ประเทศไทยจะเกิดอุบัติภัยอย่างที่ทำนายกันจริงๆหรือไม่

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย koymoo, 25 มกราคม 2005.

  1. you123 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2006
    โพสต์:
    52
    ค่าพลัง:
    +191
    เพื่อนที่เป็นคริสต์บอกว่า...

    "ในคัมภีร์ไบเบิ้ล บอกว่า แม่น้ำจะกลายเป็นสีเลือด และภูเขาจะตกอยู่ในทะเล และจะมีกองทัพแมลงมาทำลายต้นพืช ต้นข้าว คนจะอดอยาก...

    นี้คือการเริ่มต้นเท่านั้น... ภัยพิบัติจะเกิดเรื่อย ๆ รุนแรงขึ้น ๆ จนท้ายที่สุด...จะถึงขนาดที่ว่า คนทั้งหลายจะร้องขอให้ภูเขามาทับตัวเองตายซะเลย เพราะทนความทรมานและหายนะไม่ไหว"

    เอ้า!!.....ใครมีความรู้ทางคริสต์ มาเล่าเพิ่มเติมหน่อย... คล้ายทางพุทธเลยนิ
     
  2. pattarawat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    1,671
    ค่าพลัง:
    +7,982
    ในโบสถ์คริสต์ที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งของไทย ระบุว่ายุคนี้คือยุคสุดท้ายแล้วครับ (หมายถึงจะเกิดกลียุค 3 ปีครึ่งในเวลาอันใกล้) ซึ่งเหตุการณ์ทุกอย่างเกิดครบทุกอย่างตามพระคัมภีร์แล้วครับ และจะรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ และแล้วพระมาสิอาร์*จะกลับมา โลกใหม่*จะบังเกิดขึ้น เทียบเคียงกับทางพุทธแล้วแทบเหมือนกันครับ

    พระมาสิอาร์ มีเพื่อนในเว็บท่านหนึ่งท่านบอกว่า ก็คือ "สิอาร์ = ศรีอาร์" "มา = เมต" แต่การออกเสียงในต่างภาษาทำให้สะกดเป็นภาษาไทยแตกต่างกัน ยกตัวอย่างเช่น ในพระคำภีร์ยอห์น แท้จริงก็คือ John เป็นต้น

    การเกิดโลกใหม่ น่าจะเป็นอาณาจักรใหม่มากกว่าครับ เป็นยุครุ่งเรืองของพระศรีฯ

    คุณเกษมหรือท่านผู้รู้มาอ่านแล้วช่วยเสริมด้วยนะครับ ผมได้แต่คอนเซปต์ รายละเอียดเชิญผู้รู้มาเสริมได้นะครับผม
     
  3. หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,705
    ค่าพลัง:
    +51,934
    ***ผู้ทำได้**** พระมาสิอาร์ที่ว่านั้น กลับมาจริง และเป็นผู้ที่จะทำให้โลกเข้ายุคใหม่ เหมือนโลกใหม่ที่อุดมสมบูรณ์เหมือนในอดีตกาล ผู้ที่ว่านี้กำเนิดมานานแล้ว โดยการนำพาของโลกุตตระ หรือ พระไตรปิฎก เป็นเรื่องที่เหนือชะตาลิขิต เหนือโลก จึงไม่มีผู้ใดล่วงรู้ เพื่อให้โลกสมบูรณ์ได้ บุรุษผู้นี้จึงขอน้ำจากผู้ดูแลในจักรวาลมาเติมลงบนโลกให้ครบส่วน จากเดิมที่ขาดหายไป ๑๖ ส่วน เมื่อน้ำถูกส่งมาจากแหล่งน้ำในจักรวาล จึงทำให้ปริมาณน้ำในโลกมีมากขึ้น จนสถิติเกี่ยวกับปริมาณฝน ปริมาณน้ำที่บันทึกไว้ไม่สามารถนำมาใช้ทำนายได้เช่นเดิม แต่ความสมบูรณ์ก็ต้องแลกกับแผ่นดินที่ขาดหายไป รวมกับ "กรรม" ที่มนุษย์ได้ทำเอาไว้กำลังปรากฏชัดขึ้น โลกุตตระกล่าวว่า "พระอาทิตย์ขึ้นเมื่อไหร่ เราก็จะได้เห็น กรรมจะปรากฏ" ดังนั้นสิ่งที่จะช่วยให้ประเทศไทยหลีกเลี่ยง รอดพ้นจากกรรมรุนแรงที่กำลังมาได้ จะต้องพึ่ง "โลกุตตระ และ สัจจะธรรม" โดยน้อมรับ "สัจจะ" เป็นการปฏิบัติ เพื่อให้เกิดการกระทำใหม่ ที่จะช่วยผู้ที่เชื่อและทำได้จริง... - "หนุมาน ผู้นำสาร"
     
  4. Baramee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    230
    ค่าพลัง:
    +1,032
    ยุคทรราช โดยคุณเกษม

    ที่คุณว่าท่านพลูหลวงบอกว่าช่วงนี้เป็นยุคทรราช
    โดยคุณใช้คำพยายามโยงว่าเป็นอดีตนายก ผมว่ามันไม่แฟร์
    เพราะหลายคนก็ยังชื่นชมท่านอดีตนายกท่านนี้ คุณไม่ชอบก็
    ไม่น่ามาลงในเว็บพลังจิตนี้ เพราะไม่ใช่เป็นเว็บการเมือง
    แต่เป็นเว็บสำหรับผู้ที่สนใจในเรื่องของจิต

    และนี่ก็ยังไม่หมดเวลาในยุคที่คุณอ้าง จนกว่าจะหมดพ.ศ. 2552 ก่อน
    แล้วค่อยมาดูว่าใครคือทรราชที่แท้จริง

    อย่าฟังเขาเล่ามา อย่าเชื่อตามเขา เพราะข้อมูลอาจถูกบิดเบือน
    และที่สำคัญทางจิตคืออยู่ที่ "เจตนา" ต่างหาก

    ระยะทางพิสูจน์ม้า กาลเวลาพิสูจน์คน
     
  5. เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,194
    ต้องขออภัยด้วยครับ ผมไม่ได้มีเจตนาจะไปว่าใครเป็นทรราชย์ เพียงแต่นำเสนอข้อมูลที่ท่าน อ.พลูหลวง ได้เคยทำนายอนาคตประเทศไทยเอาไว้เท่านั้น ส่วนเจ้าของบทความจะแสดงความคิดเห็นเป็นอย่างไรนั้น ก็ขึ้นอยู่กับวิจารณญาณของผู้อ่านเองว่าควรจะเชื่อถือมากน้อยแค่ไหน เพราะการแสดงความคิดเห็นก็มีทั้งเห็นด้วยและ ไม่เห็นด้วยเป็นธรรมดาครับ
     
  6. Baramee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    230
    ค่าพลัง:
    +1,032
    ถึงคุณเกษม

    ต้องขอขอบคุณที่คุณยอมรับความคิดเห็นของผม
    คุณเป็นผู้ที่มีจิตใจกว้างขวางสมกับเป็นผู้ปฏิบัติธรรม

    ดังคำพูดในหมู่นักปฏิบัติที่ว่า "อย่าไปเพ่งโทษผู้อื่น จงเพ่งโทษตัวเอง"

    ประเทศไทยต้องการคนอย่างคุณครับ (verygood)
     
  7. boyZ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    23
    ค่าพลัง:
    +64
    ผมติดตามอ่านบทความและความเห็นของท่านสมาชิกมาตลอด แต่ไม่เคยเข้ามาโพสหรือ ออกความเห็นเลย
    บทความ และความรู้ที่ผมชอบอ่านส่วนใหญ่มาจากคุณเกษม
    ผมเห็นด้วยกับข้อความข้างต้นของคุณเกษมนะครับ
    และขอบคุณที่ให้ความรู้และสาระมากมาย

    จริงครับ ระยะทางพิสูจน์ ม้า กาลเวลา พิสูจน์ คน
    ผมรู้ว่าใครเป็นทรราช เพราะผมใช้เวลามองมานานแล้ว
    ของคุณ grasib ก็คงจะรู้อีกไม่นานครับ
     
  8. หลับตา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    716
    ค่าพลัง:
    +3,151
    จะอยู่ทันดูยุค10หายกังวลรึเปล่าเนี้ย
     
  9. pen@_p@ne เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    48
    ค่าพลัง:
    +433
    <TABLE class=tborder id=post384015 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR vAlign=top><TD class=alt1 id=td_post_384015 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid">คนโง่เอาใจไว้ที่ปาก คนฉลาดเอาปากไว้ที่ใจ
    <HR style="COLOR: #ffffff" SIZE=1><!-- / icon and title --><!-- message -->(f) คนโง่เอาใจไว้ที่ปาก คนฉลาดเอาปากไว้ที่ใจหลวงพ่อพระพุทธบาทตากผ้า (ครูบาพรหมจักร จักโก)

    คนโง่เอาใจไว้ที่ปาก คนฉลาดเอาปากไว้ที่ใจ
    คนฉลาดเอาปากไว้ที่ใจจะปากหนัก (ไม่ค่อยจะพูดมาก)


    คนโง่เอาใจไว้ที่ปาก ใจไม่อยู่ที่ตัว ใจไปอยู่ที่ปาก จึงพูดไปวันยังค่ำ

    คนฉลาดเอาปากไว้ที่ใจ ความสำคัญที่ตัวเองที่ควรจะเข้าใจกันไว้
    ตัวของคนเราแต่ละคนมีความสำคัญที่ตัวเองที่ควรจะเข้าใจกันไว้
    ตัวของคนเราแต่ละคนมีความสำคัญ สำคัญอย่างไร?


    สุดแท้แต่จะพิจารณา ความคิดพิจารณาก็ต่างกันตามทัศนะของใครของมัน ความสำคัญที่ตัวเอง

    “ส่วนมากผู้ที่ไม่ได้รับการศึกษาและอบรมมักจะสำคัญมั่นหมายตนเองว่าเป็นผู้รู้ เป็นผู้เก่งกว่าเขา เป็นผู้ที่มั่งมีกว่าเขา เป็นผู้ที่มียศถาบรรดาศักดิ์สูงกว่าเขา เห็นคนอื่นเป็นคนต่ำต้อยไปเสียหมด เห็นหน้าคนเป็นหน้าสัตว์ไปเสียหมด”

    ความสำคัญอย่างนี้เป็นความสำคัญเข้าใจผิด ผิดอย่างมากที่สุด
    เพราะเป็นเหตุให้เกิดมานะจองหอง ทะนงตัว เป็นไฝฝ้าหรือเป็นรั้วปิดบังความดี จะทำความดีไม่ได้ แล้วก็จะไม่ได้ความรู้จากใคร ใครไม่สอนอีกแล้ว การทะนงตัว การมีทิฐิมานะ ใครเขาจะไม่สอนแล้ว ใครรู้แล้วเห็นแล้วก็ปล่อยเลยตามเลย ตายก็ปล่อยให้ตายไป


    ภาษาธรรมะว่าเป็นไฝฝ้าปิดบังความดี ความจริงน่าจะได้ดี แต่ก็ดีไม่ได้ ความทิฐิมานะ ความทะนงตัว ความจองหอง ไปปิดบังเอาไว้หมด
    ถือตัวเป็นใหญ่ ถือตัวเป็นผู้รู้ ผู้ดีกว่าเขา ถือตัวว่ามียศมีศักดิ์กว่าเขา ถือตัวว่ามั่งมีกว่าเขา มีความสำคัญกว่าคนอื่น เขาต่ำต้อยกว่า
    อันนี้เป็นความสำคัญ เข้าใจผิดเป็นเหตุให้เกิดมานะ ความจองหอง ถือทะนงตัว เป็นไฝฝ้าผิดหูบังตา ไม่ให้บรรลุความดี
    ผู้ใดถ้าเป็นดังนี้ คนทั้งหลายจะตีตัวออกห่าง ใครไม่อยากคบค้าสมาคมด้วย เรื่องนี้จึงขอฝากไวัให้พระนวกะของเราจงคิดพิจารณาเห็นความสำคัญที่ตัวเอง


    “ตัวเองที่สำคัญว่า ถ้าเราคิดดี ทำดี จะดีไปเสียทุกอย่าง ถ้าคิดผิดทาง สำคัญมั่นหมายว่า ตัวเรารู้ ตัวเราดี ตัวเรามีอะไรๆที่ยิ่งกว่าคนอื่น เห็นคนอื่นต่ำต้อยกว่าเราทั้งหมด”

    อันนี้เป็นความสำคัญผิดเป็นเหตุให้เกิดทิฐิมานะ จองหอง ไม่ยอมลงคอให้คนอื่น ก็จะเป็นไฝฝ้าผิดหู ปิดตาไม่ให้บรรลุความดี
    ใครคนใดที่เป็นอย่างนี้ ยากที่ใครจะชอบ ใครอยู่ใกล้ก็จะตีตัวออกห่าง ใครก็ไม่อยากที่จะอยู่ใกล้ แล้วเขาจะกลายเป็นคนที่เป็นปัญหาของสังคม เป็นที่รังเกียจของสังคม ใครจะไม่คบค้าสมาคมด้วย


    ภาษาธรรมะเรียกว่า “เป็นกิเลสเครื่องเศร้าหมองหมักดองอยู่ในสันดานของเขา” คนดี สละละเสียซึ่งความมั่นหมายอย่างนี้

    แต่ตรงกันข้าม คนผู้ใดเห็นความสำคัญที่ตัวเองด้วยความพินิจพิจารณาตามหลักที่มีมาว่า “อัตตัญญุตา” คือความรู้จักตนว่า เรามาด้วยชาติ ว่าด้วยตระกูลว่าเป็นตระกูลไหน สูงต่ำอย่างไร ว่าด้วยยศศักดิ์ เรามียศ มีวิทยฐานะอย่างไร เป็นกำนันหรือว่าเป็นผู้ใหญ่บ้าน เป็นครูบาอาจารย์ เป็นมหาเปรียญ เป็นคณะพระครู เป็นเจ้าคุณ หรือเป็นลูกวัดของเขา เป็นลูกน้องของเขา เป็นลูกเลี้ยงของเขา อะไรเหล่านี้เป็นต้น
    แล้วก็มาตั้งตัวตั้งตนอยู่ดีตามฐานะของตน อยู่พอดิบพอดี กิริยาเป็นระเบียบเรียบร้อยละมุนละไม มีศีลาจารวัตรอันงดงาม ใครเห็นก็น่าดู น่ารัก พูดจาปราศรัยออกมาใครได้ยินก็น่าฟัง น่ารัก พวกเด็กๆก็มีความเคารพ มิตรสหายก็มีความรักใคร่ ผู้หลักผู้ใหญ่ก็มีความเอ็นดูกรุณา


    คนที่วางตัวอย่างนี้ สำคัญมั่นหมายตัวอย่างนี้ นับว่าเป็นคนดี ไม่มีข้าศึกศัตรูที่ไหนมา เด็กๆก็มีความเคารพ มิตรสหายเพื่อนๆรุ่นเดียวกันก็รักใคร่ ผู้หลักผู้ใหญ่ก็มีความเอ็นดูกรุณา เขาก็จะได้อยู่เย็นเป็นสุข เป็นคนดีมีชื่อ ใครเขาก็สรรเสริญเยินยอ

    “อัตตัญญุตา” คือ ความรู้จักตนและก็ประพฤติปฏิบัติให้สมกับฐานะของตัว ว่าฐานะของเราเป็นอย่างไร และวัดของเราเวลานี้มีคนพร้อมหมด ครูบาอาจารย์ก็มี ลูกศิษย์ลูกหาก็มี พระก็มี สามเณรก็มี ตำรวจก็มี ทหารก็มี นายสิบก็มี ปริญญาตรีก็มี ปริญญาโทก็มี ด๊อกเตอร์ก็มี
    นี่เป็นวิทยฐานะและใครก็ไม่ได้ถือตน ถือตัวว่าตัวเรามีวิทยฐานะอย่างไร อันนี้ขอฝากให้เป็นความคิด อยู่พอเหมาะพอดี มีศีลาจารวัตรอันงดงาม สงบ
    เสงี่ยมเจียมตัว การพูดจาปราศรัยก็พูดเฉพาะที่จำเป็น ที่ไม่จำเป็นไม่ต้องพูด

    การที่จะพูดจาอะไร จะต้องนึกคิดพิจารณาเสียก่อน ใช้สติสัมปชัญญะพิจารณาเสียก่อนว่า สมควรหรือไม่สมควรอย่างไร นี้เป็นการดี จะทำอะไร จะพูดอะไร ก็ให้มีสติสัมปชัญญะ อย่าปล่อยตามลำพัง
    อย่าให้เข้าทำนองอย่างที่กล่าวไว้แล้วว่า


    “คนโง่เอาใจไว้ที่ปาก” คิดอะไรก็ไหลออกปาก “คนฉลาดเอาปากไว้ที่ใจ” กลั่นกรองเสียก่อนแล้วจึงพูดออกมา อันนี้ให้จำใส่ใจเอาไว้ นี้คือ อัตตัญญุตา คือ ความรู้จักตน

    นอกจากจะรู้จักตน ตั้งตนให้อยู่อย่างพอเหมาะ พอดีแล้ว ก็จงพยายามเอาตนเป็นที่พึ่งของตนให้ได้ อย่าได้คอยแต่จะพึ่งพาอาศัยแต่คนอื่น
    เช่นว่าเราเป็นเด็กไม่รู้เดียงสา ตอนนั้นเราก็พึ่งพ่อแม่เราอยู่ พอโตขึ้นมาเราก็จะพึ่งกับครูบาอาจารย์ เมื่อมีการงานอะไร เราก็พึ่งกับเพื่อนหรือมิตรสหาย ถ้าเราเป็นลูกน้องของเขาเราก็พึ่งกับนาย


    แต่ผู้ที่เป็นที่พึ่งของเราอย่างนั้นก็พึ่งได้เป็นบางอย่างหรือว่าบางเวลา พึ่งได้ตามความสามารถของเขาที่จะกรุณาเรา เช่น

    พ่อแม่เป็นที่พึ่งของเขาได้ ท่านก็จะอุปการะเราเท่าที่จะทำได้ เมื่อเกินความสามารถของท่านไป ท่านก็ทำไม่ได้

    ครูบาอาจารย์ก็เหมือนกัน เป็นที่พึ่งของเราได้เพียงการแนะนำพร่ำสอน ถ้าเราเป็นนักเรียนที่ดื้อถือรั้น ครูบาอาจารย์ก็จะเป็นที่พึ่งของเราไม่ได้

    พ่อแม่ก็เหมือนกัน ถ้าเราเป็นคนเกเรหัวดื้อถือรั้น ไม่ฟังคำสั่งสอนของพ่อแม่ พ่อแม่ก็เป็นที่พึ่งของเราไม่ได้ เราจะพึ่งกับพ่อแม่ไม่ได้

    มิตรสหายของเราก็เหมือนกัน ถ้าเราเป็นคนดีไม่ได้ ใครเขาก็ไม่อยากจะช่วยเหลือเผื่อแผ่เรา

    เจ้านายของเราก็เหมือนกัน ถ้าเราเป็นลูกน้องของเขา ถ้าเราเป็นคนหัวดื้อ เป็นคนขี้เกียจขี้คร้าน ใครเขาก็ไม่สามารถที่จะมาเป็นที่พึ่งของเราได้เลย

    ฉะนั้น ข้อที่สำคัญที่สุด คือ การรู้จักตน ควรที่จะได้นึกเน้นให้มันลึกเข้าไป พยายามฝึกหัดดัดสันดานของตนเอง พยายามปกครองตนเองให้ได้ ให้ตนเองเป็นที่พึ่งของตนเองได้จริงๆ

    เมื่อพูดถึงทางความรู้เราก็พอจะไปได้ พูดถึงความดีเราก็พอมีไว้ เรียกว่ามีคุณสมบัติอยู่ในตัว มีทั้งความรู้ มีทั้งความดี เป็นคุณสมบัติอยู่ในตัว เป็นคนฉลาด เป็นคนที่สามารถ ที่ทำได้ รู้ได้ คิดได้คุ้มตัว

    ถ้าเป็นอย่างนี้แล้วตัวของเราก็จะพึ่งตัวของเราได้ ไม่ต้องไปคอยพึ่งแต่คนอื่นอย่างเดียว คนอื่นจะเป็นที่พึ่งของเราได้ก็เป็นเพียงบางอย่าง หรือว่าเป็นบางเวลาเท่านั้น หรือตามความสามารถของท่านเท่านั้น

    คนอื่นจะเป็นที่พึ่งของเราได้ หรือว่าเราจะพึ่งคนอื่นได้ก็เพราะความดีของเรา ถ้าเราเป็นคนเกเร เป็นคนหัวดื้อถือรั้น ไม่ยอมฟังเสียงใครก็อย่างว่า ใครจะมาเป็นที่พึ่งของเราไม่ได้เลย ต้องพยายามทำตัวให้ดี อยู่พอดี พอเหมาะ มีกิริยาจารวัตร จะพูดจาปราศรัยก็เป็นระเบียบเรียบร้อย พวกเด็กๆเห็น เขาก็มีความเคารพ พวกเพื่อนๆเห็นก็มีความรักใคร่ ผู้หลักผู้ใหญ่ก็มีความเอ็นดู กรุณา นี้ชื่อว่าการวางตัวถูก

    เมื่อเรารู้ตัวแล้วอย่างนี้เราจะทำอย่างไร เราก็พินิจพิจารณาดูเห็นความสำคัญของเราเอง จึงฝากไว้เป็นที่พิจารณาว่า ตัวของเราเป็นสิ่งที่สำคัญ อะไรที่ไหนทุกสิ่งทุกอย่าง ทุกๆร้ายดีถี่ห่างอยู่ที่ตัวของเรานี้ทั้งหมด เขาจะรักเราหรือว่าชังเราก็อยู่ที่ตัวเรา พึงมองดูที่ตัวของเราให้มากที่สุด

    ถ้าหากว่าจะติคนอื่นก็ขอให้ติตัวของเราเองเสียก่อน จะโทษคนอื่น ก็จงโทษตัวของเราเสียก่อน ถ้าตัวของเราดีใครเขาจะมาว่าให้เรา ใครจะมาด่าเรา ใครจะให้ร้ายป้ายสีเรา ก็ไม่มี

    สิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นกับเรา เป็นผลสืบเนื่องมาจากตัวเรานี้เอง จงพยายามโทษที่ตัวเราเอง ตำหนิตัวเอง ติฉินตัวเองให้มากที่สุด
    จงอย่าได้ลืม


    “คนโง่เอาใจไว้ที่ปาก คนฉลาดเอาปากไว้ที่ใจ” จงพยายามฝึกหัดดัดสันดานของตัวเอง ให้เด็กเห็นเกิดความรักเคารพ ให้เพื่อนๆเห็นก็มีความรักใคร่ ให้ผู้ใหญ่เห็นเราก็มีความเอ็นดูกรุณา นี้นับว่าเราได้ทำตัวของเราให้ดีขึ้น

    ที่มา : http://www.pranippan.com/new/index.php
    <!--IBF.ATTACHMENT_220--><!-- THE POST -->
    <!-- / message --></TD></TR><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid"> <SCRIPT type=text/javascript> vbrep_register("384015")</SCRIPT> </TD><TD class=alt1 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 0px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid" align=right><!-- controls --><!-- Start Post Thank You Hack --></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  10. pen@_p@ne เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    48
    ค่าพลัง:
    +433
    <TABLE class=tborder id=post384289 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR vAlign=top><TD class=alt1 id=td_post_384289 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid">เราเลือกได้ / การให้ผลของกรรม/ บุญละลายบาป
    <HR style="COLOR: #ffffff" SIZE=1><!-- / icon and title --><!-- message -->(i) 1.เราเลือกได้

    เมื่อเรารู้จักกรรมตัวนี้แล้ว ก็จงวางใจในผลของกรรมว่า ถ้าเราทำดี เราย่อมจะมีผลของกรรมดีรอเราอยู่ข้างหน้าในอันที่จะพาเราไปเกิดในที่ดี คอยอุปถัมภ์เรา เป็นที่พึ่งแก่เรา อีกอย่างคือ จงวางใจในผลของกรรม ถ้าใครทำอะไรเรา เป็นหน้าที่ของกรรมจะชำระเขา ไม่ใช่หน้าที่ของเราที่จะต้องไปจัดการเขา หน้าที่ของเราคือทำดีอยู่เสมอ ทั้งแก่ตนเองและผู้อื่น

    ในขณะเดียวกัน ด้วยความรู้อันนี้ ถ้าเรามองไปในอนาคตว่าเราอยากไปเกิดที่ดี มีชีวิตที่ดี เราก็ต้องสร้างเหตุดี สร้างกรรมดีวันนี้ไว้ อยากได้ผลดีวันหน้า วันนี้ก็สร้างเหตุดีเข้า เรียกว่าเลือกเกิดได้ แต่ท่านเตือนว่าต้องเป็นความดีที่มีคุณภาพและปริมาณที่พอเพียง

    พระพุทธเจ้าตรัสสอนไว้ว่า เกิดได้ตามที่ต้องการ แต่ต้องมีคุณธรรม 5 อย่างคือ ศรัทธา ศีล สุตะ (ฟังธรรมมาก) จาคะ (เสียสละบริจาค) และปัญญา เมื่อมีคุณธรรม 5 อย่างนี้สมบูรณ์ ตั้งอธิษฐานจิตไว้ว่าอยากไปเกิดที่ใดก็จะได้ตามนั้น

    (i) 2.การให้ผลของกรรม

    มีคนเคยถามถึงเรื่องการให้ผลของกรรมว่า ทำไมจึงเป็นอย่างนั้น ทำไมไม่เป็นอย่างนี้ เช่น คนไปทำบุญกฐินกลับมา ประสบอุบัติเหตุบนถนน ดูเหมือนกับไปทำบุญแล้วไม่ได้บุญ

    คำตอบคือ มันไม่ใช่วาระ การทำบุญวันนั้นอาจจะยังไม่ส่งผล เพราะมันเป็นวันที่กรรม (เก่าชาติไหนก็ไม่รู้) ได้มาถึงและแสดงผลทันที มันเป็นกรรมคนละตัวกัน

    ครั้งหนึ่ง เมื่อชาววัดผู้ศรัทธาผู้หนึ่งถึงกาลล้มละลาย เขายืนดูวัดและผู้คนกำลังทำบุญกันมากมายหลายร้อยหลายพันคน แล้วก็รำพึงว่า "ฉันทำบุญไปตั้งหลายแสน ไม่เห็นบุญช่วยอะไรเลย"

    นี่เป็นเรื่องวาระอีกเช่นกัน บุญที่เราทำอาจจะยังไม่สามารถส่งผลได้ในขณะที่เราต้องการ เพราะกรรมอื่นที่เขาถึงวาระเขากำลังให้ผลอยู่

    การให้ผลของกรรมยังมีเงื่อนไขอื่น ๆ อีกมาก เคยมีคนเล่าว่า แม่ค้าขายขนมจีนคนหนึ่ง แกถวายพระด้วยขนมจีนทุกวัน พอตายไป อาหารทิพย์ที่รอแกอยู่ก็คือขนมจีน แกบ่นว่า โอ๊ย! เบื่อจะตายอยู่แล้ว อยากกินอย่างอื่นบ้าง ด้วยเรื่องเล่าทำนองนี้แหละ ที่พอชาวเราอยากได้อะไรหรือชอบอะไร ก็เลยจะเอาของอย่างนั้นถวายพระ คล้ายๆฝากตู้เซฟไว้ จะได้ถอนคืนเอาตอนตาย

    ความจริง บุญคือเจตนาในการทำดี ผลบุญจึงน่าจะเป็นของทิพย์ ที่จะทำให้เราได้ในสิ่งที่เราต้องการมากกว่า โดยไม่ต้องไปตรงกับของที่เราเคยทำบุญหรอก

    เราสอนกันมาว่า ทำกรรมอะไรได้ผลอย่างนั้น เช่นปลูกข้าวก็ได้ข้าว แต่เราสอนกันเพียงเท่านั้น จึงทำให้เราเข้าใจการให้ผลของกรรมได้ยาก ท่านอาจารย์วศิน อินทสระ ได้สอนเพิ่มเติมให้เข้าใจเสียใหม่ว่า

    การให้ผลของกรรมมีเงื่อนไข แล้วแต่เหตุปัจจัยที่มาประกอบ บางทีปลูกข้าว ไม่ได้ข้าวก็มี ถ้าปลูกข้าวลงในดินไม่ดี หรือดินดี แต่น้ำไม่พอ ฝนไม่ตก ข้าวก็ได้น้อย หรือถ้าน้ำท่วม ข้าวก็เสียหายไปหมด ไม่ได้ข้า ถ้าทุกอย่างดีหมด ดินดี น้ำดี เมล็ดพันธุ์ดี ก็ได้ข้าวดี กรรมก็เหมือนกัน

    และด้วยเหตุนี้ ถ้าเคยทำไม่ดีมา จึงทำให้เราสร้างเงื่อนไขเพื่อเข้าปรับเปลี่ยนผลกรรมได้ด้วยการทำดี เป็นโอกาสให้คนกลับตัวได้ และพัฒนาได้

    (i) 3.บุญละลายบาปได้

    คนเราย่อมต้องเคยทำดีและชั่ว แต่ถ้าเรารู้ตัวว่าได้ทำชั่วไปแล้ว ท่านสอนว่าให้หยุดทำความชั่วเสีย แล้วทำความดีต่อไปให้มาก ๆ และ มาก ๆ

    เปรียบเหมือนเกลือช้อนหนึ่ง เมื่อใส่ลงไปในตุ่มใหญ่ที่มีน้ำเต็ม แม้เกลือจะยังคงมีอยู่ แต่ก็ไม่สามารถแสดงความเค็มได้ น้ำเปรียบเหมือนความดีที่มากจนความชั่วไม่อาจแสดงผลได้

    แต่ก็ไม่ใช่คิดว่า งั้นก็ทำชั่วไปได้เดี๋ยวค่อยทำดีมากแก้ เพราะถ้าเราคิดอย่างนั้น เราจะทำชั่วต่อไปเรื่อย ๆ
    ผัดวันประกันพรุ่งต่อไป และไม่มีวันได้ทำดี เพราะความชั่วเป็นเรื่องทำง่าย และถูกกับกิเลสของคนเรา
    เช่น กินเหล้า เล่นการพนัน เที่ยวเตร่ สนุกสนาน เพราะฉะนั้น การคิดว่า ทีหลังไว้ค่อยทำดีมาแก้ จึงยากจนเรียกว่าเป็นไปไม่ได้

    ....ดังนั้น เมื่อตั้งใจแล้ว ก็ควรหยุดทำชั่ว และเริ่มทำดีทันที.....



    ที่มา : ธรรมะรอบกองไฟ ของ ขวัญ เพียงหทัย
    http://www.dhammathai.org/store/karma/index.php

    <!-- / message --></TD></TR><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid"> <SCRIPT type=text/javascript> vbrep_register("384289")</SCRIPT> </TD><TD class=alt1 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 0px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid" align=right><!-- controls --><!-- Start Post Thank You Hack --></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  11. pen@_p@ne เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    48
    ค่าพลัง:
    +433
    ...เตรียมเสบียงไว้เลี้ยงตัว3...

    ถาม
     
  12. 1redstar เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    619
    ค่าพลัง:
    +1,366
    ชายแดนภาคใต้น่าเปนห่วงมาก
    ตอนนี้ คือสภาวะสงครามกลางเมือง
    อำนาจรัฐไม่สามารถจัดการแก้ปัญหาได้
    ชาวบ้านป่าเมืองเถื่อนไม่เลือกข้างรัฐ
    ตอนนี้ต้องอาศัยหลังแผ่นดินกันแล้ว
    เกินกำลังของรัฐที่จะทำอะไรได้
     
  13. หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,705
    ค่าพลัง:
    +51,934
    *** ทางรอดของไทย ****จำเป็นต้องพึ่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ คือ พึ่ง "โลกุตตระ" สร้างการกระทำ จาก "สัจจะ" ทำ "สัจจะ" ให้อยู่ในชีวิตประจำวัน เช่นเดียวกับพระภิกษุสงฆ์สมัยพุทธกาล กำหนด "สัจจะ" ให้ตัวเอง วันละข้อ เช่น วันนี้ ไม่โกรธ , วันนี้ ไม่โกหก , วันนี้ ไม่ดื่มสุรา เสพสิ่งมึนเมา , วันนี้ ไม่ทำร้ายผู้อื่น , วันนี้ ไม่คอยจับผิดผู้อื่น , วันนี้ ใช้ชีวิตด้วยความพอเพียง , ไม่ฆ่ามนุษย์ ทั้งในครรภ์ และนอกครรภ์ ตลอดชีวิต , ไม่ทำร้ายร่างกายพ่อแม่ ตลอดชีวิต , เมื่อเราทำได้ ผลของการกระทำย่อมตอบแทนแน่นอน ....... เมื่อประชาชนทั่วประเทศไทย "ร่วมกันปฏิบัติสัจจะ" คนละข้อ ผลตอบแทนจะเกิดขึ้นอย่างหาที่สุดมิได้ กรรมที่กำลังจะเกิด ก็จะเลี่ยงออกไปได้ จากหนักจะกลายเป็นเบา...ประเทศไทยจะเกิดปฏิหาริย์ที่ยิ่งใหญ่ จากภัยพิบัติทั้งปวงกึ่งพุทธกาล....เพียงแค่ ประชาชนถือ และปฏิบัติกันทั้งประเทศไทย - " หนุมาน ผู้นำสาร "
     
  14. Baramee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    230
    ค่าพลัง:
    +1,032
    อย่าเพิ่งคิดว่าโลกจะถึงยุคสุดท้าย
    จากคำทำนายของพลูหลวงข้างต้นก็บอกเพียงว่า
    ประเทศไทยจะต้องทนความลำบากไปอีกหลายปีกว่าจะถึงยุครุ่งเรือง

    แต่ก็ไม่ได้บอกว่าถึง "ยุคสุดท้าย" เพราะคำว่าสุดท้ายคือการสิ้นสุด
    ซึ่งทางศาสนาคริสต์ก็คือวันตัดสิน คือตายหมดทั้งโลก

    จากคำทำนายของพลูหลวง และคำทำนายของพระอรหันต์ในสมัย
    ปลายอยุธยา ทำนายว่าไทยจะต้องมียุคต่อไปคือยุคชาววิไล
    ที่ต่อจากยุคปัจจุบัน (ถิ่นกาขาว)

    สรุปว่าโลกยังไม่น่าถึงยุคสุดท้ายครับ
     
  15. bkgolf1999 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    40
    ค่าพลัง:
    +98
    มันก็เหมือนนาฬิกาน่ะครับ... จะพูดว่าเป็นยุคสุดท้ายก็ถูก นั่นหมายถึง ยุคสุดท้ายของวงจรรอบนี้
    จะพูดว่ายังไม่ถึงยุคสุดท้ายก็ถูก เพราะหลังจากเลข 12 ไป มันก็เข้ารอบใหม่ไปเรื่อยๆ เข้าสู่ยุคใหม่...
     
  16. หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,705
    ค่าพลัง:
    +51,934
    ก่อนภัยพิบัติ บ้านเมืองจะลำบากเพราะคนไม่ซื่อสัตย์ ทรยศสัตย์ปฏิญาณที่ให้ไว้
     
  17. you123 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2006
    โพสต์:
    52
    ค่าพลัง:
    +191

    มิน่าล่ะ วันนี้ก็เพิ่งมีกระทู้ว่า "มีทะเลสาบ ในทะเลทรายของประเทศจีน " ซะแล้ว

    ท่านหนุมานนำสาร แล้วมันจะอีกนานไหมค่ะ ที่จะเกิดกรรมปรากฏ

    แล้วประเทศไทย กรุงเทพของเรา จะเป็นอย่างไรบ้าง
     
  18. จันทร์เจ้า เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    830
    ค่าพลัง:
    +1,948
    อ้าว...เป็นการ "ขอน้ำจากผู้ดูแลในจักรวาลมาเติมลงบนโลกให้ครบส่วน" หรือครับ

    เป็นเพราะเขื่อนใหญ่แตก (หรือชั้นหินนี่แหละไม่แน่ใจ)
    แล้วน้ำก็เลยซึมผ่านทรายมารวมกันเป็นทะเลสาบ ไม่ใช่หรือครับ
     
  19. หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,705
    ค่าพลัง:
    +51,934
    *** หาก "สัจจะ" ไม่ปรากฏ **** ไม่มีผู้นำ คือผู้นำไม่เชื่อ ไม่ปฏิบัติเองก่อน "สัจจะ" การปฏิบัติตามคำสอนพระพุทธเจ้าจึงไม่เข้าถึงจิตใจคนไทย คนไทยจึงขาด"สัจจะ"นำชีวิต จึงไม่เกิดการกระทำใหม่ของคนไทยขึ้นมา การกระทำทั้งมวลจึงเป็นไปตามนิสัยเดิมๆ ที่ติดตัวมาแต่เกิด ทุกอย่างจะเป็นไปตามชะตาลิขิต...ภัยน้ำท่วม ไม่รุนแรงเท่า เรื่องประเทศไทยเสียดินแดน ทหารเราจะอ่อนแรง พวกไม่หวังดีมีมาก คนไทยขาดสามัคคี จนประเทศไทยไม่ปลอดภัยสำหรับบุคคลสำคัญ มีผู้ทรยศ ประสงค์ร้าย ปองร้าย ลอบทำร้ายมาก...เมื่อพ่อซึ่งทำหน้าที่ให้ความปลอดภัยครอบครัว ไม่อยู่บ้าน ครอบครัวที่เหลือจึงลำบากยากยิ่งนัก....เมื่อพ่อกลับมาไม่นาน แผ่นดินจะแตกแยกกลืนบ้านจมหาย น้ำและท่อนซุงจะกระหน่ำ ฟ้าจะพิโรธหนักอย่างไม่เคยปรากฏ เมื่อนั้น "พระยาพิชัย" จะออกมากอบกู้ช่วยเหลือคนไทย และชาวโลกที่ลำบากและขาดที่พึ่ง...พระยาพิชัย บอกให้พึ่ง "โลกุตตระ และ สัจจะ" เวลาไม่สามารถย้อนกลับได้ ให้เร่งสร้างการกระทำใหม่ด้วย "สัจจะ" โคตรปฏิหาริย์จึงปรากฏ - " หนุมาน ผู้นำสาร "
     
  20. eve1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    244
    ค่าพลัง:
    +682


    เวลา... กลืนกินสรรพสัตว์


     

แชร์หน้านี้