หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต สอนเรื่อง..การกินเจ…
เทศน์แก่พระอาจารย์อุ่น กลฺยาณธมฺโม
” คนเรามันไม่ได้วิเศษเพราะการกินผักกินเนื้อนะ แต่มันวิเศษด้วยการกินเพราะการพินิจพิจารณาโดยแยบคาย อันผักหญ้าเนื้อนั้นมันไม่ได้รู้ เรื่องดี เรื่องชั่ว เหมือนคนเรา จิตเราดอก
พระธรรมคำสอนแง่หนักเบาต่างหาก ที่เรานำมาพินิจพิจารณา แล้วนำมาสอนตนจะทำให้เราดีขึ้นได้ เรื่องกิน อยู่หลับนอน อะไร ๆ พระพุทธเจ้าพระองค์ก็ทรงบัญญัติไว้หมดแล้ว ไม่เห็นจะมีปัญหาอะไรกับกินเจ ไม่กินเจ กินเนื้อ ไม่กินผัก กินแต่ผักไม่กินเนื้อ อันไหนกินได้ ฉันได้ ท่านก็บัญญัติไว้หมดแล้ว
ถ้าท่านคิดว่าการกินแต่ผักทำให้ท่านเลิศเลอเป็นผู้วิเศษขึ้นมาได้ อันนี้ผมก็สุดปัญญาที่จะสอนท่าน ถ้าการกินแต่ผักอย่างท่านว่า เป็นผู้บริสุทธิ์สิ้นกิเลส จบพรหมจรรย์ได้ มนุษย์ไม่ได้สิ้นกิเลสหรอกวัวควายเป็นต้นนั่นแหละมันจะสิ้นก่อน เพราะมันไม่ได้กินเนื้อ มันกินแต่ผักแต่หญ้า เต็มปากเต็มพุง มันกินแต่ผักแต่หญ้า ทำไมลูกมันถึงเต็มท้องไร่ทุ่งนา
ถ้าการกินแบบท่านว่าเป็นของเลิศ วัวควายมันเลิศก่อนแล้ว เพราะมันเกิดมามันก็กินแล้ว โดยไม่ต้องมีใครคอยสอน ถึงท่านกินยังไง มันก็ไม่เท่าวัวเท่าควายกินหรอก เพราะวัวควายมันปฏิเสธเนื้อโดยประการทั้งปวง กินแต่ผักแต่หญ้า
ถ้าจะกินเจ ฉันเจ กินผักไม่กินเนื้อ ผมก็ไม่ได้ว่าอะไร แต่การไปหาตำหนิคนโน้นคนนี้ว่า กินเนื้อเป็นเปรตเป็นผี มันไม่สมควร แล้วก็มาหลงตน ยกยอตนว่าเป็นผู้ประเสริฐกว่าคนอื่นเขา ท่านดูใจของท่านเองก็ได้นี่ ว่ามันประเสริฐตรงไหนหรือยัง ถ้ายังไม่ประเสริฐให้รีบแก้ ราคะ โทสะ โมหะ ที่เผาหัวอยู่นั่นล่ะ มันเป็นสิ่งที่ท่านต้องแก้เสียโดยเร็วพลัน ไม่ใช่วัน ๆ เที่ยวแต่ชวนหาคนมากินผัก ไอ้ผักนั้นผมก็กิน
คนเรามันประเสริฐเลิศได้ด้วยความประพฤติ มิใช่เพราะการกิน ส่วนเรื่องการกินเป็นเรื่องรอง ๆ อย่าเอามาเป็นเรื่องเอก ท่านจะกินก็กินเถอะเจ ผักของท่านนั้น ผมไม่เอาด้วยหรอก ”
… เมื่อท่านพูดจบลง คณะญาติโยมที่มาด้วยเงียบกริบ มองตากันปริบ ๆ ไม่มีใครกล้าพูดกล้าแสดงอะไรอีก
บางคนคงจะรู้สึกว่า เหมือนฟ้ามันผ่าลงที่กบาลฤดูแล้ง
บางคนก็คงจะเห็นเหตุผล ที่ท่านแสดงอย่างคมคาย แต่สำหรับบางคนที่จิตใจไม่ยอมรับความาจริง ก็ถือว่าเป็นกรรมของสัตว์ไป…
โอวาทธรรมองค์หลวงปู่ใหญ่มั่น ภูริทัตโต วัดป่าบ้านหนองผือ ต.นาใน อ.พรรณานิคม จ.สกลนคร
๓ กันยายน ๒๕๕๙
กราบขอบพระคุณและขออนุโมทนาบุญท่านเจ้าของผู้ถ่ายภาพนี้ พร้อมทั้งผู้ที่มีส่วนร่วมในการเผยแผ่โอวาทธรรมคำสอนนี้ ทุกๆ ท่านครับ
ที่มา พระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น
ธรรมะ จากเพจ พระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น
ในห้อง 'หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต' ตั้งกระทู้โดย สายหลวงปู่มั่น, 4 กันยายน 2017.
หน้า 541 ของ 1045
-
สายหลวงปู่มั่น สมาชิก
-
สายหลวงปู่มั่น สมาชิก
“ บอกสอนชาวเขาให้ใส่บาตรทำบุญ ”
ผู้ข้าฯ กลับมาพักบ้านแม่บ่อแก้ว ได้ไม่นานก็เข้าไปพักภาวนาอยู่บ้านของพวกชาวกระเหรี่ยง จำชื่อบ้านไม่ได้ บ้านบ่อแตน หรืออะไรนี่หล่ะ อยู่กับพวกกระเหรี่ยง
หมู่บ้านนี้นานได้หลายเดือน เพราะบอกลาเขาวันใด เขาก็ไม่ยอมจะให้ไปไม่ยอมให้เราไปที่อื่น มาขอร้องให้เราอยู่ มาขอทั้งฮ้องทั้งไห้ มาทั้งเด็กหนุ่มสาวคนเฒ่าคนใหญ่ เป็นอยู่หลายครั้ง เราก็ใจอ่อนอยู่กับเขา
พวกเขากลัวเราจะหนี ก็จัดเวรยามมาเฝ้า ตอนสายๆ ตอนเที่ยง ตอนบ่าย ตอนค่ำ วันหนึ่งมาเฝ้าดู ๔ รอบ
ตอนเช้าเราไปบิณฑบาต พวกเขาใส่บาตรกันทุกหลังคาเรือน เต็มบาตรทุกวัน
แต่วันแรกที่เราเข้าไปบิณฑบาตนั้น ทั้งเด็กน้อยคนใหญ่ คนเฒ่า วิ่งวุ่นหลบเข้าไปในบ้านในเรือนจนหมด
เราก็ยืนนิ่งอยู่หน้าบ้าน เขาไม่ให้ก็ไปหลังใหม่ก็เป็นอย่างนั้นกันทั้งหมู่บ้าน หรือว่าเขาไม่เคยใส่บาตรทำบุญกับพระหรือว่าเขายังไม่คุ้นเคยกับเรา
เดินไปจนสุดหมู่บ้าน กลับมา เขาก็ยังหลบตัวอยู่จะมีแต่คนผู้ชายหนุ่มๆ ถือดาบ ถือหอก ถือหน้าไม้ ออกมายืนเป็นกลุ่มคอยสังเกตการณ์จับตามองเราอยู่ห่างๆ แต่ไม่ว่าอะไร ไม่เข้ามาทำอันตรายใดๆ
พวกเด็กน้อยเขาก็อยากดูอยากเห็นก็โผล่หน้าออกมาดูเรา บางคนก็ยิ้มให้เรา เราก็พยักหน้ายิ้มตอบ เขาก็หลบตัวเข้าไปแล้วโผล่หน้ามาอีก
ไปบิณฑบาตวันแรกไม่ได้ข้าว ไม่ได้ฉันอะไร กลับมาฉันแต่น้ำ แล้วนั่งภาวนา เดินจงกรมอยู่ แต่พวกกระเหรี่ยงเขาก็จัดคนให้มาสอดส่อง ดูลาดเลาท่าทีอยู่ เราก็รู้อยู่ แต่ก็ไม่สนใจเขา เดินจงกรมไปมา นั่งภาวนา หิวขึ้นมาก็ฉันน้ำเสีย ให้เต็มท้องก็พอทนอยู่ได้
เช้าวันที่สองเราก็เข้าบิณฑบาตอีก เดินไปอย่างเดิม พวกเขาก็ยังกลัวอยู่ เหมือนเดิมก็ว่า เอ..วันนี้ทำอย่างไรหนอถึงจะได้ข้าวมาฉันหรือจะบอกจะสอนเขาอย่างไร คนดงคนป่าเหล่านี้ ความเมตตาสงสารมันรุกขึ้นในใจของเรา คนรู้แล้วพระพุทธเจ้าไม่สอน คนที่พระพุทธองค์สอนก็มาสอนคนไม่รู้นี้เอง
เราก็เดินไปทุกหลังคาเรือน ได้หลังที่ห้า พอดีหลังนี้คนหุงข้าวเป็นเด็กสาวรุ่นอายุ ๑๕ – ๑๖ ปี กำลังดงข้าวอยู่พลิกหม้อข้าวมองเขาไปมาอยู่ หากจะลุกหนีหลบตัวก็ห่วงหม้อข้าว จึงเก้ๆ กังๆ อยู่แล้วทำท่าไม่เห็นเรา นั่งหันข้างหันหลังให้ เรานึกในใจว่า…
“ พระพุทธเจ้าคง จะไม่ปล่อยให้ลูกศิษย์สาวกของพระองค์ลำบากเกินไป ”
อีสาวน้อยคนนั้นเขาดงหม้อข้าวอยู่จนแล้วเสร็จแล้ว เขาก็หันหน้ามาดูเราว่า ทำไมไม่ไปสักที หรือจะหันหน้ามาดูเราให้ชัดๆ ก็เป็นได้ เราก็ได้จังหวะเปิดฝาบาตรออก เอามือชี้ไปที่หม้อข้าว แล้วชี้ลงที่บาตรของเรา แล้วทำทางกิริยาการกินให้เขาดู
อีสาวน้อยคนนั้นก็เข้าใจ วางหม้อข้าวเดินไปหยิบช้อนตักข้าว กลับมายกหม้อข้าวมาตักข้าวใส่บาตรให้ ผู้ข้าฯ ก็รับเพียง ๓ ทัพพี แล้วปิดบาตร ตัวเขาก็หยุดใส่ เราก็พยักหน้าให้แล้วเดินต่อไปเรือนหลังใหม่ อีสาวน้อยคนนั้นมันก็ร้องบอกเป็นภาษาของเขา
ทีนี้เขาก็พอรู้กันได้ว่ามาขอบิณฑบาตข้าวสุก ก็มีออกมาใส่บาตรบ้างนับได้ ๕ คนที่ใส่บาตรข้าวเปล่าให้ กลับไปที่พักก็ฉันจนหมด
วันที่สองนั้นได้ฉันแต่ข้าวกับน้ำแท้ ๆ
วันที่สามก็ไปอีก พอดีวันนี้โยมผู้เป็นหัวหน้าหมู่บ้านที่พอพูดภาษาเมืองได้บ้าง เข้าใจได้บ้าง และตัวเขาเองก็เคยเห็นพระมาก่อน จึงได้เข้ามาพูดคุย
เราก็อธิบายให้ฟังจนเข้าใจกันได้ดี โยมผู้เป็นหัวหน้าหมู่บ้านก็เคาะเกราะไม้รัวๆ ๓ ยก สักพักผู้ใหญ่ เด็กน้อย คนเฒ่า ต่างคนต่างก็มา ถืออาวุธมาอย่างในวันแรก มากันมากแล้วผู้เป็นหัวหน้าจึงได้บอกลูกบ้านญาติพี่น้องของเขาว่า….
“ ท่านเป็นพระมาขอบิณฑบาตข้าวพร้อมกับข้าว สุดแท้แต่ใครมีอันใด ขอให้ใส่บาตรถวายท่านได้ แต่ต้องของที่สุกแล้วด้วยไฟ ”
โยมผู้เป็นหัวหน้า ก็เอาข้าวสุกกับอาหารมาใส่ให้ดู จากนั้นพวกเขาก็รีบด่วนกลับไปเรือนแล้ว เตรียมของจังหันใส่บาตร วันที่สามนี้ทั้งข้าวทั้งกับข้าวเต็มบาตร จนต้องได้ใส่ฝาบาตร
ขากลับคืนผ่านบ้านของผู้เป็นหัวหน้านั้นจึงได้บอกว่า อาหารมากมายนี้อาตมาฉันไม่หมดหรอก ขอให้โยมกับชาวบ้าน ๓ – ๔ คน ตามออกไปด้วย ไม่ใช่อยากให้ตามไปหรือไม่ใช่ว่าเราจะห่วงอาหาร
แต่เป็นอุบายที่จะชักจูงพวกเขาต่างหาก พวกเขาก็ถือหม้อออกไปด้วย
เราก็ฉันจนอิ่ม ฉันให้เขาดู ทำกิริยาให้เขาดู บางอย่างเขาก็ถามเราก็อธิบายให้ฟัง การกิน การอยู่ การหลับนอน การอาบน้ำ กิจวัตรข้อวัตร
เมื่อพวกเขาเข้าใจแล้ว วันต่อมาก็หลายคนขึ้นมามากขึ้นๆ ก็อาศัยโยมผู้เป็นหัวหน้านั้นเป็นล่ามแปล และผู้ข้าฯ ก็เรียนภาษากับพวกเขาด้วย
ความเคารพรัก ความเลื่อมศรัทธาก็มากขึ้นทุกวันในใจของพวกเขา
แต่เรื่องที่พักเสนาสนะนั้นเขาทำร้านที่พักให้อย่างดี ป้องกันอันตรายจากสัตว์ร้ายได้ อุขังน้ำ ที่ตักน้ำ ถ้วยชาม หม้อต้มน้ำ เขาจัดหามาให้ พวกคนหนุ่มคนสาว มีอีสาวน้อยคนนั้นเป็นหัวหน้าหมู่พากันมาส่งจังหันทุกวัน
ขณะที่เรานั่งฉันอยู่นั้น เขาก็จะจับต่อกันเป็นวงกลมแล้วร้องรำไปด้วย เต้นรำไปด้วย ทำอยู่อย่างนั้นทุกวัน
เล่นรำอยู่ประมาณสัก ๕ นาที แล้วก็กราบไหว้แล้วนั่งรออยู่ ก่อนเราฉัน เราจัดอาหารแล้ว เขาก็พากันมาดูบาตรเรา เราก็ผลักบาตรออกไปให้เขาดู พอฉันแล้วเขาก็มาดูบาตรเราอีก
การขบฉันของเราก็วันมากบ้างน้อยบ้าง ตามแต่ธาตุขันธ์ร่างกายต้องการ แต่เรื่องอาหารการอยู่กิน มีเหลือล้นทุกวัน น้ำพริกผักลวก เนื้อย่าง ปลาปิ้ง พวกแกงป่า แกงเลียง
อาหารการขบฉันก็ถือว่าได้สัปปายะ สะดวกสบายไม่อดไม่หิว นานๆ ก็จะได้ฉันอาหารทางเวียงทางเมือง เช่น พวกปลาทูเค็ม แค๊บหมู หากช่วงใดโยมผู้เป็นหัวหน้านั้น เอาของป่าลงไปขายก็จะได้อาหารในเมืองข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ ขึ้นมาแลกเปลี่ยนกันใช้สอย แบ่งปันกันกินภายในหมู่บ้าน ๑๖ หลังคาเรือนของพวกเขา ที่อยู่ก็สบาย ใกล้ห้วยน้ำ
พวกผู้คนเขาก็ไม่มารบกวนอะไรเรา มาเฝ้าดูว่าเรายังอยู่เท่านั้น เขาก็กลับไป เราก็บอกสอนเขา พวกผู้หญิงอยากมาหาต้องให้มีผู้ชายมาด้วย แปลกอยู่อย่างของเขา คือ เขาจะให้ทานอะไร ได้ทานอะไรแล้ว ได้มาทำอะไรให้แล้ว หากเราไม่ปันศีลปันพรให้เขาจะไม่ยอมลุกจากไป ต้องได้รับพรเสียก่อน
มันเรื่องลำบากใจแท้นั้นตอนที่ลาพวกเขาออกมา เพราะทนอากาศหนาวไม่ไหว กลางวันพอทนอยู่ได้ แต่พอค่ำเท่านั้นอากาศเย็นเยียบเข้ากระดูก เลยก็ว่าได้ จุดไฟไว้หากไฟมอดอ่อนเปลวลงยามใดก็ต้องเย็นหนาว กลางคืนนี่ไฟต้องลุกอยู่ตลอด จึงจะพออยู่ได้
ลำบากเรื่องหนาวนี้เอง จึงลาพวกเขาออกมา แต่พวกเขาไม่ยอม กว่าจะหาทางออกจากพวกเขาได้ ก็ลำบากอยู่ กว่าพวกเขาจะยอมให้เราจากพวกเขาไป…….
ธรรมะประวัติองค์หลวงปู่จาม มหาปุญโญ ผู้มากมีบุญ วัดป่าวิเวกวัฒนาราม ตอนที่ ๑๘๓
(วัดป่าบ้านห้วยทราย) บ้านห้วยทราย ต.คำชะอี อ.คำชะอี จ.มุกดาหาร
๓ กันยายน ๒๕๕๙
กราบขอบพระคุณและขออนุโมทนาบุญท่านเจ้าของผู้ถ่ายภาพนี้ พร้อมทั้งผู้ที่มีส่วนร่วมในการเผยแผ่โอวาทธรรมคำสอนนี้ ทุกๆ ท่านครับ
เพจพระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น https://www.facebook.com/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B8%AB%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B9%8C-%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%A1%E0%B8%B1%E0%B9%88%E0%B8%99-238296179593402/?fref=ts
ที่มา พระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น -
สายหลวงปู่มั่น สมาชิก
“ สนทนาธรรมกับท่านเจ้าคุณฯ ”
“ อายุพรรษาได้ ๒๔ พรรษา แม่อุไร นิมนต์ลงไปกิจนิมนต์กรุงเทพฯ ให้ไปพักอยู่วัดพระศรีมหาธาตุบางเขนกับสมเด็จพิมพ์
ไปคราวนั้นล่ะได้ไปพบปะ ท่านเจ้าคุณพุทธปาพจนจินดา ได้เข้ากราบไหว้ท่าน แล้วท่านก็ถามความเป็นมา การไปมา
พอรู้ว่าเราเป็นพระธุดงค์เคยได้พบปะกับเพิ่นครูอาจารย์มั่น (ภูริทัตโต) มาก่อนแล้ว เพิ่นยังยินดี ฉันจังหันแล้วท่านนัดให้ไปพบที่ทางวัดพระศรีฯ จัดเป็นที่พักรับรองให้ท่าน เข้าหาท่านแล้วก็กราบไหว้
“ เป็นอย่างใดบ้างหนอ ผู้ถืออยู่ดงอยู่ป่า การปฏิบัติจิตตภาวนานี้เป็นอย่างไร ทำไมจิตใจของผมจึงไม่เป็นเอาเลยกับเรื่องการรักษาใจนี้ ขอให้คุณจงเปิดให้ฟังบ้างเถิด ไม่ใช่จะลองภูมิลองธรรม หรือมิจฉาจิตอันใดเลย ”
เราก็กราบเรียนว่า… “ การปฏิบัติของเกล้ากระผมก็เป็นของยากเหมือนกันครับ เพราะในโลกนี้วิชาอื่นๆ ร่ำเรียนกันได้ง่าย ยากที่สุดคือวิชชาภาวนารักษาใจ ”
ท่านก็ว่าท่านตรวจตราข้อระเบียบลำดับการปฏิบัติได้ชัดใจแล้ว แต่เมื่อเอาเข้าจริงๆ แล้วก็ลำบากยากยิ่ง
ผู้ข้าฯ จึงกราบเรียนว่า…….
“ อุปนิสสัยที่แก่กล้าจะเป็นแรงหนุนใหญ่ ประการนี้ก็สำคัญ แต่ที่สำคัญในปัจจุบันขณะก็คือ การหัดสติที่สุขุม คือ ต้องบำรุง วิริยะ ขันติ สัจจะ อธิฏฐานะ นี้ให้เสมอใจภายในเสียก่อน แล้วทำความรู้อยู่ที่กาย ตรวจตราสกลกาย อันเป็นอาการทั้ง ๓๒
ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก เยื่อในกระดูก ม้าม เนื้อหัวใจ ตับ ผังผืด ไต ปอด ไส้ใหญ่ ไส้น้อย ขี้รากเก่าใหม่ น้ำดี น้ำเสลด น้ำหนอง น้ำเลือด น้ำเหงื่อ น้ำมันข้น น้ำตาน้ำมันเหลว น้ำลาย น้ำมูก น้ำมันไขข้อ น้ำมูตร มันสมอง
อาการเหล่านี้เป็นรูป ชัดเจนในรูป อันนั้นชัดแต่ภายนอก แต่การตรวจค้นพิจารณาต้องชัดเจนอยู่ใจ อยู่ในใจ ชัดใจอยู่ หากเมื่อชัดใจแล้วนั้นเองหล่ะ ไตรลักษณาญาณก็ปรากฎได้
เมื่อชัดใจปรากฎได้แล้วก็ให้ทำความรู้สึกอยู่ที่ใจ จะยืนจะเดินจะนั่งจะนอนประกอบกิจการงานใดๆ การรู้การเห็นวัตถุอันใดภายนอกจะเห็นอะไรก็ตามอย่าปล่อยใจ เอาใจรู้ใจ รู้พร้อมเสมอด้วย วิริยะ ขันติ สัจจะ อธิษฐานะ
ต่อไปจะรู้จะเห็นเป็นปัญญาอย่างใดก็ตามไม่ยินดีไม่ยินร้าย ให้เฉพาะหน้า แต่ความรู้อยู่กายความรู้อยู่ใจเท่านั้น ความเชื่อมั่นย่อมเป็นบาทฐานของสัจจะความจริง เกล้ากระผมปฏิบัติเล่าเรียนเคี่ยวเข็ญตัวเองอย่างนี้ครับ ”….
ท่านเจ้าคุณฯ ก็นิ่งตรองอยู่นาน เห็นแต่ท่านทำท่าหงึกศรีษะอยู่ แล้วไม่ถามเรื่องนี้อีกจึงได้พูดคุยกันเรื่องนั่นนี่อยู่เป็นชั่วโมงกว่า
สิ่งที่ท่านห่วงก็คือ ความประพฤติของพระเณร การแบ่งพรรคแบ่งพวก การแข่งดีแข่งเด่นกันของพระเณรผู้ใหญ่ และเรื่องแข่งขันของ ๒ คณะนิกาย พอจะกราบลาลงมา ท่านว่า…
“ เรื่องการปฏิบัติภาวนา ผมจดจำได้หมดตามที่คุณได้ว่ามา ต่อไปความพยายามต้องเป็นของผมผู้เดียว ผมไม่สงสัยก่อนปฏิบัติ จะยึดถืออุบายของพระธุดงค์อยู่ป่ามาปฏิบัติอยู่เมืองกรุง ดูว่าจะเป็นอย่างไร ผมขอขอบคุณอย่างมากที่วางอุบายไว้แก่ผม ”
ท่านเจ้าคุณฯ องค์นี้ อ่อนตนถ่อมตัวอย่างมาก ระมัดระวังตัวเองอย่างสูง กิริยามารยาทอะไรก็งดงาม การพูด การจา การวางข้าวของบริขารก็ละมุนละไมเป็นพระผู้ใหญ่ที่งามองค์หนึ่ง
อีกองค์หนึ่งที่ได้พบปะกันในคราวนั้นเจ้าคุณสนั่น พอรู้จักกับสมเด็จพิมพ์ฯ ว่ามีพระธุดงค์ทางเมืองเหนือลงมาอยู่ด้วยเท่านั้นก็มาหาผู้ข้าฯ ถึงห้องพักเลย มาเคาะประตูเรียกมาถาม…
“ ท่านหรือที่มาจากเชียงใหม่ ”..(ท่านเจ้าคุณสนั่น)
“ ครับผมเองครับ มาแต่สำนักเจดีย์หลวง ”..(หลวงปู่จาม)
“ ขอคุยด้วยได้ไหม ”..(ท่านเจ้าคุณสนั่น)
“ นิมนต์ครับ ”..(หลวงปู่จาม)
เข้ามาในห้องก็ถามการไปการมา อายุพรรษารู้ว่าพรรษาเพิ่นแก่กว่าผู้ข้าฯ ก็คุกเข่ากราบไหว้
ยิ่งรู้จักว่าเป็นคนอีสาน เป็นเณรมาแต่ยุคเมืองอุบลฯ เคยอยู่กับเพิ่นครูอาจารย์มั่น(ภูริทัตโต) การศึกษาธุดงค์ก็ผ่านครูบาอาจารย์มาก็ยิ่งชอบอกชอบใจ ยินดีพอใจ
เพิ่นไม่บอกว่าเป็นเจ้าฟ้าเจ้าคุณฯ บอกแต่ว่าเป็นสมภารวัดอยู่ตอนนี้ วัดนรนาถฯ
“ จากอีสานมานานอย่างนี้ คิดถึงอะไรมากที่สุด ท่านอาจารย์ ” ผู้ข้าฯ ถาม
“ ติบข้าวเหนียว แจ่วบอง กับยอดผักติ้วส้ม ” เพิ่นพูดแล้วก็หัวเราะ
“ ว่ากันอยู่เดี๋ยวนี้น้ำลายก็ไหลแล้ว ของแซบของกินบ้านเฮา ” ท่านว่า
“ คุณอยู่ป่า คำสอนบทใดของพระพุทธเจ้าชัดเจนที่สุด ? ”..(ท่านเจ้าคุณสนั่น)
“ ตนที่มีวิชชาเป็นปัจจัย ”..(หลวงปู่จาม)
“ เป็นอย่างใด ขอว่าให้ฟังด้วย ”..(ท่านเจ้าคุณสนั่น)
“ ความดี ความชั่ว ความสุข ความทุกข์ ..๒ อย่างนี้ ตนต้องทำเองทั้งหมด ผมก็ของผม ท่านอาจารย์ก็ส่วนท่านอาจารย์ อยู่ป่าอยู่เมืองก็ทำได้หากเชื่อมั่นพอใจทำ..
ดีชั่วเป็นของๆ ตนจริง
สุข ทุกข์เป็นของๆ ตนจริง..
จะมีมาหรือจะหายไปก็อาศัยตนเป็นเหตุ แม้การที่จะเห็นจริงเป็นจริงตามความเป็นจริงของจริงอย่างศีล สมาธิ ปัญญา วิมุตติ ก็อาศัยตัวเองคนเดียวผู้นี้ทั้งหมด
ด้วยเหตุนี้ผมจึงได้อาศัยวิชชาความรู้จากการศึกษาอบรมบ่มเพาะแต่ต้นมาจนวันนี้ เป็นเครื่องอยู่ เป็นเครื่องดำเนินด้วย กาย วาจา ใจ ก็กาย วาจา ใจ นี้เองมิใช่หรือที่องค์พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่าเป็นมรรคา หรือท่านอาจารย์ว่าอย่างใด ?” …ผู้ข้าฯ ถามกลับ
ท่านเจ้าคุณสนั่นก็นิ่งตรองอยู่แล้วว่า…
“ โห๊ะ…วาทะคำพูดของพระธุดงค์องค์นี้ มิใช่ของเล่นๆ ลึกลับแท้นี่ ”
จากนั้นก็พูดคุยกันไปอีกหลายเรื่องหลายอย่าง ผู้ข้าฯ ก็ชักชวนท่านออกไปอยู่ป่าเสาะหาที่ภาวนา ท่านก็ว่า…
“ หาช่องอุบายหนทางอยู่ แต่จะออกได้หรือไม่ได้ก็ยังไม่รู้ ใจนั้นอยากไปอยากปฏิบัติ เพราะอยู่กับปริยัติมานานแล้ว พิจารณาหน้าหลังก็มีแต่โมหะกับความอยากรู้ ”..(ท่านเจ้าคุณสนั่น)
สุดท้ายเราก็ขอฟังธรรมะของท่าน
“ ขอโอกาสท่านอาจารย์ผู้ศึกษาตำรามามากขอแสดงธรรมะให้ฟังด้วยเถิด ”..(หลวงปู่จาม)
“ คนและสัตว์หรือหมู่สัตว์โลกทุกหมู่เหล่าในโลกนี้ ย่อมเป็นทุกข์เดือดร้อน เพราะไฟทุกข์ และไฟกิเลสเป็นเครื่องแผดเผาให้ทุกข์ร้อน…
ราคะ ความกำหนัดยินดี
โทสะ ความประทุษร้าย
โมหะ ความหลง…
เกิดมาจากความโง่เขลา อวิชชาเป็นมูลเป็นเหตุ นี้ส่วนไฟกิเลส มาแต่ไฟทุกข์นั้น ก็ได้แก่ เกิด แก่ เจ็บไข้ ความตาย ความเศร้าใจ ความพิไรรำพัน ความไม่สบายกาย ความไม่สบายใจ ความคับแค้นใจ ความต้องประสบกับสิ่งที่ตนไม่ชอบ และความพลัดพรากใด ๆ
ทั้งหมด อาการทั้งสองนี้เองที่เป็นทุกข์ จึงควรเบื่อหน่ายในทุกข์ ไม่ควรติดทุกข์ ไม่ควรแบกสุข ทุกข์สุขมีด้วยกันทุกคน อย่าเห็นหมายสำคัญผิด
เพราะทุกข์ก็คือทุกข์ จะเป็นสุขไปไม่ได้ ทุกข์ก็คือทุกข์ จึงควรรู้ทุกข์ของตน ปล่อยวางทุกนั้นเสีย ถอนตัณหาคือเหตุแห่งทุกข์ให้ได้มากมาย ตามใจประสงค์ของตน ก็จะพ้นได้เป็นลำดับไปได้ จนที่สุดเป็นผู้มีทุกข์ไม่เหลืออยู่ คือ ไม่มีทุกข์ใดๆ เลย
เมื่อหมดเหตุสิ้นปัจจัยแล้ว แม้จะตายก็ไม่สำคัญ เพราะดับไฟใด ๆ ได้แล้ว เป็นตายจริงๆ ได้แล้ว ไม่ตายเน่าตายเหม็นเล่นๆ อีกต่อไป…
สุคติ ปฏิปทา จิตฺเต อสงฺกิลิฏฺฐา
เมื่อจิตบริสุทธิ์แล้วนั้นเอง จึงควรแก่ตนของตน”..(ท่านเจ้าคุณสนั่น)
ธรรมะประวัติองค์หลวงปู่จาม มหาปุญโญ ผู้มากมีบุญ วัดป่าวิเวกวัฒนาราม ตอนที่ ๑๘๒
(วัดป่าบ้านห้วยทราย) บ้านห้วยทราย ต.คำชะอี อ.คำชะอี จ.มุกดาหาร
ภาพ : หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน มากราบนมัสการเยี่ยม
ท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระมหามุนีวงค์ (สนั่น จันทปัชโชโต)
แห่งวัดนรนาถสุนทริการาม เขตพระนคร กรุงเทพฯ
องค์หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน มักจะยกย่อง ท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระมหามุนีวงค์ วัดนรนาถฯ องค์นี้ว่า ท่านเก่งปริยัติก็จริง เพราะท่านจบเปรียญ ๙ แต่ท่านรักการปฏิบัติและการภาวนาอย่างมาก..
๓ กันยายน ๒๕๕๙
กราบขอบพระคุณและขออนุโมทนาบุญท่านเจ้าของผู้ถ่ายภาพนี้ พร้อมทั้งผู้ที่มีส่วนร่วมในการเผยแผ่โอวาทธรรมคำสอนนี้ ทุกๆ ท่านครับ
เพจพระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น https://www.facebook.com/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B8%AB%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B9%8C-%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%A1%E0%B8%B1%E0%B9%88%E0%B8%99-238296179593402/?fref=ts
ที่มา พระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น -
สายหลวงปู่มั่น สมาชิก
“ เจริญคาถาพระสีวลี ”
เรื่องปัจจัย ๔ ขณะที่อยู่วัดเจดีย์หลวง เมืองเชียงใหม่ ทุกครั้งทุกคราวไม่ขาดอะไรสักอัน ยิ่งเรื่องอาหารบิณฑบาตด้วยแล้ว ไม่เคยลำบากเลยได้มาก
หมู่พระเณรไปบิณฑบาตกลับมาได้หมู่ละน้อยเดียว จะฉันก็ไม่พออิ่ม ส่วนผู้ข้าฯ บางวันรถล้อถีบตามมาส่ง ศรัทธาที่เขาใส่บาตรเขาจ้างให้ บางวันก็หิ้วพะรุงพะรัง
เดินไปทางเส้นไหนก็ได้มาทุกเส้นทุกสายบิณฑบาต จนพระเณรเขาอิจฉาหรือบางคนถึงกับเดินตามไปก็มี ยิ่งกว่านั้นมาถามว่า ….
“ ท่านอาจารย์ทำไมรวยอาหารแท้ทำอย่างไร ” ?
“ ก็บุญเก่าของเพิ่น ” ผู้ข้าฯ ตอบ
“ ได้ยินเขาว่า ท่านอาจารย์เจริญคาถา ” ?
“ เจริญคาถาพระสีวลี ”…(หลวงปู่จาม)
“ พวกผมก็เจริญเหมือนกันไม่เห็นร่ำรวยได้มาอย่างท่านอาจารย์เลยครับ คาถาของท่านอาจารย์ว่าอย่างได๋ ” ?
“ ไม่มีคาถมคาถาอะหยังดอก ก็ไปตามปกตินี้หล่ะไปขอข้าวเขามากิน เขาให้ก็เอา เขาไม่ให้ก็แล้วไป เดินไปข้างหน้าจนสุดทางแล้วก็กลับมา ไม่ได้ว่าไม่ได้ขอออกปากกับใคร ”…(หลวงปู่จาม)
“ ท่านอาจารย์ต้องมีคาถาเรียกลาภ พวกผมเคยได้ยินพระเณรวัดพระสิงห์ เมืองเชียงใหม่ เล่าลือกันอยู่ว่า ตุ๊ป่าวัดเจดีย์หลวง ตนหนึ่งเจริญคาถาพระสีวลี ก่อนออกบิณฑบาตจึงได้ร่ำรวยได้อาหารมาก
พวกผมได้ยินมาอย่างนี้ และยังได้เห็นท่านอาจารย์ แบ่งอาหารให้เณรวัดพระสิงห์อีกด้วย ”
พวกเขาไม่ยอมวันต่อมาก็มาขอเรียนคาถาพระสีวลีอีก…หลายครั้งหลายวัน จนผู้ข้าฯ ก็ออกจะรำคาญ จึงได้บอกแก้รำคาญพอแล้วๆ ไป พอคนนี้มาเรียน คนนั้นก็มาเรียน
แต่เราก็บอกว่า หากผู้ใดเคยให้ทานทำบุญมาก่อนแต่หลายภพหลายชาติ คาถาบทนี้จึงจะศักดิ์สิทธิ์เป็นผลเป็นมงคล ทีนี้บางคนเรียนไปก็ได้ผล บางคนเรียนไปเจริญก่อนออกบิณฑบาตกลับมาบาตรเปล่าก็มี
ก็มาต่อว่า หาว่าบอกคาถาไม่จบบท ก็เลยวุ่นวายกันอยู่พักใหญ่ๆ ผู้บิณฑบาตร่ำรวยก็เชื่อศรัทธา ผู้มาใหม่ก็มาขอเรียนอีก วุ่นกันไม่รู้จบ ในที่สุดเลยให้พระนักเรียนนักศึกษาเขาเขียนใส่กระดาษแปะติดกับแผ่นไม้อัดแล้วแขวนไว้หน้ากุฎิว่า…
“ อิติปิโส ภควา สิมพะลี จ มหาเถโร มหาลาโภ มหาลาภัง มหาเตชา สัพพะลาภา ภะวันตุ เม เอตัง มะมะ ”
ก็แก้รำคาญไปอย่างนั้น มันไม่ใช่แก่นสารสาระอะไรหรอก บุพกรรมเคยทำบุญให้ทาน เคยฝากไว้กับพระพุทธศาสนากับโลกสงสารนี้เองก่อนทั้งนั้นแหละ ของใครของมัน ทำไว้ทำมาแล้วต่างหาก…..
ธรรมะประวัติองค์หลวงปู่จาม มหาปุญโญ ผู้มากมีบุญ วัดป่าวิเวกวัฒนาราม ตอนที่ ๑๘๐
(วัดป่าบ้านห้วยทราย) บ้านห้วยทราย ต.คำชะอี อ.คำชะอี จ.มุกดาหาร
๓ กันยายน ๒๕๕๙
กราบขอบพระคุณและขออนุโมทนาบุญท่านเจ้าของผู้ถ่ายภาพนี้ พร้อมทั้งผู้ที่มีส่วนร่วมในการเผยแผ่โอวาทธรรมคำสอนนี้ ทุกๆ ท่านครับ
เพจพระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น https://www.facebook.com/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B8%AB%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B9%8C-%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%A1%E0%B8%B1%E0%B9%88%E0%B8%99-238296179593402/?fref=ts
ที่มา พระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น -
สายหลวงปู่มั่น สมาชิก
“ บาปกับการต้มไหม ”
“ ไปอยู่บ้านดอนเงิน กุมภวาปี เมืองอุดรธานี อยู่ ๒ เดือนกว่า ท่านอาจารย์อ่อน ญาณสิริ เพิ่นว่า เพิ่นจะไปสอนญาติพี่น้องแม่ออกของเพิ่นให้รู้จักภาวนาให้รู้จักการปฏิบัติกรรมฐาน
เพิ่นไปคราวนั้นก็พอได้แต่ทำให้โยมญาติพี่น้องของเพิ่นรู้จักศาสนาดีขึ้น แต่คนเฒ่า(แม่ชีบุญมา) ไม่ฟัง ไม่ลงให้ลูกชาย ได้แต่ต่อว่าให้กับลูกชายว่า…
“ ครูบาก็ได้บวชแล้วอยู่ค้ำศาสนาแล้ว ได้พบปะครูบาอาจารย์ใหญ่ (ท่านพระอาจารย์ใหญ่มั่น ภูริทตฺโต) มาแล้ว
บวชแล้วผัดเอาแต่ความโกรธมาว่าให้อีแม่ อย่าห่วงอีแม่เลย อีแม่ฟังธรรมฟังเทศน์ของเพิ่นอัญญาครูดี ฉันโน บ้านม่วงไข่
เพิ่นมาอยู่โปรดสอนเอาอีแม่อยู่นี่อยู่บ้านจิป่าขีนี่ ศีลอีแม่(โยมมารดาหลวงปู่อ่อน)ก็ฮู้จักกรรมฐานภาวนาก็รู้จักบ่ตายเปล่าดอก
ครูบาอาจารย์มาอยู่มาเยี่ยมบ้านก็ดีแล้วให้ว่าให้กับหมู่ญาติพี่น้องทั้งหลายให้เขาหูตาสว่างขึ้นมาได้อีแม่ก็ดีใจแล้ว ””
มีอยู่วันหนึ่งแม่ชีเฒ่ามาหาผู้ข้าฯ มาพร้อมกับสาวขาวคนงามมาเว้ากับผู้ข้าฯ ว่า…
“นิมนต์เด้อครูบาเณร ขอให้อยู่ไปตลอดชีวิตเด้อ อย่าไปสึกออกมาหาโลกทุกข์นี้ แม่ชีฮู้เห็นมาหมดแล้วว่ามันทุกข์ขนาดได๋ในชีวิตนี้ มาอยู่นี่ก็ขอให้อยู่นานๆ แน่ หมู่ข้าน้อยลูกหลานจะได้ทำบุญทำทาน แม่ชีปีนี้ก็เฒ่าแก่หลายแล้ว อยู่โปรดให้เหิงๆ แน่ ””
จากนั้นคนเฒ่าก็เล่าว่า…. “ มาจากร้อยเอ็ด อพยพมาอยู่ กุมภวาปี แก่แล้วจึงได้รู้จักศีลรู้จักธรรม ชีวิตนี้ทุกข์หลายมีลูก ๒๐ คน ตาย ๑๐ ยังเหลือ ๑๐ ทำไฮ่ทำนาปลูกหม่อนเลี้ยงไหม แม่ชีนี้เป็นบาปกับต้มไหมนี่หละ บาปหลายแฮง ””
เราสังเกตดู โอ… คนเฒ่านี้เป็นคนแข็งแรงพละกำลังดี ร่างใหญ่ กินได้มาก ทำงานไวรวดเร็ว อยู่บ้านป่าบ้านดงไม่ทำอะไร อาหารก็ปลาแง่หนองหาน ไปอยู่นั่นเขาเอาแต่ปลาล่ะมาให้ฉัน
ท่านอาจารย์อ่อน ญาณสิริ ว่า… “ แม่ออกผู้เฒ่านี้จิตใจยังกังวลอยู่กับบาปกรรมต้มฝักหลอก ทำไหม สาวไหม ตายไปหลายแสนหลายล้านตัว บอกว่าอย่างใดให้ปล่อยให้วาง อย่าเอาของเก่ามาคิดก็ยังเอามาคิดอยู่ ””
คนเฒ่าก็ว่า “ครูบาเณรบวชแต่น้อยแต่หนุ่มยังบ่ได้ทำบาปอิหยัง
ขอนิมนต์ตั้งใจให้ได้เด้อ มาช่วยแม่ชีแน่
อัญญาครูดี ฉันโน เพิ่นก็บอกสอนแม่ชีอยู่ดอกว่า ของเก่าการกระทำอันผิดพลาดห้ามบ่ให้คึดมา บ่ให้คึดถึงบาปของเก่า ให้ใส่ใจแต่ในบุญของใหม่ ทำความดี ระลึกถึงศีล ให้ภาวนา แม่ชีก็พยายามเต็มที่อยู่ ””
จากนั้นคนเฒ่าก็ถามถึงบ้านเกิดเมืองนอนประเพณีของพวกผู้ไท อาชีพ การเป็นอยู่ การอบรมจากครูบาอาจารย์ เราก็เล่าให้ฟัง คุยกันยืดยาวอยู่กับคนเฒ่าแม่ชีบุญมา…….
ธรรมะประวัติองค์หลวงปู่จาม มหาปุญโญ ผู้มากมีบุญ วัดป่าวิเวกวัฒนาราม ตอนที่ ๑๗๙
(วัดป่าบ้านห้วยทราย) บ้านห้วยทราย ต.คำชะอี อ.คำชะอี จ.มุกดาหาร
๓ กันยายน ๒๕๕๙
กราบขอบพระคุณและขออนุโมทนาบุญท่านเจ้าของผู้ถ่ายภาพนี้ พร้อมทั้งผู้ที่มีส่วนร่วมในการเผยแผ่โอวาทธรรมคำสอนนี้ ทุกๆ ท่านครับ
เพจพระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น https://www.facebook.com/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B8%AB%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B9%8C-%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%A1%E0%B8%B1%E0%B9%88%E0%B8%99-238296179593402/?fref=ts
ที่มา พระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น -
สายหลวงปู่มั่น สมาชิก
“ หมู่เปรต ๕๐ แสน ”
“ เมื่อคืนนี้ใกล้แจ้งมีหมู่เปรต ๕๐ แสน มาหา..ผู้ข้าฯ ถามเขาว่า…
ทำไมจึงรู้ว่าอาตมาอยู่ที่นี่ ”
เปรต : มาตามแสงสว่างของหลวงปู่
หลวงปู่ : พวกสูมากด้วยกันเท่าใด ?
เปรต : ๕๐ แสน
หลวงปู่ : ต้องการอย่างใด ?
เปรต : มาขอให้ช่วยเหลือ เพราะเดี๋ยวนี้ ตกนรกขุมแห้งร้อน เหมือนกับยืนตากแดดบนพะลานหินกว้างใหญ่
หลวงปู่ : กรรมอันใด ?
เปรต : ไม่เชื่อฟังพ่อเจ้า เมื่อครั้งหลวงปู่เป็นพ่อเจ้าเศรษฐีน้ำข้อนเมืองงาย บัดนี้กรรมเบาบางแล้ว จึงได้แสงสว่างจากหลวงปู่ส่องไปถึง
หลวงปู่ : เอ้า…. ตั้งใจให้ดี อาตมาไม่มีอะไรจะให้ จะได้ก็เมตตาธรรมนี้ล่ะ
จากนั้นก็เมตตาภาวนา เจริญพรหมวิหารอยู่ ๓ รอบ จึงได้เป็นเสื้อผ้า อาหารตกลงจากฟ้าให้หมู่เปรตเหล่านั้น
แล้วจากนั้นพวกเขาก็กราบไหว้ลาไป ผู้ได้เกิดก็มี ผู้ยังต้องเสวยวิบากกรรมต่อไปก็มี อย่างมากก็เกิดเป็นมนุษย์ทุคตะ แต่ไปเกิดเป็นสัตว์มากกว่า
กรรมของเปรตหมู่นี้ เป็นเพราะเขาไม่ยอมทำงานให้เมื่อคราวพาเขาสร้างวัด แล้วว่าจ้างเลี้ยงดูพวกเขาให้บำรุงดูแลวัดอยู่น้ำข้อน เมืองงาย เมืองฝาง (จ.เชียงใหม่)
เราไปตรวจทีเขาก็ทำที เราไม่ไปเขาก็ไม่ใส่ใจ ละเล่นมัวเมากันไปตามเรื่อง มันสืบต่อกันมาตกทอดถึงลูกถึงหลาน อ้างแต่ว่าเป็นญาติเป็นพี่เป็นน้อง แต่บาปกรรมไม่เป็นญาติกับใคร จึงเป็นกรรมที่ตกทอดกันมาจนมากถึง ๕๐ แสนตน
การเกี่ยวข้องกับวัดวาอาราม นี้มิใช่ บุญก็ได้ ไส้ก็เต็ม มิใช่อย่างนี้ เพราะว่าเขาสละมาบำรุงศาสนา มิใช่สละให้ผู้คนญาติโยมต้องเหลือเดนจากพระสงฆ์แล้วคนจึงเอาได้
เรื่องการสงเคราะห์เจตภูติ ภูมิอื่นๆ เช่น พวกพรหม หมู่เทวดามาขอฟังเทศน์ธรรม หรือหมู่ครุฑ นาค ยักษ์ พวกหิมพานต์ มาขอฟังเทศน์ธรรม เปรต ผี มาขอให้ช่วยเหลือ ก็มีมาก จากที่องค์หลวงปู่ได้เล่าให้ฟังนับลำดับมาหลายปี…
“ แต่เริ่มเป็นพระมาโน่น ไม่รู้อย่างใด มันได้โปรดสัตว์โลกทุกหมู่เหล่า มิได้เว้นมิได้ขาด มิใช่แต่หมู่มนุษย์ผู้คนอย่างเดียว มิใช่อวดอ้างหรอก มันเป็นของมันมาอย่างนี้ ใครจะว่าบ้า ก็บ้าเสีย เรารู้ของเราคนเดียวก็พอ ”…..
(องค์ท่านมักจะพูดสำทับตอนท้ายเช่นนี้เสมอถ้าหากได้เล่าเรื่องในทำนองวันนี้)……
ธรรมะประวัติองค์หลวงปู่จาม มหาปุญโญ ผู้มากมีบุญ วัดป่าวิเวกวัฒนาราม ตอนที่ ๑๗๘
(วัดป่าบ้านห้วยทราย) บ้านห้วยทราย ต.คำชะอี อ.คำชะอี จ.มุกดาหาร
๓ กันยายน ๒๕๕๙
กราบขอบพระคุณและขออนุโมทนาบุญท่านเจ้าของผู้ถ่ายภาพนี้ พร้อมทั้งผู้ที่มีส่วนร่วมในการเผยแผ่โอวาทธรรมคำสอนนี้ ทุกๆ ท่านครับ
เพจพระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น https://www.facebook.com/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B8%AB%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B9%8C-%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%A1%E0%B8%B1%E0%B9%88%E0%B8%99-238296179593402/?fref=ts
ที่มา พระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น -
สายหลวงปู่มั่น สมาชิก
“ พ่ออุ้ยเฒ่าส่างมณฑา ”
วัดปากทางแม่แตง (วัดป่าพระอาจารย์ตื้อ) นี้ ผู้ข้าฯ อยู่ก่อนหมู่ ชาวบ้านทำกระต๊อบนั่งร้าน ที่นั่งฉันจังหัน อยู่ได้ ๒ ปี
ปี พ.ศ.๒๔๙๕ – ๒๔๙๖ แล้วท่านอาจารย์ตื้อ อจลธัมโม ก็มาอยู่แทนปี ๒๔๙๗ จนเรื่อยมาตลอด
“ ปี ๒๔๙๖ เป็นปีแรกที่อยู่จำพรรษาอยู่ป่าช้าปากทางแม่แตง เว้นปีหนึ่งแล้วมาอยู่จำพรรษาอีกเป็นปีที่ ๒ (ปี ๒๔๙๘) ปีนี้อยู่ด้วยกันกับโยมพ่อขาวเฒ่าคนหนึ่งเป็นคนแม่มาลัย มาได้เมียได้ลูกอยู่บ้านปากทาง แม่แตง เชียงใหม่ มาขอปฏิบัติอยู่วัด
โยมพ่อขาวเฒ่าคนนี้สำคัญมาก เพราะเคยเป็นลูกศิษย์ของเพิ่นครูอาจารย์มั่น (ภูริทตฺโต) มาก่อน
ปีที่คนเฒ่ามาอยู่กับผู้ข้าฯ นั้น อายุ ๘๐ ปีเต็ม ตัวผู้ข้าฯ ก็ได้ ๔๖ ปี ห่างกันเป็นครึ่ง แต่คนเฒ่าเป็นคนแข็งแรง
มาอยู่ด้วยเราก็ห้ามไม่ให้ทำกิจในการดูแลเพราะอายุมากแล้ว คนเฒ่าก็ไม่ยอม ล้างบาตร ล้างกระโถน กาน้ำ แก้วน้ำ ต้มน้ำร้อน ปัดกวาดดูแลทุกอย่าง ตลอดจนต้มน้ำให้ผู้ข้าฯ อาบ เราก็ห้ามไม่ให้ทำ คนเฒ่าก็ไม่ยอมขอปวารณาทำให้ตลอด
เราก็สอนให้คนเฒ่าภาวนา เดินจงกรม ให้สมาทานศีล ๘ ในวันพระ วันก่อนวันพระ และวันหลังวันพระ
วันนอกนั้นคนเฒ่าขอรักษาแต่ศีล ๕ เพราะคนเฒ่าว่า ต้องได้ตัดไม้ ถอนหญ้า ขุดดิน ทำงานนั่นนี่จะได้สะดวก คนเฒ่าชื่อ อุ้ยมนฑ์ พวกชาวบ้านเรียก ส่างมนฑา
คนเฒ่าว่า “ผมหน๋าท่านอาจารย์ อายุได้ ๕๙ ปี เมียแรกตายหนีจาก ทุกข์ใจเป็นล้ำเป็นเหลือ พอดีกับครูบาอาจารย์ท่านอาจารย์มั่น (ภูริทัตโต) เดินเข้ามาแบกกลด สะพายบาตร ท่านกระแอมไอขึ้นผมก็รู้ตัว จึงถามว่า…
“ตุ๊เจ้ามาแต่ที่ไหน จะไปไหน ? ”
ท่านว่า “จะมาพักที่นี่ได้ไหม ใกล้แถบนี้มีหนองน้ำไหม ? ”
ได้กราบเรียนท่านว่า “ มี แต่ที่นี่เป็นป่าช้า อยู่พักไม่ได้ ต้องไปที่นาของผมก็ได้เพราะมีบ่อน้ำ ”
จึงได้พาท่านไปพักอยู่โฮงนา ให้นอนพักที่โฮงนา ตื่นเช้าวันใหม่จึงไปทำที่พักให้ ท่านอยู่โปรดผม ๑๖ วัน แล้วก็ลาไป
“ ครูอาจารย์มั่น (ภูริทัตโต) เพิ่นสอนอะหยังพ่อส่างบ้าง”…(หลวงปู่จาม)
“ สอนให้ละความอาลัย ละความโศกเศร้า ให้รู้จักเหตุทุกข์ การปฏิบัติก็แต่การไหว้พระสวดมนต์ การรักษาศีล การปฏิบัติระเบียบพระธุดงค์ ตอนนั้นผมเองยังไม่รู้จักกับท่านหรอกว่า เป็นครูบาอาจารย์ผู้ทรงธรรม ถามชื่อท่านๆ ก็ว่า “ ตุ๊เฒ่ามั่น (ภูริทัตโต) ”
ผ้าผ่อนบริขารของใช้ของเพิ่นก็มีแต่ของเก่าๆ สีเหลืองซีด กลดที่เพิ่นใช้ก็เอาจ้องบ่อสร้างมาใช้ ผ้ามุ้งกลดก็เก่าๆ ตัวผมเองก็เป็นแต่ยินดีพอใจกับกิริยาคำว่าคำสอนของท่านว่า สอนมีหลักมีเหตุมีผล ไม่เหมือนกับตุ๊นิกายตุ๊เมือง
บางวันก็เห็นเพิ่นเดินจงกรมทั้งวัน นั่งพักช่วงบ่ายหน่อยหนึ่งแล้วก็เดินอีกจนค่ำ อาหารข้าวปลาเพิ่นก็ฉันไม่มาก ฉันพออิ่มแล้วก็หยุด
ท่านอยู่โปรดกระผมนับ ๑๖ วัน ที่เพิ่นจากไป เมื่อเพิ่นจากไปแล้วก็เสาะหาถามข่าวหาว่าเพิ่นไปทางใด เสาะสืบเรื่อยลงมาแต่แม่มาลัยจนมาถึงปากทาง แม่แตง เชียงใหม่
บาปกรรมของผมยังมีอยู่ อายุ ๕๙ – ๖๐ ปีแล้วยังอยากเกี่ยวกามอยู่ มาปะเอาสาวแม่ม่ายอายุ ๓๒ ปี เขาก็มาปล้ำเอา
เอาทุกข์มาใส่ เลยหนีไปไหนไม่ได้ อยู่ด้วยกันมาได้ลูก ๓ คน ได้ลูกสาวหมด ”
คนเฒ่าพ่อส่างเล่าให้ฟัง คนเฒ่ายังว่ามายินดีพอใจกับผู้ข้าฯ ก็เพราะเป็นลูกศิษย์เคยได้พบปะเพิ่นครูอาจารย์มั่น (ภูริทัตโต) มาก่อน
คนเฒ่าจึงเคารพนับถือ ยินดีพอใจในการปฏิบัติดูแลทุกอย่าง
คนเฒ่าคนนี้ปฏิบัติความเพียรดีมาก เดินได้หมดวัน ยิ่งวันพระกับวันหัวท้ายวันพระไม่ให้คนเฒ่าทำงานใดๆ คนเฒ่าก็เดินจงกรมได้ตลอดวัน
“ นั่งมันได้หลับท่านเอ๋ย เดินยังพอรู้จักจิตได้ ” คนเฒ่าให้เหตุผล
ผู้ข้าฯ คนหนุ่มแท้ยังสู้คนเฒ่าไม่ได้ในอิริยาบถเดิน คนเฒ่าเดิน เรานั่ง เป็นหมู่ปฏิบัติความเพียร คนเฒ่าติดขัดอะไรก็มาถาม ผู้ข้าฯ แก้ไข ชี้แจง แนะนำ บอกอุบายให้
ผู้ข้าฯ ว่า “ พ่ออุ้ย อาตมา ก็ยังไม่ใช่พระอริยอรหันต์เน้อ ได้แต่ปฏิบัติตามตำรา ตามแบบอย่างของท่านผู้ผ่านมาแล้ว ที่อาตมาว่ามานั้น พ่ออุ้ยจะรู้จักแจ้งได้ภายในของตนเองเท่านั้นที่จะมั่นคงได้ ”
อุ้ยส่างเฒ่าคนนี้ ภาวนาได้ความดี ได้ถึงองค์ฌานตามที่คนเฒ่าเล่าให้ฟัง ผู้ข้าฯ ก็ลำดับขั้นขององค์ฌานให้คนเฒ่าฟังฌานที่ ๑ – ๒ – ๓ – ๔ คนเฒ่าผู้นี้ได้ที่ ๔
ใกล้ออกพรรษาคนเฒ่ามาเล่านิมิตให้ฟังว่า…
“ เดินไปตามถนนปูด้วยหญ้าสีเขียวอ่อน หญ้าก็อ่อนนุ่ม สองข้างทางก็ประดับตกแต่งสวยงาม เดินนับหลักกิโลฯ ข้างทางไปได้ ๘๒ หลัก แล้วก็หยุดอยู่ ผมแปลของผมว่า อายุของผมอีก ๒ ปีจะตายดับ
แน่นอน
แต่ผมก็อุ่นใจบ้างแล้วท่านเอ๊ย ครูบาอาจารย์ท่านอาจารย์มั่น (ภูริทัตโต) มาโปรดไว้ ต่อมาก็มาได้ท่านนี้ล่ะมาสั่งสอนแนะนำจึงได้ประโยชน์ตนที่ไม่สูญหายอย่างนี้ ขอให้ท่านเจริญยศเจริญธรรมต่อไปข้างหน้าเต๊อะ ”
ต่อมาได้ปีกว่าใกล้ครบ ๒ ปี คนเฒ่าก็ตายเป็นไข้ธรรมดานี้หล่ะ ก่อนตายก็บอกให้ลูกหลาน
“ เตรียมหีบเตรียมโลงไว้ กูใกล้ตายแล้วเน้อสูเอ๊ย แต่ไม่รู้วันเท่านั้นไม่นานหรอก ๘๒ ปีเต็มนี้หล่ะ ”
คนเฒ่าสั่งบอกลูกหลานไว้ก่อน เขามาเล่าให้ฟังอีกว่า ก่อนคนเฒ่าตาย ๓ วัน ได้บอกลูกหลานว่า ….
“ ถ้าหากท่านอาจารย์จาม (มหาปุญโญ) ผ่านมาทางนี้อีก ใครปะใครเห็นให้นิมนต์เอาไว้ สร้างสำนักให้เพิ่นอยู่
ท่านอาจารย์จาม (มหาปุญโญ) เป็นพระแท้ พระดีองค์หนึ่งที่เสาะหาได้ยาก ต่อไปข้างหน้าสูเจ้าจะได้อาศัยได้ทำบุญให้ทาน ได้ฟังธรรมะพระ(พุทธ)เจ้า จากเพิ่นไม่ใช่พระธุดงค์ธรรมดาเน้อ ”
ในระหว่างพรรษาปีนั้น ผู้ข้าฯ ก็รู้ได้อยู่ว่า จิตคนเฒ่านี้ขาวใสมีรัศมี คนเฒ่าติดเอกัคคตารมณ์ บอกว่าให้แก้ไข คนเฒ่าก็ไม่เอาความ
คนเฒ่าว่า …..“ ได้สุขในนั้นผมก็พอแล้ว เพราะหนทางข้างหน้าแต่หลัก ๘๒ ไปแล้วมันเป็นทางลึบมืดไม่เห็นหนทางต่อไปอีก
ท่านอาจารย์ว่าหากจิตเข้าพรหมโลก อายุยืนยาว ผมก็จะไปดูถ้าได้ไป ผมพอใจแล้วท่านเอ๊ย ”
ผู้ข้าฯ ก็หมดช่องทางจะแก้ไขให้คนเฒ่าได้ คนเฒ่านั้นเวลาเดินจงกรมตอนกลางคืนไม่จุดไฟเทียนไฟตะเกียงจะเอาแสงสว่างภายนอกใดๆ เลย แต่ก็เดินไปมากลับไปกลับมาได้ เส้นทางจงกรมของคนเฒ่าก็ตรงเสมอหัวท้ายไม่คดไม่งอ
ผู้ข้าฯ ผู้สอนคนเฒ่าก็ได้ความรู้ไปด้วย ตายไปแล้วก็ไปอยู่พรหมโลก
ต่อไปเมื่อหน้าจะได้ลงมาเกิดในศาสนาของพระพุทธเจ้าของพระโพธิสัตว์องค์ที่ ๖ แล้วบำเพ็ญทำบุญให้ทานในกัปป์ของพระพุทธเจ้าองค์ที่ ๗ ที่ ๘ ที่ ๙ องค์ที่ ๑๐ ช้างป่าเลไลย์ครูบาศรีวิชัย
คนเฒ่านี้จะได้สำเร็จเป็นอสีติสาวกแบบพระเรวตะสามเณร เป็นสาวกของพระพุทธเจ้าสุมังคโล(องค์ที่ ๑๐ ครูบาศรีวิชัย)
อันนี้ไม่ใช่ผู้ข้าฯ พูด แต่เป็นท่านอาจารย์ตื้อ อจลธัมโม พูดไว้
พ่ออุ้ยส่างมณฑา นามสกุลอะไร ผู้ข้าฯ จำไม่ได้
ออกพรรษาปี พ.ศ.๒๔๙๘ แล้วคนเฒ่าก็กลับไปอยู่เรือนกับลูกหลาน แต่สมาทานศีล ๕ วันพระได้ ศีล ๘ ตลอดจนตาย ………
ธรรมะประวัติองค์หลวงปู่จาม มหาปุญโญ ผู้มากมีบุญ วัดป่าวิเวกวัฒนาราม ตอนที่ ๑๗๗
(วัดป่าบ้านห้วยทราย) บ้านห้วยทราย ต.คำชะอี อ.คำชะอี จ.มุกดาหาร
๓ กันยายน ๒๕๕๙
กราบขอบพระคุณและขออนุโมทนาบุญท่านเจ้าของผู้ถ่ายภาพนี้ พร้อมทั้งผู้ที่มีส่วนร่วมในการเผยแผ่โอวาทธรรมคำสอนนี้ ทุกๆ ท่านครับ
เพจพระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น https://www.facebook.com/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B8%AB%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B9%8C-%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%A1%E0%B8%B1%E0%B9%88%E0%B8%99-238296179593402/?fref=ts
ที่มา พระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น -
สายหลวงปู่มั่น สมาชิก
“ ปลงในไตรลักษณ์ ”
ผู้ข้าฯ ไม่อยากเข้าโรงพยาบาล
ไม่อยากกินยา
ไม่อยากเจาะ ไม่อยากผ่า
ไม่อยากให้วุ่นวายเดือดร้อนกับหมอกับผู้คน
ผู้ข้าฯ ก็เฒ่าแก่อายุมากแล้ว มันควรตายได้แล้ว อยากตายก็ตายเถ๊อะ
หากสูเจ้าจะมาบำรุงรักษา ให้ไปรักษาเอาเด็กน้อยมันเกิดใหม่เด้อ
เพราะมันจะใหญ่โตต่อไปเมื่อหน้า เป็นชาติบ้านเมือง เป็นกำลังกับศาสนาต่อไป
ผู้ข้าฯ นี้ตายไปก็เป็นเถ้าเป็นดินหมดกันไปกับชีวิตนี้ ……
ธรรมะประวัติองค์หลวงปู่จาม มหาปุญโญ ผู้มากมีบุญ วัดป่าวิเวกวัฒนาราม ตอนที่ ๑๗๓
(วัดป่าบ้านห้วยทราย) บ้านห้วยทราย ต.คำชะอี อ.คำชะอี จ.มุกดาหาร
๓ กันยายน ๒๕๕๙
กราบขอบพระคุณและขออนุโมทนาบุญท่านเจ้าของผู้ถ่ายภาพนี้ พร้อมทั้งผู้ที่มีส่วนร่วมในการเผยแผ่โอวาทธรรมคำสอนนี้ ทุกๆ ท่านครับ
เพจพระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น https://www.facebook.com/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B8%AB%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B9%8C-%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%A1%E0%B8%B1%E0%B9%88%E0%B8%99-238296179593402/?fref=ts
ที่มา พระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น -
สายหลวงปู่มั่น สมาชิก
“ ภาพนิมิต ”
แม้เราเป็นเณรความมุ่งมั่นปฏิบัติสมาธิภาวนา “ พุทโธ ” ตามอุบายธรรมของเพิ่นครูอาจารย์มั่น (ภูริทตฺโต) ก็ปฏิบัติเสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย ไม่ห่วงอาลัยชีวิต อดนอนก็ทำ ผ่อนอาหารก็ทำ อิริยาบถ ๓ ก็ทำ เพราะครูบาอาจารย์เพิ่นเป็นตัวอย่างพาทำ
ข้อวัตร ปฏิบัติแนวทางของพระธุดงค์ก็ไม่ละเลยไปได้ จะว่าภาวนาเป็นอยู่แต่บ้านหนองขอนก็ว่าได้
เหตุที่ว่าได้ก็เพราะว่าวันหนึ่ง กลางคืนไก่ขันรอบที่ ๒ เราก็นั่งภาวนาอยู่ระลึกจิตอยู่ รู้ตัวอยู่ตลอดเวลา อันนี้กายอันนี้ใจ อันนี้ใจไม่เกี่ยวกาย รู้อยู่ตลอด
จิตสงบลงได้อยู่นาน สมาธิถอนขึ้นมา จึงได้ภาพนิมิต เป็นภาพเจดีย์ปรักหักพัง ใบเสมาหินระเกะระกะ ตั้งบ้างนอนบ้างเอียงบ้างซากฐานก้อนอิฐ ก้อนหิน กระจัดกระจายอยู่ทั่วไป รอบๆ บริเวณนั้นเป็นป่าไผ่ลำใหญ่ลำตรง ใบไผ่หล่นปกคลุมสิ่งซากอิฐซากหินพวกนั้น
ข้างล่างดินลึกลงไปมีผอูบทองคำ มีพระพุทธรูปทองคำและเครื่องสมบัติของพระเจดีย์และของวัดเก่านั้น
บริเวณโดยรอบแต่ดั้งเดิมยุคเก่าก่อนนั้นเป็นป่ากว้าง ร่มรื่นสิ่งก่อสร้างทั้งหลายก็งดงาม ลงตัว เหมาะสมมาก
ภาพนิมิตยุคก่อนเก่าดับไป ก็กลับมาเป็นยุคสมัยปัจจุบันนี้รู้จักว่าอยู่ในเขตหมู่บ้านไผ่ใหญ่ นิมิตดับไปจึงรู้สึกตัวขึ้นมา เราเองก็นึกสงสัยตัวเองอยู่ว่าเป็นได้อย่างใด
แล้วก็ทบทวนแต่ก่อนทำสมาธิขณะกำหนดบริกรรม วางบริกรรมจับผู้รู้ ผู้รู้ชัดเจนขึ้น รู้ตัวอยู่ตลอด สงบก็รู้อยู่ นิมิตเกิดนิมิตดับก็รู้อยู่
ความคิดหนึ่งก็พูดขึ้นว่า จะยังไม่เชื่อจนกว่าจะได้ไปเห็นว่าเป็นจริงตามนิมิตจึงจะปักใจเชื่อได้ พอดีกับวันรุ่งขึ้น มีญาติโยมเขามานิมนต์หมู่พระเณรไปพักอยู่บ้านไผ่ใหญ่
เมื่อไปถึงแล้วก็พักอยู่ป่าใกล้วัดร้างวัดเก่านั้น แต่ชาวบ้านเขาไม่ยอมให้เข้าไปพัก เพราะเขาเกรงว่าจะมีอันตรายจากพวกภูมิเจ้าที่ผีเจ้าของ
เพราะเขาเล่าว่า วันพระใหญ่จะมีแสงสว่างพุ่งขึ้นจากใต้ดิน สว่างไสวอยู่ บางครั้งก็เป็นดวงแก้วแสงสว่างลอยไปลอยมา ต้นคืนลอยออกไป ใกล้แจ้งก็ลอยกลับมา
ชาวบ้านก็ขอร้องว่าอย่าได้เข้าไป เพราะเกรงอันตรายจะเกิดขึ้น
เพราะมีชาวบ้านอันธพาลเข้าไปหมายจะขุดค้นหาของเก่า ก็ตายไปทุกคน ไม่ตายอยู่กับที่ก็กลับไปตายที่อื่น
เราก็ไปสอบถามกับโยมผู้เล่าเรื่องให้ฟังนั้นในภายหลังว่า แสงสว่างนั้นพุ่งขึ้นจากซากฐานพระเก่านั้นใช่ไหม
เขาก็ว่า ทำไมตาผ้าขาวน้อยจึงรู้จัก…เราก็ไม่ว่าอะไร
วันสองวันต่อมา กราบขอขมาขออนุญาตเพิ่นครูอาจารย์มั่น (ภูริทตฺโต) ต่อหน้าเพิ่นแต่มิได้ลั่นวาจาออกปาก กำหนดจิตขอเพิ่นอยู่
ดูเหมือนกับเพิ่นรู้จักได้มองมาที่เราแต่มิได้พูดอะไร นิ่งเฉยอยู่
ทำกิริยาอย่างนั้นอยู่ ๓ วัน
พอวันที่ ๓ เหมือนกับเพิ่นหงึกศีรษะรับ
จึงได้หลบตัวไปในดงป่าไผ่วัดร้างนั้น ไปสำรวจดู พิจารณาดูก็เป็นจริงตามนิมิตนั้นทุกอย่าง
เราก็ไปลูบดูตัวอักขระภาษาขอมตามใบเสมาหิน อยากอ่านให้ได้ แต่ก็อ่านไม่ได้ มองดูป่าไผ่ก็ใช่ มองดูไม้ไหญ่ก็ใช่ มองดูตามบริเวณต่างๆ ก็ใช่จนหมด
เราก็ถอยออกมาแล้ว กราบไหว้ซากปรักหักพัง เพราะมั่นใจว่าลำแสงสว่างที่ชาวบ้านเขาว่านั้น ต้องเป็นวัตถุสมบัติศาสนาที่ล้ำค่าอย่างแน่นอน แล้วก็เดินออกจากป่าวัดร้างนั้น
พวกเณรมาเห็นเข้า จึงไปฟ้องเพิ่นครูอาจารย์มั่น (ภูริทตฺโต) แต่เพิ่นก็ไม่ว่าอะไร ได้แต่ห้ามมิให้เข้าไปอีก
หัวค่ำทำข้อวัตรสรงน้ำของเพิ่นครูอาจารย์มั่น (ภูริทตฺโต) เรียบร้อยแล้วเพิ่นจึงได้ถามว่า “เห็นอะไรบ้าง ? ”
เราก็กราบเรียนตามความจริงทุกอย่างแล้วก็กราบเรียนถึงนิมิตนั้นอีก เพิ่นจึงว่า “ “เป็นนิสสัยของเจ้าเน๊าะ
ตั้งใจเน้อภาวนาของตนตั้งใจไปเถอะ ต่อไปเมื่อหน้าเจ้าจะได้รู้จักเหตุผลได้เองดอก ””
ต่อมาในภายหลังจึงได้รู้จักจากการเจริญภาวนาของตนในภายในว่า ตัวของเราเป็นหัวหน้าหมู่บ้านได้อุปฐากอุปถัมภ์วัดนั้นมาตลอดชีวิต
มีพระเถระเจ้าองค์หนึ่ง รูปร่างสูงใหญ่ ผิวขาวสะอาด มีศิษย์หาบริวารมาก ฝ่ายหนึ่งเป็นวัดของภิกษุ อีกด้านหนึ่งเป็นวัดของภิกษุณี
ตนพระเถระเจ้านั้น เทศน์ธรรมชี้แจงเหตุผล บอกอุบายกัมมัฏฐานให้กับศิษย์ของเพิ่น มีลูกศิษย์ทั้งฝ่ายสงฆ์ ฝ่ายชาวบ้านนั่งแวดล้อมเต็มรอบตัวเพิ่น
พอเพิ่นนิพพาน ก็ทำฌาปนกิจแล้วเอาอัฐิอังคารของเพิ่นฝังลงใต้ฐานรากของพระพุทธรูป จึงเป็นเหตุให้แสงรัศมีนั้นพุ่งขึ้นจากดินแต่ชาวบ้านไม่รู้จัก กลับกลัว
ภายหลังจากลงมาจากเชียงใหม่แล้ว ปีหนึ่งก็พากันไปดูอีก พอไปคราวนี้ไม่มีอีกแล้ว ถามชาวบ้านเขาว่าหลักศิลาพวกนั้นหายไปไหนหมดแล้ว
ชาวบ้านว่าพวกศิลปากรเอาไปพิมาย เอาไปขอนแก่น
ผู้ข้าฯ มาเกิดอยู่บ้านไผ่ใหญ่เชียงเพ็ง หลังจากเกิดที่เมืองอาฬวี แล้วมาเกิดอยู่นี่ เวียนวนไปมา เกิดตายไป
วันที่ไปบวชนั้นพระอุปัชฌาย์ ถามท่านอาจารย์สิงห์ (ขันตยาคโม) ว่า “จะบวชเลยหรือว่าจะบวชแล้วเรียนปริยัติเสียก่อน ””
เพิ่นครูอาจารย์สิงห์ (ขันตยาคโม) ก็ตอบว่า “ อุปนิสัยของสามเณรจาม หนักไปทางปฏิบัติครับกระผม ””
บวชตอนเกือบค่ำ บวชแล้วก็พักอยุ่วัดสุทัศน์คืนหนึ่ง
ตื่นเช้าไปบิณฑบาตกลับมาฉันจังหัน ก็ออกไปสมทบเพิ่นครูอาจารย์มั่น (ภูริทตฺโต) อยู่นอกเมืองใกล้ค่ายกองทหาร ”
ใจมันชอบภาวนา ครูบาอาจารย์เพิ่นก็พาปฏิบัติต่างคนต่างก็ปฏิบัติ เราเป็นเณรก็คอยต้มน้ำร้อนบ้าง ประเคนของนั่นนี่
การปรนนิบัติรับใช้ รับการฝึกฝนอบรม ล้างบาตร เช็ดบาตร มัดบาตร ตากบาตร เก็บบาตร หัดเก็บพับผ้าจีวรสบงอังสะ สังฆาฎิ เก็บผ้าปูนั่ง ตากบิดผ้าอาบน้ำ
ตักน้ำกรองน้ำ ชงน้ำชา เสร็จจากงานครูบาอาจารย์แล้ว ก็เป็นงานของตัวเอง อาบน้ำชำระกาย ไหว้พระสวดมนต์ท่องบ่นภาวนา เดินจงกรม ตกแล้งก็ได้รุกขมูลแสวงหาวิเวกติดตามครูบาอาจารย์ แล้วแต่เพิ่นจะพาไป
ใจจะคิดถึงบ้านไม่มีหรอก เพราะใจมันสงบเยือกเย็นพอทนอยู่ได้ มันกระเทือนสุดก็ตอนที่เพิ่นครูบาอาจารย์มั่น (ภูริทตฺโต) หนีเข้ากรุงเทพฯ เท่านั้น
แล้วมันมาคิดถึงบ้าน คิดถึงพ่อแม่ ญาติพี่น้อง ก็ตอนนอนป่วยอยู่วัดป่าเหล่างา วัดศรีจันทร์ เมืองขอนแก่น
นอนป่วยเป็นโรคเหน็บชาอยู่นั้น มันสองจิตสองใจ ใจหนึ่งไม่อยากกลับบ้านแต่ร่างกายมันป่วย เพราะตั้งใจว่าจะบวชเป็นพระให้ได้
แต่อีกใจป่วยเป็นแล้วจึงคิดถึงบ้านเฮือนพ่อแม่ แต่ก็กลับคิดถึงเมตตาอาลัยของครูบาอาจารย์ นึกถึงความสงบกายใจในขณะปฏิบัติภาวนาเดินจงกรม
นึกถึงครูบาอาจารย์ก็พอทนอยู่ได้
นึกถึงบ้านก็หมายถึงการได้ลาสิกขาก็ร้องไห้ทันที
มันมีความคิดแปลกๆ ผุดขึ้นมาในระหว่างเริ่มแต่เป็นตาผ้าขาวน้อยจนมาเป็นเณร มองอะไรดูอะไรได้ยินได้ฟังอะไรก็รวมลงเป็นทุกข์
ทั้งหมด ทุกข์รอบทิศไป
เห็นชาวบ้านเขายุ่งยากตรากตรำกับทุ่งนาทำนาทำไร่หาอยู่หากินมาใส่ปากท้องตัวเองใส่ปากลูกเมีย ขุ้ยเขี่ยเสาะหาทรัพย์ทุกข์แสนทุกข์ ลำบากที่สุด
ได้คิดบอกสอนตัวเองว่า ชาติชีวิตนี้หากไม่ร่ำรวยจะไม่เอาหรอกเมีย
ได้คิดบอกสอนตัวเองว่า จะบวชหาทางพ้นทุกข์ตามแบบอย่างของครูบาอาจารย์แบบนี้ไปจนตายหนีจากกัน
มันคิดของมันเอง ยิ่งได้ยินได้ฟังครูบาอาจารย์เพิ่นเทศน์สอนเรื่องทุกข์ยากลำบากภพชาติด้วยแล้ว ใจมันอ่อนใจมันลงหมดแรงที่จะคิดถึงบ้านถึงเรือน
หากพิจารณาทุกข์ลงได้ในวันใด ใจมันได้กำลัง ยิ่งหมู่ญาติโยมที่มาส่งจังหันเขาบอกว่า นิมนต์ผ้าขาวน้อย นิมนต์คุณเณร นิมนต์จัวน้อย อยู่ค้ำวัดค้ำวาค้ำศาสนาเน้อ อย่าได้ออกมาหาทุกข์เด้อ ”
มันเหมือนกับที่ครูอาจารย์สิงห์ (ขันตยาคโม) เพิ่นเทศน์ว่า….
“ ชาวโลกคือ คนถือคบไฟชูไว้ทางหน้า แล้ววิ่งไปร้องตะโกนว่า ร้อน ๆ ๆ แต่ไม่ยอมทิ้งคบไฟนั้น วิ่งอยู่อย่างนั้น ไฟยิ่งได้ลม ก็ยิ่งมีความร้อนมาก ””
เราก็มาเทียบกับตัวเอง เทียบกับชาวโลก เทียบกับสัตว์โลกมันก็เหมือนกันหมด เป็นทุกข์แต่ไม่ยอมทิ้ง”…..
ธรรมะประวัติองค์หลวงปู่จาม มหาปุญโญ ผู้มากมีบุญ วัดป่าวิเวกวัฒนาราม ตอนที่ ๑๗๑
(วัดป่าบ้านห้วยทราย) บ้านห้วยทราย ต.คำชะอี อ.คำชะอี จ.มุกดาหาร
๓ กันยายน ๒๕๕๙
กราบขอบพระคุณและขออนุโมทนาบุญท่านเจ้าของผู้ถ่ายภาพนี้ พร้อมทั้งผู้ที่มีส่วนร่วมในการเผยแผ่โอวาทธรรมคำสอนนี้ ทุกๆ ท่านครับ
เพจพระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น https://www.facebook.com/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B8%AB%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B9%8C-%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%A1%E0%B8%B1%E0%B9%88%E0%B8%99-238296179593402/?fref=ts
ที่มา พระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น -
สายหลวงปู่มั่น สมาชิก
“ พบของดีวิเศษแล้ว ”
“ อาจารย์บุญธรรม เป็นคนจังหวัดสุรินทร์ บวชกับเพิ่นครูอาจารย์สิงห์ (ขนฺตยาคโม) ประสงค์อยากฟังเทศน์กับเพิ่นครูอาจารย์มั่น ภูริทัตโต จึงติดตามขึ้นเมืองเหนือไปรวมชุมนุมอยู่วัดบ้านป่ง เชียงใหม่ ”
…ท่านอาจารย์ชอบ ฐานสโม เล่าสู่ฟังว่า……..
บ่นแต่อยากฟังเทศน์ของเพิ่นครูอาจารย์มั่น (ภูริทตฺโต) ว่าหากผมได้ฟังแล้ว ผมต้องได้สำเร็จธรรมแน่นอน พูดคุยกับใครๆ ก็พูดบ่นอยู่อย่างนั้น หมู่คณะก็ปรามเอาไว้ว่า……..
“ ระวังนะ เวลาได้ฟังแล้วจะประมาทได้ ”
อาจารย์บุญธรรม คนนี้ไม่เคยเห็นเพิ่นครูอาจารย์มั่น (ภูริทตฺโต) มาก่อน แต่อยากฟังเทศน์อุบายธรรมแรงเกินไป เพราะห่วงแต่จะไม่ได้สำเร็จ
ในพรรษานั้นอยู่กับท่านอาจารย์เทสก์ (เทสรงฺสี) ท่านอาจารย์ชอบ (ฐานสโม) กับหมู่อีก ๔ – ๕ องค์ พอออกพรรษา เพิ่นครูอาจารย์มั่น (ภูริทตฺโต) ก็ลงมาแต่บ้านแม่กอยกับท่านอาจารย์น้อย (สุภโร) มารวมคณะอยู่บ้านป่ง แม่แตง เชียงใหม่ วัดเก่าของท่านเจ้าคุณอุบาลีคุณุปมาจารย์จันทร์ สิริจันโท
ท่านอาจารย์ชอบ ฐานสโม ว่า………
“ พออาจารย์บุญธรรม ได้เห็นเพิ่นครูอาจารย์มั่น (ภูริทตฺโต) ได้ฟังธรรมเทศนาของเพิ่นครูอาจารย์มั่น (ภูริทตฺโต) แล้วมีความเห็นผิด มีความเห็นไม่ลงในธรรม ไม่พอใจในอุบายธรรม หาว่าเพิ่นครูอาจารย์มั่น (ภูริทตฺโต) ว่าให้ว่าใส่น้อยอกน้อยใจ บ่นว่าไม่สมกับที่ดั้นด้นขึ้นมาค้นหา ไม่สมกับความตั้งใจอยากฟังธรรม หนีจากหมู่ไปโดยไม่ลาใคร ไปองค์เดียวกระเซอะกระเซอไปตามเรื่อง
ภายหลังท่านอาจารย์ชอบ ฐานสโม ไปเจอบอกให้กลับใจกลับเข้าหาหมู่ก็ไม่กลับ สอนอย่างใดก็ไม่เอาความ
ต่อมาท่านอาจารย์เหรียญ (วรลาโภ) ไปเจอนอนป่วยอยู่วัดบ้าน จึงหอบเข้าเจดีย์หลวง เชียงใหม่ ไปตายอยู่โรงพยาบาลเมืองเชียงใหม่ มาลาเรียขึ้นสมอง
เมื่อจะตายได้แต่พร่ำเพ้อบ่นว่า เสียดาย เสียดาย ไม่รู้ว่าเสียดายอะไรกันแน่
ท่านอาจารย์ชอบ ฐานสโม ว่า……………..
“ นี่ล่ะ จาม คนเราได้พบของดีวิเศษแล้ว แต่ตัวคนไม่ทำใจให้วิเศษตาม มันเลยเป็นแต่เศษ เป็นแต่เดน ”
อยากได้ธรรมชั้นสูง เพิ่นครูอาจารย์มั่น (ภูริทตฺโต) สอนให้แต่ต้นธรรมเป็นลำดับไป แต่ไม่ชอบนับ ๑ – ๒ – ๓ อยากได้ทีเดียว
การคบพบปะครูบาอาจารย์ก็ไม่ได้ประโยชน์อันใด ”….
ธรรมะประวัติองค์หลวงปู่จาม มหาปุญโญ ผู้มากมีบุญ วัดป่าวิเวกวัฒนาราม ตอนที่ ๑๖๙
(วัดป่าบ้านห้วยทราย) บ้านห้วยทราย ต.คำชะอี อ.คำชะอี จ.มุกดาหาร
๓ กันยายน ๒๕๕๙
กราบขอบพระคุณและขออนุโมทนาบุญท่านเจ้าของผู้ถ่ายภาพนี้ พร้อมทั้งผู้ที่มีส่วนร่วมในการเผยแผ่โอวาทธรรมคำสอนนี้ ทุกๆ ท่านครับ
เพจพระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น https://www.facebook.com/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B8%AB%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B9%8C-%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%A1%E0%B8%B1%E0%B9%88%E0%B8%99-238296179593402/?fref=ts
ที่มา พระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น -
สายหลวงปู่มั่น สมาชิก
“ บุพกรรมของเถรสุหัวป้อม ”
…อาทิคติปกิณกธรรม…
“ เถรสุหัวป้อม บวชเป็นเณรเฒ่าอายุมาก ถือศีล ๑๐ ของเณร แต่จะไปถามหาศีลหาธรรมอะไรกับมันไม่ได้หรอก ศีลข้อเดียวก็ไม่ได้ ได้แต่นุ่งห่มผ้าเหลืองของพระ(พุทธ)เจ้า เท่านั้น
เอาบ่วงมาดักแย้ ดักหนู ขุดจี้ล่อ (จิ้งหรีด) คล้องกะปอม ได้แล้วก็เอามาทำกิน ตี ๔ ตี ๕ ก็ลุกขึ้นมาปิ้งกล้วยกิน จี่ข้าวจี่กิน ต้มข้าวกิน
พอแจ้งสว่างเป็นวันใหม่ ก็ออกบิณฑบาตกับชาวบ้านเขาใส่หน่อไม้ต้ม มะม่วงสุก เขาใส่ให้อะไรถ้ามันหนักบาตรก็จับโยนทิ้งไป
ด่าว่าให้ชาวบ้าน เอาของหนัก เอาของไม่ดีมาใส่บาตรทำไม ใครเขาจะกินมะม่วงสุก ปิ้งซี้น(ปิ้งเนื้อ) ปิ้งปลา สูไม่มีหรือ ต้มปลา ต้มไก่สูไม่มี หรือลาบปลาตอง กูกะกินได้ ข้าวปลาอาหาร อยากกินเวลาใดก็ก็กิน
ให้ลูกหลานไปปลุกกระต๊อบให้อยู่ทิศตะวันตกของวัดแม่ชี(สำนักแม่ชีแม่ขาวบ้านห้วยทราย) อยู่คนเดียว อยู่ก่อนที่ผู้ข้าฯ จะลงมาอยู่บ้านนี้
…พอผู้ข้าฯ ลงมาอยู่แล้ว ก็มาขออยู่ด้วย…
มาอยู่ด้วยแล้วบอกว่าอะไรก็ไม่ฟังความ ดื้อซน ฮ้ายว่าบอกไม่ได้ สอนไม่เอา ให้ทำอะไรก็ด่า
ปัดกวาดลานวัดใบไม้หล่นก็ด่า ลมพัดกลับมาก็ด่า แดดออก ฝนตก เอะอะอะไรก็ด่า
ลูกหลานชาวบ้านมาหาหากไม่ถูกใจอะไรก็ด่าว่าให้เขา
“ โอ…. เถรอย่าไปด่าเก่งหลาย รักษาไว้หน่อยคำพูดจาของตน ”
…เราบอกสอนก็ไม่เอาคำ…
ปีหนึ่งเบิกถางป่าให้ได้อากาศหายใจ ให้ลมโกรก พื้นที่ว่างจึงให้โยมทางอำเภอกระสัง จังหวัดบุรีรัมย์ เอาต้นกล้าพันธุ์หมากเขียบ หมากน้อยหน่า มาให้
ได้ต้นน้อยหน่า มาแล้วจัดการให้เณรน้อยหนุ่ม มีเณรตุ๊ เณรสมัคร เณรสวาท ขุดหลุมเป็นแถวแล้วก็ปลูก เถรสุหัวป้อม ก็ปลูก แต่ของมันปลูกเอาสามหลุม มันว่าสามหลุมสามต้นแค่นี้ก็อิ่มแล้วคนเดียว
ปลูกแล้วเสร็จแล้ว เณรน้อยเขารดน้ำดูแล ถอนหญ้า ใส่ปุ๋ย ใส่ฝุ่นขี้งัวขี้ควาย ดูแลเป็นอย่างดี
แต่ของเพิ่นปลูก ๓ ต้น ตายหมดทุกต้น ตายเพราะไม่มีน้ำกินกับตัวตุ่นหน้าแว้มันกัดรากกัดหญ้า ตาเถรสุก็แปงแฮ้ว (แร้ว) ใส่ดักให้รัดคอตุ่น ขโมยทำได้ตุ่นแล้ว เอาไปปิ้งกิน
พวกเณรน้อยเขาก็มาฟ้องว่า เถรสุฆ่าตุ่น เราก็โอ… ปล่อยตามกรรมของใครของมัน ใครทำอะไรไว้ก็ได้อันนั้น
ทีนี้ก็ให้หาต้นกล้วยมาปลูก พอรอบปีออกหน่วยออกเครือแล้ว ตึ่งเต็มลูกแล้วก็ตัดเอาไปห้อยไว้ในโรงต้มน้ำร้อน ตี ๔ ตีห้า เถรสุก็ปิ้งจ้ำน้ำตาลกิน เครือใดหวีใดสุกมันก็หวงไว้กินคนเดียว
พอหมากเขียบ(น้อยหน่า)เป็นหน่วยเป็นลูกแล้ว เด็กน้อยมันก็เอากระดาษห่อไว้เป็นลูกๆ ของใครของมัน เจตนาของเณรน้อยก็เพื่อไม่ให้ตาเถรสุเอาไปเก็บไว้กินคนเดียว
หน่วยใดลูกใดตาแตกแก่จัดแล้ว เณรน้อยเด็กน้อยเขาก็เก็บเอาไปบ่มซ่อนไว้ที่อื่นไม่ให้เถรสุเห็น
ฝ่ายเถรสุก็ด่า…
“ เณรผีห่า พวกนี้หมากเขียบหน่วยใดแก่แล้ว ก็เอาไปจนหมดไม่ให้กูกินด้วย เณรลูกหมาพวกนี้ ”
ผู้ข้าฯ ก็ว่า……
“ เถร….อย่าไปด่าเณรน้อยเด็กน้อยนะ ก็เมื่อปลูกเถรปลูกเอาแค่สามต้น ต้นหมากเขียบของเถรตายหมดแล้วมิใช่หรือ นี่เด็กน้อยเขาปลิดไปบ่มจะได้ถวายพระเณรให้ได้กินด้วยกันทุกคน ๆ เถรจะเป็นบาปนะ ถ้ายังไม่เลิกด่า หากเด็กน้อยรุมซ้อม ผู้ข้าฯ ไม่ห้ามไม่ช่วยเหลือนะ ”
…เราว่าอย่างนั้นก็ไม่หยุดหรอก หาเรื่องด่าอยู่เช่นนั้น…
นานเข้าเด็กน้อยมันก็เกิดโทสะ พากันเข้ามาหาผู้ข้าฯ แล้วว่า…
“ ท่านครูบาลุงครับ พวกผมมาขออนุญาตจะฆ่าฝังดิบตาเถรเฒ่าผู้นี้ วันไหนมันก็ได้แต่แกล้ง ได้แต่ด่าพวกผม เมื่อเช้าก็จับหัวพวกผมโขกกันครับ ”
“สูจะฆ่าด้วยพิธีอย่างใด ?” (หลวงปู่จาม)
“ จะไปทางหลังมันเอาผ้าคล้องคอมันแล้วดึงให้มันล้มลงทางหงายหลัง แล้วก็ขึ้นกระทืบหน้าอกมันจากนั้นก็เตะลงหลุมฝังทางดิบเลย พวกผมจะทำวันนี้ละ ”
“ สูไม่กลัวบาปหรือ ” (หลวงปู่จาม)
“ โอย…. ฆ่าคนแบบนี้จะบาปหรือ ศีลห้า มันยังไม่ได้จะนับอะไรศีล ๑๐ ข้อ ไม่บาปเท่าฆ่ายุงตัวหนึ่งซ้ำ ”
“ มันเป็นคน เป็นมนุษย์มิใช่หรือ ? ” (หลวงปู่จาม)
“ ใช่อยู่ครับ แต่เป็นคนขี้บาป ขี้ขุยหม้อละฮก(หม้อนรก) ฆ่าแล้วให้มันตกไปสู่หม้อละฮกเสีย บาปเท่าใดพวกผมจะรับเอาดอกครับ หลวงครูบาลุง ”
“ สูฆ่าเถรสุ ให้เถรสุ ตายไปตกนรก ทีนี้มันไปรอท่าสูอยู่นรก พวกสูตายไปก็ไปอยู่กับมันอีก เพราะสูฆ่ามนุษย์ อย่างนี้แล้วสูยังต้องการจะไปอยู่กับมันอีกอย่างนั้นหรือ ” (หลวงปู่จาม)
“ ไม่อยากอยู่ ไม่อยากเห็นหน้ามันแล้วครับ ”
“ เอาเถอะ สูอดทนไป อย่าไปใส่ใจมัน ไม่นานเดี๋ยวมันก็ตาย เพราะอายุมันมากแล้ว ”
ก็ไม่นานมาอยู่กับผู้ข้าฯ ที่นี้ได้ ๖ ปี มันก็ตาย ตายแล้วไปตกนรก หลุมนรกมันก็อยู่ดอนผักขะญ้าในที่ที่มันเคยอยู่นั่นเอง เป็นนรกอาจมหลุมขี้เดือดเหมือนกับหม้อต้มน้ำอ้อย เดือดอยู่บึ๊กบั๊ก ๆ ๆ มันตายไปแล้ว ๓ ปี จึงได้รู้ว่ามันตกนรกหลุมขี้
เพราะเทวดา ๓ ตน มาพาไปดูหลุมนรกวิบากกรรมของมัน
เทวดาว่า… “ ท่านอาจารย์ นิมนต์จะพาไปดูเถรสุ อยู่ที่ของเขาครับ”
“อยู่ที่ไหน ? ” (หลวงปู่จาม)
“ นิมนต์เถอะครับ จะพาไปดู ” (เทวดา)
“ เอา…. ไปก็ไป ” (หลวงปู่จาม)
พอไปถึงหลุมนรกของมันแล้ว เราก็ว่า ….“ เอ้า….. เถรมาอยู่ทำอะไรที่นี่ ? ”(หลวงปู่จาม)
มันว่า “ ที่นี่เป็นบ้านของผม ” มันว่าเท่านั้นแล้วแผ่นดินที่มันอยู่นั้นก็หลุบลงเป็นหลุมกว้างขนาด ๘ คูณ ๘ เมตร ตัวมันก็ยืนอยู่ในหลุมนั้น น้ำขี้ก็ค่อย ๆ สูงขึ้นๆ
“ เอ้า… เถรหนีขึ้นมา น้ำขี้จะท่วมแล้วนั้น ” (หลวงปู่จาม)
“ ไม่ได้หรอก ผมกลัวเจ้าพระยาธรรม(หลวงปู่จาม) ” (เปรตเณรสุ ตอบ)
“ ไม่ต้องกลัว ก็เคยอยู่ด้วยกันมาแล้ว ” (หลวงปู่จาม)
“ ไม่ได้ฐานะคนละอย่าง ” (เปรตเณรสุ)
“ ไม่ใช่หนา นี้มาช่วยเหลือแล้ว จะให้ไปอยู่วัดด้วยกันที่เก่า ดูนั่นผ้าห่มก็มีแต่ผ้าอังสะผืนเดียว อยู่วัดผ้าผลัดผ้าถ่ายจะเปลี่ยนนุ่งกี่ชุดก็ได้ไป๊…. ขึ้นมาไปอยู่ด้วยกัน โอ… นี่บุพพกรรมของตนสุดจะแก้ไขแล้ว เดี๋ยวน้ำขี้มันก็ท่วมเท่านั้น เอ้า…ขึ้นมา” (หลวงปู่จาม)
เราว่าแล้วก็โดดไปคว้าเอาได้เอวมัน ดึงขึ้นมาได้ใกล้จะพ้นปากหลุมหม้อนรก ตัวมันก็รื่นหลุดตกจมลงไปถึงหน้าอก เราก็คว้าเอามือมันสองข้างลากดึงขึ้นมา ใกล้จะพ้นแล้วก็หลุดลงไปอีก
ครั้งที่ ๓ คว้าเอาได้คอ เอาแขนรัดคอมันลากขึ้นมาใกล้จะพ้นแล้วก็หลุดลงไปจมมิด น้ำขี้ก็เต็มขอบปากหลุม เดือดเหมือนต้มน้ำอ้อยเดือดมิดเงียบออนซอน…
เทวดาผู้ยืนดูเหตุการณ์ก็ว่า…….
“ ท่านอาจารย์ ช่วยเหลือเขาไม่ได้หรอก เพราะบาปกรรมมันแรงมันมาก ยังไม่ถึงเวลาที่จะช่วยเหลือได้ ปล่อยทิ้งให้เขาเสวยวิบากของเขาไป ”
…ว่ากันแล้วก็กลับมาวัด…
เหตุที่มันเรียกว่า “ เจ้าพระยาธรรม ” ก็ไม่รู้ว่าอะไรในความหมายของมัน มันกลัวเรามาก
ตอนมันเป็นคนยังไม่ได้ค่อยกลัวเรา แต่พอตายไปแล้วกลับกลัวย้านเรามาก
พระเณรที่อยู่ใกล้ในแถบถิ่นนี้ มันไม่ยอมเคารพนับถือใคร ๆ พอผู้ข้าฯ ลงมาอยู่ที่นี้มันก็มาขอ ญัตติศีลใหม่ รับกฎกติกาหลายอย่าง
แต่พออยู่ไป ๆ ก็ละเลยตามนิสัยความเคยชินที่กระทำประพฤติโดยลำพังผู้เดียวมาตลอด ดีชั่ว – สิกขาบทของเณรมันไม่สนใจอันใด
ทำอะไรตามชอบอกชอบใจของมันไป
ศีล ๑๐ ข้อ ไม่ได้สักข้อ แต่ก็พอใจบวชจนเฒ่าจนแก่จนชราตายคาผ้าเหลือง สวดมนต์ก็ไหว้พระก็ยิ่งไกล ได้แต่ การกราบไหว้กับการประเคนของนั่นนี่
ถอนหญ้าต้นไม้ที่เกะกะ ตามทางเดินจงกรมไปตัดไม้ตาด ทำไม้เจ (ไม้สีฟัน) ไปหาสมอ มะขามป้อม ต้มน้ำร้อน ต้มหัวยารากไม้ ความดีของเขาก็มีอยู่
แต่ผิดแต่ว่าวาจาชอบด่าว่าให้คนนั้นคนนี้ ก่อไฟก็ด่าฟืน ปัดกวาดลานวัดก็ด่าลมด่าแล้ง ด่าฟ้าด่าฝน
ตายไปตกนรกขี้ เป็นขี้เดือดเหมือนกับน้ำต้มเดือดนี้
ก็ปรากฏมาให้ได้พิจารณาบุพพกรรมของเถรสุหัวป้อม ไม่รู้ว่านานเท่าใดจึงจะพ้นขึ้นมาได้
ไปช่วยเหลือก็ช่วยไม่ได้ ได้แต่พิจารณาในกรรมของสัตว์ทั้งหลายในโลก…..
ธรรมะประวัติองค์หลวงปู่จาม มหาปุญโญ ผู้มากมีบุญ วัดป่าวิเวกวัฒนาราม ตอนที่ ๑๖๘
(วัดป่าบ้านห้วยทราย) บ้านห้วยทราย ต.คำชะอี อ.คำชะอี จ.มุกดาหาร
๓ กันยายน ๒๕๕๙
กราบขอบพระคุณและขออนุโมทนาบุญท่านเจ้าของผู้ถ่ายภาพนี้ พร้อมทั้งผู้ที่มีส่วนร่วมในการเผยแผ่โอวาทธรรมคำสอนนี้ ทุกๆ ท่านครับ
เพจพระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น https://www.facebook.com/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B8%AB%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B9%8C-%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%A1%E0%B8%B1%E0%B9%88%E0%B8%99-238296179593402/?fref=ts
ที่มา พระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น -
สายหลวงปู่มั่น สมาชิก
“ นิทานก้อม ”
“ ญาติโยมคนเฒ่าชาวบ้านห้วยทราย คำชะอี ได้ขอให้เพิ่นครูอาจารย์เสาร์ กันตสีโล เทศน์โปรด แต่ขอฟังนิทานก้อม เทศนาสั้น ๆ
เพิ่นครูอาจารย์เสาร์ กันตสีโล ก็รู้อยู่ว่าชาวบ้านต้องการอยากได้หวยอยากได้เลข
พอเพิ่นฉันจังหันเสร็จแล้ววันนั้นเป็นวันพระ เพิ่นก็ขึ้นธรรมาสน์
แล้วก็ตั้งนะโม ๓ จบแล้วว่า ……
“ ขันติ – อด ขันติ – ทน
เป็นไฟเผาบาปให้มอดไหม้ไปได้ ””
จบแล้วเพิ่นก็นั่งสำรวมอยู่พักใหญ่ๆ หนึ่ง แล้วก็ลงธรรมาสน์กลับกุฏิไป ””
“เพิ่นครูอาจารย์มั่น (ภูริทตฺโต) ก็เหมือนกัน ช่วงที่เพิ่นมาอยู่ด้วยเทศน์โปรดผู้คนชาวบ้านแถบนี้ ยิ่งเทศนาสั้นกว่าเพิ่นครูอาจารย์เสาร์ กันตสีโล
ก็ญาติโยมพวกที่จะฟังเลขฟังหวยนั่นล่ะตัวการ ขอฟังเทศน์ของเพิ่นครูอาจารย์มั่น (ภูริทตฺโต)
เพิ่นครูอาจารย์มั่น (ภูริทตฺโต) เวลาเพิ่นเทศน์ เพิ่นมิได้ตั้งนะโม แต่จะยกบาทพระคาถาขึ้นหรือไม่ก็เทศนาไปเลยอธิบายไปเลย
วันนั้นเพิ่นครูอาจารย์มั่น (ภูริทตฺโต) เทศนาแค่ ๒ คำ คือ “ อดทน ”” แล้วก็หยุดเลิกไปเฉยๆ จนต่อมาไม่มีใครกล้าขอฟังเทศนากัณฑ์ก้อมๆ อีกต่อไป
การเทศนาโดยมากครูบาอาจารย์ยุคสมัยก่อน เพิ่นจะเทศนาว่าการชี้แจงความอรรถกถาไปเลย มิได้เอ้ออ้าอย่างสมัยนี้ มิได้เทศนายกยอกันอย่างสมัยนี้ ”
เพิ่นมาอยู่ด้วยใหม่ๆ พ่อออก (โยมพ่อหลวงปู่จาม) จนค่ำจนมืดจึงได้เข้าบ้าน ตอนเช้าก็ไปพร้อมพระเณรบิณฑบาตกลับวัด
เพิ่นครูอาจารย์เสาร์ กันตสีโล มาอยู่ก่อน ๒ ปี ต่อมาเพิ่นครูอาจารย์มั่น (ภูริทตฺโต) มาอยู่ได้ปีเดียว แล้วก็ขึ้นทางเมืองเลย เมืองอุดร ได้ ๔ ปี ก็มาอยู่อีกได้ปีกว่า จากนั้นก็เทียวไปเทียวมา อยู่หลายรอบหลายปี
เพิ่นครูอาจารย์เสาร์ กันตสีโล มักอยู่ที่ไกล ๆ ผู้คนสิ่งสาราสัตว์ อยู่ป่าอยู่เขาอยู่ถ้ำ
เพิ่นครูอาจารย์มั่น (ภูริทตฺโต) ไม่ถูกกันกับอากาศอับอากาศชื้น ชอบให้ลมเป่าอยู่ชายป่า ชายเขา ชายทุ่งนา ให้ลมโกรกสบาย ”
“ สิ่งใดที่เฮาเฮ็ด มันมีน้ำหนักกว่าคำเว้า ””
คำนี้เป็นคำของเพิ่นครูอาจารย์เสาร์ กันตสีโล เพิ่นมักจะพูดจะสอนแบบนี้
เพิ่นมิได้เว้าเฉยๆ แต่ทำให้ดูอย่างจริงจัง เช่นว่า….
ฝนตกก็กั้งกลดเดินจงกรม หรือ เดินจงกรมตากฝนก็ทำลง
นั่งภาวนาในน้ำก็ทำ
หน้าแล้งก็ออกไปนั่งอยู่กลางเห้อนา(แปลงนา) เพิ่นก็ทำ
เอาผ้าอาบน้ำคลุมหัวตากแดด เดินจงกรมจนล้มทรุดลงกับทางจงกรม
อันนี้ผู้ข้าฯ ก็ไม่ได้เห็นด้วยตัวเอง แต่พ่อออก เล่าสู่ฟัง พ่อออกว่า……
“ ไม่มีใครเด็ดขาดเท่าอัญญาท่านเสาร์(กันตสีโล) หรอก ปฏิปทายิ่งยวดยอดสุดเลย ””……
ธรรมะประวัติองค์หลวงปู่จาม มหาปุญโญ ผู้มากมีบุญ วัดป่าวิเวกวัฒนาราม ตอนที่ ๑๖๗
(วัดป่าบ้านห้วยทราย) บ้านห้วยทราย ต.คำชะอี อ.คำชะอี จ.มุกดาหาร
๓ กันยายน ๒๕๕๙
กราบขอบพระคุณและขออนุโมทนาบุญท่านเจ้าของผู้ถ่ายภาพนี้ พร้อมทั้งผู้ที่มีส่วนร่วมในการเผยแผ่โอวาทธรรมคำสอนนี้ ทุกๆ ท่านครับ
เพจพระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น https://www.facebook.com/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B8%AB%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B9%8C-%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%A1%E0%B8%B1%E0%B9%88%E0%B8%99-238296179593402/?fref=ts
ที่มา พระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น -
สายหลวงปู่มั่น สมาชิก
“ บุพกรรมเกิดเป็นขอทาน ”
“ เมื่อครั้งยุคสมัย ศาสนาของพระพุทธเจ้ากกุสันโธ ผู้ข้าฯ กับเมียเกิดเป็นคนทุกข์ ทุกข์ขอทานเขามากิน
ตื่นเช้า เมียไปทางหนึ่งผัวไปทางหนึ่ง นัดหมายกันว่าตอนค่ำให้ไปพบกันอยู่ศาลาท่าน้ำ หรือไม่ก็ที่ใดที่หนึ่ง
ขอข้าว ขออาหาร ขอผ้านุ่งผ้าห่ม ได้บ้างไม่ได้บ้าง ได้กินอิ่มเป็นบางวัน บางวันก็อดก็หิวไปตามเรื่อง ชีวิตนั้นดีที่ไม่มีลูก ทุกข์ไม่มีที่อยู่ไม่ได้กิน ตัวดำตัวผอม ได้ผ้าชิ้นเล็กชิ้นน้อยก็เก็บมา ขอด้ายขอเข็มเขามาเย็บติด บางทีก็ได้เอาไม้กลัดเอา ชีวิตที่ทุกข์ก็ทุกข์
วันงานนักขัตฤกษ์ เมียอยากได้เครื่องแต่งกาย ก็รวบรวมเงินที่ขอทานมาได้ พอได้ซื้อแป้งทาหน้าทาตัว เสื้อผ้าที่สะอาดก็เก็บไว้ห่อไว้รักษาติดตัวไว้ เพื่อเอาไว้นุ่งห่มวันงานรื่นเริงประจำปี
…ความทุกข์มีถึงขนาดนั้น ความสนุกสนานใจนี้มันก็ชอบ…
รับจ้างเขาแบกของขึ้นจากเรือรับจ้างชำระที่สกปรกก็เอา งานดีกว่านี้เขาก็ไม่จ้าง เพราะเขารังเกียจว่าตัวเราวรรณะต่ำเป็นทุคตะ
แต่ก็ชอบไปวัดของพระพุทธเจ้าวันเว้นวันไป ไปอนุโมทนาสาธุการ
ในการบวชของพระสงฆ์สามเณร ในการทำบุญให้ทานของเศรษฐี ของคนรวย
เราก็ได้แต่บอกเมียว่าให้อนุโมทนาสาธุการ ยินดีกับเขา จะเอาอะไรให้ทานก็ไม่ได้ จะเข้าไปปฏิบัติพระสงฆ์ก็เกรงกลัวเพิ่นจะไล่ออก แต่พระสงฆ์ผู้คนก็ไม่ไล่
ไปอนุโมทนาสาธุการแล้ว ก็ออกไปหาขอทาน ไปด้วยกันก็มี แยกกันไปก็มี เป็นบุพกรรมของตนแท้ ๆ หล่ะ เกิดได้ชีวิตเป็นทุคตะขอทาน
แต่นั่นกามก็ยังชอบใจอยู่ นอนกับเมียอยู่ ห่วงเมียกว่าอย่างอื่น เพราะเมียรูปงามสมส่วน แต่ผิวดำเท่านั้น…
พอมาถึงชีวิตนี้คนที่เคยเป็นเมียคนนั้นไปพบปะอยู่เมืองเชียงใหม่ เขาได้เกิดเป็นเศรษฐีระดับสองของเมืองเชียงใหม่ พอเห็นกันก็ดึงดูดกันทันที ชอบอกพอใจกัน เขาก็มาบำรุงให้ข้าว ให้น้ำ ให้ผ้า ให้การดูแลเราทุกอย่าง มาปวารณาตัว ชอบมาพูดมาคุย มาทำบุญให้ทาน มาจำศีลอยู่ด้วยอยู่วัดเจดีย์หลวง เมืองเชียงใหม่
พอเราออกไปอยู่อำเภอขานอกออกไปก็ไปทำบุญ ไปดูแลหลายอัน หลายอย่าง
ผู้ข้าฯ ก็ถามว่า…
“ ระลึกได้อยู่ไหม ? พากันเกิดเมืองพาราณสี เป็นคนทุคตะขอทานกินนะชีวิตนั้น ”
“ บ่ได้เจ้า บาปกรรมอะหยังได้ไปเกิดเป็นขอทาน ”
“ ไม่ให้ทาน ได้ร่ำรวยแล้วขี้เหนียว ไม่แบ่งปัน ไม่ยินดีพอใจการแบ่งปัน มีแต่รายการเก็บ ”
หลายชีวิตอยู่ที่เป็นขอทาน เป็นคนทุคตะ อยู่อำเภอแม่สอดก็ชีวิตหนึ่ง อยู่เมืองลพบุรีก็ชีวิตหนึ่ง อยู่บังคลาเทศก็ชีวิตหนึ่ง
หลายชีวิตเกิดตายนับไม่ได้ รวยก็รวยสุดขีด ทุกข์ยากก็สุดขีด เกิดตายในโลก กว่าจะหลุดกว่าจะพ้นได้ สัปปะลี้ เกิดตาย ”…
ธรรมะประวัติองค์หลวงปู่จาม มหาปุญโญ ผู้มากมีบุญ วัดป่าวิเวกวัฒนาราม ตอนที่ ๑๖๖
(วัดป่าบ้านห้วยทราย) บ้านห้วยทราย ต.คำชะอี อ.คำชะอี จ.มุกดาหาร
๓ กันยายน ๒๕๕๙
กราบขอบพระคุณและขออนุโมทนาบุญท่านเจ้าของผู้ถ่ายภาพนี้ พร้อมทั้งผู้ที่มีส่วนร่วมในการเผยแผ่โอวาทธรรมคำสอนนี้ ทุกๆ ท่านครับ
เพจพระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น https://www.facebook.com/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B8%AB%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B9%8C-%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%A1%E0%B8%B1%E0%B9%88%E0%B8%99-238296179593402/?fref=ts
ที่มา พระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น -
สายหลวงปู่มั่น สมาชิก
“ ท่านเจ้าคุณพระอุบาลีคุณูปมาจารย์จันทร์ สิริจันโท ”
ท่านเจ้าคุณพระอุบาลีคุณูปมาจารย์จันทร์ สิริจันโท เป็นพระอุปัชฌาย์ของท่านอาจารย์แหวน (สุจิณฺโณ) ท่านอาจารย์ตื้อ (อจลธมฺโม) เป็นคนเมืองอุบลราชธานี บ้านหนองไหล ไข่นก
ท่านเป็นพระสงฆ์แท้จริง เอาธุระได้หมดรอบด้าน การปกครอง การสอนหนังสือ การอบรม พระ เณร อุบาสก อุบาสิกา เจ้านายผู้หลักผู้ใหญ่คุณหญิงคุณนายทั้งหลายชอบโวหารของท่านมาก
เพราะท่านเทศน์ธรรมได้ตรงไม่อ้อมค้อม ควรด่าก็ด่าก่อน จนว่ากันว่า ใครได้ฟังเทศน์ท่านด่าแล้วสบายใจ ได้ข้อคิดได้คติธรรม
การก่อสร้างปฏิสังขรณ์ ก็เอาธุระ ท่านอาจารย์แหวน (สุจิณฺโณ) ว่า แต่ก่อนวัดบรมนิวาสฯ ทรุดโทรมผุพังเสนาสนะจะหาที่อยู่ก็มิได้ หมู่เจ้าฟ้าเจ้าคุณเห็นว่าผู้คนเคารพนับถือท่านเจ้าคุณอุบาลีฯ มากหลาย ก็เลยไล่ให้ไปอยู่วัดบรมนิวาส ท่านไปอยู่แล้วก็ซ่อมแซม บำรุง สร้างขึ้นใหม่ บูรณะจนอยู่ได้
ชีวิตฏิปทา ธรรมคำสอนของท่านควรศึกษาเอามาอบรมตนยิ่งนักเสาะหามาศึกษาเถอะจะได้คุณมากนัก
ท่านอาจารย์ตื้อ (อจลธมฺโม) ท่านเคารพพระอุปัชฌาย์ของท่านยิ่งนัก พูดถึงพร้อมยกมือไหว้ พระแท้พระจริง มีท่านเจ้าคุณใหญ่ และสองอาจารย์ใหญ่ ท่านอาจารย์ตื้อ (อจลธมฺโม) ว่า……
“ ท่านเจ้าคุณอุบาลีฯ เป็นคนมีรัศมีความเย็น เยือกเย็น ได้อรรถได้ธรรม แจ้งในธรรม กล้าหาญไม่มีใครทัดเทียม ”
“ท่านเจ้าคุณอุบาลี ฯ เป็นผู้เอาวงศ์ธรรมยุติกติกานิกายของพวกเรานี้ ขึ้นไปตั้งอยู่เมืองเหนือ ขอนิมนต์ให้เพิ่นครูอาจารย์มั่น (ภูริทัตโต) ขึ้นไปช่วยเผยแพร่สอนธรรมแก่ผู้คน ชักนำเอาท่านอาจารย์แหวน(สุจิณฺโณ) ท่านอาจารย์ตื้อ(อจลธมฺโม) เข้ามาญัตติเป็นคณะช่วยเผยแพร่ในเมืองเหนือ ภายหลังจากทางอีสานเจริญเต็มที่แล้ว””……
ธรรมะประวัติองค์หลวงปู่จาม มหาปุญโญ ผู้มากมีบุญ วัดป่าวิเวกวัฒนาราม ตอนที่ ๑๖๕
(วัดป่าบ้านห้วยทราย) บ้านห้วยทราย ต.คำชะอี อ.คำชะอี จ.มุกดาหาร
๓ กันยายน ๒๕๕๙
กราบขอบพระคุณและขออนุโมทนาบุญท่านเจ้าของผู้ถ่ายภาพนี้ พร้อมทั้งผู้ที่มีส่วนร่วมในการเผยแผ่โอวาทธรรมคำสอนนี้ ทุกๆ ท่านครับ
เพจพระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น https://www.facebook.com/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B8%AB%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B9%8C-%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%A1%E0%B8%B1%E0%B9%88%E0%B8%99-238296179593402/?fref=ts
ที่มา พระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น -
สายหลวงปู่มั่น สมาชิก
“ ต้นตระกูลภูไท ”
ขุนพ่อพระเญาว์ (พ่อพญาผู้เจ้า)
ขุนบรม
ขุนเจิง (ขุนเจืองมหาราช)
เจ้าแก้ว เจ้าก่า เจ้ากล่ำ
ท่านเหล่านี้เป็นบรรพบุรุษของพวกเราภูไททั้งหลาย
ทีนี้พวกชนเผ่าภูไทก็แยกกันออกไปอีกเป็นอีกหลายพวก ผู้ไทวัง, ผู้ไทหอ, ผู้ไทกะแตบ, ผู้ไทกระป๋อง, ผู้ไทฝักพร้า, ผู้ไทดำ, ผู้ไทคำอ้อ, ผู้ไทบก, ผู้ไทน้ำ, ผู้ไทแถง, ผู้ไทสัตตนาค
บ้านเก่าเมืองเดิมของพวกภูไทนี้อยู่ที่เทือกเขาอัลไต เหนือเมืองน่านเจ้า เป็นดินแดนของพวกภูไท คนจีนเรียกคนพวกนี้ว่า พวกไต – พวกไท,ไทอัล,ไทลวง”
หนีการปกครองของกษัตริย์ฮ่องเต้ เมืองจีนลงมาสร้างบ้านแปลงเมืองอยู่สิบสองปันนาสิบสองจุไท ตั้งเมืองเรียกว่า เมืองน้ำน้อยอ้อยหนู หรือ สิบสองหัวเมืองน่านเจ้า
เหตุที่อพยพหนีลงมา ก็เพราะว่ากษัตริย์เมืองจีนใช้อำนาจบังคับเอาชายฉกรรจ์ไปฝึกทหารออกรบแล้วตายไป เพราะแยกกันเป็นก๊กเป็นหมู่แล้วรบสงครามเอาดินแดนและเอาทหาร คนภูไท อยู่มิได้จึงได้ย้ายขยับลงมาทางใต้เรื่อย ๆ
จากเมืองน้ำน้อยอ้อยหนู ก็มาอยู่หนองแส ทำมาหากินตั้งรกรากถิ่นฐาน พออยู่ได้แต่น้ำมักจะท่วมในปีใดที่มีน้ำหลายหลากลงมาจากทางเหนือ
ก็ย้ายบ้านเมืองกันอีกมาอยู่ ศรีสัตตนาค ที่นี้พอมาอยู่ศรีสัตตนาค พวกกุลาพวกแสก ชนชาวลาวชาวข่า ก็มักมารบกวน ทำอันตรายอยู่หลายอย่างหลายประการ จนที่สุดได้ทำสงครามกัน พวกคนลาวคนข่ายอมแพ้มอบลูกสาวให้แก่ขุนเจิงมหาราช แล้วก็แยกกันไปสร้างเมืองใหม่อยู่เมืองแถงเดียนเบียฬฟู
หมู่หนึ่งอยู่เมืองบก เมืองวังอ่างคำ อีกหมู่หนึ่งก็ไปอยู่ทางใต้ของเมืองพินเมืองพะลาน เมืองแม้วแม่กะสีสู้รบกับพวกข่าพวกกุลา พวกแสก พวกข่ากับภูไทรบกันสู้พวกภูไทมิได้ ตกลงยุติสงครามโดยมาพนันกันว่า ถ้าหากใครยิงหน้าไม้แล้วปักเสียบเข้าไปในหน้าผาหินได้จะให้ฝ่ายนั้นเป็นเจ้านายปกครอง
ฝ่ายภูไทก็ทำหน้าไม้ ด้วยไม้ไผ่ทำให้ขาอ่อน ยาวข้างละคืบศอก เอาปอเทิงมาทำเป็นสายธนูหน้าไม้ ปลายลูกหน้าก็เอาขี้ซูดยางไม้ติดให้เป็นก้อนเอาไว้
พวกข่า มาดูก็หัวเราะว่า พวกเราต้องชนะแน่นอน หน้าธนูของพวกภูไทน้อย ใหญ่เท่ากับของเด็กทำเล่น ก็กลับไป ทำหน้าไม้ขายาวข้างละ ๓ ศอก แข็งแรง คัดเลือกเอาคนแข็งแรงล่ำสันมาเป็นคนยิงหน้าไม้หวังจะให้ลูกหน้าเสียบทะลุเข้าไปในผาหินให้ได้
พอถึงวันนัดหมายแข่งขันกันแล้ว ก็ให้พวกข่ายิงก่อน ๓ ลูก ลูกธนูใส่เก็งเหล็กก็กระเด็นกระดอนไม่สามารถเสียบแทงเข้าผาหินได้
พวกภูไทยิงทีหลังเลือกเอาคนไม่น้อยไม่ใหญ่เรี่ยวแรงพอดีโก่งธนูยิงออกไป ลูกที่หนึ่ง ลูกที่สอง ลูกที่สาม เสียบติดแน่นอยู่กับผาหินแน่นอยู่มิได้หลุดหล่นสักดอกเลย
..ภูไทจึงได้เป็นเจ้านายปกครองพวกข่า แต่นั้นเป็นต้นมาพวกข่าก็ยอมจำนนไม่ยอมรบราแข็งข้อต่อรบแต่อย่างใด..อย่างไรก็ตาม..
พวกภูไทก็ยังให้เกียรตินับถือพวกข่า ว่าเป็นพี่ชายคนโต พี่หญิงคนโตเรียกกันว่า “อ้ายเทาะ เอ้ยเทาะ, อ้ายใหย่ เอ้ยใหย่
ให้เกียรติที่พวกเขาเป็นชนดั้งเดิมอยู่มาก่อน แต่ก็ยังมีพวกข่าที่หัวแข็งไม่ยอมให้ชาวภูไทปกครองพากันหนีไปอยู่ตามป่าตามถ้ำ พวกภูไทตามไปให้ออกมาเจรจาสวามิภักดิ์ แต่ก็ไม่ยอมออกมา ภูไทก็เลยไปเอาพริกแห้งมาเผาไฟอยู่หน้าปากถ้ำแล้วเอาพัดด้ามยาวหลายอันพัดควันไฟเข้าไปในถ้ำ พวกข่าที่อยู่ข้างในก็อยู่ไม่ได้น้ำหูน้ำตาไหลร้องไห้ร้องยอมออกมา
..จากนั้นมาก็เป็นแต่ความเป็นญาติเป็นพี่น้องกันทั้งหมด..
พวกข่าชอบตั้งบ้านเรือนอยู่ตามชายเชิงเขา ส่วนพวกภูไทนั้นชอบตั้งบ้านเรือนอยู่บริเวณใกล้แม่น้ำลำห้วย ทุ่งราบ ที่ลุ่มปลูกฝังหาปลาปูหาพืชผักได้ง่าย
ด้วยความที่พวกภูไทมักความอิสระ ชอบอยู่อิสระ ไม่ชอบการทำสงคราม ไม่ชอบการบุกรุก ไม่ชอบให้ผู้ใดมากดขี่ใช้อำนาจบังคับจึงขออยู่อย่างอิสระ แต่ยอมส่งส่วยบรรณาการให้แก่กรุงศรีสัตตนาคเป็น ต้นเงิน, ต้นคำ, หอผึ้ง, ต้นเทียน, สร้อยแหวน, มีดพร้าดาบ และเครื่องจักสานด้วยหวายและไม้ไผ่ แต่มิยอมให้ลูกหลานไปเป็นทหารแก่กรุงศรีสัตตนาค
แต่มาอีกยุคภายหลังพวกภูไทก็ได้เป็นใหญ่ในกรุงศรีสัตตนาคเป็นผู้ปกครองมาหลายรุ่น..
พ่อขุนพระเญาว์ เป็นพ่อของขุนบรม..
ขุนบรม เป็นพ่อของขุนเจิง..
ขุนเจิงมหาราช เป็นลูกเขยของพระเจ้าศรีสัตตนาค
ได้ลูกคือ เจ้าแก้วเป็นผู้หญิง เจ้ากล่ำเป็นผู้ชาย นี้ลูกเมียต้น
เมียที่ ๒ เป็นลูกของพวกข่า ได้เจ้าก่า เป็นลูกชาย
..ทีนี้ก็ขยายบ้านเมืองการปกครองออกไปอีกได้กว้างขวาง..
ผู้ไทคำชะอี ภูไทเรณู ผู้ไทพรรณนานิคม เป็นเชื้อเจ้าแก้วเจ้ากล่ำ
ผู้ไทยกุดสิม ผู้ไทหนองสูง กุสุมาลย์ วาริชภูมิ เป็นเชื้อเจ้าก่า
พวกเราภูไทข้ามน้ำของมาอยู่ฝั่งไทยก่อนที่จะเกิดสงครามกวาดต้อนผู้คน หนีมาสุดท้ายก็หนีเจ้าอนุวงค์เวียงจันทร์หนีการเป็นทหารมาอยู่ฝั่งไทย แล้วก็กระจายกันตั้งเรือนชานบ้านเมือง คำชะอี หนองสูง บัวขาวคำหว้าหนองห้าง กุดสิม ท่าคันโท เรณู วาริช กุสุมาลย์ พรรณนานิคม พวกหนึ่งไปถึงเมืองเพชรบุรีพวกนี้รัชกาลที่ ๒ เกณฑ์ไป
พวกเราเป็นคนไทยเป็นไท มักสงบ มักอิสระ ภาคภูมิใจในชนชาติตระกูลของตน ให้รักสมานสามัคคี กตัญญูต่อผู้มีคุณและต่อแผ่นดินบ้านเกิดเมืองนอนของตน
ตระกูลภูไทไม่เคยรุกรานสู้รบบุกรุกใครก่อนแต่ที่สำคัญที่สุด คือ ให้มีความยุติธรรมมีความคิดเฉียบคมหลักแหลมอย่าเอารัดเอาเปรียบใครและอย่าให้ใครมากดขี่ข่มเหงรังแกเอาได้
เพิ่นครูจารย์มั่น (ภูริทัตโต) ก็เคยบอกว่า คนภูไทสืบเชื้อสายมาจากพระเวสสันดร ” ”
ธรรมะประวัติองค์หลวงปู่จาม มหาปุญโญ ผู้มากมีบุญ วัดป่าวิเวกวัฒนาราม ตอนที่ ๑๖๔
(วัดป่าบ้านห้วยทราย) บ้านห้วยทราย ต.คำชะอี อ.คำชะอี จ.มุกดาหาร
๓ กันยายน ๒๕๕๙
กราบขอบพระคุณและขออนุโมทนาบุญท่านเจ้าของผู้ถ่ายภาพนี้ พร้อมทั้งผู้ที่มีส่วนร่วมในการเผยแผ่โอวาทธรรมคำสอนนี้ ทุกๆ ท่านครับ
เพจพระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น https://www.facebook.com/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B8%AB%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B9%8C-%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%A1%E0%B8%B1%E0%B9%88%E0%B8%99-238296179593402/?fref=ts
ที่มา พระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น -
สายหลวงปู่มั่น สมาชิก
“ กลัวสุดขีดในชีวิต ”
“ หินหมากเป้ง หนองคาย พ่อออกเขาก็พาไปดู แต่เขาไม่ยอมเข้าไปใกล้ ให้เราเข้าไปคนเดียว เขาว่าเขากลัวเขาย้าน เราเข้าไปดูไม่เห็นมีอะไร
อยู่หลายวันก็ย้ายไปทางบ้านนาสีดา บ้านนาผักบุ้ง บ้านนาผักหอก ถามโยมเขาว่า “แถวนี้มีถ้ำที่จะพออาศัยภาวนาอยู่ได้มีที่ไหน” ?
เขาบอกว่า ถ้ำบ้านผักหอก เขาบอกชี้ทางให้
เราก็ไปตามเขาชี้ หลงเข้าดงเข้าป่าหาทางไปทางมามิได้ ได้ยินเสียงขวานเขาฟันไม้อยู่ เปิ้งๆ จึงไปตามเสียงนั้น ไปเห็นพ่อออกคนหนึ่งกำลังถากไม้ทำเสาเถียงนาอยู่
เราก็เข้าไปถาม บริเวณนี้เขาเรียกว่าอิหยัง ?”
ทางไปถ้ำนาผักหอกไปทางใด๋ ?”
“โอ…. เลยมาแล้ว นี่หลงป่ามาแล้ว ขอนิมนต์จะให้ไปอยู่ผาเกิ้ง””
แล้วพ่อออกจารย์เกล้า ชื่อพ่อออกจารย์เกล้า ก็พาไปส่งให้อยู่ผาเกิ้ง
วันนั้นไปถึงมันก็ค่ำใกล้จะมืดแล้ว จารย์เกล้าก็จะฟ่าวกลับบ้านตัดไม้พอให้เราไต่ขึ้นไปนอนอยู่โพรงหินสูง พอนอนขดอยู่ได้ นั่งได้พอพ้นหัว ตัดกระบอกเยี่ยวให้ บอกว่า …..
“ค่ำแล้วให้ขึ้นอยู่โพรงหิน อย่าได้ลงมาเด็ดขาด เพราะแถวนี้ได้เสือไซ เสือมันเคยกินคนมาแล้ว อย่าได้ลงเด็ดขาด ใครมาเรียกมาร้องก็อย่าได้ใส่ใจ จนกว่าจะแจ้งจึงให้ลงได้
ทางไปบิณฑบาตนั้นจะตัดตูยบอกทางไว้ พรุ่งนี้เช้าให้เดินไปตามทางนี้ทางที่ตัดตูยไว้นี้””
เราก็ไปอาบน้ำแล้วก็ปีนบันไดไม้ขึ้นไปอยู่โพรงหิน ไหว้พระสวดมนต์ นั่งภาวนาจนพอดึกพอดื่นแล้วก็นอนพักหลับไป
ใกล้สว่างก็ลุกขึ้นมาไหว้พระ นั่งภาวนา จนแจ้งสว่าง เสียงเสือสัตว์ใหญ่อะไรก็เงียบ ไม่มีอะไรมารบกวนเลยตลอดคืน ลงมาล้างหน้าล้างตา เตรียมตัวออกบิณฑบาต เดินไปถึงหมู่บ้านก็ไกลอยู่สักประมาณ ๒ กิโลกว่าเกือบ ๓ กิโลเมตรเห็นจะได้
ชาวบ้านเขากะรอท่าอยู่ก็รุมกันมาใส่บาตร จนเต็มบาตร มีคนตามออกไปส่งจังหันอีกหลายคน เอามีดเอาพร้าไปทุกคน บางคนก็เอาเสียมเอาจอบ
ฉันจังหันเสร็จแล้ว โยมเขากินข้าวแล้ว เขาก็จัดการทำนั่งร้านที่พักภายในถ้ำเกิ้ง เอาไม้ไผ่เรียงลำมาปูตั้งเสาขึ้น
เขาถาม เมื่อคืน เสือไม่มาหาหรือ ?”
““ไม่เห็นมีอะไร””
““คืนนี้ล่ะมันจะมาแน่นอน ยิ่งเราก่อไฟนี่มันเข้าใจว่ามีคนมีหมามาพัก มันจะมากินหมาเผื่อกินคนก็ได้””
เขาก็ตัดไม้เป็นลำขุดหลุมฝังลงดินเอาไม้ไผ่มาทำเป็นรั้วเป็นคอก เอาหนามมามัดโอบรอบนอก ให้มีประตูเข้าออก เป็นคอก ๒ ชั้น ค้ำยันไว้ข้างใน
ช่วงกลางวัน ก็รู้สึกเฉยๆ หัวค่ำเขากลับไป อาบน้ำแล้ว ก็ไหว้พระสวดมนต์ นั่งภาวนา จนมืดค่ำสักพักก็ได้ยินเสียงเสือร้องมาแต่ไกล
“อ้าวฮือๆๆ” เป็นทอดๆ ใกล้เข้ามา ใกล้เข้ามา เป็นระยะ ตัวร้องลัดกันก็มีสนั่นป่า
เราก็ตั้งใจไม่ทัน ทั้งๆ ที่อยู่ในคอกไม้ ๒ ชั้น มีหนามโอบหุ้มอยู่หากทันได้คิดอ่าน มันมาเป็นสิบมันก็เข้าหาเรามิได้
แต่นี่มันเป็นความกลัว จิตก็คิดปรุงหลอกตัวเองให้กลัว กองไฟที่โยมเขาก่อไว้แต่หัวค่ำก็เหลือแสงพอวอมแวมๆ เสือมันคงเข้าใจอย่างโยมเขาว่า มันมาหากินหมา มันก็ร้องใกล้เข้ามาๆ จนมาถึงกองไฟที่โยมเขาก่อไว้ก็ยืนร้องหันหน้ามาทางเรา กลัวสุดขีดในชีวิต ไม่มีจะกลัวอะไรเท่ากับกลัวเสือ
วันนั้นเรามองดูมันก็เหมือนกับว่าตัวมันใหญ่ หัวมันใหญ่ ปากมันกว้าง เขี้ยวมันคม กลัวจนเหงื่อกาฬแตก ขนพองสยองเกล้า มานึกได้
นึกถึงคุณของพระรัตนตรัย ก็นึกได้อยู่ แต่พอจะสวดตั้ง นะโม มันก็ได้แต่ “นะโมๆๆ””
จะตั้งอิติปิโสฯ ก็ได้แต่ “อิๆๆๆ””
เราก็นั่งสั่นอยู่ เสือมันก็วนเวียนไปมา หันหน้าไปแล้วก็หันหน้ามาแล้วก็ร้องดังสนั่นป่า เสือมันก็ไม่กล้าเข้ามา
มานึกรู้สึกได้ โอ…..นี่มันได้คอกไม้กั้นอยู่ กูจะกลัวอะไรก็มีสติขึ้นมาเรื่อยๆ เป็นลำดับ กำหนดจิตตั้งใจสวดมนต์จนจบ เมตตาให้มันมันก็ยืนสงบอยู่ นึกได้เสือมันไม่เห็นกลัวเรา เราจะไปกลัวมันทำไม ก็ตั้งจิตอยู่กับการเจริญเมตตาอยู่
จากนั้นไม่นาน จิตก็สงบลงตั้งสมาธิขึ้น ความกลัวใจซ่านใจกลับหายไปหมด จิตสงบอยู่นาน จนที่สุดจิตถอนออกมาจึงรู้ตัวเองว่า….
โอ…. กูนี่นั่งภาวนาอยู่ ลำดับเหตุการณ์ดูว่ากลัวเสือจนหายกลัว
เสือใหญ่ลายพาดกลอนตัวนั้นมันก็หายไป เราก็เปิดประตูออกไปปัสสาวะได้สบายใจ เสร็จแล้วก็ยืนดูนั่นนี่อยู่นานก็ไม่เห็นมีอะไร จึงกลับเข้าคอกไม้นั่งภาวนาต่อไปอีก
จิตสงบลงอีกครั้งนี้ ก็ปรากฏเห็น เทวดาตนหนึ่งมีเครื่องแต่งกายอย่างพระราชามีบริวารมาด้วยซ้ายขวา เราก็ถามว่า โยมมาทำไม ?”
“มากราบไหว้ท่านอาจารย์ ผมเป็นหัวหน้าเทพทั้งหลายในเขตแถวนี้ หากท่านอาจารย์ต้องการความช่วยเหลืออันใด ให้เรียกผมได้ทันที บ้านวิมานของผม อยู่ไปทางโน้น” เขาชี้มือบอก ก็ทางที่เสือตัวใหญ่นั่นมานั่นเอง
แล้วเทวดาผู้ใหญ่ตนนั้น ก็มองสำรวจดูบริเวณนั้นไปเห็นผีตนหนึ่งกับลูกน้อยของมัน
“เอ้า มาอยู่ใกล้พระสงฆ์ทำไม ไป๊ ไปอยู่ที่ใหม่””
ผีนางนั้นมันก็อุ้มลูกน้อยรีบหนีออกไป
เทวดาตนนั้นก็บอกเราว่า “ขอนิมนต์อยู่ตามสบายใจเถิด ที่นี่จะไม่มีภัยหรือสัตว์ร้ายอันใดทั้งหมด ข้าพเจ้าอยู่นี้ก็อยู่เฝ้าทรัพย์ เฝ้าบ่อน้ำทิพย์”
แล้วเขาก็ชี้มือเรามองตามก็เห็นสมบัติมากมายของเขาและเห็นบ่อน้ำสีเขียวอยู่ใกล้ๆ กัน เราเห็นสมบัติเหล่านั้นจิตก็วางเฉยอยู่ไม่คิดอยากได้
ถามเขาว่า จะอยู่นานเท่าใด ?”
“กว่าจะมีผู้มาเปลี่ยน””
สมบัตินี้เป็นของใคร ?”
“เป็นของเจ้า” เขาตอบเพียงเท่านั้นก็ขอลาไปเราก็ให้พรเขารับพรแล้วก็ไป
เขาไปแล้ว ก็เรียกให้อีผีแม่ลูกอ่อนตนนั้นกลับมาอยู่ มันก็มาขอให้เรารับรองว่า เราให้อนุญาตให้อยู่
เราก็ว่า มึงมาอยู่นี่ก่อนกู กูก็มิได้มาเบียดเบียนมึง มาเสาะหาภาวนามึงจงอยู่ตามสบายของมึงเถิด มันก็อยู่ไกลออกไปอีกนิดในโพรงหินต่ำลงไป
เวลาเราพระสวดมนต์ มันก็ยินดีพอใจด้วย
เวลาคนเขามาทำบุญ มาส่งข้าวส่งน้ำ มันก็ยินดีด้วย
เราก็เจริญเมตตาให้มัน”………
ธรรมะประวัติองค์หลวงปู่จาม มหาปุญโญ ผู้มากมีบุญ วัดป่าวิเวกวัฒนาราม ตอนที่ ๑๖๓
(วัดป่าบ้านห้วยทราย) บ้านห้วยทราย ต.คำชะอี อ.คำชะอี จ.มุกดาหาร
๓ กันยายน ๒๕๕๙
กราบขอบพระคุณและขออนุโมทนาบุญท่านเจ้าของผู้ถ่ายภาพนี้ พร้อมทั้งผู้ที่มีส่วนร่วมในการเผยแผ่โอวาทธรรมคำสอนนี้ ทุกๆ ท่านครับ
เพจพระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น https://www.facebook.com/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B8%AB%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B9%8C-%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%A1%E0%B8%B1%E0%B9%88%E0%B8%99-238296179593402/?fref=ts
ที่มา พระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น -
สายหลวงปู่มั่น สมาชิก
“ ฉันเนื้อหมี ”
“ ออกจากแม่ทะพระสะบาย เมืองลำปางแล้ว ก็ไปกับท่านอาจารย์ชอบ (ฐานสโม) ขึ้นไปจนถึงเมืองฝาง เข้าไปพักอยู่บ้านดงบ้านป่าไปตามเรื่อง
วันหนึ่ง วันสอง วันสาม ไปบิณฑบาตก็ได้แต่เนื้อย่างอย่างเก่ามาทุกวัน อาหารอย่างอื่นก็มีอยู่หรอก แต่เนื้อย่างนี้ เส้นใหญ่ นุ่มดี มีรสออกไปทางหวานอร่อย ก็ไม่รู้ว่าเนื้ออะไร ก็พากันฉันมาแล้ว ๓ วัน
วันที่ ๔ จึงได้นิมิตเทวดามาบอกแก่ท่านอาจารย์ชอบ (ฐานสโม) เพิ่นเล่าว่า…
“จาม (มหาปุญโญ) เอ๊ย วันนี้หากเขาเอาเนื้อย่างอย่างเก่านั้นใส่บาตรอย่าได้ฉันเน้อ เมื่อคืนนี้เทวดาเขามาบอกผมแล้ว” เพิ่นบอกขณะออกไปบิณฑบาต
“ เขาบอกว่าอย่างใดครับผม ”
“ เขาบอกว่า พระผู้เป็นเจ้า อย่าฉันเนื้อนั้นนะจะเสียพระธรรมวินัย ”
เมื่อพากันไปถึงหมู่บ้านแล้ว โยมเขาก็เตรียมจะใส่บาตรอยู่ ของที่เขาจะมาใส่บาตรนั้นก็มีเนื้อย่างอย่างเก่านั้นด้วย
“สูเอาเนื้ออะไรมาใส่บาตร ? ”
“เนื้ออีสู้”
“อีสู้ตัวมันเป็นอย่างไร ? ”
“ตัวที่ฮ้อง อาย่าๆ ๆ”
“เป็นอย่างใด ? ”
“ตัวมันดำ หน้าตามันด่าง อกมันขาว มันมักยืนสองขา ฮ้อง อาย่าๆ ๆ”
“คงจะเป็นหมีครับท่านอาจารย์”……….เราว่า
ท่านอาจารย์ชอบ (ฐานสโม) จึงว่า……….
“สูเจ้าอย่าได้เอามาใส่บาตรอีกเน้อ พระ(พุทธ)เจ้า เพิ่นห้ามไว้ไม่ให้ขบฉันไม่ให้กิน”
“อือ… พวกข้าฯ บ่ฮู้ มีเนื้ออะหยังพ่อง ? ”
ท่านอาจารย์ชอบ (ฐานสโม) จึงบอกเขาว่า…
“พระ(พุทธ)เจ้า เพิ่นห้ามกินมังสัง ๑๐ อย่าง มังสัง แปลว่า เนื้อ แปลว่า ซี้น มี ๑๐ อย่าง อาทิ เนื้อมนุษย์ เนื้อหมา เนื้อช้าง เนื้อม้า เนื้องู เนื้อสิงโต ราชสีห์ เนื้อหมี เนื้อเสือโคร่ง เนื้อเสือดาว เนื้อเสือเหลือง กินเพิ่นก็ไม่ให้กิน
สูจะเอามาให้ก็รับไม่ได้ อาหารนอกจากนี้แล้ว สูกินอย่างใด พระก็กินอย่างนั้น จะกินแต่ข้าวเปล่าก็ไม่เป็น ของกินกับข้าวสูได้มาก็ไม่ต้องมาบอกชื่อบอกอย่าง”
วันนั้นพวกชาวบ้านก็เอาผักลวกกับเกลือมาใส่บาตรให้ มีแตงสุกอีกคนละลูกใหญ่ แตงสุกแตงไทยนี้แหละ รสหวาน หอม อร่อย กินกับข้าวได้จนอิ่ม
พวกชาวกระเหรี่ยงขาวหมู่นั้นเขาก็ศรัทธาเลื่อมใสยินดีพอใจกับท่านอาจารย์ชอบ(ฐานสโม) มาก เอาใจใส่ หัวหน้าหมู่บ้านของเขาจัดลูกบ้านเป็นเวรยามให้มาดูนั่นนี่ตอนใกล้ค่ำทุกวัน หาฟืนมาไว้ให้ดัง ตักน้ำมาไว้ใช้ มาต้มน้ำร้อน ชงชาให้ ต้มน้ำให้อาบ สุมไฟก่อไฟไว้ให้แล้วก็กลับไป
พากันอยู่กับพวกเขาหลายเดือน พวกผู้หญิงก็รูปงาม ผิวพรรณผุดผ่องดี เอาใจใส่ดูแลเรื่องอาหารขบฉัน มาส่องดูบาตรของเรา คนพวกภูเขาคนดอยนั้น พวกเขาอยู่กินง่าย ชอบความสงบ สันโดษ ไม่จุ้นจ้าน ไม่วุ่นวาย…..
ธรรมะประวัติองค์หลวงปู่จาม มหาปุญโญ ผู้มากมีบุญ วัดป่าวิเวกวัฒนาราม ตอนที่ ๑๖๒
(วัดป่าบ้านห้วยทราย) บ้านห้วยทราย ต.คำชะอี อ.คำชะอี จ.มุกดาหาร
๓ กันยายน ๒๕๕๙
กราบขอบพระคุณและขออนุโมทนาบุญท่านเจ้าของผู้ถ่ายภาพนี้ พร้อมทั้งผู้ที่มีส่วนร่วมในการเผยแผ่โอวาทธรรมคำสอนนี้ ทุกๆ ท่านครับ
เพจพระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น https://www.facebook.com/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B8%AB%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B9%8C-%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%A1%E0%B8%B1%E0%B9%88%E0%B8%99-238296179593402/?fref=ts
ที่มา พระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น -
สายหลวงปู่มั่น สมาชิก
“ นั่งภาวนาในน้ำ ”
“ผู้ข้าฯ อายุ ๓๒ ปี อยู่จำพรรษาสำนักสงฆ์บ้านโนนผักเนาสองคอน อำเภอหล่มเก่าเพชรบูรณ์
พรรษาปีที่แล้วนั่งภาวนาในนาข้าวรู้สึกว่าดี ปีนี้เดือน ๙ เดือน ๑๐ น้ำเต็มนาแล้วก็เป็นน้ำไหลมิใช่น้ำขัง เพราะมันไหลลงมาแต่ภูเขาแล้วผ่านที่นาที่สูง ไหลผ่านลงไปที่ต่ำน้ำก็ล้นคันนาขั้นบันไดของชาวบ้านลงไปเป็นทอด ๆ
ก็ตกลงนั่งภาวนาในน้ำอีกเหมือนปีที่แล้ว น้ำใสสะอาด เพราะเรามาคิดว่าความเย็นสบายของน้ำน่าจะดับความทุรนทุราย ความง่วงหงาว หาวนอนได้ แก้ไขความเมาหลับเมานอนของตนได้ เหตุเพราะถือนอนน้อยทำให้มันง่วงมาก
ทำอยู่อย่างนั้นเอาหนักกว่าเมื่อครั้งอยู่มหาสารคาม แต่หัวค่ำ ๓ ทุ่ม ๔ ทุ่มบางวันก็เที่ยงคืน ขึ้นมาเปลี่ยนผ้าพักหลับนอน ตี ๓ ตี ๔ ลงไปอีกใกล้สว่างตี ๔ กว่าก็ขึ้นมารักษาผ้าครอง
เราก็ทำของเราคนเดียวลับ ๆ มิให้ใครรู้ได้ตลอดพรรษา การเอาจริงเอาจังเกินไป พอเอาเข้าแท้ ๆ ก็ไม่เป็นผล
เราก็ปรับเปลี่ยนอุบายใหม่ การนั่งภาวนาในน้ำนี้ มันเจ็บตอนเวลากุ้งเอาหนามหัวมันแทง เราก็สะดุ้งเอา สะดุ้งเอา ปลาตัวน้อยมันก็มาตอดตามเนื้อตามตัว
น้ำมันมากเต็มทุ่งนา สูงเพียงคอผู้ข้าฯ ตัวเรานั่งตัวก็จะลอยขึ้นมาต้องเอามือสองข้างจับกอข้าวเอาไว้ กำกอข้าวไว้ หากมันง่วงสัปหงกหน้าก็จุ่มลงในน้ำก็รู้สึกดีขึ้น ตื่นตัวขึ้น
เราทรมานมันอยู่นี้การภาวนาก็ได้ผลดีขึ้นพอสมควร รู้ตัวเองขึ้น ทีนี้ก็ปรับอุบายในการภาวนา เพราะองค์พระพุทธเจ้าทรงพร่ำสอนว่า…..
“ จิตเป็นของยากเป็นของหยาบ ต้องฝึกหัดทรมานให้เหมาะสมกับจริตนิสสัยของตน เหมือนกับการฝึกสัตว์ที่ฝึกยาก ต้องใช้อุบายในการฝึกอย่างหยาบแต่ต้องพอเหมาะพอควร ”
เรามาพิจารณาว่า “ จิตมุ่งมั่นอยากเกินไป ก็เป็นจิตของ สมุทัย มิใช่ จิตของ มรรค ”
ปรับใหม่ให้อิริยาบถทั้ง ๔ ตั้งอยู่อย่างพอเหมาะ ยืน เดิน นั่ง มากหน่อย ให้หลับนอนบ้างแต่จำกัดมิให้เกิน ๔ ชั่วโมง
ทีนี้ กายก็เบา ใจก็สบาย กำหนดพิจารณาดูธาตุก็ชัดเจน ดูอสุภะอสุภังของรูปของนามก็ชัดเจน
หรือจะสงเคราะห์ลงใน ทุกฺขํ อนิจฺจํ อนตฺตา ก็พอเป็นไปได้ ความหดหู่เซื่องซึม ความง่วงหงาวหาวนอนก็น้อยลงเป็นลำดับ
เหลือแต่ปัญญาเราไม่พอ จึงได้แค่อบรม สติ ให้มาก มีสติอยู่เสมอตลอดเวลา ก็ต่อสู้โดยลำพังของตัวเองโดยตลอดพรรษานั้น ”……
ธรรมะประวัติองค์หลวงปู่จาม มหาปุญโญ ผู้มากมีบุญ วัดป่าวิเวกวัฒนาราม ตอนที่ ๑๖๑
(วัดป่าบ้านห้วยทราย) บ้านห้วยทราย ต.คำชะอี อ.คำชะอี จ.มุกดาหาร
๓ กันยายน ๒๕๕๙
กราบขอบพระคุณและขออนุโมทนาบุญท่านเจ้าของผู้ถ่ายภาพนี้ พร้อมทั้งผู้ที่มีส่วนร่วมในการเผยแผ่โอวาทธรรมคำสอนนี้ ทุกๆ ท่านครับ
เพจพระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น https://www.facebook.com/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B8%AB%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B9%8C-%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%A1%E0%B8%B1%E0%B9%88%E0%B8%99-238296179593402/?fref=ts
ที่มา พระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น -
สายหลวงปู่มั่น สมาชิก
“ อดีตชาติคุณแม่ชีแก้ว เสียงล้ำ ”
ย่าชีแก้ว (เสียงล้ำ) เคยเกิดเป็นลูกสาวเจ้าเมืองเวียงจันทร์ อายุได้ ๑๔ ปี ไปฟังเทศน์ของพระมหากัจจายนะ
หมอเพ็ญศรี (มกรานนท์) ก็เป็นผู้ใกล้ชิดรับใช้
มาชาติชีวิตนี้จึงได้มาอยู่ด้วยกัน
ชาติก่อนหน้าที่จะมาเป็นย่าแก้ว ก็เกิดเป็นไก่แม่ลูกอ่อน ได้ลูก ๗ ตัว
เวลาพระเณรสวดมนต์ก็จะสอนลูกๆ ว่าให้ตั้งใจฟังอย่าร้องอย่าจิกหยอกกัน ให้ตั้งใจ
สอนลูกให้ถ่ายเป็นที่ ไม่ทำความรบกวนแก่พระเณร
อาหารการอยู่กินก็กินเศษเหลือจากชาวบ้าน
ใช้ชาติบุพกรรมพาให้เป็นไก่ ตั้งใจฟังสวดมนต์ ให้พร ฟังเทศน์ ยินดีพอใจไปตามประสาสัตว์เดรัจฉาน
จึงพอได้พ้นมาได้เกิดเป็นคน
เพิ่นครูอาจารย์มั่น (ภูริทัตโต) มาเทศน์สั่งสอนอบรม
“ ให้ฝึกหัดภาวนาให้ตั้งใจ อย่าฝึกหัดในเรื่องที่ไม่ดี….
ธรรมะประวัติองค์หลวงปู่จาม มหาปุญโญ ผู้มากมีบุญ วัดป่าวิเวกวัฒนาราม ตอนที่ ๑๖๐
(วัดป่าบ้านห้วยทราย) บ้านห้วยทราย ต.คำชะอี อ.คำชะอี จ.มุกดาหาร
๓ กันยายน ๒๕๕๙
กราบขอบพระคุณและขออนุโมทนาบุญท่านเจ้าของผู้ถ่ายภาพนี้ พร้อมทั้งผู้ที่มีส่วนร่วมในการเผยแผ่โอวาทธรรมคำสอนนี้ ทุกๆ ท่านครับ
เพจพระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น https://www.facebook.com/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B8%AB%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B9%8C-%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%A1%E0%B8%B1%E0%B9%88%E0%B8%99-238296179593402/?fref=ts
ที่มา พระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น -
สายหลวงปู่มั่น สมาชิก
ผ้ายันต์ลายมือหลวงปู่มั่น
ประมาณปี พ.ศ. 2487 ขณะนั้น ขบวนการเสรีไทยกำลังโด่งดังมาก บ้านหนองผือเป็นอีกแห่งหนึ่งที่ขบวนการเสรีไทยเข้าไปตั้งค่ายฝึกอบรมครูและชาวบ้านเพื่อเป็นกองกำลังต่อสู้ขับไล่ทหารญี่ปุ่น
คุณครูหนูไทย สุพลวานิช เป็นอีกผู้หนึ่งที่ถูกเกณฑ์เข้าฝึกอบรมในค่ายนี้ เมื่อว่างจากการฝึก มีเพื่อนคนหนึ่งพูดขึ้นว่า “ท่านพระอาจารย์ใหญ่วัดป่าบ้านหนองผือ (หมายถึงท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต) ทราบว่าท่านเป็นพระดีองค์หนึ่ง พวกเราน่าจะลองไปขอของดีจากท่านดูบ้าง ท่านคงจะให้พวกเรา”
วันต่อมา คุณครูหนูไทยหาแผ่นทองมาได้แผ่นหนึ่ง ตัดเป็นแผ่นสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ แล้วให้โยมผู้เฒ่าทายกวัดที่เป็นญาตินำไปถวายท่านพระอาจารย์มั่น
เพื่อให้ท่านทำหลอดยันต์ให้ โยมผู้ที่นำแผ่นทองนั้นไม่กล้าเข้าไปหาท่านพระอาจารย์มั่นโดยตรง จึงให้พระอุปัฏฐากเข้าไปลองถามท่านดูก่อน ท่านพระอาจารย์มั่นได้พูดตอบพระอุปัฏฐากว่า “เขาอยากได้ กะเฮ็ดให้เขาสั้นตั๊ว (หมายความว่า เขาต้องการก็ทำให้เขาได้ จะเป็นไรไป)
เมื่อพระอุปัฏฐากเข้าใจแล้ว จึงบอกให้โยมเอาแผ่นทองมาให้ท่าน รออยู่ประมาณสามวัน พระอุปัฏฐากท่านก็นำหลอดยันต์นั้นมาให้โยม แล้วโยมผู้เฒ่านั้นจึงนำมาให้คุณครูหนูไทยอีกทีหนึ่ง คุณครูหนูไทยเมื่อได้ของดีแล้วก็ดีใจเป็นอย่างมาก เก็บรักษาด้วยความทะนุถนอม และนำติดตัวไปทุกสถานที่
วันหนึ่ง ว่างจากการฝึกอบรม คุณครูหนูไทยได้เดินเที่ยวเล่นไปด้านหลังสนาม เผอิญเหลือบไปเห็นเพื่อนสามสี่คนกำลังทดลองยิง “เขี้ยวหมูตัน” ด้วยอาวุธปืน ปรากฏว่า “เขี้ยวหมูตัน” ที่ถือว่าเป็นของขลังศักดิ์สิทธิ์นั้นแตกกระจายไปคนละทิศละทาง
เพื่อนคนที่เป็นเจ้าของเขี้ยวหมูตันนั้นถึงกับหน้าถอดสี ส่วนเพื่อนที่เป็นคนยิงคงจะย่ามใจ หันมาถามคุณครูหนูไทยที่เดินเข้ามาสมทบทีหลังว่า “มีของดีอะไรมาลองบ้าง”
ด้วยความซื่อและความเป็นเพื่อน คุณครูหนูไทยจึงตอบไปว่า “มีอยู่” เท่านั้นแหละ เพื่อนคนนั้นก็เอามือล้วงกระเป๋าเสื้อของคุณครูหนูไทย หยิบตะกรุดยันต์ที่ท่านพระอาจารย์มั่นทำให้ ติดมือขึ้นมา คุณครูหนูไทยจะวอนขออย่างไร เขาก็ไม่ยอมคืนให้
ในที่สุด เขาก็นำตะกรุดยันต์ไปวางในที่ระยะห่างประมาณสัก 3-4 วา แล้วยกปืนขึ้นเล็งไปที่ตะกรุดยันต์นั้น สักครู่ได้ยินเสียงดัง “แชะ แชะ” ไม่ระเบิด ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นต่างตกตะลึง ครั้งที่สาม เขาลองหันปลายกระบอกปืนขึ้นบนฟ้าแล้วกดไกอีกครั้ง ปรากฏว่าเสียงปืนดังสนั่นไปทั่วบริเวณ ส่วนคุณครูหนูไทยรู้สึกตัว ใช้จังหวะนั้นวิ่งเข้าไปหยิบตะกรุดยันต์คืนมาอย่างรวดเร็ว
ต่อมา บางคนที่ได้ทราบข่าวนี้ก็พากันไปขอของดีจากท่านพระอาจารย์มั่นที่วัด ส่วนมากจะได้เป็นแผ่นผ้าลงอักขระคาถาตัวยันต์ สำหรับตะกรุดแผ่นทองนั้นไม่ค่อยมี เพราะแผ่นทองสมัยนั้นหายากมาก ต่อมาไม่นาน ท่านพระอาจารย์มั่นคงเห็นว่ามากไปจนเกินเลย จึงบอกให้เลิก
ท่านบอกว่า สงครามเขาจะสงบแล้ว ไม่ต้องเอาก็ได้ พวกตะกรุดยันต์ ผ้ายันต์เหล่านั้น เป็นของภายนอก สู้เอาคาถาบทนี้ไปบริกรรมแนบกับใจไม่ได้ ให้บริกรรมทุกเช้าค่ำจนขึ้นใจ แล้วจะปลอดภัย อันตรายต่าง ๆ จะไม่มากล้ำกรายตัวเราได้เลย คาถาบทนั้นว่าดังนี้
“นะโม วิมุตตานัง นะโม วิมุตติยา”
ตั้งแต่นั้นมา ชาวบ้านหนองผือก็ไม่กล้าไปขอของดีจากท่านอีก และเป็นความจริงตามที่ท่านพระอาจารย์มั่นพูด ไม่ถึงเจ็ดวัน ก็ได้ทราบข่าวว่า เครื่องบินทหารอเมริกันไปทิ้งระเบิดปรมาณูใส่เมืองฮิโรชิม่าและเมืองนางาซากิ ประเทศญี่ปุ่น ย่อยยับจนในที่สุด ประเทศญี่ปุ่นประกาศยอมแพ้สงคราม และสงครามโลกก็สงบจบสิ้นลง
คำภาวนา “นะโม วิมุตตานัง นะโม วิมุตติยา” นี้ มีความหมายว่า “ขอนอบน้อมท่านผู้หลุดพ้นแล้ว (จากกิเลส) ทั้งหลาย ขอนอบน้อมวิมุตติธรรม (ธรรมอันหลุดพ้นคือพระนิพพาน)”
ที่มา พระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น
หน้า 541 ของ 1045