หรือว่ากระทู้มาแรง จึงทำให้แฮ้ง อิอิ คงเป็นเพราะมาเจอกันใหม่ แต่คนเดิม จึงชาด แบตเตอรี่แรงเกินไป อิอิ
นิทาน เรื่อง "พญานาค"
ในห้อง 'จักรวาลคู่ขนาน' ตั้งกระทู้โดย คุรุวาโร, 31 ธันวาคม 2011.
หน้า 577 ของ 1157
-
คงจะจริงนะคะ คุณนุช ทีหน้าทีหลังอย่าออกตัวแรงซิคะ เพื่อนๆ แย่เลย มองไม่เห็นใครเลย ต้องใช้วิชามารอีกแระ อีกหน่อยคงเป็นมารเต็มตัวแน่เลย
-
-
-
นุช กับน้ำ กลับเมื่อไหร่ล่ะ..บอกพี่ด้วยเน่อ.. -
เดี๋ยวนะ พี่แค่ออกมาแอบดู ไว้ไปเก็บข้อมูลช่วงที่หายไปได้อะไรบ้างจะมาเล่าสู่ฟังเป็นนิทาน เกี่ยวกับสถานปฎิบัติดังที่เห็นใน เฟรสบุ๊ค นั่น ว่ามีความเป็นมาอย่างไร และทำไมมีแสงแว๊บๆปรากฎขึ้นในรูปภาพซึ่งถ่ายมาก้ไม่มีอะไร แต่พอเอาลงกระทู้กลับมีแสงเปล่งออกมา หรือทางวิยาสาตร์ เกี่ยวเนื่องกับแสง แต่ทางโลกทิพย์ เป้นอีกแบบหนึ่ง ตรงนี้มีคำตอบถาหาก น้องหรือท่านใด สอบถามยินดี ตอบทุกปัญหาและคำถามจ๊ะ..
แต่ช่วงนี้วันนี้เป็นวันเสาร์ มีเหตุต้องถูกแย่งคอม ไว้ช่วงบ่ายที่นี่อาจจะเย็นดึกๆเมืองไทยจะแวะเข้ามาคุยจ๊ะ มาเล่านิทานเล็กๆน้อยๆให้น้องๆมาอ่านพอฉ่ำใจจ๊ะ เร่งมาแล้วจ๊ะ..บายจ๊ะ:z16
-
คุณทีโอ! ผมเข้าใจว่า ที่โรคเบาบางลงนั้น เป็นเพราะอำนาจจิตของเราเองที่มีความเข้มแข็งขึ้น สูงกว่าอำนาจของ ผู้ที่จะครอบงำคุณได้ ดังนั้นเขาจึงหนีไป...
คุณจึงมีสุขภาพดี....แต่นั้นไม่ได้หมายความว่า โรคภัยไข้เจ็บอื่นๆจะไม่เกิดขึ้น
ตราบใดที่เรายังมีกายหยาบ ย่อมมีโอกาสได้เสมอ ครับ
เมื่อเราสาวโซ่ดึงจนสุดทาง เราก็จะพบว่า กายของเรานี้เอง เป็นตนเหตุที่แท้จริง เป็นปฐมเหตุที่ทำให้เกิดโรคทั้งปวง และเป็นต้นเหตุแห่งทุกข์....
พระพุทธองค์ จึงกล่าวว่า "ทุกข์เสมอด้วย เบญจขันธ์ไม่มี"
ที่อธิบายมาทั้งหมดนี้ไม่ได้หมายความว่า จะให้เลิกการปฎิบัติเดิม แต่อยากให้ทราบถึงสาเหตุ ที่แท้จริง....เมื่อเราปฎิบัติพิจาราณาร่างกายนี้จนถึงที่สุดแล้ว ก็ไม่ต้องกลับมาป่วยอีเลย ชั่วกาลนาน!
(ปล.ไม่รู้ทำไม อ่านข้อความของคุณ ทีโอ แล้ว ให้นึกอยากสนทนาธรรม เหมือนมีกระแส พลังบางอย่างที่น่าสนใจ!) -
นุชกลับ 25 กรกฎาคม จ๊ะ 28 กรกฎาคม นำลูกนิมิต 9 ลูก และพญานาค 9 เศียร 29 กรกฎาคม ได้ฤกษ์ เปิดปฐมฤกษ์ บวชชีและก่อตั้งสถานปฎิบัติธรรม จ๊ะ ตัวเลขงามไหมพี่
-
อย่าลืม ลาบางอย่าง ที่ร้างลา นะคะ.. -
เป็นเรื่องนี้..นี่เอง อนุโมทนาสาธุ..ด้วยค่ะ ดาว * -
โธ๋ คุณมิก....คอมมีปัญหานะ!
แล้ว เน็ตซิมก็ดันหมด พอดี....(อะไรจะมีมารมาพจญถึงป่านนั้น) :'(
ขอวิเคราะห์ว่า คุณมิกเหมาะ กับการปฎิบัติเจริญสติแบบ
"จิตตานุปัสสนา สติปัฎฐานา" มากที่สุด ด้วยเหตุผลที่ว่า จิตซ่านออกไปภายนอกบ่อยๆ....แล้วชอบศึกษาของที่มองด้วยตาเปล่าไม่เห็น...ดังนั้นวิธีดู จิตจึงเป็นวิธีที่เหมาะที่สุด....แต่จะเปลี่ยนเทคนิคตรงที่ ให้เข้ามาดูศึกษาที่จิตของตนเองแทน ที่จะวิ่งไปรับรู้สิ่งภายนอก...
วิธีคือ ดู การกระเพื่อมของจิต ที่ผ่านเข้ามากระทบ ทาง อายตนะ (รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ) มันทำให้อาการจิต ไหว ไปมาได้อย่างไร....เมื่อสติจับดูอยู่จะเกิดผลแบบหยาบๆแบ่งออกเป็น ๓ อย่างคือ ดี ,ไม่ดี, เฉยๆ
ให้ลองตรวจดู ว่าขณะปัจจุบันนี้ จิตอยู่ในสถานะภาพใด ให้ประเมินดูด้วยตนเอง
เช่น ความอยาก รู้หนอ เกิดขึ้น จิตกระสับกระส่ายเป็นอกุศล ให้ประเมินผลว่า ไม่ดี
ถ้าความอยากรู้หนอเกิดขึ้น จิต แจ่มใสเบิกบาน ร่าเริงในธรรม ให้ประเมินผลว่าดี
แต่ถ้าความอยากรู้หนอเิกิดขึ้น จิต ไม่กระเพื่อมมีอาการเฉยๆ ไม่ยินดี ยินร้าย ให้ประเมินว่า ปกติหนอ.....แล้วความอยากรู้หนอในข้างตน ก็จะหายไป เหลือแค่เพียงความรู้สึกว่า รู้ก็ได้ไม้รู้ก็ได้
ผลที่จะเกิดขึ้นตามมาก็คือ เมื่อสติตรวจดูจิตบ่อยๆเข้า จนชำนาญแล้ว....สมาธิจะตั้งมั่นขึ้น จิตมีกำลังพอสามารถ แตกหัวข้อธรรมต่างๆขึ้นมาพิจารณาได้ด้วยตนเอง
นี้เป็นวิธีปฎิบัติที่ง่ายๆ และสบาย เป็นวิธีลัด สั้นที่สุด (หลวงปู่ดูลย์ อตุโล ท่านเคยกล่าวไว้) -
แล้วเมื่อไหร่จะถึงคิวเราล่ะ ไปแระ
แสดงว่าดีอยู่แล้ว แต่ไม่หลงหรอกนะจะบอกให้
ขอคำแนะนำหน่อยก็ไม่ได้นะ...ท่านหน่อฯ
อย่างนี้เค้าเรียกว่ารักลำเอียงงงง...ไม่เสมอภาค ขาดสมดุล -
พี่รั้ง...น้องเมืองเอง..log in เก่ามันเข้าไม่ได้แล้วค่ะบอกว่ารหัสผิดตลอดเลยขี้เกียจ reset แล้ว...เลยเข้ามาแจ้งคร้า...ขออนุญาติเจ้าของห้องนะคร้า...
;aa20;aa55 -
ขอบคุณท่านหน่อฯ มากค่ะ สำหรับคำชี้แนะ...แต่ของมิกอาจต้องเพิ่มรสชาติอีกสักนิดค่ะ
คือ ถ้ามัน "อยากรู้หนอ" มากๆ ก็ให้ "รู้" จนจุกกันไปข้างหนึ่ง...จุกจนไม่นึก "อยาก" อีก
ก็ดีนะคะ อิอิ ^^
เหมือนเราอยากกินอะไรมากๆ ก็กินมันทุกวัน (ยัดไปเลยเช้า เที่ยง เย็น) กินให้จุก กินให้
เลี่ยนกันไปข้างหนึ่ง แล้วจะได้ไม่นึกอยากอีก... -
พี่จำที่จิตไม่ใช่จำที่ตาจ้า ..พรุ่งนี้มาคุยต่อนะคะพี่ไปสวดมนต์ก่อนจ้า.....
ヽ(^。^)ノヽ(^。^)ノヽ(^。^)ノヽ(^。^)ノ -
กระทู้เงียบเหงาๆ จริงๆ เลยวันนี้...
เมื่อตะกี้เข้าไปห้องอภิญญามา...หลายท่านกล่าวถึง "นิพพาน" ข้าพเจ้า
กล้ากล่าวอย่างไม่อายว่า...ข้าพเจ้าไม่เคยคิดเรื่องนิพพานเลย
สิ่งที่ข้าพเจ้าทำ สิ่งที่ข้าพเจ้าปฏิบัติในตอนนี้ ล้วนเกิดจากความชอบ และ
ใจที่รักในการปฏิบัติ
หาก "ผล" ที่เกิดจากการปฏิบัตินั้น...จะช่วยให้ข้าพเจ้ามีกำลัง มีความ
สามารถ และอยู่ในวิสัยที่จะกระทำได้ ข้าพเจ้าก็ยินดีที่จะให้ความช่วยเหลือ
สำหรับผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือนั้น (ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง...โดยไม่เบียด
เบียนผู้อื่น) นั่นก็เพียงพอแล้วสำหรับข้าพเจ้า -
สำหรับเราแล้ว ยึดหลักที่ว่าเอาตัวเองให้รอดซะก่อน เมื่อรอดแล้ว รู้แล้วจึงจะช่วยเหลือผู้อื่นต่อไปได้อีก หากตนเองยังช่วยตนเองให้รอดพ้นจากการจมน้ำไม่ได้ จะไปช่วยใครให้รอดได้ พากันจมน้ำตายพอดี
นิพพานไม่ใช่การเห็นแก่ตัว การเข้าถึงซึ่งนิพพานมีประโยชน์อย่างมหันต์ทั้งตนเองและเพื่อนร่วมทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ทั้งหมดทั้งสิ้น ไม่เพียงเฉพาะโลกนี้ แต่ทั่วทั้งจักรวาล หลายๆ แสนหมื่นโลกธาตุ
เพราะสิ่งที่มุ่งหวังนี้คือการช่วยเหลือที่ยั่งยืน ล้มแล้วลุกแต่เป็นการลุกขึ้นยืนอย่างถาวรและมั่นคง กี่แสนกี่หมื่นกี่พันความช่วยเหลือ ก็ไม่เท่าช่วยเหลือให้เข้าถึงซึ่งนิพพานได้หรอก มันเป็นการรู้ ณ ปัจจุบันนี้
เรารู้แค่เพียงว่านิพพานเป็นเครื่องมือในการตัดขาดซึ่งวัฏฏสงสารทั้งหมดทั้งมวล ทั้งของตนและของเพื่อนร่วมทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ทุกรูปทุกนาม
ดังนั้น ปัญหาทุกปัญหาควรแก้ที่เหตุ ไม่ใช่ไปตามแก้ที่ผล เพราะมันจะเป็นการแก้ที่ไม่จบไม่สิ้น วนเวียนมาอย่างเดิม การช่วยเหลือเพื่อให้หลุดพ้นจากทุกข์ของสรรพสัตว์ที่แท้จริง มีเพียงเรื่องเดียว คือนิพพาน -
วันนี้ ไม่มีเรื่องราวมาเล่าให้อ่านนะคะ เพราะยังไม่ถนัดกับโน๊ตบุ๊ค เครื่องมือไม่ครบรอไปก่อนนะคะเพื่อนๆ วันนี้เลยหาเรื่องไม่ได้เลย เอาไว้รออ่านนิทานจากท่านประธานแล้วกันนะ ร้องเพลงรอไปก่อนค่ะ
คืนนี้ถ้าไม่มีธุระอะไร ก็ไปเที่ยวนครพนมกันนะคะ ไปขึ้นรถที่สถานีตามใจ ออกเวลาพอใจค่ะ ใครพร้อมก็เชิญนะคะ -
ขอบพระคุณจ้า..ทุกเรื่องราวทุกตัวบุคคล นุชวางแปลนไว้แล้วว่าจะทำการขออโหสิกรรมกับทุกคน เพราะบวชครั้งนี้เป็นบวชอธิษฐานแก้กรรม ตรงๆทั้งหมดทั้งปวง เพราะฉะนั้นนุชจึงเตรียมทั้งวีดีโอ บันทึกภาพเหตุการณ์ ตั้งแต่เริ่มแรก และวันนี้ก็นุชก็จะเมล์ไปหา น้องนาคดำ คนนั้นเพื่อปรึกษาและจะทำการอโหสิกรรม ครั้งสุดท้าย พี่คิดเห็นเป็นอย่างไรบ้าง
-
หรือว่า..ตัวเลขเหล่านี้จะนำโชคหนอ...เพระาสิ่งเหล่านี้ที่ได้มาไม่ใช่เรื่องบังเอิญ
หน้า 577 ของ 1157