_/|\_ ขอบคุณที่ตอบครับ.....
น่าเป็นห่วง หลักสูตรพุทธศาสนา จากบางอาจารย์ สอนตายแล้วสูญ ( หลักสูตร ม.1- ม.6)
ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย WebSnow, 24 มกราคม 2006.
?
-
ไม่เห็นด้วย (คิดว่าสอนผิด)
0 vote(s)0.0% -
เห็นด้วย (คิดว่าสอนถูก)
0 vote(s)0.0%
หน้า 89 ของ 104
-
คนที่ตั้งใจดื่มเหล้า ตั้งใจเล่นการพนัน ตั้งใจลักขโมยฯลฯ
ก็ได้ฌาน๔แล้วทั้งนั้นสิครับ
ยังไม่เคยลงมือปฏิบัติสมาธิกรรมฐานภาวนาให้จิตรวมลงเป็นสมาธิจิตตั้งมั่นไม่หวั่นไหวเลยสักครั้ง
อย่ามองอะไรๆเป็นของง่ายๆขนาดนั้น ถ้าง่ายขนาดนั้นจริงๆพระพุทธองค์ก็ไม่ต้องทรงออกผนวชแล้ว
พระองค์ทรงเสวยสุขอยู่ในพระราชวัง ก็ทรงตรัสรู้ได้เช่นกัน
ต้องทรงออกผนวชเพื่อลำบากพระวรกายไปทำไม
ถ้าขานนาคเข้ามาเพื่อสืบต่อพระพุทธศาสนาแล้ว พิจารณาองค์ธรรมได้เพียงแค่นี้....โอ้ว
;aa24 -
อ้างอิง:
<TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ เตชปญฺโญ ภิกขุ
มีฌาน ๔ แล้วแต่เหาะไม่ได้นี่นา เลยตกตึกตาย
ฌาน ๔ ไม่ได้วิเศษวิโสอะไร เป็นเพียงความตั้งใจมั่นคงเท่านั้น
สมาธิ หรือความตั้งใจมั่นนี้ จะมาเป็นพื้นฐานให้เกิดปัญญา
แต่ถ้ามีสมาธิแล้วไม่รู้จักคิดพิจารณา ปัญญาก็ไม่เกิด
จึงได้โดดตึกตายเพราะความผิดหวัง
www.whatami.net เว็บไซต์สำหรับบุคลอัจฉริยะ
</TD></TR></TBODY></TABLE>
ตอบ"คุณธรรมภูต" --> ตั้งใจอย่างนั้นเรียกว่า"เจตนา"ครับ...
ตอบ"คุณเตชปัญโญ" -->...
แล้วจะโดดตึกไปเพื่ออะไร...?
มีสมาธิดี แต่ตั้งจิตและความคิดไว้ไม่ถูก ก็คงเป็นเช่นนั้น
ไม่คิดผิด ก็ไม่ประพฤติผิด... ประพฤติผิดจนเป็นสันดานย่อมคิดผิดอยู่แล้ว...
หมาข้างถนน ถึงไม่มีปัญญา ก็ไม่เคยคิดฆ่าตัวตาย...
เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ไม่อายสัตว์เดรัจฉานบ้างเลยหรือ? -
เอาละสิ........ ผมก็ ม.2 เหอะ เวลาสอบครูก็เอามาจากในหนังสือซะส่วนใหญ่ พอตอบความจริงบางทีมีติ๊กผิดให้ด้วยแหน่ะ (คาดว่านะ)
-
ไม่แน่นะ... เด็กบางคนอาจจะเก่งกว่าอาจารย์เสียอีก -
Namushakamunibutsu เป็นที่รู้จักกันดี
เฮ้อ ผมอุตส่าห์หนีจากคริสต์มาแล้วนะ พวกอ้างไม่มีชาตินี้ชาติหน้า
อันนี้แหละที่ทำให้ระบบเหตุปัจจัยล้มเหลว
ถ้าคุณเป็นพุทธต้องเชื่อพระพุทธเจ้า
ซึ่งมีพระพุทธเจ้ามาช่วยให้มนุษย์พ้นจากมิจฉาทิฏฐิแบบนี้ๆมาแล้วนับไม่ถ้วน
มีคนมากมายปรารถนาซึ่งพุทธภูมิเพื่อมาสั่งสอนคนกิเลสหนาปัญญาเขลา
ได้เกิดมาเจอพระพุทธศาสนาแล้วยังทำอย่างนี้เหรอครับ
เชิญไปศาสนาไซแอนโลจีเลยครับ
เอาให้ลงโลกันตร์ไปให้หมดเลยครับ
พวกที่ล้มเหลวทางด้านวิปัสสนาแล้วอย่าพาลถึงพระสัทธรรมแห่งพระพุทธองค์อีก รับไม่ได้ครับ
ยังมาเจอพวกสัทธรรมปฏิรูปสุดโต่งในพุทธอีก
เฮ้อๆๆ นอกคอกกันเสียจริง ไม่ไหวๆ
กิง อันธพาโล วา กากสูโร วา สุวโจ วา อสิฯ ?
หือพวกสัทธรรมปฏิรูปสุดโต่ง
ชาวเถรวาทและมหายานต้องสามัคคีกันไว้มากๆ พวกนี้แหละ ภัยของพระพุทธศาสนาที่จะเกิดขึ้น ยังดีที่ยังมีพระมหาวุฒิชัย วัชรเมธี และพระอาจารย์เก่งๆอีกหลายท่าน ถ้าอ.เสถียร โพธินันทะยังอยู่คงจะสนุกเนอะ
ปล.แนวคิดนี้เป็นแนวคิดขัดแย้งกับความเป็นศาสนาพุทธ แต่เหมือนแนวคิดของพวกไซแอนโลจี พวกดีแต่ใช้สมาธิเป็นจิตบำบัด ฝึกไม่ได้อภิญญาอะไร
เบื่อครับ ถ้าเป็นอย่างนั้น ผมว่าไม่ต่างอะไรกับสวดสายประคำของคาทอลิกเลยนะครับ
พุทธแท้ๆประเสริฐสุดแล้วครับ
ไม่มีศาสนาไหนเทียบได้ เพราะเราไม่ใช่ศาสนา
แต่เป็นสัจจธรรม จะผ่านไปนานแค่ไหนก็ยังคงความเป็นจริงอยู่
สหาโลกธาตุที่เต็มไปด้วยความเสื่อมทั้งห้า ศาสนาพุทธจะเป็นเช่นนี้ก็ไม่แปลกหรอกครับ ออ ยังเหลือพระศรีอารย์อีกพระองค์ แต่ไม่เป็นไรพระองค์เป็นวิริยะธิกะพุทธเจ้านี่หน่า เปี่ยมด้วยบารมีอยู่แล้ว
ผู้ที่ปรารถนาพุทธภูมิทั้งหลาย ขอท่านตั้งมั่นที่จะเป็นวิริยะธิกะให้มากๆกันเถอะ
เพื่อกอบกู้สรรพสัตว์ให้ได้มากๆครับ -
ตอบข้อข้องใจ โดย เตชปญฺโญ ภิกขุ
(พุทธแท้ๆประเสริฐสุดแล้วครับ
ไม่มีศาสนาไหนเทียบได้ เพราะเราไม่ใช่ศาสนา
แต่เป็นสัจจธรรม จะผ่านไปนานแค่ไหนก็ยังคงความเป็นจริงอยู่)
*****************
ขออภัยถ้าจะถามตรงๆว่า "แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่า พุทธแท้ๆนั้นเป็นอย่างไร? และมีอะไรเป็นเครื่องตรวจสอบว่าคำสอนใดเป็นพุทธแท้ คำสอนใดเป็นพุทธเทียม?" -
เรียนถาม ท่านภิกขุ ผู้แต่งหนังสือเรียนค่ะ
เมื่อยังไม่มีใครเข้าใจหลักธรรมได้อย่างแท้จริง พิสูจน์ก็ยังไม่ได้ ว่า เป็นตามนั้น จริง ควรหรือไม่คะ ที่จะนำความได้เราได้รับมาจริงๆ ถ่ายทอดต่อยังรุ่นหลัง เพื่อให้เด็กเหล่านั้น ได้คิดเอง ตัดสินใจเอง ไม่ใช่ว่า มีใครมาชี้ทางให้เขาเห็นเพียงแค่นั้น
พราหมณ์ แยกออกจากพุทธลำบาก เพราะตอนสมัยเริ่มต้น พราหมณ์ก็มีอยู่ก่อนแล้ว การที่มันจะมีอิทธิพล ต่อคำสอน ต่อคำบอกเล่าต่อๆ กันมา ก็ไม่ถือว่าเป็นเรื่องแปลก
แต่... คนในปัจจุบัน ย่อมไม่สามารถไปรู้ถึงความจริง ตั้งแต่สมัยนั้นได้ ว่า อะไรจริงๆ ที่เป็นพุทธแท้ อะไรที่เป็นสิ่งแปลกปลอมอย่างอื่น ไม่มีใครที่สามารถตัดสินจริงๆ ลงไปได้ ก็ไม่มีคนตั้งแต่สมัยนั้นที่ยังอยู่มาชี้แจง ใช่มั้ยคะ
หากเช่นนั้นแล้ว การณ์ที่ยังไม่มีใครรู้จริง ควรหรือไม่คะ ที่จะนำเสนอทั้งหมดทั้งมวล ให้เด็กรุ่นหลัง ได้เรียนรู้ แล้วคิดเอาเอง ตามบุญ ตามกรรมของเขา
ต้องขออภัย หากหนูจะขอแจ้งว่า ไม่เห็นด้วยกับการออกหนังสือเรียนแบบนี้น่ะค่ะ เด็กจะคิดอย่างไร ก็เป็นกำลังความสามารถของเขาเอง ไม่ควรเลยที่จะไปติดสินใจอะไรแทนเขา ไม่ควรเลยที่จะนำสิ่งที่เราคิดว่า ถูกต้องแล้ว ไปให้เขาจำ และเชื่อเช่นนั้น
การสอนจะเป็นอย่างไร ก็แล้วแต่อาจารย์ผู้สอน แต่แค่หนังสือเรียน มันมาอย่างไร ก็ขอให้ไปตามนั้น มิได้หรือคะ เอาแค่หลักๆ จากพระไตรปิฏก อย่าง อริยสัจ 4 พรหมวิหาร 4 ก็น่าจะเพียงพอเสียด้วยซ้ำ
เป็นไปได้หรือไม่เจ้าคะ พระคุณเจ้า? -
แก่นแท้ของพุทธ อยู่ตรงนี้
ละชั่ว ทำดีทำจิตให้บริสุทธิ์ หลุดพ้น...
อันว่าความหมายของอวิชชา
อวิชชาไม่ได้แปลว่า ความไม่รู้ แต่แปลว่าสภาวะรู้ตามธรรมชาติที่ไม่มีสาระแก่นสารอะไรเลยที่จะทำให้ตัวเองหลุดพ้นจากการตกอยู่ใต้อำนาจต่างๆอันจะทำให้จิตตัวเองเป็นอิสระได้
เช่น คนดื่มเหล้าเขามีความรู้เรื่องดื่มเหล้า เขารู้ว่าจะทำอย่างไร ระหว่างเหล้ากับโซดาจึงจะได้รสอร่อยตามกิเกสของตัวเอง แต่หารู้ไม่ว่าตัวเองตกอยู่ใต้กิเกสโดนอวิชชาครอบงำ ทำตามอยากของตัวเองซึ่งไม่มีสาระแก่นสารอะไรเลยที่จะทำให้จิตใจตัวเองเป็นอิสระ
วิชชา คือสภาวะรู้ตามธรรมชาติ ที่มีสาระแก่นสารที่จะทำให้ตัวเองหลุดพ้นจากอำนาจต่างๆจนจิตใจตัวเองมีอิสระ อยู่เหนือดีเหนือชั่วที่จะทำให้ตัวเองหลุดพ้นจากสิ่งเหล่านี้
คุณน้า คุณอาทั้งหลายท่านครับจงพิจารณากันเถิดว่าโดนอวิชชาครอบงำตัวเองโดยไม่รู้ตัวหรือเปล่า
อันว่าเรื่องของ ญานอิทธิฤทธิ์ต่างๆ ล้วนเป็นสิ่งไร้ค่า ซึ่งจะทำให้ตนเองเกิดความลุ่มหลง
สิ่งที่ท่านได้มานั้นเป็นแค่เปลือกของพระพุทธศาสนาเท่านั้นหรืออาจจะไม่ใช้พระพุทธศาสนาเลยก็ได้
มีบางท่านน่ะคิดว่า เราจะยังไม่เชื่อในพุทธศาสนาหรอก เราขอทำญานให้เกิดให้ได้เห็น นรก สวรรค์เสียก่อนจึงจะเชื่อในพระพุทธศาสนาหารู้ไม่ครับว่าท่านดูถูกพระพุทธศาสนาโดยไม่รู้ตัว
พระองค์ท่าน ไม่ทรงสรรเสริญในสิ่งนี้แต่หากเอาสิ่งนี้มาพิจารณาให้เกิดปัญญาต่างหาก
การที่เราจะเชื่อในเรื่องของ นรก สวรรค์ นั้นมิได้สำคัญเท่าไร หรอกครับ แต่การทำให้ตนเองไม่ยึดถืออะไรใดๆเลย หรือคลายการเป็นตัวกูของกู ออกจากใจ ไม่ยึดถือสิ่งใดเป็นของตนนั้นสำคัญกว่า
ffice:eek:ffice" /><O:p></O:p>
การที่จะเป็นพระพุทธศาสนานั้นไม่ได้แปลว่า เห็นนรก สวรรค์ แล้วจึงถือว่าเป็นพระพุทธศาสนา แต่การทำให้ตัวเองสละการยึดถือ การตกอยู่ใต้อำนาจต่างๆ จนจิตมีความอิสระต่างหากจึงจะเป็นพุทธโดยแท้
<O:p></O:p>
การที่เราคุยเฟื่องในเรื่องของสิ่งนี้ล้วนไม่มีแก่นสารอะไรเลยที่จะให้ตัวเองหลุดพ้นจากอำนาจของกิเลส
ส่วนผมน่ะครับ เรื่องญานนี้ผมตัดทิ้งไปเลย เนื่องจากว่าไม่มีแก่นสารจริงๆ
ท่านไม่ได้สอนให้เรากลัวนรก อยากมีวรรค์ แล้วจึงพากันปฏิบัติธรรมกันน่ะ แต่หากว่าให้เกรงกลัวต่อบาป ละอายต่อบาปก็เท่านั้น
ท่านควรจะพิจารณาเอาน่ะครับ
บางคนน่ะครับ ทำแต่สมถกรรมฐาน ไปจนวันตาย ก็ยังไม่หลุดพ้นเพราะมัวแต่ยึดถือ ไม่เคยได้ปล่อยวางอะไรเลย
อันคำว่าโง่ หรือฉลาดนั้นไม่ได้มีโดยจริงกับใครเขา
แต่การที่ตามใจกิเลส ตกอยู่ใต้อำนาจกิเลสเห็นกิเลสเกิดขึ้นมาแล้วไปทำตามกิเลส นี้จึงเรียกได้ว่า "โง่โดยแท้จริง"
อันว่าความฉลาด เมื่อมีกิเลสเกิดขึ้นมา แต่ไม่ทำตามกิเลสไม่ตกอยู่ใต้อำนาจของกิเลส จึงเรียกได้ว่า "ฉลาดโดยแท้จริง"
ท่านจงเข้าใจครับว่า โง่ ฉลาด ไม่ได้เกิดขึ้นกับตัวใครเลยเกิดแต่กับท่านเองส่วนที่ว่าเกิดกับผู้อื่นนั้นเป็นแค่สมมุติเท่านั้นเอง
อันว่าสมมุตินั้นใช้เพื่อบัญญัติให้รู้สิ่งต่างๆ แต่คนชอบหลงไปในสมมุติกันเสียหมด
เช่นเมื่อผมเห็นผู้หญิงสวยน่ะครับ ก็ให้รู้ว่าสวย แต่ใจไม่ไปชอบ ไปหลง ในสิ่งที่ตาเห็นว่าสวยนี่ถึงจะเรียกว่า "รู้สมมุติ"
แต่หากไปชื่นชมกับสิ่งนั้นจนลืมเนื้อลืมตัวนี้เรียกได้ว่า "หลงสมมุติ"
อันว่า ดี และ ชั่ว
สิ่งนี้ทั้งสองสิ่งเหมือนกัน แต่แตกต่างกันมากเพราะทั้งสองสิ่งนี้เกิดจากการกระทำทาง กาย วาจา ใจ
แต่ความดี คือสิ่งที่กระทำแล้วเกิดประโยชน์ต่อผู้อื่น และตนเอง อันมีแต่ความสุขความสบายใจเพื่อให้จิตใกล้เคียงความบริสุทธิ์
แต่ความชั่วนั้นเป็นสิ่งที่กระทำแล้วไม่เป็นประโยชน์ต่อตัวเองและผู้อื่นมีแต่จะนำความเดือดร้อนใจมาให้เป็นสิ่งที่ไม่ควรกระทำ
พระพุทธเจ้าท่านทรงสรรเสริญให้ละชั่ว ทำความดี แต่ท่านไม่ให้ยึดเอาความดีเป็นของๆ เรา
การกระทำความดีและชั่วนั้นล้วนมาจากการกระทำด้วย กาย วาจา ใจมัน สักแต่ว่าเป็นการกระทำเท่านั้นเอง
ส่วนที่เรียกว่าความดี และชั่วนั้นเกิดจากการที่เราพร้อมใจกันสรรเสริญว่า "สิ่งนั้นดีสิ่งนั้นไม่ได้"
การจะอยู่เหนือความดีและชั่วนั้นให้เห็นว่าทั้งสองสิ่งนี้เป็นแค่การกระทำ มิใช้ยกตนข่มท่านน่ะ
จงใช้สติปัญญาพิจารณา
ศาสตร์มนุษย์ ของมนุษย์โดยมนุษย์(โดยมนุษย์ ก็คือ ก่อนที่พระพุทธเจ้าจะถูกสรรญเสริญว่า เป็นพระพุทธเจ้านั้น ท่านก็คือมนุษย์)เพื่อมนุษย์
เป็นสิ่งที่มนุษย์ทุกคนควรกระทำกันควรศึกษาให้เกิดความเข้าใจโดยแท้จริง
คือการลายการยึดถืออัน "ตัวกูของกู"
พระองค์ท่านทรงสอนให้เจริญหลักธรรมของท่าน ดังที่ว่า "เมื่อใดเห็นธรรมมะ เมื่อนั้นเห็นเรา "
มิได้ทรงให้กราบให้สักการะบูชาพระพุทธรูปน่ะ เพราะพุทธแท้น่ะ มิใช่ลักธิบูชาเทพเจ้า มัวแต่ขอพรอ้อนวอนแต่สั่งสักสิทธิ์ลุ่มหลงมัวเมาตกอยู่ใต้อำนาจความศรัทธาที่ผิด ๆ
แต่การกราบนั้นเป็นการลดทิฏฐิของตัวเอง อัน "ตัวกูของกู"
ท่านลองพิจารณาดูสิ เมื่อท่านการได้แม่กระทั้งรูปปั้น แล้วการที่ท่านจะน้อมเอาคำสั่งสอนของคนอื่นมาปรุบปรุงตัวเอง มีหรือที่ท่านจะทำไม่ได้
พวกเราทั้งหลายนี้ อยู่กับภาพมายา หลอกตัวเองไปวันๆ อันว่าตัวกูของกูนั้นแหละ แท้ที่จริงแล้วตัวเราไม่ได้มีอยู่จริงเลยคนอื่นก็เหมือนกัน แต่มีอยู่โดยสมมุติ สมมุติโดยตัวตน ทุกคนไม่ได้มีตัวตนอยู่จริงแต่มายึดเอาเท่านั้นเอง ทุกคนอยู่กับความว่างเปล่าแต่ไม่เคยค้นหาเลยไม่รู้อะไรเลยครับ
อย่างเช่นน่ะครับ ผมมีแม่อย่างนี้ แท้จริงแล้วแม่ไม่มี แต่มีโดยสมมุติ แล้วก็มีตัวตนโดยสมมุติเมื่อท่านตายไป(ตายในทางโลกน่ะ คือสภาวะร่างกายที่จิตวิญญาณนี้ไม่สามารถอยู่ได้ในร่ายกายได้เท่านั้นเอง) สมมุติก็จบลงก็คือไม่มีจริง เช่นตัวผมเองก็ไม่มีจริง แต่มีโดยสมมุติเท่านั้นเอง
กระผมใช้ความรู้จากญาน ฌานนี้ มาพิจารณาจนรู้แจ้งในสัจจธรรม โดยแจ่มชัดในเรื่องของสมมุตินี้
ท่านทั้งหลายจงทำตัวเองให้ "ตาย ก่อนตายเถิด"เมื่อท่านตายไปแล้วจะได้ไม่มีใครตาย
แต่ก่อนผมก็ห้อยพระน่ะครับ หากแต่ว่าทำสิ่งนี้แล้ว เรียกได้ว่าเป็นผู้ประมาทในตัวเอง มัวแต่อิงไสยศาสตร์ มัวแต่จะให้สิ่งเหล่านั้นช่วยเราให้หลุดพ้น โดยแทนที่ตัวเองจะเจริญ สติ ศีล ปัญญาภาวนาเสีย จะได้ไม่ประมาท
ดังคำของพระองค์ที่ว่า "ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน แต่ตนนี้มิใช่ตน"
เป็นเพราะว่า ตนนั้นไม่ได้มีอยู่จริง แต่คำว่า "ตน"นั้นใช้เรียกแทนตัวเองเฉยๆแต่เราไม่ยึดถือเอาเป็นตัวเราของเรา
กระผมเองภาวนาเสียได้ฌาน ก็ได้สิ่งวิเศษความสามารถของฌานมา แต่มิได้ยึดเอาเป็นของเราแต่เอาสิ่งนั้นมาพิจารณาเป็นปัญญาให้หลุดพ้น
”เมื่อใดที่ไม่ละในสิ่งที่ได้มานั้น เมื่อนั้นมิใช่พุทธศาสนาแต่เป็นลักธิบูชาสิ่งนั้นอยู่”
จงทำตนให้อยู่เหนือดี เหนือชั่วกันเถิดครับท่านทั้งหลาย
ที่ผมอธิบายมานี้กระผมพิมพ์พิม์ประการใดขอท่านทั้งท่านอโหสิกรรมให้ด้วย และกระผมขอขอบพระคุณหลักธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ของพระพุทธทาส ที่ทำให้ผมเกิดปัญญานำหลักทำของท่านมาพิจารณาจนเกิดความแจ่มแจ้งในใจ
อย่าลืมครับ ศีล สติ สมาธิ ปัญญาต้องเสมอกันครับ เมื่อขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งคือขาดความประมาทในตนเองผมเองก็ยังขาดสติที่มั่งคงอยู่เหมือนกันต้องไม่ประมาทกันน่ะครับ
เมื่อตายไปแล้วจะต้องต่อสู้กับมรณสตินั้น เป็นเรื่องจริงน่ะครับเพราะเมื่อตายจะต่อต้านกับสติน่ะ ระวังไว้ให้ดีครับ ตนนั้นเป็นที่พึ่งแห่งตน ตนนั้นมิใช่ตน
เวลาทำสมาธิอย่าลืม ภาวนามรณสติกันน่ะครับ คือภาวนาว่าทุกลมหายใจเราต้องตายอย่างแน่นอน
เอาอย่างนี้น่ะครับ อย่ามัวเอาแต่ความสงบ เอาญาน หรือฌานเพราะสิ่งนี้จะมาของเขาเองครับผม
<O:p“แก่นแท้ของพระพุทธศาสนา คือ ทำเพื่อละความเป็นตัวกูของกู ทำเพื่อให้จิตหลุดพ้นน่ะ อย่าหลงในปัญญาผู้อื่น ปัญญาตัวเอง หรือแม้แต่ปัญญาของพระพุทธเจ้า ทำเพื่อละน่ะจำไว้ ไม่ใช่มีแล้วไม่ละ อย่าเอามาบูชา มิเช่นนั้นจะเป็นลัดธิบูชาไปเสีย”
ขออนุโมทนาสาธุครับ ^.^
ตั้มครับ
หากท่านอยากคุยกับผมและคุณอาอ้อง ชัชวาลเพ่งวรรธนะ
ได้ที่ หมวด อภิญญา / สมเด็จหลวงปู่โต / เรื่องเล่าของข้าพเจ้าเมื่อสวดพระคาถาชินบัญชร โดยคุณอาอ้อง : ชัชวาล เพ่งวรรธนะ
อยู่กระทู้บนสุดอะครับ
เราพร้อมจะช่วยท่านทั้งหลายให้เดินเพื่อละ -
อนุโมทนาครับ....กรรมใดผู้ใดก่อ...เดี๋ยวกรรมนั้นก็คืนสนองเองครับ...หนีไม่พ้น
-
โถ คิดแล้วใจหาย
แต่มันไม่มีอะไรแน่นอน อย่างพระพุทธองค์ทรงสอนจริง
ข้าพเจ้าขอยึด พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เ็ป็นสรณะ
ขอเพียงอย่างเดียว ขอทำหน้าที่บำรุงพระพุทธศาสนา
ตราบเท่าชีวิตจะหาไม่ -
ตอบข้อข้องใจ โดย เตชปญฺโญ ภิกขุ
เรียนถาม ท่านภิกขุ ผู้แต่งหนังสือเรียนค่ะ
(เมื่อยังไม่มีใครเข้าใจหลักธรรมได้อย่างแท้จริง พิสูจน์ก็ยังไม่ได้ ว่า เป็นตามนั้น จริง ควรหรือไม่คะ ที่จะนำความได้เราได้รับมาจริงๆ ถ่ายทอดต่อยังรุ่นหลัง เพื่อให้เด็กเหล่านั้น ได้คิดเอง ตัดสินใจเอง ไม่ใช่ว่า มีใครมาชี้ทางให้เขาเห็นเพียงแค่นั้น)
---------------------------------
พระพุทธเจ้าจะสอนเฉพาะสิ่งที่เราทุกคนสามารถสัมผัสหรือพิสูจน์ได้จริงเท่านั้น (ซึ่งก็ได้แก่เรื่อง ทุกข์และการดับทุกข์ของจิตใจเราในปัจจุบัน)
เรื่องที่เราทุกคนไม่สามารถสัมผัสหรือพิสูจน์ไม่ได้ พระพุทธเจ้าจะไม่สอน (ซึ่งได้แก่เรื่อง นรกใต้ดิน สวรรค์บนฟ้า ผี เทวดา นางฟ้า การเวียนว่ายตายเกิด สิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ เป็นต้น)
พุทธศาสนาที่แท้จริงจะมีหลักการเดียวกับหลักวิทยาศาสตร์ของสมัยนี้ คือมีการศึกษาอย่างเป็นระบบ, ศึกษาจากสิ่งที่มีอยู่จริง, ศึกษาโดยใช้เหตุใช้ผลที่สมเหตุสมผลที่สุด, และจะเชื่อก็ต่อเมื่อได้มีการพิสูจน์หรือทดลองจนเห็นผลอย่างแน่ชัดแล้วเท่านั้น
ดังนั้นเราจึงควรสอนให้เด็กสมัยนี้รู้จักกับวิทยาศาสตร์ทางจิตใจกันบ้าง จะได้ไม่งมงายอย่างเช่นที่ชาวพุทธเราเป็นกันอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งไม่มีประโยชน์อย่างแท้จริงเลย
*****************************
(พราหมณ์ แยกออกจากพุทธลำบาก เพราะตอนสมัยเริ่มต้น พราหมณ์ก็มีอยู่ก่อนแล้ว การที่มันจะมีอิทธิพล ต่อคำสอน ต่อคำบอกเล่าต่อๆ กันมา ก็ไม่ถือว่าเป็นเรื่องแปลก
แต่... คนในปัจจุบัน ย่อมไม่สามารถไปรู้ถึงความจริง ตั้งแต่สมัยนั้นได้ ว่า อะไรจริงๆ ที่เป็นพุทธแท้ อะไรที่เป็นสิ่งแปลกปลอมอย่างอื่น ไม่มีใครที่สามารถตัดสินจริงๆ ลงไปได้ ก็ไม่มีคนตั้งแต่สมัยนั้นที่ยังอยู่มาชี้แจง ใช่มั้ยคะ)
----------------------------------
พุทธศาสนาไม่เหมือนศาสนาอื่น พุทธศาสนาเป็นศาสนาของอัจฉริยะบุคคลระดับสุดยอด (คือพระพุทธเจ้า) ดังนั้นพระพุทธองค์จึงได้ทรงวางหลักการที่จะให้ผู้ศึกษาไม่ว่าจะเป็นสมัยใด สามารถที่จะใช้หลักการนี้มาศึกษา จนสามารถเข้าใจและเห็นแจ้งคำสอนที่แท้จริงได้ด้วยตัวเอง โดยไม่ต้องเชื่อจากใครๆทั้งสิ้น (หลักกาลามสูตร)
ถ้าเราเพียงยอมรับเหตุผล ยอมรับความจริงอย่างไม่บิดพริ้ว ก็ไม่ยากเลยที่จะมาศึกษาให้เกิดความเข้าใจและเห็นแจ้งพุทธศาสนาที่แท้จริงได้ (อย่างเช่น ยอมรับหรือไม่ว่า ทุกสิ่งที่เกิดขึ้น ต้องเกิดขึ้นมาจากเหตุ? หรีอ ยอมรับหรือไม่ว่า แม้ตำราพระไตรปิฎก ก็อาจถูกแก้ไขเปลี่ยนแปลงให้ผิดเพี้ยนก่อนที่จะมาถึงเราได้? หรือยอมรับหรือไม่ว่า แม้ครูอาจารย์ของเราก็อาจมีความเห็นผิดอยู่ก่อนแล้วก็ได้? เป็นต้น ถ้าไม่ยอมรับก็แสดงว่าไม่ยอมรับเหตุผล ไม่ยอมรับความจริง แล้วจะพบความจริงได้อย่างไร?)
-----------------------------
หากเช่นนั้นแล้ว การณ์ที่ยังไม่มีใครรู้จริง ควรหรือไม่คะ ที่จะนำเสนอทั้งหมดทั้งมวล ให้เด็กรุ่นหลัง ได้เรียนรู้ แล้วคิดเอาเอง ตามบุญ ตามกรรมของเขา
ต้องขออภัย หากหนูจะขอแจ้งว่า ไม่เห็นด้วยกับการออกหนังสือเรียนแบบนี้น่ะค่ะ เด็กจะคิดอย่างไร ก็เป็นกำลังความสามารถของเขาเอง ไม่ควรเลยที่จะไปติดสินใจอะไรแทนเขา ไม่ควรเลยที่จะนำสิ่งที่เราคิดว่า ถูกต้องแล้ว ไปให้เขาจำ และเชื่อเช่นนั้น
----------------
ตำราเรียนนี้เป็นหลักการวิทยาศาสตร์ 100 % ควรหรือเปล่าที่เราจะให้เด็กเรียน? หรือจะให้เด็กเรียนแต่เรื่องไสยศาสตร์ ที่มีแต่เรื่องงมงาย ไร้สาระ ทำให้ประเทศชาติไม่เจริญอย่างที่เป็นกันอยู่?
คำว่า "ถูกต้อง" นี้ อยากจะถามว่า ถูกต้องตามอะไร? ตามตำราหรือ? หรือตามความเชื่อของสังคม? หรือตามครูอาจารย์ที่ตนเองนับถือ? ถ้าผิดจากนี้ถือว่า ผิด หรือ? ซึ่งนี่ยังไม่ใช่ความถูกต้องที่แท้จริง
คำว่าถูกต้องนี้ ต้องถูกต้องตามที่มันเป็นจริงตามธรรมชาติ ที่เราทุกคนสามารถสัมผัสได้ จึงจะจัดว่าเป็นความถูกต้องที่แท้จริง ไม่มีทางผิด และใครๆก็โต้แย้งด้วยเหตุผลไม่ได้
ดังนั้น เราจึงควรสอนให้เด็กมีความเชื่อที่ถูกต้อง คือเชื่อในสิ่งที่ได้พิสูจน์จนเห็นผลอย่างแน่ชัดแล้วเท่านั้น ซึ่งนี่ไม่ใช่การตัดสินใจแทนเด็ก แต่ว่าเป็นการเปิดดวงตาของเด็กให้สว่างแจ่มแจ้ง แล้วเด็กก็จะรู้เอง เห็นเอง และเดินได้ด้วยตนเอง โดยไม่ต้องมีใครมาจูงจมูก
*************************
การสอนจะเป็นอย่างไร ก็แล้วแต่อาจารย์ผู้สอน แต่แค่หนังสือเรียน มันมาอย่างไร ก็ขอให้ไปตามนั้น มิได้หรือคะ เอาแค่หลักๆ จากพระไตรปิฏก อย่าง อริยสัจ 4 พรหมวิหาร 4 ก็น่าจะเพียงพอเสียด้วยซ้ำ
เป็นไปได้หรือไม่เจ้าคะ พระคุณเจ้า?
--------------------------
จากหลักกาลามสูตรข้อนึงว่าไว้ว่า "อย่าเชื่อเพียงเพราะเหตุสักว่า มีตำราอ้างอิง" ซึ่งนี่ก็คือจุดเริ่มต้นในการสอนให้เด็กตาสว่าง หรือมีดวงตาเห็นธรรม เพื่อที่จะได้รู้จักแยกแยะว่าควรศึกษาเรื่องใด ไม่ควรศึกษาเรื่องใด และควรเชื่อเรื่องใด ไม่ควรเชื่อเรื่องใด
เรื่อง อริยสัจ ๔ คือหัวใจที่ต้องศึกษาก่อน โดยใช้หลักกาลามสูตรมาตรวจสอบ ส่วนเรื่อง พรหมวิหาร ๔ นี้เป็นเรื่องทีหลังที่ไม่สำคัญเท่า อริยสัจ ๔ ต่อเมื่อเข้าใจอริยสัจ ๔ แล้ว เรื่องพรหมวิหาร ๔ ก็จะพลอยเข้าใจอย่างง่ายดายในภายหลังเอง
กระบวนการสอนของสมัยนี้มันผิดพลาดไปหมด เอาหน้าไว้หลัง เอาหลังไว้หน้า เอาเรื่องที่ไม่สำคัญมาสอนบ้าง เอาเรื่องที่สำคัญเร่งด่วนมาสอนแค่ผิวเผินไม่ให้ความสำคัญบ้าง เป็นต้น จึงทำให้เด็กไม่รู้เรื่องพุทธศาสนาอย่างถูกต้องอย่างเช่นในปัจจุบัน
ดังนั้นเราจึงต้องปฏิวัติการสอนพุทธศาสนากันใหม่ ให้เป็นระบบอย่างวิทยาศาสตร์ จึงจะทำให้เด็กสมัยใหม่นี้มีดวงตาและมีแนวทางที่ถูกต้องกันต่อไป
www.whatami.net - เว็บไซต์สำหรับบุคคลอัจฉริยะ -
สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม.... กรรมดี ผลดี กรรมชั่ว ผลชั่ว ไม่มีกรรม ไม่มีผล , ธรรม(สัจจะธรรม) มีอยู่โดยธรรมชาติ เป็นไปโดยธรรมชาติ อยู่ที่จิตเราจะเข้าถึงธรรมชาติแห่งธรรมที่มีอยู่ได้มากน้อยเพียงใด ....
-
เห็นด้วยครับ ที่จะต้องช่วยกันผลักดัน ให้คำสั่งสอนในพระพุทธศาสนา ถูกต้อง
เพื่อไม่ให้มีการบิดเบือนพระธรรมคำสั่งสอน.....ไม่ว่าจะโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์
หรือจงใจก็ดี....... -
Namushakamunibutsu เป็นที่รู้จักกันดี
อุทเฉท<wbr>ทิฏฐิ เอ๋ย
ไม่พ้นโลกันตร์หรอก
ทุกอย่างบอกอยู่แจ่มแจ้งแล้วว่า มีการเวียนว่าย
ยังจะมาฉุดให้พระพุทธศาสนาถอยหลังลงคลองไปอีก
ถ้าเชื่อในเหตุปัจจัยจริง การที่ไม่มีการเวียนว่ายตายเกิดเนี่ย
ระบบมันพังหมดเลยนะ รู้มั้ยครับ
ผุดมาจากโลกันตร์หรือไงครับ เดี๋ยวได้ลงอีกรอบครับ
รอไปอีก ๑ พุทธันดรแล้วกัน ขอให้โชคดีในช่องว่างของจักรวาล
โถ ยังจะพูดได้หนอ เกิดมาสังขารปรุงแต่งต่างกันก็เป็น พีชนิยาม+กรรมนิยามแล้วครับ ไม่ต้องบอกว่ามาจากพ่อแม่ครับ การที่ได้รับกรรมพันธุ์เด่น-ด้อย ก็ขึ้นกับผลกรรมแล้วครับ ไม่ต้องบอกว่าพ่อแม่เลี้ยงแย่ ได้พ่อแม่แบบนั้นก็เป็นผลของกรรมแล้วครับ อิทัปปัจยตา+กฏแห่งกรรม จึงจะสมบูรณ์แท้
คิดอุตริเอง แล้วยังจะพาเด็กๆเป็นมิจฉาทิฏฐิอีก
อย่างว่าครับ ยุคนี้เทวาลงมาเยอะ
และ "สัตว์นรก" ก็หลุดมาเยอะเช่นกัน
สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม
ลักเพศย่อมเป็นไปตามกฎ เชิญไปสลดที่อื่นครับ
ขอให้มีความสุขกับโลกันตร์อัปยศสมบัตินะครับ
พวกอุทเฉททิฏฐิ พาคนอื่นลงเหวด้วย
-
Namushakamunibutsu เป็นที่รู้จักกันดี
นรกอะไรอยู่ใต้ดินครับ
สวรรค์อะไรอยู่บนฟ้า ศึกษามายังมั่วเลย โถ วิปลาสแท้
นรกอยู่ใจกลางของโลกธาตุต่างหาก สวรรค์ก็เช่นกัน
พุทธแท้ๆที่มีเรื่องเวียนว่ายตายเกิด
ก็ดึงศรัทธาชาวตะวันตกมาเป็นจำนวนมากมายแล้วหละครับ
ดูอย่าง วัชรยาน สิครับ ได้ชาวอเมริกามาเท่าไหร่แล้ว
ดูท่านดาไลลามะเป็นตัวอย่างครับ
จักรวาลวิทยาของพุทธนะครับ
ไม่ต่างอะไรกับวิชาฟิสิกส์เลย เหนือกว่าด้วยซ้ำ
คุณดูถูกพระพุทธศาสนามากเกินไปแล้วนะครับ
<link rel="File-List" href="file:///C:%5CDOCUME%7E1%5CPeaceful%20Spirit%5CLocal%20Settings%5CTemp%5Cmsohtml1%5C01%5Cclip_filelist.xml"><!--[if gte mso 9]><xml> <w:WordDocument> <w:View>Normal</w:View> <w:Zoom>0</w:Zoom> <w:punctuationKerning/> <w:ValidateAgainstSchemas/> <w:SaveIfXMLInvalid>false</w:SaveIfXMLInvalid> <w:IgnoreMixedContent>false</w:IgnoreMixedContent> <w:AlwaysShowPlaceholderText>false</w:AlwaysShowPlaceholderText> <w:Compatibility> <w:BreakWrappedTables/> <w:SnapToGridInCell/> <w:ApplyBreakingRules/> <w:WrapTextWithPunct/> <w:UseAsianBreakRules/> <w:DontGrowAutofit/> <w:UseFELayout/> </w:Compatibility> <w:BrowserLevel>MicrosoftInternetExplorer4</w:BrowserLevel> </w:WordDocument> </xml><![endif]--><!--[if gte mso 9]><xml> <w:LatentStyles DefLockedState="false" LatentStyleCount="156"> </w:LatentStyles> </xml><![endif]--><style> <!-- /* Font Definitions */ @font-face {font-family:SimSun; panose-1:2 1 6 0 3 1 1 1 1 1; mso-font-alt:宋体; mso-font-charset:134; mso-generic-font-family:auto; mso-font-pitch:variable; mso-font-signature:3 135135232 16 0 262145 0;} @font-face {font-family:"Angsana New"; panose-1:2 2 6 3 5 4 5 2 3 4; mso-font-charset:0; mso-generic-font-family:roman; mso-font-pitch:variable; mso-font-signature:16777219 0 0 0 65537 0;} @font-face {font-family:"\@SimSun"; panose-1:2 1 6 0 3 1 1 1 1 1; mso-font-charset:134; mso-generic-font-family:auto; mso-font-pitch:variable; mso-font-signature:3 135135232 16 0 262145 0;} /* Style Definitions */ p.MsoNormal, li.MsoNormal, div.MsoNormal {mso-style-parent:""; margin:0cm; margin-bottom:.0001pt; mso-pagination:widow-orphan; font-size:12.0pt; mso-bidi-font-size:14.0pt; font-family:"Times New Roman"; mso-fareast-font-family:SimSun; mso-bidi-font-family:"Angsana New";} a:link, span.MsoHyperlink {color:blue; text-decoration:underline; text-underline:single;} a:visited, span.MsoHyperlinkFollowed {color:purple; text-decoration:underline; text-underline:single;} @page Section1 {size:612.0pt 792.0pt; margin:72.0pt 90.0pt 72.0pt 90.0pt; mso-header-margin:36.0pt; mso-footer-margin:36.0pt; mso-paper-source:0;} div.Section1 {page:Section1;} --> </style><!--[if gte mso 10]> <style> /* Style Definitions */ table.MsoNormalTable {mso-style-name:ตารางปกติ; mso-tstyle-rowband-size:0; mso-tstyle-colband-size:0; mso-style-noshow:yes; mso-style-parent:""; mso-padding-alt:0cm 5.4pt 0cm 5.4pt; mso-para-margin:0cm; mso-para-margin-bottom:.0001pt; mso-pagination:widow-orphan; font-size:10.0pt; font-family:"Times New Roman"; mso-fareast-font-family:"Times New Roman"; mso-bidi-font-family:"Times New Roman"; mso-ansi-language:#0400; mso-fareast-language:#0400; mso-bidi-language:#0400;} </style> <![endif]-->[FONT="]ผู้ที่กล่าวว่า พระอภิธรรมไม่ใช่พระพุทธพจน์ หรือ กล่าวว่าไม่ใช่คำสอนของพระพุทธเจ้า[/FONT][FONT="]ผู้นั้นชื่อว่ากล่าวตู่พระพุทธเจ้า คัดค้านพระญาณของพระพุทธเจ้า[/FONT][FONT="]ดังข้อความที่อรรถกถากล่าวไว้ในพระอภิธรรมปิฎก[/FONT][FONT="]
[FONT="]พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๑[/FONT] [/FONT][FONT="]หน้าที่ [/FONT][FONT="]63
[/FONT][FONT="]ผู้คัดค้านพระอภิธรรมชื่อว่า ทำลายชินจักร[/FONT][FONT="]
[/FONT][FONT="]บุคคลเมื่อคัดค้านพระอภิธรรม ชื่อว่า[/FONT][FONT="]
[/FONT][FONT="]ย่อมให้การประหารในชินจักรนี้[/FONT][FONT="]
[/FONT][FONT="]ย่อมคัดค้านพระสัพพัญญุตญาณ[/FONT][FONT="]
[/FONT][FONT="]ย่อมหมิ่นเวสารัชชญาณของพระศาสดา[/FONT][FONT="]
[/FONT][FONT="]ย่อมขัดแย้งบริษัทผู้ต้องการฟัง[/FONT][FONT="]
[/FONT][FONT="]ย่อมผูกเครื่องกั้นอริยมรรค[/FONT][FONT="]
[/FONT][FONT="]จักปรากฏในเภทกรวัตถุ ๑๘ อย่าง อย่างใดอย่างหนึ่ง[/FONT][FONT="]
[/FONT][FONT="]เป็นผู้ควรแก่อุเขปนิยกรรม นิยสกรรม ตัชชนียกรรม[/FONT][FONT="]
[/FONT][FONT="]เพราะทำกรรมนั้น[/FONT][FONT="]
[/FONT][FONT="]จึงควรส่งเธอไปว่า เจ้าจงไป[/FONT][FONT="]"จงเป็นคนกินเดนเลี้ยงชีพเถิด[/FONT][FONT="]"ดังนี้.[/FONT] -
NAME AND FORM
ON one occasion the Blessed One entered the assembly hall
and the brethren hushed their conversation. When they had greeted
him with clasped hands, they sat down and became composed. Then
the Blessed One said: "Your minds are inflamed with intense
interest; what was the topic of your discussion?"
And Sariputta rose and spake: "World-honored master, were
the nature of man's own existence. We were trying to grasp the
mixture of our own being which is called Name and Form. Every
human being consists of conformations, and there are three groups
which are not corporeal. They are sensation, perception, and the
dispositions; all three constitute consciousness and mind, being
comprised under the term Name. And there are four elements, the
earthy element, the watery element, the fiery element, and the
gaseous element, and these four elements constitute man's bodily
form, being held together so that this machine moves like a puppet.
How does this name and form endure and how can it live?"
Said the Blessed One: "Life is instantaneous and living is
dying. Just as a chariot-wheel in rolling rolls only at one point of the
tire, and in resting rests only at one point; in exactly the same way,
the life of a living being lasts only for the period of one thought. As
soon as that thought has ceased the being is said to have ceased. As
it has been said: 'The being of a past moment of thought has lived,
but does not live, nor will it live. The being of a future moment of
thought will live, but has not lived, nor does it live. The being of the
present moment of thought does live, but has not lived, nor will it
live.'
"As to Name and Form we must understand how they interact.
Name has no power of its own, nor can it go on of its own impulse,
either to eat, or to drink, or to utter sounds, or to make a movement.
Form also is without power and cannot go on of its own impulse. It
has no desire to eat, or to drink, or to utter sounds, or to make a
movement. But Form goes on when supported by Name, and Name
when supported by Form. When Name has a desire to eat, or to
drink, or to utter sounds, or to make a movement, then Form eats,
drinks, utters sounds, makes a movement.
"It is as if two men, the one blind from birth and the other a
cripple, were desirous of going traveling, and the man blind from
birth were to say to the cripple as follows: 'See here! I am able to
use my legs, but I have no eyes with which to see the rough and the
smooth places in the road.' And the cripple were to say to the man
blind from birth as follows: 'See here! I am able to use my eyes, but
I have no legs with which to go forward and back.' And the man
blind from birth, pleased and delighted, were to mount the cripple
on his shoulders. And the cripple sitting on the shoulders of the man
blind from birth were to direct him, saying, 'Leave the left and go to
the right; leave the right and go to the left.'
"Here the man blind from birth is without power of his own,
and weak, and cannot go of his own impulse or might. The cripple
also is without power of his own, and weak, and cannot go of his
own impulse or might. Yet when they mutually support one another
it is not impossible for them to go. In exactly the same way Name is
without power of its own, and cannot spring up of its own might,
nor perform this or that action. Form also is without power of its
own, and cannot spring up of its own might, nor perform this or that
action. Yet when they mutually support one another it is not
impossible for them to spring up and go on.
"There is no material that exists for the production of Name
and Form; and when Name and Form cease, they do not go any
whither in space. After Name and Form have ceased, they do not
exist anywhere, any more than there is heaped-up music material.
When a lute is played upon, there is no previous store of sound; and
when the music ceases it does not go any whither in space. When it
has ceased, it exists nowhere in a stored-up state. Having previously
been non-existent, it came into existence on account of the structure
and stern of the lute and the exertions of the performer; and as it
came into existence so it passes away. In exactly the same way, all
the elements of being, both corporeal and non-corporeal come into
existence after having previously been non-existent; and having
come into existence pass away.
"There is not a self residing in Name and Form, but the
cooperation of the conformations produces what people call a man.
Just as the word 'chariot' is but a mode of expression for axle,
wheels, the chariot-body and other constituents in their proper
combination, so a living being is the appearance of the groups with
the four elements as they are joined in a unit. There is no self in the
carriage and there is no self in man. O bhikkhus, this doctrine is
sure and an eternal truth, that there is no self outside of its parts.
This self of ours which constitutes Name and Form is a combination
of the groups with the four elements, but there is no ego entity, no
self in itself.
"Paradoxical though it may sound: There is a path to walk on,
there is walking being done, but there is no traveler. There are deeds
being done, but there is no doer. There is a blowing of the air, but
there is no wind that does the blowing. The thought of self is an
error and all existences are as hollow as the plantain tree and as
empty as twirling water bubbles.
"Therefore, O bhikkhus, as there is no self, there is no
transmigration of a self; but there are deeds and the continued effect
of deeds. There is a rebirth of karma; there is reincarnation. This
rebirth, this reincarnation, this reappearance of the conformations is
continuous and depends on the law of cause and effect. Just as a seal
is impressed upon the wax reproducing the configurations of its
device, so the thoughts of men, their characters, their aspirations are
impressed upon others in continuous transference and continue their
karma, and good deeds will continue in blessings while bad deeds
will continue in curses.
"There is no entity here that migrates, no self is transferred
from one place to another; but there is a voice uttered here and the
echo of it comes back. The teacher pronounces a stanza and the
disciple who attentively listens to his teacher's instruction, repeats
the stanza. Thus the stanza is reborn in the mind of the disciple. The
body is a compound of perishable organs. It is subject to decay; and
we should take care of it as of a wound or a sore; we should attend
to its needs without being attached to it, or loving it. The body is
like a machine, and there is no self in it that makes it walk or act,
but the thoughts of it, as the windy elements, cause the machine to
work. The body moves about like a cart. Therefore 'tis said:
"As ships are blown by wind on sails,
As arrows fly from twanging bow,
So, when the force of thought directs,
The body, following, must go.
"Just as machines are worked by ropes,
So are the body's gear and groove;
Obedient to the pull of mind,
Our muscles and our members move.
"No independent 'I' is here,
But many gathered mobile forces;
Our chariot is manned by mind,
And our karma is our horses.
"He only who utterly abandons all thought of the ego escapes
the snares of the Evil One; he is out of the reach of Mara. Thus says
the pleasure-promising tempter:
"So long as to those things
Called 'mine, and 'I' and 'me'
Your hungry heart still clings-
My snares you cannot flee.
"The faithful disciple replies:
"Naught's mine and naught of me,
The self I do not mind!
Thus Mara, I tell thee,
My path thou canst not find.
"Dismiss the error of the self and do not cling to possessions
which are transient, but perform deeds that are good, for deeds are
enduring and in deeds your karma continues.
"Since, then, O bhikkhus, there is no self, there can not be any
after life of a self. Therefore abandon all thought of self. But since
there are deeds and since deeds continue, be careful with your
deeds. All beings have karma as their portion: they are heirs of their
karma; they are sprung from their karma; their karma is their
kinsman; their karma is their refuge; karma allots beings to
meanness or to greatness.
"Assailed by death in life last throes
On quitting all thy joys and woes
What is thine own, thy recompense?
What stays with thee when passing hence?
What like a shadow follows thee
And will Beyond thine heirloom be?
"'Tis deeds, thy deeds, both good and bad;
Naught else can after death be had.
Thy deeds are thine, thy recompense;
They are thine own when going hence;
They like a shadow follow thee
And will Beyond thine heirloom be.
"Let all then here perform good deeds,
For future weal a treasure store;
There to reap crops from noble seeds,
A bliss increasing evermore." -
from
THE GOSPEL OF BUDDHA by PAUL CARUS
Internet Archive: Free Download: The Gospel Of Buddha -
Namushakamunibutsu เป็นที่รู้จักกันดี
ใช้ภาษาไทยเถอะครับ พี่
ผมขี้เกียจแปล ปวดหัว
(ต่อจากข้อความที่ 1793)
พระไตรปิฎก ต้องอ่านแล้วพิจารณาด้วยปัญญา
หากขาดหลักโยนิโสมนสิการก็คิดว่าขัดแย้งกัน
ปัญญากับสัญญาจงแยกให้ถูกด้วย
พวกกรรมฐานล้มเหลวก็งี้แหละ พวหใบลานเปล่า
ไปตั้งลัทธิขึ้นมาเองเถิด อย่าได้ทำให้พระพุทธศาสนาแปดเปื้อน
ไม่ต่างอะไรกับพวกสังกราจารย์เลย ตานั้นมั่วไว้ปฏิรูปพราหมณ์
แต่นี่มั่วไว้ทำลายศาสนาพุทธโดยตรง
รู้จักอจินไตย4ประเภทมั้ยครับ
ทำความเข้าใจไว้ด้วยว่า พวกปทปรมะ (บัวเหล่าที่4)
ไม่มีวันสัมผัสแม้แต่เปลือกของวิสัยเหล่านั้น
ไปเข้าศาสนาไซแอนโลยีเถิด ขอร้อง อย่ามาอ้างตัวเป็นชาวพุทธอยู่เลย
ตายแล้วสูญอะ งี่เง่าสุดๆ สิ้นเหตุปัจจัยปรุงแต่งไปเลย
กลายเป็นการทอดลูกเต๋า มั่วๆ ถัวไถ
แล้วคนที่เกิดมาพิการหละ สาเหตุเกิดจากอะไร
ใช่ครับ โครโมโซมผิดปกติ แล้วต้นกำเนิดของเหตุโดยเชิงซ้อนเข้าไป
เป็นเหตุในเหตุๆๆๆๆ มันก็ผลของกรรมชัดๆ
คิดแบบปลาวาฬเกยตื้นมันก็ไม่ไปไหนหรอก
มันต้องคิดเหตุปัจจัยในเหตุปัจจัยซ้อนกันไป
พูดว่าตายแล้วสูญอย่างนี้ ก็เท่ากับปรามาสพระพุทธเจ้า
ปรามาสพระอริยสงฆ์ พระสุปฏิปันโนทั้งหลาย
มันไม่ต่างอะไรกับเด็กโง่ล้างครูหรอกครับ
ไปเข้าศาสนาใหม่เลย ศาสนาไซแอนโลยี ผมสนับสนุน
อย่ามาทำให้ศาสนาพุทธแปดเปื้อนมลทินอีกเลย
ไม่ใช่สิ พวกคุณไม่ใช่ใบลานเปล่า
แต่เป็นใบลานที่เปื้อนปฏิกูล ที่ล้นออกมาจากสมองไง
มันหมักหมมไว้นานแล้ว กลายเป็นแก๊สเน่าเสีย ดันให้มันทะลักออกมา
ส่งกลิ่นเหม็นคละคลุ้งชวนคลื่นไส้แก่คนทั้งหลาย
มีแต่พวกสัตว์เดรัจฉานที่ชอบกินปฏิกูลเท่านั้นแหละ
ที่มารุมสูบความน่าสะอิดสะเอียนนี้
ไม่มีอะไรครับ นอกจากมาขอร้องว่า
ให้เลิกยุ่งกับศาสนาพุทธเสียที ปลอมมาจากศาสนาอื่นเปล่าเนี่ย
มาทำลายศาสนาพุทธ แผนนี้มีมานานแล้วแหละ
แกล้งบิดเบือนศาสนาพุทธเล่น หวังจะทำลายศาสนาพุทธเนี่ย
พวกคุณก็เข้าใจได้แต่ความเป็นโลกียะชั้นล่างๆหละครับ
สูงกว่านี้ ยันโลกุตตระก็ไม่ได้เข้าใจอะไรหรอก -
ขอตอบท่านเตชปญฺโญ ภิกขุ
ถูกต้องและเห็นด้วยว่า พระพุทธเจ้าทรงสอนสิ่งที่พิสูจน์ได้จริงเท่านั้น
ซึ่งพระพุทธเจ้าได้ตรัสสอนถึงการบรรลุเป็นพระอรหันต์ตามแนวปฏิบัติสุขุมลุ่มลึก ๔ ลักษณะ
๑. สุกขวิปัสสโก พระอรหันต์ผู้บรรลุอย่างแห้งแล้ง มิได้มีส่วนของอภิญญาสมาบัติ หรือความเป็นทิพย์ใด ๆ
๒. เตวิชโช พระอรหันต์ผู้มีวิชชา ๓ ได้แก่ ปุพเพนิวาสานุสติญาณ จุตูปปาตญาณ และอาสวักขยญาณ
๓. ฉฬภิญโญ พระอรหันต์ผู้พร้อมด้วย อภิญญา ๖ เช่นหูทิพย์ ตาทิพย์ ...และข้อสำคัญคือ อาสวักขยญษณ
๔. ปฏิสัมภิทัปปัตโต พระอรหันต์ผู้ถึงพร้อมด้วยปฏิสัมภิทาญาณ ๔ อย่าง
เรื่องที่ท่านเตชปญฺโญ ภิกขุ กล่าวว่า พระพุทธเจ้าไม่ได้สอน ได้แก่ นรก สวรรค์ เทวดา นางฟ้า กการเวียนว่ายตายเกิด เป็นต้น
ท่านยังมิได้พิสูจน์ตามที่พระพุทธองค์ตรัสเลย (วิธีปฏิบัติในการเป็นพระอรหันต์ แบบใดแบบหนึ่ง นอกเหนือจากสุกขวิปัสสโก)
ทำไมค้านเสียอย่างนั้นเล่า ทั้ง ๆ ที่พระองค์ตรัสสอนแนวการปฏิบัติอย่างมีระบบ มีขั้นตอน รอเพียงให้ท่านพิสูจน์เท่านั้น
วิทยาศาสตร์ ก็มีการพิสูจน์หลักสมมติฐานด้วยการลงมือปฏิบัติ เพื่อหาข้อเท็จจริง
หากท่านไม่ปฏิบัติตามแนวทางที่เป็นไปเพื่อสร้างการสัมผัสสิ่งละเอียด ด้วยจิตใจที่ละเอียด
แต่ตัดสินด้วยวาจากรรม จะเรียกว่าเป็นแนทางวิทยาศาสตร์อย่างที่ท่านอ้างถึงได้อย่างไร
**************
พระพุทธเจ้าทรงเป็นพระศาสดาผู้เลิศ ทรงเป็นอัจฉริยะบุคคล
ดังนั้นหลักกาลามสูตร พระองค์ทรงสอนไม่ให้เชื่อก่อนที่จะพิสูจน์ มิได้ทรงงสอนว่า "อย่าเชื่อเพราะเหตุนี้...เหตุนี้...."
ส่วนตำราพระไตรปิฎก ถ้าท่านไม่แน่ใจว่าจะถูกแก้ไข เปลี่ยนแปลง ทำไมไม่สืบค้นประวัติความเป็นมาดู
เพราะเหตุใด ทำไม นักประวัติศาสตร์ นักวิชาการ นักศึกษาค้นคว้า จึงให้การยอมรับ
ทั้ง ๆ ที่พวกเขาเหล่านั้นศึกษาด้วยกระบวนการทางวิทยาศาสตร์
จริงอยู่ว่ามีความเป็นไปได้ที่พระไตรปิฎกอาจจะไม่ถูกต้อง (ถ้าท่านหวังอย่างนั้น) แล้วท่านจะใช้อะไรเป็นเกณฑ์ตัดสินล่ะ
ว่านี่เป็นส่วนที่พระพุทธเจ้าตรัสสอน อันนี้ไม่ใช่ (ไม่ว่าท่านตอบอย่างไร โปรดพิจารณาดูว่าคำตอบบ่งชี้ว่า
ท่่านคิดเอาเองด้วยปัญญาที่ขาดการพิสูจน์หรือไม่ อย่างน้อยเรื่องที่ท่านบอกว่า พระพุทธเจ้าไม่ได้ตรัส ไม่ได้สอน
ท่านก็ยังไม่ได้ศึกษา ค้นคว้า ทดลอง พิสูจน์ ตามที่พระพุทธองค์ตรัสมิใช่หรือ)
**************
นั่นน่ะสิ ถูกต้องเพราะท่านบอกนักเรียนว่าถูกต้องหรืิอ ถ้าท่านไม่ปรารถนาจะเสียเวลาพิสูจน์ ใยต้องปิดกั้นการเรียนรู็ของผู้อื่นเล่า
ในเมื่อพระพุทธองค์ทรงสอนแนวทางที่ทุกคนสามารถปฏิบัติได้ สัมผัสได้ การที่ยังไม่ได้พิสูจน์ ไม่ได้แปลว่าไม่มี หรือไม่ถูกต้องนี่น่า
เราจึงควรสอนให้เด็กมีความเชื่อที่ถูกต้อง คือ เชื่อในสิ่งที่เขาได้พิสูจน์ ปฏิบัติตามแนวพระดำรัสของพระพุทธเจ้าแล้วเท่านั้น มิใช่ปิดกั้นกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ด้วยการตัดสินใจของบุคคลใดบุคคลหนึ่ง
**************
พระองค์ไม่ได้ตรัสสอนว่า "อย่าเชื่อ..." แต่ทรงตรัสให้ "อย่าเพิ่งเชื่อ.." แล้วทำไมท่านตัดสินใจแทนเด็กได้เล่าว่านี่ควรศึกษา นี่ไม่ควรศึกษา
เพราะท่านควรสอนว่า "นี่พระอาจารย์สอนพวกเธออย่างนี้ เพราะพระอาจารย์เข้าใจอย่างนี้
ส่วนบางกลุ่ม บางพวกเชื่อว่าอย่างนี้ อ้างว่าอย่างนี้ อ้างว่าพระพุทธเจ้าตรัสสอนแนวปฏิบัติอย่างนี้
พวกเธอลองไปพิสูจน์ด้วยตนเองเถิด ว่าจะเชื่อพระอาจารย์ หรือ เชื่อเขา"
เพราะคำสอนของท่านก็ยังไม่ควรให้เด็กเชื่อด้วยเช่นกัน แต่ท่านกลับตัดสินใจสอนว่าอย่าไปเชื่อสิ่งเหล่านั้น จงเชื่อสิ่งเหล่านี้
เราจึงต้องปฏิวัติการสอนพระพุทธศาสนากันใหม่ ให้เป็นระบบอย่างวิทยาศาสตร์ ไม่ใช่ให้การตัดสินใจเชื่อ หรือ ไม่เชื่อ ของตนหรือของผู้อื่น เป็นเพียงการนึกเอาเอง โดยปราศจากการพิสูจน์ ตามแนวทางที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้
(ง่าย ๆ แค่ท่านพลิกตำราการปฏิบติในส่วนของกสิณ กองใดกองหนึ่ง แล้วลงมือ ทำจนได้ลำดับขั้นตามวิธี)
ถ้าทำได้แล้วไม่มีผลอย่างที่เขาว่า อันนี้ค่อยปลงใจเชื่อ ว่าไม่ถูกต้อง)
หน้า 89 ของ 104