ดูพระสมเด็จจากภาพ และออกความเห็น หรือว่าสวดเก๊แท้นี่ ค่อนข้างยากน่ะครับ เอาเป็นว่าถ้าถามผมแล้วดูจากภาพ ผมก็ใช้ความเห็นส่วนตัว น่ะครับ ดูสมเด็จก้ดูหลายๆตาน่ะครับ ชุดที่ในภาพ เป้นพระเลียนแบบครับ
ประวัติ เกจิอาจารย์วิเศษชัยชาญ สมเด็จเกษไชโย...และพระเครื่องเมืองอ่างทอง
ในห้อง 'ประสบการณ์ เรื่องเล่า' ตั้งกระทู้โดย benay, 11 มิถุนายน 2009.
หน้า 3 ของ 21
-
-
พระครูวิเศษธรรมวาที (แพ เกสโร) เจ้าคณะหมวดตำบลหัวตะพาน มรณะภาพ 2508 วัดกลางราชครูธาราม
องค์ที่ผมจะกล่าวต่อไปนี้ท่านเป็นพระคณาจารย์ยุคเก่าอีกท่านหนึ่ง ที่ผม และคนในตำบลให้ความศรัทธาและเคารพท่านมาก ท่านเป็นพระที่มีวาจาศักสิทธ์ยิ่งนัก ทั้งอาคมท่านเด็ดขาดและประสบการณ์เป็นที่ประจักษ์ต่อสายตาของคนในท้องที่ และคนวิเศษฯ จนเป็นที่เล่นหากันโดยทั่วไป ตระกรุดหนังหน้าผากเสือ และหนังวัวตายในท้อง (ตายทั้งกลม) ของท่านโด่งดังมาก และท่านได้รับการยกย่อง จากท่านเจ้าคณะจังหวัด(พระโพธิวงศาจารย์ หรือ เจ้าคุณโพธิ์)สมัยนั้นให้เป็น พระเถราจารย์ผู้มีความเคร่งครัดในพระธรรมวินัย มีความเรียบร้อย เป็นอันดับ 1 ของจังหวัดอ่างทองในสมัยนั้น ตามคำบอกเล่าของมหาตี๋ พระมหาเปรียญ 5 ซึ่งท่านเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อแพ เกสโร มหาตี๋สึกออกมานานแล้ว ตอนนี้ท่านยังมีชีวิตอยู่ อายุ 94 ปี เล่าเรื่องมหาตี๋นิดนึงครับ มหาตี๋นี้ อยู่บวชเรียน เป็นเด็กวัด อยู่วัดกลาง หลวงพ่อแพท่านชุบเลี้ยงมาตั้งแต่อายุ 7 ขวบ เนื่องจากมหาตี๋นี้มีศักดิ์เป็นหลานหลวงพ่อแพ เป้นเครือญาติกัน หลวงพ่อแพท่านจึงเอ็นดูมาก มหาตี๋บวชรุ่นราวคราวเดียวกันกับหลวงพ่อผาด วัดไร่น่ะครับ เป็นศิษย์ ของท่านเจ้าคุณรัตน์ วัดชีโพน อยุธยา มหาแกเป้นคนจริง แต่พุดจานิ่มนวล ตามแบบฉบับคนมีความรู้ชั้นเปรียญ และเท่ากับว่าท่านเป็นคนเก่าแกคนหนึ่งของ ตำบลหัวตะพาน ความจำแจ่มใส อ่านหนังสือไม่ต้องใส่แว่น เขียนหนังสือมือไม่มีสั่นเลยครับ เห้นแล้ว ผมขออยู่สักค่อนอายุมหานี้ก็พอครับ อิอิ ท่านมหาได้รับการบวชเรียนจากเจ้าคุณรัตน์ โดยมีพระกรรมวาจาจารย์ ที่นิมนต์โดยหลวงพ่อแพ วัดกลาง ซึ่งพระเถราจารย์ที่นิมนต์ตอนนั้น มีความสนิทสนม กับพระเดชพระคุณหลวงพ่อแพท่านเป้นอย่างดี ท่านนิมนต์ถึง 4 รูปรวมทั้งท่านด้วย ที่กล่าวถึงมหาตี๋นี้คือท่านเป้นบุคคลสำคัญและไกล้ชิดหลวงพ่อแพท่านมาก คนหนึ่ง และเป้นคนจารตระกรุด เครื่องรางหลวงพ่อในยุคแรก ในยุคแรกๆที่พอจะหาคนทันหลวงพ่อแพท่านได้ แฮ่ๆ ยุคแรกนี้เหลือคนเดียวคนสุดท้ายนี่หละครับ แต่ยุคหลังยังมีหลายท่านที่ยังอยู่ ผมจะเล่าไปเรื่อยๆ..... พระที่หลวงพ่อแพท่านนิมนตืไว้ก็มี หลวงพ่อพระมหาลำไย วัดกลาง หลวงพ่อคำ วัดโพธิ์ปล้ำ และหลวงพ่อบุญ วัดสี่ร้อย แต่เวลาบวชจริงจะสวดแค่สองรูปคือ หลวงพ่อแพ กับ พระมหาลำไย ครับ.........<!-- google_ad_section_end -->
มหาตี๋ผู้ถ่ายทอดเรื่องราว และเป็นศิายืหลวงพ่อแพในยุคแรกๆ อายุ 94 ปี
ไฟล์ที่แนบมา:
-
-
สุดยอดมากๆครับ
เป็นกระทู้ดีๆ
ที่น่าอ่านน่าติดตาม
เป็นอย่างยิ่ง
อยากแนะนำให้อ่านกันนะครับ
ขอชื่นชม"จากใจ"ครับ
เด็ก ฅนอโยธยา
ไฟล์ที่แนบมา:
-
-
ขอบคุณครับพี่หมอ อิอิ ของชอบของผมเลยหละครับ.....ยังมีอีกหลายพระคณาจารย์ครับที่ผมรวบรวมไว้เกล็ดเล็กเกร็ดน้อยเยอะเหมือนกันครับ บางรูปบางท่านดังมากในพื้นที่แต่หาคนรู้ความเป็นมาเกี่ยวกับท่านน้อยมาก ส่วนมากขายกันอย่างเดียวแฮ่ๆ -
คุณลุงประจวบ ศิษย์อีกรุ่นหนึ่งของหลวงพ่อแพครับ ยังทันครับแฮ่ๆ ในคอแกห้อยพระหลวงพ่อแพ วัดกลางตั้งแต่หนุ่มจนแก่ ไม่เคยห่างตัว ทุกองค์รับกับมือหลวงพ่อแพสมัยลุงหนุ่มๆ ตบะบารมีหลวงพ่อแพ ประสบการณ์ วัติปฏิบัติท่านเลื่องลือเรื่องระเบียบวินัยอย่างที่ผมกล่าวไปแล้ว ยังมีพยานอีกหลายท่านครับ ผมจะลงและเร่าไปเรื่อย ภาคประวัติ ประสบการณ์ และวัตถุมงคลครับ
ไฟล์ที่แนบมา:
-
-
พระครุอุโฆษธรรมนันท์ เจ้าอาวาสวัดกลางราชครูธาราม รองเจ้าคณะอำเภอวิเศษชัยชาญ หลวงพ่อสนั่นเป็นศิษย์หลวงพ่อแพ รุ่นสุดท้ายที่ยังทันสมัยหลวงพ่อแพสัก เรื่องราวหลวงพ่อแพบางส่วนก้มาจากหลวงพ่อสนั่นด้วยครับ -
นี่คือตระกรุดหนังวัว และ หนังหน้าผากเสือ และสมเด็จเนื้อว่าน ของคุณลุงประจวบที่ได้มาสมัยไปสักกับหลวงพ่อแพ ดูให้ดีน่ะครับ ตระกรุดนี้ และสมเด้จของหลวงพ่อแพท่าน ประสบการณ์ โชกโชนมากครับ ผมจะกล่าวต่อไปในภาพวัตถุมงคลของท่าน ในจังหวัดอ่างทองสมัยนั้น(2485 ขึ้นมา)สำนักที่ทำตระกรุดหนัง และมีชื่อเสียงมากที่สุด ก็คือหลวงพ่อแพ แห่งวัดกลางราชครูนี้หละครับ
ไฟล์ที่แนบมา:
-
-
ภาพถ่ายรุ่นแรกสุด หลวงพ่อแพ วัดกลางราชครู ของมหาตี๋ ลูกศิษย์หลวงพ่อแพ วัดกลางราชครู รุ่นแรกๆ ประสบการณ์มากมายเช่นกันครับภาพนี้คุณตา มหา ได้มาตั้งแต่บวชเป้นพระเมื่อหลายสิบปีก่อน ท่านบูชาไว้กลางบ้านเลยครับ ไว้จะกล่าวถึง....
พระครูวิเศษธรรมวาที (แพ เกสโร) เจ้าคณะหมวดตำบลหัวตะพาน มรณะภาพ 2508 วัดกลางราชครูธาราม
องค์ที่ผมจะกล่าวต่อไปนี้ท่านเป็นพระคณาจารย์ยุคเก่าอีกท่านหนึ่ง ที่ผม และคนในตำบลให้ความศรัทธาและเคารพท่านมาก ท่านเป็นพระที่มีวาจาศักสิทธ์ยิ่งนัก ทั้งอาคมท่านเด็ดขาดและประสบการณ์เป็นที่ประจักษ์ต่อสายตาของคนในท้องที่ และคนวิเศษฯ จนเป็นที่เล่นหากันโดยทั่วไป ผมจะเล่าประกอบกันไปกับภาพวัตถุมงคลของท่าน และภาพประกอบ บางภาพหาคนมีได้ยากยิ่งครับแต่ผมมีครับแฮ่ๆ เพราะท่านเป็นพระคณาจารย์ที่อยู่ในพื้นที่บ้านผมเอง กล่าวถึงหลวงพ่อแพวัดกลางราชครูธารามตามประวัติที่ผมได้สอบถามมาท่านเกิดเมื่อ พ.ศ.2436 ไม่ทราบว่าท่านบวชกับใคร รู้แต่ว่าท่านบวชตั้งแต่เป็นเณร และท่านเดินธุดงค์ไปเรียนวิชาหลายที่ ท่านไปเรียนพร้อมกับเพื่อนท่านอีกองค์หนึ่งคือ หลวงพ่อเปลื่อง ไปเรียนวิชาด้านเสือ แต่ไม่ทราบอาจารย์ เหตุที่ไม่ทราบอาจารย์เพราะไม่มีใครกล้าไปซักท่าน เพราะท่านเป็นพระพูดน้อย และมีความเคร่งครัดในพระธรรมวินัยมาก ความเคร่งของท่านนั้น ขนาดท่านอยู่บนวัดท่านยังห่มจีวรมิได้ขาด ถึงแม้จะเดินมาคุยกับพระลูกวัดท่านก็จะห่มจีวรโดยตลอดจึงทำให้คนเกรงท่านไปเองหลวงพ่อ ท่านเป็นพระคณาจารย์ที่ติดอันดับความเคร่งครัดองค์ต้นๆของจังหวัดอ่างทองในสมัยนั้นด้วยเหตุนี้เองประวัติท่านจึงไม่ค่อยมีคนทราบมากมายนักแต่คนส่วนใหญ่จะมารู้เรื่องขอวัตถุมงคลของท่านมากกว่าเพราะมีประสบการณ์มากและนิยมในท้องที่ เขาจะหวงกันมาก เรื่องประสบการณ์จะเล่าต่อไป หลวงพ่อแพท่านมีชื่อเสียงมากพอสมควรในสมัยนั้น คนสามหน่อนาคู คนทางบ้านไผ่วง และผู้คนต่างๆที่ก็ให้ความเคารพท่านอย่างมาก ท่านสร้างทั้งมงคลสวมคอ ตระกรุดหังวัวตายท้องกลม (ต้องนำวัวที่ตายทั้งแม่ลูกโดยธรรมชาติและผ่าเอาลูกวัวออกและเอาหนังมาทำ) และตระกรุดหนังหน้าผากเสือ (ตอนนั้นหน้าผากหายากท่านจึงอนุโลมให้ใช้หนังเสือทั้งหัวเสือเลยมีน้อยครับหนังเสือจะเป็นดอกสั้นๆประมาณนิ้วครึ่ง) ว่านร้อยแปดปั้นเป็นเม็ดเท่ายาลูกกลอน ผ้าขอดมหาอุตม์ รูปถ่าย ทั้งขนาดห้อยคอและภาพบูชา ทุกอย่างล้วนมีประสบการณ์เด่นชัดมากด้านมหาอุตม์คงกระพัน กันลม กันไฟ จากที่กล่าวมาแล้วว่าท่านไปเรียนวิชาเสือโดยท่านไปเรียน สองคนกับหลวงพ่อเปลื่อง เรียนคู่กันไว้แก้ทางกันเวลาคับขัน ท่านทั้งสองนี้ทำวิชานี้ได้ขลังยิ่งนักจนเป็นที่กล่าวขานกันว่า ท่านสำเร็จวิชานี้และสามารถแปลงเป้นเสือได้ โดยให้หลวงพ่อเปลื่องทำน้ำมนต์แก้ หลวงพ่อทั้งสองได้สัญญากันไว้ว่าจะบวชตลอดชีวิต แต่ภายหลังหลวงพ่อเปลื่องท่านลาสิกขาไป ทำให้หลวงพ่อท่านเคืองมาก ก้มีเหลือแต่หลวงพ่อแพท่านเดียวที่อยู่ในเพศบรรพชิตจวบจนมรณะภาพ แต่ว่าตอนที่ท่านมรณะภาพทางกรรมการวัดนำโดยซึ่งมีคุณปู่ผม หลวงพ่อหรุ่ม วัดบางจักร หลวงพ่อเล็ก วัดทำนบ และกรรมการวัดหลายท่าน ได้ตรวจสอบกุฏิท่าน พบพระเครื่องมากมายอยู่ในไห และพบว่าในย่ามท่านนั้น มีพระเครื่องของพระคณาจารย์ ที่เป้นสหธรรมมิกกับท่านและอาจเกี่ยวเนื่องกับวิชาท่านด้วยที่พบในย่ามท่านมี เหรียญหลวงพ่อเข็มวัดข่อย ปี 2477 เหรียญหลวงปู่ศุขวัดมะขามเฒ่า ปี 2466 เหรียญหลวงพ่อจันทร์ วัดบางจักร ปี 2483
เหรียญหลวงพ่อคำ วัดโพธิ์ปล้ำ ปี 2490 เหรียญหลวงพ่อนุ่ม วัดนางในปี 2490 ท่านกลัดติดย่ามท่านไว้ รวมกับพระเครื่องของท่านเองอีกจำนวนหนึ่ง
<!-- google_ad_section_end -->ตระกรุดหนังวัว (วัวตายทั้งกลม)
ดอกนี้ของส่วนตัว
โชว์อย่างเดียวครับ
ทีเด็ดครับผมหวงไม่แพ้พระหลวงพ่อทรงครับ ตระกรุดหนังวัวตายทั้งกลมหลวงพ่อแพครับ ประสบการณ์ไม่ต้องพูดถึง เป็นตระกรดหนังสำนักเดียวของอ่างทองที่เล่นหากันครับ ดอกนี้เป็นสมบัติชวดครับแล้วมาอยูที่พ่อผมและผมก็ได้มา กว่าจะให้ขออยู่สามปีครับ ท่านบอกยังเด็กอยู่ยังไม่ต้องเอาไป ตอนนี้โตแล้วครับเสร็จผมครับอิอิ
ขอพูดเรื่องตระกรุดหน่อยนะครับ ตระกรุดหลวงพ่อแพท่านมีทั้ง หนังวัว และหนังหน้าผากเสือ คือตั้งแต่หน้าผากและทั้งหัวเสือ ครับมีน้อยมากส่วนใหญ่จะดอกสั้นๆครับ เพราะประหยัดหนังเสือมีน้อย หลวงพ่อท่านสำเร็จวิชาเสือสมิงท่านเรียนมาด้วยกันกับหลวงพ่อเปลื่องและสัญญากันว่าจะไม่สึกตลอดชีวิตทั้งสององค์ เพราะว่าวิชานี้หากใครกลายเป็นเสือตอนฝึกวิชาอีกคนนึงต้องทำน้ำมนต์แก้ แต่ตอนหลังหลวงพ่อเปลื่องท่านสึกหลวงพ่อแพท่านโกรธมากถึงกับไม่พูดกันเลย ประสบการณ์ตระกรุดนี้ โดนกันมามาก ที่ดังที่สุดคือสมัยลุงผมคือ จ่า... ท่านเป็นมือปืนให้ผู้มีอิทธิพลที่วิเศษฯ แต่ผู้มีอิทธิพลคนนี้ดังระดับประเทศ เมื่อสักสิบกว่าปีก่อนเรื่องเจ้าพ่อค้าไม้ ตอนหลังมีคดีความเกิดขึ้นและขึ้นศาลบ่อย และเป็นคดีใหญ่มากและดังมากในสมัยนั้น ภายหลังผู้มีอิทธิพลท่านนี้ถูกลอบวางระเบิดที่ศาลโคราช ลุงผมก็ไปอารักขาด้วย รวมกับลูกน้องอีก 20 กว่าคน โดนระเบิดตายหมด ทุกศพมีแผลฉกรร ลุงผมตายคาที่ แต่ที่น่าแปลกคือผิวหนังของลุงผมไม่มีรอยแผลที่เกิดจากสะเก็ดระเบิดเลย มีแต่รอยเขียวช้ำเพราะแรงอัด เลือดออกหู ออกจมูก อันนี้น้าชายผมไปดูมาและเล่าให้ฟังและล่ำลือกันมากในตอนนั้น<!-- google_ad_section_end --> มีอีกเรื่องหนึ่ง ลุงท่านนี้ชื่อลุงหยดแกเป็นนักเลงพอตัวสมัยนั้นถูกตำรวจ ล้อมยิงกลางทุ่งนา แต่ยิงเท่าไรก็ไม่ออก ทางตำรวจจึงบุกเข้าจับกุมและค้นตัว พบตระกรุดหนัง และพระสมเด็จว่านในตัวจึงทำการเอาตระกรุดออก สุดท้ายลุงหยด ตายคาที่ เรื่องนี้ตำรวจทราบว่าเป็นตระกรุดหลวงพ่อแพวัดกลางราชครู จึงแห่กันมาขอพระหลวงพ่อแต่หลวงพ่อท่านรู้อยู่แล้วท่านจึงปิดกุฏิเงียบ ท่านบอกว่าท่านไม่ชอบให้ มายิงลูกศิษย์ท่าน ท่านจึงไม่ออกมาพบ และอีกเรื่องหนึ่ง ปู่ผมเล่าให้ฟังว่า มีลุงท่านหนึ่งเขาชอบเอาพระเอาวัตถุมงคลของหลวงพ่อต่างๆมาลองยิงข้างวัดหลวงพ่อ ท่านรำคาญจึงให้พระลูกวัดไปเรียกลุงคนนี้มาพบและท่านก็บอกว่า เอาของกูไปลองบ้างสิ พลางท่านก็ใช้มือขมวดผ้าด้วยมือเดียวและโยนส่งให้ลุงแกไปลอง ลุงก็ฉลองศรัทธาหลวงพ่อโดยการยิงซะไม่รู้กี่นัด ผลปรากฏว่าออกทุกนัดครับ แตว่าพอเดินไปดูที่ผ้าขอดที่แขวนไว้ต้องประหลาดใจเพราะว่าลูกปืนทั้งหมดกองรวมกันอยู่ตรงผ้าขอดพอดีครับ นี่ก็เป้นอภนิหารของท่าน เรื่องนี้ผมเล่าได้ละเอียดครับเพราะผมเกิดที่นี่และโตมากับที่นี่ ลุกสิยืหลวงพ่อท่านก็เรียกได้ว่าเกือบยกเหล่าผมน่ะครับ แฮ่ๆ
เป็นตระกรุดหนังเสือครับเพราะดอกสั้น และเป็นยุคแรกดอกนี้ประสบการณ์ฉกาจฉกรรมากครับ
ข้อความที่เล่าไปแล้วฟังแล้วใช้วิจารณญาณครับ แต่เป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นจริงๆครับผมไม่ได้มาโม้ให้ฟัง พยานยืนยันที่ทันสมัยหลวงพ่ออยู่ยังมีชิวิตอยู่ครับ อายุจะ 80 กว่า แล้วและพยานอีกหลายปากครับรวมทั้งเซียนวิเศษอีกหลายท่าน
สมเด็จว่านร้อยแปดของท่านขนาดมีดหมอยังไม่ได้แอ้มเหนียวขนาดไหนคิดดูเองครับ โม้มากเดี๋ยวพวกด่าเอาอีกแฮ่ๆ องค์ในภาพให้ไปพร้อมตระกรุดครับ
ไฟล์ที่แนบมา:
-
-
คุณลุงที่ผมเคยเล่าให้ฟังครับ ลุงแกอยู่เป็นเด็กวัดสมัยหลวงพ่อกุ่มยังทรงสังขาร เห้นอะไรมาเยอะ ได้อะไรมาแยะ......และอีกหลายท่านที่ยืนยันในสายวิชารวมถึงพระหลานศิษย์แท้ๆของหลวงปู่กุ่มซึ่งเป็นเพื่อนกับคุณลุงท่านนี้สมัยเป้นเด็กวัด กำลังตามหาท่านอยู่ครับ เพื่อมายืนยันความเรืองอาคมของหลวงพ่อ ตั้งแต่สมัยท่านเป็นฆารวาส แต่ท่านใช้สรรพวิชาต่างๆนั้นช่วยคน จนเป็นที่นับถือมากมาย......ไปตามอ่านในประวัติหลวงพ่อแบบเต็มๆในหนังสือครับ(น่าจะเป้นอมตะพระเครื่อง พุทธคยา หรือไม่ก็มรดกพระเครื่องครับ แต่คงน่าจะอีกเป้นเดือนครับ)และรับรองว่าไม่เคยมีใครทำมาก่อนครับ เพื่อเป็นเกียรติแด่องค์หลวงพ่อ ผู้ที่ศิษย์ยานุศิษย์ ให้ความเคารพอย่างสูงยิ่งครับ......
ประวัติหลวงปู่กลุ่ม แบบคร่าวๆ
หลวงพ่อกลุ่ม พุทธิญาโณ นามเดิมขณะที่ท่านเป็นฆารวาส คือกลุ่ม ตาดแจ่ม ต่อมาได้เปลี่ยนนามสกุลเป็นเนตรทรงผล บิดามารดาท่านหาประวัติไม่ได้เพราะเลือนลางเต็มที ท่าชเกิดเมื่อ วันพุธที่ 2 มิถุนายน 2440 ตรงกับวันขึ้น 3 ค่ำเดือน 7 ปีระกา ท่านเป็นคนพื้นเพระแวกวัดฝาง(แต่ท่านอาจจะไปอยู่แถวปทุมมาก่อนตามคำบอกเล่าที่ผมไปสอบถามมา) เหตุที่ท่านชื่อกลุ่มเพราะว่า นิ้วชี้กลางนางข้างซ้ายและนิ้วนางข้างขวาของท่านได้ปุกคล้ายลูกกลุ่ม มาตั้งแต่ท่านยังเด็ก(อันนี้ผมทราบมานานแล้วแต่ผมไม่เคยเขียนถึง และนิ้วท่านนี่หละครับที่ใช้ลงกระหม่อม และทำวิชาท่าน) ท่านมีลักษณะสันทัด ผิวดำขลับแบบคนโบราณ เป็นคนใจกล้าใจนักเกรง ไม่ยอมคน หลวงพ่อท่านเก่งด้านวิทยาคมตั้งแต่ท่านยังไม่บวชน่ะครับ โดยเฉพาะทางพระเวทยืแบบแปลกๆหลายอย่าง ทั้งตำราผูกและแก้ กับหลายพระคณาจารย์ ที่สำคัญมากๆคือ พระคณาจารย์ที่ถ่ายทอด วิชาตระกรุดมนุษยักษ์ที่เลื่องลือให้ท่าน คือหลวงพ่อวัดประจำรัง..............ที่เหลือรอในหนังสือครับ...<!-- google_ad_section_end -->ไฟล์ที่แนบมา:
-
-
นี่เป็นสีผึ้งมหานิยม แรงมากๆ หรือสีผึ้งปากผี ซึ่งในประวัติของหลวงปุ่กุ่ม นั้นท่านทำไว้จริง และนี่ก้เป้นของจริงไม่มีโม้...และผมก้ขอถ่ายรูปมาอย่างเดียว เจ้าของคือคุณลุงภาพด้านบน....ที่ลุงแกยืนยันความขลังของหลวงพ่อครับ แต่สีผึ้งนี้หลวงพ่อท่านทำให้เฉพาะเป็นคนๆไป ขนาดหลวงปู่เสียน วัดมะนาวหวานท่านยังออกปากว่าหลวงปู่กุ่มท่านเก่งสีผึ้ง แต่ท่านใช้ช่วยคนน่ะครับ ท่าน จะเลือกให้เป้นคนๆไปเท่านั้น และท่านก็ทราบว่าใครควร หรือไม่ควรใช้ มีข้อห้ามต่างๆมากมาย....ไม่ได้ทำพล่ำเพลื่อ แต่ก้จะบันทึกตามจริงว่าท่านเก่ง สีผึ้งด้วยครับ สรรพวิทยาต่างๆในสมัยโบราณตามความคิด และสมองอันน้อยนิดของผม คิดว่าแต่ละวิชาแต่ละอย่างนั้นล้วนแต่เป้นดาบสองคม คนมีวิชาดีอาคมแก่กล้า ก็เท่ากับว่ามีปิืนอยู่ในมือ จะประหัดประหารใครนั้นไม่ยาก แต่ทว่าคนที่ใช้ปืนนั้น มีความคิดสติคุณธรรม ปืนกระบอกนั้นก็จะมีคุณประโยชน์มาก แต่ถ้าปืนนั้นไปอยู่ในมือคนชั่ว ความวิบัติต่างๆคงจะตามมาอย่างไม่จบสิ้น เช่นเดียวกันครับ การใช้เวทวิทยาคมในสมัยก่อนนั้น คนที่ใช้วิทยาคมดีก็มีมากคนที่ใช้วิทยาคมไปในทางชั่วก้เยอะ แต่ต้องแยกให้ออกครับ คนดีเราสมควรยกย่องเชิดชู ส่วนคนชั่วก้สมควรที่จะประณาม....
พระคณาจารย์สมัยโราณท่านใช้สรรพวิชาต่างๆไม่ว่าจะทางไหน นั้นจุดประสงในการช่วยคน และสร้างวัด สมัยก่อนนั้นโจรชุกชุม และเป้นคนจริง ที่ไหนจริงที่ไหนแน่ วัดก็เสร็จโบสถ์ก็ไว มันต่างกับสมัยนี้มากพอดุเท่าที่ผมศึกษาสอบถามมา สมัยก่อนลำพังธรรมะเพียงอย่างเดียวนั้น วัดจะเสร็จก็คงยากยิ่งในชนบทด้วยแล้ว มองแทบไม่เห็น บางครั้งพระคณาจารย์ท่านคงจำใจน่ะครับ คงต้องทำอะไรบ้าง เวทวิทยาคมที่ร่ำเรียนมาพอจะช่วยอะไรได้บ้าง ก้เหมือนเป้นเครื่องทุ่นแรง ที่แน่ๆเลยสมัยก่อนคือเหนียว ถ้าเหนียวจริงอยู่ปืน ล่ะก็ โบสถ์หลังเบ่อเร่อ มันเป้นแบบนั้น....ผมถึงได้ว่าบางอย่างพระคณาจารย์สมัยก่อนท่านเคร่งครัดพระธรรมวินัย จะทำอะไรแล้วต้องมีเหตุมีผล..มีข้อห้ามข้อแม้ต่างๆ เพื่อควบคุมคนนำไปใช้ ใครทำไม่ดี ผิดคำครุ ของนั้นก็จะสูญหาย หรือแตกหักอะไรประมาณนี้... -
ขอบคุณพี่benayสำหรับข้อมูลดีๆครับ คนบ้านเดียวกันครับ
-
-
-
-
-
ไม่เข้าพิมพืวัดเกษเลยครับพี่....ส่วนตัวดูแล้วไม่แท้ครับ พี่ลองหาหนังสอพระสมเด็จวัดเกษอ่านดูครับมีขายทั่วไป....ค่อยๆดุพิมพ์ไปก่อนครับ.... -
ชมคร่าวๆไปก่อนนะครับ...........กำลังรวบรวมข้อมูลครับ<!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end -->
__________________<!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end --> -
ตามอ่านกำลังสนุกเลยครับเบ็น เขียนเยอะๆ นะจะได้มีอะไรอ่านยามว่าง อิอิ
-
หน้า 3 ของ 21