ประสบการณ์เมื่อเรามีคนทักว่าเรามีองค์ (แนวให้ความรู้)

ในห้อง 'เรื่องผี' ตั้งกระทู้โดย กาลีนะ, 13 มิถุนายน 2013.

  1. กาลีนะ

    กาลีนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    632
    ค่าพลัง:
    +4,297
    ..... จะบอกว่าทุกวันนี้ที่กาลีนะสวด และ อธิฐานอยู่ก็รีมิกซ์ของชาวบ้านมารวมกับความเป็นตัวเองเหมือนกันคะ เว๊ป ญาณทิพย์การลีนะก็เคยเข้าไปหาอ่านเหมือนกันคะ เพียงแต่ไม่ได้สมัครสมาชิกเพราะเขาเน้นเรื่อง องค์ มากไปกาลีนะจะเน้นอ่านที่เราสนใจแล้วเอามาพิจารณาปรับใช้กับตัวเองคะ มีหลายเวอร์ชั้นเหมือนกัน ... ถามว่าได้ผลไหม๊ .... ถือว่าน่าพอใจนะคะ .. แต่กาลีนะจะอยากเน้นเรื่อง

    " การพัฒนาพื้นฐานจิตใจตัวเองก่อน "

    .... เพราะถ้าใจเรายังมืดบอดอยู่ต่อให้สวดสุดยอดบทสวดมนต์ ... มันก็ไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้นหรอกคะ .... เพราะเทวดาท่านไม่ได้ดูแค่ภายนอกท่านอ่านได้ถึงจิตใจของเราด้วยคะ ...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 มิถุนายน 2013
  2. กาลีนะ

    กาลีนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    632
    ค่าพลัง:
    +4,297
    ... สาธุคะ ขอบพระคุณมากนะคะ ... สรุปได้สั้น ๆ เข้าใจง่าย กาลีนะ ถนัดร่ายยาวน่าอายจัง 5555555555555
     
  3. กาลีนะ

    กาลีนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    632
    ค่าพลัง:
    +4,297
    ..... มีหลายแบบคะ ... ตอบแบบไม่เรียบเรียงอาการแล้วกันนะคะ ...

    .... แบบซ้อนทับ คือ กาลีนะเคยนอนหลับคะ แล้วแฟนบอกว่าทำไมตัวร้อนมากร้อนเหมือนไฟเลยเขาเข้าใกล้ไม่ได้เลย .. แต่เราไม่รู้สึกว่าร้อนอะไรนะคะปกติ มีแค่อาการง่วงนอน ... พอหลับไปก็เห็นเป็นผู้หญิงใส่ชุดสาหรีสีแดงสวยงามมาก หน้าตาสวยงามน่ารัก เดินเข้ามายืนใกล้เราก่อนแล้วยิ้มให้เราตัวเราจะรู้สึกตัวแข็งกระดิกไม่ได้ แต่ไม่ได้หนักเหมือนเวลาเจอผีมาอำนะคะ ... มันเบาคะเหมือนตัวเราลอยสูงจากพื้นเล็กน้อย แล้วท่านก็จะมานอนทับลงไปในตัวเราเลยคะแบบแนบสนิทเหมือนเป็นคนเดียวกันแต่เหมือนเราเห็นภาพนั้นแบบสายตาปกติ แล้วก็เหมือนท่านมากระสิบข้างหูเราด้วยเสียงอันไพเราะ กังวาลใส ไม่เคยได้ยินเสียงใครไพเราะเท่านี้มาก่อนเลยคะ ... แต่ตอนตื่นจำไม่ได้ว่าท่านพูดอะไรกับเรา ... แฟนบอกว่าตอนที่เราหลับเขาไม่กล้าปลุกเราเขาบอกเขากลัวเรามากเพราะเรานอนพุดคนเดียว และ คำรามเหมือนเสือด้วย

    ... ส่วนเวลาที่มีสติ ก็จะเป็นแบบรู้สึกตัวครึ่งหนึ่งคะ คือ เหมือนเรากำลังคุยกันอยู่อย่างงี้อะคะ กาลีนะก็จะพูดออกมาแบบไม่ได้คิดไม่ได้ตั้งใจจะพูดแบบนั้นถ้ามีอาการประมาณนี้ทุกคนจะไม่มีใครทักจะปล่อยให้พูดไปเลยคะ สมัยก่อนกาลีนะมักดูดวงให้เพื่อน ๆ บ่อย ๆ แต่เอาโปรแกรมดูดวงมาดูนะคะ .. เวลาแบบนี้จะเป็นบ่อยสุด มันจะรู้สึกว่านิ่งสงบ , ตัวเบาลอยเหมือนกายเรามันเป้นเปลือกห่อหุ้มอยู่แล้วจิตเรามันลอยอยู่ " เหมือนมีอีกคนอยู่ในตัวเรา " ยิ่งเวลาที่เราพบอันตรายถึงชีวิต จะเหมือนเรามีอีกคนตื่นขึ้นมาแทนที่ แต่ไม่ทรมานอะไรนะคะ .. จะอธิบายไงดีนะหนูก็อธิบายลำบาก แต่จะรู้เองว่านี้คืออาการที่ท่านมานะ ...

    ... บางครั้งมีอาการอื่นประกอบ เช่น ขนหัวลุกชันเหมือนมีคนเหยียบอยู่บนหัวเรา ออกร้อนในตัว แต่จะไม่เคยมี คือ " อาการตัวสั่น " แบบเจ้าเข้าที่เขาเป็นกันไม่มีคะ แม้แต่เวลาไปดูเขาทำพิธีทรงเจ้า ไหว้ครู ก็จะรู้สึก สงบ นิ่ง เบา ลอย และ มองดูพวกเขาเฉย ๆ คือ อาการสงบนิ่งจากปกติที่เป็นคนอยู่ไม่สุข จะกลายเป้นคนเรียบร้อย อ้อ เวลาไปบวชชีพราหมณ์ก้เป็นคะ จะเคยแบบว่าทนไม่ได้ก็ตอนไปร่วมงานสวดภาณยักษ์ใหญ่ที่วัดเจดีย์หอย ไม่ใช่อะไรนะคะ มันเหมือนควบคุมตัวเองลำบาก " หัวใจมันเต้นรัวแรงมาก และ เหมือนจะควบคุมตนเองไม่ได้ " ต้องเดินเลี่ยงมาอันนี้เคยเป็นครั้งหนึ่ง ..

    ... และที่ตัวเองจะกลัวตัวเองมากก็คือ ... ตอนที่ " โมโห " คะ ถ้าได้ระดับนี้คือจะควบคุมตัวเองไม่ได้นะคะ คือ จะทำอะไรไปโดย " เหมือนเราฝันไปนะคะ " ทำอะไรไปแบบควบคุมตัวเองไม่ได้ เคยสาปแช่งคนตอนโมโหแบบนี้หลายครั้งเหมือนกันคะ ... และ ดูเหมือนว่าจะเกิดผลตามที่เราสาปแช่งเขาไปด้วย ... มันเป็นแผลในใจกาลีนะจนถึงทุกวันนี้ที่ไม่คิดว่ามันจะเป็นจริง .. ทำให้กาลีนะต้องเจอวิบากกรรมที่ตัวเองแทบเอาชีวิตไม่รอด เลยต้องระวังตัวเองมาก พร้อมทั้งพระอาจารย์ต๋องท่านเคยบอกเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้แล้วว่า กาลีนะ ต้องระงับ โทสะ ให้สิ้น และ ห้ามฝึกแม้แต่สมาธิ มีสติอยู่กับตัวอยู่เสมอ ให้ทำแค่บุญอย่างเดียวเท่านั้นถ้าไม่อยากสัมผัสเจอะเจออะไรเหล่านี้ ... บางเรื่องกาลีนะก็ลงไปบ้างแล้ว

    .... ที่เหลือท่านจะมาในนิมิตคะ ถ้านิ่งมาก ๆ ก้จะมายืนยิ้มให้ หรือ เรียกเรา ในฝันบางที่เราจะฝันว่าเราไปร่วมงานเหมือน " งานไหว้ครู " มีปรัมพิธีเรานั้งอยู่ในงาน มียายเรา มีน้าเรา มีแม่เรา นั้งอยุ่ในพิธี บางทีก็ญาติ ๆ เรา และจะมีองค์ท่านนั้งห่างออกไปแต่ตัวใส่ชุดสีขาวทั้งชุดคล้ายชุดที่ใส่บวชชีพราหมณ์คะนั้งอยู่กับผู้ชาย และ เด็กผู้ชายอีกคนพนมมือมองไปท่านจะยิ้มให้เราเสมอ .. จะฝันถึงพิธีแบบนี้มาสามสี่รอบแล้วคะ รอบสุดท้ายนี้ปีที่แล้วในฝันพิธีกลางแจ้งคนเยอะมากและมียายกับญาติ ๆ ยายนั้งเรียงหนึ่งในมือมีพานดอกไม้ธูปเทียนรอใครสักคนทุกคนใส่ชุดสีขาวหมด หนูก็อยู่กับเขานั้งอยู่ แล้วมีขบวนคนเดินมาเหมือนจะมารับขันธ์ของคนที่นั้ง ๆ กันอยู่ เป็นผู้ชายคะรูปร่างสูงดูดีมาก ๆ ใส่ชุดสีขาวทั้งชุดดูเรียบร้อย เหมือนคนเป็นเจ้าใหญ่นายโต แต่ที่หัวเขามีแสงสีทองเป็นรัศมีออกมากว้างมาก ๆ และ ทุกคนที่เดินตามเขาใส่ชุดขาวทุกคน หนูก็หนีสิคะถอยตำแหน่งหนีมาเรื่อย ๆ เหมือนไม่พร้อมจะรับความรุ้สึกตอนนั้นนะคะ และ เหมือนเขาจะถามหนูว่าจะหนีไปถึงเมื่อไหร่ ... แต่ยังไม่ตอบอะไรหนุก็ตื่นก่อนคะ .... เห้อ ๆ เกี่ยวกันไหม๊คะ .. เล่าสะยาวเลย

    ... แต่อีกแบบที่เจอบ่อยกว่า คือ จะเจ็บบ่าซ้ายเหมือนมีคนน้ำหนักสักไม่ถึงสามขีดเหยียบบนบ่าซ้ายเรามันจะเจ็บคะ ตัวเบาลอย นิ่งสงบ หลังจะตรง พอดีไหปลาร้าซ้ายหักเพราะอุบัติเหตุกระดูกไม่ดีคะ บ่าขวาจะไม่ค่อยรู้สึก หรือ มายืนข้าง ๆ ด้านขวามือบ้าง ไม่แน่ใจว่าใช่ท่านหรือเปล่า แต่ถ้าทางซ้ายจะเชื่อว่าเป็นท่านคะ ... เหมือนท่านอยู่ด้านซ้ายของตัวเราคะ ทุกครั้งที่เกิดอันตรายด้านซ้ายจะเป็นฝั่งที่รับแทนตลอดตัวจึงมีแผลเป้นแค่ด้านซ้ายมากกว่า ... เมื่อสักสองสามวันก่อนก็มีพี่ที่ท่าสัมผัสภพภูมิได้เก่งท่านก็ถอดจิตมาส่องหนูเหมือนกัน ท่านก็ลองถามว่าตอนท่านมารู้สึกยังไงแบบที่พี่ถามนี้แหละคะ หนูก็ตอบไปว่า เหมือนท่านอยู่ในตัวเราแม้แต่ตอนนี้ก็ใช่ ... พี่เขาเลยบอกว่าลักษณะแบบนี้นะ หน้าเล็ก ๆ ตาคม ๆ สวยน่ารัก มีสามเหลี่ยมที่หน้าผากแต่อยู่ซีกซ้ายของตัวหนู คือ พี่เขาเห็นแค่ครึ่งเดียว ....

    ... ไม่รู้ว่าตอบไปพี่จะเข้าใจที่หนูพยายามสื่อแค่ไหน แต่ก็พยายามอธิบายแล้ว .. และ ไม่รุ้ว่าคนอื่นคิดยังไงกับกรณีของหนู ... แต่หนูไม่ใช่ร่างทรงนะคะ หนูรักษาคนไม่ได้ หนูสวดมนต์ไม่จบบท หนูเสกอะไรไม่ได้ หนูให้พรใครไม่ได้ .. แต่อาจสาปแช่งได้ ... อิอิ ... แต่หนุก็ต้องรับผลของกรรมนั้นด้วย ... หนูความจำสั้นด้วยคะ บางครั้งก็จำได้บางครั้งก็ลืม คือที่ร่างทรงเขาทำ ๆ กันหนูทำไม่เป็นเลยคะรวมทั้ง " ภาษาเทพ " สรุปหนูเหมือนคนปกติธรรมดานี้แหละคะ แค่สัมผัสภพภูมิได้บ้างแค่นั้น อ้อ ... ผีชอบมาหาหนุด้วย เห้อ ๆ


    **** ทุกครั้งที่มาจะหน้าตาเหมือนเดิมแต่เสื้อผ้าเปลี่ยน คิ้วเข้ม ตาคมโต จมูกโด่ง หน้าเล็ก ๆ คางแหลม รูปร่างสันทัดมีทรวดทรงสมส่วน ผิวพรรณไม่ขาวไม่ดำมันดูเนียน ๆ ออกเหลือง ผมดำยาว บางครั้งก็ใส่ชุดสีขาว สีม่วง สีน้ำเงิน สีแดง สีชมพู สีเขียว สีดำ ... เคยมีคนบอกว่าเป็นภาคแบ่งของท่าน แต่ชุดสีแดง สีดำ กับ สีขาวจะเจอบ่อย
     
  4. กาลีนะ

    กาลีนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    632
    ค่าพลัง:
    +4,297
    ... อ้อ หลัง ๆ จะง่วงนอนมากเวลาที่เขาสวดชุมนุมเทวดา หรือ เวลาพระสวดมนต์อะไรยาว ๆ .. แค่ตอนขึ้นก็ไปแล้ว เป็นเรื่องที่น่าอายมาก เหมือนเป็นเพลงกล่อมให้หลับก้ไม่ปาน ... แต่ส่วนมากจะรุ้สึกว่ามีคนยืนอยู่ข้างหลังเรา ซ้ายบ้าง ขวาบ้างมากกว่า .. ไม่แน่ใจว่านี้ก็ใช่ไหม๊
     
  5. กาลีนะ

    กาลีนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    632
    ค่าพลัง:
    +4,297
    ***** คุณถูกผีหลอกให้รับขันธ์รับองค์หรือเปล่า ?
    (ข้อความจาก saksitsart.com)

    คำว่า รับขันธ์ แทนที่คุณจะเป็นฝ่ายรับ คุณกลับต้องเป็นฝ่ายให้หรือเป็นฝ่ายเสียขันธ์(ห้า)ให้พวกผีห่าซาตานไป

    .... ขันธ์ห้าที่คุณต้องสูญเสียไปหลังจากที่คุณไปรับขันธ์ (ผี) รับองค์ หรือ รับสัญญา ยอมเป็นทาสผี

    .... สิ่งที่คุณต้อง สูญเสีย ให้พวกผีห่าซาตานไปก็คือ รูปขันธ์ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ วิญญาณขันธ์

    แล้วคุณจะเหลืออะไร ?

    .... ในเมื่อคุณหลงไปเป็นเหยื่อของพวกมันแล้ว ทุกอย่างในร่างกายของคุณตกเป็นทาสผี คุณบริจาคขันธ์ห้าให้พวกผีไปเพราะถูกพวกผีหลอก

    .... ถ้าคุณบริจาคสังขารบริจาคอวัยวะให้โรงพยาบาล เมื่อคุณเสียชีวิตไปแล้วเขาจึงมีสิทธิ์นำอวัยวะที่คุณบริจาคไปใช้ได้ .... แต่สัญญา ขันธ์ สามารถใช้ร่างกายและจิตวิญญาณของคุณได้ ไม่ว่าคุณจะตายหรือเป็น!!!
     
  6. กาลีนะ

    กาลีนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    632
    ค่าพลัง:
    +4,297
    ........................."คำแนะนำเรื่องการรับขันธ์"..................

    .... ดังนั้น ถ้าไม่จำเป็นจริง ๆ จะมีองค์หรือไม่ก็ตาม ก็จงอย่าไปรับขันธ์เลย ถ้าท่านหมั่นสวดมนต์ไหว้พระ นั่งสมาธิ แผ่เมตตาถึงครูบาอาจารย์ และองค์เทพที่คุ้มครองตนเอง ก็น่าจะเพียงพอแล้ว เพราะการที่เทพมาอยู่กับเราก็ด้วยเหตุที่ได้กล่าวไว้ข้างต้น คือ ปรารถนาจะได้ร่วมสร้างบารมี และ ช่วยเหลือผู้ที่เคยเกี่ยวข้องกันมาก่อน พาร่างสร้างบารมีทำบุญไหว้พระ สร้างแต่กรรมดี ชอบช่วยเหลือผู้อื่น

    ...... ถ้าเราทำได้ดังนี้ก็ไม่มีความจำเป็นอะไรที่ต้องไปรับขันธ์ เทพเป็นผู้ที่มีจิตเมตตา ย่อมไม่สร้างปัญหาใด ๆ ให้กับร่างที่จะมาอยู่ด้วย เพราะท่านกลัวบาป การที่จะทำให้เจ็บป่วยหนักหนาแสนสาหัส หรือลงโทษอะไรหนักหนาคงไม่มี นอกจากช่วยเหลือเท่านั้น แต่ที่มันเจ็บป่วยหรือมีปัญหาในหน้าที่การงาน การเงิน จนล้มละลาย มันเป็นเรื่องของวิบากกรรมที่ใครจะเข้าไปแก้ไขได้ นอกจากช่วยประคับประคองหรือดลจิตดลใจให้ไปหาผู้ที่สามารถแก้ไขวิบากกรรมส่วนนี้ได้

    .... ดังนั้น การที่เราได้กล่าวถึงกรณีการรับขันธ์นี้ ก็เพื่อให้ท่านทั้งหลายได้ใช้วิจารณญาณในการแก้ไขตนเองให้ถูกต้อง ไม่ใช่ใช้เงินแก้ไข มนุษย์เราไม่อาจฝืนกฏแห่งกรรมได้ แต่อาจได้รับการชี้แนวทางแก้ไขได้ เพราะปัญหาต่างๆ ทั้งชีวิตความรัก การงาน สุขภาพ ฐานะการเงิน ที่รุมเร้ามนุษย์นั้น มีกรรมเป็นต้นเหตุที่สำคัญ การแก้ไขเรามาแก้กันที่ปลายเหตุมันก็ไม่จบ ต้องรู้จักต้นเหตุ เพราะเหตุเกิดที่ไหนก็ดับที่นั่น.
    ..

    ธนากร ปุสสวงษ์ saisunya.com
     
  7. กาลีนะ

    กาลีนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    632
    ค่าพลัง:
    +4,297
    ถาม - ตามตำหนักทรงทำไมต้องเจิมหน้าผาก ?

    ตอบ - การเจิมหน้าผากเป็นการสะกด หรือ กดให้สังขารวิญญาณนั้นอยู่ภายใต้อำนาจตนเอง หรือ กดให้เป็นบริวาร พระพุทธเจ้าสอนธรรมมะ ให้กับสาวก แม้แต่องคคุลีมาร ยังสำเร็จอรหันต์ มิได้ให้เจิมหน้าผากใคร

    ถาม - เหตุใดวันพระจึงไม่ยอมเข้าทรง ?

    ตอบ - วันพระคือวันที่พระพุทธเจ้าแสดงธรรมโปรด สรรพสัตว์ทั้งหลาย และเหล่าทวยเทพเทวดา มาฟังธรรม เทวดาก็ต้องการหลุดพ้นเหมือนกัน การที่ตำหนักต่างๆ ไม่ทรง เรียกว่าไม่กล้าเข้า เพราะเกรงกลัวอำนาจ
     
  8. raming2555

    raming2555 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,552
    ค่าพลัง:
    +18,993
    พวกที่มีองค์นี่น่าสนุกดีเหมือนกันนะ...เหมือนมีพลังสถิตร่าง แบบ นารุโตะ เลยนิ...
    ให้คุณกาลีนะเล่าต่อดีกว่า

    เวลาที่ไปอยู่ในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ จะเรียกว่า ที่ที่มีพลังงานมากๆ เหมือนอย่างที่หลวงตาม้าท่านว่านั้น คุณกาลีนะ มีอาการยังไง รู้สึกอย่างไรมั่ง...

    แล้วรู้สึกไหมว่า สมาธิ ก็ฝึกแบบนิดๆหน่อยๆ พอกระจุ๋มกระจิ๋ม แต่ว่าสามารถเห็นผีได้ชัดเจน ยังกะเห็นด้วยตาเปล่าๆอย่างงั้นเลย ทั้งที่คนอื่นๆกลับไม่ค่อยเห็น...
    จะว่าไปแล้วเห็นชัดกว่าพวกที่นั่งฝึกทิพยจักขุญาณมาหลายสิบปีเสียอีกนะ...
    อันนี้เป็นเพราะเหตุอันใดนะ???...
     
  9. กาลีนะ

    กาลีนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    632
    ค่าพลัง:
    +4,297
    พวกที่มีองค์นี่น่าสนุกดีเหมือนกันนะ...เหมือนมีพลังสถิตร่าง แบบ นารุโตะ เลยนิ...
    ให้คุณกาลีนะเล่าต่อดีกว่า


    ... อยากปล่อยพลังได้แบบในการตูนเหมือนกันคะแต่ทำไม่เป็น .5555555555555 พวกพี่ ๆ เขาบอกว่าจะสอนให้เหมือนกันกันให้ไปฝึกอาโปกสิณมาก่อนเพราะ ของเดิมมีกสิณไฟ กับ ลม ถ้าฝึกได้ของเก่าจะกลับมา ... แล้วพี่เขาจะสอนวิธีใช้ ... หนูยังไม่ได้เริ่มฝึกเลยคะ ... เพราะถ้าตัดสินใจลงไปแล้วถอยหลังกลับไม่ได้ .. ต้องเดินหน้าให้ถึงที่สุด เห้อ ๆ

    เวลาที่ไปอยู่ในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ จะเรียกว่า ที่ที่มีพลังงานมากๆ เหมือนอย่างที่หลวงตาม้าท่านว่านั้น คุณกาลีนะ มีอาการยังไง รู้สึกอย่างไรมั่ง...

    ... ไม่มีอาการอะไรแบบน่าตกใจหรอกคะ ส่วนมากจะนิ่ง สงบ สบาย เบาตัว ปลอดภัย คุ้นเคย อารมณ์ดี ที่เขาเรียกว่า ปิติมั้งคะ .. บางสถานที่เราไปครั้งแรกแต่เหมือนเราเคยมาแล้วมันคุ้นมากคะ เหมือนเราเคยอยู่ที่นี้มาที่นี้มาก่อน .. มันเหมือนเวลามันจะหยุดหมุน หรือ ว่าเดินช้า ๆ เหมือนมีพลังงานอ่อน ๆ อยู่รอบตัวเราเป้นพลังงานฝ่ายดี รอบตัวเราประมาณคืบ หรือ ศอกหนึ่งได้ที่สัมผัสได้ หูเราจะเหมือนอื้อ ๆ หน่อยเหมือนประสาทบริเวรหุมันทำงาน บางครั้งจะรู้สึกว่ามีภพภูมิกำลังจ้องมองเราอยู่แต่ไม่ใช่แบบไม่ดีนะคะ ... เวลานั้งสมาธิจะไปได้เร็วมากคือมันจะนิ่งเร็วกว่าที่อื่น ๆ อยากอยู่ที่นั้นไม่ไปไหนไม่อยากกลับออกมา .. เช่น วัดแขก เขาพนมรุ้ง พระธาตุดอยสุเทพ วันพระยืนที่อ.กันทระ เมืองเก่าอยุธยา เป็นต้น ... มีช่วงหนึ่งคะเวลาไปวัด หรือ ทำบุญ จะออกร้อนเแพาะที่หูมาก บางครั้งสองข้างบางครั้งข้างเดียว รำคาญคะ เคยเอาน้ำมนต์ใสรดที่หูค่อยดีขึ้นหน่อย ... ก็ประมาณนี้แหละคะ

    แล้วรู้สึกไหมว่า สมาธิ ก็ฝึกแบบนิดๆหน่อยๆ พอกระจุ๋มกระจิ๋ม แต่ว่าสามารถเห็นผีได้ชัดเจน ยังกะเห็นด้วยตาเปล่าๆอย่างงั้นเลย ทั้งที่คนอื่นๆกลับไม่ค่อยเห็น...
    จะว่าไปแล้วเห็นชัดกว่าพวกที่นั่งฝึกทิพยจักขุญาณมาหลายสิบปีเสียอีกนะ...
    อันนี้เป็นเพราะเหตุอันใดนะ???..


    ... ต้องบอกก่อนคำว่า " เห็น " ของพี่ระมิงค์ คือ แบบไหนคะ หนูขอแตกตามความเข้าใจนะคะ

    .. เห็นเป็นตัว ๆ ด้วยตาเปล่า อันนี้จะเป็นตอนเด้ก ๆ คะ ตอนโตมาแทบไม่เคยมีมันเหมือนเราตาฝาดมากกว่า ... ไม่รู้เกี่ยวกันไหม๊ มีครั้งตอนอายุสัก 14-15 กลัวผีมากยกมือท้วมหัวทั้งร้องไห้เลยบอกว่าใครก็ตามที่อยู่กับหนูอย่าทำให้หนูเห้นผีเลยหนูกลัวแค่นี้ก็จะบ้าตายอยู่แล้ว .. ถ้าจะต้องเห็นขอให้มองไม่เห็นด้วยตาเปล่าให้มองเห็นที่ใจ หรือ ก็ให้.ใครมาเป้นตาแทนหนู หรือ มาเข้าฝันก้ได้ ยังไงก็ได้ที่หนูไม่ต้องมองเห็นพวกเขาตลอดชีวิต ... ถ้าผีมันมาให้เห็นเป็นตัวนะหนูจะแช่งมันไม่ให้ได้ไปผุดไปเกิดเลย ... สาธุ .... เห้อ ๆ เกี่ยวกันไหม๊คะ .... แต่ตอนนี้แฟนคนปัจจุบันหนูมันมองเห็นผีได้ด้วยคะแต่ไม่ทุกครั้งนะคะ ทั้งมองเห็น และ สัมผัสได้ บางครั้งมาทั้งภาพทั้งเสียง บางครั้งมาเป็นภาพคะ แฟนบอกว่ามันเป็นภาพเกิดตรงกลางหว่างคิ้ว ... แต่แฟนไม่ใช่คนฝึกสมาธินะคะ คือ ไม่ได้เป็นพุทธคะ นับถือ อิสลาม แต่เขาก็ทำได้แบบนี้มาบ้างแต่เขาจะสัมผัสได้แรงตอนมาอยู่กับหนูนี้แหละ

    ... ถ้าคำว่าเห็นในแบบของหนู คือ มันจะเป็นเหมือนภาพขึ้นมาเลยคะตาปกติเรามองไม่เห็นอะไรนะคะแต่ประสาทสัมผัสเราจะรับรู้ได้เองว่ามีอะไร เหมือนมองไปที่ตรงนั้นที่มี ผี อยู่แต่ตาปกติจะมองเป็นภาพว่างเปล่าปกติไม่มีผียืนอยู่ แต่มันจะเป้นภาพอีกภาพหนึ่ง "ขึ้นมาในสมองเรา " เลยคะว่า เป็นผียืนอยู่นะ ผู้ชายผู้หญิง ยืนตรงนี้นะ บางครั้งเห็นชัดขึ้นมาเป็นรูปร่างกายแต่งกาย บางครั้งแค่เงา .. เขาน่ากลัวนะ ใจดีนะ ดุนะ หรือ เขากำลังมายืนใกล้เรานะกดดันเราอยู่ ตามเราอยู่ เขารู้ว่าเราสัมผัสเขาได้นะ ถ้าที่ไหนแรง ๆ หน่อยเตรียมตัวคุยได้เลยคะเพราะมันจะตามมาเข้าฝันเราเลยคะที่นี้คุยกันรุ้เรื่องเลยทั้งภาพและเสียง

    ... ส่วนองค์แขกที่มักมาหานั้นจะเป็นแบบนี้คะ ตอนไปบวช ฯ ที่วัดสวนแก้วนั้งสมาธิไปพอพระอาจารย์ท่านบอกว่าพอใช่ไหม๊คะ พอเรากำลังจะลืมตา ... แว๊บแรกจะเห็นเป็นท่านใส่สาหรี่สีแดงเดินขึ้นบันไดมายืนตรงประตูศาลาแล้วยิ้มให้แบบคนดีใจนะคะ ... แล้วพอเราจะมองอีกทีก็ว่างเปล่า ... เดินจงกลมตอนเช้ามืดพอเริ่มมีสมาธิแบบว่ามันนิ่งแล้วบางทีก็เหมือนมีเด้กผู้ชายมานั้งพนมมือไหว้เราแล้วน้ำตาเราก้ไหลพอมองอีกทีไม่มีคะว่างเปล่า ถ้าแบบนี้เป็นคะ .. ช่วงนี้จะมีน้อง ๆ พี่ ๆ เอารุปถ่ายติดผีมาให้ลองดูกันหนุก็พอเห็นได้คะแต่ไม่เยอะเท่าแฟนต้องให้เขาชี้ก่อนเราจึงเห็น วิธีนี้เขาจะเห็นเยอะมากคะเป็นแบบภาพเคลื่อนไหวได้เลย ตอนแรกคิดว่าเขาโม้นะคะ ... แต่ปีกว่ามาแล้วที่เขาแสดงให้เห็นว่าเขาเห็น ส่วนตัวหนูเชื่อเขาคะ .. และบางทีเขาก็จะมีภพภูมิเข้ามาใช้ร่างเขาด้วย ... แฟนเก่าหนูที่ตายนี้แหละคะมาใช้บริการบ่อย .. แต่พวกภพภูมิเขามาไม่เลือกเวลานะคะ หนุต้องสังเกตเอาคะ ส่วนตัวเองนั้นถ้าสายตาปกติก็ยังมองไม่เห็นคะ มันเป็นภาพขึ้นที่สมอง และ ใจเรารับรู้มากกว่า ... รำคาญเหมือนกันอยากเห็นให้มันรุ้แล้วรู้รอดไป ...

    ... หนุไม่คิดจะเป็นร่างทรงหรอกนะคะ เพราะความสามารถไม่มี แต่คิดว่าในเมื่อเขาให้เรารอดชีวิตมาได้ไม่รู้กี่ครั้งก็อยากเอาชีวิตที่เหลืออยุ่ทำความดีไว้บ้าง ... จะได้ไม่เสียชาติเกิด อยากเรียนรู้โลกกว้างให้มาก ๆ .... พี่รุ้ไหม๊ว่าตอนเด็ก ๆ สิ่งที่หนุกลัวที่สุดในชีวิตไม่ใช่ผี .. แต่หนุกลัวตัวเอง !!
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 มิถุนายน 2013
  10. กาลีนะ

    กาลีนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    632
    ค่าพลัง:
    +4,297
    ... ที่หนุเคยเล่าในเว็ปนี้แล้วหรือเปล่าไม่แน่ใจนั้นแหละคะ ว่าเคยฝันว่าพระอาจารย์ต๋องที่ท่านแนะนำหนูท่านมาถามว่า .. หนูพร้อมจะเห็นหรือยัง จากตอนนั้นมาตอนนี้ก็เกือบครึ่งปีแหละยังไม่มีสัญญาณใดอีก เห้อ ๆ .... หรือ หนูจะต้องฝึกสมาธิจริง ๆ แล้วจะได้รู้ได้เห้นทุกอย่างไม่ต้องไปถามใครเหมือนที่หลวงปู่ฤษีตาไฟที่วัดหนองทาระภู อ.หันคา ท่านทักไว้ ว่าให้เลิกดูดวงได้แล้ว แบบหนูให้ไปนั้งสมาธิเอาแล้วก็จะรู้เอง ...
     
  11. Norlnorrakuln

    Norlnorrakuln เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    3,814
    ค่าพลัง:
    +15,099
    จากที่มีประสบการณ์ด้วยตนเอง...
    ขอให้ข้อสังเกตุในส่วนที่คุณกาลีนะอาจยังมิได้นำมาลง...
    ถ้าเป็นฝ่ายสัมมาทิฐฐิ(เทพ, ผี,พรหม,ฤาษี ฯลฯ)จะพาเราโน้มไปในทางบุญกุศล เช่น มีการชักนำให้เราไปเข้าวัด ถือศีลปฎิบัติธรรม บริจาคทาน หรือแม้แต่การสร้างถาวรวัตถุให้กับทางพระพุทธศาสนา(ศาลา,วิหาร,กุฎี ฯลฯ)เทพ,ผี,พรหม,ไม่ว่าแขก เจ้าพ่อ เจ้าแม่ ฯลฯ ทั้งหลายเหล่านั้นที่เข้ามาผูกพันธ์กับชีวิตเราด้วยเหตุผลประการใดก็แล้วแต่ เขาจะไม่นึกรังเกียจ หรือ มีจิตต่อต้านในการสร้างบุญกุศลโดยเด็ดขาด มีแต่จะยิ่งหาหนทางในการชักนำเราเพื่อสั่งสมบุญกุศลบารมีให้มากยิ่งๆขึ้นไป!...

    ถ้าเป็นฝ่ายมิจฉาทิฐฐิแล้ว จะครอบงำเราให้ไปในทางที่ผิดจากทำนองคลองธรรม เช่น ไปหาจับคู่รักพิศวาส ไปหาอำนาจความเป็นใหญ่ให้ผู้คนมานับหน้าถือตา ไปหาสร้างอาณาจักรเป็นของตนเอง ไปหาเอกลาภความร่ำรวยทางทรัพย์สินเงินทอง ไปหาเครื่องเซ่นสังเวยฆ่าสัตว์ตัดชีวิต เป็นต้น...

    เราต้องไม่ลืมว่าสิ่งลิ้ลับที่มาอาศัยร่างกายเรานั้น หากอยู่ในระดับเทพเทวาสัมมาทิฐฐิจริงๆแล้วเข้าจะต้องมีคุณธรรมเป็นเครื่องอยู่อาศัยเป็นพรหมวิหารประจำใจ นั้นก็คือ หิริโอตัปปะ "ระอายชั่ว เกรงกลัวบาป!"...

    มีหรือที่จะไปทะเลาะเบาะแว้งกันเอง เช่น ไปตบตีกัน เทพองค์นั้นไม่ถูกกับองค์นี้ ฉันใหญ่กว่าเธอ เธอเป็นเทพชั้นต่ำ หรือใช้ฤทธิ์อำนาจไสยศาสตร์มนต์ดำเข้าประหัตถ์ประหารทำร้ายกันเพื่อหวังผลอันไม่ชอบธรรม! ฯลฯ

    ทำไมเขาต้องอาศัยร่างกายเรา?
    เพราะเขาไม่มีกายหยาบ จึงต้องอาศัยเราในการสร้าง กรรม (กายกรรม3 วจีกรรม4 มโนกรรม3) ที่เป็นฝ่ายกุศลมูล ทั้งนี้เพราะกรรมนั้นจะสมบูรณ์และให้ผลสูงที่สุดได้จะต้องมีองค์ประกอบครบสามข้อ ดังนั้นเราถึงกล่าวกันว่า...

    "การได้อัตภาพเกิดมาเป็นมนุษย์นั้นเป็นสิ่งที่หาได้ยาก!"
    "สุคติภูมิของเทวดานั้น ก็คือการได้เกิดมาเป็นมนุษย์!"

    ...เมื่อเขาเจอกับผู้ที่มีบุญมีเวรมีกรรมสัมพันธ์กันแล้ว จึงได้หาหนทางเชื่อมต่อกับเรา เพื่อให้ความต้องการของเขาสัมฤทธิ์ผล แต่จะโน้มนำพาเราไปทางสูงหรือทางต่ำนั้น คิดว่าเราท่านคงพอจะทราบแล้วกระมัง!
     
  12. raming2555

    raming2555 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,552
    ค่าพลัง:
    +18,993
    ฝึกสมาธิเลย...สู้ๆ...
    ที่ต้องเลิกดูดวงหรือทำนายทายทักนั้น เพราะว่าเวลาฝึกเหมือนการสะสมพลังงาน เวลาไปทำนายทายทักมันเหมือนใช้พลังงาน...ฝึกเป็นเดือนๆ ไปใช้แป๊บๆหมดซะแล้ว...มันเลยไม่คุ้มกันเท่าไร...ดังนั้นเวลาฝึกก็ฝึก สะสมไป ยังไม่ใช้ จนกว่าจะเต็มเสียก่อน...
    กสิณลม ทำลำบากนิ เพราะต้องกำหนดนิมิตเอาลมที่พัดอยู่ จนกว่าจะเป็นก้อนลม หนาทึบขึ้น กองนี้เอาไว้สำหรับเหาะ เดี๋ยวนี้คงไม่จำเป็นมั๊ง มีเครื่องบินแล้วนี่นา..

    เอาแบบที่หลวงพ่อฤษีท่านเคยแนะนำไว้ดีไหมล่ะ...
    สมัยรุ่นๆนั้นผมบูชาพระแก้วใสหน้าตัก 3 นิ้วของหลวงพ่อมา แล้วเอาหลอดไฟใส่กล่องเจาะรู ตั้งไว้ข้างหลังองค์พระ ให้อยู่ในระดับสายตาที่มองเห็นได้ง่าย...
    นั่งมองพอใจสบาย (คือว่าตอนนั้นไปเพ่งจนน้ำตาไหล...โดนหลวงพ่อด่าซะ...)

    อานิสสงค์เป็นหยั่งงี้คือ...
    พระแก้วใสมีแสงสว่างปรากฎได้เป็น กสิณแสงสว่าง
    องค์พระพุทธเจ้าได้เป็นพุทธานุสติ
    ผมใช้หลอดสีเขียว ก็ได้เป็นกสิณสี เพิ่มมาด้วย ช่วยระงับความโกรธได้...

    กสิณแสงสว่างนี่มีส่วนสำคัญสำหรับฝึกทิพยจักขุญาณมาก ทำไปเรื่อยๆสมัยนั้นเวลานั่งรถเมล์กลับบ้าน ไฟหน้ารถที่วิ่งสวนมาปะทะหน้าเข้าจะเห็นรูปองค์พระสว่างลอยอยู่ตรงหน้าเลยนะ...
    พอเป็นพุทธานุสติไปด้วย นี่ก็ช่วยเรื่องอาการหวาดกลัว มันหายไปเลยนะ เพราะเรามีความรู้สึกว่านี่พระพุทธเจ้าอยู่กับเรานี่ แล้วใจมันห้าวหาญจริงๆนะ แต่เวลาจะทำผิดคิดชั่วนี่กลับกลัวมากๆ เพราะว่าพระพุทธเจ้าท่านอยู่ตรงหน้านี่ท่านรู้หมดแน่ๆ ใจมันกลัวด้วยอายด้วย...

    พอกสิณสีเขียวไปได้เรื่องการระงับอาการโกรธ แม้มันจะเป็นแค่หินทับหญ้าก็ยังดีนะ ทับนานๆ หญ้าก็เน่าตายได้เหมือนกัน...ดีกว่าไม่ทับแล้วเอาแต่พูด..ว่าปะ...

    พอเห็นผีในสมาธิแล้วมันไม่กลัว เหมือนจิตมันหดตัวอยู่ความกลัวมันเข้าไม่ถึงเลย ...แต่พวกนี้จะเป็นที่รังเกียจของสำนักทรงทั้งหลาย...ตะก่อนตอนเตี่ยยังมีชีวิตก็ชอบให้พาไปตำหนักทรง ไปแล้วเราก็รออยู่ห่างๆ ไม่อยากไปรบกวนเขา ...

    ฝึกไปเหอะนะ ใครจะว่าฝึกไปเห็นผีเป็นพวกไร้สาระ ก็ปล่อยเขาไป ฝึกมันให้เห็นผีภายนอกให้ได้ก่อน ... แล้วค่อยไปเห็นผีภายใน... เห็นจริงเมื่อไรก็จะเข้าใจคำว่า"อัตตาหิ อัตโน นาโถ" เอง...

    อ้าว..นี่มันนอกเรื่อง ร่างทรงองค์เทพฯไปแล้วนะ...ขอโทด...ด....

    ว่าแต่ อย่าลืมเขียนคำนี้ไว้ในใจนะ..."กถัมภู ตัสสะเม รัตตินทิวา วีตีปตันติ" วันคืนล่วงไป ล่วงไป บัดนี้ เราทำอะไรอยู่...

    โชคดี มีความสุข หลายๆเด้อ...ม่วนชื่น คืนสุข...
     
  13. poopae191

    poopae191 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    725
    ค่าพลัง:
    +1,872



    สาธุคะะะ
     
  14. กาลีนะ

    กาลีนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    632
    ค่าพลัง:
    +4,297
    ฝึกสมาธิเลย...สู้ๆ...
    ที่ต้องเลิกดูดวงหรือทำนายทายทักนั้น เพราะว่าเวลาฝึกเหมือนการสะสมพลังงาน เวลาไปทำนายทายทักมันเหมือนใช้พลังงาน...ฝึกเป็นเดือนๆ ไปใช้แป๊บๆหมดซะแล้ว...มันเลยไม่คุ้มกันเท่าไร...ดังนั้นเวลาฝึกก็ฝึก สะสมไป ยังไม่ใช้ จนกว่าจะเต็มเสียก่อน...
    กสิณลม ทำลำบากนิ เพราะต้องกำหนดนิมิตเอาลมที่พัดอยู่ จนกว่าจะเป็นก้อนลม หนาทึบขึ้น กองนี้เอาไว้สำหรับเหาะ เดี๋ยวนี้คงไม่จำเป็นมั๊ง มีเครื่องบินแล้วนี่นา..


    ... ใช่คะ สังเกตตัวเองมานานแล้ว .. เวลาดูดวงให้ใคร ( ใช้แค่โปรแกรมมหาหมอดูเท่านั้นเองคะ ) .. ถ้าคนนั้น .. มีองค์ เล่นของพวกกุมาร เลี้ยงผี ดวงตก ดวงกำลังถึงฆาตร ฯ แบบว่าแย่สุด ๆ ( โดยมากจะเจอแต่แบบนี้ เห้อ ๆ ) ... พอนอนตื่นขึ้นมาจะเกิดอาการหมดแรง ปวดร้าว ตามร่างกายลุกไม่ขึ้นบางครั้งไข้แตกเลยก็มี ... หรือ หวิดจะเกิดอุบัติเหตุแทนเขาก็มี .. มาทราบภายหลังว่ามันจะมีเจ้ากรรมนายเวรของคนนั้นเขาจะหันมา .. จัดการเราด้วย .. เห้อ ๆ เจอหลายครั้งเลยเชื่อว่าอันนี้คงจะจริง ... เลยจะไม่ค่อยดูดวงให้ใคร .. อีกอย่างพระอาจารย์ท่านก็เคยบอกไว้แล้วว่า " มันไม่ใช่หน้าที่ของเรา "

    ... กสิณลม ยังไม่ค่อยจะชอบคะ กสิณไฟชอบมาก แต่พี่เขาบอกว่าอย่าเลยตอนนี้ไม่เหมาะ .. ให้เลิกเป็น " อีโหด " ให้ได้ก่อน 555555 พี่เขาแนะนำว่ากสิณน้ำจะดีกว่า เพราะถ้าทำได้จะช่วยเรื่องโรคประหลาดที่เป็นด้วย จะได้กลับไปเป็นสาวถึก และ บึกบึน ..


    เอาแบบที่หลวงพ่อฤษีท่านเคยแนะนำไว้ดีไหมล่ะ...
    สมัยรุ่นๆนั้นผมบูชาพระแก้วใสหน้าตัก 3 นิ้วของหลวงพ่อมา แล้วเอาหลอดไฟใส่กล่องเจาะรู ตั้งไว้ข้างหลังองค์พระ ให้อยู่ในระดับสายตาที่มองเห็นได้ง่าย...
    นั่งมองพอใจสบาย (คือว่าตอนนั้นไปเพ่งจนน้ำตาไหล...โดนหลวงพ่อด่าซะ...)

    อานิสสงค์เป็นหยั่งงี้คือ...
    พระแก้วใสมีแสงสว่างปรากฎได้เป็น กสิณแสงสว่าง
    องค์พระพุทธเจ้าได้เป็นพุทธานุสติ
    ผมใช้หลอดสีเขียว ก็ได้เป็นกสิณสี เพิ่มมาด้วย ช่วยระงับความโกรธได้...

    กสิณแสงสว่างนี่มีส่วนสำคัญสำหรับฝึกทิพยจักขุญาณมาก ทำไปเรื่อยๆสมัยนั้นเวลานั่งรถเมล์กลับบ้าน ไฟหน้ารถที่วิ่งสวนมาปะทะหน้าเข้าจะเห็นรูปองค์พระสว่างลอยอยู่ตรงหน้าเลยนะ...
    พอเป็นพุทธานุสติไปด้วย นี่ก็ช่วยเรื่องอาการหวาดกลัว มันหายไปเลยนะ เพราะเรามีความรู้สึกว่านี่พระพุทธเจ้าอยู่กับเรานี่ แล้วใจมันห้าวหาญจริงๆนะ แต่เวลาจะทำผิดคิดชั่วนี่กลับกลัวมากๆ เพราะว่าพระพุทธเจ้าท่านอยู่ตรงหน้านี่ท่านรู้หมดแน่ๆ ใจมันกลัวด้วยอายด้วย...

    พอกสิณสีเขียวไปได้เรื่องการระงับอาการโกรธ แม้มันจะเป็นแค่หินทับหญ้าก็ยังดีนะ ทับนานๆ หญ้าก็เน่าตายได้เหมือนกัน...ดีกว่าไม่ทับแล้วเอาแต่พูด..ว่าปะ...


    .... สาธุคะ เป็นบุญแก่หนูมากเลยคะที่พี่ระมิงค์เมตตามาแนะนำให้แบบนี้ .. บอกตามตรงคะว่าพวกพี่ ๆ ก็อยากให้ฝึกคะ บอกตามตรงหนูลังเลมาตลอดเพราะรู้ว่าชีวิตจะต้องเปลี่ยนไป คนที่ทักหนูมักบอกอีกอย่างว่า ... " ขาข้างหนึ่งอยู่ในนรก ขาอีกข้างอยู่บนสวรรค์ " ปริศนาธรรมที่ไม่ใช่แค่คนเดียวที่บอกแบบนี้เป๊ะ ...


    พอเห็นผีในสมาธิแล้วมันไม่กลัว เหมือนจิตมันหดตัวอยู่ความกลัวมันเข้าไม่ถึงเลย ...แต่พวกนี้จะเป็นที่รังเกียจของสำนักทรงทั้งหลาย...ตะก่อนตอนเตี่ยยังมีชีวิตก็ชอบให้พาไปตำหนักทรง ไปแล้วเราก็รออยู่ห่างๆ ไม่อยากไปรบกวนเขา ...

    .... เขาค้อนใส่หนูคะเวลาไป บางคนแข็ง ๆ ก็ถามว่ามาทำไมพูดแบบเสียไม่ได้ บางคนก็พูดดีคะ ... หรือ หนูจะเป็นตัวอันตรายสำหรับพวกเขาในอนาคต .. แต่เดี๋ยวนี้ถ้ามีโอกาศไปตามตำหนักทรงร่างทรงมักเรียกชื่อหนูถูกด้วยคะ .. ไม่ใช่ชื่อที่ใช้ปกตินะคะ ...

    ฝึกไปเหอะนะ ใครจะว่าฝึกไปเห็นผีเป็นพวกไร้สาระ ก็ปล่อยเขาไป ฝึกมันให้เห็นผีภายนอกให้ได้ก่อน ... แล้วค่อยไปเห็นผีภายใน... เห็นจริงเมื่อไรก็จะเข้าใจคำว่า"อัตตาหิ อัตโน นาโถ" เอง...

    ... สาธุคะ รับทราบคะจะพยายามทำให้ได้นะคะ .. ผ่านพ้นปีนี้ไปได้หนูก็ไม่ต้องกลัวอะไรแล้วละคะ ..

    อ้าว..นี่มันนอกเรื่อง ร่างทรงองค์เทพฯไปแล้วนะ...ขอโทด...ด....

    ว่าแต่ อย่าลืมเขียนคำนี้ไว้ในใจนะ..."กถัมภู ตัสสะเม รัตตินทิวา วีตีปตันติ" วันคืนล่วงไป ล่วงไป บัดนี้ เราทำอะไรอยู่...

    โชคดี มีความสุข หลายๆเด้อ...ม่วนชื่น คืนสุข...


    .... กราบขอบคุณคะพี่ ... หนูจะจำไว้คะ เคยอ่านโพสของพี่เจอคำนี้เหมือนกันคะ ... หนูคิดเสมอว่า " ถ้าเราตัดสินใจทำอะไรไปอย่าเสียใจภายหลัง เพราะนั้น คือ เราเลือกแล้ว "
     
  15. กาลีนะ

    กาลีนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    632
    ค่าพลัง:
    +4,297
    ***** การดลใจของเทวดากับผีต่างกันอย่างไร ..... ( คนฝั่งโขง )

    ... ว่ากันเรื่องของเทวดามาสมควรแล้วก็ยังมีข้อสงสัยให้ถกเถียงกันว่า แล้วเทวดากับเหล่าผีสางต่างกันอย่างไร ในเมื่อเป็นกายทิพย์เหมือนกันและผีก็โอกาสมาดลจิตดลใจให้มนุษย์ทำอะไรเหมือนอย่างที่เทวดาทำ ในปัจจุบันก็ยังมีเรื่องเล่าต่าง ๆ ปรากฏให้เห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้ เป็นต้นว่าผีมาบอกให้ไปทำสิ่งนั้นสิ่งนี้แล้วจะได้ตามสิ่งที่ผู้ปฎิบัติตามปรารถนา ฯลฯ

    .... ตามหลักของพระพุทธศาสนาแล้ว เรื่องภพภูมินั้นมีอยู่ 3 ภพ ที่ได้กล่าวมาแล้วคือกล่าวถึงภพภูมิที่สูงขึ้นไปมีแต่ความสุขเพียงอย่างเดียวคือภพของ “เทวภูมิ” ซึ่งเป็นที่อยู่ของเทวดา ส่วนภพภูมิที่เป็นภูมิกลางก็คือ “มนุษย์ภูมิ” คือมีทั้งความสุขและความทุกข์แบบชาวมนุษย์โลกเรา และ ในเบื้องต่ำลงไปก็มีอีกภพหนึ่งที่เรียกว่า “นิรยะภูมิ” หรือ ภูมิแห่งความทุกข์แบบล้วน ๆ

    .. นิรยะภูมิ แบ่งได้อีก 2 แบบใหญ่ๆ คือ ภูมิที่ตาเนื้อของคนเรามองเห็นได้ ได้แก่ ภพภูมิของเหล่าสัตว์เดรัจฉาน (เดรัจฉาน แปลว่า “ขวาง” สัตว์เดรัจฉานจึงหมายถึงสัตว์ที่มีลำตัวขวางหรือขนานไปกับโลก) ส่วนภูมิที่ต่ำลงไปกว่านั้นก็จะเป็นเหล่าโอปปาติกะ คือ ผี เปรต อสุรกาย และ สัตว์นรกประเภทต่างๆ

    “ผี” นี่ก็เป็นโอปปาติกะประเภทหนึ่งที่มีทั้งยังวนเวียนอยู่ในโลกมนุษย์และอยู่ในโลกเบื้องล่าง ไม่ได้มาจากโลกข้างบนอย่างเทวดาแน่นอนเพราะขณะที่ตายยังมีจิตเป็น ทุคติหรือยังไม่สงบ จึงไม่อาจไปเกิดในภพภูมิที่ดีได้

    " ผี " ในคติความเชื่อของคนไทยเราจะแบ่งออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ ผีดี และผีร้าย

    " ผีดี " นั้นเชื่อกันว่าเป็น วิญญาณของบรรพบุรุษ หรือ ผู้ที่มีจิตผูกพันที่ยังมีห่วงปรารถนาคอยคุ้มครองดูแลผู้ที่ยังอยู่ในความเป็นมนุษย์ให้ประสบความสุข และยังต้องการสั่งสมบุญกุศลให้มากพอเพื่อคอยส่งเสริมให้ตัวเขาได้ไปสู่สุคติได้เมื่อถึงเวลา

    ... ดังนั้น เราจึงได้เห็นได้ยินประเพณีการไหว้ผี เพราะเชื่อว่าถ้าไม่เคารพไม่บูชา ไม่เซ่นสวรวง ผีเหล่านั้นซึ่งยังมีทุกข์มีกิเลสก็อาจก่อโทษก่อให้เกิดความเดือดร้อนได้ในรูปแบบต่างๆ

    ... ในส่วนผีอีกประเภทคือ “ผีร้าย” หมายถึง ผีที่คอยรังควานให้ไม่เกิดสุขก่อแต่โทษให้เพียงอย่างเดียวผีแบบนี้ถือเป็น “เจ้ากรรมนายเวร” ประเภทหนึ่งที่ยังมีจิตอาฆาตพยาบาท เป็นพลังงานที่ไม่ดีมีอิทธิพลทำให้เกิดผลร้ายต่างๆ กับมนุษย์ผู้เป็นเจ้ากรรมนายเวรต่อกัน และ ส่วนหนึ่งเป็นผีที่มีกรรมหนัก ที่ยังคงติดอยู่ในภพภูมิพักรอไปเกิด ซึ่งจะไปเกิดได้ด้วยเหตุผล 2 ทางคือ มีผู้มีคุณธรรมและบุญสูงช่วยส่งบุญปรับภพภูมิให้ไปเกิดได้ อีกประการหนึ่งคือ รอให้หมดกรรมผูกพันเสียก่อนถึงจะไปเกิดและจะอยู่ในสวรรค์หรือในนรก หรือเกิดมาเป็นคนอยู่ที่กรรมที่ทำมาทั้งสิ้น เป็นเรื่องกรรมกำหนด
     
  16. กาลีนะ

    กาลีนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    632
    ค่าพลัง:
    +4,297
    " ผีร้าย หรือ ผีไม่ค่อยจะดี " พวกนี้ทำให้เกิดผลกระทบต่อสุขภาพร่างกายและสภาวะจิตใจรวมไปถึงความเป็นอยู่ การงาน การเงิน หรือ แม้แต่กับมนุษย์ที่อยู่รอบข้างเจ้ากรรมนายเวรของผีตนนั้น ผีร้าย จึงหมายถึง ดวงวิญญาณที่มีจิตไม่บริสุทธิ์มีความประสงค์ร้ายต่างๆ นั่นเอง

    .... ผีนั้นอาจจะมีมาได้ในหลายลักษณะ แต่ส่วนมากมักจะปรากฏในรูปของอดีตมนุษย์ หรือ มีลักษณะบางส่วนที่ค่อนข้างคล้ายกับมนุษย์ ผู้ที่มีประสบเหตุการณ์เจอผีไม่ว่าจะเป็นผีดี หรือ ผีร้ายก็ตาม มักจะมีความกลัวที่ฝังใจ และ เชื่อว่าการที่เจอผีนี้ จำเป็นที่จะต้องทำพิธีกรรมอย่างใดอย่างหนึ่งเพื่อความสบายใจ หรือ เพื่อความปลอดภัย เช่น การกรวดน้ำ ทำพิธีสะเดาะเคราะห์ ทำบุญอุทิศส่วนกุศล ทำพิธีส่งวิญญาณ ฯลฯ ตามแต่ความเชื่อของแต่ละท้องที่ หรือ แต่ละบุคคล

    ... การที่คนเรารู้สึกไปว่ามี ผี หรือ ดวงวิญญาณตามแฝง หรือ แม้กระทั่งการที่เขาเหล่านั้นมาเข้าฝัน อาจมีสาเหตุอยู่หลายประการแต่ส่วนมากผีเหล่านี้ต้องการมา “ขอความช่วยเหลือ” หรือ มาขอส่วนบุญมากกว่า ข้อนี้ก็เพราะเขามีเพียงกายเป็นทิพย์ไม่อาจทำความดีได้เช่นเดียวกับเทวดา

    .... แต่ต่างจากเทวดาตรงที่เขาต้องการบุญไปเพื่อ “บรรเทาความทุกข์” ที่กำลังได้รับ หรือ ถ้าไม่อย่างนั้นก็เพียงแต่ต้องการมาเพียงจะพูดคุย หรือบอกอะไรสักอย่าง ให้มนุษย์ที่มีจิตผูกพัน หรือ มีสายใยถึงกันอยู่ให้รับรู้ถึงความต้องการเท่านั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคนที่เขามีจิตผูกพันอย่างลึกซึ้ง

    ... กรณีของผีจึงไม่เหมือนกับเทวดาที่มีแต่ความสุขอยู่แล้ว การทำบุญของเทวดาอย่างที่กล่าวไปนั้นก็เพื่อสร้างและสะสมบุญไว้ให้มากยิ่งๆ ขึ้นไปเมื่อหมดบุญแล้วจะได้ไปเกิดใหม่ในแดนที่เป็นสุคติเหมือนเดิม หรือ สูงขึ้นไปยิ่งกว่า

    ... การสัมผัสได้ถึงจิตวิญญาณอย่างผี หรือ เทวดาของเหล่ามนุษย์ ก็มีคนจำนวนไม่น้อยเลยครับที่ได้สัมผัสพลังที่มาจากมิติที่ต่างกัน กรณีเทวดา หลายท่านอาจจะสัมผัสได้จากการได้กลิ่นหอมแปลก ๆ อาจจะได้ยินเสียงที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน หรือ บางคนอาจเห็นความผิดปกติของเหตุการณ์บางชนิดแล้วทราบทันทีว่า นี่เป็นการแสดงนิมิตด้วยฤทธิ์ของเทวดาหรือผีเพื่อจะบอกอะไรกับตัวเอง

    .... แต่ว่าลักษณะของการเจอผี และ เทวดาจะมีความแตกต่างกันในเรื่องของความรู้สึก หรือ จิตที่ลึกอยู่ข้างใน หากพบเจอผี หรือ วิญญาณที่ประสงค์ร้ายก็จะรู้สึกขนพองสยองเกล้ากันขึ้นมา หรือ เกิดความผิดปกติขึ้นกับร่างกายและจิตใจ ส่วนเวลาที่พบเจอผีที่ดีวิญญาณที่บริสุทธิ์ หรือ แม้แต่เทวดาก็จะมีความรู้สึกเป็นปกติธรรมดา ไปจนถึงรู้สึกสบายปลอดโปร่งสงบเย็น

    ... หากใครเคยมีประสบการณ์ที่ผ่านเข้าไปในสถานที่ที่เป็นอบาย เช่น ตำหนักหมอดูคุณไสยที่เล่นไสยศาสตร์มืดก็คงจะเคยรู้สึกถึงความรู้สึกไม่ดี ปวดหัวพบกับกระแสอากาศที่เยียบเย็นชวนขนลุกอย่างน่าประหลาด นี่เป็นเพราะคลื่นจิตวิญญาณของผีที่เป็นผีร้าย หรือ วิญญาณชั้นต่ำมาอยู่รวมปะปนกัน

    ... คนดี ๆ ปกติที่มีศีลเมื่อเข้าไปก็จะรู้สึกว่าแปลกแยกกว่า ไม่ว่านั่ง หรือ นอนในสถานที่แห่งนั้นก็อาจถูกรบกวน และ รู้สึกไม่อยากจะเข้าไปเลย แต่ถ้ากลับกันเราได้เข้าไปในเขตวัดวาอารามหรือสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่มีพระอริยะเจ้าพำนักอยู่ ก็คงจะรู้สึกได้กับกระแสอากาศที่มีความอบอุ่น หรือ เย็นสบาย จิตใจมีแต่ความสว่างปลอดโปร่งเหมือนกับว่าอากาศได้แผ่ขยายออกไปอย่างไร้ขอบเขต บรรยากาศเหล่านี้เป็นได้ทั้งคลื่นจิตของวิญญาณที่ดี หรือ แม้แต่เทวดาที่มีวิมานในอากาศซึ่งอาศัยทับซ้อนอยู่ในเขตที่เดียวกับสถานที่เหล่านั้นท่านก็รับได้ ท่านจึงมักมาชุมนุมกันอยู่ในสถานที่นั้นจำนวนมาก

    ... ยกตัวอย่างเช่น ในวัดซึ่งปกติพระท่านก็จะทำวัตรสวดมนต์อยู่ทุกวัน และ มีการสวดชุมนุมเทวดา และ เหล่าเทวดาก็จะลงมาร่วมฟังธรรมด้วยเพื่ออนุโมทนาบุญสร้างบุญสั่งสมบารมี เวลาที่เราไปฟังพระท่านเทศน์สวดมนต์ หรือ แสดงธรรมจึงมักจะมีความรู้สึกที่อบอุ่น ปลอดโปร่ง และ เย็นสบาย

    ... ไม่เหมือนกับการเข้าไปสถานที่เป็นแหล่งอโคจรที่เป็นแหล่งความชั่วร้าย แล้วจะรู้สึกสัมผัสได้ถึงผีร้าย หรือ วิญญาณชั้นต่ำที่ให้ความรู้สึกตรงกันข้ามกัน แทนที่จะเย็นสบายกับร้อนรุ่ม ดังนั้นหากจู่ ๆ ท่านเกิดมีความรู้สึกมึนงง หรือ กำลังถูกบล็อกสมองไม่ให้เกิดความคิดอะไรออกมาในชั่วเวลาขณะหนึ่งโดยเฉพาะเวลาที่กำลังทำบุญ หรือ แม้แต่กำลังจะทำบาป ก็มีความเป็นไปได้ว่าจิตของเราในขณะนั้นไปมีความเกี่ยวข้องเกี่ยวกับผี หรือ เทวดาที่กำลังส่งสัญญาณจะบอก หรือ พยายามดลใจอะไรสักอย่างให้เราได้รับรู้ว่า ควรทำสิ่งนั้นสิ่งนี้และไม่ควรทำอย่างนั้นอย่างนี้

    ... แต่เรื่องนี้หากว่ากันตามหลักของวิทยาศาสตร์แล้ว น่าจะเป็นสาเหตุที่เกิดขึ้นจากจิตใต้สำนึกภายใน ที่สับสนมึนงง เพราะถูกคลื่นจากแหล่งอื่นรบกวน ซึ่งแม้แต่ทางวิทยาศาสตร์ยังระบุว่ามีจริงแต่ตอบไม่ได้เท่านั้นว่า คือ อะไร

    .... ดังนั้นไม่ว่าจะท่านจะเชื่อเรื่องการมีอยู่ของผีสางและเทวดาที่กล่าวมา หรือ ไม่ก็ตาม สิ่งสำคัญ ก็คือ ขอให้พยายามประกอบคุณงามความดีอยู่ตลอดเวลา และ หมั่นอุทิศบุญกุศลไปให้เหล่า โอปปาติกะที่อยู่ทั้งเบื้องสูงและเบื้องต่ำที่มีความผูกพันกับตัวของเร

    .... เมื่อเขาได้รับผลบุญแล้ว หากเป็นเทวดาท่านก็จะได้อนุโมทนาบุญร่วมไปกับเราสร้างบุญได้มากขึ้นเป็นบาทฐานกำลังที่ดีที่ผลบุญจะส่งผลได้เร็วต่อมนุษย์ผู้ทำบุญกุศลให้ท่าน ยิ่งเจาะจงระบุชื่อเสียงเรียงนามยิ่งไปถึงได้เร็ว เพราะท่านอยู่ในสภาพที่รับได้ หากเป็นเหล่าผี หรือ วิญญาณที่อยู่ในสถานะที่รับได้ ที่ต้องบอกอย่างนี้ไม่ใช่ว่าวิญญาณทุกดวงจะรับบุญได้ มีหลายสาเหตุเพราะกรรมหนักส่งผลอยู่ในนรกภูมิ

    .... ถ้าวิญญาณตามแฝงและอยู่ในสถานะที่รับได้ เมื่อได้รับผลบุญแล้วก็จะได้รับความสุขพร้อมจะไปเกิดใหม่ในภพภูมิที่ดีขึ้นหากเป็นวิญญาณแฝงที่ตามอาฆาตอยู่เมื่อหากทำบุญให้และขออโหสิกรรมแล้ว เมื่อเขาได้รับบุญก็จะอิ่มมีความสุขแล้วอโหสิกรรมให้ไม่ต้องมาเกี่ยวพันกันอีกจะได้หายไปเพื่อไปตามหนทางกรรมของเขาเอง

    .... ไม่ว่าผีหรือเทวดาถึงจะมีความแตกต่างในด้านภพภูมิ แต่ขอให้ทราบไว้ว่า สิ่งที่เขาต้องการจากมนุษย์นั้นไม่ได้ต่างกันครับต้องการบุญด้วยกันทั้งนั้น อยู่ที่ว่าคนแต่ละคนใครจะมีบุญวาสนาเชื่อมถึงเขาหรือมีเหตุให้ต้องผูกพันกันทางใดทางหนึ่ง เพื่อมาขอความช่วยเหลือหรือร่วมสร้างบุญใหม่ด้วยกันเท่านั้น

    ..................... คนฝั่งโขง
     
  17. whitetiger

    whitetiger เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    367
    ค่าพลัง:
    +292
    ขออนุญาตอ้างอิงข้อความของคุณ raming2555
    แล้วรู้สึกไหมว่า สมาธิ ก็ฝึกแบบนิดๆหน่อยๆ พอกระจุ๋มกระจิ๋ม แต่ว่าสามารถเห็นผีได้ชัดเจน ยังกะเห็นด้วยตาเปล่าๆอย่างงั้นเลย ทั้งที่คนอื่นๆกลับไม่ค่อยเห็น...
    จะว่าไปแล้วเห็นชัดกว่าพวกที่นั่งฝึกทิพยจักขุญาณมาหลายสิบปีเสียอีกนะ...
    อันนี้เป็นเพราะเหตุอันใดนะ???...
    เท่าที่เคยอ่านหนังสือมาครับและที่ถามกับพระสงฆ์คำตอบตรงกันคือแต่ละคนสะสมบุญ..บารมีมาไม่เท่ากันครับ ถ้าคนที่สะสมมาจากอดีตชาติมามากแล้วแค่ปฏิบัตินิดๆหน่อยอย่างที่คุณว่าก็สามารถเห็นหรือได้ตามที่ต้องการครับ ส่วนคนที่บุญ..บารมีสร้างมาน้อยชาตินี้ จึงต้องใช้ความเพียรและพยายามมากกว่าคนที่เขาสะสมมาจากอดีตชาติแล้วครับ
     
  18. กาลีนะ

    กาลีนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    632
    ค่าพลัง:
    +4,297
    .... ใช่แล้วคะ .. มันขึ้นอยู่กับตัวแปรนี้เหมือนกันคะว่าของเก่าเรามีไหม๊ .. บารมีเราสั่งสมมามีแค่ไหน .. หรือ องค์ของเราท่านอาจเมตตาช่วยเราก้ได้คะ ..
     
  19. raming2555

    raming2555 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,552
    ค่าพลัง:
    +18,993
    เคยถามลูกน้องคนหนึ่งที่ทรงปู่ฤษีตาไฟมาตั้งกะวัยรุ่นว่า เวลาเห็นวิญญาณต่างๆที่มาปรากฎนั้น เขาเห็นเหมือนภาพมันซ้อนขึ้นมา เห็นได้ค่อนข้างชัด ยิ่งสมัยก่อนตอนที่เคร่งๆนี่เห็นตาเปล่าเลยนะ ว่ากันว่าเป็นอำนาจขององค์ที่มาสถิตร่าง ถ่ายเทพลังอำนาจไว้ให้...
    ต่างจากทิพยจักขุญาณที่ฝึกมา เป็นการเห็นได้ด้วยอาศัยความเป็นทิพย์ของจิต ซึ่งถ้าอาศัยกำลังเราเองจริงๆ มันจะเบลอๆเหมือนมีหมอกลงจัด แต่ว่าอาการทางใจจะรู้ได้...หากว่าอาศัยบารมีพระบ้าง ครูบาอาจารย์ หรือเทวดาที่ท่านคอยสงเคราะห์อยู่นั้น ภาพจะชัดกว่า แล้วไม่ค่อยเปลืองกำลังตัวเอง อีกทั้งอุปทานจะน้อยหน่อย เพราะเป็นการทรงอารมณ์ไว้นิ่งๆธรรมดาๆเท่านั้น ภาพนั้นท่านผู้มีพระคุณทั้งหลายจะแสดงให้เห็น แต่ว่าก็ไม่ชัดขนาดเหมือนเห็นด้วยตาเปล่านะ

    กะอีกเรื่องนึงสมัยตอนหนุ่มๆไปเจอ นักเลงที่หาดใหญ่ แกเคยไปรับขันธุ์แล้วเอาไปคืนแล้ว แต่ทางร่างทรงก็ยังเหมือนคุมแกเอาไว้ เวลามีงานประจำปี ไม่ว่าแกคนนี้อยู่ที่ไหนก็ตามจะต้องกระเสือกกระสนไปร่วมงานจนได้ แม้ว่าหลายครั้งตั้งใจแน่วแน่ว่าไม่ไป แต่ถึงเวลามารู้สึกตัวอีกทีก็ไปอยู่ที่ในงานแล้ว...แกรู้สึกเดือดร้อนใจมาก อยากให้ช่วย เพียงแต่ผมก็ไม่รู้ว่าถอนขันธ์นี่เขาทำกันอย่างไร เพราะเคยแวะไปดูก็เห็นเหมือนว่า การรับขันธ์เป็นเหมือนการผูกอาถรรพ์เอาไว้กับภพภูมินั้นๆแล้ว ถ้าเขาไม่ปล่อย แก้ยังไงก็แก้ไม่ได้ แล้วส่วนใหญ่ก็ไม่ยอมปล่อยเสียด้วยสิ...ตอนที่ยืนคุยอยู่กับตานักเลงคนนั้น แกว่าเราอยู่ใกล้ๆทำให้แกรู้สึกโล่ง แล้วปลอดภัย เพียงแต่เวลานั้นผีที่เขาคุมอีตานักเลงคนนี้มาปรากฎให้เห็นพร้อมกับขอร้องว่า อย่ายุ่ง...

    ผมว่านะ บางทีพวกที่ต้องเจอเรื่องแบบนี้ ก็อาจจะมีบุพกรรมอะไรในอดีตที่ร่วมกันมาก่อนก็ได้นะ...เหมือนอย่างพวกที่โดนคุณไสยเข้านั่นก็คล้ายกัน คือถ้าไม่มีวิบากกรรมร่วมกันมาก่อนในอดีต มันจะทำเข้าร่างไม่ได้ง่ายๆเหมือนกันนะ

    ผมเคยได้ยินและก็เคยเจอกับตัวเองด้วยเหมือนกัน ที่ได้ยินนี่ก็คือ อาจารย์คนหนึ่ง จะเรียกว่าคนดีหรือเปล่าไม่รู้ คือแกเป็นทหารผ่านศึกขาขาด ตอนขนศพกลับมาได้สัก 2 วันแล้วเกิดฟื้นขึ้นมา พอฟื้นขึ้นมาได้ก็กลายเป็นคนละคนไปเลย วิชาอาคมมีมาเพียบ แต่ว่าไม่มีแววตา เวลาฝนตกจะมีกลิ่นเหม็นเน่าออกตามตัว ไม่เคยเห็นแกกินข้าว...แกตัดหางวัว ไปต่อหางควายได้ เอาว่าอาคมไม่ธรรมดา...ใครที่ว่ามีเลขยันต์คาถาป้องกัน ทั้งหลาย เวลาเจอแก แกจะเอามือบ้างไม้ไผ่บ้าง เคาะพื้น ไม่กี่ทีของที่กันไว้ออกหมด แกเรียกวิธีการนี้ว่า คัดของ เมื่อคัดออกเสร็จแล้วก็ ซัดเลย...ไม่รอด เกือบทุกราย...ยกเว้น...ครั้งนึงที่ไปทำผู้ใหญ่ท่านนึงของบ้านเมือง แล้วโดนสะท้อนกลับ เพราะบารมีของท่านผู้นั้นมีมาก แกเล่าว่าเหมือนมีกำแพงแก้ว 7 ชั้น แกทำอะไรไม่ได้แล้วตัวเองยังบาดเจ็บ ต้องพักไปเกือบเดือน...อันนี้ก็น่าคิด..

    ส่วนไอ้น้องคนนี้ เมื่อครั้งที่เดินทางไปพักด้วยกัน มันก็พาเอาผีที่มันเลี้ยงเอาไว้ ปล่อยออกมาทำร้ายผม นัยว่าอยากลองว่าเป็นยังไง...เช้าก็มารายงานว่า ผีของมันไม่กล้าเข้าใกล้ ต้องหนีไปแอบหลบอยู่กลางทุ่งทั้งคืน เข้าใกล้ไม่ได้ มีแสงสว่างออกมาจ้า ไม่กล้าเข้าใกล้...แต่ว่าความจริงผมไม่มีอะไรสว่าง อาจจะมีก็คงหัวเถิกบังเอิญไปสะท้อนแสงอ่ะมั๊ง..หรือว่านอนกรนเสียงดังจนผีไม่กล้าเข้าใกล้..แล้วมาโมเมว่ามีแสงสว่าง...แต่เวลาจะนอนนี่อารธนาพระและท้าวมหาราชย์ทั้งสี่ เทพที่ปกปักรักษาเราไว้ นี่ท่านดูแลอยู่...

    ด้วยทรงพระหมั่นไส้ ก็เลยว่าจะทำน้ำมนต์ล้างอาคมมันทิ้งให้หมด อีนี่ดันกลัว แต่ตอนลองของเรามันไม่ยักกลัว วิชานี้ได้จากพระธุดงค์ เป็นวิชาครู ได้วิชาเดียวแล้วตำราก็หายสาปสูญไปเฉยๆ... เอาไว้ปราบพวกบ้าพวกนี้แหละ เพราะว่าถ้าวิชามันเสื่อม ผีก็ตาม สิ่งต่างๆที่มันสะกดเอาไว้ก็ตามจะหลุดออกหมด เมื่อนั้นแหละ ไม่ต้องเวรกรรมตามสนองหรอกนะ ไอ้พวกนี้แหละพร้อมเพรียงกันเข้าสนองทันที...

    เล่ามาซะยาวเชียว...
    อ้อ...นึกมาได้อย่างนึงว่า เทพ-พรหม นั้น ท่านไม่ได้มาสนใจกับบุญเล็กๆน้อยๆที่พวกนี้สร้างโบสถ์สร้างวัดหรอกนะ ท่านเหล่านี้ไปติดตามพระอริยะสงฆ์ได้อานิสสงค์กว่า ส่วนพวกที่ต้องการบุญ-ทานทั่วๆไปนี้ ผมเห็นมีพวกโอปะปาติกะ(โอไฟฟ้าไม่มีนะ)สัมภเวสี พวกปีศาจ กับพวกปอบอาคม ที่จะอาศัยบุญจำพวกนี้ที่ร่างทรงทำกัน จะถือศีลบ้าง กินเจบางวันบ้าง เรี่ยไรสร้างโน่นนี่นั่นบ้าง...ก็อาศัยบุญแบบนี้แหละเพื่อหวังจะเปลี่ยนภพภูมิบ้าง เพื่อเพิ่มฤทธิ์ให้ตัวเองบ้าง...

    พวกนี้รู้แล้วเห็นแล้วก็เฉยๆไว้ ผมว่า ทางใครทางมัน รู้ไว้ใช่ว่า..ก็พอนิ..

    เอ้า...ชงให้แล้วนะแม่กาลีนะ...มาต่อเองนะจ๊ะ...
     
  20. DuchessFidgette

    DuchessFidgette เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    2,607
    ค่าพลัง:
    +9,301


    ได้ความรู้มากเลยคะท่าน ramings ขอบคุณที่มาเล่าให้พวกเราฟัง;aa27
     

แชร์หน้านี้

Loading...