[FONT=trebuchet ms,sans-serif]ท่านพุทธศาสนิกชนทั้งหลาย และบรรดาเพื่อนภิกษุสามเณรทั้งหลาย วันนี้ก็จะมาคุยกันถึงเรื่อง น้ำมนต์ของพระพุทธเจ้า แต่ความจริงร่างกายผมมันก็แย่ วันนี้เป็นวันที่ ๒๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๗ ความจริงหยุดบันทึกเสียงมานาน ร่างกายไม่ดีแล้ว แถมวันนี้มันก็ยังไม่ดี ไม่ดีตลอดมา ก็เลยรำคาญร่างกาย แต่ว่าเสมหะมันก็มาก เป็นไข้ก็เป็น ก็ช่างมัน คอยมานานงานไม่มีผล ร่างกายไม่ดีก็เลยวันนี้แกล้งใช้ให้มันตายไปเสียเลย ในเมื่อมันไม่ดีก็ไม่รู้จะคบมันไว้ทำไม เรื่องน้ำมนต์ของพระพุทธเจ้านี่เป็นอย่างนี้ เพราะเวลานี้ได้ยินข่าวเขาบอกว่ามีพระบางวัด แต่ว่าในวัดนั้นจะเป็นทุกองค์รึเปล่าผมก็ไม่ทราบ เวลาที่ญาติโยมพุทธบริษัทไปหา เขาบอกไปงานศพ ออกมาพูด ๒ องค์ ๓ องค์ ก็โจมตีเรื่องเชื่อน้ำมันน้ำมนต์เป็นต้น ผมว่าพระเราทำอย่างนั้นมันก็ไม่ถูก ต้องศึกษากำลังใจคนเสียก่อน กำลังใจของคนน่ะ อยู่ระดับไหน แล้วก็ น้ำมนต์นี่มันไร้ผลหรือเปล่า ไอ้ที่เขามีผล มันก็มี ที่ทำให้เลอะเทอะไร้ผลก็มี ก็รวมความว่า คนติ น้ำมนต์ก็ถือว่าเป็นคนที่มีความไม่รอบคอบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่ติคน นินทาคน กล่าวร้ายป้ายสีคน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงกล่าวว่า ผู้นั้นยังไม่เข้าถึงสะเก็ดความดีของพระองค์ ที่พระองค์ทรงสั่งสอน เพราะเป็นอุปกิเลส
ฉะนั้นขอบรรดาท่านทั้งหลายที่ฟังอยู่ที่นี่เลิกนินทาคนเสีย ถ้าเราจะนินทาคนมากเพียงเไร เราก็เลวมากเพียงนั้น ถ้าเราเลิกนินทาคนเราก็เป็นคนดี เพราะคนนินทาคนไม่ใช่คนดี เป็นคนเลว เป็นคนคบกิเลส คือความเศร้าหมองของจิต ก็รวมความว่าอารมณ์จิตชั่วนั่นเอง
ผมจะนำเรื่องน้ำมนต์ของพระพุทธเจ้ามาเล่าสู่ท่านฟังใน พระธรรมบทภาคที่ ๗ ท่านกล่าวว่า เป็น บุพกรรมของพระองค์ ไอ้เรื่องบุพกรรมของพระพุทธเจ้านี่ พระพุทธเจ้าทรงสั่งให้พระอานนท์ ทำน้ำมนต์ จะได้รู้กัน การทำน้ำมนต์ พระพุทธเจ้าก็ทรงสั่งให้พระอานนท์ทำ แล้วพระอานนท์เป็น พุทธอนุชาด้วย เป็นน้องชายแล้วก็เป็น พุทธอุปัฎฐาก เป็นพระอุปถัมภ์ เหมือนกับเงาตามตัวของ พระพุทธเจ้า ถ้าน้ำมนต์ไม่ดี ถ้าพระอานทท์ ไปทำเข้า พระพุทธเจ้าต้องเล่นงานแน่ แต่ทว่าในเรื่องนี้ คาถาทำน้ำมนต์ พระพุทธเจ้าให้พระอานนท์ บอกให้พระอานนท์ศึกษา เมื่อพระอานนท์เรียนไปแล้วก็ไปทำน้ำมนต์ ก็เป็นอันว่า คนที่ด่าคนทำน้ำมนต์ ก็ถือว่าคนนั้นด่าพระพุทธเจ้าด้วย คนที่ด่าพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าตรัสว่า ไม่ใช่สาวกของพระองค์ คำว่าสาวกหมายถึง ผู้รับฟัง คือคนที่ไม่ใช่คนของ พระพุทธเจ้านั่นเอง ถือว่าเป็นคนของเดียรถีย์
วันนี้ผมอาจจะพูดแรงไปนิดหนึ่ง ก็ต้องขออภัย พูดให้พวกเราสู่กันฟังเรื่องของภายใน อย่าสุ่มสี่สุ่มห้า พูดส่งเดชไปมันจะลงนรก ท่านที่ปฎิบัติพระกรรมฐานได้แล้วไปดูเสียบ้างว่า คนที่พูดไม่ดูหนือ ดูใต้ประเภทนี้ เขาไปอยู่ขุมไหนกัน
เนื้อความก็มีอยู่ว่า สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภบุพกรรมของพระองค์เอง จึงได้ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า มัตตาสุข ปริจจาคา เป็นต้น เนื้อความก็มีอยู่ว่า ในสมัยหนึ่งใน เมืองไพสาลี ซึ่งมีอาณาจักรติดต่อกับเมืองของ กรุงราชคฤห์มหานคร เวลานั้น เมืองไพสาลีเกิดโรคร้ายเกิดขึ้น โรคอันดับแรกก็คือ ความแล้ง ฝนไม่ตกต้องตามฤดูกาล แล้วก็เกิดโรค คนก็อด โรคก็มาก ร้อนก็ร้อน ความจริง เมืองไพสาลี กับ เมืองราชคฤห์ นี่อยู่ใกล้กัน เขตนี้ถ้าร้อนก็ร้อนน่าดู อย่างพวกเรา ๆ ผมไปมาแล้วทนเกือบไม่ไหว ก็เป็นอันว่าคนก็เจ็บป่วยตายกันเป็นแถว ๆ
อันดับแรกโรคก็เกิดก่อน ไอ้ความไข้มีเข้ามา ร่างกายทรุดโทรม อากาศไม่ดี โรคอื่น เข้ามาแทรก หนัก ๆ เข้าอหิวาตกโรคก็มา เมื่ออหิวาตกโรคนี่ บรรดาญาติโยมพุทธบริษัท อหินี่ก็แปลว่า งู วาตะนี่ก็แปลว่า ลม ไอ้โรคะก็แปลว่า การเสียดแทง อาการเสียดแทงที่เกิดจากลม ลมนี่มีพิษเหมือนงู เขาว่าอย่างนั้น คือเป็นแล้วมันตายเร็ว จำไว้ด้วยนะ คำว่าอหิวาตกโรคนี่ก็แปลว่า โรคหรืออาการ เสียดแทงที่มาจากลม ลมที่มีพิษเหมือนงู ฉะนั้นคนที่เป็นโรคอหิวาต์ตายเร็ว เหมือนกับถูกพิษงูกัน เวลานั้นการแพทย์ก็ดี แต่ทว่ามันก็ไม่ทัน ถึงวาระที่คนจะตาย ก็ตายกันเกลื่อนกลาด เมื่ออหิวาตกโรคมาตายกันเกลื่อน ฝังก็ไม่ค่อยจะทัน ทิ้งศพหมักหมมกัน โรคอื่นก็เข้ามาแทรก พวกอมนุษย์คือพวกอสุรกายบ้าง พวกเปรตบ้าง พวกอะไรบ้างก็เข้ามายื้อแย่งศพกิน ก็หมักหมมกันมาก คนตายหนัก
อาการตาย เมื่อมากเข้าอย่างนั้นจริง ๆ บรรดาชาวบ้านเขาก็โทษพระราชา ความจริงพระราชานี่ เป็นกระโถนท้องพระโรงจริง ๆ ท่านก็อยู่เฉย ๆ ท่านก็ทำความดีทุกอย่าง แต่ว่าชาวบ้านก็โทษว่า เจ็ดรัชกาลมาแล้ว ไม่เคยมีโรคอย่างนี้เลย แต่มารัชกาลนี้เป็นรัชกาลที่ ๘ นี่ หมายความ ความจริงเขาสืบ เขาปกครองราชสมบัติเป็นพระราชามาถึง ๗,๐๐๐ องค์กระมัง มันมากด้วยกันนะ ผมก็ไม่รู้กี่องค์ ขี้เกียจจำ นับว่าเป็นพัน ๆ องค์ ในเมืองนี้เขาไม่มีการปฎิวัติรัฐประาหาร บ้านเมืองก็มีความสุข แต่ว่าคนเขาทราบว่า สมัยตั้งแต่รัชกาลที่ ๑ ถึง ๗ ในช่วงหลังนี้ไม่เคยมีโรคร้ายแบบนี้ แต่ว่าพอรัชกาลที่ ๘ เข้ามา โรคหนักจริง ๆ เขาก็เลยโทษพระราชาว่าพระราชาไม่ทรงธรรม
พระราชาท่านก็ดีแสนดี จึงประชุมอำมาตย์ข้าราชบริพาร ปุโรหิต คนที่มีความรู้ต่าง ๆ ให้ สอบสวน สืบสวนความประพฤคิของพระองค์ว่า ความประพฤติของพระองค์นี่มันไม่ดีตรงไหนบ้าง บกพร่องตรงไหนบ้าง ขอให้ชี้แจงออกมา ถ้ามีอะไรไม่ดีก็ทรงยอมรับผิด บรรดาประชาชนทั้งหลายเหล่านั้นก็พิจารณากันแล้ว เห็นว่าพระองค์ทรงทำดีทุกอย่าง อยู่ในศีลในธรรมทุกอย่าง แต่พอเวลานั้นโรคเกิด ๓ รายการ คือ
[/FONT]
[FONT=trebuchet ms,sans-serif]๑. ภัยเกิดจากอาหาร อาหารนี่หาได้ยาก มันจนแล้วไม่มีอะไรจะกินเหมือนกับปี ๒๕๑๒ ของเรา
[/FONT]
[FONT=trebuchet ms,sans-serif]๒. ภัยเกิดจากพวกอมุษย์ คือพวกผี พวกเปรต พวกอสุรกาย
[/FONT]
[FONT=trebuchet ms,sans-serif]๓. แล้วภัยมันเกิดขึ้นจากโรค โรคมันเกิดขึ้นจากอากาศไม่ดี
[/FONT]
[FONT=trebuchet ms,sans-serif]ในเมื่อทุกคนเห็นว่าพระราชาดี ก็กราบทูลให้ทรงทราบว่า ความผิดของพระองค์ไม่มีพระเจ้าค่ะ พระองค์จึงได้ปรึกษาว่า ถ้าอย่างนั้นจะทำอย่างไรดี เอาอย่างไรกันแน่ โรคจึงจะบรรเทา บรรดาลูกศิษย์ของอาจารย์ทั้งหกของเดียรถีย์ก็บอกว่า ถ้าไปนำอาจารย์ทั้ง ๖ มา อาจารย์ทั้ง ๖ มีฤทธิ์มาก มีบุญญา ธิการมาก โรคอย่างนี้จะหาย
แต่ทว่าในเวลานั้น สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงอุบัติขึ้นในโลกใหม่ ๆ ก็นั่นหมายความว่า ใหม่เอี่ยมเลย เข้าไปอยู่ในพระเชตวันมหาวิหาร เห็นว่าจะประมาณ ๑ ปี เห็นจะไม่ครบปี เป็นเวลาจวนที่จะเข้าพรรษา นั่นหมายความว่าถึงปีที่ ๒ บรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณ เข้ามาเป็นปีที่ ๒ ก็มีคนที่ทราบข่าวพระพุทธเจ้าว่า เวลานี้พระพุทธเจ้าทรงอุบัติขึ้นแล้วในโลก ขอให้ไปนิมนต์พระพุทธเจ้ามาที่นี่ โรคภัยไข้เจ็บมันจะหาย ภัยอันตายต่าง ๆ จะหมดไป ในที่ประชุมลงมติเห็นเป็นเอกฉันท์ว่าเห็นด้วย อาจารย์ทั้ง ๖ มีมานานแล้ว โรคมันก็มี แต่ว่าสมเด็จพระชินศรี คือพระพุทธเจ้าเราใฝ่ฝันกันมานาน ใคร ๆ ก็พูดถึงพระพุทธเจ้า แต่ไม่เคยได้พบพระพุทธเจ้าจริง ๆ สักที เวลานี้พบพระพุทธเจ้าจริง
ขณะที่ปรึกษากันอยู่นั้นก็มี เจ้าลิจฉวี องค์หนึ่ง ท่านประทับอยู่ด้วย พระเจ้าลิจฉวี องค์นี้ไปฟังเทศน์ของพระพุทธเจ้าพร้อมกับพระเจ้าพิมพิสาร ในวันที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเข้ามากรุงราชคฤห์เป็นครั้งแรก แล้วเวลานั้น พระเจ้าพิมพิสาร กับบรรดาพุทธบริษัท เป็นพระโสดาบันกันเป็นแถว ๆ พระเจ้าลิจฉวีองค์นี้ก็เป็นพระโสดาบันด้วย ในเมื่อเขาพูดถึงพระพุทธเจ้า ท่านก็ทรงยืนยันว่า พระพุทธเจ้ามีความดีจริง ถ้าพระพุทธเจ้ามาในที่นี้ โรคภัยมันจะหายไป ความจริงโรคร้ายที่เบียดเบียน ร่างกายมันเป็นของธรรมดา มันเป็นโรคมาใหม่ แต่โรคร้ายที่สุดที่ประจำใจ คือความเลวของจิตมันจะหายไปด้วย ทุกคนก็ตัดสินใจว่า ถ้าอย่างนั้นต้องให้ พระเจ้าลิจฉวีองค์นี้กับลูกชายของปุโรหิตไปนิมนต์พระพุทธเจ้าที่ กรุงราชคฤห์มหานคร
เมื่อท่านรับอนุมัติก็ทรงไปเฝ้าพระเจ้าพิมพิสาร ความจริงท่านเป็นเพื่อนกัน เอาเครื่องบรรณาการไปมอบให้แก่พระเจ้าพิมพิสาร ไปถวายอีก ทั้งบอกว่ามีความต้องการอยากจะได้พระพุทธเจ้าไปสงเคราะห์ที่ เมืองไพสาลี เพราะเวลานี้คนตายกันมาก ทับถม ฝังก็ไม่ทัน เผาก็ไม่ทัน มันตายกันเป็นเบือ แหม! ไอ้โรคตาย ๆ อย่างนี้นี่ครับ ผมเคยเจอะมาหลายสมัยในชีวิตผม มันน่ากลัวจริง ๆ บางทีคนเขามาเอาโลงที่วัด ไอ้คนเอาโลงจะไปใส่ศพ ไม่ทันจะเอาโลงไป เขามาส่งข่าวตายอีกแล้ว วันหนึ่งตาย ๔-๕ คน เฉพาะในเขตนั้นทำอย่างนี้ พระในวัดหนาวกันเป็นแถว ๆ นี่แหละครับ อย่าประมาท จะบอกสมัยไหนหมอเก่งนั่นน่ะสมัยนั้นหมอเก่ง ๆ โรคฉะหมอตายเป็นแถว ๆ
รวมความว่า พระเจ้าพิมพิสาร ก็บอกว่า พระพุทธเจ้าไม่ได้อยู่ในอำนาจของกระผม ผมเองก็เป็นลูกศิษย์พระพุทธเจ้า พูดภาษาไทย ๆ นะ พระพุทธเจ้าจะเสด็จไปหรือไม่เสด็จไปเป็นเรื่องของท่านที่จะต้องเข้าไปกราบทูลเอง จะเอาเครื่องบรรณาการ เครื่องกำนัลอะไรก็ตาม เครื่องกำนัลเครื่องผู้ใหญ่บ้านมาให้น่ะ ผมรับไม่ได้ ทางที่ดีก็ไปนิมนต์เอง ดังนั้นพระเจ้าลิจฉวี กับลูกชายของปุโรหิตก็ไปกราบทูลองค์สมเด็จพระบรมศาสดาให้ทรงทราบ (นี่มันยังไม่สบาย ลิ้นมันไม่เป็นเรื่อง ที่มันไม่สบายมากกว่านี้ ก็พูดไปอย่างนั้นนะ มันอยากไม่สบาย พูดให้มันตายไปซะเลย ถ้าตายในธรรมก็ไม่เป็นไร)
พระพุทธเจ้าทรงทราบ พิจารณาดูตามด้วยอำนาจพุทธญาณก็ทรงทราบว่า ถ้าตถาคตไปที่นั่น ถ้าเราไปที่นั่น นึกในใจนะ ไปถึงแล้วฝนจะตกหนัก จะชะสิ่งโสโครกทั้งหมดให้ไหลลง แม่น้ำคงคา ความสะอาดของพื้นที่จะเกิดขึ้น หนึ่ง โรคจะบางเพราะความสกปรกก็เริ่มหายไป แล้วก็ประการที่ ๒ ถ้าเราแสดงพระธรรมเทศนา รัตนสูตร ยานีธ ภูตานิ (ในเจ็ดตำนาน) ผลจะเกิดมหันต์ เป็นมหันต์ให้คนเข้าถึงพระไตรสรณคมน์ อยู่ในศีลห้า ปฎิบัติดี ปฎิบัติชอบ จะมีความสุขกัน คือ ไม่เบียดเบียนกันโดย ทางกาย ไม่ฆ่ากันบ้าง ไม่เบียดเบียน ไม่ทำร้ายร่างกายกันบ้าง ไม่ลักไม่ขโมยกัน ไม่แย่งคนรักกัน ไม่โกหกมดเท็จ ไม่พูดส่อ ไม่พูดคำหยาบ ไม่พูดส่อเสียด เพ้อเจ้อเหลวไหล ไม่นินทาชาวบ้าน แล้วก็ ไม่เมาเกินไป อันนี้โลก เมืองไพสาลี จะมีความสุขขึ้นกว่าเดิม แต่ว่าจะให้หมดไปทีเดียวไม่ได้ เพราะความเลวของคนมันมีอยู่ ดูแต่สมัยนี้เถอะ อย่าว่าแต่คนนุ่งกางเกงเลย คนนุ่งสบงมันยังเลว
เมื่อพระพุทธเจ้าทรงทราบด้วยอำนาจพุทธญาณ ก็ทรงรับว่าตถาคตจะไป ต่อมาเมื่อ พระเจ้า พิมพิสาร ทรงทราบ ก็เข้าไปกราบทูลถามองคฺสมเด็จพระจอมไตรว่า จะเสด็จไปเมืองไพสาลี หรือ พระพุทธเจ้าข้า พระพุทธเจ้าก็ตรัสว่าไป ตถาคตจะไปสงเคราะห์ แต่ว่าจะไปไม่นาน จะต้องกลับมาเข้าพรรษาที่พระเวฬุวัน เวลานี้ก็เหลือเวลาอีกไม่กี่วัน ๑๐ วันกว่า ๆ จะเข้าพรรษา พระเจ้าพิมพิสาร ได้กลาบทูลว่า ก่อนที่พระองค์เสด็จไป รอข้าพระพุทธเจ้าก่อน ขอให้ปรับพื้นที่ให้ดีเสียก่อน พื้นที่ยังไม่ ราบเรียบ จึงได้ทรงสั่งให้พนักงานปรับพื้นที่ให้เรียบเดินสะดวก ๆ สำหรับพระพุทธเจ้ากับบรรดา พระสงฆ์ ๕๐๐ รูป ระยะทางสิ้นทางไกล ๕ โยชน์ แล้วก็จัดดอกไม้ ๕ สี โปรยปรายด้วยทุกทางสูง แค่เข่า เป็นการบูชาพระพุทธเจ้า เมื่อเสร็จแล้วก็กราบทูลให้เสด็จพระพุทธดำเนิน
เวลานั้นเมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จ จะเอาร่มเอาฉัตร ๒ ชั้นกั้นให้พระพุทธเจ้า ฉัตรชั้นเดียวกั้นให้ พระสงฆ์ ๕๐๐ รูป คือ ๑ รูป ๑ องค์ ต่อฉัตร ๑ คัน ก็หลังจากนั้นไปถึงแม่น้ำแล้วต้องข้ามฟาก ก็เอาเรือ ๒ ลำเข้ามาเทียบกัน ทำเป็นเรือกัญญา ประดับประดาสวยสดงดงาม เวลาที่เรือถอยออกไป สำหรับพระพุทธเจ้าเรือพระพุทธเจ้าเรือต้องใช้มาก ๕๐๐ องค์ แต่เรือของพระพุทธเจ้านี่ประดับประดาสวยงาม
พระเจ้าพิมพิสารไปส่งเรือถึงน้ำแค่คอ เรือถอยออกไป ท่านก็เดินตามเรือไป มือพนมไป ไหว้พระพุทธเจ้าลงทั้งเครื่องทรง ไม่ใช่มีแต่ผ้าขาวม้า น้ำแค่คอ ก็กราบทูลพระพุทธเจ้าว่า ถ้าพระองค์ยังไม่เสด็จกลับเพียงใด ข้าพระพุทธเจ้าก็จะคอยพระองค์อยู่ที่นี่จนกว่าจะเสด็จกลับ
พระพุทธเจ้าก็ทรงเสด็จไปทางเรือ ซึ่งระยะทาง ๓ โยชน์ แล้วก็จึงขึ้นฝั่ง ที่ฝั่งโน้นก็เหมือนกัน เมื่อทราบข่าวว่า พระเจ้าพิมพิสาร ทำอย่างนั้น พระราชาเมืองไพสาลี ก็ลงมารับแค่คอเหมือนกัน น้ำแค่คอเหมือนกัน จัดที่ให้เรียบเป็นระยะทาง ๓ โยชน์ ถึงเมืองแล้วก็เอาดอกไม้โปรยปรายเช่นเดียวกัน แต่ว่าทางโน้นจัดหนักของพระพุทธเจ้า ฝั่งนี้จัดฉัตร ๒ ชั้น ฝั่งโน้นจัดฉัตร ๔ ชั้นรับพระพุทธเจ้า ฝั่งพระเจ้าพิมพิสาร จัดฉัตร ๑ ชั้น กั้นให้แก่บรรดาพระสงฆ์ ฉัตรคือร่ม ฉัตรแปลว่าร่ม แต่ฝั่งโน้นเอาร่ม ๒ ชั้น ฝั่งนี้เอาร่ม ๑ ชั้น ทำให้เกินกัน
พอพระพุทธเจ้าทรงเหยียบพื้นดินฝั่งโน้นของเมืองไพสาลี มหาเมฆใหญ่ตั้งขึ้น ฝนตกหนักไม่ลืมหูลืมตานับเป็นชั่วโมง ๆ นาบางแห่งน้ำท่วมแค่เข่าบ้าง บางแห่งน้ำท่วมแค่อก น้ำก็พัดพาเอาสิ่งโสโครกต่าง ๆ ลงในแม่น้ำคงคา ทำให้บ้านเมืองสะอาดขึ้นมาเยอะ และไอ้สิ่งปฎิกูลพวกซากศพทั้งหลายเหล่านั้น ก็หล่นไหลลงมาในแม่น้ำลำคลองหมด ส่วนเลอะเทอะต่าง ๆ ก็มาตามพื้นดินสะอาด ความ ชุ่มชื่นก็ปรากฎ คนก็เริ่มมีความสบายเพราะฝนไม่ตกนาน
ครั้นเมื่อองค์สมเด็จพระพิชิตมารเสด็จเข้าไปในเขตเมืองไพสาลี เข้าไปในเขตพระราชฐาน แล้วองค์สมเด็จพระทีปแก้วก็ทรงเรียก พระอานนท์ ว่าอานันทะ ดูกร อานนท์ จงมานี่ เธอจงไปเรียน รัตนสูตร รัตนสูตร คือบท ยานีธ ภูตานิ เรียน รัตนสูตร ไป แล้วก็ไปเดินไปบริกรรมรอบ ๆ เขตของ เมืองไพสาลี ทั้ง ๔ ทิศ
พระอานนท์ เรียน รัตนสูตร แล้ว หลังจากนั้นก็เอาบาตรขององค์สมเด็จพระประทีปแก้ว เอาบาตรของพระพุทธเจ้าใส่น้ำเห็นไหม เริ่มทำน้ำมนต์ วิธีทำน้ำมนต์ของพระอานนท์ก็คือ
[/FONT]
[FONT=trebuchet ms,sans-serif]๑. อาราธนาบารมีของพระพุทธเจ้า ๓๐ ทัศ คือบารมีปกติที่เรียกว่าบารมีเฉย ๆ ๑๐ ทัศ อุปบารมี ๑๐ ทัศ ปรมัตถบารมี ๑๐ ทัศ แล้วก็
[/FONT]
[FONT=trebuchet ms,sans-serif]๒. มหาความดีของพระพุทธเจ้าอีกอันหนึ่ง คือ มหาบริจาค * ๕ ประการ แล้วก็
[/FONT]
[FONT=trebuchet ms,sans-serif]๓. จริยา ๓ ประการ คือโลกัตถจริยา ซึ่งพระพุทธเจ้าทรงประพฤติให้เป็นประโยชน์แก่โลก ญาตัตถจริยา ที่พระ พุทธเจ้าทรงประพฤติให้เป็นประโยชน์แก่พระญาติ พุทธัตจริยา ทรงประพฤติให้เป็นประโยชน์ในฐานะที่เป็นพระพุทธเจ้า คือสอนคนให้บรรลุมรรคผล แล้วก็
[/FONT]
[FONT=trebuchet ms,sans-serif]๔. อาราธนาความดีขององค์สมเด็จพระชินศรี ในการก้าวลงสู่พระครรภ์ในภพที่สุด คือชาติ สุดท้าย แล้วการความดีของการประสูติ ความดีในการเสด็จออกมหาภิเนษกรมณ์ของพระพุทธเจ้า แม้พระพุทธเจ้าทรงทำความเพียรถึง ๖ ปี ต่อมาความดีของพระองค์ บารมีช่วยให้ขณะที่ ตลอดจนอาราธนาความดีที่แทงตลอด สัพพัญญุตญาณ เหนือโพธิบัลลังก์เป็นพระพุทธเจ้า เป็นพระอรหันต์ การยังธรรมจักรที่พระพุทธเจ้าทรงแสดง ธรรมจักร ให้เป็นไปกับปัญจวัคคีย์ฤาษี ทั้ง ๕ ให้เป็นไปในโลก
[/FONT]
[FONT=trebuchet ms,sans-serif]* มหาบริจาค การสละอย่างใหญ่ของพระโพธิสัตว์ ๕ อย่างคือ [/FONT]
[FONT=trebuchet ms,sans-serif]๑. ธนบริจาค สละทรัพย์สมบัติเป็นทาน
[/FONT]
[FONT=trebuchet ms,sans-serif]๒. อังคบริจาค สละอวัยวะเป็นทาน
[/FONT]
[FONT=trebuchet ms,sans-serif]๓. ชีวิตบริจาค สละชีวิตเป็นทาน
[/FONT]
[FONT=trebuchet ms,sans-serif]๔. บุตรบริจาค สละลูกเป็นทาน
[/FONT]
[FONT=trebuchet ms,sans-serif]๕. ทารบริจาค สละเมียเป็นทาน
[/FONT]
[FONT=trebuchet ms,sans-serif]๕. แล้วก็อาราธนา โลกุตตรธรรม ๙ ประการ คือ มรรค ๔ ผล ๔ นิพพาน ๑ ได้แก่ โสดาปัตติมรรค สกิทาคามิมรรค อนาคามิมรรค อรหัตมรรค พระโสดาปัตติผล พระสกิทาคามิผล พระอนาคามิผล พระอรหัตผล แล้วก็นิพพาน อีก ๑ เป็น ๙
[/FONT]
[FONT=trebuchet ms,sans-serif]หลังจากอาราธนาบารมีทั้งหมดเสร็จ พระอานนท์ก็เข้าไปยังเขตของเมืองในพระนคร เที่ยวทำ พระปริต คือสวด ยานีธ ภูตานิ เรื่อยไปในกำแพงทั้ง ๓ ด้าน คือเดินกำแพง ๓ ด้าน ตลอด ๓ ยาม ในราตรีนั้น เดินไปเดินมาก็สวด รัตนสูตร ยานีธ ภูมินิ สมาคตนิ ภุมมานิ วา ยานิว อันตลิกเข ท่านรู้ แต่ท่านบอกว่า เมื่อพระอานนท์ใช้ศัพท์คำว่า ยังกิญจิ เท่านั้นล่ะ เป็นต้น เป็นอันว่าพระเถระกล่าวเท่านั้น น้ำที่สาดท่านก็สาดน้ำไปด้วยน้ำมนต์ อย่าลืมนะ ทำน้ำมนต์น่ะบทนี้นะ เมื่อสาดน้ำขึ้นไปเบื้องบน น้ำขึ้นไปลอยเบื้องบนตกลงมากระหม่อม กระหม่อมของอมนุษย์ทั้งหลายคือเปรต อสุรกาย เป็นต้น พวกนั้นทนไม่ไหว วิ่งกันพล่านไปหมด จำเดิมแต่การกล่าวคาถา ยานีธ ภูตานิ เป็นต้น หยาดน้ำเป็นราวกับว่า เทริดเงิน คือชฎาพุ่งขึ้นไปในอากาศ แล้วตกลงมาเบื้องบน ตกลงมาบนหัวของบรรดามนุษย์ ทั้งหลายผู้ป่วย บรรดาคนป่วยทั้งหลาย หายโรคทันทีทันใด นั้นเองเห็นไหมล่ะ แล้วก็ลุกขึ้นแวดล้อมพระเถระ
หนังสือท่านว่าอย่างนี้นะ ท่านบอกจำเดิมแต่บทว่า ยังกิญจิ เป็นต้น อันพระเถระกล่าวแล้ว บรรดาอมนุษย์คือพวกเปรต อสุรกาย สัมภเวสีทั้งหลาย ถูกเมล็ดน้ำกระทบแล้วทนไม่ไหว รีบวิ่งกันหนีกันพล่านไปก่อน คนที่อาศัยที่กองหยากเยื่อก็ดี ส่วนแห่งฝาเรือนเป็นต้นก็ดี ก็หนี หนีไปแล้วโดยประตู ออกประตูนั้นบ้าง ประตูนี้บ้าง เท่าที่มีประตู ท่านบอกบรรดาประตูทั้งหลายไม่มีช่องว่างเลย พวกนี้มันดันกันหมด เบียดกันออกไป บรรดาอมนุษย์ทั้งหลายเหล่านั้น เมื่อไม่ได้โอกาสก็ทำลายกำแพงหนีไป มหาชนประพรมท้องพระโรงในท่ามกลางแห่งพระนคร ด้วยของหอมต่าง ๆ แล้วก็ผูกผ้าเพดานอันวิจิตรนั้นด้วยดาวทอง เป็นต้น ตกแต่งพุทธอาสน์นำเสด็จสมเด็จพระบรมโลกนาถเสด็จเข้าไป
แหม! วันนี้ไม่ทันจะถึงไหนเลย นาฬิกากริ๊งซะก่อนแล้ว ไม่พูดอะไรกัน เวลามันหมดแล้ว ก็ขอบอกว่าเรื่องน้ำมนต์ไม่ใช่เรื่องเหลวไหลถ้าทำถูก. [/FONT]
[FONT=trebuchet ms,sans-serif]กราบขอบพระคุณแหล่งที่มา : [/FONT][FONT=trebuchet ms,sans-serif]http://www.thaisquare.com/Dhamma/book/prasutr/content.html[/FONT]
น้ำมนต์พระพุทธเจ้า
ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย HONGTAY, 25 กันยายน 2009.
-
-
น้ำมนต์พระพุทธเจ้า (ตอนจบ)
[FONT=trebuchet ms,sans-serif]ญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลาย และบรรดาเพื่อนภิกษุสามเณรทั้งหลาย สำหรับวันนี้ผมก็ขอพูดเรื่องน้ำมนต์ของพระพุทธเจ้าต่อไป เรื่องราวของพระพุทธเจ้าก็มีอยู่ว่า หลังจากที่พระอานนท์ประพรมน้ำมนต์ ภูมิผีปีศาจหนีไปแล้ว แล้วก็ประตูต่าง ๆ มันเต็มไปหมด แต่ก็ไม่มีทางจะออก ผลที่สุดส่วนที่เหลือก็ดันกำแพงเมืองหมด พังไปแถบหนึ่ง เป็นอันว่าบ้านเมืองนั้นก็มีความสุข บรรดาอำมาตย์ข้าราชบริพารในเมืองนั้น เขาก็พากันจัดสถานที่เพื่อพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าก็ทรงเทศน์ รัตนสูตร รัตนสูตร แปลว่า ยังไงนะ ก็ไปดูใน ๗ ตำนาน แล้วก็ไปดูที่ท่านแปลไว้ หนังสือ ๗ ตำนานแปล สวนมนต์แปล มีเป็นอันว่ามีผลดีแก่บรรดาประชาชนทั้งหลาย
เมื่อองค์สมเด็จพระจอมไตรทรงเทศน์โปรด เมืองไพสาลีเสร็จ ก็เสด็จกลับมาลงเรือ ตอนเสด็จกลับนี่ พระเจ้าเมืองไพสาลี ก็จัดเป็นพิเศษ เดิมทีเดียวจัดฉัตรพระพุทธเจ้า ๔ ชั้น ก็นี่ล่อซะ ๘ ชั้น จัดฉัตรเพื่ออรหันต์นี่เป็น ๔ ชั้น แล้วก็ลงเรือมา
ต่อมาบรรดาพญานาคทั้งหลายก็อยากบูชาพระพุทธเจ้าบ้าง ก็ทรงอาราธนาพระพุทธเจ้าทรงนิมิตเรือทองคำบ้าง เรือแก้วมณีบ้าง อะไรต่ออะไรผมจะไม่พรรณนา สวยสดงดงามเป็นกรณีพิเศษ บรรดาเทวดาและพรหมก็ตั้งฉัตรกันเป็นชั้น ๆ เต็มจักรวาลไปหมด บูชาพระพุทธเจ้า ขอเล่าลัด ๆ
เมื่อพระพุทธเจ้าทรงไปเทศน์ โปรดพญานาคพอสมควรแก่เวลา ประมาณ ๓ วันก็เสด็จกลับ เวลาที่ลงเรือ พระเจ้าเมืองไพสาลีก็ลงมาส่งแค่คอ น้ำถึงคอเหมือนกัน กลับมา พระเจ้าพิมพิสารก็ลงไปรับพระพุทธเจ้าเหมือนกัน พระพุทธเจ้าก็เสด็จกลับเข้าไปใน เชตวันวิหาร ผมจะเล่าต่อไปดีไหม
ตอนนี้ก็ขอย้อนเรื่องน้ำมนต์เสียหน่อยหนึ่งขอรับ เรื่องน้ำมนต์นี่ บรรดาเพื่อนภิกษุสามเณร ญาติโยมพุทธบริษัท เขายังเคารพนับถือกัน ผมน่ะเป็นคนไม่ขัดคอคน แต่พูดมาก ๆ ไม่ได้ เดี๋ยวไปชนเอาคนที่ขัดคอคนเข้า แต่ว่าผมก็ไม่มีเจตนาร้าย ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่าผมยังเป็นคนโง่อยู่ ในเมื่อผมโง่ ผมก็ต้องยอมตาม ยอมรับนับถือพระพุทธเจ้าเรื่อย ๆ ไป ผมถือว่ายังไง ๆ ก็ตาม ผมต้องดีไม่เหมือน พระพุทธเจ้าแน่ และความดีของผมก็ไม่ใกล้พระพุทธเจ้าเข้าไปด้วย ก็ขอเดินตามรอยไกล ๆ ท่านสักนิด ๆ เห็นรอยชัด เงา ๆ หน่อย ๆ ก็ดีแล้ว แค่แกะรอยตามพระพุทธเจ้า ในเมื่อพระพุทธเจ้าเองทรงจัดให้พระอานนท์ ทำน้ำมนต์ แล้วผมจะไปประณามคนทำน้ำมนต์ว่าเขาเลว นี่คือเป็นคนยอมรับน้ำมนต์ว่าเลว ผมก็จะเลวกว่าเขา ทั้งนี้เพระอะไร เพราะว่า ถ้าติว่าคนทำน้ำมนต์เลวทั้งหมด ก็ถือว่าติพระพุทธเจ้าด้วย ท่านเห็นด้วยไหม เพราะว่าในศาสนาของเรา พระพุทธเจ้าสั่งทำเป็นองค์แรก แล้วก็เป็นการบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณใกล้ครบปี พระองค์ทรงบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณ วันวิสาขบูชา แล้วก็เทศน์ธรรมจักร วันกลางเดือน ๘ เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ถ้านับแต่วันเทศน์ ธรรมจักรมาก็เกือบปี แต่วันบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณกลางเดือน ๖ พอถึงใกล้กลางเดือน ๘ ก็เรียกว่าปีเศษ ๆ อันนี้ผมก็ไม่ได้เขียนมา ผมจำจาก ธรรมบท มา เป็นอันว่าพระพุทธเจ้าทรงยอมรับนับถือการทำน้ำมนต์
แต่ผมก็ยอมอีกอย่างหนึ่งเหมือนกันว่า คนทำน้ำมนต์นี่ก็มีหลายประเภท ทำน้ำมนต์ดีก็มี ทำ น้ำมนต์ร้ายก็มี ฉะนั้นนิ้วไหนร้ายก็ตัดเฉพาะนิ้วนั้น อย่าไปว่ากันทั้งหมด อย่างว่าสมัยหนึ่ง ความจริงเรื่องทำน้ำมนต์ก็ดี พวกผีก็ดี พวกเจ้าก็ดี นี่ผมไม่ค่อยจะเชื่อกับเขา ในสมัยเมื่อผมยังไม่บวชนี่ ผมไม่เชื่อเอาจริง ๆ เรื่องทำน้ำมนต์นี่ ผมเห็นว่าเป็นเรื่องบ้า ๆ บวม ๆ แต่ว่าในที่สุดผมก็กลายเป็นคนบ้าคนบวมเสียเอง ผมจะเล่าเรื่องของผมสักตอนหนึ่ง สมัยนั้นผมเป็นหนุ่ม ผมเป็นหนุ่มคือรูปร่างก็คงไม่เหมือนคนแก่ และลีลาของผมก็คงไม่เหมือนเดี๋ยวนี้ เดี๋ยวนี้ไม่มีการสุภาพเรียบร้อย เพราะคนแก่คือไม่มีมารยา สมัยโน้นเป็นหนุ่มมารยามาก ต่อหน้าผู้ใหญ่ก็เหมือนกับผ้าพับไว้ ลับหลังผู้ใหญ่ก็เหมือนกับนุ่นปลิวลม แต่ว่ามีอันหนึ่งที่ผมปฎิบัติตามผู้ใหญ่เคร่งครัดนั่นคือไม่ดื่มสุราเมรัย ผมดื่มสุราไม่เป็นมาตั้งแต่เด็กแล้ว ในชีวิตนี้จริง ๆ ได้ดื่มสุราครั้งเดียว ไปเที่ยว งานฉลองรัฐธรรมนูญ พศ. ๒๔๗๖ ที่สนามหลวง มันหนาวจัดกลับบ้านไม่ได้ บ้านอยู่ฝั่งธนฯ สมัยนั้นไม่มีรถ มันมีแต่เรือ พอตี ๒ หนาวจัด เพื่อนไปชวนดื่มเหล้า เขาบอกมันอุ่นดี ผมล่อเข้าไปก๊งครี่ง มันบาดคอบอกไม่ถูก ก็เลยบอกเพื่อนว่า นับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป แกไม่ต้องชวนฉันกินเหล้าต่อไป เพราะมันไม่อร่อยเหมือนน้ำหวาน หลังจากตอนนั้นก็รู้สึกว่าก็เป็นหนุ่มธรรมดา ๆ
มันมีสาวอยู่คนหนึ่งในตำบลหนึ่ง ๆ สาวคนนั้นแกสวยเด่นในตำบลจริง ๆ หลาย ๆ ตำบลสวยสู้แกไม่ได้ ทีนี้เจ้าเพื่อนของผมมันก็ไปติดพัน ไปรักสาวคนนั้น รู้สึกว่าตอมกันมาก ผู้หญิงคนเดียวนี่ ผู้ชายหนุ่มตั้งเยอะ บางทีมาแย่งกัน สาวเขาจะรู้ตัวหรือไม่รู้ ก็ไม่ทราบ ตีรันฟันแทงกัน อาการอย่างนี้ผมถือว่าเป็นเรื่องของคนบ้า แล้วคนทั้งโลกก็เป็นคนเหมือนกัน ทำไมไปยื้อไปแย่งคนรัก แล้วการทะเลาะวิวาทกันจะมีหวังครองสาวคนนั้นรึเปล่าก็ยังไม่แน่ บางคนถูกปืนตายบ้าง ถูกแทงตายบ้าง บางคนเจ็บไปบ้าง มันไม่ได้เรื่อง เจ้าเพื่อนผมก็ยังไปรักสาวนั้นเหมือนกัน ผมก็ไม่ยุ่ง เพราะสาวมันไม่มีสาวเดียวอยู่ในโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งตำบลนั้น ๆ ก็ไม่ได้มีสาวเดียว มันเกลื่อนกลาดไปหมด แล้วก็ย่อง ๆ ไปชอบคนอื่น เขาก็ยังได้ แล้วก็ไปย่องไปชอบคนที่เขาไม่แย่งกันสบาย หมายความว่า รถวิ่งคันเดียวมันสะดวกกว่ารถวิ่งหลายคัน แล้วมันไม่มีรถสวนทาง มีแต่รถว่างสะดวก แต่ว่าเหตุร้ายมันก็เกิดขึ้น
ต่อมาเวลาผ่านไปสักปีเศษ สาวคนนั้นผมเจอะแก ผมก็คุยธรรมดา ๆ ไม่เกี่ยวข้องอะไรทั้งหมด เธอก็คุยด้วยดี ต่อมาปีเศษ ๆ เอ้! ก็ชักนอนฝันถึงสาวคนนั้นเสียแล้ว มันเกิดอารมณ์รักขึ้นมาภายหลัง ทั้ง ๆ ที่ไม่คิดมาก่อน ก็มีการแปลกใจ ไอ้ความรักเกิดขึ้น ผมก็เป็นคนมีอารมณ์แปลกอยู่อย่างหนึ่ง คือถ้าผมเริ่มรักใคร ผมไม่ยอมให้ความรักมันฟาวล์ไปเฉย ๆ ความรักเกิดขึ้นเมื่อไรต้องมีผลเมื่อนั้น แล้วคนอย่างผมประเดี๋ยวเดียวผลมันก็เกิด มันเกิดจากตามความพอใจของทั้ง ๒ ฝ่าย ก็แปลก พอเจ้าเพื่อน ๆ เห็นผมไปยุ่ง เขาก็ถอนตัวออก ไม่ขัดคอกันเรื่องนี้ เมื่ออารมณ์มันเกิด ผมก็บอกเพื่อนว่า เฮ้ย มันชักจไม่ดีซะแล้วนะ ข้าก็เริ่มรักซะมั่งแล้ว แกรักมาตั้งปีกว่าแล้ว ปล่อยให้ข้ารักมั่ง เขาก็ถอนตัว เป็นอันว่าในระหว่างเพื่อนไม่มีใครขัดคอ แต่คนอื่นเขาจะเป็นอย่างไรบ้างก็ไม่ทราบ แต่ความรักในสาวไม่ใช่เป็นความรักครั้งแรกสำหรับผม ผมมันมีโรครักตลอดปีมาตั้งแต่อายุ ๑๒, ๑๓ เมื่อโรครักเกิดขึ้น ผลความรักก็มีตลอด
แต่ว่าสาวคนนี้แปลก มันรักผิดปกติ ถ้าวันไหนไม่ได้เห็นเธอ ใจมันไม่สบายจริง ๆ ซึ่งแปลกกว่าคนอื่นที่ผ่านมา ต่อมาเกิดมีความซึม การงานชักเนือยลง ไม่ได้ขี้เกียจ อีตอนเนือยลงไม่ใช่อะไร พอคิดถึงการงานก็เห็นหน้าสาวมาลอย ต่อมาท่านแม่แปลกใจในกิริยาที่เซี่องซึมลงไป ท่านก็พาไปหาท่านฆราวาส ท่านลุงคนหนึ่งท่านเป็นหมอน้ำมนต์ ท่านลุงนั้นก็ทำน้ำมนต์ ท่านใช้พิธีการหมอดูด้วย การหยดดอกเทียน พอหยดดอกเทียนลงไป ท่านบอก เอ้! นี่ถูกทำซะแล้วซิ ท่านก็หันมาถามว่า นี่คุณ ท่านเรียกคุณนะ ผมนึกอายท่านเกือบแย่ คุณ ไอ้ที่ซึมลงไป คุณนึกถึงผู้หญิงคนหนึ่งใช่ไหม ตามปกติผมก็ไม่ชอบพูดเท็จ บอกใช่ครับ แล้วผู้หญิงคนนั้นเดิมทีคุณไม่ได้เข้าไปยุ่งใช่ไหม ผมก็บอกใช่ครับ เพราะเพื่อนเขารักอยู่ แล้วทำไมคุณไปยุ่งกับเขาล่ะ ตอนนี้ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน ผมหาทางหลีกมาตลอด แต่มันก็หลีกไม่พ้น ผลที่สุดก็เข้าไปชนจนได้ ท่านก็บอก คุณนี่ถูกคนเขาทำเข้าเสียแล้ว ท่านบอกว่า คุณนี่ถูกคนเขาทำ
ผมนึกในใจว่า ลุงนี่พูดอะไรก็พูดถูกหมด อีตอนนี้ไม่ถูกแน่ คนอย่างผมจะถูกทำทำไม หนึ่งผมไม่ได้ร่ำรวย ไม่อยู่ในฐานะร่ำรวยพอที่คนจะถูกทำให้ไปรัก และประการที่ ๒ ไม่ใช่คนสวย แล้วก็ประการที่ ๓ ผมก็ไม่มีเสน่ห์ในลีลาเจ้าชู้ หรือไม่มีปัญหาเจ้าชู้กับเขาเลย ก็บอกกับท่าน บอกเขาจะทำผมทำไมครับ ประเภทนี้คนที่ไปรักสาวคนนั้น มันดีกว่าผมตั้งเยอะ ฐานะเขาก็ดีกว่า รูปร่างหน้าตาเขาสวยกว่า อะไรก็ทุกอย่างผมสู้เขาไม่ได้
แล้วท่านลุงก็บอกว่า คุณมีอยู่อย่างหนึ่งที่คุณไม่เหมือนคนอื่นคือ หนึ่งคุณไม่กินเหล้าเมายา สองคุณไม่เกกมะเหรกเกเร มีความสุภาพเรียบร้อย อีตอนนั้นเรียบร้อยจริง ๆ สงบเสงี่ยม เพราะมันเป็นมายา ผู้ใหญ่เขาก็ชอบ เมื่อผู้ใหญ่ชอบเขาก็หนุนผู้น้อยให้ชอบบ้าง ไอ้ผู้น้อยนี่เขาก็ชอบคุณมานาน เขาสนใจคุณ แต่ว่าคุณไม่สนใจเขา เขาก็ต้องหาคนช่วย
ถามว่า เขาใช้อะไรครับ บอก เขาใช้ผี เลยถามว่าทำอย่างไร ความจริงพูดไปก็ไม่เชื่อ ถ้าผีมันมายุ่งกับเราจริง ผีมันก็ต้องทำให้เราเห็นตัวบ้าง นี่ความโง่ของผม แต่ผมก็ไม่ปฎิเสธก็นั่งฟังท่าน ท่านบอกเอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ถ้าลุงรดน้ำมนต์ ๓ วันไม่มีผล ก็เป็นอันว่าคำพูดของลุงไม่มีความหมาย เธอ ไม่ต้องเชื่อลุงต่อไปตลอดชีวิต นี่คราวนี้ถ้าเธอไม่ได้คุณ เห็นเราล่อเธอเข้าแล้ว ผมก็เป็นคนอยากพิสูจน์ นี่ผมก็ลอง เอา รดก็รดครับ
ท่านบอก เอ้า! ต่อแต่นี้ไปตั้งใจ นึกถึงพระพุทธเจ้า ผมก็นึกถึงพระพุทธเจ้า ให้นึกถึงอะไร ผมนึกตามหมด โดยมากท่านให้นึกถึงพระ ขอให้พระก็ดี เทวดาก็ดี พรหมก็ดี เทวดาที่ปกครองรักษาตัวก็ดี กำจัดโรคร้ายออกจากใจเดี๋ยวนี้ แล้วท่านก็รดน้ำมนต์ น้ำมนต์ของท่านรดไม่มาก รด ๓ ขัน ท่านว่า มึม มำ มึม มำ ตอนนั้นผมไม่รู้เรื่องเลย แต่ว่าพอมาบวชเข้าเลยทราบ ท่านล่อ รัตนสูตร นี่เอง แต่ท่านสวดอยู่ขันละ ๓ รอบ จบแล้วก็ราดหนึ่งที ตักทีหนึ่งท่านสวดขันละ ๓ รอบ ด้วยความเคารพ ท่าท่างน่าเคารพมาก พอ ๓ ครั้ง อาการเบา ความมึนเริ่มคลายดตัว ไอ้ความซึมเริ่มค่อยคลายไป มีความกระปรี้กระเปร่า
วันที่ ๒ มารับไปรดอีก อีคราวนี้นึกถึงสาว น้อยไปนิดหนึ่ง มันนึกบัางแต่ก็เฉย ๆ จิตไม่ซึม กระปรี้กระเปร่า พอวันที่ ๓ ผ่านไป นึก เอ้! ความรักสลายตัวเลย มานึกขึ้นมาได้ว่า เอ้! ไอ้สาวคนนี้นี่เพื่อนเขารักอยู่ เราก็ไปยุ่งกับแก ดีไม่ดี ถ้าแกมีท้องขึ้นมาต้องเป็นพ่อเด็ก
นี่บรรดาเพื่อนภิกษุสามเณรที่มี เขาบอกว่ามีพระราชาคณะองค์หนึ่ง บอกว่า ไอ้ลิงดำนี่มัน บวชเณรกับหลวงพ่อปานตั้งแต่เล็ก ๆ ท่านก็เรียกไอ้ลิง ๆ อันนี้ไม่ถูกนะครับ ผมไม่ได้บวชเณรแต่เล็ก ๆ ผมบวชพระนี่ ผมเข้ามาบวชในพระพุทธศาสนานี่ ผมเป็นพ่อคนได้แล้ว ผมฝึกความเป็นพ่อคนมาตั้งหลายปี ดีนะที่ไอ้ผีจัญไรมันไม่ดันเกิดมาเป็นลูก ถ้าเกิดมาเป็นลูก ผมไม่ได้บวชหรอก ถ้าเป็นลูกรายเดียวก็ช่าง ถ้าเป็นลูกหลาย ๆ สิบรายก็เสร็จเลย ไม่มีอะไรให้ลูกกิน นี่ความศักดิ์สิทธิ์ของน้ำมนต์ที่ผมพบ
อีกจุดหนึ่ง ผมไปเป็นนาคที่ วัดบางนมโค นาคคือคนจะบวช เขาต้องอยู่วัดฝึกสวดมนต์ ฝึกเจริญกรรมฐาน ฝึกจิปาถะ ฝึกสวดมนต์สวดพรไป สัพพีติโย การจะกินข้าว การจะห่มผ้า การจะกินเภสัช เวลาของพระทั้งหมด เขาฝึกก่อนก่อนบวช ไม่ใช่อยู่ ๆ ก็โดดเข้าไปบวชโครมแบบนี้ ลงนรกหมด
ตอนที่หลวงพ่อปาน ท่านก็เป็นหมอน้ำมนต์ ยาของท่านมี ๒ ขนาน ใบมะกากับหญ้าแพรก ถ้าคนนั้นไม่มีครรภ์ ไม่ปวดหัว ให้กิน ใบมะกากับข่า แล้วก็รดน้ำมนต์ กลางคืนก็สับ ให้คนนั่งเหยียดเท้ามาหาท่านเป็นแถว ท่านก็มีขอน อ้า! มีเขียงไม้อยู่อัน ท่านเป็นหมอสับโป๊ก ๆ เดี๋ยวก็ดิ้นตูมตาม ตูมตาม เอิ๊ก ๆ อ๊าก ๆ ผมดูแล้วก็แปลกใจ แต่ว่าไม่กล้าเถียง ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะโดนมาครั้งหนึ่งแล้ว
มาวันหนึ่ง (วันนี้เหนื่อยหน่อยครับ) มาวันหนึ่งมีเด็กสาวคนหนึ่ง อายุประมาณ ๑๕ เห็นจะได้ ๑๔-๑๕ เป็นสาวรุ่นมาก คนเขาหามกะร่องกระแร่ง เขาหามกันมาเลย มาถึง หลวงพ่อปาน นั่งอยู่ มีคนมาหาสัก ๒๐๐ กว่า ผมนั่งใกล้ๆ ท่านเรียกเข้าไป บอกนี่ ไอ้เด็กคนนี้ถูกทำมาอย่างหนัก ถูกคุณคนเลยนะ มันจะตาย เอ็งไปรดน้ำมนต์ให้มันทีเถอะ ผมก็เลยถามท่านว่า ผมจะว่าคาถาอะไรครับ ผมทำไม่เป็น ท่านก็บอกไม่ต้องว่า น้ำมนต์ฉันทำไว้แล้ว แล้วก็จับเด็กคนนั้นไปนอน มันนั่งไม่ได้ มันนอน ผมก็รด น้ำมนต์ น้ำมนต์ตุ่มเบ้อเร่อ ก็รดไป รดไปสัก ๒-๓ ขัน แกดิ้นตึงตัง ตังตัง ตึงตัง โอ้ย ไอ โอ้ย ไอ ดิ้นไปดิ้นมาได้ ลุกขึ้น ดิ้นตีโป๊ก ตีเป๊ก ไม่มีอะไร หลวงพ่อปานบอก รดเข้าไป รดเข้าไป ไม่เห็นว่าคาถาอะไร รดมารดไป รดไปรดมา แกฉีกเสื้อ แกเจ็บหนักหน้าอก แกฉีกเสื้อ ขาดหมด อีตอนนี้ซิดี ความเป็นหนุ่มไม่โผล่มาตอนนั้นน่ะนะ แต่คนยืนดูกันหลายสิบคน คนที่นั่งคุยกับ หลวงพ่อปาน ลุกมาล้อมหมด เป็นอันว่าคนวงใหญ่เลย ทีแรกหลายสิบคนมาเป็นร้อย
หลวงพ่อปาน ท่านก็นั่งยิ้ม ๆ เอารดเข้าไป รดเข้าไป รดไปรดมา เธอดิ้นไปดิ้นมา ทุบอกทุบใจ ผลที่สุดฟุบ ฟุบก้มลงไปข้างหน้า หลวงพ่อปาน บอกรดเข้า รดเข้า ทีนี้ได้ผล รดเข้า รดเข้า ผมก็มีหน้าที่รดอย่างเดียว ก็รดดะ ประเดี๋ยวเดียวเธอฟุบนิ่งเฉย ท่านก็บอกรดเข้า รดเข้า หนัก ๆ เข้าเธอลุกขึ้นมา มีดโต้เล่มเบ้อเร่อหล่นเป้งมาจากอก
ถ้าบังเอิญเธอใส่เสื้ออยู่ เขาก็จะหาว่าเธอซุกเข้ามาในเสื้อ มีดโต้เล่มนั้นใหญ่มาก ผูกสายสิญจน์เป็นสายตราสังมาคล้ายผี พอมีดโต้หล่นจากอก ท่านก็สั่งให้รดใหญ่ เด็กคนนั้นก็นอนลงอีก พอนอนลงปประเดี๋ยวเดียวเธอก็ลุกขึ้น อาการสลัดหน้าสลัดตา เขาถามเป็นอย่างไรบ้าง เธอบอกสบายแล้ว เขาก็ถามว่า เมื่อกี้นี้เป็นอย่างไร เธอบอกมันเจ็บ ๆ หน้าอกเหลือเกิน การฟุบไปเกือบจะขาดใจตาย แต่พอมีดหล่นมันหายเป็นปลิดทิ้ง อย่างนี้เขาเรียกคุณไสย
ทีนี้การทำน้ำมนต์ของ หลวงพ่อปาน เท่าที่ผมทราบ ท่านก็ใช้บท รัตนสูตร ด้วยบารมี ๓๐ เหมือนกับพระอานนท์ ทำไม่ผิด แต่ว่าเวลามาทีหลังได้ทราบลีลาการทำน้ำมนต์ของท่าน ท่านยึด รัตนสูตรเป็นสำคัญ แสดงว่าท่านว่าเป็นภาษาบาลี แล้วก็ท่านก็แปลด้วย แปลมาเป็นภาษาไทย กล่าวคำอาราธนาชัด ๆ ด้วยความตั้งอกตั้งใจจริง
นี่แหละบรรดาญาติโยมพุทธบริษัทชายหญิง เรื่องทำน้ำมนต์ที่ดีเขามีแล้ว ก็คนที่ทำน้ำมนต์ที่เลวก็มี สักแต่ว่าทำ บางรายไม่รู้เรื่องไม่รู้ราว รดแล้วเอาน้ำมนต์ไปรดคนไข้ถึงตายไปก็มี อันนี้ก็ อย่างนี้ที่เขาประณามก็ถูก แต่ว่าถ้าจะประณามกันดะไปนี่มันก็ไม่ถูก ก็เหมือนกับพระเราเหมือนกัน ที่บวชเข้ามาในพระพุทธศาสนานี่ ตาม อุทุมพริกสูตร ที่ พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า บุคคลยังเพ่งเล็งจริยาของบุคคลอื่นบ้าง ติเตียนบุคคลอื่นบ้าง ยกตนข่มท่านบ้าง ถือตัวเกินไปบ้าง อย่างนี้เป็นต้น อย่างนี้เป็นอุปกิเลส ยังเข้าไม่ถึงสะเก็ดความดีที่เราสอน
ถ้าบุคคลใดไม่สนใจในจริยาของบุคคลอื่น ไม่เพ่งเล็งบุคคลอื่น ไม่ยกตนข่มท่าน ไม่มีความประมาท เรียกว่าไม่มีความประมาท มีจริยาดี มีความสงบ ใคร่ครวญเฉพาะประพฤติของตัว อย่างนี้ขึ้นชื่อว่าเข้าถึงสะเก็ดความดีที่ตถาคตสอน แล้วบุคคลใดไม่ทำลายศีลในตนเอง ไม่ยุยงส่งเสริมให้บุคคลอื่นทำลายศีล ไม่ยินดีเมื่อบุคคลอื่น ทำลายศีลแล้ว สามารถระงับนิวรณ์ ๕ ได้ ตามต้องการ จิตทรงฌาน มีอารมณ์ทรงพรหมวิหาร ๔ เป็นปกติ ชื่อว่าเป็นผู้ทรงฌานโลกีย์ อย่างนี้ถือว่าเข้าถึงเปลือกความดีที่พระองค์ทรงสั่งสอน ถ้าบุคคลใดทำจุตูปปาตญาณให้เกิดขึ้น เห็นคนและสัตว์รู้ได้ทันทีว่า คนและสัตว์นี้ ก่อนเกิดมาจากไหน คนตายไปแล้วไปอยู่ที่ไหน อย่างนี้ถือว่าเข้าถึงแก่นความดีของพระองค์สอน แต่เป็นแก่นขั้นฌานโลกีย์
ต่อไปทบทวนความดีนี้ให้ทรงตัว ทำวิปัสสนาญาณ ถ้ามีบารมีแก่กล้าจะตัดกิเลส เป็นสมุจเฉทปหาน ได้ภายใน ๗ วัน ถ้ามีบารมีอย่างกลางจะตัดกิเลสได้หมดภายใน ๗ เดือน ถ้ามีบารมีอย่างอ่อนจะตัดได้หมดภายใน ๗ ปี
บรรดาท่านพุทธศาสนิกชน คนที่ดีต้องดีตามนัยที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอน ถ้ายิ่งเป็นพระ เป็นเณรที่กำลังฟังอยู่เวลานี้ จำให้มาก ส่วนใดที่พระพุทธเจ้าตรัสว่าเป็นอุปกิเลส ส่วนนั้นอย่าให้เกิดขึ้นในใจ ความจริงมันก็ต้องเกิด ถ้ามันเกิดมันเกิดในใจ ระงับมันไว้อย่าให้มันไหลออกจากปาก อย่าเที่ยวไปว่า ไปนินทาชาวบ้านชาวเมืองเขา เพระอะไร เพราะว่าถ้าคนดี ดูคนดีอย่งพระพุทธเจ้าไม่เคยนินทาใคร พระอรหันต์ทั้งหลายที่ท่านดี ท่านก็ไม่นินทาใคร ทีนี้ถ้าหากว่าเราจะนินทาเป็นเพียงใด ความเลวก็ยิ่งมีแก่เราเพียงนั้น
เอาล่ะ บรรดาท่นพุทธบริษัททุกท่น วันนี้เราพูดถึงเรื่องการนินทา แต่ว่าการที่เราจะถูกนินทา ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา ที่พระพุทธเจ้ากล่าวว่า นัตถิ โลเก อนินทิโต คนไม่ถูกนินทาเลยไม่มีในโลก แม้แต่พระพุทธเจ้าเองก็ถูกนินทาย่ำแย่เหมือนกัน แต่ว่าท่านไม่สนใจ ท่านเฉยเป็นอุเบกขารมณ์
เอาล่ะ บรรดาท่านพุทธบริษัท สัญญาณบอกหมดเวลาปรากฎแล้ว ก็ขอลาก่อน ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคล สมบูรณ์พูนผล จงมีแด่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนผู้รับฟังทุกท่าน สวัสดี. [/FONT] -
ขออนุโมทนาสาธุธรรม เป็นอย่างสูง ครับ<O:p</O:p
<O:p</O:p
------------------------------------------------------------------------------------------------<O:p</O:p
ขอเชิญร่วมเป็นเจ้าภาพถวายภัตตาหารเพลแด่พระภิกษุสงฆ์จำนวน ๕๐๐ รูป งานวางศิลาฤกษ์ และ เคลื่อนย้ายศาลาการเปรียญหลังเก่า เพื่อนำไปก่อสร้างอุโบสถไม้ “ เฉลิมพระเกียรติ ” พระมหาเถรคัณฉ่อง พระสุพรรณกัลยา สมเด็จพระนเรศวรมหาราช สมเด็จพระเอกาทศรถ และ ทอดกฐินสามัคคี<O:p</O:p
http://palungjit.org/threads/ขอเชิญร่วมเจ้าภาพทอดกฐินสามัคคี-ปี-2552-ณ-วัดย่านยาว-จ-พิษณุโลก.202385/<!-- google_ad_section_end --> -
ชนะ สิริไพโรจน์ ทีมผูัดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต