.... ทีแรกที่คิดจะเขียนก็ไม่คิดว่าจะมีคนมาอ่านเยอะแบบนี้หรอกคะ เขียนไปก็เกรงใจบุคคลที่สามที่สี่ที่ห้าที่มาเกี่ยวข้องด้วย .. หากจะเขียนอย่างที่ตัวเองคิดทั้งหมด หรือ เจอมาทั้งหมดก็เกรงจะเกิดปัญหาการยอมรับจากคนที่เข้ามาอ่าน กลัวผิดบ้างเยอะคะ กระทู้นี้ กาลีนะ จะเครียดมากคะ ส่วนกระทู้อื่นที่เขียนยังไม่เครียดขนาดนี้เพราะมันเป็นแค่ ประสบการณืส่วนตัว .. แต่อันนี้เป็นความรู้ และ ประสบการณ์ ต้องแยกแยะไม่ให้คนที่เข้ามาอ่านงงคะ ... ใจจริงก็อยากให้มีคำถามของคนที่เจอปัญหามาถามบ้างเหมือนกัน ... แต่ลองคิดดูอีกทีอาจเจอพวกอยากลองภูมิก็เป็นได้ จะกลายเป็นสร้างกรรมไม่ดีต่อกันไปอีก ... ก็กลัวแนะนำพลาดเหมือนกันคะ ถ้าหากมีผิดพลาดไปก็ต้องขอกราบอภัยทุกท่านด้วยคะ
ประสบการณ์เมื่อเรามีคนทักว่าเรามีองค์ (แนวให้ความรู้)
ในห้อง 'เรื่องผี' ตั้งกระทู้โดย กาลีนะ, 13 มิถุนายน 2013.
หน้า 18 ของ 38
-
ให้ธรรมทานก็ยากแบบนี้ล่ะ กว่าจะกดปุ่ม "ส่งข้อความ" คิด 3 รอบ
บางทีพิมพ์ไป 2 หน้าได้ลบทึ้งทั้งหมดเพราะมันเกินกว่าคนธรรมดาจะเข้าใจ
บางทีจะอ้างอิงอะไรเราจำได้นะ ยังต้องไปค้นหาข้อมูลมาเพื่อแน่ใจจริงๆ กลัวพลาด
งานมหาศิวาราตรีผ่านไป ต่อไปก็เตรียมงานไหว้ตรุษจีนกัน -
Jasmin99999 วันนี้ต้องดีกว่าเมื่อวาน
เห็นด้วยค่ะ เคยเจอในกระทู้อภิญญาฯบางท่านไม่เข้าใจหรือจงใจไม่ทราบไม่พูดดีๆ ทั้งๆที่เรามีประสบการณ์ในการปฏิบัติธรรมมาแบบนี้ เจอแบบนี้ ก็มาบอกต่อ ก็โดนว่า... ก็ทำใจค่ะ เหรียญยังมีสองด้าน คนก็ต้องมีหลายประเภท จะให้ถูกใจทุกคนก็ย่อมเป็นไปไม่ได้ ถือคติว่าเราบริสุทธิ์ใจ ไม่ได้เป็นอย่างเขาว่า ก็จะพยายามลืมๆมันไป... อ่านๆดูก็มีหลายท่านเจอคนประเภทนั้นเหมือนกัน
-
.... มันเป็นธรรมดาคะ คนเราร้อยพ่อพันแม่จะให้คิดเหมือนกันทั้งหมดคงเป็นไปไม่ได้ย่อมมีความแตกต่างกันออกไป เราเองคะที่รู้ตัวเราเองดีกว่าใครว่าเราเป็นอย่างไร เพราะพุทธองค์ท่านก็สอนให้เรียนรู้จิตตนเองก่อน .. และ ในห้องต่าง ๆ มันก็มีคนหลายรูปแบบคะ เพราะแม้แต่ กาลีนะ เองห้องอภิญญาแทบจะไม่ย่างกรายเข้าไปเลยคะเพราะคิดว่าตนเองเก่งไม่พอ และ มันหนักเกินไปสำหรับตัวเราตอนนี้ รอให้พร้อมก่อนดีกว่าค่อยว่ากัน และ ยังมีเวลาไม่พอจะไปศึกษาอะไรเพิ่มเติมมากเพราะภาระกิจยังมีมากอยู่คะช่วงนี้
-
ผมติดตามอ่านกระทู้นี้มาตลอด พบว่าหลายท่านมีความรู้ในเรื่องเหล่านี้อยู่มาก
ก็เลยอยากขอคำแนะนำบ้างนะครับ
เรี่องมีอยู่ว่า ผมเป็นคนชอบสวดมนต์และนั่งสมาธิ เวลาสวดมนต์ก็พยายามทำสมาธิไปด้วย
หลายๆครั้งจะเกิดอาการมือสั่นบ้าง, ยกขึ้นเหนีอหัวบ้าง, สั่นไปทั้งตัวบ้าง, กายเอนไปมาบ้าง
เสียงเปลี่ยนบ้าง ฯลฯ หลวงปู่ที่ผมนับถือเคยบอกไว้ว่า ตอนนั่งสมาธิแล้วมีอาการแบบนี้ให้
ปล่อยไปเลยไม่ต้องฝืน แต่ตอนสวดมนต์แล้วเป็นแบบนี้ไม่ได้ถาม ครั้นผมจะปล่อยเลย
มือที่พนมไว้ก็ต้องแยกจากกัน ก็มาติดตรงความคิดที่ว่า ผมสวดมนต์บูชาพระรัตนไตร
มือผมก็ควรพนมมือจนกว่าจะสวดเสร็จ ก็เลยฝืนไม่ให้มือแยกออกจากกัน ผลก็คือกว่า
จะสวดมนต์เสร็จก็เล่นเอาเมื่อยเหมือนกัน เลยอยากขอคำแนะนำว่า ผมควรจะฝืนพนมมือต่อ
ไป หรือว่าปล่อยให้กายออกอาการไปแบบอิสระดีครับ -
น่าจะถามว่า ถ้าปล่อยร่างกายแล้วจะทำอะไรต่อไปมากกว่า
แล้วถ้าไปแบบนั้น จะเกิดอะไรกับชีวิต จะรับมือแก้ไขยังไง
ถ้าเป็นเทวดาก็ดีไป แต่ถ้าเจอวิญญาณหรือเจ้ากรรมนายเวร อันนี้ยุ่งละ
ควรปรึกษาครูบาอาจารย์หรือผู้นับถือนะ เกิดอะไรจะได้ช่วยได้ทัน
หรือถ้าไม่พร้อมก็อธิษฐานขอบารมีพระพุทธเจ้าให้อาการดังกล่าวหายไป รอจนกว่าจะพร้อม -
... เพราะส่วนตัวแทบไม่เคยเจอแบบนี้เคยเป็นแต่อาการ " อยู่ง่วงนอนสวดไปนิดเดียวจะหลับ มือแทบยกไม่ขึ้นพนมมือไปก้จะไม่มีแรงยกไว้ " อันนี้อาจารย์บุญชูเคยบอกว่ามัน คือ " มาร "
... ท่านไม่บอกวิธีแก้ไขคะให้ไปคิดเอาเองเพราะท่านบอกว่า " เจ้าก็สู้มันสิ อย่าไปกลัว " แต่เราแก้ไขเองด้วยการพักแล้วจิ๊บน้ำมนต์หายใจเข้าลึก ๆ หลายครั้งพยายามสูดอีอกซิเจนเข้าปอดเยอะ ๆ แล้วเรียกสติกลับมาแล้วค่อยสวดต่อไป .. หรือ นั้งนิ่ง ๆ สักพักดูว่าต่อไหวไหม๊ .... แต่ที่สู้ไม่ได้คือเวลาไปร่วมงานที่เขาเรียกว่า " สวดเสริมบารมีอันนี้แค่พระเริ่มจะหลับไปเลยคะแบบไม่รู้ตัว " เป็นมา 2 งานละ ก็ถามพี่ ๆ ดูว่าเป็นเหมือนกันไหม๊พี่เขาก็ตอบว่าพี่เขาก็เป็นคะ ...
.... ส่วนการจะปล่อยอารมณ์ตามสิ่งที่มากระทบดีไหม๊ .. คุณต้องย้อนกลับไปถามตนเองว่า " ปล่อยแล้วได้อะไร ปล่อยแล้วดีไหม๊ และ สัมผัสที่เรารู้สึกได้นั้นปลอดภัยแค่ไหน " ดีกว่านะคะ เพราะเรื่องบางเรื่องก็รู้ได้ด้วยตนเองคะ .. พุทธองค์สอนให้เรา " มีสติรู้ตัวทั่วพร้อม " ก้ลงอพิจารณาเอาคะ
.... หากสัมผัสนั้นมาจากที่สูงท่านก็ไม่โกรธเราหรอกคะ เรากำลังสวดมนต์ กำลังสร้างบารมีให้ตนเอง ท่านต้องโมทนาบุญ และ ช่วยเราสิคะ จะมาขัดขวางเพื่อประการใด ... ยังไงก็รอท่านผู้มีความสามารถท่านอื่นมาตอบให้เพิ่มเติมแล้วกันนะคะ กาลีนะ ก็อยากรู้เช่นเดียวกันคะ -
ขอบคุณครับที่ให้คำแนะนำ แต่ที่ผมเขียนว่าปล่อยกายให้ออกอาการแบบอิสระนั้น
หมายถึงปล่อยแค่กายครับ แต่ยังรู้สึกตัวอยู่ตลอดแบบที่เรียกว่าตามดูอาการทางกาย
ตลอดเวลาครับ
คืนนี้ก็เป็นอีกครับเหมือนเดิมทั้งเวลาสวดมนต์และเวลานั่งสมาธิ แม้กระทั่งตอนลืมตา
อุทิศส่วนบุญมือก็ยังสั่นและยกขึ้นเหนีอหัวด้วยครับ -
-
ที่บ้านมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์เยอะไหม้
มีพอสมควร ทั้งพระ เทพ ฤาษี กุมาร
ประสบการณ์เฉียดตาย
เคยจมน้ำ 3 ครั้ง ว่ายน้ำไม่เป็น แต่เอาตัวรอดมาได้ เคยถูกไฟดูด 1 ครั้ง ครั้งนี้
น่าจะตาย แต่ไม่เป็นไรเลย แค่นิ้วชาไป 2 อาทิตย์
กำลังถูกพลังงานภายนอกเข้าควบคุมอยู่
ตรงนี้พอสัมผัสได้บ้าง แต่เรื่องพลังงานเท่าที่ผมสังเกตุดู พบว่าเกิดขึ้นจากสอง
ทาง ทางแรกจากภายในกาย เริ่มจากการมีพลังงานแผ่ซ่านจากช่วงท้องขึ้นมาที่อก แขน
และศรีษะ ทำให้กายอุ่นถึงร้อนบริเวณศรีษะ ถ้าเป็นหน้าร้อนเหงี่อจะออกแบบเสื้อเปียกเลย
ส่วนใหญ่จะเริ่มจากตรงนี้ก่อน จบจากตรงนี้ก็จะมีพลังงานจากภายนอกเข้ามาที่พอสัมผัสได้
จะเป็นพลังงานอุ่นๆ บริเวณศรีษะ และบ่าเป็นส่วนใหญ่ บริเวณแขนจะเป็นลักษณะลมอ่อนฯ
มาสัมผัส
ส่วนเรื่องผมน่าจะพอรู้ ก็จริงครับ เพียงแต่เมื่อไม่สามารถรู้เห็นได้ด้วยตัวเอง ( เห็นภาพ )
แค่ฟังคนอี่นบอกมา ต้องยอมรับว่าไม่แน่ใจครับ
ข้อมูลหลักก็ประมาณนี้ เรื่องของผมนี้ขอยกให้เป็นกรณีศึกษาครับ ใครจะมีข้อคิดเห็นอะไร
อย่างไร ได้เต็มที่เลยครับ เพราะผมก็อยากรู้มากเหมือนกัน -
-
.... มีอยู่ครั้งหนึ่ง เรากำลังสับเนื้อวัวอยู่หน้าเขียงคนเดียวเพราะสมัยนั้นเราหาแม่บ้านกลางคืนไม่ได้ตอนนั้นเราได้รับคำแนะนำว่าให้ฝึกสมาธิแบบ " ภาวนาทุกลมหายใจ " เราก็เลยตัดสินใจลองเพราะช่วงนั้นประสบปัญหาว่า รู้สึกจิตใจเราร้อนรุ่มอยู่ตลอดเวลาเหมือนไฟมันลุกอยู่ในตัวเรา พอเริ่มภวนาไปเวลานึกขึ้นได้ก็ภาวนาจนถึงห้วงหนึ่งที่ทุกอย่างนิ่งสงบ ช่วงนั้นน่าจะสักตีหนึ่งกว่าไม่มีลุกค้า หรือ แม้แต่รถวิ่งผ่าน ... ในหางตาขวาของเราเหลือบมองไปด้านหลังตรงตู้น้ำอัดลมห่างจากตัวเราสักห้าเมตร ... ฉับพลันเราเห็นด้วยหางตาขวานั้นว่ามีหญิงคนหนึ่งเดินมายืนอยุ่ตรงนั้นในชุดส่าหรีสีแดงเต็มยศมายืนยิ้มหวานให้เราพร้อมกับเสียงใสกังวาลเรียกชื่อเรา ... เราตกใจแต่ไม่ได้พูดอะไรไม่ทักแต่หันมามองให้ชัด ๆ ไปเลยว่าเราตาฝาดไปเองหรือเปล่า ... เรากลับพบแต่ความว่างเปล่าไม่มีอะไรนอกจากเราคนเดียวที่ยืนอยู่แถวนั้น ..... มาตอนนี้ก็พอเข้าใจว่าเมื่อสมาธิเรามาถึงระดับหนึ่งที่สามารถสื่อได้จะเกิดเรื่องแบบนี้เป็นธรรมดา ...
... เล่าเพิ่มสะหน่อยวันนี้พอดีมีเวลาไปกราบพระอาจารย์บุญชู .. ถวายของท่านซึ่งวันนี้เหมือนจะมีคนมาหาท่านเยอะพอสมควรจนมืด .. ท่านก็บ่น ๆ ว่าจะไปอยู่ลาวมีคนจะสร้างวัดให้ท่านฝั่งโนน .. เราก็แค่ถามท่านว่าท่านจะไปได้หรือ ที่อื่นก็ไม่เหมือนที่นี้นะ .. ท่านก็ไม่พุดอะไรแค่บอกว่าเบื่อ ๆ .... พอมีโอกาศเราเลยลองกราบเรียนถามท่านว่า " อยากเห็นผีได้เหมือนคนอื่นเขาบ้างต้องทำไงคะ เพราะเวลาแฟนเห็นเราไม่เห็น มีแค่การรับรู้ หรือ รู้สึก มันอึดอัด " ท่านเหมือนจะมองค้อน ๆ เราแล้วบอกว่า " ก้เจ้าไม่ยอมฝึกหนักเจ้าจะเห็นได๋จั๋งได๋ " เราเลยเงียบ แล้วกราบลาท่านมา -
ตอบคุณ rungsun2503
เค้าแค่อยากช่วยส่งเสริมให้คุณหมั่นสร้างบารมี ที่คุณมีปัญหาเรื่องการเงิน
ไม่ต้องห่วงไม่ได้ให้คุณมาเป็นร่างทรง แต่ถ้าไม่ชอบอาการก็ขอบารมีพระพุทธเจ้าท่านช่วย
จะมีเรื่องสะดุดนิดหน่อยแต่จะผ่านไปได้นะ -
.... ยังมีเรื่อง และ เหตุการมากมายที่เราเจอจนเรามั่นใจว่าเราคงมีองค์มารักษาจริงแหละ และ การทำตัวไม่ดีของเราบางอย่างทำให้เราสูญเสียสิ่งดี ๆ หลายอย่างในชีวิตไป ... เราเคยคิดว่ามันจะหายไปตลอดชีวิต ... แต่เมื่อเราเจอทางออกที่มีคนแนะนำ และ ให้กำลังใจเราแล้วเราทำตาม ทำให้ทราบว่าเคสของเราสามารถแก้ไขได้ .....
8. เขามีการแยกประเภทยังไง .. ?
.... ตอบ มี ได้มีการลงไปแล้วในกระทู้นี้คะ เลื่อนหาอ่านเองได้นะคะ
9. ถ้าเราตัดสินใจเลือกทางเดินให้ตนเองแล้วจะเกิดอะไรกับเราบ้างในวันข้างหน้า ?
...... ตอบ เราก็ควรมีการศึกษาหาความรู้อย่างรอบคอบ เพื่อความมั่นใจเวลาจะพูดอะไรคุยอะไรกับใครก็ควรคิดไตร่ตรองให้ดี ... อย่าลืมว่า คนดี กับ คนบ้า อาจต่างกันแค่นิดเดียวคะ
1. สุดท้ายกลายเป็นผู้วิเศษที่ทุกคนต้องกราบไหว้ ส่วนมากหลงทางหลงผิด ถลำลึกลงไปถอนตัวไม่ขึ้น ... ซึ่งส่วนมากจะจบด้วยการตายที่ไม่ปกติ ป่วยด้วยโรค ร่างกายซูบผอมแบบผิดธรรมชาติ .. ล้มเหลวในชีวิต เพราะน้อยคนจะคุมตัวเองอยู่ได้
2. สุดท้ายกลายเป็นผู้ออกบวชเพื่อดำรงค์ตนให้สะอาด
... ทั้งหมดก็เกี่ยวกับ " กฏแห่งกรรม " เพราะการที่เราเข้าไปก้าวก่ายกับชะตากรรมของผู้อื่นมากไป .. เราเองก็ต้องรับผลของมันด้วยไม่มากก็น้อย ช้า หรือ เร็ว ขึ้นอยู่กับวาระกรรมของตัวเราเองด้วยหนึ่ง การกระทำตัวเราเองด้วยหนึ่ง ซึ่งบอกได้ว่ามันมีผลแน่นอนตราบใดที่เรายังวนเวียนอยู่ในกฏแห่งกรรม ไม่มีใครหรอกที่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับกรรมที่ไม่ใช่ของตนแล้วไม่ได้รับผลนั้นด้วย ยกเว้นได้รับการ " อโหสิกรรม ให้อภัย จาก เจ้ากรรมนายเวร หรือ หมดวาระแห่งกรรมนั้นจะให้ผล " ซึ่งตอนนี้ กาลีนะ ก็กำลังศึกษาเรื่องของ " กรรม " ที่เกิดขึ้น หรือ ความเป็นมา ว่าทำไมเพราะอะไร .. ส่วนมากจะเอาเรื่องที่เจอ หรือ ได้ยินมานี้แหละคะมาพิจารณา และ ลองหาคำตอบเล่น ๆ ให้ตนเองคะ
-
คุณ naitiw คงจะสื่อกับเค้าได้ใช่ไหม๊ครับ ถึงบอกได้ถูกหมดเลย
ว่าแต่เค้าได้ฝากบอกอะไรผมอีกรึเปล่าครับ -
-
ขอบคุณครับ คุณkalina ที่แนะนำ เพราะผมเองก็อยากรู้ว่าผมควรจะเดินสายไหน
เพราะองค์เทพที่ผมบูชาอยู่เป็นองค์ที่น้าของแฟนผม เค้าเป็นร่างทรงฤาษี เป็นคนจัด
หามาให้ผม โดยบอกว่าองค์ฤาษีท่านสั่งให้นำเงินบูชาครูไปจัดจัดหามา และผมก็ได้ทำ
บุญกลับไปให้แล้ว อีกองค์หนึ่งเป็นองค์ที่น้าเค้าบูชามานานแล้ว ก็ถูกสั่งให้นำมาให้ผม
อีก เมื่อรับมาตั้งบนหิ้งพระแล้ว ผมก็นับถือเป็นครูผมทั้งสององค์ ในช่อง 2-3 ปีมานี้
ผมได้ปฏิบัติตามคำสอนหลวงพ่อฤาษีลิงดำ ที่เน้นให้บูชาพระรัตนตรัยเป็นสำคัญ แต่ผม
ก็ไม่อยากทิ้งครู เวลาสวดมนต์ก็เลยสวดบูชาพระรัตนตรัย บูชาสมเด็จองค์ปฐมฯ
หลวงปู่ทวด หลวงปูดู่ องค์พระานารายณ์ องค์พระศิวะ แล้วจึงสวดมนต์บทอื่นๆ
ที่ผมทำอย่างนี้ก็ไม่รู้ว่ามันถูกต้องเหมาะสมหรือไม่ แต่ยังไงผมก็ไม่อยากทิ้งครู ซึ่ง
เป็นเหมือนผู้มีคุณสำหรับผม ตรงนี้ก็อยากขอความคิดเห็นแนะนำผมด้วยครับ -
คุณ Kalina ก็ชมเกินไป ทางนี้ก็ตกการปฏิบัติวิปัสสนาเหมือนกัน ไม่งั้นคงไปไกลแล้ว
คุณ rungsun2503 ทำถูกแล้ว พระพุทธเจ้าท่านประเสริฐสุดในจักรวาลแล้ว
ครูท่านช่วยเหลือเรามาพอตั้งตัวได้จะให้ทึ้งไปนี่ก็อกตัญญู -
วันนี้ขอเสนอ เทพีเกิดจากวงการภาพยนตร์
เทวีซานโตชิ Santoshi Mata
เทพีองค์นี้ไม่มีตัวตนตามตำราหรือตำนานอะไร เกิดจากวงการภาพยนตร์สร้างหนังแล้วมีผู้นับถือกันต่อมา
ในปี 1975 มีการสร้างภาพยนตร์เรื่อง "Jai Santoshi Ma" ทำให้เกิดกระแสการนับถือเทวีองค์นี้ขึ้นโดยเฉพาะทางอินเดียตอนเหนือ โดยให้เป็นบุตรีของพระคเณศ แต่ทางเทววิทยาถือว่าไม่มีเทวีองค์นี้จริง
-
... งั้นเอาแบบที่ กาลีนะ ศึกษามาละกันนะคะ อิงทางแขกที่มีทั้ง กลาง ทมิฬ ใต้ เหนือ
... พระศิวะ ทรงมีชายาทั้งหมดที่ทราบ ประมาณนี้คะ
1. พระแม่ ศักติ ( คงคุ้นหูกับ ศักติ - ศิวา หรือ อรรถนารีศวร มีครั้งแรกตอนกำเนิดจักวาล และ ตอนพระพรหมสร้างมนุษย์โดยเป็นแบบให้ และ อีกหลายครั้งที่ปรากฏ )... พระแม่ผู้เกิดมาจากเบื้องซ้ายของพระศิวะ เป็นพระแม่ของจักวาล ( ผู้สร้างสรรพสิ่งตอนกำเนิดจักวาล ) ทรงอำนาจสูงสุดเสมอพระศิวะ .... ไม่มีบุตร
2. พระแม่สตี บุตรสาวของพระมหาปชาบดีผู้กำเนิดมาจากนิ้วเท้าของพระพรหม เป็นมนุษย์ปกติ .. คงจำได้ที่หัวกลายเป็นแพะ ตอนที่พระแม่สตีได้เผาตนเองด้วยไฟในพิธีบูชาไฟ ... ไม่มีบุตร
3. พระแม่ปาราวตี ศรีอุมาเทวี เป็นบุตรของท้าวหิมวัต ที่ได้มาจากการภาวนาขอพรต่อพระแม่ศักติ เป็นมนุษย์ปกติ ... ซึ่งในชาตินี้เป็นชาติที่มีการพูดถึงมากที่สุด ทรงมีบารมีเดิม และ ทรงสร้างตบะบารมีใหม่ด้วยการเจริญสมาธิในแนวฤษี .... ทรงได้พระนามใหม่ว่า พระแม่อุมาเทวี จากคำอุทานของพระมารดา มีการก่อเกิดภาคต่าง ๆ ในช่วงนี้ หรือ ที่ผู้นับถือต่างเรียกขานกันทั้งหมด 108 นาม แต่ที่นิยมบูชากล่าวถึงจะมีเพียงไม่กี่นามเท่านั้น
.... มีบุตรที่ถือว่าเป็นบุตรของพระองค์ กับ พระศิวะ 3 พระองค์
3.1 พระขันธะกุมาร กำเนิดจากเหงื่อของพระศิวะ ... มีชายา 2 พระองค์ เป็นมนุษย์ 1 เป็นนางฟ้า 1 ไม่มีบุตร
3.2 พระราชธิดา 1 พระองค์ จำพระนามไม่ได้แต่ได้ถูกพระศิวะให้ลงมาฝึกตนที่โลกมนุษย์ตั้งแต่ยังเด็ก และ วิวาหะไปกับมนุษย์ไม่เป็นที่กล่าวถึงเท่าใดนัก
3.3 พระคเณศ เกิดจากฤทธิ์ของพระนางที่ต้องการบุตรมาเพื่ออยู่เป็นเพื่อนพระนาง มีพระชายา 2 พระองค์เป็นพี่น้องกัน และ เป็นมนุษย์ ไม่แน่ชัดว่ามีบุตรหรือไม่
4. พระแม่คงคา เป็นพี่สาวของพระแม่ปาราวตี พระศิวะรับไว้เป็นชายาในนาม
5. บุตรสาวเศรษฐี ( จำชื่อไม่ได้ ) แต่นางได้ปฏิบัติภาวนาถึงพระศิวะจนเต็ม พระองค์จึงลงเป็นวานิทหนุ่มเพื่อมาวิวาหะกับนาง สุดท้ายก็กระโดดเข้ากองไฟที่เผาสามีนาง .. ตายตามสามีสามีตนเอง
6. พระราชธิดาของกษัตย์ชาวทมิฬ เป็นตอนที่กำเนิดพระแม่กาลีแล้วพระทัยของพระแม่ปาราวตียังไม่สามารถควบคุมได้จึงลงมากำเนิดเป็นมนุษย์ บ้างก็ว่าเพื่อล้างคำสาปที่เคยมีคนจะกักขังพระแม่กาลีไว้ ( จำชื่อฤษีไม่ได้ แต่เป็นพวกที่บูชาด้วยการฆ่าคน + สัตว์ ด้วยการเชือดคอ และ บูชาด้วยเถ้ากระดูกคน ) และ สุดท้ายได้วิวาหะกับพระศิวะในภาคฤษีที่คลุกพระองค์ด้วยขี้เถ้า ..
.... จากนั้นก็ยังไม่มีการกล่าวถึงชายาของพระศิวะเพิ่มขึ้นมาอีกคะ หาได้เท่านี้ ... ซึ่งก็แตกต่างจากที่คนไทยเราศึกษา .. แต่จริงเท็จประการใด กาลีนะ ไม่แน่ใจเพราะเกิดไม่ทันคะ .. และ ฟังภาษาฮินดี้ไม่ออก แต่ชอบดูละคร ดูหนังแขกบ่อย ๆ ซึ่งบางท่านอาจคิดว่า เห๊อะ .. เขาก็ใส่สีตีไข่กันทั้งนั้น .. อันนี้ของแขกไม่ใช่ของไทยนะคะโปรดเข้าใจว่าการที่พวกเขาจะกล่าวถึงพระเป็นเจ้าของพวกเขาซึ่งแต่ละคนนับถือ และ เชื่อต่างกันนั้นพวกเขาต้องใช้ความละเอียดอ่อนสูงมากเพราะมันง่ายต่อการถูกต่อต้านจากผู้ไม่เห็นด้วยคะ ... ต้องทำการบ้านมาอย่างดีก่อน เพราะเมืองแขกทำแบบนี้เขาอยู่ได้เป็น สิบ ๆ ปี คะ .. นี้ก็ลองเอามาให้พิจารณาคะ
หน้า 18 ของ 38