นิพพาน คือ อะไรกันแน่

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย ปรมิตร, 15 สิงหาคม 2009.

  1. ปรมิตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    404
    ค่าพลัง:
    +528
    เห็น ท่านวีระพี ลองปัญญา ถามถึงภควา
    ผมเลย อยากรู้เรื่อง นิพพานบ้างอะ เห็นพูดๆกันจั๊ง แต่ละคนเข้าใจแบบใดกันแน่

    นิพพาน คือ อะไร บางคนว่าเป็นเมือง บางคว่าเป็นสภาวะธรรม บางคนบอกว่า ตามแต่จิตจะไปรู้ ไปรับ

    จริงอยู่โลกุตรธรรมทั้งหลายมีนิพพาน เป็นต้น ย่อมไม่สามรถอธิบายด้วยภาษาโลกได้หมด ไม่สมารถอธิบายในนิยามสมมติบัญญัติได้ อย่างเข้าใจ
    จึงถามท่านพุทธภูมิทั้งหลาย ทั้งท่านผู้ศึกษาและผู้ไปสัมผัสนิพพานมา
    ว่า นิพพานเป็นเช่นไรหนอ ท่านทั้งหลายจึงอยากจะไปกันนัก เพื่อเป็นนิสัย ปัจจัยแก่ผู้เดินทางไกล ต่อไปสาธุ

    ถ้าหากตอบว่า ก็ให้ไปได้ก่อนนะ หรือต้องลองไปรู้ดูเอง
    การปฏิบัติ นั้น ย่อมไม่เป็นไปด้วยตัณหาหรือความอยาก
    จะทำอย่างไรให้ถึงนิพพานด้วย ความไม่มีตัณหาเจือเล่า
    ผมไม่มีคำตอบหรอกนะครับ ขอแค่ความเข้าใจตามแบบท่านทั้งหลาย เข้าใจ
     
  2. วรกันต์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    190
    ค่าพลัง:
    +257
    ถ้ามันอธิบายง่ายขนาดนั้น ทุกคนคงบรรลุอรหันต์กันหมดแล้ว จริงมะครับ

    มีคำตอบ ให้นายปรมิตร

    แต่จะลองดูคนอื่นตอบก่อน นะครับ

    ปล. ฉันรู้จักแกนะ หุหุ

    :boo:
     
  3. ปรมิตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    404
    ค่าพลัง:
    +528
    นั่นสิครับ ถ้ามันง่าย ผมก็คงไม่ถามใช่ไหม 555
    รู้จักผมด้วย ดีจริงๆ เพิ่งรู้ว่ามีคนรู้จักด้วยแฮะ

    หึหึ ไม่มีคนตอบเลย
    นิพพานเเดนนิรทุกข์
    ผมอ่ะเคยได้ยินมาทั้ง นิพพานเมืองแก้ว
    นิพพานคือสภาวะธรรม ที่สุข สงบ ต่อหน้าต่อตา สุขมากๆ มากกว่าความสงบจากสมาธิ

    บางคนบอกว่านิพพาน เป็นอมตะไม่มีเกิดดับ ไม่มีกลับมาเกิดอีก
    บ้างก็ว่านิพพานเข้าไปแล้วออกมาไม่ได้อีก บ้างก็ว่า เข้าไป ถ้าอยากออกมาก็ออกมาได้ แล้วเข้าไปใหม่
    บ้างก็ว่า เหมือนสวรรค์หรือพรหมโลก แต่นิ่ง สงบ กว่า อายุไขย ก็มี แต่ยาวมาก จนผู้ที่ไปสู่แดนนั้น ไม่เคยหมดอายุเลย
    บ้างก็ถอดจิตไปนิพพานได้ แล้วกลับมาได้อีก บ้างก็ไปนิพพานท้งกายเนื้อเลย โดยอาศัยฌาณ

    ตกลง นิพพานคืออะไร กันแน่เนี่ย T-T
    555555
     
  4. deelek เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    6,696
    ค่าพลัง:
    +16,254
    มีอาการลักษณะธรรมชาติเป็นที่ใกล้เคียง นิพพานและ เป็นอนัตตา
    พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า
    "ภิกษุทั้งหลาย ธรรมที่เที่ยงมั่นคงยั่งยืน ไม่แปรผัน นั้นมีอยู่ สองประการ คือ อากาศ และ นิพพาน "
    ในพระพุทธศาสนา อากาศ เทียบเคียงกับ พระนิพพาน ได้ 10 ประการ
    1.ไม่แก่ 2.ไม่ตาย 3.ไม่เคลื่อน 4.ไม่เกิด 5.ไม่มีใครข่มเหง
    6.ไม่มีโจรลัก 7.ไม่มีที่อาศัย 8.เป็นทางนก 9.ไม่มีอะไรขวาง 10.ไม่มีพรมแดน
    และอากาศ มีองค์ประกอบ 5 ประการ คือ
    1.ใครจะกุมไว้ไม่ได้ 2.หาที่ตั้งไม่ได้ 3.ไม่มีที่สุดหาประมาณไม่ได้
    4.ไม่มีความเกาะเกี่ยว 5.มีสายฟ้า
    คุณสมบัติของอากาศที่กล่าวมาก็คล้ายกับ พระนิพพาน แต่ก็ไม่ใช้ พระนิพพาน เขาไม่เรียก พระนิพพาน เพราะ พระนิพพาน คือ ความดับทุกข์ และเป็นที่ บรมสุขเป็นมหานครที่ยิ่งใหญ่ไพศาล และไปได้ด้วย จิต ต้องมี ทาน ศิล สมาธิ วิปัสสนาปัญญา (รู้ อริยะสัจ4, รู้ รูป-นาม เกิด-ดับ,เป็นพระไตรลักษณ์,มีมรรค 8, มีพระนิพพานเป็นอารมย์ มีพระนิพพานเป็น เป้าหมาย มีจิตมุ่งมั่นที่จะไป พระนิพพาน

    ก็ลองไปศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมกันเอาอีกนะครับ เอามาแบ่งปันความรู้กัน
     
  5. วิญญาณนิพพาน ทีมงานอาสาฯ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2008
    โพสต์:
    22,417
    กระทู้เรื่องเด่น:
    51
    ค่าพลัง:
    +21,010
    หามาให้อ่านครับ จขกท อ่านได้เลยจ้า เจริญในธรรมครับ

    พระนิพพาน

    <table align="center" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="98%"><tbody><tr><td>การเห็นมีหลายชั้น
    ท่านว่าสิ่งที่จะเห็นมีหลายชั้นแต่ต้องปรับปรุงตัวให้เหมาะสม พอที่จะเห็นได้ มนุษย์ธรรมดา
    มีตาไว้สำหรับดูธาตุที่เป็นรูป และเป็นของใหญ่ ธาตุที่เล็กกว่าเล็นไรมนุษย์ก็มองไม่เห็น ตามนุษย์
    นี้เป็นตาที่ดูของหยาบมาก สู้ตาสัตว์เดียรัจฉาน เช่น ตาแมว ตาสุนัขไม่ได้ พอมืด มนุษย์แม้ของ
    ใหญ่ก็มองไม่เห็น ส่วนสัตว์เดียรัจฉานในป่ากลางคืนเดินหากินสบาย ไม่ต้องใช้คบเพลิง หรือ
    ตะเกียงส่องทาง เห็นหรือยังว่า ตามนุษย์เลวกว่าตาสัตว์เดียรัจฉาน? ท่านถาม ตอบท่าน
    ว่า เห็นแล้วขอรับ ท่านเล่าต่อไป มนุษย์นี้ไม่สามารถเห็นพวกยักษ์ผี ที่เรียกว่าอสุรกาย เปรต
    และ สัตว์นรกได้ ถ้าพวกนั้นเขาไม่ให้เห็น ความจริงพวกที่กล่าวถึงนี้มีกายหยาบมาก เห็นง่าย
    เสียงดังฟังชัด พวกที่กล่าวแล้วนั้นก็ไม่สามารถเห็นเทวดาที่มีบุญญาธิการมากกว่าได้ ถ้าเขา
    ไม่ต้องการให้เห็น เทวดาก็ไม่สามารถเห็นพรหมได้ถ้าเขาไม่ต้องการให้เห็น พรหมก็ไม่สามารถ
    เห็นพระอริยะที่เข้านิพพานได้ ถ้าท่านไม่ต้องการให้เห็น ความเห็นนั้นมีคุณพิเศษละเอียดต่างกัน
    ด้วยบุญญาธิการอย่างนี้

    มนุษย์ต้องการเห็น
    ถ้ามนุษย์ต้องการเห็นพวกผี เปรต เทวดา ท่านให้เจริญกสิณกองใดก็ได้ แล้วฝึกทิพย-
    จักษุญาณมีระดับฌาน เพียงอุปจารฌาน หรือฌาน ๑ - ๒ เท่านี้ ก็พอเห็นผีเทวดาได้แต่ไม่
    ชัดนัก แต่จะเห็นพรหมไม่ได้
    ถ้าจะให้เห็นพรหม ต้องได้ฌาน ๔ ชำนาญ ทิพยจักษุญาณจะแจ่มใสขึ้นสามารถเห็น
    พรหมได้ แต่จะเห็นพระนิพพานไม่ได้
    ถ้าอยากจะเห็นพระนิพพาน ต้องเจริญวิปัสสนาญาณ ให้ได้บรรลุพระโสดาบัน
    เป็นอย่างต่ำ
    อาศัยญาณที่ได้ไว้ในสมัยโลกียฌาน พอได้มรรคผลเป็นพระอริยะ ฌานนี้ก็กลาย
    เป็นโลกุตตรฌาน และอาศัยผลที่เป็นพระอริยะ ท่านเรียกญาณที่ได้ว่า" วิมุตติญาณทัสสนะ"
    แปลว่าหลุดพ้นจากกิเลสพร้อมด้วยญาณเป็นเครื่องรู้ เท่านี้พระนิพพานก็ปรากฏชัดแก่ญาณจักษุ
    พระโสดานี้ได้แต่เห็นนิพพาน ยังอาศัยนิพพานเป็นที่พักผ่อนไม่ได้ ถ้าสำเร็จอรหัตผลแล้วท่าน
    ก็ไปนอนค้างบนนิพพาน อันเป็นสถานที่อยู่สำหรับตนได้เลย ท่านว่าบนนิพพานก็คล้ายกับพรหม
    มีวิมานแต่วิจิตรมาก ร่างของท่านที่เข้านิพพานเป็นทิพย์ละเอียด ใสสะอาด ใสคล้ายแก้วประกาย
    พรึก มีรัศมีสว่างมากกว่าพรหมอย่างเทียบกันไม่ได้เลย มีความสุขที่สุดอย่างไม่มีอะไรเปรียบ
    เพราะความรู้สึกอย่างอื่นไม่มี มีแต่จิตสงเคราะห์เรียนถามท่านว่า พระที่เข้านิพพานแล้วอย่าง
    พระอรหันต์ หรือพระพุทธเจ้า ท่านจะมาโปรดพวกที่ยังไม่บรรลุได้ไหม?
    ท่านตอบว่า มาได้ เราจะได้ยินท่านได้ เมื่อจิตเข้าสู่อุปจารฌาน ถ้าท่านต้องการให้ได้ยิน
    เสียง จะเห็นท่านได้เมื่อมีอารมณ์จิตอยู่ในอุปจารฌาน แต่เห็นไม่ชัด ถ้ามีอารมณ์ถึงจตุตถฌาน
    และทรงฌานจนชำนาญ แล้วจะเห็นชัดและได้ยินคำสอนเหมือนเห็นฉันนั่งอยู่ และพูดอยู่อย่างนี้
    ท่านสรุปว่า เรื่องการเห็นมีเป็นระดับอย่างนี้ อย่าเถียงกันเรื่องนิพพานเลย ทำตัวให้ถึงเสียก่อน
    จะเห็นเอง เวลานี้เธอทั้งสามยังเป็นโลกียฌานอยู่ อย่าเพ่อคิดว่าดีแล้ว วิเศษแล้ว ยัง
    ไกลต่อความดี ต่อความวิเศษมากนัก คนที่รู้ว่าตัวดี คนนั้นยังไม่ถึงความวิเศษ คนใดเห็นว่า
    ไม่ว่าอะไรทั้งหมดในโลกนี้ เทวโลก พรหมโลกไม่มีอะไรดี อะไรวิเศษ สิ้นความรักความพอใจ
    ทุกสิ่งทุกอย่าง ยอมรับนับถือกฎธรรมดาผู้นั้นแหละถึงดีถึงความวิเศษแล้ว เธอทั้งสามถ้าต้องการ
    ฉัน ฉันจะมาสอนเธอทุกคืนที่เธอต้องการ เมื่อต้องการฉัน ขอให้คิดถึงฉัน เรียกฉันว่า
    อาจารย์ใหญ่ แล้วฉันจะมาพบเธอเสมอ แต่
    ต้องเป็นเวลาดึกสงัด พอฉันเสร็จท่านก็
    ลากลับไป
    เรื่องนิพพานท่านว่าอย่างนี้ ขอท่านผู้อ่าน อ่านแล้วฟังหูไว้หู อย่าเชื่อเกินไป และอย่าเพ่อ
    ปฏิเสธ จนกว่าท่านจะเข้าถึง วิมุตติญาณทัสสนะ เมื่อไร เมื่อนั้นท่านเอาความบริสุทธิ์ของ
    ท่านและญาณเป็นเครื่องรู้พิสูจน์ ท่านจะทราบจริงว่า ท่านอาจารย์ใหญ่พูดนี้ถูกต้องตามความ
    เป็นจริงหรือคลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง

    สอนวิธีปฏิบัติเพื่อรู้พระนิพพาน
    ต่อมาวันรุ่งขึ้น ผู้เขียนและเพื่อนติดใจเรื่องนิพพาน อยากจะเห็นนิพพาน พอตกเวลาราตรี
    ก็ทำวัตรสวดมนต์ เสร็จแล้วเริ่มทำสมาธิตามแบบฉบับของโบราณ พออารมณ์เข้าอุปจาระก็นึก
    ถึงท่าน พอนึกท่านก็ถึงทันที พอมาถึงท่านบอกว่า ผมมาคอยอยู่นานแล้ว รู้แล้วว่าต้องมาแน่
    เพราะอย่างไรเสียเธอก็ต้องขอเรียนเรื่องนิพพาน ท่านเริ่มสอนว่า
    นักนิยมนิพพาน ต้องมีแนวปฏิบัติตามนี้อย่างเคร่งครัด
    </td></tr></tbody></table>
    .
     
  6. วิญญาณนิพพาน ทีมงานอาสาฯ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2008
    โพสต์:
    22,417
    กระทู้เรื่องเด่น:
    51
    ค่าพลัง:
    +21,010
    เเละอีกอันครับ

    สอนวิธีปฏิบัติเพื่อรู้พระนิพพาน

    <table align="center" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="98%"><tbody><tr><td>๑. ระงับอุปกิเลส
    ให้พยายามระงับอุปกิเลสให้สิ้น อย่าให้ใช้อารมณ์แม้แต่น้อยหนึ่ง ให้เข้าไปยุ่งแก่ภาระ
    ของคนอื่น จะเป็นเรื่องดีเรื่องชั่วก็ตามไม่ต้องคิดถึงใคร เขาจะชม เขาจะติ เขาจะรวย จะจน
    จะเป็นอะไรก็ช่าง ห้ามยุ่งระวังตัวของตัวเองเป็นสำคัญ ไม่ต้องคอยสอนคนอื่น พยายามระมัด
    ระวังตัวเองเป็นที่สุด อะไรจะเกิดแก่ตนต้องถือว่าช่างเป็นสำคัญ อย่าสร้างความดีใจ ขัดข้อง
    ใจในอารมณ์นั้น ๆ อย่างนี้เป็นระดับแรก ถ้าทำได้อย่างนี้ เรียกว่า ถึงสะเก็ดของพระ-
    นิพพานแล้ว

    ๒. ระวังศีล นิวรณ์ และสร้างพรหมวิหาร ๔
    ต่อไปให้รักษาศีลให้บริสุทธิ์ ไม่ทำลายศีลเอง ไม่ยุให้คนอื่นทำลายศีล ไม่ยินดีต่อเมื่อ
    เห็นคนอื่นทำลายศีล
    ต่อไปก็ระงับนิวรณ์ ๕ ด้วยการเจริญฌาน นิวรณ์ ๕ จะระงับได้ด้วยจิตทรงในฌาน
    ข้อนี้พวกท่านชำนาญแล้ว และทำถูกแล้ว ควรรักษาไว้อย่าให้เสื่อม
    ต่อไปก็เจริญเมตตาพรหมวิหารทั้ง ๔ ให้ทรงใจเป็นปกติ รักด้วยเมตตาสงสาร มีใจอารี
    ไม่ริษยา มีอารมณ์ปกติ คือวางเฉย พรหมวิหาร ๔ นี้ จะทำให้ฌานไม่เสื่อม และศีลจะบริสุทธิ์
    เป็นปัจจัยให้ได้วิปัสสนาญาณรวดเร็ว อันนี้ท่านก็ได้แล้ว ไม่มีอะไรหนักใจ คนที่ทรงคุณตามนี้
    เป็นผู้มีความดีถึงเปลือกนิพพานแล้ว พวกคุณทั้งสามมีความดีถึงเปลือกนิพพานแล้วท่านสอน
    ไป ท่านก็พยากรณ์ไปด้วย

    ๓. ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ
    เมื่อเธอปฏิบัติตามข้อ ๒ ได้ครบแล้ว ความจริงพวกเธอได้มาแล้ว อาจารย์เธอสั่งมา
    ว่าอย่างนั้น ฉันจะสอนต่อไป ต่อไปเธอจงพยายามสร้าง ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ให้ได้
    จงปฏิบัติตามนี้ เข้าฌานในกสิณอย่างใดอย่างหนึ่ง ถึงฌาน ๔ แล้ว ถอยจิตออกมาที่อุปจาร-
    ฌานนั่นทำอย่างนั้นถูกแล้ว เพราะพอท่านสอน นักธุดงค์ก็ทำตามทันที แล้วค่อย ๆ คิดถึง
    เหตุในอดีตจนถึงชาติก่อน ๆ ร้อยชาติพันชาติแล้วเข้าฌานใหม่นั่นถูกแล้ว ออกจากฌาน
    คิดใหม่ ท่านบอกบทอยู่จนค่อนรุ่ง พวกนิยมไพรก็เต้นตาม พอใกล้สว่างท่านบอกว่าที่สอน
    นี้ทำให้คล่องภายใน ๓ วัน ถ้าไม่คล่องฉันจะไม่มาสอนอีกจนเธอตาย ท่านว่าถ้าได้คล่อง
    ตามนี้ พวกเธอก็เข้าถึง กระพี้นิพพาน แล้วท่านก็กลับ พวกนิยมไพรซ้อมกันอย่างเอา
    ชีวิตเข้าแลก พอวันที่ ๒ ก็ชำนาญ รุ่งขึ้นวันที่ ๓ ท่านมาใหม่

    ๔. จุตูปปาตญาณ
    พอท่านมาถึง ท่านก็ยิ้มแล้วบอกว่า ฤาษีโพธิวัตรกับฤาษีพนมไพรเก่งมาก ตาลิงดำนี่
    แกนานหน่อยนะ ถึงแม้จะยังไม่ได้ก็ไม่เป็นไร รู้ไว้ใช่ว่าใส่บ่าแบกหาม นาน ๆ ไปถ้าไม่เลิก
    เสียก็ได้เอง ต่อไปจงเข้าฌาน ๔ ในกสิณ ท่านบัญชา พวกเราก็เข้า สักพักหนึ่งท่านสั่งคลาย
    ออกแค่อุปจาระ พวกเราก็คลายตามท่านสั่ง จับภาพกสิณให้แจ่มใส พวกเราก็ทำตาม เพิก
    กสิณเสีย ขอภาพนรกจงปรากฏแทน พวกเราก็ทำตามเพราะจิตที่เรียนมายังสงสัยอเวจีมหา-
    นรก ก็พบอเวจีพอดี เอ้าถอนได้ คลายมาอยู่อุปจารฌาน พวกเราก็ทำตาม
    ต่อไปเข้าฌาน ๔ ใหม่ พวกเราก็เข้าฌาน ๔ ออกจากฌาน ๔ ท่านบัญชาพวกเราก็
    ออกมาหยุดอยู่แค่อุปจาระ สร้างภาพกสิณให้แจ่มใส ท่านสั่ง พวกเราก็ทำตาม ขอภาพกสิณ
    จงหายไป ภาพเทวโลกจงปรากฏ พวกเราทำตาม เห็นเทวโลกแจ่มใสเป็นเมืองทิพย์สวย
    ที่สุด พวกเราเพลิดเพลินมาก แต่พอจะเพลินดี ก็ได้ยินเสียงก้องมาว่า เทวโลกเป็น
    กามาวจรที่ยังไม่พ้นวัฏฏะ
    จงถอนความพอใจเสีย พิจารณาเทวโลกให้เป็นของปฏิกูล
    ตามแบบอสุภกรรมฐาน พวกเราเสียดายก็เสียดายแต่ต้องทำตาม ท่านพูดว่า ลิงดำอย่า
    พอใจในเทวโลก เทวโลกเป็นปัจจัยของความทุกข์ พอท่านพูดเท่านั้นอารมณ์ก็เปลื้อง
    ออกได้ ท่านบอกว่ากลับใหม่ ถอนอารมณ์ออกมา อุปจาระ พวกเราทำตาม ท่านสั่งต่อไป
    ว่า เข้าฌาน ๔ ใหม่ พวกเราก็เข้าฌาน ๔ ออกจากฌาน ๔ พวกเราออก สร้างกสิณให้
    แจ่มใส พวกเราสร้างตาม จงอธิษฐานว่ารูปกสิณจงหายไป พรหมโลกจงปรากฏ
    พวกเราทำตาม เห็นพรหมโลกแจ่มใสแล้วท่านให้ถอนและสอนว่าจงทำอย่างนี้ให้ชำนาญ
    ภายใน ๗ วัน ดูแล้วเห็นแล้ว ถามผลกรรมเข้าด้วยแล้ว เขาทำแล้ว อะไรจึงตกนรกเป็น
    เปรต เป็นอสุรกาย เป็นเทวดา เป็น
    พรหม เธอทำอย่างนี้ชำนาญแล้ว เธอจะเข้าถึง
    แก่นของพระนิพพาน เจริญวิปัสสนาญาณต่อ ถ้ามีบารมีแก่กล้า จะได้วิมุตติญาณทัสสนะ
    ภายใน ๗ วัน ถ้ามีบารมีอย่างกลาง จะได้วิมุตติญาณทัสสนะภายใน ๗ เดือน ถ้ามีบารมี
    ทรามจะได้วิมุตติญาณทัสสนะภายใน ๗ ปี นี่เวลาจวนสว่างแล้วฉันจะไปก่อน ๗ วัน แล้ว
    ฉันจะมาสอนวิปัสสนาให้ แล้วท่านก็หายไปเหมือนความฝัน
    แนวปฏิบัติเพื่อวิมุตติญาณทัสสะ เพื่อเห็นพระนิพพาน ท่านสอนมาในสมัย
    ไปธุดงค์ ท่านสอนอย่างนี้ ผู้เขียนก็ได้เพียงฟังท่านสอน เพราะรับผลเพียงพหูสูตร ส่วนผล
    ทางปฏิบัตินั้น ไม่ทราบจะบอกอย่างไร เรื่องมรรคผลนั้นไม่ต้องพูดถึง ทำขณะที่ท่านบอก
    แจ่มใสจริง ๆ พอห่างอาจารย์เข้า ความรู้กลับไปหาอาจารย์หมด เอามาเขียนไว้เพื่อเล่าสู่
    กันฟัง เรื่องนิพพานมีหรือนิพพานสูญ ถ้าท่านประสงค์จะทราบจริง ก็ลองปฏิบัติ
    ตามท่านสอนดูบ้าง
    เผื่อวาสนาบารมีท่านพอได้พอถึง ท่านอาจได้วิมุตติญาณทัสสนะ
    และพบพระนิพพานด้วยตนเองจะได้คลายสงสัย สำหรับท่านที่เจริญกรรมฐานกองอุปสมา-
    นุสสติอยู่แล้ว จงอย่าสนใจแต่คิดถึงพระนิพพาน จงปฏิบัติตามแนววิชชาสามนี้ด้วยท่านจะ
    พบความชื่นใจตามที่ท่านตั้งใจไว้
    ขอยุติอุปสมานุสสติไว้แต่เพียงนี้ ส่วนเรื่องที่เล่ามาในที่นี้ขอให้ถือว่าเป็นนิทาน
    หรือความฝันก็แล้วกัน จนกว่าท่านจะได้เองแล้วจึงค่อยถือเอาเป็นเรื่องจริงจัง

    พรหมวิหาร ๔

    พรหมวิหาร แปลว่า ธรรมเป็นที่อยู่ของพรหม คำว่า พรหม แปลว่า ประเสริฐ
    เป็นอันได้ความว่า คุณธรรม ๔ อย่างนี้ เป็นคุณธรรมที่ทำผู้ประพฤติปฏิบัติให้เป็นผู้ประเสริฐ
    คือเป็นมนุษย์ประพฤติธรรม ๔ ประการนี้ ก็เป็นมนุษย์ผู้ประเสริฐโดยคุณธรรม ถ้าตายจาก
    มนุษย์ก็เป็นเทวดาผู้ประเสริฐโดยบุญญาธิการ คือ ไปเกิดบนชั้นพรหม นอกจากความประเสริฐ
    โดยธรรมในสมัยที่เป็นมนุษย์แล้ว ท่านว่าคุณธรรม ๔ ประการนี้ ยังให้อานิสงส์เป็นความสุขแก่
    ผู้ปฏิบัติถึง ๑๑ ประการ ตามที่ท่านกล่าวไว้ในวิสุทธิมรรคดังต่อไปนี้
    ๑. สุขัง สุปฏิ นอนหลับเป็นสุข เหมือนนอนหลับในสมาบัติ
    ๒. ตื่นขึ้นก็มีความสุข มีอารมณ์แช่มชื่นหรรษา ไม่มีความขุ่นมัวในใจ
    ๓. นอนฝัน ก็ฝันเป็นมงคล มิฝันเห็นสิ่งลามก
    ๔. เป็นที่รักของ มนุษย์ เทวดา พรหม และภูติผีทั้งปวง
    ๕. เทวดาและพรหม จะรักษาให้ปลอดภัยจากอันตรายทั้งปวง
    ๖.จะไม่มีอันตรายจากเพลิง ไม่มีอันตรายจากสรรพาวุธและยาพิษ
    ๗. จิตจะตั้งมั่นในอารมณ์สมาธิเป็นปกติ สมาธิที่ได้ไว้แล้วจะไม่เสื่อม จะเจริญ
    รุดหน้ายิ่งขึ้น
    ๘. มีดวงหน้าผุดผ่องเป็นปกติ
    ๙. เมื่อจะตาย จะมีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ สติมิฟั่นเฟือน
    ๑๐. ถ้ามิได้บรรลุมรรคผลในชาตินี้ เพราะทรงพรหมวิหาร ๔ นี้ ผลแห่งการ
    เจริญพรหมวิหาร ๔ นี้ ก็จะส่งผลให้ไปเกิดในพรหมโลก
    ๑๑. มีอารมณ์แจ่มใส จิตใจปลอดโปร่ง ทรงสมาบัติ วิปัสสนา และทรงศีลบริสุทธิ์
    ผุดผ่องเป็นปกติ
    รวมอานิสงส์การทรงพรหมวิหาร ๔ มี ๑๑ ประการด้วยกัน ต่อนี้ไปจะได้นำหัวข้อ
    พรหมวิหาร ๔ มากล่าวไว้เพื่อศึกษา

    หัวข้อพรหมวิหาร ๔
    ๑. เมตตา ความรัก อันเนื่องด้วยความปรารถนาดี ไม่มีอารมณ์เนื่องด้วยกิเลสที่
    นับเนื่องในกามารมณ์ร่วมในความรู้สึก
    ๒. กรุณา ความสงสารปรานี มีความประสงค์จะสงเคราะห์ให้พ้นทุกข์
    ๓. มุทิตา ความมีจิตชื่นบาน พลอยยินดีเมื่อผู้อื่นได้ดี คือไม่มีจิตริษยาเจือปน
    ๔. อุเบกขา มีอารมณ์เป็นกลางวางเฉย ไม่เอียงซ้ายเอียงขวา คือทรงความเป็นธรรม
    คำอธิบายในพรหมวิหาร ๔ นี้ ไม่น่าจะต้องอธิบายมาก เพราะเป็นธรรมประจำใจชินหู
    อยู่เป็นปกติแล้ว จะขอย้ำเพื่อความแน่ใจไว้สักเล็กน้อย ตามธรรมเนียมของนักเขียน จะไม่
    เขียนเลยก็จะเสียธรรมเนียม
    ๑. เมตตา แปลว่า ความรัก หมายถึงความรักที่มุ่งเพื่อปรารถนาดี แต่ต้องไม่หวังผล
    ตอบแทนใด ๆ จะเป็นผลตอบแทนทางกำลังใจ หรือวัตถุก็ตาม จึงจะตรงกับคำว่า เมตตาในที่
    นี้ ถ้าทำไปแล้วหวังตอบแทนบุญคุณด้วย ด้วยการแสดงออกของผู้รับเมตตาหรือหวังตอบแทน
    ด้วยวัตถุ ความต้องการอย่างนั้นถ้าปรากฏในความรู้สึกเป็นเมตตาที่เจือด้วยอารมณ์กิเลส
    ไม่ตรงต่อเมตตาในพรหมวิหารนี้
    ลักษณะของเมตตา ควรสร้างความรู้สึกคุมอารมณ์ไว้ตลอดวันว่า เราจะหวังสร้าง
    ความเมตตาสงเคราะห์ เพื่อนที่เกิด แก่ เจ็บ ตาย ที่มีในโลกนี้ทั้งมวล เราจะไม่สร้างความ
    สะเทือนใจความลำบากกายให้เกิดมีขึ้นแก่คนและสัตว์ เพราะความสุขความทุกข์ของคน
    และสัตว์ทั้งมวล เราถือว่าเป็นภาระของเราที่จะต้องสงเคราะห์หรือสนับสนุน ความทุกข์มีขึ้น
    เราจะมีทุกข์เสมอด้วยเขา ถ้าเขามีสุขเราจะสบายใจด้วยกับเขา มีความรู้สึกรักคนและสัตว์
    ทั่วโลกเสมอด้วยรักตนเอง
    ๒. กรุณา แปลตามศัพท์ว่า ความสงสาร หมายถึงความปรานี ปรารถนาให้เขา
    พ้นทุกข์ ความสงสารปรานีนี้ ก็มีอาการที่ไม่หวังผลตอบแทนเช่นเดียวกับเมตตา มุ่งหน้า
    สงเคราะห์คนและสัตว์ที่มีความทุกข์อยู่ ให้หมดทุกข์ตามกำลังกาย กำลังปัญญา กำลัง
    ทรัพย์เท่าที่จะทำได้
    ลักษณะกรุณา ก็คือการสงเคราะห์ในการให้ปันด้วยวัตถุ ตามกำลังที่พอจะช่วยได้
    ถ้าวัตถุของเรามีไม่พอ ก็พยายามแสวงหามาสงเคราะห์โดยธรรม คือหามาโดยชอบธรรม
    ทั้งนี้หมายความว่า ถ้าผู้ที่จะสงเคราะห์ขัดข้องทางวัตถุ ถ้าตนเองแสวงหามาได้ไม่พอเหมาะ
    พอดี ก็แนะนำให้ผู้หวังสงเคราะห์ไปหาใครคนใดคนหนึ่งที่คิดว่าเขาจะสงเคราะห์ เป็นการ
    ชี้ช่องบอกทาง ถ้าเขาขัดข้องด้วยวิชา ก็สงเคราะห์บอกกล่าวให้รู้ตามความรู้ ถ้าตนเองรู้ไม่ถึง
    ก็แนะนำให้ไปหาผู้ที่เราคิดว่ามีความรู้พอบอกได้
    ๓. มุทิตา แปลตามศัพท์ว่า มีจิตอ่อนโยน หมายถึงจิตที่ไม่มีความอิจฉาริษยาเจือปน
    มีอารมณ์แจ่มใสแช่มชื่นตลอดกาลเวลา เห็นใครได้ดีก็ผ่องใส ชื่นอกชื่นใจ มีอาการคล้ายกับ
    ตนพลอยได้ด้วย ทั้งนี้อารมณ์ของท่านที่มีมุทิตาประจำใจนั้น คิดอยู่เสมอว่า ถ้าคนทั้งโลกมี
    โชคดีด้วยทรัพย์และมีความเฉลียวฉลาดเหมือนกันทุกคนแล้ว โลกนี้จะเต็มไปด้วยความสุข
    และเยือกเย็น ปราศจากภยันตรายทั้งมวล คิดยินดี ให้ชาวโลกทั้งมวลเป็นผู้มีโชคดีตลอดวัน
    และคืน อารมณ์พลอยยินดีนี้ต้องไม่เนื่องเพื่อผลตอบแทน ถ้าหวังการตอบแทนแม้แต่เพียง
    คำว่า ขอบใจ อย่างนี้เป็น มุทิตาที่อิงกิเลส ไม่ตรงต่อมุทิตาในพรหมวิหารนี้ ความแสดง
    ออกถึงความยินดีในพรหมวิหารไม่หวังผลตอบแทนด้วยกรณีใด ๆ ทั้งสิ้น
    ๔. อุเบกขา แปลว่าความวางเฉย ไม่ใช่เฉยตลอดกาล ใครจะเป็นอย่างไรก็เฉย
    ความวางเฉยในพรหมวิหารนี้ หมายถึงเฉยโดยธรรม คือทรงความยุติธรรมไม่ลำเอียงต่อ
    ผู้ใดผู้หนึ่ง ที่จะต้องได้รับทุกข์หรือรับสุข พร้อมกันนั้นก็มีอารมณ์ประกอบด้วยความเมตตา
    ปรานี พร้อมที่จะสงเคราะห์ในเมื่อมีโอกาส
    พรหมวิหาร ๔ นี้ ขออธิบายเพียงย่อ ๆ ไว้เพียงเท่านี้ เพราะเป็นธรรมที่ชินหู
    ชินใจของทุก ๆ คนอยู่แล้ว

    (จบพรหมวิหาร ๔ เพียงเท่านี้)


    </td></tr></tbody></table>
    .
     
  7. ปรมิตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    404
    ค่าพลัง:
    +528
    ขอบคุณครับๆท่าน

    ท่านเห็นว่านิพพาน เป็นภพ สินะครับ มีวิมาน มีรูป มีร่าง
    เหมือนหลวงพ่อฤาษีสอนไว้เช่นนั้น สายมโนมยิทธิช่ายป่ะครับ

    ได้ประโยชน์มากครับ ผมชอบใจคำสอนเกี่ยวกับการปฏิบัติที่ทำให้ สมาธิก้าวหน้า
    ขอบคุณมากๆครับ
     
  8. ustharos Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2009
    โพสต์:
    72
    ค่าพลัง:
    +70
    กามภพ สถานที่รองรับสัตว์โลกที่ข้องอยู่ในกาม
    รูปภพ สถานที่รองรับสัตว์โลกที่ข้องอยู่ในรูปฌาน
    อรูปภพ สถานที่รองรับสัตว์โลกที่ข้องอยู่ในอรูปณาน
    ภพทั้งสาม สถานที่รองรับสัตว์โลกที่มีกิเลส อวิชชา ตัณหา อุปาทาน

    "นิพพาน" ย่อมรองรับพระนิพพาน ผู้ซึ่ง ไม่ข้องอยู่ในกาม ไม่ข้องอยู่ในรูปฌาน ไม่ข้องอยู่ในอรูปฌาน เป็นผู้ไม่มีกิเสล ตัณหา อุปาทาน อวิชชาของภพทั้งสามปรุงแต่งไม่ได้แล้ว พ้นแล้วจากอาณัติแห่งพระไตรลักษณ์ คือ ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา สถิต ณ พระนิพพาน

    ถ้าอยากรู้ อยากเห็น อยากสัมผัส "พระนิพพาน" จงปฏิบัติตามธรรมของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คือ ศีล สมาธิ ปัญญา อธิศีล อธิจิต อธิปัญญา ปฐมมรรค มรรคจิต มรรคปัญญา โคตรภู พระโสดา พระสกิทาคา พระอนาคา พระอรหัต, คุณธรรมเหล่านี้เท่านั้นที่รู้ และเห็นพระนิพพานได้
     
  9. มาร- เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    262
    ค่าพลัง:
    +487
    ( )

    คำตอบผม อยู่ในวงเล็บครับ

    ปล. เราๆ ท่านๆ ที่สุดแล้วก็คงต้องไปเจอกันที่พระนิพพาน

    สุดแท้ แต่ ใครจะช้า ใครจะเร็ว

    ใครไปถึงก่อนก็ส่งกระแสแห่งความเมตตา อันไม่มีประมาณ มาโปรดผมด้วยนะครับ











    แล้วตกลงพระนิพพาน คือ อะไรหรอครับ.........
     
  10. มหา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    827
    ค่าพลัง:
    +973
    ..............................................
    ..............................................
    ..............................................


    (เข้ามามองดูเหล่าพระโพธิสัตว์นักปราชญ์ ต่างให้ความเห็นแล้ว

    "นายเม"สมาชิกลูกกระจ๊อก สติปัญญา เขลา ตัวหนึ่ง เข้ามาแล้ว เมียงมองไปรอบๆ
    และไม่กล้าเขียนอะไรลงไปอีก ได้เพียงแค่มองตาปริบๆ แล้ว .... จากไปอย่างเงียบกริบ )
     
  11. Phanudet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    8,434
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +15,646
    "นิพพานไม่ใช่อัตตา นิพพานเป็นปัจจัตตัง" ครูบาเจ้าชัยวงศาพัฒนา
     
  12. visutto เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    3,541
    ค่าพลัง:
    +1,167
    ไม่เกิด ไม่ดับ ไม่มีภพ นอกเหนือการคาดหมายใดๆ..

    ไม่ตั้งอยู่ในสภาวะบัญญัติใดๆ ทั้งสิ้น..
     
  13. vera_p เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2009
    โพสต์:
    260
    ค่าพลัง:
    +588
    ท่านปรมิตรสหายแห่งเราวีระ

    นิพพานของคนมีไม่เท่ากัน การมองเห็นนิพพานก็มีไม่เท่ากัน

    เรื่องนี้เรารู้กันแค่ 2 คนเน๊าะ แฮะๆ
     
  14. vera_p เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2009
    โพสต์:
    260
    ค่าพลัง:
    +588
    ท่านภานุเดช ก็เอากะเขาด้วยเหรอ

    อ้างที่มาที่ไปเสร็จสรรพที่เดียว เหอๆ
     
  15. neung48 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    466
    ค่าพลัง:
    +457
    นิพานก็คือใจ ของเรานี่เอง เพราะไม่ว่ามันจะคือสภาวะธรรมหรือเมืองมันก็สร้างมาจากใจของเรา ใจเราเท่านั้นที่จะก่อให้เกิดนิพาน นิพานไม่อาจเช้าใจได้จากตัวหนังสือ ไม่ว่าจะอ่านพระไตรปิฏกมากี่รอบก็ตาม หรือจะนั่งสมาธิได้ถึงขั้นไหนก็ไม่อาจได้ถึงนิพาน เพราะมันอยู่ในใจอยู่แล้ว เพียงแค่สัมผัสให้ได้ ว่าอะไรคือนิพานสำหรับตนเองเท่านี้ก็ได้นิพานแล้ว
     
  16. ดั่งมายา Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    42
    ค่าพลัง:
    +51


    ก็เหมือนตาบอดคลำช้างค่ะ เมื่อไม่รู้ก็ว่ากันไปต่างๆนาๆ. ไม่ค่อยมีประโยชน์สำหรับข้าเจ้า. ส่วนใครที่คิดได้อย่างนี้ว่า พระพุทธเจ้าได้มอบดวงตาให้กับคนตาบอดคลำช้างแล้ว(คือหนทางแห่งการปฎิบัติ) เพื่อให้มองเห็นพระนิพพาน ส่วนคนตาบอดเมื่อได้ดวงตาแล้วไม่ใช้มองช้างให้ทั่วตัว รังแต่ไม่ได้ประโยชน์ แล้วจะรู้รายระเอียดของช้างได้อย่างไร. อีกอย่างเมื่อมองเห็นช้างจนทั่วตัวแล้วบอกให้เพื่อนตาบอดคนอื่นทราบ จะอธิบายสวยหรูขนาดใหน เขาเหล่านั้นก็ไม่ทราบอยู่ดี . ฉนั้นใครอยากเห็นก็ต้องปฎิบัติค่ะ ที่พระพุทธเจ้าอธิบายให้ฟังทั้งหมดไม่ได้เพื่อบอกต่อหรอกนะค่ะ จุดประสงค์หลักก็เพื่อให้เรา ปฎิบัติ ให้ได้ยินแล้วเกิดอาการอยากรู้พื่อจะได้ ปฎิบัติ ค่ะ



    รับปรึกษาฟรีค่ะ
     
  17. applegreen เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2008
    โพสต์:
    233
    ค่าพลัง:
    +555
    ต้องไปอ่าน คิริมานนทสูตร อาจจะพอให้เข้าใจได้
     
  18. อภิภู Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    177
    ค่าพลัง:
    +82
    ผมคิดว่า ไม่น่าจะใช่เมือง ใช่ภพ แบบสวรรค์ หรือ พรหมโลก หรือที่มีลักษณะคล้ายกัน เพราะถ้าเป็นเมือง เป็นภพ ก็ยังมีตัวเรา ตัวเขา ซึ่งมันก็จะขัดกันเองกับคำสอน เรื่องหลัก อนัตตาอีก ดังนั้นถ้าคิดตามเหตุและผล ไม่ได้คิดด้วยใจที่โน้มเอียงไป ในสิ่งที่เราอยากให้เป็น ผมว่ายังไง นิพพานก็ ไม่มีทางเป็นภพ เป็นเมืองไปได้อย่างแน่นอน
     
  19. dabos29 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    57
    ค่าพลัง:
    +53
    อนุโมทนาครับ
    แม้นบุคคลสามารถนับใบไม้ในป่าได้ครบถ้วนก็ไม่มีประโยชน์มากพอ
    หากแต่บุคคลรู้จักใบไม้ในป่าเพียงกำมือเดียว
    แล้วนำมาปรับประยุกต์ให้เหมาะแก่จริตตน
    เพื่อการปฏิบัติให้เกิดประโยชน์ย่อมเจริญได้ ฉันใด
    ธรรมะที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้เห็นแล้วมีมากมาย
    แต่ที่จำเป็นสำหรับการเดินทางพระองค์บอกให้แล้ว
    ขอเพียงมี ศรัทธา วิริยะ และปัญญา การปฏิบัติก็เกิดผลตามเหตุนั้นเอง
    ขอให้มีความสุขทุกท่าน
     
  20. kengkenny เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    2,878
    ค่าพลัง:
    +2,500
    ผมรู้แต่ว่าเป็นสภาวะไม่มีอะไรบัญญัติได้ ของจิตใจ
     

แชร์หน้านี้