรรมองค์หลวงปู่จาม มหาปุญโญ ผู้มากมีบุญ วัดป่าวิเวกวัฒนาราม
(วัดป่าบ้านห้วยทราย) บ้านห้วยทราย ต.คำชะอี อ.คำชะอี จ.มุกดาหาร
๓ กันยายน ๒๕๕๙
กราบขอบพระคุณและขออนุโมทนาบุญท่านเจ้าของผู้ถ่ายภาพนี้ พร้อมทั้งผู้ที่มีส่วนร่วมในการเผยแผ่โอวาทธรรมคำสอนนี้ ทุกๆ ท่านครับ
ที่มา พระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น -
สายหลวงปู่มั่น สมาชิก
“ นาคเฒ่าตาดำ บำเพ็ญบารมีธรรม ”
“ ตานาคเฒ่าอยู่ภูเขาทางด้านทิศตะวันออกของบ้านช่อแล แม่แตง เชียงใหม่ เป็นนาคมาแต่ยุคสมัยพระพุทธเจ้ากกุสันโธ
มาจนวันนี้ ๔ พระพุทธเจ้า มาตรัสรู้ในโลก เดี๋ยวนี้ยังไม่พ้นจากภพนาค
มาตั้งใจรักษาศีล ๕, ไหว้พระ เจริญภาวนา จนกว่าใกล้พระศรีอาริย์ฯ
จะลงมาตรัสรู้ จึงพ้นจากภพนาคได้เกิดเป็นมนุษย์บำเพ็ญบารมีอีกต่อไป
นาคเฒ่าตาดำ อยู่ถ้ำบิ้ง บ้านห้วยทรายนี้ แต่ก่อนก็เมาเหล้า เมาสาว เมาเพลิดเพลิน พอพระมหากัสสปะเถระเจ้ามาโปรด ก็เลิกนิสสัยขี้เมา มาช่วยสร้างพระธาตุพนม
ตายจากชาติชีวิตนั้น มาเป็นนาค รักษาธาตุพนม ตอนนี้ก็ตั้งใจภาวนา รักษาศีล บริบารรักษาพระศาสนามาพักอาศัยอยู่แถวนี้บ้าง กลับไปพระธาตุพนมบ้าง
…นี่การเกิด การตาย ว่ายเวียนของสัตว์ทั้งหลายในโลก…
เป็นอยู่เช่นนี้ ต้องให้วุ่นเฉพาะตัว ชีวิตของตัวอยู่ตลอด เกิดอยู่ในภูมิใดก็วุ่นอยู่ในภูมินั้น เพียงแต่ว่าจะให้ชีวิตของตน เป็นมงคลหรือไม่ หรือจะไม่เอาอะไรเลย ”….
ธรรมะประวัติองค์หลวงปู่จาม มหาปุญโญ ผู้มากมีบุญ วัดป่าวิเวกวัฒนาราม ตอนที่ ๑๘๙
(วัดป่าบ้านห้วยทราย) บ้านห้วยทราย ต.คำชะอี อ.คำชะอี จ.มุกดาหาร
๓ กันยายน ๒๕๕๙
กราบขอบพระคุณและขออนุโมทนาบุญท่านเจ้าของผู้ถ่ายภาพนี้ พร้อมทั้งผู้ที่มีส่วนร่วมในการเผยแผ่โอวาทธรรมคำสอนนี้ ทุกๆ ท่านครับ
เพจพระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น https://www.facebook.com/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B8%AB%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B9%8C-%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%A1%E0%B8%B1%E0%B9%88%E0%B8%99-238296179593402/?fref=ts
ที่มา พระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น -
สายหลวงปู่มั่น สมาชิก
“ พระธาตุพนม ”
ในโบราณกาลครั้นสมัยพระมหากัสสปเถระเจ้า ได้มาโปรดเอาลูกศิษย์สาวกบริวารของท่านรอบทั่วหมดเมืองหลวงพระบาง เมืองลาว เมืองกุมภวาปี(กรุงกุมภวดี) ลุจนไปถึงกัมพูชา เลาะน้ำโขงนี้ ลูกศิษย์สาวกของท่านยังมากอยู่ จึงได้มาเที่ยวโปรด
แต่ก่อนยุคปลายพุทธกาลท่านก็มาแล้วก็กลับไป พอจัดการสังคายนาครั้งที่ ๑ เสร็จแล้วก็มาอยู่แถบถิ่นนี้
ตำนานเขาว่า พ.ศ.๘ แต่ความจริงท่านมาแต่สังคายนาเสร็จแล้ว ๘ เดือน มาถึงนี่ วันเพ็ญ เดือน ๖
พระมหากัสสปเถระเจ้า พร้อมพระอรหันตสาวก ๕๐๐ องค์ อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุหัวน้ำนมหัวอก ๒ ข้างๆ ละ ๑๒ องค์ เอามาเพื่อที่จะสร้างก่อสถูปหรือขุดอุโมงค์เก็บเอาไว้ใต้ดิน
ปี พ.ศ.๒๕๑๘ พระธาตุพนมล้มพังทลายลงมา ( เมื่อ ๑๑ ส.ค.พ.ศ.๒๕๑๘ เวลา ๑๙.๓๘ น. )
สาเหตุเพราะฝนตกมากตกหนักในปีนั้น บ้านห้วยทรายนี้น้ำก็ยังท่วมอยู่หลายที่หลายแห่ง จากนั้นพระเจ้าอยู่หัวก็ให้รัฐบาล กรมศิลปากร พากันบูรณะปฏิสังขรณ์ ๓ ปีครึ่งจึงแล้วเสร็จ
ยุคสมัยที่พระมหากัสสปะ ท่านมาก่อสร้างไว้สูงแค่ ๘ เมตรเท่านั้น
ต่อมาหลายยุคหลายสมัยเขาก็ก่อเสริมขึ้น แล้วเอาพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้ามาบรรจุไว้
เมื่อธาตุพนมล้ม เขานับได้ ๔๐๗ องค์ แต่พระอุรังคธาตุนั้นเหลือ ๘ องค์
นอกนั้นเทวดาเอาขึ้นไปบนสวรรค์ เพราะแต่เดิมแท้นั้นมี ๒๔ องค์ หายไป ๑๖ องค์
เขาบูรณะแล้วบรรจุใหม่ มาถึงขณะนี้จะอยู่หรือไม่ก็ไม่รู้ได้ ”
พระธาตุพนมนี้ หลวงปู่ตื้อ อจลธัมโม กล่าวไว้ว่าพระพุทธเจ้าของเราเคยเสวยพระชาติเป็นนกคุ้มไฟ…
ธรรมะประวัติองค์หลวงปู่จาม มหาปุญโญ ผู้มากมีบุญ วัดป่าวิเวกวัฒนาราม ตอนที่ ๑๘๘
(วัดป่าบ้านห้วยทราย) บ้านห้วยทราย ต.คำชะอี อ.คำชะอี จ.มุกดาหาร
๓ กันยายน ๒๕๕๙
กราบขอบพระคุณและขออนุโมทนาบุญท่านเจ้าของผู้ถ่ายภาพนี้ พร้อมทั้งผู้ที่มีส่วนร่วมในการเผยแผ่โอวาทธรรมคำสอนนี้ ทุกๆ ท่านครับ
เพจพระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น https://www.facebook.com/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B8%AB%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B9%8C-%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%A1%E0%B8%B1%E0%B9%88%E0%B8%99-238296179593402/?fref=ts
ที่มา พระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น -
สายหลวงปู่มั่น สมาชิก
“ บาปทันตาเห็น ”
“ สมัยที่หลวงปู่ฝั้น (อาจาโร) มาอยู่วัดหนองน่อง (วัดป่าบ้านห้วยทราย) คำชะอี นครพนม (มุกดาหาร) นั้นมี ตาแง้ ขี้ฝิ่น เป็นคนกินฝิ่น ชอบขโมยของแล้วเอาเงินไปซื้อยาฝิ่น
มีอยู่วันหนึ่ง ตาแง้ ไปวัดหนองน่อง แล้วมีดโกนตราตุ๊กตาคู่ของพระหายไป แม้จะสืบสาวราวเรื่องกัน ก็จับขโมยไม่ได้ มาภายหลังรู้ว่าตาแง้ แกเอาไปขายให้พระวัดบ้านคำชะอี แล้วซื้อฝิ่นมาสูบ
พ่อออกแม่ออก ถามหลวงปู่ฝั้น (อาจาโร) ท่านก็ไม่ตอบ บอกแต่ว่า “ รู้แต่ไม่บอกว่าใคร ไม่อยากให้เกิดเรื่อง ””
เมื่อเป็นเช่นนั้น ศรัทธาญาติโยมจึงรวบรวมเงินกันได้ ๖ บาท นำไปไถ่คืนมา ตาแง้แกขาย ๔ บาท ให้กำไรเขา ๒ บาท แล้วนำมาคืนแก่พระรูปนั้น พระรูปนั้นก็ไม่เอา สละไว้เป็นของสงฆ์
ตาแง้ จำเลยก็หายหน้าไป แต่เขาจับได้ว่าเป็นขโมยก็อายเข้าหน้าใครไม่ได้ จึงไม่พอใจพระวัดป่าหนองน่อง
จากนั้นก็พยายามเบียดเบียนพระวัดป่าหลายอย่าง เอาหนามอืบปิดทางบิณฑบาต ตัดต้นไม้ขวางทาง ทุบอุแอ่งแคงหม้อน้ำ
ในที่สุดแกก็ได้รับผลกรรม แกออกไปหาอยู่หากินกลางทุ่งนาหาปลาหากบหาเขียด มีควายหงานตัวหนุ่มไล่ขวิดไล่ชน แกวิ่งหนีหลบเข้าอุ่มหนามจะคองเนื้อตัวเสื้อผ้าขาดรุ่งริ่ง เลือดไหลซึม
แกก็เริ่มป่วย เพราะปางตายจากควายอีกทั้งขาดยาฝิ่น อยู่แต่ในบ้าน ไปมารอบบ้านไปมาก็ไปชนตงชนคานชนเสาบ้าน ตกกระไดบ้านก็ตก หัวม้างข้างแตกเลือดไหลซึมหัวบวม นอนป่วยอยู่หลายเดือน
วันที่แกจะตาย หนังหัวขาด เลือดไหลออก อุแอ่งหม้อน้ำในบ้านแตกหมดทุกใบ ต้องไปยืมบ้านอื่นมาใช้ เป็นบาปทันตาเห็น
ผู้ข้าฯ นอนป่วยอยู่ แม่ออกมาเล่าสู่ฟังว่าหลวงปู่ฝั้น (อาจาโร) และหมู่พระ เณรมาสวดกุสลามาติกาให้ และบอกอโหสิกรรม เป็นเหตุให้ผู้ที่ไม่พอใจพระวัดป่า กลับลดทิฐิลงมากก็หลายคน มานิยมนับถือพระธุดงคกรรมฐาน
หลวงปู่ฝั้น (อาจาโร) ไปแล้ว ท่านอาจารย์ดี (ฉนฺโน) มาอยู่แทน อยู่ได้ ๒ ปี ก็หนีไปเป็นวัดร้างได้ปีหนึ่ง อาจารย์พัน (กนฺตสีโล) ก็มาอยู่แทนได้หลายปีจนปี พ.ศ.๒๔๘๒ ผู้ข้าไปบวชก็มาจำพรรษาวัดหนองน่องนั่นหล่ะ…
ธรรมะประวัติองค์หลวงปู่จาม มหาปุญโญ ผู้มากมีบุญ วัดป่าวิเวกวัฒนาราม ตอนที่ ๑๘๗
(วัดป่าบ้านห้วยทราย) บ้านห้วยทราย ต.คำชะอี อ.คำชะอี จ.มุกดาหาร
๓ กันยายน ๒๕๕๙
กราบขอบพระคุณและขออนุโมทนาบุญท่านเจ้าของผู้ถ่ายภาพนี้ พร้อมทั้งผู้ที่มีส่วนร่วมในการเผยแผ่โอวาทธรรมคำสอนนี้ ทุกๆ ท่านครับ
เพจพระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น https://www.facebook.com/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B8%AB%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B9%8C-%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%A1%E0%B8%B1%E0%B9%88%E0%B8%99-238296179593402/?fref=ts
ที่มา พระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น -
สายหลวงปู่มั่น สมาชิก
“ บุพพกรรมเก่าของตัวเอง ”
ผู้ข้าฯ หนีจากผีพวกนั้นมาอยู่สันป่าเคียะใกล้แม่กอย จะภาวนาอยู่นั้นก็ไม่อยู่ ทั้งที่ภาวนาก็ดีอยู่ จิตใจนึกคิดแต่ไปทางอำเภอสะเมิง เชียงใหม่
จึงได้ลงไปดอยแม่ปั๋ง อาจารย์หนู สุจิตโต ไม่ไปด้วย ลาจากกันแล้วก็ลงไปแม่แตง ต่อไปแม่ริม เชียงใหม่ เข้าไปทางสะเมิง
มาคิดดูเดี๋ยวนี้เห็นจะเป็นพระบุพพกรรมของตนก็เป็นไป ไปถึงสะเมิงแล้วก็ต่อไปทางแม่บ่อแก้ว ว่าจะไปเสาะหาที่เจริญภาวนาก็เลยหลงดงหลงป่า หมู่บ้านผู้คนในยุคสมัยนั้นก็อยู่ห่างไกลกันยิ่งนัก เดินลัดตัดดอยขึ้นลงๆ อยู่อย่างนั้น
อาหารบิณฑบาตก็ลำบากที่สุด บางวันได้แต่ข้าวเปล่า บางวันได้กล้วยลูกสองลูก บางวันได้น้ำอ้อยก้อน
บากบั่นมุทะลุแท้ๆ ล่ะ สมัยยังหนุ่มแน่น เดินทางตลอดวัน ค่ำไหนนอนนั่น มันอยากแต่จะไปก็ให้มันไปลองดู มันจะเป็นอย่างไร ได้ฉันบ้างไม่ได้ฉันบ้าง ร่างกายก็อ่อนเพลียลง ยังดีแต่จิตใจยังมุ่งมั่นบากบั่นอยู่ ยังสู้อยู่ ไม่บ้าก็ใกล้ๆ บ้า เป็นคนน้อยหนุ่มนี้คิดนึกปุ๊บก็แต่งบริขารใส่บาตรใส่ย่ามก็ออกเดินทางทันที
ใกล้ค่ำแล้วจึงได้ไปพบปะหมู่บ้านหนึ่ง ก็เลยพักปักกลดอยู่ใกล้ริมน้ำสายหนึ่ง ชาวบ้านมาเห็นเข้าจึงได้พาไปพักอยู่เถียงนา แล้วเขาก็ไปแจ้งข่าวกับผู้ใหญ่กับผู้เฒ่าแก่บ้านแก่เมือง ว่ามีพระธุดงค์มาพักอยู่เถียงนานอกหมู่บ้าน
โยมผู้ใหญ่บ้านคนนั้นก็จัดการฆ่าไก่แล้วต้มยำมาให้เราฉันตอนค่ำมืด จุดตะเกียงส่องทางมา
“ ท่านเอ๊ย นิมนต์ฉันเต๊อะ เดินทางไกลมาทั้งวัน นิมนต์ฉันภัตนี้เต๊อะ ลูกบ้านของผมได้เข้าไปบอกว่า นิมนต์ท่านมาพักอยู่นี้ ผมจึงได้ฆ่าไก่แล้วต้มทำมาให้ท่านได้ฉัน ภิกษุเดินทางฉันได้ นิมนต์เถอะครับ ”
เราก็ปฏิเสธว่า… “ อาตมาฉันวันละหน ฉันแต่เช้าแล้วก็แล้วไป ตื่นเช้ามาก็ออกบิณฑบาตขอมาฉันแล้วก็แล้ว พระธุดงค์พระป่าไม่พากันนิยมฉันหลังตะวันเที่ยงตรงหัวเลยคล้อยบ่ายไปแล้ว ”
เมื่อปฏิเสธไปอย่างนั้น โยมผู้ใหญ่บ้านกับคนเฒ่าหลักบ้านนั้นก็เสียใจ พากันกลับไปกราบไหว้ก็ไม่ไหว้ แล้วกลับไปบอกลูกบ้านว่า…
“ วันพรุ่งนี้ไม่ต้องใส่บาตรให้ตุ๊ป่าต๋นนั้น มันไม่ฉันอาหารก็ให้ฉันใบไม้ยอดไม้อยู่ป่าไปเถอะ เมื่อคืนค่ำตะวานนี้ ข้าฯ ได้ต้มไก่ไปให้ฉัน ตุ๊ตนนี้ยังไม่ฉันให้เลย ”
เราเดินบิณฑบาตโยมผู้ใหญ่นั้นก็บอกประกาศไปก่อน มีคนเตรียมจะใส่บาตรพอผู้ใหญ่ บ้านประกาศไปก่อนแล้วเขาก็ไม่ยอมใส่บาตรให้ได้แต่ยืนมองเราอยู่ ไปจนสุดหมู่บ้านแล้วก็วกกลับมา ก็ไม่มีใครใส่บาตรสักคน
กลับไปเถียงนา เก็บบริขารใส่บาตรใส่ย่าม กรองน้ำใส่กระบอก กรองน้ำฉันแล้วก็ออกเดินทาง มีโยมเดินสวนทาง พอเราถามทางเขาก็ไม่ยอมบอกทางให้ว่าไปไหนต่อไปไหน หมู่บ้านอยู่ห่างเท่าไหร่ ?
เขาไม่ยอมพูดด้วยเลย จึงได้เดาสุ่มไปตามเรื่อง จนบ่าย ๓ โมง จึงเห็นหมู่บ้านอีกหมู่บ้านหนึ่ง เข้าใจว่าพรุ่งนี้คงจะได้ฉันข้าวแน่นอนก็แวะพักใกล้ๆ กับทางนั้น เส้นทางเลาะไปตามลำห้วย อาบน้ำชำระกายตากผึ่งผ้าไว้ ค่ำมาก็ไหว้พระสวดมนต์ เจริญภาวนาจนดึกแล้วพักผ่อนไป
ตื่นเช้าก็เข้าไปบิณฑบาต ผู้คนชาวบ้านเขาก็เดินหนีหลบเข้าในบ้าน ยืนอยู่หน้าบ้านนาน ๆ เขาก็ไม่ออกมา แรกๆ เราก็ไม่ได้สังเกต ไปจนสุดหมู่บ้านก็กลับมาทางเก่า มาถึงกลางหมู่บ้านเห็นศาลาที่ประชุมของเขา
ยืนพิจารณาอยู่เห็นไม้กางเขน เห็นตัวหนังสือของฝรั่ง มองไปตามบ้านเรือนผู้คนก็เห็นไม้กางเขน จึงรู้ได้ว่า โอ… หมู่บ้านนี้เป็นบ้านพระเยซูนับถือคริสตจักร
วันนี้วันที่สองก็ไม่มีใครใส่บาตรให้เลย กลับไปที่พักเมื่อคืน เก็บบริขารได้แล้วเดินทางต่อไปอีก ได้อาศัยแต่กรองน้ำตามลำห้วยดื่มกินให้เต็มท้องแล้วก็ไปเรื่อย ๆ
วันนี้ไปจนค่ำมืด จึงได้พักปักกลดอยู่เลยค้อยต่ำจากสันดอย ได้ยินเสียงผู้คน ได้ยินเสียงหมาเห่า ได้กลิ่นควันไฟจาง ๆ นึกหมายในใจว่า พรุ่งนี้จะไปบิณฑบาตทางนั้น ขอให้ได้อาหารบิณฑบาตหน่อยเถอะ
เมื่อตะวันขึ้นสายแล้วก็เก็บกลด เก็บบริขารแบกไปพร้อมเลย เอาไปซ่อนไว้ทางเข้าหมู่บ้าน แล้วห่มจีวรซ้อนสังฆาฏิเข้าบิณฑบาตก็เป็นอย่างเก่าอีก เราสังเกตดูตามหน้าบ้านของเขามีไม้กางเขนอยู่บ้างปละปลาย ยังไม่หมดทุกหลังคาบ้าน และยังไม่มีศาลาที่ประชุมของคริสตจักร เดินไปจนสุดบ้านเรือนของผู้คนแล้วก็กลับคืนมาจนจะสุดหมู่บ้าน
มีบ้านเรือนอยู่หลังหนึ่งอยู่ริมหมู่บ้านหลังสุดท้าย สังเกตดูมียายเฒ่ากับหลานน้อย ยายเฒ่านึ่งข้าวสุกแล้วพอดี หลานสาวยายเฒ่านั้นอายุสัก ๖ – ๗ ปี เราก็หยุดยืนอยู่นาน หลานน้อยมันก็อยากดูเรา ผลุบๆ โผล่ ลับล่ออยู่กับประตูบ้าน ตัวยายเฒ่านั้นหลบแอบมองอยู่ข้างใน เราก็ยืนต่ออีกอึดใจ หลานน้อยว่า…
“ อุ้ยๆ ตุ๊เจ้ามายืนกุมบาตร ”
“ บ่ต้องไปสนใจ อย่าได้ผ่อมัน ”
“ บ่ผ่อบ่แลก็หันอยู่ ยืนอยู่ที่เก่านะอุ้ยเฒ่า ”
ยายเฒ่านั้นคงจะกลัวว่าเราจะยืนอยู่นาน ทำให้เรือนหลังอื่นมาเห็นเข้า ทำให้คนอื่นมาเห็นเข้า หรือจะอย่างไรก็ตาม จึงได้จกข้าวปั้นขนาดผลมะตูม ลูกขนาดกลาง ๆ ให้หลานน้อยออกมาใส่บาตรให้เรา
เรารับแล้วเด็กน้อยมันก็ชะโงกดูบาตรของเรา
“ โห๊ะ… ได้ข้าวปั้นเดียว อุ้ยๆ ได้ข้าวปั้นเดียวเท่านั้นหน๋า ”
เราก็ตอบว่า “ อือ ”
เด็กน้อยมันก็วิ่งกลับเข้าบ้าน เราก็ยืนดูท่าทีอยู่นานอึดใจ ก็ตัดสินใจเดินออกจากหมู่บ้านมาที่ซ่อนบริขารไว้ ก็ว่าเดินไป หากมีน้ำมีที่นั่งฉันได้ก็จะฉันให้พอมีแรงอยู่บ้าง
เดินได้ไกลจากหมู่บ้านพอสมควรแล้ว ก็รู้สึกว่ามีอะไรตามหลังมาจึงได้หันกลับไปมองดู เห็นหมาแม่ลูกอ่อน คงกำลังอยู่ในระหว่างการให้นมลูกน้อยของมัน มันคงตามมาแต่หมู่บ้าน จึงหันกลับเดินทางต่อ หมาตัวนั้นมันก็เดินตามมาเรื่อย ๆ
เราก็พิจารณาอยู่ว่า เอ… หมามันคงจะหิวเหมือนกันกับเรา ตัวเรานี้ชีวิตเดียว ตัวมันหลายชีวิต ชีวิตตัวมันลูกน้อยของมันก็คงจะหลายตัว ตัวมันก็ยอมโซ นมยานเหี่ยวแตบแซบ จึงพูดกับมันว่า…
“ หมาเอยกูก็ไม่มีอะไรจะให้ทานแก่มึง กูนี้ไม่ได้ฉันจังหันมาหลายวันแล้ว วันนี้ก็บิณฑบาตได้ไม่มาก กูจะสละให้มึงได้กิน เพื่อว่ามึงจะได้มีน้ำนมมีกำลังเรี่ยวแรงเลี้ยงลูกของมึงต่อไป ”
เราว่าแล้วก็จกข้าวปั้นนั้นในบาตรโยนให้มันมันก็อ้าปากรับแล้วคาบไปนอนหมอบกินอยู่ข้างทาง เราก็ยืนดูมันกินจนหมด มันคงยังไม่อิ่ม
เราก็ว่า…. “ หมดแล้วกูไม่มีอะไรให้มึงอีกแล้ว ”
จึงได้เอียงบาตรให้มันดู มันก็ดูว่าไม่มีอะไรในบาตรแล้วมันก็มองหน้าเราอยู่นานแล้วหันหลังให้เราวิ่งกลับเข้าหมู่บ้านไป
เราก็หาที่ล้างบาตร เช็ดบาตรให้แห้ง เก็บบริขารใส่แล้วก็ออกเดินทางต่อไป
สามวันแล้วที่เราไม่ได้ฉันจังหัน วันนี้ท้องหิวแต่อิ่มใจ แต่ก็เหนื่อยเมื่อยล้ากับการเดินทางตลอดวันค่ำ แต่เช้าจนค่ำมาหลายวันแล้ว
ก่อนหน้านี้หลายวันมาก็ขบฉันไม่ค่อยอิ่มท้องอิ่มไส้ ได้แต่ฉันน้ำเปล่ามาหลายวันแล้ว เช้าสายบ่ายคล้อย แดดก็ร้อน ใจก็หวิวๆ อยู่ หูอื้อกำลังเรี่ยวแรงเริ่มอ่อน เดินลัดดงลัดป่าขึ้นเขาลงห้วยขึ้นลง ขึ้นลง ขึ้นลงตลอดวัน เวลาตะวันเที่ยงตรงหัวนั่งพักฉันน้ำในกระบอกจนหมด
กะว่าลงต่ำลงห้วยก็จะกรองเอาน้ำอีก ฉันน้ำแล้วก็นั่งพัก หายเหนื่อยแล้วก็เดินทางต่อใจยังสั่น ๆ อยู่ อดใจเดินต่อไปอีก มองดูตะวันก็บ่ายคล้อย เดินต่อไปอีกได้เหนื่อยใหญ่ ๆ หนึ่ง หูอื้อหนักเข้าตาก็ลายมืดตึบเข้ามา วูบดับทั้งยืนอยู่อย่างนั้น ไม่รู้ว่ามันล้มลงในตอนไหน
คงนอนสลบอยู่นานอยู่หรอก มารู้สึกตัวก็ว่า เอ…กูมานอนอยู่ตรงนี้แต่เมื่อไหร่ จึงค่อยๆ ลืมตาขึ้นเห็นดินเห็นใบไม้แห้ง เห็นก้อนหิน เห็นรากไม้ต้นไม้ เห็นป่าไม้
โอ… กูนอนตายสลบไปนี่ นานเท่าใดหนอ จึงค่อย ๆ พลิกตัวมองหาพระอาทิตย์ตะวันก็ค่ำลงมาก กะประมาณได้ประมาณสัก ๒ ชั่วโมง
พอกำหนดสติได้แล้ว มีความรู้สึกเหมือนกับลมพัดลมเป่าเย็นเบา ๆ เริ่มแต่ต้นคอไล่ลงไปจนบั้นเอว จากบั้นเอวก็กลับคืนขึ้นหาต้นคอตีนผม บาตรก็ยังคล้องไหล่อยู่ กลดก็วางข้างๆ ถุงย่ามก็ยังคล้องไหล่ อยู่
ความเย็นเบาๆ นั้นค่อยๆ ชัดขึ้น ชัดขึ้น ตัวเราเองก็เหมือนกับว่าพละกำลังเรี่ยวแรงมากขึ้น ๆ จึงได้พลิกตัวไปทางหลัง
เห็นชายหนุ่มคนหนึ่งอายุประมาณ ๒๐ ปี รูปร่างงดงาม หน้าตาดูดีเป็นคนหนุ่มรูปงาม ผิวดำแดง ดูมือเล็บดูเสื้อผ้าสะอาดสะอ้านไม่เหมือนคนบ้านดงบ้านป่า
เขาถามเราว่า…. “ ท่านคงจะเหนื่อยมากนะครับ ” ?
“ เหนื่อยอยู่ ” เราตอบพร้อมพยักหน้า
“ ไม่เป็นอะไรมากหรอก ให้นอนพักอยู่นิ่ง ๆ เดี๋ยวผมจะเป่าให้หายเหนื่อย ขอโอกาสเน้อครับ ”
เขาว่าแล้ว ก็เริ่มเป่าให้อีกรอบไล่ลงจากหัวจนถึงปลายเท้า กลับไปกลับมาอยู่อย่างนั้น ๓ รอบ เขาก็บอกว่า…
“ เอาล่ะท่านเอ๊ย ให้อดทนเน้อ บุพพกรรมมาถึงแล้ว ไม่เป็นไรหรอก สักพักคงจะหายเหนื่อย ”
เขาเป่าไปทั่วหมด เย็นๆ เบา เป่าไปถึงไหนมีกำลังเรี่ยวแรงไปถึงนั่น แล้วเขาก็ให้เราลุกขึ้น
เราก็ว่า…. “ ดีแล้ว หายแล้ว สบายแล้ว คงจะนอนสลบอยู่ตรงนี้ เพราะเหนื่อยมาก หน้ามืดตาลาย ไม่ได้ฉันจังหันมาหลายวันแล้ว ”
“ ท่านจะไปไหนครับ ? ”
“ ตั้งใจจะไปป่าเมี่ยงแม่สม แม่สาย เชียงใหม่ เลยหลงทางขึ้นๆ ลงๆ หลายดอยมาแล้ว แต่เช้า ”
“ โอ… ดีล่ะผมก็จะไปทางนั้นเหมือนกัน ขอเอาของๆ ท่านมาให้ผมช่วยถือ ทั้งบาตร ทั้งย่าม ทั้งกลด ตัวท่านให้ถือเอาแต่ไม้เท้า ค่อยๆ เดินตามผมก็ได้ ”
เราก็เอาบริขารให้เขาไป ถือเอาผ้าอาบน้ำผืนเดียวคลุมไหล่เดินตามเขาไป เดินไปไม่ช้าไม่เร็ว แต่ก็ไม่พอที่จะทันเขาได้
ในใจก็ว่าจะพูดคุยนั่นนี่อยู่ เราจ้ำเดินให้ทันตัวเขาก็เดินไวขึ้น เราเดินช้าเขาก็เดินช้า ระยะห่างไม่ใกล้ไม่ไกล จะคุยกันก็ไม่สะดวก จึงได้กำหนด “ พุทโธ ” เดินตามไป
ทีนี้ไม่สนใจกับเขา กำหนดจิตอยู่รู้อยู่ตลอด สักพักมีความรู้สึกวูบวาบ ๆ ในจิต ยังตั้งตัวไม่ทันว่าอะไรเป็นอะไร ก็มาถึงทางแยก
“ ถึงทางแยกแล้วล่ะท่านเอย ผมเองมีธุระจะไปทางปลายห้วยน้ำแม่สมนี้ บ้านแม่สมให้ท่านเดินไปอีกนิดเดียวก็จะถึงแล้ว ”
ว่าแล้วเขาก็ประเคนบาตร ประเคนย่ามให้คืน เราก็ให้พรแก่เขา เราก็นั่งพักอยู่ตรงนั้นมองดูชายหนุ่มคนนั้นอยู่ แต่พอเราเผลอเขาก็เดินไปได้ไกลแล้ว พอเขาเลยต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งไปเท่านั้นก็ไม่เห็นเดินต่อไปอีก
เราก็รีบลุกด่วนไปดูว่าเขาจะยืนอยู่ตรงนั้นอยู่หรือ เมื่อไปถึงต้นไม้นั้นแล้วก็ไม่เห็นมีอะไร รอยเท้าที่เดินไปตามทางเดินก็ไม่มี
เรื่องแปลกประหลาดวันนี้ก็เรื่องของหนุ่มน้อยคนนี้ เรื่องของบุพพกรรมของตัวเอง จึงเดินกลับคืน เดินตามทางไปสู่ป่าเมี่ยงแม่สม ตะวันค่ำมืดพอดี
พวกญาติโยมเขาเห็นแล้วเขาก็ด่วนมารับบริขารทันที
“ อย่าฟ่าวมาถามอาตมาเน้อโยมเอย อาตมาเหนื่อยมากไม่ได้ฉันจังหันมาหลายวันแล้ว หลงป่าหลงทาง ”
เขาให้พักเรือนว่างหลังหนึ่ง แล้วก็ต้มน้ำอ้อยงบมาให้ฉัน ค่อย ๆ จิบ จนน้ำอ้อยหมดขันแล้วก็ล้มตัวนอนพัก จนพอดึกดื่น รู้สึกตัวอีกทีก็ลุกขึ้นมาไหว้พระ นั่งภาวนาจนแจ้งเป็นวันใหม่ โยมเขาก็เอาอาหารมาให้ฉัน
“ อย่าฟ่าวอย่าด่วนเน้อท่านเอ๊ย ค่อยๆ ฉัน ”
ฉันอิ่มแล้วมีแรงมีกำลังแล้วจึงได้เล่าให้เขาฟัง ในเหตุการณ์ความเป็นมาตลอด หมู่บ้านที่เริ่มแรกแท้ ๆ นั้น เขาเรียกบ้านนายาว บ้านนาใหม่ เป็นบ้านคริสตจักรเข้าไปตั้งสอนศาสนาไว้
กรรมซัดไปซัดมาอยู่เมืองฝาง เชียงใหม่ ก็อยู่สบายดีมาก อยู่เมืองพร้าว เชียงใหม่ ก็ภาวนาดีอยู่ อยู่แม่แตง เชียงใหม่ ก็พออยู่ได้ อยู่แม่ริม เชียงใหม่ ก็อยู่ได้
แต่กรรมมันแรงกว่าดึงไปจนถึงนาเม็ง นายาว สะเมิง
พอมาอยู่บ้านห้วยทรายนี้ จึงรู้บุพกรรมเก่าของตนเอง ที่เคยทำกรรมกับชนเขาเหล่าในอดีตชาติมันส่งผล
ส่วนหนุ่มน้อยนั้น เป็นเทพบันดาล แปลงกายมาสงเคราะห์เราเพื่อต้องการบุญกุศลกับพระป่าหลงดงหลงป่า
เราพิจารณาแล้วคงเคยมีบุพกรรมต่อกันมาเลยต้องมาสงเคราะห์แก่กันและกันไปตามอำนาจของบุญของกรรมของแต่ละตนละตนไป……
ธรรมะประวัติองค์หลวงปู่จาม มหาปุญโญ ผู้มากมีบุญ วัดป่าวิเวกวัฒนาราม ตอนที่ ๑๘๖
(วัดป่าบ้านห้วยทราย) บ้านห้วยทราย ต.คำชะอี อ.คำชะอี จ.มุกดาหาร
๓ กันยายน ๒๕๕๙
กราบขอบพระคุณและขออนุโมทนาบุญท่านเจ้าของผู้ถ่ายภาพนี้ พร้อมทั้งผู้ที่มีส่วนร่วมในการเผยแผ่โอวาทธรรมคำสอนนี้ ทุกๆ ท่านครับ
เพจพระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น https://www.facebook.com/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B8%AB%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B9%8C-%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%A1%E0%B8%B1%E0%B9%88%E0%B8%99-238296179593402/?fref=ts
ที่มา พระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น -
สายหลวงปู่มั่น สมาชิก
“ เมื่ออยากจะเป็นพระพุทธเจ้าต้องทำตัวอย่างไรในชั้นต้น ”
ผู้ถาม : ผมนี้ต้องการที่จะเป็นพระพุทธเจ้าต่อไปในอนาคต แต่จะต้องทำตัวอย่างไรบ้างครับ ขอหลวงปู่เมตตา
หลวงปู่ตอบ : ให้รักษาความเป็นมนุษย์ผู้ชายเอาไว้
รักษาความปรารถนานั้นเอาไว้
รักษาศีล รักษาธรรม รักษาพุทธธรรมคำสอน
ประพฤติเนกขัมมนิสัย
ตั้งใจฝึกหัดภาวนา ตั้งองค์ฌานให้ได้
ให้เอาชีวิตเข้าแลก รักใคร่พอใจอยู่เสมอในความต้องการพุทธภูมิของตน
ผู้ถาม : เคยได้ยินหลวงปู่ว่า น้ำใจพระโพธิสัตว์นั้นอย่างไรครับ
หลวงปู่ตอบ : มีความอุตสาหะบากบั่นมั่นในจิตใจ
สะสมขัดเกลาปัญญาอยู่ตลอดทุกภพทุกชาติ
มั่นคงไม่หวั่นไหวใด ๆ
เจริญจิตอยู่ด้วยเมตตาพรหมวิหารธรรมเป็นปกติใจอยู่
ประกอบไปด้วยกุศลธรรมทุกอย่างไป
ผู้ถาม : เทพบุตรสมเด็จพระศรีอริยเมตไตรยบรมโพธิสัตว์ก็เคยกล่าวถึงน้ำใจอัธยาศัยโพธิสัตว์ เช่นเดียวกัน
หลวงปู่ตอบ : อ๋อ นั่นอย่างนั้น พระมาลัยเถระเจ้าได้เคยถามไว้ว่า..
“ จะกระทำอัธยาศัยน้ำใจเพื่อจะให้ได้ในพระโพธิญาณอันแก่กล้านั้นจะทำอย่างไร ” ?
พระมหาโพธิสัตว์เมตไตรโย ตอบว่า… “ ได้ตั้งอยู่ในอัธยาศัยน้ำใจดังนี้
๑. พอใจที่จะบวช รักในเพศบรรพชิต
๒. พอใจอยู่สงัดวิเวกแต่ผู้เดียว
๓. พอใจบริจาคทาน
๔. พอใจในความไม่โกรธ เจริญเมตตาอยู่เป็นนิจ
๕. พอใจเสพหากับผู้มีปัญญาเพื่อเจริญปัญญาของตนเองให้เพิ่มพูนอยู่เสมอ
๖. พอใจที่จะยกตนออกจากภพ ยินดีต่อพระนิพพานอยู่เสมอ
รวมความว่าไม่พอใจในโลภะ โทสะ โมหะ อยู่ในท่ามกลางความอึกทึกวุ่นวายได้อย่างสงบ มุ่งหวังบำเพ็ญกองการกุศลเพื่อสืบสานสร้างพระบารมีให้ยิ่งใหญ่ต่อไป…..
ธรรมประวัติองค์หลวงปู่จาม มหาปุญโญ ผู้มากมีบุญ วัดป่าวิเวกวัฒนาราม ตอนที่ ๑๘๕
(วัดป่าบ้านห้วยทราย) บ้านห้วยทราย ต.คำชะอี อ.คำชะอี จ.มุกดาหาร
๓ กันยายน ๒๕๕๙
กราบขอบพระคุณและขออนุโมทนาบุญท่านเจ้าของผู้ถ่ายภาพนี้ พร้อมทั้งผู้ที่มีส่วนร่วมในการเผยแผ่โอวาทธรรมคำสอนนี้ ทุกๆ ท่านครับ
เพจพระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น https://www.facebook.com/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B8%AB%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B9%8C-%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%A1%E0%B8%B1%E0%B9%88%E0%B8%99-238296179593402/?fref=ts
ที่มา พระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น -
สายหลวงปู่มั่น สมาชิก
” นาทีสุดท้ายของหลวงปู่เสาร์ กันตสีโล ”
ในแวดวงพระกรรมฐานสายวัดป่า โดยเฉพาะภาคอีสาน ส่วนใหญ่แล้วยกย่องนับถือหลวงปู่มั่น ภูริทัตตโต เป็นบูรพาจารย์
จำนวนไม่น้อยสามารถสืบสายครูบาอาจารย์ย้อนหลังไปถึงหลวงปู่มั่น ภูริทัตตโต
แต่หากถามว่าใครเป็นอาจารย์ของหลวงปู่มั่น ภูริทัตตโต
คำตอบก็คือ หลวงปู่เสาร์ กันตสีโล
หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน ยกย่องหลวงปู่เสาร์ กันตสีโล ว่าเป็น.. “ พ่อพระกรรมฐานภาคอีสาน ”
หลวงปู่เสาร์ กันตสีโล ท่านมีอัธยาศัยน้อมในทางสมาธิภาวนา และใฝ่ความสงบวิเวก จึงออกธุดงค์เป็นประจำ ปักกลดอยู่ในป่าหรือในถ้ำเป็นนิจ
หลังจากที่ประสบความก้าวหน้าในการปฏิบัติ ท่านก็มาเปิดสำนักปฏิบัติธรรมที่วัดเลียบ อำเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี อันเป็นบ้านเกิดของท่าน
หลวงปู่เสาร์ กันตสีโล เป็นพระมหาเถระที่ไม่ชอบพูด เวลาเทศน์ก็กล่าวเพียงไม่กี่ประโยค ก็ลงจากธรรมาสน์
ว่ากันว่าทั้งวันท่านพูดกับใครไม่เกินสองประโยค แต่ท่านมีเมตตาสูงมาก ไม่เคยแสดงอาการโกรธเคืองใครเลย ใครได้พบเห็นก็รู้สึกเย็นใจ ท่านจึงเป็นที่เคารพเลื่อมใสของพระเณรมาก
ศิษย์ของท่านผู้หนึ่งก็คือหลวงปู่มั่น ภูริทัตตโต หลวงปู่มั่น ภูริทัตตโต เคยประสบอุปสรรคในการปฏิบัติ ถึงกับเกิดสัญญาวิปลาส ก็ได้อาศัยหลวงปู่เสาร์ กันตสีโล ช่วยแก้วิปลาสให้จนสำเร็จเป็นที่อัศจรรย์แก่ลูกศิษย์
อย่างไรก็ตามท่านเป็นพระที่ถ่อมตนมาก ไม่อวดคุณวิเศษ หลวงปู่พุธ ฐานิโย วัดป่าสาละวัน ได้เล่าไว้ว่า ระหว่างที่ได้อุปัฏฐากท่านคราวหนึ่ง ได้ยินท่านเปรยขึ้นมาว่า
“ เวลานี้จิตข้ามันไม่สงบ มันมีแต่ความคิด ”
หลวงปู่พุธ ฐานิโย แปลกใจ จึงถามว่า….
“ จิตมันฟุ้งซ่านหรือไงอาจารย์ ” ?
หลวงปู่เสาร์ กันตสีโล ตอบสั้น ๆ ว่า….
“ ถ้าให้มันหยุดนิ่ง มันก็ไม่ก้าวหน้า ”
หลวงปู่พุธ ฐานิโย เล่าต่อไปอีกว่า…
กว่าจะเข้าใจความหมายของท่านก็ใช้เวลาหลายปี
กล่าวคือท่านหมายความว่า
เวลาปฏิบัติ ถ้าจิตมันหยุดนิ่ง ก็ปล่อยให้มันหยุดนิ่งไป
อย่าไปรบกวนมัน ถ้ามันจะคิดก็ให้มันคิดไป
เราเอาสติตัวเดียวเป็นตัวตั้งตัวตี
หลวงปู่เสาร์ กันตสีโล มีวัตรปฏิบัติอยู่ข้อหนึ่งคือ เมื่อออกพรรษา ท่านจะพาศิษย์ออกธุดงค์เป็นเวลาหลายเดือน ส่วนใหญ่มักไปที่ประเทศลาว แล้วกลับมาจำพรรษาที่เมืองไทย
จนแม้ชราแล้วท่านก็ยังบำเพ็ญธุดงควัตรดังกล่าว
ในปี พ.ศ.๒๔๘๔ ขณะที่ท่านอายุ ๘๒ ปี ท่านได้พาศิษย์ไปธุดงค์ที่นครจำปาศักดิ์ และปากเซ ประเทศลาวเช่นเคย
แต่ปีนั้นท่านอาพาธตั้งแต่ก่อนออกพรรษาแล้ว
เรื่องของเรื่องก็คือบ่ายวันหนึ่งขณะที่ท่านนั่งสมาธิอยู่ใต้โคนต้นยาง มีเหยี่ยวตัวหนึ่งโฉบเอารังผึ้งซึ่งอยู่บนต้นยางต้นนั้น รวงผึ้งส่วนหนึ่งตกลงมาใกล้ ๆ กับที่ท่านนั่งอยู่ ผึ้งจึงรุมกัดต่อยท่านหลายตัว จนท่านต้องเข้าไปหลบในมุ้งกลด
นับแต่นั้นท่านก็อาพาธมาโดยตลอด
เมื่อท่านออกธุดงค์เข้าไปในเมืองลาวได้พักใหญ่ ก็ป่วยหนัก
ศิษย์จึงพาท่านกลับมายังนครจำปาศักดิ์
ระหว่างนั้นท่านนั่งหลับตามาตลอด เมื่อถึงที่หมาย ท่านลืมตาขึ้นแล้วพูดว่า…..
“ ถึงแล้วใช่ไหม ให้นำเราไปยังอุโบสถเลย เพราะเราจะไปตายที่นั่น ”
ศิษย์ได้ประคองท่านเข้าไปในอุโบสถ แล้วท่านสั่งให้เอาผ้าสังฆาฏิมาพาด นั่งสมาธิพักใหญ่ แล้วท่านก็กราบพระ ๓ ครั้ง
พอกราบครั้งที่ ๓ ท่านก็นิ่งงัน ไม่ขยับเขยื้อน
ลูกศิษย์เห็นท่านกราบนานผิดสังเกต จึงเอามือแตะที่จมูกท่าน ปรากฏว่าท่านหมดลมหายใจแล้ว
วันที่ ๘ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๔๘๔ คือวันที่หลวงปู่เสาร์ กันตสีโล มรณภาพ
เป็นการมรณภาพที่แปลกไม่เหมือนใคร คือมรณภาพในท่านั่งกราบหน้าพระพุทธรูป….
พระครูวิเวกพุทธกิจ (หลวงปู่เสาร์ กนฺตสีโล) วัดเลียบ(ธฺ) อำเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี
๓ กันยายน ๒๕๕๙
กราบขอบพระคุณและขออนุโมทนาบุญท่านเจ้าของผู้ถ่ายภาพนี้ พร้อมทั้งผู้ที่มีส่วนร่วมในการเผยแผ่โอวาทธรรมคำสอนนี้ ทุกๆ ท่านครับ
เพจพระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น https://www.facebook.com/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B8%AB%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B9%8C-%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%A1%E0%B8%B1%E0%B9%88%E0%B8%99-238296179593402/?fref=ts
ที่มา พระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น -
สายหลวงปู่มั่น สมาชิก
“…เครื่องประดับขัตติยะนารีทั้งหลาย มีแก้วแหวนเงินทอง เป็นตัณหากามคุณ
เหมือนดั่งน้ำผึ้งแช่ยาพิษ สําหรับนําความทุกข์มาใส่ตัวบ่มีประโยชน์สิ่งใดเลย
แม่น้ำคงคา ยมนา อิรวดี มหิ มหาสรพู ซึ่งเป็นแม่น้ำใหญ่ทั้ง ๕ แม่น้ำนี้แม้นจักเอามาอาบให้หมดทั้ง ๕ แม่นี้ ก็บ่ อาจจะล้างบาป คือความเดือดร้อนภายในให้หายได้
ลมฝนลูกเห็บ แม้นจะตกลงมาหลายห่า เย็นและหนาวสักปานใด ก็บ่
อาจเย็นเข้าไปถึงภายในให้หายจากความทุกขเวทนาได้
ศีล ๕ เป็นอริยทรัพย์ เป็นต้นเหตุแห่งความบริสุทธิ์ เป็นน้ำทิพย์สําหรับล้างบาป คือความเดือดร้อนภายในให้หายได้
เมื่อศีลบริสุทธิ์แล้ว สมาธิความตั้งมั่นก็จะมีมา แล้วให้ปลุกปัญญา ปัญญาก็จักเกิดมีขึ้นได้ คือให้หมั่นรําลึกถึงตัวตนอยู่เสมอ ว่า บ่ใช่ตัว บ่ใช่ตน จนเห็นแจ้งด้วยปัญญาของตน
จึงเป็นสมุทเฉทประหารกิเลส หมดแล้ว จึงเป็นวิมุตติหลุดพ้นจากความทุกข์ทั้งมวลได้…”
โอวาทธรรมพระอินท์เฟือน สิริวิชโย(ครูบาศรีวิชัย) วัดจอมสรีทรายมูลบุญเรือง(วัดบ้านปาง) อ.ลี้ จ.ลำพูน
๓ กันยายน ๒๕๕๙
กราบขอบพระคุณและขออนุโมทนาบุญท่านเจ้าของผู้ถ่ายภาพนี้ พร้อมทั้งผู้ที่มีส่วนร่วมในการเผยแผ่โอวาทธรรมคำสอนนี้ ทุกๆ ท่านครับ
ที่มา พระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น
หน้า 540 ของ 1045