น้ำตาร่วงจากธรรม โดยพระธรรมวิสุทธิมงคล

ในห้อง 'หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต' ตั้งกระทู้โดย paang, 5 กุมภาพันธ์ 2007.

  1. paang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2005
    โพสต์:
    9,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +34,328
    <TABLE cellSpacing=1 cellPadding=0 width="95%" border=0><TBODY><TR><TD>เรื่อง : หมวดน้ำตาร่วงจากธรรม

    โดยพระธรรมวิสุทธิมงคล
    (หลวงปู่พระมหาบัว ญาณสัมปันโน) วัดป่าบ้านตาด อ.เมือง
    จ.อุดรธานี




    </TD></TR><TR><TD class=text><O:p</O:p

    <O:p</O:p1. (ลูกศิษย์ : หลวงตาเจ้าขาเมตตาสอนการพิจารณาให้ถึงฐานความตายด้วยเจ้าค่ะ)

    2. หลวงตาเมตตาแสดงธรรมไว้ว่า

    ฐานความตายก็อยู่ในนั้นดูเอาตรงนั้นซิ ตายกับเกิดอยู่ในจิตดวงนั้น ตัวจิตไม่เกิดไม่ตายสิ่งแทรกพาให้เกิดให้ตาย เข้าใจหรือเปล่าดูตัวจิตไม่เห็นพิษของจิตจะไม่เห็นพิษของสิ่งเหล่านี้ จิตเป็นภัยเวลานี้เข้าใจหรือเปล่า อย่าว่าจิตเป็นคุณอย่างเดียวนะ ภัยอยู่กับจิตนั่นฟาดตัวจิตเป็นตัวภัยแล้ว ตัวนั้นอยู่ด้วยกันมันก็พังลงไป เข้าใจหรือเปล่าล่ะถ้ายังมายอจิตอยู่เมื่อไรจมนะอย่าว่าไม่บอก เท่านั้นแหละถึงกาลเวลาแล้วปัดหมดเลยไม่มีอะไรเหลือสงวนอะไรไว้นั้นละคือกองมหาพิษมหาภัย

    <O:p</O:p
    เราพูดอย่างนี้แล้วมันก็กระเทือนถึงที่ว่าหลังเขาวัดดอยธรรมเจดีย์ตอนเช้าก่อนจังหันอย่างนี้ จิตมันอัศจรรย์อย่างว่านั่นแหละ อัศจรรย์บ้าอะไรก็ไม่รู้เจ้าของอัศจรรย์เจ้าของน่ะซี โอ้โหทำไมจิตของเราถึงได้สว่างไสวอัศจรรย์เอาขนาดนี้เชียวนา รำพึง เดินจงกรมยืนอยู่มันจ้าไปหมดเลย ทำไมถึงได้อัศจรรย์ขนาดนี้จิตดวงนี้ ๆ นั่นละตัวมหาภัยคือตัวที่ว่าอัศจรรย์นั่น เห็นไหมล่ะ นั่นละธรรมท่านกลัวไปหลงน่ะซีก็เราติดอยู่แล้วหลงอยู่แล้วว่าไง ไม่มีอะไร ๆ ก็มาเอาจุดสุดท้าย นั่นละวัฏจักรเรียกว่าอวิชชาตรงนั้นเอง นั่นละยอดอวิชชา ยอดวัฏจักรวัฏจิต คืออวิชชามันไม่มีอะไรแล้วก็ไปชมเชยตรงนั้น สักเดี๋ยวขึ้นละซี ธรรมท่านเตือนขึ้นมาเพราะว่าที่ว่าสว่างไสวมันมีจุดของมันอยู่นั้น เหมือนตะเกียงเจ้าพายุไส้ตะเกียงเจ้าพายุมันจ้าอยู่นั้น ออกไปข้างนอกมันก็ออกจากไส้ตะเกียงที่สว่างจ้านั่นละตัวสำคัญ

    <O:p</O:p
    เราก็อัศจรรย์ตัวนั้นเอง ขึ้นอุทานในใจเทียวนะ โอ้โหจิตของเราทำไมถึงสว่างไสวอัศจรรย์เอาเสีย เหมือนหนึ่งว่าเหนือโลกเหนือสงสารนั่นเห็นไหมอวิชชาแผลงฤทธิ์เวลาสุดท้ายเห็นไหม เรารู้มันเมื่อไรไม่รู้จะไปหลงอัศจรรย์มันหาอะไร สักเดี๋ยวธรรมะท่านกลัวหลง ท่านก็ผุดขึ้นมาเป็นคำ ๆเราลืมเมื่อไร ถ้ามีจุด จุดไส้ตะเกียงนั่นเองสว่างนี่จุดกับต่อมเป็นไวพจน์ของกันและกัน ใช้แทนกันได้ถ้ามีจุดหรือต่อมแห่งผู้รู้อยู่ที่ไหน นั้นแลคือตัวภพ นั่นเห็นไหมบอกตรงนี้ตัวนี้ตัวภพ ถึงขนาดนั้นยังจับไม่ได้นะ งงไปเลย มีจุดมีต่อม คือตัวนี้เองถึงได้คิดถึงพ่อแม่ครูจารย์มั่ท่านมรณภาพจากไปแล้วนั้นเราไปติดปัญหานี้อยู่บนหลังเขาวัดดอยธรรมเจดีย์ ถ้าท่านยังมีชีวิตอยู่พอกราบเรียนอย่างนี้เท่านั้น ถ้ามีจุดมีต่อมแห่งผู้รู้ที่ไหน นั้นแลคือตัวภพก็จุดนั้นเอง ท่านก็ใส่เปรี้ยงเข้าไปนั้นมันก็พังทันที พอรู้ปั๊บเห็นโทษของมันคอยจะไปอยู่แล้วนี่นะ แต่เราประคองมันไว้นั่นซี

    <O:p</O:p
    นั่นละมหาภัยแท้ตรงนั้นทีเดียวจุดที่รวมแห่งมหาภัยอยู่จุดที่สว่างกระจ่างแจ้งอัศจรรย์เต็มที่ของวัฏจักรของแดนสมมุติอยู่จุดนั้นหมด เราไม่ลืม ตอนเดือนกุมภาฯเผาศพพ่อแม่ครูจารย์มั่นเสร็จแล้วก็ขึ้นบนเขา ติดปัญหาอันนี้ งงไปเลยนะไม่เกิดประโยชน์อะไรเลยธรรมที่ท่านเตือนขึ้นมาแทนที่จะให้เป็นประโยชน์อย่างมหาศาลในเวลานั้น กลับเป็นความหลงมหาศาลเหมือนกัน เอ๊จุดต่อมที่ไหนนา ๆ ก็จุดนั้นน่ะ นั่นละเดือนกุมภา เดือน ๓เผาศพท่านเสร็จแล้วขึ้นบนเขา ไปติดปัญหาอันนี้ ไม่คิดไม่คาดว่าอันนี้เป็นตัวมหาภัยยังว่าเป็นมหาคุณอยู่ เห็นไหมกิเลสหลอก ขนาดว่าตัวมหาภัยมันเสกว่าเป็นมหาคุณเห็นไหม ก็แบกปัญหานี้ไปลืมเมื่อไร ลงจากวัดดอยธรรมเจดีย์ปั๊บขึ้นไปทางอำเภอบ้านผือศรีเชียงใหม่
    <O:p</O:p
    แต่ก่อนศรีเชียงใหม่ยังไม่มีอำเภอ มีแต่อำเภอท่าบ่อ อ.บ้านผือเข้าไปอยู่โน้นลึก ๆ เขาเรียกถ้ำผาดัก จนกระทั่งย้อนกลับมาถึงเวลานี้เข้าอีกก็เป็น๓ เดือนพอดี นี่ที่ติดปัญหาตั้งแต่ขณะนั้นเดือน ๓ เดือน ๖ กลับมา เป็นเวลา ๓ เดือนกลับมาก็ขึ้นที่เก่าอีก แบกปัญหานี้ไป ๓ เดือนกลับลงมา หลังเขานั่นแหละแต่ที่ติดปัญหาอยู่ทางจงกรมข้างกันนั้นกับด้านตะวันตกปัญหานี้จบลงก็อยู่บนหลังเขาในภูเขาลูกเดียวกัน วัดดอยธรรมเจดีย์บทเวลามันจะม้วนเสื่อกันนั้น มันไม่มีละเรื่องกาลสถานที่เวล่ำเวลา จะมายุ่งไม่ได้นะมีเฉพาะธรรมชาตินี้ เวลามันจะประมวลลงมา คือมันไม่มีที่พิจารณาแล้วอะไรมันก็หมดทุกอย่าง ปล่อยหมดแล้ว ยังเหลืออยู่อันเดียวนี้เท่านั้นโลกธาตุนี้ว่างไปหมดปล่อยไปหมดวางไปหมดเลย ยังเหลืออันจุดอันต่อมนี้ เห็นไหมล่ะจึงเรียกว่ามหาภัยอยู่จุดนี้
    <O:p</O:p
    ทีนี้มันก็ประมวลมาซิที่นี่ อะไร ๆ มันก็ไม่มีแล้วจิตใจก็มาพิจารณาอยู่จุดนี้ ลงถึงที่ว่า จิตดวงเดียวนี้ทำไมเป็นได้หลายอย่างนักน้าแผ่ทั่วโลกธาตุก็จิตดวงนี้ คือมันถอนเข้ามาหมดแล้วมาอยู่จุดเดียวนี้มันก็พูดได้สนิทล่ะซี อะไร ๆ มันก็รู้ไปหมด ๆ แล้วรู้ไปตรงไหนเปลี่ยนแปลงไปตรงนั้นเดี๋ยวว่าอันนั้นดีอันนี้ชั่ว มันพรรณนามา ม้วนเข้ามา ๆจิตดวงเดียวนี้ทำไมจึงเป็นได้หลายอย่างนักหนาน้า ไม่อยู่เป็นสุข มันจับจุดได้นะมันหากรู้พลิกอย่างนั้นพลิกอย่างนี้ตามความละเอียดของมัน จับจนได้ ๆถึงขั้นมันละเอียดพอ ๆ กัน ขั้นนั้นก็คือมหาสติมหาปัญญานั่นเองจะเป็นอะไรไปมันก็ประมวลเข้ามา ๆ จับจุดของจิต กำลังเอาจิตนี้เป็นผู้ต้องหาที่นี่นะ
    <O:p</O:p
    จิตดวงนี้ทำไมเป็นได้หลายอย่างนักน้า เดี๋ยวว่าดีแล้วเดี๋ยวว่าชั่ว พลิกออกจากนี้ละ แน่ะมันจับนะที่นี่นะ เดี๋ยวว่าสุขเดี๋ยวว่าทุกข์ คือธรรมดาสมมุติถ้ามีอยู่มากน้อยจะมีสิ่งเหล่านี้ประกอบอยู่กับจิตเป็นประจำทีนี้มันไม่มีที่พิจารณามันก็เข้ามาตรงนี้ละซี เดี๋ยวว่าสุข แล้วเดี๋ยวว่าทุกข์เดี๋ยวว่าผ่องใส เดี๋ยวว่าเศร้าหมอง คือคำว่าสุขว่าทุกข์ว่าผ่องใสเศร้าหมองมันเป็นพอจับได้เท่านั้นนะไม่ได้มาก พอรู้สึกจับได้ เพราะสติก็เป็นมหาสตินี่มันก็ทันกันตลอดเวลา มันทำไมถึงเป็นได้หลายอย่างนักจิตนี้ทีนี้เข้ามาหาผู้ต้องละที่นี่ ปล่อยหมดแล้วเข้ามาหาผู้ต้องหา มาวินิจฉัยคือมันวินิจฉัยจริง ๆ ว่าอะไรมันถึงกัน ๆเพราะมหาสติมหาปัญญาอย่างละเอียดซึมซาบทีเดียวมหาสติมหาปัญญาขั้นสุดยอดกลายเป็นซึมซาบไปเลย ซ่านไปหมดเลยไม่เป็นวรรคเป็นตอนเหมือนเรายำลาบเหมือนสติปัญญาอัตโนมัตินะสติปัญญาอัตโนมัติมันเป็นวรรคเป็นตอน มันหมุนของมันไปเอง อันนี้ก็หมุนไปเองแต่พอถึงขั้นซึมซาบ ๆ ไปเอง

    <O:p</O:p
    มันก็มาจับจุดนี้มาวินิจฉัยตัวจิตนี้ มันหมดที่พิจารณาแล้วอะไรก็ปล่อยหมดแล้วเหลือแต่อันนี้นิดเดียวที่ปรากฏอยู่กับความรู้นั้นมันก็มาวินิจฉัยเหล่านี้ เดี๋ยวว่าสุข แล้วเดี๋ยวว่าทุกข์ ออกจากอันนี้เดี๋ยวว่าผ่องใส เดี๋ยวว่าเศร้าหมอง มันก็ออกจากนี้ทำไมมันเป็นหลายอย่างนักจิตดวงนี้น่ะ สักเดี๋ยวธรรมท่านก็ผุดขึ้นมา แน่ะอย่างนั้นนะนี่เรียกว่าธรรมเกิด กิเลสเกิดเป็นเครื่องผูกมัด ธรรมเกิดเปิดออกนั่นเรียกว่าธรรมเกิด กิเลสเกิดมันแทรกอยู่ด้วยกัน สักเดี๋ยวขึ้นมาเป็นคำ ๆเหมือนเราพูด ขึ้นมาเป็นคำ ๆ คำว่าเศร้าหมองก็ดี นั่นเวลาจะขึ้นนะ คำว่าผ่องใสก็ดีคำว่าสุขก็ดี คำว่าทุกข์ก็ดี ธรรมเหล่านี้เป็นอนัตตานะ นั่นเวลาตัดกันจริง ๆลงในขั้นอนัตตา ในไตรลักษณ์นี้จะเป็นอะไรขึ้นได้ทั้งนั้นขึ้นบทสุดท้ายขึ้นได้

    ไตรลักษณ์นี่ แต่นี้สำหรับนิสัยเราขึ้นบทอนัตตา ปล่อยให้หมดความหมายว่างั้น<O:p</O:p
    ธรรมเหล่านี้เป็นอนัตตานะ คือความเศร้าหมองก็ดี ความผ่องใสก็ดีความสุขก็ดี ความทุกข์ก็ดี รวมลงมาแล้วเรียกว่าธรรมเหล่านี้เป็นอนัตตาพอว่าเป็นอนัตตาจิตมันก็ตั้งจ่อนิ่งเลย เพราะมันลงในอนัตตาแล้วไม่มีที่ไปแล้วอันนี้เปิดให้หมดหัวอกเลยวันนี้นะ พอเท่านั้นแหละ จิตจะว่าทำงานอะไรอยู่ก็ไม่ใช่เป็นวางเฉยในธรรมขั้นนี้ ไม่ทำการทำงานอะไรเลย จะไปสนใจกับว่าอัตตาก็ดี อนัตตาก็ดีหรือสนใจว่าสุขว่าทุกข์ เศร้าหมอง ผ่องใส ก็ดี ไม่ไป อยู่จุดศูนย์กลางเฉยเฉยด้วยมหาสติมหาปัญญานะ ไม่ได้เฉย ๆ แบบเซ่อ ๆ ทั้งอ้าปากอย่างพวกเรานะ
    <O:p</O:p
    นั่นละถ้าเราจะพูดเป็นแบบโลกก็เรียกว่า ปล่อยบทเผลอแต่นี้มันไม่ได้เผลอ เป็นแต่เพียงวางเฉย ๆ ไว้ มันไม่เผลอไม่ทำอะไรมันก็ผางขึ้นมาเลย อันนี้ก็ว่า อัตตาก็ดี อนัตตาก็ดี เรียกว่ามันพรึบคว่ำลงไปเลยปัดอันนี้ทั้งหมดที่ว่าจุดว่าต่อมแห่งผู้รู้อยู่ที่ไหน นั้นแลคือตัวภพนี่คือตัวนี้ก็มารวมกันแล้ว เศร้าหมองผ่องใสอะไรลงในอนัตตาอันเดียวผางนี้ขาดสะบั้นไปหมดเลย นี่เวลามันลบนะ มันลบหมดเลยผางขึ้นมานี้เหมือนฟ้าดินถล่มนู่นน่ะ ฟังซิน่ะ กระเทือนทั่วแดนโลกธาตุอวิชชาตัวเดียวนี่คว่ำลงจากจิตกระเทือนทั่วแดนโลกธาตุเพราะอวิชชาตัวนี้พาเที่ยวแดนโลกธาตุเข้าใจไหมพอคว่ำอันนี้ลงแล้วก็เหมือนกับว่าแดนโลกธาตุนี้คว่ำลงพร้อมกันหมดประหนึ่งว่าฟ้าดินถล่มเลยนะ

    <O:p</O:p
    ทีนี้พอมันพรึบทีเดียวเท่านั้นอันนี้ไม่ได้มีอันใดที่จะเข้าไปตัดสิน หลักธรรมชาติตัดสินเองเป็นเองขึ้นมาฟ้าดินถล่มก็เป็นเองทั้งนั้นเลย ไม่ได้มีอะไรตั้งสติสตังตอบรับกันเลยเป็นลักษณะกลาง ๆ ขึ้นมาผางทีเดียวนี้ เหมือนกันกับว่าโลกธาตุนี้คว่ำหมดเลยพรึบทีเดียวหมดเลย ทีนี้จ้าเลยที่นี่ อู๋ย อัศจรรย์จริง ๆนี่เห็นไหมขันธ์ทำงานพี่น้องทั้งหลายดูเอาความอัศจรรย์ที่มาสอนโลกเวลานี้พิลึกพิลั่น แหมดูซิน้ำตานี่พังเลยเดี๋ยวนี้ก็ยังพังเห็นไหม นี่ละขันธ์ทำงาน ธรรมชาตินั้นไม่มีเข้าใจไหมนี่ละผางเท่านี้ โถ อัศจรรย์จริง ๆ ให้พี่น้องทั้งหลายได้ทราบว่าธรรมพระพุทธเจ้าเป็นยังไง อยากถามผู้มันนอนตายอยู่นี้ว่างั้นนะ โอ๊ย อัศจรรย์จริง ๆแหม น้ำตานี้พังพราก ๆ ๆ โถ ๆ ขึ้นมาเลยเทียวนะ พระพุทธเจ้าตรัสรู้อย่างนี้ละหรือ ๆๆ ย้ำอยู่นั่นน่ะ ธรรมแท้เป็นอย่างนี้ละหรือ ๆ ไม่เคยคาดเคยคิดนะมันผางขึ้นมา อู๊ยอัศจรรย์พูดไม่ถูก คิดดูซิเดี๋ยวนี้ยังเป็น มันสด ๆ ร้อน ๆทำไมเป็นไม่ได้วะ

    <O:p</O:p
    จากนั้นแล้วมีตั้งแต่ความอัศจรรย์ เรียกว่ากายนี้ไหวเลยเทียวนะมันเป็นอะไรก็ไม่รู้แหละ เป็นพร้อมกันหมดเลยเวลานั้น ฟ้าดินถล่มแดนโลกธาตุดับพรึบลงหมดเลย จากนั้นก็ย้ำทีเดียวว่า เหอ พระพุทธเจ้าตรัสรู้ ๆอย่างนี้ละเหรอ ถามท่านหาอะไร มันเจออยู่นั้นแล้วจะว่าไงพระธรรมแท้เป็นอย่างนี้ละเหรอ ๆ พระสงฆ์แท้เป็นอย่างนี้ละเหรอ ๆรวมเป็นอันเดียวกันหมดแล้ว เรียกว่าธรรมอัศจรรย์เลิศเลอหรือว่าธรรมธาตุแล้วเท่านั้น เหอ พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์มาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้ยังไง แต่ก่อนเราเคยคิดเมื่อไรว่าพระพุทธเจ้า พระธรรมพระสงฆ์ จะมาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันน่ะ

    <O:p</O:p
    พุทโธก็พุทโธธัมโมก็ธัมโม สังโฆก็สังโฆ ติดหัวใจมาตั้งแต่รู้เดียงสา แล้วมาจ้าขึ้นเวลานั้นแล้วธรรมชาติอันนี้มาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้ยังไง เป็นอันเดียวกันแล้วนะนั่น โอ้โหเป็นอย่างนี้เหรอธรรมอัศจรรย์ นั่นทีนี้เวลามันจ้าหมดแล้วสิ่งไม่เคยรู้มันรู้ไปหมดนี่ทำไงล่ะนี่เหรอเอามาสอนโลกหลอกโลกน่ะ หลอกอย่างนี้เหรอ โห เราพูดเราอัศจรรย์พิลึกพิลั่นจริง ๆ ธรรมอันนี้น่ะ ทีนี้ดูธรรมชาตินี้แล้วมันครอบโลกธาตุหมดแล้วนี่นะมันจ้าไปหมดเลย ไม่ได้มีอะไรปิดบังลี้ลับ บาปบุญนรกสวรรค์มันตีหน้าผากอยู่นี่มีหรือไม่มีอยากว่าอย่างนั้นนะ มันอยากฟาดหน้าผากนั่นน่ะให้กิเลสมันหลอกมาเท่าไรว่า บาปไม่มี บุญไม่มี นรกสวรรค์ไม่มีมันจ้าครอบอยู่หมดตั้งแต่กัปไหนกัลป์ใด มันไม่เห็นเฉย ๆ เข้าใจไหมล่ะมันมีอยู่กี่กัปกี่กัลป์สิ่งเหล่านี้ที่เผาสัตว์ทั้งหลายด้วยความงมงายด้วยความมืดความบอดที่กิเลสหลอกไม่ให้เห็นไม่ให้รู้

    <O:p</O:p
    อะไรจะร้อนยิ่งกว่าไฟนรก ในแดนสมมุตินี้ไฟนรกที่ประเภทกรรม ๕อย่าง คืออนันตริยกรรม ๕ ฆ่าบิดาหนึ่ง ฆ่ามารดาหนึ่ง ฆ่าพระอรหันต์หนึ่งทำลายพระพุทธเจ้าแม้ไม่ตายหนึ่ง แล้วก็สังฆเภท ยุยงให้สงฆ์แตกจากกันหนึ่งกรรมทั้งห้าประการลงในนี้หมดเข้าใจไหม มันจ้าอยู่ด้วยกันนี่จะว่าไงแล้วไปถามหาที่ไหนนรกสวรรค์น่ะ พระพุทธเจ้าองค์ไหนมาโกหกไม่มี จ้าอย่างเดียวกันนี้บอกอย่างเดียวกันนี้หมด

    <O:p</O:p
    พวกเรามันโง่ชะมัดนี่นะ โอ๋ย.มันพิลึกพิลั่นนะไม่ว่าอะไรมันครอบอยู่ในหัวใจนี้หมด มันจ้าไปหมดแล้วจะไปถามหาที่ไหนอีกล่ะก็มันพร้อมอยู่บนหัวใจนี้หมด มันจ้าไปหมดแล้วนี่ จะไปถามหาอะไรก็มันจ้าอยู่นี้แล้วทีนี้เวลาขนาดนั้นแล้วก็พิจารณาซิที่นี่ พอหลังจากนั้นมาพิจารณาดูโลกโถ.โลกนี้ทำไมเราสยดสยองความเป็นมาของเราความเกิดความตายความตกนรกหมกไหม้ขึ้นสวรรค์ชั้นพรหมลงนรกนี้ เหมือนไปขึ้นบันไดนะแต่ละดวง ๆ จิตดวงนี้มันไม่ตาย เข้าใจไหม จิตดวงนี้มันไม่ตายกรรมฝังอยู่ในมันนั้นน่ะ กรรมดีก็พาขึ้น พอหมดกรรมดี อ้าวกรรมชั่วมันก็มีมันก็ดึงลง ขึ้นสวรรค์พรหมโลก ลงแดนนรกนี้เหมือนขึ้นบันไดลงบันไดเข้าใจไหม นี่ละขนาดนั้น ให้พากันตื่นเสียถ้าจะตื่นนะ

    <O:p</O:p
    วันนี้เปิดให้พี่น้องทั้งหลายฟังเต็มที่จนกระทั่งน้ำตาร่วงให้เห็นต่อหน้าต่อตา บ้าหรือดีดูเอานะ ฟังเสียวันนี้ ขนาดนั้นนะธรรมมาสอนโลก เพราะฉะนั้นจึงตัดคอขาดไว้เลยว่าอะไรไม่มี คำว่ากล้าว่ากลัวจะมีอะไรก็มันเหนือทุกอย่างแล้วนี่ ทีนี้ก็พออย่างนั้นมันดูโลกมาดูตัวเองกำหนดพิจารณาภพชาตินี้ แหม ศพของเราคนเดียวทิ้งประเทศไทยนี้ไม่มีที่วางคนเดียวนี้นะ นานหรือไม่นาน มันเกิดตายอยู่นี้ เวลามันจับตรงนี้ได้แล้วมันกระจายออกไปหมด โอ๊ย.ถ้าจะนับนับไม่ได้ อย่าไปนับ เท่านั้นแหละ มันเลยเถิดนี่ละศพแต่ละศพคนแต่ละคน จิตแต่ละดวง ของบุคคลแต่ละคนของสัตว์แต่ละตัวเป็นแบบเดียวกันหมด ไม่มีใครยิ่งหย่อนกว่าใครความหนาแน่นความมากมายนี้เหมือนกันหมดเลย แล้วดูโลกมันดูไม่ได้ที่นี่ดูภพชาติเจ้าของที่เคยเป็นมานี้ขยะแขยงย้อนละที่นี่นะ

    <O:p</O:p
    โอ้โห.มันเกิดมาขนาดนี้มันก็ยังบึกบึนเกิดมาได้ถ้าไม่มีอันนี้ตัดสินมันจะไปอีกอย่างเดียวกันนี้ มันพิจารณา ออกจากนี้แยกดูโลกละซิดูโลกยิ่งดูไม่ได้อีกละ มันก็แบบเดียวกันหมดทั่วแดนโลกธาตุเป็นแบบเดียวกับเรานี้หมด ไม่มีใครยิ่งหย่อนกว่ากันอู๊ย.จะสอนไปยังไงสอนโลก อ่อนใจนะ มันเป็นเองของมัน สอนไปหาอะไรธรรมประเภทนี้ใครจะรู้ได้เห็นได้ สอนไปให้เสียเวล่ำเวลาไปทำไมอยู่ไปกินไปพอถึงวันตายแล้วก็ไปเสียเท่านั้น นั่น เห็นไหมลงแล้วนะพระพุทธเจ้าเรียกว่า ท้อพระทัย เราก็ท้อใจ มีความขวนขวายน้อยแล้วเหมือนว่าตัดช่องแล้วไปแต่ผู้เดียว อยู่ทำไมสอนทำไมไม่เกิดประโยชน์อะไรไปแล้วนะเราเอาเรื่องนี้มาเทียบ โถ ๆ แต่มันไม่แล้วนะ อันนี้มันไม่แล้วมันว่าของมันเป็นพักๆ ของมัน
    <O:p</O:p
    เวลาดูโลกดูด้วยความอ่อนใจ ผู้ที่มืดนี้ก็เรียกว่าหมดคุณค่าเอาเลยมนุษย์ทั้งคนนี้ละ อยู่ด้วยกันอย่างนี้ ผู้มันมืดขนาดหมดคุณค่าเลย นั่นท่านเรียกว่าปทปรมะ เข้าใจไหม แย็บขึ้นมาก็มีลักษณะอะไร ๆ แย็บขึ้นมาสูงขึ้น ๆแย็บขึ้นมาถึงพวกปทปรมะ แล้วก็พวกเนยยะ พวกวิปจิตัญญู พวกเนยยะ ดูขึ้นเป็นขั้น ๆไปถึงขั้นพวกเนยยะนี้ พอลากพอเข็นไปได้ ทั้งจะขึ้นทั้งจะลงเนยยะคือพอแนะนำสั่งสอนไปได้ถ้าเผลอก็ลงได้ ถ้าเจ้าของเอาจริงเอาจัง ดีดได้ ๆอันนี้ทั้งขึ้นทั้งลงได้ด้วยกันหมด เนยยะ อันที่สามนี้มีแต่จะขึ้น ๆถ่ายเดียวคำว่าลงไม่มี มีแต่จะขึ้น แต่ช้ากว่าอุคฆฏิตัญญูอุคฆฏิตัญญูนี้พร้อมแล้วที่จะผางออก ถ้าเป็นวัวก็รออยู่ปากคอกคอยแต่จะเปิดประตูคอกนี้พุ่งเลย นี่ประเภทอุคฆฏิตัญญู ผู้ที่จะรู้เร็วผ่านได้เร็วมีเป็นขั้น ๆ มาอย่างนั้น เรามาก็พิจารณา

    <O:p</O:p
    แล้วที่กล่าวเหล่านี้มีในสัตว์โลกนี้ทั้งนั้น นั่นมันแยกนะประเภทเยี่ยมมี ในกองที่ว่าอิดหนาระอาใจนี่แหละ มันมีอยู่ในนั้น มันแยกของมันเองนะอุคฆฏิตัญญู ประเภทที่รอที่จะข้ามผึง ๆ มี แล้ววิปจิตัญญูลดกันกว่านั้นก็มีจะขึ้นจะออก ๆ เนยยะนี่กำลังแย่งตำแหน่งกันระหว่าง เสื่อกับหมอนกับทางจงกรมเข้าใจไหม นี่กำลังแย่งกันไป แย่งกันมา พวกปทปรมะนั้น เป็นร่างมนุษย์เฉย ๆไม่ได้มีอะไรติดตัวเลย นี่แหละพวกที่ตายแล้วก็ไม่มีความหมายอะไร ลงผึงเลยลงไปอีกตามเดิม ไม่มีทางขึ้น ไม่มีประโยชน์ติดตัวเลยแม้นิดหนึ่ง ลงถ่ายเดียวจำให้ดีคำนี้น่ะ ถอดออกมาจากหัวใจมาสอนพี่น้องทั้งหลาย โกหกเหรอ

    <O:p</O:p
    นี่แหละท่านว่าประเภทถังขยะ คำว่าถังขยะนั้นมี ๔ ประเภท อยู่ในถังขยะอันเดียวกันเข้าใจไหมประเภทที่เยี่ยม คือ อุคฆฏิตัญญูนี่ในถังขยะอันนี้แหละประเภทวิปจิตัญญูลดกันลงมาก็อยู่ในถังขยะอันนี้ ประเภทเนยยะก็มีอยู่ในถังขยะอันนี้ ประเภทปทปรมะก็มีเต็มอยู่ในถังขยะนี้โลกอันนี้เป็นโลกสมมุติเป็นโลกถังขยะ เจือปนไปด้วยสิ่งดีสิ่งชั่วสับสนปนเปกันอยู่ในกองถังขยะนี้ เข้าใจไหมล่ะ แยกออกเป็นสี่ประเภทในถังขยะนี้ทีนี้มันก็แยกแยะ ๆ พิจารณา แล้วทีนี้ก็ขึ้นมาอีกอันหนึ่งนะตอนที่เหมือนว่าทอดอาลัยตายอยากกับโลกที่จะไม่สั่งสอนใครเรียกว่าทำความขวนขวายน้อย

    <O:p</O:p
    สักเดี๋ยวก็ผุดขึ้นมาอีกนะ นี่แหละที่จะให้มีแก่ใจ ผุดขึ้นมาอีกถ้าว่าธรรมเป็นของวิเศษเลิศเลอไม่มีใครสามารถจะรู้ได้ แล้วเราเป็นเทวดามาจากไหนเอาตรงนี้นะขึ้นตรงนี้ขึ้นในจิต เราเป็นเทวดามาจากไหน ทำไมจึงรู้ได้รู้ได้เพราะเหตุใด นี่คำว่าเพราะเหตุใด มันก็จับสายทางนั่นซี เรารู้ได้เพราะอะไรมันก็มีสายทางมา ตามทางที่พระพุทธเจ้าสอนว่า การให้ทานรักษาศีลภาวนานี้คือทางเดินเข้ามา เข้าใจไหมล่ะ เข้ามาจุดนี้ ทางอื่นไม่มีนี่รู้ได้เพราะเหตุใดมันก็วิ่งย้อนหลังมา เป็นทางที่เราเดินมาแล้วทั้งนั้น ๆมาถึงจุดนี้ อ๋อ ขึ้นยอมรับที่นี่ อ๋อได้ ถึงไม่มากก็ได้ นั่น มีแล้วนะที่นี่ปฏิเสธไม่ได้เลย บอกว่าได้ไม่มากก็ได้ ถึงไม่มากก็ได้อยู่มีแก่ใจเริ่มที่จะแนะนำสั่งสอนผู้ที่สมควรจะสอน อยู่ในป่าในเขาพระเณรก็รุม ๆอยู่นั้นแหละ

    <O:p</O:p
    จากนั้นก็ค่อยแย็บออกมาสอนออกมา ๆ กว้างออกมาจนกระทั่งเดี๋ยวนี้ดูเอาซิ ทั่วแดนโลกธาตุ ประเทศไทยเมืองนอกอะไรได้ฟังธรรมจากหลวงตาบัวทั้งนั้นใช่ไหมล่ะ หนึ่งออกทางปากสด ๆ ร้อน ๆ เทศน์สอนพระพูดธรรมะขั้นเด็ด จากนั้นก็ออกจากเทป จากเทปก็เขาออกทางวิทยุ ออกทางอินเตอร์เน็ตเวลานี้กระจายทั่วประเทศไทย ธรรมะที่หลวงตาแสดงนี้รับรองร้อยเปอร์เซ็นต์ ๆไม่มีเคลื่อนคลาดจากหลักความจริงที่รู้ที่เห็นมาเลย เข้าใจไหมพระพุทธเจ้าสอนโลกก็สอนแบบเดียวนี้ จึงพูดแล้วสาธุ ตัวเท่าหนูก็ตามเครื่องยืนยันมีอยู่ในหัวใจ รู้สิ่งใดค้านพระพุทธเจ้าไม่ได้เห็นสิ่งใดค้านพระพุทธเจ้าไม่ได้ ยอมรับหมด เมื่อยอมรับหมดแล้วก็เต็มหัวใจที่จะนำออกแสดงตามหลักความจริงที่ยอมรับเรียบร้อยแล้ว เข้าใจไหมล่ะนี่แหละมันถึงผาง ๆ สอนโลก จากนั้นก็กระจายออกมาเดี๋ยวนี้ก็ทั่วประเทศไทยแล้วเราสอน

    <O:p</O:p
    เราจึงกล้าหาญชาญชัย ถ้าพูดแบบโลกสงสารแต่หลักธรรมแล้วไม่มีคำว่ากล้าก็ไม่มี กลัวไม่มี คำว่าได้ว่าเสียไม่มีคำว่าแพ้ว่าชนะไม่มีในธรรม สอนด้วยความเมตตาล้วน ๆ เช่นกรณีที่หมากัดกันอย่างนี้ไปจับหมาแยกออกจากกันอย่างนี้ เราไม่มีส่วนแพ้ส่วนชนะใช่ไหม หมาต่างหากมี นั่นผู้เจ็บปวดก็คือหมาต่างหากเจ็บ มันกัดกัน เราไปจับแยกหมาออกจากกันไม่ให้มันกัดกันนั่นเป็นเรื่องของธรรม แยกคนที่เห็นผิดเห็นถูกต่อสู้กันอยู่พวกทะเลาะเบาะแว้งกันอยู่ นั้นละ
    <O:p</O:p
    อย่างที่เราพูดในประเทศไทยของเราเวลานี้มันก็ไม่พ้นที่จะย้อนจากนี้แหละ นี่เอาธรรมออกมายันนะเรายุ่งกับโลกอยู่เวลานี้ไม่มีใครยุ่งเกินหลวงตาบัวไป คือจับหมามันแยกออกหมามันกำลังกัดกันเวลานี้ ทั้งหมาพระหมาโยม หมาฆราวาส หมาพระมันกำลังกัดกันมันแย่งดีชิงดีชิงเด่นกัน กำลังกัดกันอึกทึก เราก็นำธรรมมาสอนนี่เรียกว่าจับหมาแยกไม่ให้กัดกัน ให้สงบระงับ ธรรมมีอยู่ให้อยู่กับความจริงอันใดถูกต้องให้จับอันนั้น ปล่อยวางอันที่ผิดไปเสียให้หมดบ้านเมืองและศาสนาเราก็จะสงบร่มเย็น พระเณรประชาชนทั่วแดนไทยก็จะสงบร่มเย็นเวลานี้ที่ไม่สงบร่มเย็นก็คือหมามันกัดกันทั้งหมาดีหมาชั่วมันกัดกันต่อสู้กันอยู่เวลานี้เวทีของพุทธศาสนาโดยถือหัวใจประชาชนเป็นสนามใหญ่เป็นเวทีอันใหญ่กำลังแตกกระจัดกระจายกันเวลานี้เพราะหมามันกัดกันอยู่บนเวทีคือพุทธศาสนาซึ่งเป็นหัวใจของชาติชาวไทยชาวพุทธเรา

    <O:p</O:p
    เราจึงขอบิณฑบาตขอให้แตกให้แยกกันออกไปการกัดกันไม่เป็นประโยชน์ทั้งผู้แพ้ผู้ชนะมันเจ็บช้ำไปด้วยกันนั่นแหละไม่มีตัวไหนดี ให้แยกจากกันเสีย ยอมรับเหตุรับผลดีชั่วแล้วมาประคองตัวชาติศาสนาของเมืองไทยของเราก็จะขึ้นเป็นความสงบร่มเย็นแก่ชาติไทยของเราจะไม่มีอะไรเสื่อมเสียและฉิบหายไป ดังที่อวดเก่งกันว่ากัดกันเพื่อความชนะ ๆมันล้วนแล้วแต่พวกแพ้อย่างหลุดลุ่ยด้วยกันนั่นละ ไม่มีใครดี การกัดกันการรบกันไม่ดี มันเจ็บทั้งผู้แพ้ผู้ชนะ เหมือนนักมวยเขาต่อยกันใครจะอวดดีอวดเด่นไปไหน ไม่ใช่ของดี การกัดกันเป็นเรื่องเจ็บปวดแสบร้อนทั้งสองฝ่ายนี่การรบรากัน ด้วยความรู้ความเห็นความอยากเด่นอยากดังความถูลู่ถูกังไม่ยอมฟังเสียเหตุเสียงผลเลย นี้คือหมากัดกันจะเอาให้พินาศจริงๆโดยถือเมืองไทยของเราทั้งประเทศนี่แหละเป็นสนามหมากัดกัน

    <O:p</O:p
    ให้พี่น้องทั้งหลายทุก ๆ ฝ่ายพินิจพิจารณาเรานำธรรมที่ออกมาจากน้ำตาร่วงในเวลาสด ๆ ร้อน ๆ นี้มาพูดให้พี่น้องชาวไทยเราฟังด้วยความจริงใจ ถ้าแยกอย่างนี้แล้วจะไม่มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น ผู้แพ้ก็แพ้เพื่อดีผู้ชนะถ้าพูดแบบโลกว่าชนะ ผู้ชนะก็ชนะเพื่อดี ผู้แพ้ก็แพ้เพื่อดี เข้ากันได้สนิทไอ้แบบที่กัดกันไม่ถอยไม่มีใครแพ้ใครชนะ แต่เลือดสาดทั้งสองฝ่ายนี้ดูได้ไหมพิจารณาซิ เราไม่อยากเห็น เมืองไทยเราเป็นเมืองพุทธระหว่างพุทธบริษัทประชาชนพระเณรเต็มวัดเต็มวามากัดกันเหมือนหมาเลือดสาดเต็มประเทศไทย เราไม่อยากได้ยิน ขอให้พากันเลิกล้มกันไปใครผิดใครถูกนรกอเวจีนั้นรับรองด้วยกันสวรรค์พรหมโลกนิพพานรับรองคนชั่วคนดีได้ด้วยกันเราอย่าพูดให้เหนือนรกอเวจีด้วยความผิดของเราแล้วอย่าพูดให้นอกเหนือความดิบความดีที่นอกเหนือไปจากธรรมพระพุทธเจ้าซึ่งเป็นแดนสวรรค์นิพพานที่จะบรรจุคนดีไว้ให้พินาศฉิบหายลงมาสู่เวทีหมากัดกัน มีแต่เลือดสาดอย่างเดียว เข้าใจเหรอพากันจำเอานะ

    <O:p</O:p
    วันเทศน์อย่างสุดขีดสุดแดน เราปฏิบัติมา ๕๓ ปีนี้มาแสดงให้ท่านทั้งหลายได้เห็นวันนี้เข้าใจไหมนี่ละธรรมไม่อัดไม่อั้นไม่ตีบไม่ตันไม่ผลักไม่ดันเหตุการณ์อะไรที่ควรจะออกหนักเบามากน้อยออกเต็มเหนี่ยว ๆอย่างวันนี้ออกเต็มเหนี่ยวเลย ถึงขนาดน้ำตาหลวงตาบัวร่วงให้พี่น้องทั้งหลายเห็นจากความอัศจรรย์ของธรรมเป็นอย่างนั้นละนี้ละธรรมที่มาสอนพี่น้องทั้งหลายไม่ได้เอาธรรมเล่น ๆ มาสอนนะ สอนจริง ๆเราปฏิบัติเอาตายเข้าว่าเลย ดังที่เคยกล่าวให้พี่น้องทั้งหลายฟังความเพียรของเราไม่มีใครเชื่อได้นะ ความเพียรของเราเพื่อธรรมอันเลิศเลอไม่มีใครเชื่อได้เพราะเขาไม่ทำเหมือนเรา

    <O:p</O:p
    เราทำอย่างว่านั่นละ เวลาได้ก็ได้อย่างนี้ละนี่ละอำนาจแห่งความอุตส่าห์พยายามบึกบึน เพื่ออรรถเพื่อธรรมเพื่อความดีเด็ดเท่าไรยิ่งดี ตายก็ตายดี เป็นอย่างนั้นนะ ไม่ได้ตายเลวนะ จำให้ดีนะเอาละวันนี้เหนื่อยพอ


    <O:p</O:p

    [คัดจากกัณฑ์เทศน์ ณ วัดป่าบ้านตาด วันที่ ๒ พฤษภาคม ๒๕๔๕ เรื่อง น้ำตาร่วงจากธรรมอัศจรรย์]<O:p</O:p



    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 17.jpg
      ขนาดไฟล์:
      39 KB
      เปิดดู:
      1,697
  2. paang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2005
    โพสต์:
    9,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +34,328


    2. เมื่อวานนี้ก็น้ำตาร่วงเห็นไหม อำนาจแห่งเมตตานี้ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยนะ มองไปที่ไหนความเมตตาจะซึมไปหมดเลย เม็ดหินเม็ดทรายก็หยาบไป ซึมยิ่งกว่านั้นไปอีก ทีนี้ผู้เห็นแก่ตัว เห็นแก่ได้ เห็นแก่เอา เอารัดเอาเปรียบเพื่อนฝูงตาดำๆ หัวใจมีด้วยกันนี้ มันจึงเป็นบาปมากอยู่นะ สลดสังเวชนะเรา เห็นคนใดเป็นอย่างนั้นแล้วมันสลดสังเวชนะ คือเห็นแก่ตัว ไม่ได้คิดดูหัวใจเขากับหัวใจเรามันมีน้ำหนักเท่ากัน นี่ละธรรมให้เสมอกันอย่างนี้
    <O:p</O:p
    ยกตัวอย่างเช่น เราจัดเราแจกอาหารนี้ก็เป็นแบบเดียวกันเลย ส่วนที่จะมาเกี่ยวกับเรานี้ไม่เลยนะ เสมอกันหมดเลย มิหนำซ้ำเราเป็นหัวหน้ายังให้ลดกว่าเพื่อนเอาไว้ จะเอาเมื่อไรก็ได้ใช่ไหม ต้องตีหัวมันไว้เข้าใจไหม ยกทางโน้นเสมอ เวลาแจกอาหารที่ไหนสุดๆ สั่งให้ไปทางโน้นๆ อย่างนั้นนะ เพื่อความเสมอกัน ความเสมอนี้จะกินมากกินน้อย ได้มากได้น้อยเป็นธรรมด้วยกัน อบอุ่นตรงนี้นะ ไม่ได้อบอุ่นที่ท้องป่องนะ อบอุ่นที่ความสม่ำเสมอ นั้นคือความเป็นธรรมแทรกซึมอยู่ทุกหัวใจ ไม่มีหัวใจใดจะแสดงความกำเริบขึ้นมา เพราะความไม่เป็นธรรมของผู้อื่นผู้ใดมากระทบ นี่เรียกว่าธรรม ต้องให้เสมอหมดเลย เรียกว่าธรรม หัวใจทุกดวงเทียบ
    <O:p</O:p
    ยิ่งที่มาอยู่ร่วมกันด้วยแล้วก็ยิ่งใกล้ชิดติดพัน ยิ่งเทียบหนักกว่าเพื่อนอีก ไกลก็เป็นอีกอย่างหนึ่ง นี่พูดจริงๆ เราทำไม่ลง หมู่เพื่อนอด เจ้าของอิ่มอย่างนี้ โอ๋ย ไม่ได้เลยนะ มันฝืนเอาอย่างหนัก อย่างเต็มที่เลย เป็นข้าศึกกับตัวเองขึ้นทันที นั่นเห็นไหม คือสิ่งที่ไม่เป็นธรรมมันมาเป็นข้าศึกต่อธรรม มันก็กระเทือนในตัวเอง อะไรที่มันจะขัดอยู่ในนี้แล้วปัดออกทันทีเลย ให้เป็นแต่ธรรมล้วนๆ ออก เช่นอย่างเราอยู่ร่วมกัน มีอะไรๆ ให้เสมอกันหมด ของในวัดนี้เราบอกคำเดียวเท่านั้น สั่งขาดไปเลยไม่ต้องมาขอ ของมีอยู่ในนี้เป็นของทุกคน เว้นแต่บริขาร ๘ ที่มีตามหลักพระวินัย เป็นสมบัติประจำตัว เช่น บาตร สบง จีวร สังฆาฏิ อย่างนี้เป็นต้น นอกจากนั้นมีอะไรให้แจกให้เสมอกันหมดเลย
    <O:p</O:p
    ผู้รับแจกไปก็ต้องเป็นธรรมอีก ไม่ใช่เอาไปแบบไม่เป็นธรรม อันนี้ก็เข้ากันไม่ได้ เอาไปเท่าไรเอาไป ความจำเป็นมีเท่าไร สิ่งของที่จะสนองความจำเป็นมีมากมีน้อยเอาไป ไม่ว่า เป็นธรรม ถ้าเอาด้วยความโลภไม่ได้นะ ขัด ผิด อย่างนั้นนะ ผู้ให้ก็ให้ด้วยความเป็นธรรม เปิดโล่งไว้หมดเลย ผู้มาเอาก็ต้องมาเอาด้วยความเป็นธรรม จะมาเอาด้วยความโลภขัดกับธรรม เข้ากันไม่ได้ นั่น เอามากเอาน้อยให้เอาไปด้วยความเป็นธรรม คือความจำเป็นเต็มสัดเต็มส่วนแล้วเรียกว่าธรรม จึงเป็นเหมือนอวัยวะเดียวกัน ความเป็นธรรมคิดดูใจเขาใจเรา เทียบเข้าทันที ๆ เลย จะเอาใจเราเป็นใหญ่นี้ไม่ได้ ต้องเทียบธรรมเสมอไปหมดเลย
    <O:p</O:p


    [คัดจากกัณฑ์เทศน์ ณ วัดป่าบ้านตาด วันที่ ๑๓ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๔๖<O:p</O:p
    เรื่อง นักภาวนาต้องดูหัวใจ (อ่านเต็มกัณฑ์ได้ที่ www.Luangta.com)]<O:p</O:p
     
  3. paang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2005
    โพสต์:
    9,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +34,328

    3. หลวงตาได้อุตส่าห์กับพี่น้องทั้งหลายมาเต็มที่แล้วนะ เต็มเหยียดเต็มยันไม่มีอะไรเหลือเลย พูดแล้วสลดสังเวช เราอุตส่าห์พยายาม เต็มที่เต็มฐาน โอ๊ย.พิลึกพิลั่นจริง ๆ นะ เต็มหัวใจเรา พี่น้องทั้งหลายฟังซิ เป็นความโกหกท่านทั้งหลายเหรอที่พูดเวลานี้ โห มันจริงขนาดนั้นนะเรากับพี่น้องชาวไทยเรา หัวขาด ๆ ไปเลยบอกแล้ว อะไรมาผ่านไม่ได้ท่านทั้งหลายเคยเห็นขึ้นเวทีไหม อ่อนแอที่ไหนเคยเห็นไหม คราวนี้จะมาอ่อนแอกับทองคำน้ำหนัก ๑๐ ตันให้คอขาดไปเลย อย่าให้เหลืออยู่ในประเทศไทย มันจะเลอะเทอะเป็นเชื้อโรคติดต่อไปเรื่อย ๆ ไม่เอาไหน ๆ ไปเรื่อยนะ ชาติไทยเรานะ อย่าให้มีนะ ขนาดนั้นละกับพี่น้องชาวไทยเรา
    <O:p</O:p
    เราเด็ดขนาดนั้นนะ ขอให้พี่น้องทั้งหลายทราบในหัวใจดวงนี้ไว้นะ เอาจริงเอาจัง เอ้า ทุ่มลงไปมันจะไม่มีอะไรติดในกระเป๋า เอ้า ให้มันเห็นเสียทีน่ะ ขอให้ชาติไทยเราขึ้น เงินในกระเป๋าเราไม่มี เงินอันใหญ่มีอยู่แล้วไม่เป็นไร ซุกหัวนอนที่ไหนได้ เงินในกระเป๋าเราเต็มแต่ชาติไทยของเราจมมันดูได้ไหม เอาตรงนี้ซิ ฟัดกันตรงนี้ซิ นี่ละที่ว่าคอขาด ๆ ได้เลยว่างั้น สู้ไม่ถอยคอขาด นั่น ถึงคราวเด็ดมันต้องเด็ดอย่างนั้นซิ ไม่เด็ดไม่ได้นะ
    <O:p</O:p
    นี่มันเคยมาแล้วนะ ความเด็ดนี่ จนพูดอะไรไม่อยากมีใครเชื่อนะ เราพูดอะไรขึ้นมาไม่มีใครเชื่อ คือเขาไม่ได้ทำแบบเราทำ ก็คิดดูซิไปอยู่ที่ไหนเขาจนตีเกราะประชุมว่าเราตายแล้ว ๆ ฟังซิ ไปที่อื่น ๆ เราก็ทำอย่างนั้นมาตลอด แต่เขาไม่ตีเกราะเราก็บอกไม่ตี ที่บ้านนั้นเขาตีเกราะประชุมว่าเราตายแล้ว ยังไงมันถึงตาย ไม่กินข้าวละซี ทางกิเลสกับธรรมนี้ฟัดกันไม่มีถอยเลย ร่างกายอ่อนเท่าไรจิตยิ่งดีดยิ่งดิ้นยิ่งพุ่ง ๆ ๆ มันจะเสียดายทางจิตละซิ ก็เราบำเพ็ญมาเพื่อจิต เราไม่ได้บำเพ็ญเพื่ออาหารการกิน กินเมื่อไรก็ได้ยากอะไร หิวโหยว่าจะตายกินแล้วดีดผึงไปทันทีทันใด แต่เรื่องจิตใจนี้ดีดยากนะ นี่ถึงได้เอากันอย่างหนัก ๆ ถึงขนาดเขาตีเกราะประชุมไปดูเราว่าเราตายแล้ว
    <O:p</O:p
    ทั้งๆ ที่เราก็เป็นผู้ดูเองดูร่างกายเจ้าของ เจ้าของยังไม่รู้จักเจ้าของจะตาย คนอื่นเขาได้ตีเกราะประชุมมาดูเราพิจารณาซิ พูดอย่างนี้ใครเชื่อเมื่อไร ก็เรื่องมันเป็นมาอย่างนี้จะให้พูดว่าอย่างไรอีก มันก็ชัดๆ อยู่อย่างนั้น นี่ที่หมายถึงเด่น ที่เราทำโดยลำพังเรานี้เขาไม่ได้ตีเกราะประชุมนี้เป็นไปตลอดเลย ยังพูดให้พี่น้องทั้งหลายฟัง ๙ ปีเต็ม ถ้าหากว่าไม่ติดคุกติดตะรางเราสมัครเข้าเป็นนักโทษเลยนะ เพราะนักโทษจักตอก เหลาตอก ๓-๔ เส้น ๕ เส้น ฆ่าเวลาให้หมดไป ๆ พอได้ออกจากเรือนจำเท่านั้นเอง เขาไม่ได้ทุกข์อะไรมากนัก เขาอยู่ด้วยการบังคับของผู้มีอำนาจเขา แต่เรานี้เอาอำนาจของธรรมบังคับสิ่งชั่วช้าลามกอ่อนแอทั้งหลายขาดสะบั้น ๆ เอาธรรมบังคับไว้เลย ด้วยความสมัครใจเรา เป็นก็เป็นตายก็ตายด้วยความสมัครใจ ซัดกันอย่างนั้นตลอดมา
    <O:p</O:p
    จนกระทั่งถึงว่า มันจะตายจริง ๆ บางครั้งมอบไปเลย นู่นน่ะฟังซิจิต มันของง่ายเมื่อไร ไม่มีคำว่าถอย เพราะฉะนั้นจึงพิจารณาย้อนหลังถึงเรื่องความเพียรของเรานี้แหม ขยะ ๆ นะ โถ อย่างนั้นมันก็ทำได้ ๆ ๆ คือปัจจุบันนี้ทำตายเลย เพราะธาตุขันธ์ก็ไม่อำนวย แต่ก่อนธาตุขันธ์ก็แข็งแรงด้วย จิตใจความมุ่งมั่นนี้เด็ดขาดด้วย มันพร้อมกัน ทุกวันนี้ความหวังก็ไม่มี พูดตรงๆ ไม่มีก็บอกไม่มี ธาตุขันธ์ก็ให้กินอยู่ทุกวันมันคอยแต่จะตาย จะเอาอะไรไปสู้ ตายเท่านั้นเอง นั่น ถ้าเราจะเทียบแล้วนะ อย่างทุกวันนี้ตายเลย แต่ก่อนมันไม่ตาย
    <O:p</O:p
    นี่ละความเด็ดเดี่ยว เอาตรงไหนมันก็ได้จุดนั้น ๆ อย่างที่ทำมานี้ ภูมิใจเจ้าของ เจ้าของจนจะลุกไม่ขึ้นจะไปไม่ได้ก็ตาม ทางใจนี้ภูมิใจเหมือนจะเหาะเหินเดินฟ้า จิตใจมันสง่างามด้วยอำนาจแห่งความเพียร เด็ดเดี่ยวอาจหาญของเรา นี่ผลได้มาอย่างนี้ นี่ก็เพื่อจะอุ้มเมืองไทยของเราทั้งชาติ ก็ไม่ได้เอามากเอาขนาด ๑๐ ตัน มันเป็นยังไงเมืองไทยของเราจะไม่มีเชียวหรือทองคำ ๑๐ ตันนี่น่ะ ให้ถามตัวเจ้าของทุกคนๆ นะ เราเป็นคนไทยร้อยเปอร์เซ็นต์ อย่าให้ขาดบาทขาดตาเต็ง ทั้ง ๆ ที่มีหัวหน้าพูดจนน้ำตาร่วงกับพี่น้องทั้งหลายด้วยความห่วงใย ให้ท่านทั้งหลายพิจารณาให้ดี
    <O:p</O:p
    นี่เอาจริงเอาจังทุกอย่างยังบอกแล้ว ถ้าลงได้ตั้งแล้วไม่มีถอย นี่ตั้งเพื่อชาติไทยของเราจึงว่าไม่ถอย ลงในจุดที่ว่าทองคำต้องให้ได้ ๑๐ ตัน ดอลลาร์ ๑๐ ล้าน จากนั้นแล้วไม่มีปัญหาอะไร ล้มตูมเลยก็ได้ ที่จะให้ไปเที่ยวหาทุบหาตีกระเป๋าคนนั้นคนนี้อย่างทุกวันนี้ไม่ทำ บอกตรง ๆ เลย พูดต้องมีคำสัตย์คำจริง ถ้าได้ ๑๐ ตันแล้วหยุดกึ๊กทันที แต่การห้ามบรรดาศรัทธาทั้งหลายที่จะนำมาบริจาคมากน้อยเราไม่ห้าม แต่จะให้เราไปรบตีกระเป๋านั้นกระเป๋านี้อย่างที่เป็นอยู่เวลานี้ไม่ทำ ขาดสะบั้นไปเลยเหมือนกัน ก็มีเท่านั้นละ ขอให้พี่น้องทั้งหลายจำเอานะ
    <O:p</O:p
    ชาติไทยของเราเป็นชาติที่สง่างามมาด้วยบรรพบุรุษ ที่นำพี่น้องชาวไทยของเรามา ไม่เคยมีความล่มจมที่ตรงไหนๆ จะมาจมที่คราวนี้ พอจะฟื้นขึ้นมาบ้างแล้วเพียงจะเอาทองคำน้ำหนัก ๑๐ ตันเพื่อเป็นเครื่องประดับชาติของตนเองนี้ไม่ได้ แล้วตายหมดกันทั้งเมืองไทย หมู หมา เป็ด ไก่ อย่าเอาไว้มันหนักชาติไทยเรา ให้มันเหลวไปด้วยกันกับเจ้าของเสียให้หมด หมู หมา เป็ด ไก่อะไร แม้ที่สุดหมัดอยู่ในหลังหมาก็อย่าให้มันเหลือ ให้มันไปกับเจ้าของ จมกับเจ้าของมันเสียเลย เพราะเจ้าของไม่เป็นท่าหมาก็ไม่เป็นท่า เจ้าของหมาก็ไม่เป็นท่า ให้มันจมไปด้วยกันเสียเลย นี่เราอยากเป็นอย่างนั้นไหม
    <O:p</O:p
    เราก็ไม่เป็นท่าหมาเราก็ไม่เป็นท่า หมัดในหลังหมาก็ไม่เป็นท่า หมู หมา เป็ด ไก่ไม่เป็นท่า จมไปด้วยกันอยากฟังไหม ถ้าไม่อยากฟัง เอ้า ซัดเข้าไป หลวงตาบัวจะพาพี่น้องทั้งหลายจมทั้ง ๆ ที่หัวใจขาดดิ้นอยู่เพื่อพี่น้องทั้งหลายเวลานี้ให้เห็นสักทีน่ะ เมืองไทยเราจะจมด้วยอำนาจแห่งการอุ้มชู ด้วยความสละทุกสิ่งทุกอย่างในหัวใจของเรานี่ แล้วจะพาเมืองไทยให้จมให้มันเห็นสักทีน่ะ จำให้ดีนะคำนี้ เอาละพอ <O:p</O:p

    [คัดจากกัณฑ์เทศน์ ณ วัดป่าบ้านตาด เมื่อวันที่ ๑๒ พฤษภาคม ๒๕๔๖ เรื่องน้ำตาร่วงด้วยความห่วงใย
     
  4. paang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2005
    โพสต์:
    9,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +34,328



    4. นี่ละเทศน์ที่ว่าต้นตอหรือรากแก้วใหญ่อยู่ตรงนี้ออกจากนี้ไป อันนี้ก็ทั่วโลกอีกนะ คือเทศน์ที่นี่แล้วก็อัดเทป จากเทปพิมพ์เป็นหนังสือออกหนังสือนี้ก็ออกทางอินเตอร์เน็ต เทปก็ออก ๆ หมด จากนั้นก็เทศน์ทั่วประเทศไทยออกไปด้วยกันหมดเลย เรียกว่าเทศน์มากที่สุดแหละ ถ้าหากว่าควรจะเป็นประโยชน์ได้บ้างเราก็ไม่เสียกำลัง ว่าอย่างนี้เลยนะ ไม่เสียกำลังที่ทุ่มเทเพื่อประเทศชาติของเรา เพื่อชาติไทยของเรา ถึงขนาดน้ำตาร่วง ๆ ก็มี เรายังไม่เคย มีแต่เราฟัดกับกิเลส นี่แหละน้ำตาร่วงเหมือนกัน
    <O:p</O:p
    นี่ก็มาฟัดกับความจนของชาติไทยเรา อุ้มพี่น้องชาวไทยเราขึ้น นี่ก็น้ำตาร่วงเหมือนกัน ทั้งสองอย่างนี้เสมอกัน เราฟัดกับกิเลสสู้กิเลสไม่ได้เราไม่ลืม ฝังลึกมากทีเดียว เพราะฉะนั้นมันถึงได้ฟัดกันถึงขนาดม้วนเสื่อว่างั้นเลยนะ เพราะความเคียดแค้นอันนี้ นี่ละความเคียดแค้นนี้เรียกว่าเป็นธรรม ฟาดตัวข้าศึกได้ขาดสะบั้นไปได้เลย ความเคียดแค้นแบบกิเลส เคียดแค้นนี้เป็นฟืนเป็นไฟเผาไหม้เป็นเถ้าเป็นถ่านไปหมด ฆ่ากันเอง นี่อำนาจของกิเลสพาเคียดพาแค้น ทำลายกันเองแหลกเหลวไปหมด ส่วนความเคียดแค้นของธรรมให้กิเลสนี้ ฟาดกิเลสให้แหลกเหลวไปหมด
    <O:p</O:p
    จึงได้เอามาพูด คำพูดเช่นนี้ก็ไม่เคยมีใครพูด ท่านทั้งหลายฟังเอา ถอดออกมาจากหัวใจที่เป็นในเราเองจริง ๆ น้ำตาของเราเองร่วง ขึ้นไปบนภูเขาตั้งหน้าตั้งตาจะไปฟัดกับกิเลสอย่างเต็มเหนี่ยว ขึ้นไปไม่ถึงไหนมันฟาดเอา โอ๊ย.หงายไม่เป็นท่าเขาเรียก หงายหมา หงายแล้ว แหง็ก ๆ หงายไม่เป็นท่าสู้กิเลสไม่ได้ ถ้าหงายแมวมันตบได้นะ หงายแมวพอตบได้ หงายหมาไม่มีท่า ร้องแหง็ก ๆ นี้เราแบบหงายหมา คือไม่เป็นท่า เรียกหงายหมา แต่ที่มีแมวอยู่ในนั้นแทรกอยู่ในนั้นบ้างว่า เหอ มึงเอากูขนาดนี้เชียวเหรอ คือเคียดแค้นสู้มันไม่ได้ ลวดลายมันเก่งกว่าเราทุกด้านทุกทาง เรียกว่า สู้ไม่ได้เลย ก็มีแต่ปากมีแต่ความคิดตอบรับกัน โห มึงเอากูขนาดนี้เชียวเหรอ คือถึงขนาดน้ำตาร่วงเคียดแค้นให้กิเลส เอาละยังไงให้กูถอยกูไม่ถอย กูจะเอามึงให้พังวันหนึ่งจนได้ นี่เรียกว่า หงายอันนี้เป็นลักษณะแมว ยังจะต่อสู้
    <O:p</O:p
    นี่ละในชีวิตของเราการต่อสู้กิเลสถึงขนาดน้ำตาร่วง เคียดแค้นให้กิเลสเคียดถึงเหตุถึงผลถึงพริกถึงขิงคราวนี้เองนี้อันหนึ่ง นี่ก็น้ำตาร่วง กลับไปก็ไปหาพ่อแม่ครูจารย์มั่น ไปอีกฟิตอีกกลับมาอีกเอาอีก แต่คราวหลังมานี้มันน้ำตาร่วงแต่หงายเหมือนกันหากไม่น้ำตาร่วง สู้มันไม่ได้หงาย ไปอีกกลับมาอีกเอาอีกอยู่อย่างนั้น พอต่อไปทีนี้ก็เริ่มแล้วนะที่นี่ เริ่มแล้ว นี่ละอำนาจแห่งความเคียดแค้น ความมุมานะ ความเจ็บแสบให้กิเลสภายในหัวใจของเรามันฝังลึกมาก เพราะฉะนั้นจึงได้คุ้ยเขี่ยขุดค้นกำลังวังชาทุกด้านทุกทางมา ได้มาทีไรก็ไปต่อยกัน สู้มันไม่ได้หงายมาเสียก่อน เอาอีกกลับไปอีกอยู่อย่างนั้น
    <O:p</O:p
    หลายครั้งหลายหนมันก็สู้เราไม่ได้ เพราะทางหนึ่งเคียดแค้นอย่างไม่มีจืดจางเลย มีแต่จะฟัดตลอดโดยถ่ายเดียวเท่านั้น สุดท้ายมันก็ค่อยอ่อนให้เห็น ทางนี้ก็ค่อยตั้งตัวได้บ้าง ๆ เรื่อยขึ้นจนกระทั่งเริ่มตั้งตัวได้ ไม่มีกลัวเลยกับกิเลส ฟัดกันตลอดเลย นั่น น้ำตาร่วงหนหนึ่ง นี่เราได้มาพูดให้พี่น้องชาวไทยฟัง ที่เราเกี่ยวข้องกับตัวของเราและพี่น้องชาวไทยเรา และช่วยพี่น้องชาวไทยก็ถึงขนาดน้ำตาร่วงเหมือนกัน จึงเรียกว่าฝังลึกทีเดียว
    <O:p</O:p
    อย่างที่ว่าทองคำนี้ถ้าไม่ได้ ๑๐ ตัน แล้วให้เอาคอหลวงตานี้ไปตัดเสียเลย อย่าเอาไว้ให้หนักแผ่นดินไทย หลวงตานี้เป็นผู้นำของพี่น้องทั้งหลาย พาช่วยฟัดกับความจนมันจะเอาเราให้จมทะเล ทีนี้เราพาพี่น้องทั้งหลายฟัดความจนให้ลงทะเล แล้วสิ่งที่เราจะเป็นเครื่องต้อนรับหรือเครื่องต่อกรกับกิเลสคืออะไร คือทองคำน้ำหนัก ๑๐ ตัน และดอลลาร์ ๑๐ ล้านนี้ ขอเป็นเครื่องประกันบนเวที ถ้าหากไม่ได้อันนี้ตามที่มุ่งหมาย ดังที่ได้ตั้งไว้แล้วถึงขนาดน้ำตาร่วงนี้แล้ว อย่าให้เหลือเลยนะหลวงตาองค์นี้ ให้ตัดคอขาดโยนลงทะเลเลยทีเดียว ไม่เป็นท่า มานำพี่น้องทั้งหลายไม่เป็นท่าแล้ว
    <O:p</O:p
    ฟัดกับตัวเองก็เรียกว่าเต็มเหนี่ยวแล้ว ได้ชัยชนะมาอย่างภาคภูมิใจ น้ำตาร่วงสู้กิเลสไม่ได้หนึ่ง น้ำตาร่วงเวลากิเลสขาดสะบั้นลงจากหัวใจบนหลังวัดดอยธรรมเจดีย์นี้หนึ่ง นี่น้ำตาร่วงอีกเหมือนกัน คราวนี้คราวชัยชนะ น้ำตาร่วงไม่ลืม ๒ อย่างนี้นะ ร่วงอันหนึ่งร่วงแพ้กิเลสอย่างหลุดลุ่ย ร่วงที่ ๒ กิเลสแพ้แล้วขาดสะบั้นลงจากใจอย่างหลุดลุ่ยไม่มีอะไรเหลือ อันนี้ก็น้ำตาร่วง ประหนึ่งว่าฟ้าดินถล่ม นี่ ๒ พักแล้ว ๒ พักนี้ช่วยตัวเอง
    <O:p</O:p
    พักที่ ๓ นี้ช่วยพี่น้องชาวไทยทั้งชาติ นำตนออกประกาศเป็นผู้นำของพี่น้องทั้งหลาย แล้วสิ่งที่จะประกันบนเวทีนี้ก็คือทองคำให้ได้น้ำหนัก ๑๐ ตัน และดอลลาร์ก็ ๑๐ ล้าน นี้เป็นจุดที่หมายแห่งชัยชนะของพี่น้องชาวไทย โดยมีหลวงตาเป็นผู้นำ ว่าได้ชัยชนะมาแล้ว เครื่องหมายแห่งชัยชนะคือทองคำน้ำหนัก ๑๐ ตัน และดอลลาร์ ๑๐ ล้าน เมื่อก้าวถึงจุดหมายปลายทางแล้ว หงายลงเลยทองคำไม่ได้น้ำหนัก ๑๐ ตัน ดอลลาร์ขาดสะบั้นไปแล้ว หลวงตานี้คอขาดไปพร้อมกันเลย ไม่ต้องมองดูหน้าหลวงตาเลยนะ แล้วหลวงตาก็จะไม่มองดูใครเลย จะไปตามบุญตามกรรมของตัวเอง เรียกว่าไม่เป็นท่าแล้ว ที่ได้ฟัดกับกิเลสก็เป็นพอใจทุกอย่าง แต่ฟัดกับความจนเพื่อช่วยชาติไทยของเราไม่เป็นท่าหงายลงไปเลย จนถึงขนาดคอขาด
    <O:p</O:p
    เพราะฉะนั้นจึงขอให้พี่น้องทั้งหลายอย่าดูหน้าหลวงตาบัว ดูคอหลวงตาบัวเลยนะ ถ้าช่วยพี่น้องทั้งหลายไม่เป็นท่าเป็นทางในคราวนี้แล้ว ให้ขาดไปเลย โยนให้ปลาฉลามกินไปเลย อย่าไปถามถึงโคตรถึงแซ่หลวงตาบัว อย่าถามทั้งหมดเลย ไม่เป็นท่าแล้ว นี่ละยังกำลังมีเครื่องต่อกรกันอยู่ตรงนี้ เอ้า ขอให้พี่น้องทั้งหลายตั้งใจทุกคน ถ้ายังเสียดายคอหลวงตาบัวอยู่แล้ว เอาให้เต็มเหนี่ยวทุกคน ถ้าคอหลวงตาบัวไม่มีความหมายไม่เป็นท่าแล้ว ให้ต่างคนต่างเฉื่อยชาไม่เอาไหน เขาจะทำเราจะทำปล่อยไปตามเรื่องตามราวจืดชืดไปหมดเลย นี้เมืองไทยก็จม ผู้นำพี่น้องทั้งหลายก็จมไม่มีความหมายเลย ที่ให้ได้ตามความหมายก็คืออย่างที่ว่านี้ ทีนี้ทองคำนี้จะเป็นเครื่องประดับชาติพี่น้องชาวไทยเราทั้งประเทศ ทองคำ ดอลลาร์
    <O:p</O:p
    ทองคำน้ำหนัก ๑๐ ตัน ดอลลาร์อย่างน้อย ๑๐ ล้าน นี้เป็นเครื่องประดับเกียรติยศชื่อเสียงของชาติไทยเรา ที่ได้ออกประกาศโดยมีศาสนาเป็นผู้นำ ว่าได้ชัยชนะมาแล้วได้ทองคำน้ำหนัก ๑๐ ตัน ดอลลาร์เป็นจำนวน ๑๐ ล้าน นี้เป็นที่พอใจของเรา เพราะเราตั้งจุดไว้ตรงนี้ ในการรบ ชัยชนะคราวนี้เราจะเอาจุดนี้ให้ได้ ไม่ได้เราก็ต้องตายเสียอย่างเดียว ดังที่ประกาศให้พี่น้องทั้งหลายทราบ จะไม่มีเงื่อนใดเป็นชิ้นต่อกันเลยถ้าลงไม่ได้ในจุดนี้แล้ว จุดนี้เป็นจุดที่ขาดสะบั้นเพื่อพี่น้องชาติไทยทั้งชาติเรา เอาคอเราตัดเป็นประกันเลยทีเดียว ให้อุตส่าห์พยายาม
    <O:p</O:p
    เวลาได้นี้แล้ว ชื่อเสียงของประเทศไทย กิตติศัพท์กิตติคุณของประเทศไทยสมชื่อสมนามว่าชาติไทยเป็นผู้รักชาติ เป็นนักเสียสละ เป็นผู้มีความพร้อมเพรียงสามัคคีกัน ได้มาอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย ตามที่หัวหน้าได้ประกาศก้องออกมาให้ทราบตั้งแต่วันเริ่มแรกจนกระทั่งบัดนี้ ได้ชัยชนะขึ้นมาอย่างสมใจแล้ว เราจะตบมือเพียบพร้อมกันเลยก็ได้ในวันเช่นนั้น นี้รอวันเวลาของเราที่จะตบมือ อย่าให้ได้ยินเสียงตบมือให้ปลาฉลามนะ ตบมือเอาชัยชนะ อย่าตบมือแพ้ให้ปลาฉลามเอาไปกิน อย่างนี้ดูไม่ได้เลยนะ
    <O:p</O:p
    เราพูดเรื่องช่วยชาติบ้านเมือง เราเอาถึงขนาดน้ำตาร่วง ทั้งสองอย่างนี้ไม่ลืมในตัวของเราคนเดียว น้ำตาร่วงกับกิเลสเป็น ๒ ครั้ง น้ำตาร่วงกับเมืองไทยของเรายังไม่ทราบว่าจะกี่ครั้งแหละ แต่นี้ก็เริ่มปรากฏขึ้นมาแล้ว นี่ก็ด้วยน้ำใจ น้ำหนักของใจถึงขนาดน้ำตาร่วง มีกำลังมากขนาดไหนถึงเรียกน้ำตาได้ อย่างไม่ต้องไปออกหาที่ไหน ออกมาเลยเทียว
    <O:p</O:p
    ขอให้พี่น้องทั้งหลายได้ตั้งอกตั้งใจช่วยชาติบ้านเมืองของเรา บ้านนอกบ้านนาเวลานี้เขามองดูเราเป็นตาเดียวกันหมดเลยนะ เป็นยังไงเมืองไทยช่วยชาติตัวเอง เป็นท่าเป็นทางบ้างไหม นี่เขากำลังดู เมื่อเราได้ตามจุดหมายนี้แล้ว ทั้งหลายเขาอย่างหนึ่งก็ชม เพราะเขาหาทางตำหนิไม่ได้เขาก็ต้องชมเรา ว่าเมืองไทยเราเป็นเมืองเอาจริงเอาจัง ถึงคราวเอาจริง ๆ ที่สุดเมืองไทย ได้ตามมักตามหมาย นี่เขาก็จะชมเรา ถ้าไม่ได้นี้แล้วเขาจะชี้หน้าด่าทอเรา ไปที่ไหนไปไม่ได้นะ หมาก็มีหน้าถูกเขาชี้หน้าหมา หมามีเจ้าของเขาชี้หน้าเจ้าของหมา แล้วเขาชี้หน้าหมา ไอ้หมาตัวนั้นมีหมัดกี่ตัว หมัดนั้นหมาเป็นเจ้าของ เขาชี้หมัดด้วยชี้หมาด้วย ชี้พวกเป็ดพวกไก่อยู่ในวัดในวาอยู่ตามบ้านตามเรือน พวกไม่เป็นท่าทั้งนั้น ถูกเขาชี้หน้าด่าทอ ท่านทั้งหลายวาดภาพดูซิ ฟังได้ไหม เมื่อฟังไม่ได้ เอ้า ฟัดให้ได้อย่างที่ว่านี้ ทุกสิ่งทุกอย่างมีคุณค่าขึ้นมาหมด ไม่ว่าหมู หมา เป็ด ไก่ ผู้คน เจ้าของชาติบ้านเมืองมีหน้ามีตาขึ้นมาด้วยกันหมด มีศักดิ์ศรีดีงาม ให้จำข้อนี้เอาไว้นะ ขอฝากไว้กับบรรดาพี่น้องทั้งหลาย
    <O:p</O:p
    นี่พูดถึงเรื่องช่วยชาติบ้านเมือง ทีนี้ย่นเข้ามาช่วยตัวเองแต่ละคน ๆ เพื่อเป็นกำลังของชาติบ้านเมืองอีก ก็คือการอบรมตัวให้เป็นคนดี อย่าเหลาะแหละอย่าคลอนแคลนนะ ให้มีความเหนียวแน่นมั่นคง ถึงเวลาเด็ดให้เด็ด เพราะความชั่วนี้ จอมปราชญ์ทั้งหลายทรงตำหนิมาเป็นเสียงเดียวกัน คือพระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ ทรงตำหนิกิเลสเป็นเสียงเดียวกัน แล้วชนะก็ชนะกิเลสนี้แหละ ได้เป็นพระพุทธเจ้าขึ้นมา ถ้าไม่ชนะกิเลสเป็นพระพุทธเจ้าไม่ได้ นี้ท่านเป็นพระพุทธเจ้ามาสักกี่พระองค์ ล้วนแล้วตั้งแต่ชำระกิเลสด้วยการตำหนิติเตียนกิเลส แล้วยกพระองค์ขึ้นมาเป็นศาสดาของโลกด้วยความเอาจริงเอาจัง ได้ชัยชนะมาแล้วมาสอนบรรดาลูกศิษย์ลูกหา พวกเราทั้งหลายเดินตามเสด็จพระพุทธเจ้า ขอให้พากันใช้ความคิดความอ่าน อย่าเห็นแก่ได้แก่เอา เห็นแก่กิน แก่อยู่ แก่หลับ แก่นอน แก่ใช้สอยต่าง ๆ ไม่คำนึงคำนวณถึงการได้มาเสียไปเพราะเหตุผลกลไกใด อันนี้ไม่ดีนะ
    <O:p</O:p
    กินก็ให้มีเหตุมีผล กินมากกินน้อย การใช้สอยสุรุ่ยสุร่ายไม่ดี การกินสุรุ่ยสุร่ายไม่ดี ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับเรา เราเป็นผู้รับผิดชอบ คุณค่าราคา และหาคุณค่าราคาไม่ได้ขึ้นอยู่กับเราคนเดียว เราต้องเป็นผู้พินิจพิจารณาเพื่อมีราค่ำราคาในตัวเอง สมบัติของเราทุกอย่าง เมื่อต่างคนต่างมีเจ้าของด้วยความพินิจพิจารณาแล้วจะราบรื่นดีงาม ไม่ย้อนเข้ามาทำลายตัวของเราเอง ด้วยความฟุ้งเฟ้อเห่อเหิม ความลืมเนื้อตัว ในการกินอยู่ปูวายใช้สอยต่าง ๆ ไม่มีขอบเขต เหล่านี้ละเป็นข้าศึกต่อพวกเราเอง ก็ขอให้นำไปใช้ในครอบครัวเหย้าเรือนของเราด้วยนะ
    <O:p</O:p
    เวลามาบำเพ็ญคุณงามความดีก็ให้ระงับ จิตดวงนี้เป็นที่เกิดขึ้นของ ๒ ประเภท กิเลสหนึ่ง เกิดขึ้นที่ใจแล้วอยู่ที่ใจของสัตว์ กิเลสนี้เป็นภัยของสัตว์ทั่วโลกดินแดนมานานแสนนานกี่กัปกี่กัลป์ ไม่เคยเป็นคุณต่อผู้ใดเลย เพราะฉะนั้นจอมปราชญ์ทั้งหลายจึงต้องสาปแช่งมัน และอันที่สองคือธรรม เกิดขึ้นในใจเหมือนกัน แต่สร้างตัวเองขึ้นเป็นคุณธรรมให้เป็นประโยชน์ ความสงบร่มเย็น บรรเทาทุกข์แก่โลกทั้งหลายจนกระทั่งถึงความพ้นทุกข์ได้ เพราะอำนาจแห่งธรรมที่เกิดขึ้นภายในใจของพวกเรา ของสัตว์โลกนี้แหละ แต่ละดวง ๆ ธรรมเกิดที่นี่ เมื่อบำรุงรักษาธรรมแล้ว ธรรมจะให้คุณค่าแก่เราถึงขั้นมหาศาล
    <O:p</O:p
    กิเลสก็อยู่ที่ใจของเรา อารมณ์ของกิเลสเป็นไปเพื่อความทำลาย ไม่เป็นไปเพื่อความเจริญรุ่งเรือง มีแต่เพื่อการทำลาย แต่อารมณ์ของธรรมเป็นไปเพื่อการบำรุงรักษา หรือส่งเสริมให้เป็นคนดิบคนดี มีความสุขความเจริญ รักใคร่ใฝ่ธรรม คุณงามความดีทั้งหลายจิตใจรักชอบ ถ้ากิเลสไม่รักไม่ชอบ เห็นอรรถเห็นธรรมเป็นคู่จองกรรมจองเวรกัน นี่คือกิเลสมันอยู่ในหัวใจเรา เวลาไหนมันยินดีในการทำบุญให้ทาน เวลานั้นใจเรามีธรรม ธรรมเครื่องบำรุงรักษาใจเรา เวลาไหนจิตใจเรามันเฉื่อยชาเรื่องอรรถเรื่องธรรม แต่มันเข้มข้นไปกับสิ่งเลวร้ายทั้งหลาย ความโลภ ความโกรธ ราคะตัณหา ความไม่รู้จักเพียงพอ ไม่รู้จักประมาณ ฟุ้งเฟ้อเห่อเหิม นี้คือเวลานั้นกิเลสกำลังก่อไฟเผาหัวใจเรา ให้เอามาคิดแล้วให้พินิจพิจารณาแยกแยะออก แล้วบำรุงตัวเองด้วยความเป็นผู้มีธรรมในใจ จะเป็นผู้มีความสุขความเจริญ
    <O:p</O:p
    วันนี้ก็พูดเพียงเท่านี้ แยกเอาธรรมมาเป็นเกี่ยวกับเรื่องอบรม เฉพาะอย่างยิ่งผู้ภาวนาให้ตั้งอกตั้งใจนะ เรื่องกิเลสนี้ติดแนบกับเราเร็วที่สุดด้วยนะ ไม่ทัน เวลาเราโง่เง่าเต่ากว่ามันนี้มันฉลาดมากนะ แต่มันไม่ฉลาดเสมอไป เมื่อธรรมมีมากเท่าไรมันจะค่อยอ่อนตัวลง สุดท้ายโง่กว่าธรรม ธรรมฟาดขาดสะบั้นไปเลย เข้าใจเอาละพอ<O:p</O:p


    [คัดจากกัณฑ์เทศน์ ณ วัดป่าบ้านตาด วันที่ ๑๔ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๔๖ เรื่อง น้ำตาร่วง ๓ พัก (ชมภาพและเสียงเต็มกัณฑ์ได้ที่หน้าธรรมะหลวงตา)<O:p</O:p
     
  5. paang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2005
    โพสต์:
    9,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +34,328


    5.เราก็ได้ปฏิบัติเต็มกำลังความสามารถของเรามาตั้งแต่วันออกปฏิบัติ กำจัดกิเลสไม่มีคำว่าอ่อนข้อย่อหย่อน จากการได้ยินได้ฟังอรรถธรรมจากหลวงปู่มั่นเป็นที่ถึงใจแล้ว เป็นที่พอใจ มีความมุ่งมั่นต่อแดนพ้นทุกข์ ขอเรียนให้ทราบตามความสัตย์ความจริงที่ฝังใจมา ตั้งแต่เริ่มแรกจากการได้ยินได้ฟังธรรมะจากหลวงปู่มั่นแล้ว ขอหลุดพ้นจากทุกข์ในชาตินี้เท่านั้น คือขอให้เป็นพระอรหันต์ เมื่อทราบชัดเจนแล้วว่ามรรคผลนิพพานมีอยู่โดยสมบูรณ์ เป็นธรรม อกาลิโก คำว่าอกาลิโกไม่มีคำว่าครึว่าล้าสมัย เป็นความเสมอภาคตลอดมาจึงเรียกว่าอกาลิโก ไม่มีกาลสถานที่เวล่ำเวลาที่จะมาตัดทอนมรรคผลนิพพานของผู้บำเพ็ญด้วยความชอบธรรมนี้ให้ขาดสะบั้นลงไปโดยไม่มีผลประโยชน์อะไรตอบแทน อย่างนี้ไม่มี
    <O:p</O:p
    ธรรมเป็นอกาลิโกเสมอต้นเสมอปลายสำหรับผู้บำเพ็ญธรรม ผู้ทำความชั่วช้าลามกก็เป็นอกาลิโกเหมือนกัน คือกิเลสก็เป็นอกาลิโก ใครหมุนไปทางกิเลสก็เป็นกิเลสและสร้างความชั่วช้าลามกไปได้เต็มเม็ดเต็มหน่วยจนเต็มหัวใจ หาที่ปลงที่วางไม่ได้เช่นเดียวกัน เพราะกิเลสกับธรรมเกิดที่ใจ อยู่ที่ใจ เราหมุนใจไปทางกิเลสก็เกิดกิเลสขึ้นมาเรื่อย ๆ หมุนตามกิเลสมากน้อยเพียงไรก็เป็นกิเลสขึ้นมาเรื่อย ๆ หมุนไปตามธรรมก็เป็นบุญเป็นกุศล เป็นอรรถเป็นธรรมขึ้นมา เพราะเหตุนั้นธรรมกับกิเลสจึงเป็นความเสมอภาคกันมาตั้งแต่ดั้งเดิม ไม่มีคำว่าสูญว่าหายไปไหน เป็นแต่เพียงว่าสัตว์โลกนี้ติดพันกับกิเลสมากกว่ากับอรรถกับธรรมเท่านั้น สัตว์โลกที่ได้รับความทุกข์ความทรมาน จึงมีมากยิ่งกว่าผู้ที่ได้ไปสู่ความสุขความเจริญ มีสวรรค์ นิพพานเป็นที่สุด ความต่างกันต่างกันที่ผู้บำเพ็ญมีมากมีน้อยต่างกัน
    <O:p</O:p
    แต่สำหรับมรรคผลนิพพานก็ดี กิเลสก็ดีมีที่หัวใจอันเดียวกัน ใครมุ่งไปทางไหน มุ่งไปทางธรรม ธรรมจะเกิดขึ้นจากการบำเพ็ญของตน ความสนใจของตัวเอง ใครหมุนไปทางกิเลส ความโลภจะเกิดขึ้น ความโกรธจะเกิดขึ้น ราคะตัณหาจะเกิดขึ้น ไฟกองใหญ่ทั้งสามประเภทนี้จะหมุนตัวเข้ามาเผาจิตใจสัตว์โลกได้มาเท่าไร ๆ เป็นเครื่องแผดเผาจิตใจให้เกิดความเดือดร้อนวุ่นวายไปตลอดเวลา นี่เรียกว่าธรรมกับกิเลสมีความสม่ำเสมอกัน
    <O:p</O:p
    อย่าพากันเข้าใจว่า ศาสนาจะเรียวจะแหลม จะสิ้นจะสุดไปตามคนหูหนวกตาบอดที่มันไม่เคยบำเพ็ญความดี แต่มันมาคอยตัดคะแนนให้คะแนนของศาสนาคือธรรมชั้นเอกของพระพุทธเจ้า นี่โง่ขนาดไหนคนประเภทนี้ ถ้าเราเชื่อตามคนประเภทที่ไม่เคยสนใจกับอรรถกับธรรมแล้วมาตัดคะแนนให้คะแนน ให้ประชาชนทั้งหลายซึ่งโง่อยู่แล้วฟัง เราก็ต้องติดร่างแหมันไป ไปจมลงในนรก ใครจะไปช่วยได้ ถ้าธรรมของพระพุทธเจ้าช่วยไม่ได้แล้วไม่มีทางใดที่จะช่วยได้เลย เวลานี้เราทั้งหลายได้เกิดมาเป็นมนุษย์ขอให้รู้สึกตัวตั้งแต่บัดนี้ต่อไป
    <O:p</O:p
    หลวงตาได้กล่าวถึงเรื่องความพอของหลวงตา ให้พี่น้องทั้งหลายได้ทราบตามลำดับลำดามา ในธรรมที่กล่าวเหล่านี้เราได้ผ่านมาโดยลำดับลำดา ทุกสิ่งทุกอย่างเชื่อบาป บุญ นรก สวรรค์ถึงนิพพานอย่างถึงใจ ไม่มีอะไรบกพร่องเลย จนกระทั่งฟาดกิเลสให้ขาดสะบั้นลงไปจากจิตใจไม่มีสิ่งใดเหลือแล้ว โล่งไปหมด ในสามแดนโลกธาตุนี้ว่างไปหมด ไม่มีอะไรมาข้องแวะภายในจิตใจเลย ก็มีกิเลสตัวเดียวเท่านั้นที่เป็นภัย มากีดมาขวาง มาผลักมาดัน บีบบี้สีไฟให้ได้รับความทุกข์ความทรมานเรื่อยมา พอกิเลสอันนี้ขาดสะบั้นลงไปจากใจ ไม่มีอันใดเลยที่จะมาผ่านหัวใจให้ได้รับความทุกข์ความทรมานตั้งแต่บัดนั้น
    <O:p</O:p
    คือบัดนั้น ได้แก่ตั้งแต่ขณะที่กิเลสได้ขาดสะบั้นลงจากใจด้วยการบำเพ็ญอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย อย่างเอาเป็นเอาตายของเรา ผลก็ปรากฏขึ้นมาเป็นที่พึงพอใจ ถึงขั้นที่ว่าเมื่อกิเลสหลุดลอยลงไปจากใจหมดแล้ว ระหว่างจิตกับกิเลสขาดสะบั้นจากกันนั้นประหนึ่งว่าฟ้าดินถล่ม กระเทือนไปหมดประหนึ่งว่าทั่วแดนโลกธาตุ แต่มันกระเทือนอยู่ภายในจิตใจกับกิเลสเท่านั้น อานุภาพที่แสดงออกนี้จึงประหนึ่งว่ากระเทือนทั่วแดนโลกธาตุ ความจริงแล้วกระเทือนเฉพาะกิเลสกับใจที่ขาดสะบั้นจากกัน จากสมมุตินี้กลายเป็นวิมุตติขึ้นมาในใจดวงนั้น ถึงขนาดเจ้าของได้เกิดความตื่นเต้นโดยไม่รู้สึกเนื้อรู้สึกตัวอะไร ๆ
    <O:p</O:p
    ความตื่นเต้นนี้คืออะไร ร่างกายไหวเลยทีเดียว ในขณะที่บำเพ็ญถึงธรรมขั้นนี้ ไม่คาดไม่ฝัน ธรรมประเภทอัศจรรย์เลยโลก ล้นโลกล้นสงสารนี้ได้ประกาศก้องขึ้นมาภายในจิตใจ พร้อมทั้งความสว่างไสว โลกธาตุนี้จ้าไปหมดเลย นี่ละเป็นความตื่นเต้นของธาตุของขันธ์ที่ไปสัมผัสสัมพันธ์กับแดนวิมุตติ คือธรรมธาตุ หรือนิพพานธาตุที่หลุดพ้นจากแดนสมมุติไปแล้ว ธาตุขันธ์ของเรานี้จึงได้กระเทือนกัน รับทราบกับธรรมชาติที่เลิศเลอนั้นเกิดความหวั่นไหว เกิดความกระทบกระเทือน เกิดมีความปีติหรืออะไรพูดไม่ถูก ถึงน้ำตาร่วงออกมาในเวลานั้น
    <O:p</O:p
    น้ำตานี้ไม่ใช่น้ำตาของพระนิพพาน ไม่ใช่น้ำตาของดวงอรหันต์ ไม่ใช่น้ำตาของธรรมธาตุ แต่เป็นน้ำตาของธาตุของขันธ์ที่กระทบกันกับธรรมธาตุที่เลิศเลอนั้นตื่นเนื้อตื่นตัว สะดุ้งขึ้นอย่างแรงจึงถึงกับน้ำตาร่วงลงมา ร่างกายไหวไปเลย นี่คือขันธ์ซึ่งเป็นเรื่องสมมุติล้วน ๆ น้ำตาก็เป็นสมมุติ เรื่องขันธ์ของเราทั้งหมดนี้เป็นสมมุติ แต่ไปกระทบกระเทือนกันกับวิมุตติหลุดพ้นของใจดวงนั้น จึงมีความตื่นเต้นถึงขนาดที่ว่าน้ำตาร่วง ขอให้ท่านทั้งหลายทราบเอาเสีย น้ำตาไม่ใช่นิพพาน น้ำตาคือธาตุคือขันธ์ ความไหวตัวแห่งธาตุขันธ์ทุกสัดทุกส่วนแห่งร่างกายของเรานี้เป็นธาตุขันธ์ เป็นสมมุติทั้งหมด แต่ตื่นเนื้อตื่นตัวสะดุ้งอย่างสุดตัว ในขณะที่ได้สัมผัสหรือกระทบกระเทือนกันในจิตที่เลิศเลอนั้น ที่หลุดลอยจากสมมุติออกไป
    <O:p</O:p
    นี่แหละเรื่องใจมันก็เป็นอย่างนั้น หลวงตานี้ก็เป็นมาแล้ว ๒ ครั้ง เป็นครั้งนั้นเป็นอยู่คนเดียวบนภูเขาหลังวัดดอยธรรมเจดีย์ จังหวัดสกลนคร วันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๔๙๓ เวลา ๕ ทุ่มพอดี บำเพ็ญธรรมถึงธรรมขั้นที่ว่าฟ้าดินถล่มนี้ในเวลา ๕ ทุ่ม นั้นแหละที่ออกอุทานกันอย่างเต็มเหนี่ยวโดยไม่คาดไม่ฝัน จะว่าวัดรอยพระพุทธเจ้าก็ไม่สนใจ ไม่มีเจตนาที่จะวัดรอย พอจิตดวงนี้เรียกว่าระหว่างกิเลสกับใจขาดสะบั้นจากกันเท่านั้น จิตนี้แสดงขึ้นอย่างผาดโผนโจนทะยานถึงกับน้ำตาร่วงลงมา แล้วออกอุทานขึ้นมาทางใจว่า เหอ พระพุทธเจ้าตรัสรู้ท่านตรัสรู้อย่างนี้ละเหรอ ๆ ซ้ำแล้วซ้ำเล่าให้มันถึงใจที่ได้ประสบในขณะนั้น และพระธรรมแท้เป็นอย่างนี้ละเหรอ ๆ พระสงฆ์แท้เป็นอย่างนี้ละเหรอ ๆ และพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์มาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้ยังไง นั่นคือเป็นธรรมแท่งเดียวแล้ว พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ซึ่งรวมเป็น ๓ ชื่อ เป็นกิริยา ๓ กิริยา มารวมเป็นหลักธรรมชาติตายตัวอันเดียวกันแล้ว คือธรรมแท่งเดียว เรียกว่านิพพานธาตุหรือธรรมธาตุ นี่ขึ้นอุทานอย่างเต็มเหนี่ยวโดยไม่คาดไม่ฝันและไม่คิดว่าเราวัดรอยของพระพุทธเจ้า นี่เป็นอย่างนั้น
    <O:p</O:p
    เมื่อความสว่างไสวได้เกิดขึ้นกับใจจนกระทั่งผาดโผนโจนทะยาน ตัวเองก็อัศจรรย์ เราอยากจะยกทั้งโคตรพ่อโคตรแม่เรามาพูดแต่เวลานั้นไม่แสดง ที่จะให้ถึงน้ำหนักจริง ๆ แล้ว ธรรมประเภทนี้เกิดขึ้นในใจของเราได้ยังไง อัศจรรย์ล้นโลกล้นสงสาร แม้แต่โคตรพ่อโคตรแม่ของเราก็ไม่เคยได้ยิน แต่ทำไมเราได้รู้ได้เห็นอย่างนี้ประจักษ์ใจของเรา ก็เพราะว่าโคตรพ่อโคตรแม่ของเราไม่ปฏิบัติอย่างเราท่านถึงไม่รู้ เราปฏิบัติแต่เราคนเดียวรู้ขึ้นมา จิตใจผาดโผนโจนทะยานจนกระทั่งคิดถึงโคตรพ่อโคตรแม่ เพราะเป็นแดนอัศจรรย์ เสียดายคิดถึงพ่อแม่ให้ได้มารู้มาเห็นอย่างนี้ นี่ไม่ใช่เป็นคำหยาบโลนแต่เป็นคำที่ถึงใจ เป็นน้ำหนักของธรรมที่ตอบรับกันอย่างนั้น
    <O:p</O:p
    ท่านผู้ฟังทั้งหลายกรุณาอย่าเข้าใจว่าพูดหยาบพูดโลน ไม่หยาบไม่โลนคือน้ำหนักของธรรมที่ตอบรับกันให้ถึงใจ ท่านพูดอย่างนั้น ตั้งแต่บัดนั้นมาแล้ว จิตสว่างจ้านั้นแล้วหายสงสัยทุกสิ่งทุกอย่าง บาป บุญ นรก สวรรค์ พรหมโลก นิพพาน ตลอดเปรตผีประเภทต่าง ๆ ที่พระพุทธเจ้าประกาศก้องมานานได้ประกาศขึ้นในหัวใจ หายสงสัยทุกสิ่งทุกอย่างแล้ว การสอนธรรมแก่โลกเราจึงไม่เคยสะทกสะท้านว่าจะผิดไปในสิ่งใดที่แสดงออกมา ไม่ว่าธรรมขั้นใด ธรรมขั้นต่ำ ขั้นสูง ขั้นสูงสุด ถอดออกมากจากหัวใจที่ได้ปฏิบัติมาอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย พร้อมกับผลซึ่งเป็นที่พึงใจในหัวใจของเรา ออกมาสอนโลกโดยไม่มีความสะทกสะท้านหวั่นไหว และไม่สนใจที่จะไปหาใครมาเป็นสักขีพยาน ว่าเทศน์ที่แสดงไปเหล่านี้ในธรรมทุกขั้น ผิดถูกประการใด ไม่มี เพราะเป็นที่แม่นยำในหัวใจที่ได้รู้เห็นมาแล้ว นี้คือภาคปฏิบัติ
    <O:p</O:p
    ไม่ได้เหมือนภาคความจำ ภาคความจำเราเรียนตั้งแต่ต้นถึงนิพพาน ก็มีแต่เรียนแต่ชื่อ ชื่อศีล ชื่อสมาธิ ชื่อมรรคผลนิพพาน ชื่อเทวบุตรเทวดา อินทร์ พรหม สวรรค์ชั้นพรหม เราก็ได้ยินแต่ชื่อ อ่านแต่ชื่อ ตัวจริงเราไม่เคยพบเคยเห็น ในภาคปฏิบัตินี้ได้รู้ได้เห็นทั้งจำได้ในชื่อในเสียง ทั้งเห็นตัวจริงจากภาคปฏิบัติ พูดถึงศีลก็เต็มตัวแล้ว สมาธิก็เต็มหัวใจ จนกระทั่งวิมุตติหลุดพ้นก็เต็มหัวใจ นี่เรียกว่าเป็นภาคความจริง จึงไม่มีที่สงสัยประการใดเลยในหัวใจนี้ เป็นยังไงพี่น้องทั้งหลายได้คิดยังไงหรือไม่ หรือศาสนาพระพุทธเจ้านี้เป็นโมฆะ เป็นศาสนาที่ครึที่ล้าสมัยไปแล้วเหรอ มีที่ทันสมัยตั้งแต่กิเลสคือความโลภ ความโกรธ ความหลงที่เหยียบหัวใจเราทั้งหลายอยู่เวลานี้ บางรายจนนอนไม่หลับ ถึงขนาดจะเป็นบ้าไปก็มี

    <O:p</O:p
    [คัดจากกัณฑ์เทศน์ ณ โรงเรียนวัดวชิรธรรมสาธิต กรุงเทพฯ วันที่ ๑๒ กรกฎาคม ๒๕๔๕ เรื่อง ให้มีเครื่องหมายพุทธศาสนาประจำตัว]

    ที่มา
    <O:phttp://www.luangta.com/salawatpa/content_show.php?content_id=166
    ขอขอบคุณ และอนุโมทนาบุญกับคุณ แดนโลกธาตุ<SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_", true); </SCRIPT> ผู้แนะนำบทความดีดีมา ณ ที่นี้ด้วยค่ะ


    </O:p
     
  6. แดนโลกธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2006
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +23,976
    สาธุ...........นำภาพพ่อแม่ครูบาอาจารย์มาให้ชมครับ....



    1.(ภาพแรก) หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ วัดอรัญบรรพต อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย
    2. (กลาง) หลวงปู่มหาบัว ญาณสัมปันโน วัดป่าบ้านตาด อ.เมือง
    จ.อุดรธานี
    3.(ท้าย) หลวงปู่จันทร์ศรี จันททีโป วัดโพธิ์สมภรณ์ อ.เมือง
    จ.อุดรธานี
     

แชร์หน้านี้