ในเช้ามืดวันที่เกิดคลื่นยักษ์สึนามินั้น ผมได้ออกจากบ้านและได้สังเกตเห็นพระจันทร์เป็นสีเข้มจัดเหมือนสีเลือดเลย ผมสะดุ้งใจเลยเพราะพระจันทร์ที่ผมเห็นวันนั้นดูน่ากลัวจริงๆ แต่ก็ไม่คาดฝันเลยว่าจะเกิดเหตุการณ์ร้ายแรงนี้ขึ้นมา
ประเทศไทยจะเกิดอุบัติภัยอย่างที่ทำนายกันจริงๆหรือไม่
ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย koymoo, 25 มกราคม 2005.
หน้า 7 ของ 1646
-
แล้วบอกนานรึยังครับ -
คุณ เกษม มั่วมากๆ ครับ
ตอนแรกคิดจะอ่านเพียงอย่างเดียว
สุดท้าย ก้อขอออกความเห็นสักหน่อย
การจับแพะ ชน แกะ ของคุณเกษม บอกได้เลยว่า มั่ว มากๆ
ยิ่งไปอ้างอิง ตา เอกฯแล้วยิ่งไปใหญ่
ใครอ่านกระทู้นี้ไม่ต้องไปตื่นหนกนะ
สรรพสิ่งมันเป็นเช่นนี้ ทุกอย่างมี เกิด ขึ้น ตั้ง อยู่ดับไปเป็นธรรมดา
อย่าไปตื่นข่าวบ้าๆ
กับคนเพี้ยนๆเลย
เลือกที่จะเสพข้อมูลหน่อย
ความเพี้ยนของ เอกอิสโล ก้อมาจากคนเมืองบัว -
รับทราบครับ
ความจริงผมก็ได้ทำใจไว้ตั้งแต่แรกที่เข้ามาตอบในกระทู้นี้แล้วว่า จะต้องเจอทั้งดอกไม้และก้อนอิฐแน่ จึงได้ตกลงกับเว็ปมาสเตอร์แล้วว่าถ้าเห็นว่าข้อความใดไม่เหมาะสมอนุญาตให้ลบทิ้งไปได้เลย..........
เรื่องคำทำนายเหล่านี้มีมาตั้งแต่โบราณกาลนับเป็นพันปีแล้วก็ว่าได้ ทั้งจากศิลาจารึกที่ค้นพบที่วิหารพระเชตวัน ทั้งจากพระธรรมวิวรณ์ในคัมภีร์ของศาสนาคริสต์ ทั้งคำทำนายสัญญาณวันสิ้นโลกของศาสนาอิสลาม ล้วนกล่าวถึงเหตุการณ์เดียวกันทั้งสิ้น รวมทั้งคำบอกเล่าจากบรรดาพระภิกษุผู้มีญาณทัศนะเห็นเหตุการณ์ในอนาคต ก็ได้บอกกล่าวกับลูกศิษย์ให้เตรียมตัวรับกับภัยพิบัติที่จะมาถึงในไม่ช้านี้..........
ผมได้ตั้งใจค้นหาข้อมูลจากทุกแหล่งเท่าที่จะหาได้มานำเสนอในที่นี้ ไม่ได้มีเจตนาให้ท่านตื่นตกใจไปกับคำทำนายเหล่านี้ เพียงแต่อยากให้ท่านได้ทราบว่ามีคำทำนายเหล่านี้อยู่ในโลกนี้จริงๆ นับเป็นพันๆ ปีมาแล้ว ส่วนท่านจะได้รับประโยชน์จากคำทำนายเหล่านี้หรือไม่อย่างไร จะเชื่อหรือไม่เชื่อก็แล้วแต่วิจารณญาณของตัวท่านเองไม่มีใครไปบังคับท่านได้..........
ใครก็ตามที่เอาคำทำนายเหล่านี้มาเผยแพร่ ก็ต้องเจอแบบนี้ทุกคน ท่านที่ไม่อยากเปลืองตัวจึงพากันเงียบเฉยเสียถือว่าเป็นกรรมของสัตว์โลก ด้วยเหตุผลที่ว่าครูบาอาจารย์ที่ท่านมีญาณทัศนะรู้เรื่องราวเหล่านี้มักจะเตือนบรรดาเหล่าลูกศิษย์ว่าให้บอกกล่าวให้รู้กันเฉพาะในหมู่คณะเดียวกัน อย่าเอาไปบอกกล่าวกับคนที่เขาไม่เชื่อไม่ศรัทธาเพราะเขาจะหาว่าเราเสียสติ...............
ข้อมูลที่ผมนำมาเสนอให้ท่านทั้งหลายได้รับรู้นี้ หากไปรบกวนจิตใจท่านก็ขอให้ต่อว่าผมแต่เพียงผู้เดียว อย่าไปต่อว่าผู้ให้ความรู้เหล่านี้เลย เพราะท่านเหล่านั้นเป็นผู้ทรงศีล ทรงธรรมทั้งสิ้นจะเป็นบาปเป็นกรรมติดตัวท่านไปเปล่าๆ ความจริงผมตั้งใจจะหยุดนำเสนอข้อมูลเหล่านี้นานแล้ว แต่เห็นว่ายังมีบางท่านให้ความสนใจคอยติดตามอ่านอยู่เสมอๆ จึงยังตามหาข้อมูลมานำเสนออยู่เป็นระยะๆ ด้วยหว้งว่าจะเกิดประโยชน์กับผู้เห็นคุณค่าของข้อมูลเหล่านี้......
ขอคุณครับที่ติดตามอ่าน....... -
ส่งกำลังใจช่วยครับ
-
ขอเป็นกำลังใจให้คุณ เกษม ต่อไป
ผมติดตามอ่านอยู่ตลอดครับ -
ผมก็ขอเป็นกำลังใจให้นะครับ คุณเกษม
-
เรื่องจริงของจุดดับบนดวงอาทิตย์
ข้อมูลเกี่ยวกับจุดดับบนดวงอาทิตย์ อ้างถึงความคิดเห็นที่ 25 ครับ
"เหตุการณ์ต่างๆ ที่กล่าวมานั้น
จะมีอยู่วันหนึ่งที่เกิดเหตุการณ์รุนแรงที่สุด
คลื่นพลังมหาศาลจากจักรวาลจะกระแทกลงมายังโลก
เป็นพลังงานที่เกิดจากลมพายุสุริยะ
อันเนื่องมาจากจุดดับบนดวงอาทิตย์จุดที่ 11"
คัดลอกมาจากhttp://thaiastro.nectec.or.th/library/solarstormfacts/solarstormfacts.html
เรื่องจริงของพายุสุริยะ
<TABLE cellSpacing=0 cellPadding=10 width=760 bgColor=#ffffff border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top width=460>รู้จักกับจุดดำ
<DD>จุดดำบนดวงอาทิตย์ (sunspot) เป็นปรากฏการณ์บนพื้นผิว<WBR>ดวงอาทิตย์<WBR>ที่สังเกตได้ง่ายที่สุด จึงไม่น่าแปลกใจ<WBR>ที่มันจะถูกค้นพบมาตั้งแต่<WBR>สมัยของกาลิเลโอแล้ว จุดดำบนดวงอาทิตย์<WBR>เมื่อมองผ่านแผ่นกรองแสง<WBR>จะมีลักษณะเป็นจุดสีดำ<WBR>ขึ้นประปรายอยู่<WBR>บนผิวหน้า<WBR>ของดวงอาทิตย์ คล้ายกับดวงอาทิตย์<WBR>ตกกระ ซึ่งสามารถมอง<WBR>เห็นได้ง่าย ๆ โดยการใช้<WBR>ฉากรับภาพจาก<WBR>กล้องโทรทรรศน์<WBR>หรือกล้องสองตา <DD>จุดดำบนดวงอาทิตย์เกิดขึ้นที่ชั้นโฟโตสเฟียร์ เช่นเดียวกับ แกรนูล (ลักษณะที่เป็นเม็ด คล้ายฟองที่เดือนพล่าน<WBR>บนผิวของดวงอาทิตย์) ขนาดของจุดดำ<WBR>มีตั้งแต่เท่ากับ<WBR>แกรนูลฟองเดียว หรืออาจจะใหญ่กว่านั้น และอาจมีการ<WBR>รวมกลุ่มกันเป็นกระจุก<WBR>จนมีพื้นที่หลาย<WBR>พันล้านตารางกิโลเมตร โครงสร้าง<WBR>ของจุดดำบนดวงอาทิตย์<WBR>มิได้มีลักษณะดำ<WBR>มืดแต่เพียงอย่างเดียว หากพิจารณาดูดี ๆ แล้ว จะพบว่าแต่ละจุด<WBR>จะมีลักษณะ<WBR>ซ้อนกันสองชั้น โดย จุดดำชั้นใน (umbra) จะมีสีดำเข้ม ส่วนจุดดำชั้นนอก (penumbra) ซึ่งล้อมรอบอยู่<WBR>จะมีลักษณะจางกว่า<WBR>และมีริ้วลายเป็น<WBR>เส้นในแนวรัศมี ดูเผิน ๆ แล้วจุดดำ<WBR>ของดวงอาทิตย์จะคล้าย<WBR>กับลูกตาดำของคน โดยจุดดำชั้นใน<WBR>แทนรูม่านตาส่วน<WBR>ชั้นนอกแทนม่านตา โดยทั่วไปแล้ว<WBR>พื้นที่ส่วนจุดดำชั้นนอก<WBR>มักมีพื้นที่มากกว่า บางครั้งอาจมากถึง 80% ของพื้นที่<WBR>จุดดำทั้งหมด บริเวณจุดดำ<WBR>ชั้นนอกเป็นบริเวณ<WBR>ที่มีการไหล<WBR>ของแก๊สจากบริเวณ<WBR>จุดดำชั้นใน<WBR>ไปสู่พื้นที่นอกจุดดำ เมื่อแก๊สไหล<WBR>ออกไปนอกจุดดำชั้นนอก<WBR>แล้วก็จะเปลี่ยนทิศ<WBR>พุ่งขึ้นตั้งฉาก<WBR>กับผิวของดวงอาทิตย์<WBR>จนถึงชั้นโครโมสเฟียร์ (บรรยากาศ<WBR>ที่อยู่เหนือพื้นผิว<WBR>ของดวงอาทิตย์) หลังจากนั้น<WBR>จึงย้อนกลับพุ่ง<WBR>ลงในใจกลาง<WBR>ของจุดดำอีกครั้ง<WBR>เป็นวัฏจักรต่อไป</DD></TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=10 width=760 bgColor=#ffffff border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=300><TABLE border=0><TBODY><TR width="100%"><TD align=middle><TABLE><TBODY><TR><TD vAlign=bottom></TD><TD vAlign=bottom></TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TR><TD>จุดดำบนดวงอาทิตย์ที่รวมกลุ่มกันเป็นกระจุกใหญ่ สิ่งที่เห็นเป็นเม็ดละเอียดจำนวนมากในส่วนพื้นที่สว่างคือ แกรนูล (granule)</TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD vAlign=top width=460><DD>การกระจายตัวของจุดดำนั้น มักพบว่าจุดดำมักเกิดขึ้นเป็นคู่<WBR>หรือรวมกลุ่มเป็น<WBR>กระจุกใหญ่<WBR>จำนวนมาก ๆ แต่จุดดำคู่<WBR>จะพบได้มากกว่า ส่วนจุดดำ<WBR>ที่ขึ้นเดี่ยว ๆ จะไม่พบ<WBR>มากนัก นอกจากนี้ยังพบว่าจุดดำบน<WBR>ดวงอาทิตย์มี<WBR>การเกิดขึ้นและ<WBR>สลายตัวตลอดเวลา โดยปรกติแล้ว<WBR>จุดดำแต่ละจุด<WBR>จะมีอายุประมาณ<WBR>ไม่เกินสองสัปดาห์ แต่ก็อาจมีบางจุด<WBR>ที่มีอายุยาวนาน<WBR>นับเดือนก็เป็นได้ <DD>ถึงแม้ว่าจุดดำชั้นในจะเป็นบริเวณที่มีอุณหภูมิต่ำที่สุด<WBR>บนดวงอาทิตย์<WBR>จนมองเห็น<WBR>เป็นสีดำสนิท แต่มันก็ยังมี<WBR>อุณหภูมิสูงถึง 4,000 เคลวิน ในความเป็นจริง แก๊สที่มีอุณหภูมิ<WBR>ขนาดนี้จะมี<WBR>ความสว่างมาก แต่สาเหตุที่เราเห็น<WBR>เป็นสีดำนั้นเนื่องจากพื้นผิว<WBR>ของดวงอาทิตย์โดยรอบจุดดำ<WBR>หรือโฟโตสเฟียร์<WBR>มีความสว่าง<WBR>มากกว่ามาก เพราะมีอุณหภูมิสูงถึง 6,000 เคลวินนั่นเอง ดังนั้นคำว่า "จุดดำ" คงจะไม่ตรงตาม<WBR>ความจริงเท่าใดนัก เพราะจุดมัน<WBR>ไม่ดำจริง ๆ ส่วนบริเวณ<WBR>จุดดำชั้นนอก<WBR>นั้นมีอุณหภูมิต่ำกว่า<WBR>โฟโตสเฟียร์เพียงเล็กน้อย คือประมาณ 5,600 เคลวิน <DD>ในขณะที่ความสว่างของจุดดำ<WBR>บนดวงอาทิตย์จะน้อยกว่าที่อื่น ๆ แต่สนามแม่เหล็ก<WBR>บริเวณนี้<WBR>กลับมีความเข้มข้น<WBR>สูงมาก เราพบว่าสนามแม่เหล็ก<WBR>จะมีทิศจะพุ่งออกจาก<WBR>จุดดำพร้อม ๆ กับนำเอาแก๊สร้อน<WBR>จัดจากภายใต้พื้น<WBR>ผิวดวงอาทิตย์ขึ้นมาด้วย สนามแม่เหล็ก<WBR>ที่จุดดำอาจมี<WBR>ความเข้มสูงถึง 0.2 - 0.4 เทสลา (1 เทสลาเท่ากับ 10,000 เกาสส์) รูปร่างและทิศทาง<WBR>ของสนามแม่เหล็ก<WBR>จะแตกต่างกันไป<WBR>ขึ้นอยู่กับลักษณะ<WBR>ของกลุ่มของจุดดำ<WBR>เหล่านี้ กล่าวคือ บริเวณที่มีจุดดำเป็นคู่ สนามแม่เหล็ก<WBR>จะพุ่งขึ้นออกจากจุดดำ<WBR>จุดหนึ่งสู่บรรยากาศชั้นบน<WBR>เหนือโฟโตสเฟียร์ แล้วเลี้ยวโค้งวกกลับ<WBR>ลงสู่จุดดำอีก<WBR>จุดหนึ่งที่อยู่คู่กัน จุดดำสองจุดนี้<WBR>จึงมีขั้วแม่เหล็ก<WBR>ที่ตรงข้ามกันเสมอ เหมือนกับแม่เหล็ก<WBR>แบบเกือกม้าที่ติดอยู่บน<WBR>ผิวดวงอาทิตย์ เราเรียกสนามแม่เหล็ก<WBR>รูปร่างแบบนี้ว่า สนามแม่เหล็กแบบ ไบโพลาร์ (bipolar) <DD>บริเวณที่มีจุดดำรวมกลุ่มกันเป็นกระจุกขนาดใหญ่<WBR>จะมีรูปร่างของ<WBR>สนามแม่เหล็ก<WBR>ที่ซับซ้อนมากขึ้น แต่ยังคงเป็น<WBR>สนามแม่เหล็กปิด<WBR>เช่นเดียวกับสนาม<WBR>แม่เหล็กแบบไบโพลาร์ ส่วนจุดดำที่<WBR>เป็นจุดเดียวโดด ๆ ไม่รวมกลุ่ม<WBR>หรือเข้าคู่กับจุดดำอื่น ๆ สนามแม่เหล็กจะพุ่งออกจาก<WBR>จุดดำชั้นในและสาด<WBR>ออกไปสู่อวกาศ<WBR>โดยไม่วกกลับเข้ามา เรียกว่าเป็นสนาม<WBR>แม่เหล็กเปิด ซึ่งเป็นช่องทาง<WBR>ที่มวลสารจำนวน<WBR>มากดวงอาทิตย์<WBR>พุ่งทะลักสู่อวกาศ และเป็นส่วนหนึ่ง<WBR>ของการเกิดลมสุริยะ</DD></TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=10 width=760 bgColor=#ffffff border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=300><TABLE border=0><TBODY><TR width="100%"><TD align=middle><TABLE><TBODY><TR><TD vAlign=bottom></TD><TD vAlign=bottom></TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TR><TD>จุดดำแบบคู่ที่อยู่ในซีกดาวเดียวกัน จะมีทิศทางสนามแม่เหล็กวางไปในทางเดียวกัน และซีกดาวแต่ละซีก จะมีทิศทางสนามแม่เหล็กของจุดดำแบบคู่ตรงข้ามกันเสมอ</TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD vAlign=top width=460><DD>สนามแม่เหล็กแบบไบโพลาร์บนดวงอาทิตย์มีลักษณะ<WBR>เฉพาะที่น่าสนใจอย่างหนึ่งคือ ทุก ๆ คู่ของจุดดำ<WBR>จะเรียงกัน<WBR>ในแนวนอนเกือบ<WBR>ขนานกับเส้นศูนย์สูตร<WBR>ของดวงอาทิตย์ เนื่องจากดวงอาทิตย์<WBR>มีการหมุน<WBR>รอบตัวเองด้วย ดังนั้นจุดดำสองจุด<WBR>ในแต่ละคู่จึงมีชื่อ<WBR>เรียกว่า จุดนำ และ จุดตาม เรามักพบว่าจุดนำ<WBR>ของแต่ละคู่มัก<WBR>จะอยู่ใกล้เส้นศูนย์สูตร<WBR>มากกว่าจุดตามเล็กน้อย นอกจากนี้ยังพบว่า สนามแม่เหล็ก<WBR>แบบไบโพลาร์ที่เกิดขึ้น<WBR>ในซีกดาวเดียวกัน<WBR>จะมีทิศทางตรงกัน<WBR>ทั้งหมด และทิศทางของ<WBR>สนามแม่เหล็กของซีกเหนือ<WBR>และซีกใต้ของดวงอาทิตย์<WBR>จะตรงข้ามกัน<WBR>เสมออีกด้วย <DD>นอกจากจุดดำบนดวงอาทิตย์ที่มักอยู่รวมกันเป็นกระจุกแล้ว ปรากฏการณ์ต่าง ๆ บนดวงอาทิตย์เช่นแฟลร์ หรือการลุกจ้าอย่างรุนแรง แฟกคิวลา เพลจ ก็มักเกิดบริเวณใกล้ ๆ กับกระจุกของจุดดำอีกเหมือนกัน </DD></TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=10 width=760 bgColor=#ffffff border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=300><TABLE border=0><TBODY><TR width="100%"><TD align=middle><TABLE><TBODY><TR><TD vAlign=bottom></TD><TD vAlign=bottom></TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TR><TD>แผนภูมิแสดงจำนวนของจุดดำ<WBR>บนดวงอาทิตย์<WBR>ในช่วงเวลาต่าง ๆ ตั้งแต่ปี 2518 จนถึงปัจจุบัน แสดงให้เห็น<WBR>การเปลี่ยนแปลง<WBR>จำนวนจุดดำ<WBR>ที่เป็นวัฏจักร</TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD vAlign=top width=460>วัฏจักรแห่งสุริยะ
<DD>ปริมาณของจุดดำบนดวงอาทิตย์บางช่วงเวลาอาจมี<WBR>เป็นจำนวนมาก แต่บางช่วงอาจ<WBR>จะไม่มีเลย<WBR>แม้แต่จุดเดียว ความผันแปร<WBR>นี้เป็นการผันแปร<WBR>ที่เป็นวัฏจักร มีคาบค่อนข้างสม่ำเสมอ อยู่ในช่วง 8 ปี ถึง 16 ปี มีค่าเฉลี่ย 11.1 ปี คาบนี้เรียกว่า วัฏจักรของดวงอาทิตย์ (solar cycle) หรือ วัฏจักรของจุดดำ (sunspot cycle) หากเราเขียน<WBR>แผนภูมิแสดง<WBR>ความสัมพันธ์ระหว่าง<WBR>จำนวนจุดดำ<WBR>บนดวงอาทิตย์<WBR>กับเวลา โดยให้เวลา<WBR>อยู่ในแนวนอน และจำนวนจุดดำ<WBR>เป็นแนวตั้ง จะพบว่ารูปกราฟ<WBR>ที่ได้คล้ายกับคลื่น<WBR>รูปฟันเลื่อย โดยช่วงขาขึ้น (จากช่วง<WBR>ที่มีจุดดำน้อยที่สุด<WBR>ไปสู่ช่วงที่มีจุดดำ<WBR>มากที่สุด) จะชันกว่า<WBR>ช่วงขาลงเล็กน้อย โดยเฉลี่ยแล้ว<WBR>ช่วงขาขึ้นจะใช้<WBR>เวลาประมาณ 4.8 ปี ส่วนขาลง<WBR>ใช้เวลาประมาณ 6.2 ปี</DD></TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=10 width=760 bgColor=#ffffff border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=300><TABLE border=0><TBODY><TR width="100%"><TD align=middle><TABLE><TBODY><TR><TD vAlign=bottom></TD><TD vAlign=bottom>
</TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TR><TD>ในหนึ่งวัฏจักรของดวงอาทิตย์ จุดดำบนดวงอาทิตย์<WBR>จะเริ่มเกิดที่ละติจูด<WBR>สูงประมาณ 35 องศา ทั้งเหนือและใต้ ส่วนจุดดำในรุ่นต่อ ๆ มาจะเกิดขึ้น<WBR>ที่ละติจูดต่ำ<WBR>ลงมาเรื่อย ๆ จนถึงระดับ<WBR>ใกล้ศูนย์สูตร</TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD vAlign=top width=460><DD>ตำแหน่งการเกิดของจุดดำ<WBR>ก็มีลักษณะน่าสนใจ<WBR>อีกเช่นกัน หลังจากที่ดวงอาทิตย์<WBR>เพิ่งพ้นจากช่วง<WBR>ต่ำสุดมาและกำลัง<WBR>จะเริ่มวัฏจักรใหม่ จุดดำจะเกิดขึ้น<WBR>ที่บริเวณละติจูดประมาณ 35 องศาทั้งซีกเหนือ<WBR>และซีกใต้ หลังจากนั้น จุดดำก็จะเลื่อนไหลไปรอบ ๆ ดวงอาทิตย์<WBR>ตามการหมุนรอบ<WBR>ตัวเองของดวงอาทิตย์ พร้อม ๆ กับเคลื่อน<WBR>เข้าหาเส้นศูนย์สูตรอย่างช้า ๆ แต่ก็ไปไม่ถึง<WBR>เส้นศูนย์สูตรเพราะจุดดำ<WBR>นั้นสลายตัวไปเสียก่อน จุดดำที่<WBR>เกิดขึ้นในรุ่นต่อ ๆ มาก็จะเกิด<WBR>ขึ้นอีกที่ละติจูดเริ่มต้น<WBR>ต่ำกว่าระดับของ<WBR>จุดดำรุ่นที่แล้วเล็กน้อย แล้วก็เคลื่อนเข้า<WBR>หาเส้นศูนย์สูตร<WBR>ในลักษณะเดียวกัน จุดเริ่มต้น<WBR>ของการเกิดจุดดำ<WBR>จะเปลี่ยนตำแหน่ง<WBR>เช่นนี้เรื่อย ๆ จนกระทั่งใกล้<WBR>ถึงช่วงต่ำสุด<WBR>ของดวงอาทิตย์ ซึ่งเมื่อถึงช่วงนี้<WBR>ละติจูดเฉลี่ยของจุดดำ<WBR>จะอยู่ประมาณ 7 องศา (เหนือและใต้) เท่านั้น หากเราสังเกต<WBR>ตำแหน่งของ<WBR>จุดดำทุก ๆ จุดอย่างต่อเนื่อง<WBR>และยาวนานพอ แล้วนำตำแหน่ง<WBR>ของจุดดำมาเขียน<WBR>เป็นแผนภูมิ โดยให้แกนนอน<WBR>เป็นเวลา และแกนตั้ง<WBR>เป็นละติจูดของจุดดำ แผนภูมิที่ได้<WBR>จะมีลักษณะเหมือน<WBR>กับใบมะกอก หรือผีเสื้อ<WBR>มาเกาะเรียงต่อ ๆ กัน แผนภูมินี้<WBR>จึงมีเชื่อเรียกเฉพาะว่า แผนภูมิรูปผีเสื้อ (butterfly diagram) </DD></TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=10 width=760 bgColor=#ffffff border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=300><TABLE border=0><TBODY><TR width="100%"><TD align=middle><TABLE><TBODY><TR><TD vAlign=bottom></TD><TD vAlign=bottom>
</TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TR><TD>(บน) แผนภูมิรูปผีเสื้อ แสดงตำแหน่งละติจูดที่เกิดจุดดำ ในช่วงเวลาหนึ่ง (ล่าง) แผนภูมิแสดงพื้นที่รวมของจุดดำบน<WBR>ดวงอาทิตย์ คิดเป็นเปอร์เซนต์<WBR>ต่อพื้นที่ผิวหน้า<WBR>ของดวงอาทิตย์ (เฉพาะด้านที่มองเห็น)</TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD vAlign=top width=460><DD>ดังที่กล่าวมาแล้วว่า สนามแม่เหล็กที่เกิดขึ้นที่บริเวณ<WBR>จุดดำบนดวงอาทิตย์<WBR>จะมีทิศทางเดียวกัน<WBR>ในแต่ละซีกดาว แต่ทิศทางของ<WBR>สนามแม่เหล็กนี้<WBR>จะไม่คงทิศเดิมตลอดไป เพราะทุก ๆ ครั้งที่ถึงช่วง<WBR>ต่ำสุด (sunspot minimum) นั้น จะมีการสลับขั้ว<WBR>ของสนามแม่เหล็ก<WBR>ทั้งซีกเหนือและซีกใต้<WBR>ของดวงอาทิตย์ สนามแม่เหล็ก<WBR>ในจุดดำของชุดใหม่<WBR>จะมีทิศทางตรงข้าม<WBR>กับชุดเดิม ดังนั้น วัฏจักรของ<WBR>สนามแม่เหล็กบนจุดดำ<WBR>ของดวงอาทิตย์<WBR>จึงเป็นสองเท่า<WBR>ของวัฏจักรของจุดดำ คือประมาณ 22.2 ปี <DD>จากการสำรวจดวงอาทิตย์ของนักดาราศาสตร์อย่างต่อเนื่อง<WBR>เป็นเวลานาน นักดาราศาสตร์<WBR>ยังได้พบว่า ปรากฏ<WBR>วัฏจักรที่<WBR>ยาวประมาณ 80 ปีซ้อน<WBR>อยู่บนคาบ 11.1 ปีนี้อีกด้วย นอกจากนี้<WBR>วัฏจักรของจุดดำ<WBR>บนดวงอาทิตย์<WBR>ก็ไม่ได้เกิดขึ้น<WBR>อย่างสม่ำเสมอมาตลอด ในปี ค.ศ. 1645 ถึง 1715 วัฏจักร<WBR>ของดวงอาทิตย์<WBR>ได้หยุดชะงักไปนานถึง 70 ปี เป็นช่วงที่รู้จักกัน<WBR>ในชื่อของ ช่วงต่ำสุดมอนเดอร์ (Maunder minimum) ซึ่งในช่วงเวลา<WBR>ดังกล่าวแทบ<WBR>จะไม่มีจุดดำเกิดขึ้นเลย</DD></TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=10 width=760 bgColor=#ffffff border=0><TBODY><TR><TD width=300></TD><TD width=460>| ตอนที่ 2 >></TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=10 width=760 bgColor=#ffffff border=0><TBODY><TR><TD width=300 bgColor=white><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=10 width=760 bgColor=#ffffff border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top width=460>ลมสุริยะ
<DD>ในขณะที่เกิดสุริยุปราเต็มดวง สิ่งที่เราเห็นเป็นเส้นรัศมีสว่างอยู่ล้อมรอบวงกลมสีดำนั้นคือบรรยากาศของดวงอาทิตย์ เรียกว่า คอโรนา (corona) คอโรนาเป็นบรรยากาศชั้นนอกสุดของดวงอาทิตย์ แม้ว่าคอโรนาที่เรามองเห็นขณะเกิดสุริยุปราคาเต็มดวงจะมีรัศมีประมาณไล่เลี่ยกับรัศมีของดวงอาทิตย์ แต่แท้จริงแล้วคอโรนามีรัศมีกว้างไกลกว่านั้นมาก จากการศึกษาสเปกตรัมของคอโรนาพบว่าคอโรนามีอุณหภูมิสูงนับล้านองศาเซลเซียส พลังงานความร้อนที่สูงมากทำให้คอโรนาขยายตัวออกเรื่อย ๆ จนในที่สุดอนุภาคจะหลุดพ้นจากแรงดึงดูดของดวงอาทิตย์และหนีออกจากดวงอาทิตย์ไปทุกทิศทุกทาง จนกระทั่งห่อหุ้มและครอบคลุมระบบสุริยะทั้งหมด เราเรียกกระแสธารของอนุภาคที่พัดออกมาจากดวงอาทิตย์ว่า ลมสุริยะ (solar wind) <DD>ลมสุริยะที่เกิดขึ้นในลักษณะนี้จะมีความเร็วต่างกันตามละติจูดที่เกิด กล่าวคือ ลมสุริยุที่ขึ้นบริเวณ<WBR>ขั้วเหนือและใต้<WBR>ของดวงอาทิตย์<WBR>จะมีความเร็วสูงมาก ซึ่งเรา<WBR>จะสังเกตได้ว่าบริเวณ<WBR>ขั้วเหนือและใต้มัก<WBR>มี โพรงคอโรนา (coronal hole) ขนาดใหญ่<WBR>ปรากฏอยู่ ซึ่งโพรงคอโรนา<WBR>เป็นที่ ๆ มีลมสุริยะ<WBR>ความเร็วสูงและรุนแรง<WBR>พัดออกมาจากดวง<WBR>อาทิตย์ใน<WBR>บริเวณนั้น ในขณะที่ลมสุริยะ<WBR>ที่เกิดขึ้นบริเวณ<WBR>แนวใกล้ศูนย์สูตร<WBR>ของดวงอาทิตย์<WBR>จะมีความเร็วต่ำ ลมสุริยะ<WBR>ที่เกิดขึ้นจากการขยาย<WBR>ตัวของคอโรนา<WBR>ในแนวศูนย์สูตร<WBR>ดวงอาทิตย์นี้<WBR>มีความเร็วเริ่มต้น<WBR>โดยเฉลี่ยประมาณ 450 กิโลเมตรต่อ<WBR>วินาที หลังจากนั้น<WBR>จะเร่งความ<WBR>เร็วจนถึงราว 800 กิโลเมตร<WBR>ต่อวินาที <DD>การเร่งความเร็วของลมสุริยะนี้ เป็นอีกหนึ่งในปริศนา<WBR>ของดวงอาทิตย์ เพราะนักดาราศาสตร์<WBR>ได้ตั้งข้อสงสัยมาเป็น<WBR>เวลานานนับตั้งแต่<WBR>เริ่มรู้จักลมสุริยะ<WBR>แล้วว่า เพราะเหตุใด<WBR>ลมสุริยะจึงเร่ง<WBR>ความเร็วขึ้นมาได้ จนเมื่อปี 2541 นี้เอง ยานโซโฮ<WBR>และดาวเทียมสปาร์ตัน<WBR>ได้พบว่าสนามแม่เหล็ก<WBR>ของดวงอาทิตย์<WBR>มีการกระเพื่อม<WBR>ตลอดเวลา ซึ่งอาจจะ<WBR>เป็นสาเหตุสำคัญ<WBR>ที่ทำให้ลมสุริยะ<WBR>มีการเร่ง<WBR>ความเร็วขึ้นก็ได้ <DD>แม้ลมสุริยะที่กล่าวมานี้จะมีความเร็วถึงเกือบพันกิโลเมตรต่อวินาที ใช้เวลา<WBR>ประมาณ 26 ชั่วโมง<WBR>ในการเดินทาง<WBR>ผ่านอวกาศ<WBR>เป็นระยะทางราว 150 ล้านกิโลเมตร<WBR>มาถึงโลก ถึงกระนั้น<WBR>ก็ยังจัดว่า<WBR>มีความเร็ว<WBR>และความรุนแรงต่ำ และไม่ใช่สาเหตุ<WBR>หลักที่ทำให้เกิด<WBR>ปรากฏการณ์<WBR>และผลกระทบต่าง ๆ บนโลก ลมสุริยะที่มีความรุนแรง<WBR>ผันผวนและ<WBR>มีอิทธิพลต่อโลก<WBR>อย่างมาก<WBR>จะเกิดจากปรากฏการณ์<WBR>อย่างอื่นที่มี<WBR>ความรุนแรง<WBR>เกรี้ยวกราด<WBR>มากกว่ามาก นั่นคือ แฟลร์ และ คอโรนัลแมสอีเจกชัน</DD></TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=10 width=760 bgColor=#ffffff border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=300><TABLE border=0><TBODY><TR width="100%"><TD align=middle><TABLE><TBODY><TR><TD vAlign=bottom></TD><TD vAlign=bottom>
</TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TR><TD>ภาพดวงอาทิตย์<WBR>ในช่วงสูงสุด<WBR>ที่ถ่ายในย่าน<WBR>รังสีเอกซ์ แสดงจุดสว่าง<WBR>ของแฟลร์<WBR>เป็นจำนวนมาก ส่วนพื้น<WBR>ที่<WBR>มืดของดวงอาทิตย์<WBR>คือบรรยากาศ<WBR>ดวงอาทิตย์<WBR>หรือ<WBR>โฟโตสเฟียร์ เนื่องจาก<WBR>โฟโตสเฟียร์<WBR>มีอุณหภูมิ<WBR>ต่ำเพียง 6,000 องศา<WBR>เซลเซียส จึงดูมืด<WBR>ในภาพ<WBR>รังสีเอกซ์</TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD vAlign=top width=460>แฟลร์
<DD>แฟลร์ (flare) เป็นการระเบิดอย่างรุนแรงที่เกิดขึ้นที่ชั้นโครโมสเฟียร์ (chromosphere) และมัก<WBR>เกิดขึ้นเหนือ<WBR>รอยต่อระหว่าง<WBR>ขั้วของสนาม<WBR>แม่เหล็ก เช่นบริเวณ<WBR>กึ่งกลางของจุดดำ<WBR>แบบคู่หรือท่าม<WBR>กลางกระจุก<WBR>ของจุดดำที่มี<WBR>สนามแม่เหล็ก<WBR>ปั่นป่วนซับซ้อน <DD>แฟลร์ให้พลังงานสูงมาก โดยเฉพาะคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าใน<WBR>ย่านรังสีเอกซ์<WBR>และย่าน<WBR>อัลตราไวโอเลต พลังงาน<WBR>ที่ได้จากแฟลร์<WBR>ลูกหนึ่งอาจมากเท่า ๆ กับระเบิด<WBR>ไฮโดรเจนขนาด 100 เมกกะตัน 1 ล้านลูกรวมกัน แต่แฟลร์กลับ<WBR>ให้ความสว่าง<WBR>ไม่มากนักในย่าน<WBR>แสงขาวหรือแสง<WBR>ที่ตามองเห็น ดังนั้นจึงไม่ใช่<WBR>เรื่องง่ายนักที่จะถ่ายภาพ<WBR>ของแฟลร์ด้วย<WBR>การถ่ายภาพธรรมดา แม้ว่าแฟลร์<WBR>จะถูกค้นพบ<WBR>เป็นครั้งแรก<WBR>จากภาพถ่ายแสงขาว<WBR>ก็ตาม <DD>แฟลร์จะปรากฏในรูปของการเกิดแสงสว่าง<WBR>ลุกจ้าขึ้นมา<WBR>อย่างฉับพลัน ปล่อยพลังงาน<WBR>ออกมาอย่างรุนแรง<WBR> มีอุณหภูมิสูงถึง<WBR>หลายล้านเคลวิน พร้อม ๆ กับสาด<WBR>อนุภาคประจุไฟฟ้า<WBR>ออกมากอย่างรุนแรง<WBR>และรวดเร็ว ช่วยเสริม<WBR>กำลังให้กับลมสุริยะ<WBR>ให้เร็วและรุนแรง<WBR>ยิ่งกว่าในภาวะ<WBR>ปกติมาก ลมสุริยะ<WBR>ที่เกิดขึ้น<WBR>จากแฟลร์มี<WBR>ความเร็วสูงมาก และ<WBR>สามารถเดินทางมา<WBR>ถึงโลกภายใน<WBR>เวลาไม่กี่สิบ<WBR>นาทีเท่านั้น <DD><DD>ในสนามแม่เหล็กแบบไบโพลาร์ซึ่งจะเกิดขึ้นกับคู่ของจุดดำ<WBR>เป็นบริเวณ<WBR>ที่มักเกิด<WBR>แฟลร์ขึ้นเสมอ และอาจ<WBR>เกิดขึ้นได้บ่อย ๆ แม้ว่า<WBR>ดวงอาทิตย์จะไม่ได้<WBR>อยู่ในช่วงสูงสุด<WBR>ก็ตาม เมื่อ<WBR>เกิดแฟลร์ขึ้นก็<WBR>จะพัดลมสุริยะ<WBR>ออกมา<WBR>อย่างรุนแรง แต่ถึง<WBR>กระนั้นก็ยัง<WBR>ถือว่ายังไม่มากนัก<WBR>หากเทียบกับแฟลร์<WBR>ที่เกิดขึ้นท่าม<WBR>กลางกระจุก<WBR>ของจุดดำ เนื่องจาก<WBR>กระจุกของจุดดำ<WBR>มีสนามแม่เหล็ก<WBR>ซับซ้อนและ<WBR>เข้มข้นมากกว่า เมื่อเกิดแฟลร์<WBR>ขึ้นในบริเวณนี้<WBR>จึงกลายเป็น<WBR>แหล่งกำเนิด<WBR>ลมสุริยะที่<WBR>รุนแรงมาก ทำให้เกิด<WBR>ปรากฏการณ์ที่บางคน<WBR>เรียกว่า พายุสุริยะ นั่นเอง</DD></TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=10 width=760 bgColor=#ffffff border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=300><TABLE border=0><TBODY><TR width="100%"><TD align=middle><TABLE><TBODY><TR><TD vAlign=bottom></TD><TD vAlign=bottom>
</TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TR><TD>ภาพพื้นผิวดวงอาทิตย์<WBR>แสดงการ<WBR>เกิดแฟลร์ เส้นสีน้ำเงิน<WBR>คือเส้นที่กึ่ง<WBR>กลางระหว่างขั้ว<WBR>แม่เหล็กสองขั้ว ขีดสั้น ๆ สีดำ<WBR>แสดงทิศทาง<WBR>และความเข้ม<WBR>ของสนาม<WBR>แม่เหล็ก ขีดยิ่ง<WBR>ยาวหมาย<WBR>ถึงสนาม<WBR>แม่เหล็ก<WBR>ยิ่งเข้มข้น บริเวณ<WBR>สีส้มเข้ม<WBR>คือบริเวณ<WBR>ที่เกิดจุดดำ และสีขาว<WBR>คือบริเวณ<WBR>ที่เกิดแฟลร์ จะเห็นว่า<WBR>แฟลร์มัก<WBR>เกิดขึ้นบริเวณ<WBR>กึ่งกลางระหว่าง<WBR>ขั้วแม่เหล็ก<WBR>สองขั้วและเกิดขึ้น<WBR>เมื่อสนาม<WBR>แม่เหล็ก<WBR>มีการตัดขาด<WBR>จากกันและ<WBR>เชื่อมต่ออีกครั้ง</TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD vAlign=top width=460>แฟลร์เกิดขึ้นได้อย่างไร
<DD>จนถึงปัจจุบัน นักดาราศาสตร์ยัง<WBR>ไม่ทราบกลไก<WBR>การเกิดแฟลร์<WBR>อย่างแน่ชัดนัก จากการ<WBR>สังเกตการณ์ พบว่า แฟลร์มัก<WBR>เกิดร่วมกับ<WBR>จุดดำ โดยจะ<WBR>อยู่กึ่งกลาง<WBR>ระหว่างจุดดำ<WBR>ที่มีขั้วแม่เหล็ก<WBR>ต่างกัน หรือเกิดขึ้น<WBR>ท่ามกลางกระจุก<WBR>จุดดำ<WBR>ที่มีสนาม<WBR>แม่เหล็ก<WBR>ปั่นป่วน ตามสมมติฐาน<WBR>ปัจจุบัน เชื่อว่า แฟลร์<WBR>น่าจะเกิด<WBR>จากการตัดขาด<WBR>และเชื่อมต่อ<WBR>อีกครั้ง<WBR>ของสนาม<WBR>แม่เหล็ก </DD></TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=10 width=760 bgColor=#ffffff border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=300><TABLE border=0><TBODY><TR width="100%"><TD align=middle><TABLE><TBODY><TR><TD vAlign=bottom></TD><TD vAlign=bottom>
</TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TR><TD>ภาพต่อเนื่องของการเกิดคอโรนัลแมสอีเจกชัน</TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD vAlign=top width=460>คอโรนัลแมสอีเจกชัน
<DD>ปรากฏการณ์บนดวงอาทิตย์ที่<WBR>เกี่ยวข้องกับ<WBR>ลมสุริยะอีกอย่าง<WBR>หนึ่ง<WBR>และมีความรุนแรง<WBR>ยิ่งกว่า<WBR>แฟลร์ก็คือ คอโรนัลแมสอีเจกชัน (Coronal Mass Ejection-CME) เป็นปรากฏการณ์<WBR>ที่มีการสาดมวลสาร<WBR>จำนวนมากออกมา<WBR>จากดวงอาทิตย์<WBR>ดูเหมือนฟอง<WBR>ขนาดมหึมาถูกเป่า<WBR>ออกมาจาก<WBR>ผิวดวงอาทิตย์ จนเกิด<WBR>เป็นโพรงคอโรนา<WBR>เกิดขึ้นในช่วง<WBR>เวลาหนึ่ง อิออน<WBR>จำนวนมหาศาล<WBR>จากดวงอาทิตย์<WBR>จะถูกเป่าออกสู่อวกาศ<WBR>ด้วยความเร็วสูง<WBR>นับพันกิโลเมตร<WBR>ต่อวินาที <DD>แม้ในปัจจุบัน<WBR>นักดาราศาสตร์ยัง<WBR>ไม่ทราบแน่ชัดว่า<WBR>คอโรนัลแมส<WBR>อีเจกชัน<WBR>มีสาเหตุ<WBR>มาจากอะไร แต่พบว่ามัน<WBR>มักเกิดขึ้นจาก<WBR>ปรากฏการณ์อื่น<WBR>ที่เกิดขึ้น<WBR>ระดับ<WBR>คอโรนาชั้นล่าง บ่อยครั้ง<WBR>ที่พบว่าเกิดขึ้น<WBR>ร่วมกับแฟลร์<WBR>หรือโพรมิเนนซ์ (prominence) แต่บางครั้ง<WBR>ก็อาจเกิดขึ้น<WBR>โดยไม่มี<WBR>ปรากฏการณ์<WBR>สองอย่างนี้เลย นอกจากนี้<WBR>ความถี่ใน<WBR>การเกิดยังแปรผัน<WBR>ตามวัฏจักร<WBR>ของดวง<WBR>อาทิตย์อีกด้วย ในช่วงใกล้เคียง<WBR>กับช่วงต่ำสุด<WBR>ของดวงอาทิตย์<WBR>อาจเกิด<WBR>คอโรนัล<WBR>แมสอีเจกชัน<WBR>ประมาณ<WBR>สัปดาห์ละครั้ง หากเป็นช่วง<WBR>ใกล้กับจุด<WBR>สูงสุด<WBR>ของดวงอาทิตย์ ก็อาจเกิดขึ้น<WBR>บ่อยถึงประมาณ<WBR>สองหรือสามครั้ง<WBR>ต่อวัน </DD></TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=10 width=760 bgColor=#ffffff border=0><TBODY><TR><TD width=300></TD><TD width=460><< ตอนที่ 1 | | ตอนที่ 3 >></TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=10 width=760 bgColor=#ffffff border=0><TBODY><TR><TD width=300 bgColor=white><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=10 width=760 bgColor=#ffffff border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top width=460>ผลกระทบของวัฏจักรดวงอาทิตย์ที่มีต่อโลก
<DD>แม้ในชีวิตประจำวัน เราอาจรู้สึกว่าดวงอาทิตย์<WBR>ไม่ว่าจะวันไหนปีไหน<WBR>ก็ร้อนเหมือน ๆ กันทุกวัน จนดูเหมือนกับว่า<WBR>ดวงอาทิตย์ในช่วง<WBR>สูงสุดกับช่วงต่ำสุด<WBR>ปล่อยพลังงาน<WBR>ออกมาไม่ต่างกัน แต่ในความ<WBR>เป็นจริงแล้ว วัฏจักร<WBR>ของดวงอาทิตย์ส่งผล<WBR>ให้<WBR>พลังงานจากดวงอาทิตย์<WBR>ในช่วงสูงสุด<WBR>และช่วงต่ำสุด<WBR>แตกต่างกันมาก โดยเฉพาะ<WBR>ในย่านรังสีเอกซ์ ซึ่งต่างกัน<WBR>มากนับร้อยเท่า เหตุที่เรามัก<WBR>ไม่รู้สึกถึง<WBR>ความแตกต่าง<WBR>เนื่องจากแสง<WBR>และความร้อน<WBR>จากดวงอาทิตย์<WBR>ที่เราสัมผัสได้<WBR>นั้นเป็นเพียง<WBR>ส่วนแคบ ๆ ในช่วงพลังงาน<WBR>ทั้งหมดของ<WBR>ดวงอาทิตย์เท่านั้น พลังงานบาง<WBR>ช่วงความถี่เรา<WBR>ไม่สามารถสัมผัส<WBR>ได้และส่วนใหญ่<WBR>ก็ถูกดูดกลืน<WBR>ไปโดย<WBR>บรรยากาศโลก <DD>ผลกระทบที่เห็นเด่นชัดที่สุดคือ การเกิด<WBR>ปรากฏการณ์แสงเหนือ-แสงใต้ (aurora) ซึ่งมีลมสุริยะ<WBR>เป็นปัจจัยหลัก<WBR>โดยตรง ในช่วงใด<WBR>ที่เกิดจุดดำ<WBR>บนดวงอาทิตย์มาก ก็จะเกิดแสงเหนือ-แสงใต้<WBR>บนโลกมาก หากช่วงใด<WBR>เกิดจุดดำบน<WBR>ดวงอาทิตย์น้อย ก็จะเกิด<WBR>แสงเหนือ-แสงใต้<WBR>บนโลกน้อย<WBR>ตามไปด้วย ในช่วงปี ค.ศ. 1645 ถึง 1715 ซึ่งเป็นช่วงต่ำ<WBR>สุดมอนเดอร์นั้น<WBR>แทบไม่มีรายงาน<WBR>การพบเห็น<WBR>แสงเหนือ-แสงใต้เลย </DD></TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=10 width=760 bgColor=#ffffff border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=300><TABLE border=0><TBODY><TR width="100%"><TD align=middle><TABLE><TBODY><TR><TD vAlign=bottom></TD><TD vAlign=bottom>
</TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TR><TD>วงแหวนแวนอัลเลน</TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD vAlign=top width=460><DD>นอกจาก<WBR>ปรากฏการณ์<WBR>แสงเหนือ-แสงใต้<WBR>แล้ว ยังพบว่าปรากฏการณ์<WBR>บนดวงอาทิตย์ยัง<WBR>มีความสัมพันธ์<WBR>กับอุณหภูมิ<WBR>และภูมิอากาศของโลกด้วย ดังตัวอย่างเช่น อุณหภูมิของ<WBR>บรรยากาศในชั้น<WBR>สตราโตสเฟียร์<WBR>พบว่ามีการเปลี่ยนแปลง<WBR>เป็นวัฏจักรที่มีคาบยาว 11 ปีเช่นเดียวกับ<WBR>วัฏจักรของ<WBR>ดวงอาทิตย์เช่นเดียวกัน <DD>ส่วนบรรยากาศชั้นล่างซึ่งเป็นชั้นที่เราสัมผัสอยู่นั้น การเปลี่ยนแปลง<WBR>บนโลกที่จะ<WBR>เกิดขึ้นตามวัฏจักร 11 ปีของ<WBR>ดวงอาทิตย์<WBR>อาจไม่เด่นชัดนัก สาเหตุอาจ<WBR>เป็นเพราะระบบ<WBR>บรรยากาศชั้นล่าง<WBR>มีความซับซ้อน<WBR>และมีตัวแปร<WBR>ของระบบมากกว่า<WBR>บรรยากาศชั้นบน นอกจากนี้<WBR>การที่ความเปลี่ยนแปลง<WBR>ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นใน<WBR>บรรยากาศ<WBR>ชั้นบนที่จะแพร่<WBR>กระจายลงมาถึง<WBR>บรรยากาศชั้นล่าง<WBR>ต้องใช้เวลานานหลายปี ความผันแปร<WBR>ที่มีคาบเพียง 11 ปีจึงมีการ<WBR>หักล้างลบหาย<WBR>ไปมากจนยาก<WBR>จะสังเกตได้ ดังนั้นความ<WBR>เปลี่ยนแปลงใน<WBR>บรรยากาศชั้นล่าง<WBR>ของโลกจึงมักขึ้น<WBR>กับความเปลี่ยนแปลง<WBR>ของดวงอาทิตย์<WBR>ที่มีคาบยาว<WBR>กว่านั้น ดังเช่นใน<WBR>ช่วงต่ำสุดมอนเดอร์ อากาศใน<WBR>ยุคนั้นจะหนาว<WBR>เย็นผิดปรกติ เป็นที่<WBR>รู้จักกันในชื่อ "ยุคน้ำแข็งน้อย" (Little Ice Age) ภูเขาน้ำแข็งได้<WBR>แผ่กระจายออก<WBR>จากขั้วโลกเป็น<WBR>บริเวณกว้างที่สุด<WBR>นับจากยุคน้ำแข็ง<WBR>ครั้งล่าสุด แม่น้ำเทมส์<WBR>ในประเทศอังกฤษ<WBR>ถึงกับจับตัวเป็น<WBR>น้ำแข็งในฤดูหนาว<WBR>เลยทีเดียว นอกจาก<WBR>นี้ยังมีหลักฐาน<WBR>ว่าในช่วง<WBR>ศตวรรษที่ 12 เป็นช่วง<WBR>ที่มีปรากฏการณ์<WBR>บนดวงอาทิตย์<WBR>รุนแรงต่อเนื่องกัน<WBR>เป็นเวลานาน ซึ่งสอดคล้อง<WBR>กับช่วงเวลาที่ดินแดน<WBR>ตอนเหนือของโลก<WBR>มีอุณหภูมิอบอุ่น<WBR>เป็นพิเศษจนมี<WBR>คนไปตั้งรกรากอาศัย<WBR>อยู่บนแผ่น<WBR>ดินกรีนแลนด์ได้ แม้แต่<WBR>ทุกวันนี้ยัง<WBR>มีอุณหภูมิหนาวกว่า<WBR>ในยุคนั้นเสียด้วยซ้ำ <DD>ในช่วงจุดสูงสุดของดวงอาทิตย์ นอกจากลมสุริยะ<WBR>จะมีความเข้มข้น<WBR>และรุนแรงมาก<WBR>กว่าในช่วงอื่น ๆ แล้ว ยังมี<WBR>ความผันผวน<WBR>มากกว่าในช่วงอื่น ๆ อีกด้วย การเปลี่ยนแปลง<WBR>ความเข้ม<WBR>ของประจุไฟฟ้า<WBR>บริเวณรอบ ๆ โลกทำ<WBR>ให้สนามแม่<WBR>เหล็ก<WBR>โลกมี<WBR>การเปลี่ยน<WBR>แปลงตาม การเปลี่ยนแปลง<WBR>ความเข้ม<WBR>สนามแม่เหล็กนี้<WBR>อาจทำให้เกิด<WBR>การเหนี่ยวนำ<WBR>ไฟฟ้าขึ้นบน<WBR>วัตถุใด ๆ บนผิวโลก<WBR>ที่เป็นตัวนำไฟฟ้า<WBR>และมีความยาวมาก ๆ เช่น ท่อส่งน้ำมัน หรือสาย<WBR>ไฟฟ้าแรงสูง เป็นต้น ซึ่งกรณี<WBR>หลังอาจทำให้หม้อ<WBR>แปลง<WBR>ไฟฟ้าระเบิด<WBR>และระบบส่ง<WBR>จ่ายไฟฟ้า<WBR>ขัดข้องได้ เหตุการณ์ไฟดับ<WBR>ครั้งใหญ่<WBR>หลายครั้ง<WBR>ในอดีต ดังเช่น<WBR>ในปี 2532 ที่จังหวัด<WBR>ควิเบก<WBR>ของแคนาดา และที่<WBR>เมืองหนึ่ง<WBR>ในรัฐนิวเจอร์ซี<WBR>ของสหรัฐอเมริกา ก็คาดว่า<WBR>เป็นผลจากพายุ<WBR>สุริยะเหมือนกัน แต่อย่างไร<WBR>ก็ตาม เหตุการณ์นี้<WBR>มักจะเกิดกับพื้นที่ ๆ ใกล้กับ<WBR>ขั้วโลก สำหรับประเทศ<WBR>ไทย<WBR>ซึ่งตั้งอยู่แถบ<WBR>ศูนย์สูตร จะมีโอกาส<WBR>เกิดไฟฟ้าดับ<WBR>จากสาเหตุนี้<WBR>น้อยมาก ระบบอื่น<WBR>ที่อาจมีปัญหา<WBR>ก็คือ ระบบการสื่อสาร<WBR>ที่ใช้การสะท้อน<WBR>ของสัญญาณ<WBR>กับบรรยากาศ<WBR>ชั้นไอโอโนสเฟียร์ เพราะ<WBR>บรรยากาศชั้น<WBR>ไอโอโนสเฟียร์<WBR>นี้อาจเกิดการปั่นป่วน<WBR>เมื่อถูกโจมตี<WBR>จากการระเบิด<WBR>บนดวงอาทิตย์ <DD>แม้สิ่งที่ดวงอาทิตย์<WBR>จะสาดออกมากระหน่ำโลก<WBR>จะเป็นอนุภาคประจุไฟฟ้า แต่ตัวอนุภาค<WBR>เหล่านั้นแทบจะ<WBR>ไม่มีผลทางตรง<WBR>ต่อมนุษย์เลย เพราะโลก<WBR>ของเรามีสนาม<WBR>แม่เหล็กที่เข้มข้น<WBR>เป็นเกราะคุ้มกันอย่างดี ไม่ให้อนุภาค<WBR>พลังงานสูงเหล่านั้น<WBR>ทะลุเข้ามาถึงบรรยากาศ<WBR>โลกหรือทำอันตราย<WBR>ต่อสิ่งมีชีวิตบนพื้นโลกได้ เมื่ออนุภาคประจุไฟฟ้า<WBR>จากลมสุริยะ<WBR>เข้าใกล้โลก จะเปลี่ยนทิศทาง<WBR>และวิ่งตีเกลียวไป<WBR>ตามเส้นแรงแม่เหล็ก<WBR>โลกจนดูเหมือน<WBR>กับอนุภาคเหล่านั้น<WBR>ถูกกักเอาไว้ในรูป<WBR>ของวงแหวน<WBR>ขนาดใหญ่รอบโลก เรียกว่า วงแหวนแวนอัลเลน (Van Allen Belt) มีอนุภาคเพียงส่วนเล็ก<WBR>น้อยเท่านั้น<WBR>ที่เล็ดลอด<WBR>ตามแนวที่เส้นแรง<WBR>แม่เหล็กตั้ง<WBR>ฉากกับพื้นโลก<WBR>เข้ามาถึงชั้น<WBR>บรรยากาศได้ แต่ถึงกระนั้น<WBR>ก็ยังไม่สามารถ<WBR>ทะลุถึงพื้นโลกได้อยู่ดี เพราะเมื่อ<WBR>อนุภาคเหล่านี้<WBR>กระทบถูกบรรยากาศ<WBR>โลกก็ถูกดูดกลืน<WBR>พลังงานไป ซึ่งเป็นสาเหตุ<WBR>ให้เกิดการเรือง<WBR>แสง<WBR>ขึ้นเป็นปรากฏการณ์<WBR>แสงเหนือ-แสงใต้<WBR>นั่นเอง </DD></TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=10 width=760 bgColor=#ffffff border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=300><TABLE border=0><TBODY><TR width="100%"><TD align=middle><TABLE><TBODY><TR><TD vAlign=bottom></TD><TD vAlign=bottom></TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TR><TD></TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD vAlign=top width=460><DD>สิ่งที่ดูจะเสี่ยงต่ออันตราย<WBR>ที่จะเกิดจาก<WBR>พายุสุริยะที่สุดคือ ดาวเทียมทั้งหลาย<WBR>ที่ลอยอยู่เหนือ<WBR>ชั้นบรรยากาศโลก เพราะพายุสุริยะ<WBR>ที่พัดมากระทบ<WBR>กับดาวเทียม<WBR>จะทำให้เกิด<WBR>ประจุไฟฟ้า<WBR>ขึ้นบนผิวของดาวเทียม ประจุไฟฟ้า<WBR>นี้ทำให้เกิด<WBR>สัญญาณไฟฟ้า<WBR>ไปรบกวน<WBR>กับอุปกรณ์<WBR>อิเล็กทรอนิกส์<WBR>ภายใน และอาจทำ<WBR>ให้ดาวเทียม<WBR>ทำงานผิดพลาดได้ เมื่อครั้งที่เกิด<WBR>พายุสุริยะในราวปี 2532 ก็เคยเกิด<WBR>เหตุการณ์ในลักษณะ<WBR>นี้มาแล้ว โดยดาว<WBR>เทียมดวงหนึ่ง<WBR>ได้เกิดจุด<WBR>ทรัสเตอร์ (จรวด<WBR>ขนาดเล็กข้าง ๆ ดาวเทียม<WBR>ที่ใช้สำหรับการ<WBR>ปรับทิศทาง<WBR>และตำแหน่ง<WBR>ของดาวเทียม) ขึ้นมาเอง ทำให้ดาวเทียม<WBR>เคลื่อนที่<WBR>ไปจาก<WBR>ตำแหน่งปกติ นอกจากนี้<WBR>ดาวเทียม<WBR>อีกหลายดวง<WBR>ก็ได้ขาด<WBR>การติดต่อไป ผู้ต้อง<WBR>สงสัยว่า<WBR>เป็นต้นเหตุใน<WBR>ครั้งนั้น<WBR>ก็คือพายุ<WBR>สุริยะนั่นเอง </DD></TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=10 width=760 bgColor=#ffffff border=0><TBODY><TR><TD width=300></TD><TD width=460><< ตอนที่ 2 | | ตอนที่ 4 >></TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=10 width=760 bgColor=#ffffff border=0><TBODY><TR><TD width=300 bgColor=white><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=10 width=760 bgColor=#ffffff border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top width=460>การพยากรณ์พายุสุริยะ
<DD>ดังจะเห็นได้ชัดแล้วว่า ลมสุริยะ<WBR>หรือพายุสุริยะ<WBR>มีฤทธิ์เดช<WBR>และอิทธิพล<WBR>ต่อโลกมาก<WBR>พอสมควร และสามารถ<WBR>สร้างความเสียหาย<WBR>แก่โลกได้ระดับหนึ่ง ดังนั้น<WBR>จึงต้องมีการเฝ้าติด<WBR>ตามดวงอาทิตย์<WBR>เพื่อพยากรณ์พายุ<WBR>ที่อาจเกิด<WBR>ขึ้นล่วงหน้า เพื่อจะได้เตรียมการ<WBR>รับมือกับปัญหา<WBR>ที่อาจเกิดจากลมสุริยะ<WBR>ได้อย่างทันท่วงที <DD>เราสามารถคาดการณ์สภาพลมฟ้าอากาศ<WBR>บนโลกและบรรยากาศชั้นล่างได้ จากการพยากรณ์<WBR>ของกรมอุตุนิยมวิทยา ถึงแม้ว่าวิทยาการ<WBR>ด้านอุตุนิยมวิทยา<WBR>มีการพัฒนามาเป็น<WBR>เวลานานและมี<WBR>ความก้าวหน้าความ<WBR>แม่นยำสูงมาก แต่สำหรับ<WBR>การพยากรณ์ลมฟ้าอากาศ<WBR>ในชั้นบรรยากาศเบื้องสูง<WBR>หรือสภาพต่าง ๆ เหนือชั้น<WBR>บรรยากาศของโลกไปนั้น ยังเป็นศาสตร์<WBR>ที่เพิ่งเริ่มต้น<WBR>ตั้งไข่เท่านั้น ประสิทธิภาพ<WBR>ในการพยากรณ์ขึ้น<WBR>อยู่กับความเข้าใจ<WBR>กลไกทั้งหมดของ<WBR>ระบบบรรยากาศเบื้องสูงและสภาพ<WBR>เหนือบรรยากาศโลก<WBR>ขึ้นไปรวมทั้ง<WBR>ปรากฏการณ์<WBR>บนดวงอาทิตย์ซึ่งยังมี<WBR>ข้อจำกัดอยู่มาก การพยากรณ์<WBR>บรรยากาศชั้นสูง<WBR>ในปัจจุบันนี้<WBR>จึงเป็นการสังเกตการณ์<WBR>จากการเกิดแฟลร์<WBR>และโพรงคอโรนา<WBR>เป็นสำคัญ </DD></TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=10 width=760 bgColor=#ffffff border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=300><TABLE border=0><TBODY><TR width="100%"><TD align=middle><TABLE><TBODY><TR><TD vAlign=bottom></TD><TD vAlign=bottom></TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TR><TD>สัญญาณอันตราย เมื่อใดที่<WBR>พบแฟลร์มี<WBR>การบิดตัว<WBR>เป็นรูป<WBR>ตัวเอส (S) อย่างนี้<WBR>บนดวงอาทิตย์ มัก<WBR>จะตามมา<WBR>ด้วยการปะทุ<WBR>อย่างรุนแรง<WBR>ของลมสุริยะ</TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD vAlign=top width=460><DD>ตามที่เราได้ทราบแล้วว่า การประทุ<WBR>ของลมสุริยะจะเกิด<WBR>จากแฟลร์ขนาดใหญ่<WBR>ที่มักเกิดบริเวณ<WBR>กระจุกของจุดดำ<WBR>หรืออาจเกิดจาก<WBR>คอโรนัลแมสอีเจกชัน ดังนั้น<WBR>การจะรู้ว่าจะมี<WBR>ลมสุริยะรุนแรงพัด<WBR>มาถึงโลก<WBR>อาจพอคาดการณ์<WBR>ได้จากแฟลร์<WBR>ขนาดใหญ่หรือ<WBR>กระจุกจุดดำ หาก<WBR>กระจุกจุดดำมี<WBR>ตำแหน่งที่จะพาด<WBR>ผ่านหน้าดวงอาทิตย์ และหาก<WBR>มีการปะทุของแฟลร์<WBR>ในช่วงที่หันมา<WBR>ทางโลกพอดี ก็มีโอกาส<WBR>มากที่โลกจะถูก<WBR>กระหน่ำโดย<WBR>พายุสุริยะ <DD>รูปร่างของแฟลร์บริเวณกระจุกจุดดำ<WBR>ก็อาจถือเป็นสิ่งบอกเหตุ<WBR>ได้ว่าจะทำให้เกิด<WBR>การระเบิดใหญ่ นักดาราศาสตร์<WBR>ได้สังเกตพบว่า เมื่อใด<WBR>ที่แฟลร์มีการ<WBR>บิดตัวอย่างรุนแรง อาจ<WBR>เป็นจุดเริ่มต้น<WBR>ของการตัดขาด<WBR>และลัดวงจรของ<WBR>สนามแม่เหล็ก ซึ่งเป็น<WBR>จุดกำเนิดของ<WBR>การระเบิด<WBR>อย่างรุนแรงได้ </DD></TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=10 width=760 bgColor=#ffffff border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=300><TABLE border=0><TBODY><TR width="100%"><TD align=middle><TABLE><TBODY><TR><TD vAlign=bottom></TD><TD vAlign=bottom>
</TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TR><TD><DD>ดาวเทียมโซโฮอาศัยการสังเกต<WBR>การเรืองแสงอัลตรา<WBR>ไวโอเลต<WBR>ที่ผิวของฟอง<WBR>ไฮโดรเจน<WBR>ที่ล้อมรอบ<WBR>ระบบสุริยะ<WBR>ชั้นใน ทำให้นักดาราศาสตร์<WBR>สามารถมองเห็น<WBR>บริเวณปั่นป่วน<WBR>ของดวงอาทิตย์ได้<WBR>ตั้งแต่ตอนที่<WBR>ยังอยู่ที่ด้าน<WBR>ไกลของ<WBR>ดวงอาทิตย์ <DD>ภาพชุดนี้เป็นภาพถ่ายในย่าน<WBR>รังสีอัลตราไวโอเลต<WBR>ที่ถ่ายโดยกล้อง SWAN ของโซโฮ ครอบคลุม<WBR>พื้นที่ทั่วทั้งท้องฟ้า วงกลมสีฟ้า<WBR>ทางขวาคือภาพ<WBR>ท้องฟ้าซีกฟ้า<WBR>ที่ตรงกับด้านหลัง<WBR>ของดวงอาทิตย์ วงกลมสีฟ้า<WBR>ทางซ้ายคือภาพท้อง<WBR>ฟ้า<WBR>ซีกที่ตรง<WBR>กับด้านหลังโลก ส่วนวงกลม<WBR>สีเขียวทางขวา เป็นภาพ<WBR>ดวงอาทิตย์ด้านใกล้โลก<WBR>ในขณะนั้น<WBR>ที่ถ่ายโดยกล้อง EIT (Extreme ultraviolet Imaging Telescope)</DD></TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD vAlign=top width=460><DD>ขณะนี้มีดาวเทียมหลายดวงที่มีหน้า<WBR>ที่คอยเฝ้าสังเกตการณ์<WBR>ดวงอาทิตย์<WBR>ตลอดเวลา ทำให้<WBR>สามารถแจ้งเหตุ<WBR>การกระโชก<WBR>ของลมสุริยะที่เกิด<WBR>จากคอโรนัล<WBR>แมสอีเจกชัน<WBR>ล่วงหน้าได้<WBR>ประมาณ 1 หรือ 2 วันก่อน<WBR>ที่จะพัด<WBR>มาถึงโลก ส่วนลมสุริยะ<WBR>ที่แรงและเร็วที่สุด<WBR>จะสามารถเตือนล่วงหน้า<WBR>ได้ประมาณครึ่งชั่วโมง เวลาเท่านี้<WBR>ถือว่าเพียงพอ<WBR>สำหรับโรงไฟฟ้า<WBR>ที่จะเตรียมการ<WBR>ระบบจ่ายไฟ<WBR>หรือระบบป้อง<WBR>กัน<WBR>ฉุกเฉิน เพื่อรับมือ<WBR>กับความแปรปรวน<WBR>ที่จะเกิดขึ้น<WBR>จากสนาม<WBR>แม่เหล็ก และยัง<WBR>นานพอที่จะเตือน<WBR>นักดาราศาสตร์<WBR>และประชาชน<WBR>ให้ตื่นขึ้น<WBR>มาดูแสงเหนือ-แสงใต้<WBR>ได้ <DD>ระยะเวลาล่วงหน้าของการพยากรณ์นี้ถูกจำกัดจากหลายปัจจัย เช่นโดย<WBR>ธรรมชาติ<WBR>ที่มีอายุสั้น<WBR>ของแฟลร์ และโดย<WBR>ความที่ยังไม่เข้าใจ<WBR>อย่างถ่องแท้<WBR>ถึงกลไกการเกิด<WBR>แฟลร์<WBR>และ<WBR>คอโรนัล<WBR>แมสอีเจกชัน ตำแหน่ง<WBR>การสังเกตการณ์<WBR>ยังเป็นอุปสรรค<WBR>สำคัญในการ<WBR>พยากรณ์<WBR>อีกด้วย การ<WBR>สังเกตการณ์จากโลก<WBR>และดาวเทียมบริเวณโลก<WBR>จะมองเห็นผิว<WBR>ของดวงอาทิตย์ได้<WBR>เฉพาะด้านที่<WBR>หันเข้าสู่โลกเท่านั้น แต่<WBR>ไม่สามารถมองเห็น<WBR>สิ่งที่เกิดขึ้นบน<WBR>ผิวดวงอาทิตย์ด้าน<WBR>ตรงข้ามได้เลย หาก<WBR>สามารถมอง<WBR>เห็นสิ่งที่เกิดขึ้น<WBR>บนดวงอาทิตย์<WBR>ฝั่งตรงข้ามได้แล้ว นัก<WBR>ดาราศาสตร์<WBR>คงจะสามารถ<WBR>พยากรณ์การเกิด<WBR>พายุสุริยะล่วง<WBR>หน้าได้นานขึ้น <DD>ความหวังของนักดาราศาสตร์เริ่มสดใสขึ้นเมื่อดาวเทียมโซโฮ (SOHO) สามารถมอง<WBR>เห็นสภาพของดวงอาทิตย์<WBR>ฝั่งตรงข้ามได้ ทั้ง ๆ ที่ตัว<WBR>ดาวเทียมเองอยู่ใน<WBR>ตำแหน่งด้านหน้า<WBR>ของดวงอาทิตย์<WBR>เช่นเดียวกับโลก <DD>เคล็ดลับของโซโฮอาศัยหลักการว่า ลมสุริยะ<WBR>ที่พัดออกจากดวงอาทิตย์<WBR>จะพัดพาอะตอมไฮโดรเจน<WBR>ที่กระจัดกระจายอยู่บริเวณสุริยะชั้น<WBR>ในไปรวมตัวเป็น<WBR>ชั้นของไฮโดรเจน<WBR>โดยรอบ จนดูเหมือนกับ<WBR>ว่ามีฟองก๊าซไฮโดรเจน<WBR>ล้อมรอบระบบสุริยะ<WBR>ชั้นใน ฟองไฮโดรเจน<WBR>นี้มีความหนาแน่น<WBR>ประมาณ 100 อะตอม<WBR>ต่อลิตร ถึงแม้ว่า<WBR>จะเบาบางมาก แต่ก็ยัง<WBR>หนาแน่นพอที่<WBR>จะเรืองแสงอัลตราไวโอเลต<WBR>ได้ เมื่อรังสี<WBR>ที่ปล่อยจากบริเวณ<WBR>กลุ่มจุดดำหรือแฟลร์<WBR>บนดวงอาทิตย์<WBR>กระทบถูกผนังของฟองนี้ จะกระตุ้น<WBR>ให้มีการเรืองแสง<WBR>อัลตราไวโอเลตบริเวณ<WBR>ที่ตรงกับด้าน<WBR>ที่เกิดแฟลร์<WBR>บนดวงอาทิตย์<WBR>ซึ่งตรวจจับได้<WBR>โดยกล้องสวอน (SWAN-Solar Wind Anisotropies) ของโซโฮ ดังนั้นจึงเป็นไปได้<WBR>ที่เราสามารถรับรู้<WBR>ถึงการปะทุของ<WBR>แฟลร์บนดวง<WBR>อาทิตย์ที่อยู่<WBR>ด้านตรงข้าม<WBR>กับโลกได้ โดยการ<WBR>สังเกตการ<WBR>เรืองแสง<WBR>ของฟองไฮโดรเจน<WBR>นี้ ภาพของจุดเรืองแสง<WBR>ที่ปรากฏบน "จอ" นี้จะ<WBR>เคลื่อนที่ไป<WBR>ตามการหมุน<WBR>รอบตัวเองของ<WBR>ดวงอาทิตย์ </DD></TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=10 width=760 bgColor=#ffffff border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=300><TABLE border=0><TBODY><TR width="100%"><TD align=middle><TABLE><TBODY><TR><TD vAlign=bottom></TD><TD vAlign=bottom>
</TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TR><TD>ภาพชุดถ่ายเมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม 2539 ในภาพนี้ วงกลมซ้าย<WBR>ซึ่งแสดงซีกท้อง<WBR>ฟ้า<WBR>ไกลของดวง<WBR>อาทิตย์<WBR>มีการเรือง<WBR>แสง<WBR>อัลตราไวโอเลต แสดงว่า<WBR>มีรังสีอัลตราไวโอเลต<WBR>เข้มข้นถูกสาด<WBR>ออกจากแฟลร์<WBR>ขนาดใหญ่<WBR>ที่อยู่ด้านไกล<WBR>ของดวงอาทิตย์ ในขณะเดียวกัน<WBR>ที่ภาพถ่าย<WBR>ดวงอาทิตย์ (สีเขียว) ยังไม่เห็น<WBR>แฟลร์ใหญ่นี้เลย</TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD vAlign=top width=460></TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=10 width=760 bgColor=#ffffff border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=300><TABLE border=0><TBODY><TR width="100%"><TD align=middle><TABLE><TBODY><TR><TD vAlign=bottom></TD><TD vAlign=bottom>
</TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TR><TD>ภาพถ่ายท้องฟ้า<WBR>และดวงอาทิตย์<WBR>ที่ถ่ายเมื่อ 10 วันหลังจากนั้น (ภาพชุดล่าง) บริเวณเรืองแสง<WBR>ของท้องฟ้าที่เคย<WBR>ปรากฏทางด้านไกล<WBR>ของดวงอาทิตย์<WBR>ได้เคลื่อนมา<WBR>อยู่ที่ด้านใกล้<WBR>ของดวงอาทิตย์<WBR>แล้ว ในขณะ<WBR>เดียวกันภาพถ่าย<WBR>โดยตรงของดวงอาทิตย์ (สีเขียว) ก็ปรากฏแฟลร์<WBR>ขนาดใหญ่ที่เป็นต้นกำเนิด<WBR>ของการเรืองแสง<WBR>นั้นได้หมุน<WBR>มาปรากฏอยู่<WBR>ที่ด้านหน้าของ<WBR>ดวงอาทิตย์พอดี</TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD vAlign=top width=460></TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=10 width=760 bgColor=#ffffff border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=300><TABLE border=0><TBODY><TR width="100%"><TD align=middle><TABLE><TBODY><TR><TD vAlign=bottom></TD><TD vAlign=bottom>
</TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TR><TD>ภาพของฉากหลังของฟองไฮโดรเจน ถ่ายเมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2540 ซึ่งเป็นช่วงที่<WBR>ดาวหางเฮล-บอพพ์<WBR>เข้ามาในระบบสุริยะ<WBR>ชั้นใน ชั้นไฮโดรเจน<WBR>ขนาดใหญ่<WBR>ดาวหางได้บัง<WBR>รังสีอัลตราไวโอเลต<WBR>จากดวงอาทิตย์<WBR>เอาไว้ จึงปรากฏเงา<WBR>ของดาวหางเฮล-บอพพ์<WBR>ในภาพนี้ด้วย (ขีดยาวสีดำด้านบน) </TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD vAlign=top width=460></TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=10 width=760 bgColor=#ffffff border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=300><TABLE border=0><TBODY><TR width="100%"><TD align=middle><TABLE><TBODY><TR><TD vAlign=bottom></TD><TD vAlign=bottom></TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TR><TD></TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD vAlign=top width=460>คาดหมายความเสียหายที่จะเกิดในรอบนี้
<DD>ในขณะนี้ (ต้นปี 2543) จำนวนจุดดำบนดวงอาทิตย์<WBR>กำลังเพิ่มจำนวนขึ้น<WBR>ตามลำดับ<WBR>ตามวัฎจักร<WBR>ของดวงอาทิตย์ ช่วงสูงสุด<WBR>ของวัฏจักรสุริยะ<WBR>จะกินระยะเวลา<WBR>ยาวนานพอสมควร โดยอาจจะ<WBR>นานหลายเดือน<WBR>หรืออาจเกิน 1 ปี สำหรับช่วงสูงสุด<WBR>ในครั้งนี้คาดว่า<WBR>จะเกิดขึ้นใน<WBR>ช่วงตั้งแต่กลางปี พ.ศ. 2543 จนถึง<WBR>กลางปี 2544 <DD>คาดว่าการขึ้นถึงจุดสูงสุดของวัฎจักรรอบ<WBR>นี้น่าจะเป็นครั้งที่<WBR>สร้างความเสียหาย<WBR>มากที่สุด แต่สาเหตุ<WBR>ไม่ใช่เพราะว่า<WBR>ความปั่นป่วน<WBR>ของดวงอาทิตย์<WBR>จะมีความรุนแรง<WBR>มากกว่า<WBR>รอบอื่น หากเป็นเพราะ<WBR>ในปัจจุบันมี<WBR>เทคโนโลยีใหม่ ๆ มากมาย<WBR>ที่อ่อนไหวต่อ<WBR>ลมสุริยะมากกว่าเมื่อ 11 ปีที่แล้วมาก อาทิเช่น โทรศัพท์มือถือ วิทยุติดตามตัว ระบบนำร่อง<WBR>ด้วยจีพีเอส เป็นต้น เทคโนโลยี<WBR>เหล่านี้ ล้วนต้องพึ่งพา<WBR>ระบบดาวเทียม<WBR>สื่อสาร ซึ่งลอยตัว<WBR>อยู่เหนือชั้น<WBR>บรรยากาศโลก<WBR>นับหมื่น<WBR>กิโลเมตร หากดาวเทียม<WBR>สื่อสารที่ใช้งานอยู่<WBR>เกิดเสียหาย<WBR>หรือขัดข้อง<WBR>จากการถูก<WBR>โจมตีของ<WBR>ลมสุริยะ ย่อมส่งผล<WBR>ให้เกิดความเสียหาย<WBR>อย่างมากทั้งทาง<WBR>เศรษฐกิจและ<WBR>ในด้านความ<WBR>ปลอดภัย ดังนั้นผู้<WBR>ที่ใช้เทคโนโลยี<WBR>ดาวเทียมจึง<WBR>จำเป็นต้อง<WBR>มีแผนสำรอง<WBR>เอาไว้ในช่วงเวลาดังกล่าว<WBR>เผื่อระบบดาวเทียม<WBR>เกิดขัดข้องจริง ๆ นักเดินเรือ<WBR>อาจจะต้องพกแผน<WBR>ที่<WBR>กับเข็มทิศ<WBR>ออกเดินเรือด้วย เพราะวิธี<WBR>บอกตำแหน่ง<WBR>แบบโบราณ<WBR>อย่างนี้<WBR>อาจจำเป็นต้อง<WBR>นำมาใช้ หากระบบ<WBR>จีพีเอสขัด<WBR>ข้องในระหว่าง<WBR>เดินเรือ เป็นต้น <DD>จะเห็นว่า ผลเสียที่เกิดขึ้นนั้น จะเกิดขึ้นกับดาวเทียม<WBR>เป็นส่วนใหญ่ซึ่งอยู่เหนือ<WBR>ชั้นบรรยากาศโลก แต่จะไม่มีผลร้าย<WBR>โดยตรงกับร่างกาย<WBR>หรือชีวิตของมนุษย์<WBR>ที่อยู่บนพื้นโลก เพราะ<WBR>อนุภาคอันตราย<WBR>จากดวงอาทิตย์<WBR>ไม่สามารถทะลุ<WBR>ทะลวงเข้ามาถึง<WBR>พื้นโลกได้ เนื่องจากโลก<WBR>ของเรามีเกราะ<WBR>กำบังหลายชั้น ทั้งวงแหวน<WBR>แวนอัลเลน<WBR>และบรรยากาศ<WBR>ของโลก แม้แต่<WBR>นักบินอวกาศ<WBR>ที่ปฏิบัติหน้าที่<WBR>อยู่บนอวกาศ ก็ยัง<WBR>คงปลอดภัยจาก<WBR>ลมสุริยะเพราะ<WBR>มียานอวกาศ<WBR>และชุดอวกาศ<WBR>เป็นสิ่งคุ้มกัน<WBR>อย่างดีอยู่แล้ว <DD>ถึงตอนนี้เราได้รู้จักกับลมสุริยะ พายุสุริยะ ตลอดจน<WBR>ปรากฏการณ์<WBR>ข้างเคียงต่าง ๆ รวมถึง<WBR>ธรรมชาติ<WBR>ของดวงอาทิตย์<WBR>ได้ในระดับหนึ่ง หวังว่า<WBR>เราคงจะประเมิน<WBR>ภาพคร่าว ๆ ของผล<WBR>กระทบ<WBR>จากพายุสุริยะ<WBR>ที่จะเกิดขึ้น<WBR>ในช่วงปี 2543-44 นี้ได้พอสมควร และสามารถ<WBR>พิจารณาได้ว่า<WBR>ควรจะตื่นกลัว<WBR>หรือตื่นเต้น<WBR>กับปรากฏการณ์<WBR>ธรรมชาตินี้<WBR>มากน้อยเพียงใด </DD></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE> -
ติดตามค้นหาพระศรีอารย์ในตำนาน
เรื่องของพระศรีอาริยเมตไตรย ที่ลงมาเกิดในช่วงกลางของพระพุทธศาสนานี้ (ตั้งแต่ พ.ศ.2500 ปีขึ้นไป) เพื่อช่วยสืบทอดอายุของพระพุทธศาสนาของพระสมณะโคดมให้ยืนยาวไปจนครบ 5,000 ปี ในฐานะพระเจ้าจักรพรรดิ์ปกครองโลกนี้ มีกล่าวถึงในคำทำนายต่างๆ มากมาย ทั้งในศาสนาพุทธ(พระศรีอารย์), ศาสนาคริสต์(พระเมษโปดก), ศาสนาอิสลาม(นบีอีซา) ว่าท่านจะลงมาเกิดช่วยเหลือมวลมนุษย์ให้รอดพ้นจากภัยพิบัติในช่วงกลียุคนี้
ผมจึงเกิดความสนใจที่จะค้นหาพระศรีอารย์ในตำนานที่กล่าวถึงนี้ว่าเป็นใคร อยู่ที่ไหน และจะมาทำอะไรให้กับโลกในยุคสมัยนี้ พบว่ามีผู้กล่าวอ้างตัวว่าเป็นพระศรีอารย์กันอย่างมากมาย ซึ่งก็เป็นการยากที่จะระบุแน่ชัดลงไปว่าใครเป็นพระศรีอารย์ตัวจริงกันแน่ ผมจึงมุ่งเป้าประเด็นค้นหาลงไปที่ผลงานของแต่ละท่านที่ได้นำเสนอต่อสาธารณชน พบว่าส่วนใหญ่อ้างเอาคำสอนของพระพุทธเจ้ามาเป็นคำสอนที่ตัวเองค้นพบใหม่จึงไม่น่าสนใจ แต่ผมมาสดุดใจอยู่กับท่านหนึ่งที่ไม่ได้นำเสนอในแนวนั้น แต่ได้นำเสนอว่าตัวท่านเองมีแนวทางที่จะช่วยเหลือชาวโลกได้อย่างไร
ท่านผู้นี้มีนามว่า ทลิททกะ เมษโปดก ท่านได้แต่งหนังสือไว้เล่มหนึ่งมีชื่อว่า "สิริอริยธรรมิกราชโพธิสัตต์" คิดว่าหลายๆ ท่านในที่นี้คงได้เคยอ่านหนังสือเล่มนี้กันแล้ว พบว่าในหนังสือเล่มนี้ได้บรรยายเรื่องราวของพระศรีอารย์ที่ลงมาเกิดในกึ่งกลางพุทธศาสนานี้ไว้อย่างน่าสนใจทีเดียว ผมจึงได้อีเมล์ไปสอบถามกับท่านทลิททกะผู้นี้ว่าตัวท่านเป็นพระศรีอารย์ใช่หรือไม่ และมีจุดประสงค์อันใดกับการแต่งหนังสือเล่มนี้ ก็ได้รับคำตอบกลับมาว่าตัวท่านเองก็ไม่ยืนยันว่าท่านจะเป็นพระศรีอารย์หรือไม่ แต่ยืนยันในเจตนารมย์ที่จะดำเนินการให้ได้ตามที่ท่านได้เขียนเอาไว้ในหนังสือนั้นจริงๆ ผมได้ส่งคำถามทางอีเมล์กับท่านทลิททกะอยู่ระยะหนึ่ง ได้รับทราบถึงแนวความคิดที่น่าทึ่งอีกมากมาย แต่ก็ไม่สามารถจะยืนยันกับท่านผู้อ่านว่าท่านทลิททกะผู้นี้จะเป็นพระศรีอารย์หรือไม่เพราะเกินวิสัยของข้าพเจ้าที่จะหยั่งรู้ได้ ได้แต่อาศัยกาลเวลาเท่านั้นที่จะเป็นเครื่องพิสูจน์
เดิมทีผมคิดจะเก็บเรื่องในอีเมล์ที่ได้คุยกับท่านทลิททกะไว้เป็นการส่วนตัว แต่เมื่อมาคิดอีกทีว่าถ้าเรื่องนี้เป็นเรื่องจริง ก็จะเป็นข่าวสำคัญที่บอกให้ชาวโลกได้รับรู้ว่าพระศรีอารย์ได้มาบังเกิดในโลกนี้แล้ว ผมจึงได้คัดลอกบางส่วนของอีเมล์ที่น่าสนใจมานำเสนอให้ท่านผู้อ่านได้รับรู้ ส่วนท่านจะเชื่อหรือไม่ก็แล้วแต่วิจารณญาณของท่านเอง.............
จดหมายถึงท่านทลิททกะ ผมได้สอบถามเรื่องเมืองใหม่ในจินตนาการ
สวัสดีครับ คุณทลิททกะ กระผมรู้สึกประทับใจมากเมื่อได้อ่านหนังสือ สิริอริยะ ธรรมิกราชโพธิสัตต์ในครั้งแรก และทึ่งกับความพากเพียรพยายามในการค้นหาตัวตนที่แท้จริงขององค์พระศรีอาริย์ และรู้สึกศรัทธาในความอดทนต่อคำดูหมิ่น ดูแคลนจากบุคคลทั้งหลายที่มาเกี่ยวพันกับตัวคุณ ครั้งแรกที่ได้อ่านนิยายเรื่องนี้รู้สึกอัศจรรย์ใจ ที่เด็กหนุ่มอายุไม่ถึง 30 ปีสามารถแต่งหนังสืออิงหลักธรรมคำสอนในพระพุทธศาสนาได้ละเอียดละออ ลึกซึ้งมากถึงขนาดนี้ แสดงให้เห็นถึงความตั้งใจจริงที่จะมาฟื้นฟูพระพุทธศาสนาให้กลับมาสะอาดบริสุทธิ์ดังเดิม เรื่องตำนานพระศรีอารย์นี้กระผมมีความเชื่อมานานแล้วว่าท่านจะต้องลงมาเกิดเพื่อรักษาพระศาสนาขององค์พระสมณะโคดมสัมมาสัมพุทธเจ้าในกึ่งพุทธกาลนี้แน่นอน เมื่อมาได้อ่านหนังสือ สิริอริยะ ธรรมิกราชโพธิ์สัตต์ทำให้กระผมเกิดความมั่นใจว่าได้พบ กับบุคคลที่กระผมรอคอยมานานแล้ว
และในโอกาสนี้กระผมขอสนธนาธรรมในเรื่องของพระศรีอารย์ต่อไปนะครับ จากตำนานพระศรีอารย์ที่คุณรหัสยญาณได้รวบรวมไว้ได้กล่าวว่า -
ขอสนับสนุนและให้กำลังใจแก่คุณเกษมในการที่จะนำข้อมูลเกี่ยวกับคำทำนายเรื่องภัยพิบัติต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นแก่ประเทศไทย
มาเผยแพร่ให้ได้อ่านกันต่อไป ส่วนใครจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็สุดแท้แต่วิจารณญาณของแต่ละท่าน เรื่องเหล่านี้รับรู้รับทราบ
ไว้ก็ไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไร ถ้าผู้รับข้อมูลข่าวสารอ่านด้วยความมีสติและใช้วิจารณญาณเข้ามาพิจารณา....
สู้ต่อไปครับ คุณเกษม..... -
คำทำนายวันเวลาที่ 11-11 โดย อ.ปริญญา ตันสกุล
จักรวาลได้เผยให้มนุษย์ได้ทราบล่วงหน้าแล้วว่า วันแห่งหายนะซึ่งจะชำระโลกสถานหนักคือเวลาที่ 11-11
ดวงอาทิตย์ดวงใหญ่นอกระบบเอกภพ พร้อมด้วยดวงจิตจักรวาลจำนวนมาก จะร่วมมือกันส่งคลื่นพลังงานความรักความถี่สูงพร้อมไอเย็นมายังดวงอาทิตย์ของระบบสุริยะ เพื่อสร้างปฎิกิริยาให้เกิดการระเบิดขึ้นบนพื้นผิวของดวงอาทิตย์ ก่อให้เกิดคลื่นความถี่วิทยุและพลังงานไฟฟ้าแม่เหล็กที่เข้มข้นสูงสุด ในรอบหนึ่งหมื่นสองพันปีแผ่กระจายออกมาจากจุดดับบนดวงอาทิตย์ เป็นพายุสุริยะมุ่งสู่ดวงจันทร์และโลก ด้วยอัตราความเร็ว 1 หนึ่งล้านกิโลเมตรต่อชั่วโมง โดยคลื่นวิทยุความถี่สูง ซึ่งเป็นคลื่นไฟฟ้าแม่เหล็กเช่นกัน จะเป็นผู้นำทางให้พลังงานแม่เหล็กไฟฟ้าที่เข้มข้นถึงเป้าหมายที่ต้องการได้
ทันทีที่ดวงจันทร์ได้รับคลื่นพลังงานที่เข้มข้น ซึ่งแผ่ผ่านมาจากดวงอาทิตย์ พลังงานภายในระบบของดวงจันทร์จะถูกอัดกระแทกอย่างรุนแรง ก่อให้เกิดการรวมตัวกันเป็นคลื่นพลังงานไฟฟ้าแม่เหล็กที่เข้มข้น ยิ่งกว่าที่ถูกส่งมาจากจุดดับบนดวงอาทิตย์ มันจะดันทะลุจากด้านหนึ่งของดวงจันทร์ที่รับคลื่นพายุสุริยะ พุ่งผ่านมายังดาวโลกอีกทอดหนึ่ง ระหว่างเกิดกระบวนการนี้สามารถจะรับรู้แรงสั่นสะเทือนทางกายภาพของดวงจันทร์ได้ไม่น้อย
พายุแม่เหล็กทั้งที่เดินทางมาจากดวงอาทิตย์โดยตรง และจากการเสริมพลังของดวงจันทร์บริวารของโลกมีความเข้มข้นสูงมากกว่าปรกติ ส่วนใหญ่จึงสามารถฝ่าแนวแม็กนิโตสเฟียหรือสนามแม่เหล็กโลก ซึ่งห่อหุ้มบรรยากาศโลกเข้ามาได้ เมื่อพายุจากฟ้าพุ่งผ่านเข้ามาสู่บรรยากาศโลกได้ มันจะพุ่งตัวเข้าอัดกระแทกกับพื้นโลกในทันที
ปรากฎการณ์ทางธรรมชาติอันเป็นผลลัพธ์ของกระบวนการที่เกิดขึ้น จากการกระทำทางเทคนิคต่อดาวเคราะห์โลกจากนอกระบบโลก จะก่อให้เกิดพายุแม่เหล็กในอากาศอย่างรุนแรง ท้องฟ้าวิปริตแปรปรวน และพายุฝนฟ้าคะนองบดบังแสงอาทิตย์อยู่ยาวนาน คลื่นทะเลจะปั่นป่วน ภาวะน้ำท่วมใหญ่จะเกิดขึ้นไปทั่ว ขณะที่สายฟ้าผ่าจะอัดกระแทกมายังพื้นโลกนับครั้งไม่ถ้วน ทุกสิ่งที่ถูกอัดกระแทกมันจะพังทลายลงมากองกับพื้นดินชั่วพริบตาเดียว ไม่ละเว้นแม้แต่สิ่งที่มีชีวิตที่จะต้องล้มลงกับกองเถ้าถ่าน ของซากปรักหักพังเหล่านั้น ผู้ที่เคยสบถสาบานขอให้ฟ้าผ่าตาย แต่ไร้สัจจะพึงระวังตนให้ดี
นอกจากนั้น ผลการกระทำทางเทคนิคจากนอกระบบโลก ยังจะก่อให้เกิดพายุแม่เหล็กในอากาศกลายเป็นพายุหมุนทอร์นาโดรูปกรวยยักษ์พุ่งเข้ากระแทนพื้นโลกอย่างรุนแรงด้วยเช่นกัน มันจะกวาดชำระทุกสิ่งในเส้นทางการเคลื่อนตัวของมันให้กลายเป็นพื้นที่ราบ ตามอำนาจความรุนแรงของมันดังที่มนุษย์รู้กันอยู่ภายในชั่วพริบตาเดียวเหตุการณ์ร้ายแรงเหล่านี้ มันจะเกิดขึ้นเป็นระยะๆ และถี่ขึ้นเรื่อยๆ โดยไม่มีใครคาดเดาได้ล่วงหน้าว่ามันจะเกิดขึ้นที่ไหน เมื่อไหร่ ผู้ไม่ประมาทและมีสติเท่านั้น จึงจะมีชีวิตรอดได้ ในท่ามกลางความเลวร้ายที่กล่าวมาแล้ว มนุษย์โลกไม่อาจหลีกเลี่ยงการกระทำทางเทคนิคของจักรวาล อันเป็นปรากฎการณ์เหนือธรรมชาติที่กล่าวนี้ไปได้
ดินแดนที่ศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งเต็มไปด้วยจิตวิญญาณของนักรบแห่งแสงสว่าง ผู้ปฎิบัติตนอยู่ในความดีงามตามคำสอนของพระศาสดาแท้จริงเท่านั้น จะเป็นดินแดนปลอดภัยบนโลกใบนี้หลังจากที่โลกเกิดภาวะวิกฤตอย่างต่อเนื่อง จนถึงการชำระโลกครั้งสุดท้าย พื้นแผ่นดินเป้าหมายที่ถูกกำหนดไว้จะเป็นอาณาเขตแห่งหายะภัยที่มนุษย์โลกคาดไม่ถึง ในวันเวลาที่ 11 นั้นวันเวลาดังกล่าว การกระทำทางเทคนิคจากนอกระบบโลกและการกระทำทางเทคนิคจากในระบบโลกเอง มันจะเกิดขึ้นพร้อมกัน คลื่นพลังงานไฟฟ้าแม่เหล็กความถี่สูงที่เป็นพลังเย็นในระดับ 7 จะถูกส่งผ่านเข้ามาพุ่งตรงเข้าหาเป้าหมาย มันจะก่อให้เกิดพายุความเย็นจัดอย่างรุนแรงครอบคลุมไปทั่วเป้าหมายนั้น ขั้วโลกเหนือและขั้นโลกใต้จะปั่นป่วนแนวแกนแม่เหล็กโลกในใจกลางโลก จะเกิดการบิดตัวอย่างรุนแรงขึ้นพร้อมกัน เพราะมันถูกกระตุ้นให้เกิดการระเบิดขึ้นบริเวณของไหลที่อยู่ด้านบน เพื่อเปลี่ยนทิศทางของแนวแกนไปสู่ตำแหน่งที่ได้กำหนดไว้ล่วงหน้าแล้ว มันจะทำให้แผ่นดินใหญ่ของทวีปซึ่งมีมหาสมุทรคั่นกลาง เกิดการบิดตัวอย่างรุนแรงตามไปด้วย ขณะที่โลกจะปลดปล่อยคลื่นพายุแม่เหล็กออกมาอย่างรุนแรง อันเกิดจากการระเบิดภายในนั้นโดยมันจะรวมตัวกันเป็นคลื่นพลังงานไฟฟ้าแม่เหล็กที่เข้มข้น ดันทะลุผ่านชั้นเปลือกโลกแต่ละชั้นขึ้นมายังพื้นผิวดิน ทำให้แต่ละชั้นของเปลือกโลกซึ่งกำลังบิดตัวอยู่จะถูกคลื่นพลังงานอันมหาศาลกระแทกอัดให้เกิดการสั่นสะเทือนที่รุนแรง ยิ่งกว่าแผ่นดินไหวครั้งใดๆปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้นมันจะเป็นไปอย่างต่อเนื่อง จากในใจกลางโลกออกมาสู่พื้นผิวด้านบน โดยใช้ระยะเวลาของกระบวนการเพียง 9 นาทีเท่านั้น แต่การสั่นสะเทือนของแผ่นดินจะต่อเนื่องยาวนานร่วม 8 ชั่วโมงเลยทีเดียว
ผลที่ปรากฎคือ แผ่นดินบางส่วนของภาคพื้นทวีปจะแยกตัวออกจากกัน ตามรอยร้าวของเปลือกโลกแต่ดั้งเดิมน้ำทะเลจะถาโถมเข้ามาแทนที่ บริเวณที่ราบริมฝั่งทะเลของทวีปนั้นจะจมลงใต้น้ำ ขณะที่บริเวณบางแห่งของเมืองใหญ่ พื้นแผ่นดินจะยุบตัวจมหายลงไปเบี้องล่าง พร้อมวัตถุที่ปลูกสร้างฝุ่นฟุ้งเปลวไฟ หมอกควัน และเสียงกัมปนาทมันจะเกิดขึ้นอื้ออึง ภายในเวลาไม่นานนักความสงบเงียบจะเริ่มก่อตัวขึ้นหลังจากนั้น 3 วันเต็ม ทั้งหมดที่กล่าวไว้ไม่ใช่มายา.....ไม่ใช่มายา.... มันคือกระบวนการกระทำทางเทคนิคของจักรวาล เพื่อการชำระระบบโลกเป็นครั้งที่ 4 นับแต่มีมนุษย์ดำรงอยู่บนโลกใบนี้
ที่มา:- หนังสือวันเวลาที่สิบเอ็ด รหัสแห่งหายะโลก ถ่ายทอดคลื่นความคิดจากจิตจักรวาลโดย อ.ปริญญา ตันสกุล MBA.,M.S. PARINYA TANSAKUL MBA .,M.S. -
หนังสือชุดนี้ของ อ.ปริญญา ตันสกุล ผมก็ได้อ่านแล้วเช่นเดียวกันครับ ตอนนั้นหนังสือชุดนี้มี 16 เล่ม ผมอ่านไป 14 เล่ม เมื่อ 1-2 ปีที่แล้ว พบว่ามีทั้งแง่มุมที่น่าเชื่อถืออย่างมาก และที่ไม่น่าเชื่ออย่างมากด้วยในขณะเดียวกัน ตัวอย่างเช่น คำอธิบายเกี่ยวกับกลไกของการหยั่งรู้ของจิตตอนนั่งสมาธิเกี่ยวกับการทำงานของสมองซีกขวานำซ้ายนี่น่าสนใจมาก แต่กรณีของเรื่องน้ำหนักของจิตวิญญาณของมนุษย์ ที่บอกว่าหนัก 50 มิลลิกรัมพอดี กับน้ำหนักของพลังงานกรรมที่มนุษย์ทำขึ้นจะหนัก 10 มิลลิกรัมนี่ ผมว่ามันแปลกๆอยู่นะครับ เพราะนี่มันหนักมากเกินไปครับ และอีกประเด็นหนึ่งที่ขัดแย้งกับผลการศึกษาทางดาราศาสตร์อยู่มากคือเรื่องของมนุษย์ต่างดาวที่อาศัยอยู่บนดาวเคราะห์และดวงจันทร์บางดวงของดาวเคราะห์ในระบบสุริยจักรวาลของเรานี้ ผมอ่านแล้วก็ได้นำข้อมูลมาเทียบเคียงกับข้อมูลทางวิทยาศาสตร์รู้สึกว่าไม่สอดคล้องกันเลยครับ เช่นที่บอกว่าบนดาวอังคารมีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ บนดาวพุทธมีต้นไม้และสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่และอีกมากมายทำนองนี้ ลองเทียบจากข้อมูลข้างล่างนี้นะครับ ไม่ใช่ว่าผมไม่เชื่อหรอก ผมอยากเชื่อจะตายไป อยากให้เป็นจริงอย่างที่เขียนไว้นั้น แต่ก็อดสงสัยไม่ได้เลยพยายามค้นคว้าข้อมูลทางวิทยาศาสตร์มาประกอบอยู่เรื่อยๆ แต่โดยรวมแล้วหนังสือชุดนี้อ่านแล้วตื่นเต้น และท้าทายความกระหายใคร่รู้ของผมเป็นอันมาก โดยรวมแล้วก็ชอบครับ
<TABLE height=75 cellSpacing=0 cellPadding=10 width=760 bgColor=#ffffff border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top background=marsmissions0.jpg>จาก http://thaiastro.nectec.or.th/library/marsmissions2003/marsmissions2003.html
มหกรรมสำรวจดาวอังคารปี 2546
</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=10 width=760 bgColor=#ffffff border=0><TBODY><TR><TD align=right>วิมุติ วสะหลาย, วรเชษฐ์ บุญปลอด (wimut@hotmail.com, worachateb@hotmail.com)
2 พฤศจิกายน 2546</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=10 width=760 bgColor=#ffffff border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=300><TABLE border=0><TBODY><TR width="100%"><TD align=middle><TABLE><TBODY><TR><TD vAlign=bottom></TD><TD vAlign=bottom></TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TR><TD></TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD vAlign=top width=460><DD>เมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา เป็นช่วงเวลาที่สายตาของคนทั้งโลกเฝ้าจับตาด้วยความตื่นเต้นกับภาพดาวอังคารที่สุกสกาวเปล่งปลั่งไร้ผู้เทียมทานบนท้องฟ้าอย่างที่ไม่ได้เห็นมานานถึง 16 ปี ขณะนี้ดาวอังคารแม้ยังคงโดดเด่นอยู่บนท้องฟ้า แต่ก็หรี่ลงจากเมื่อเดือนสิงหาคมมาก และยังคงค่อย ๆ หรี่แสงลงเรื่อย ๆ จนนักดูดาวหลายคนเริ่มไม่ค่อยสนใจแล้ว บางคนอาจหันไปให้ความสนใจไปยังดาวเสาร์ที่เริ่มโดดเด่นขึ้นทุกวัน แต่สำหรับนักวิทยาศาสตร์ดาวเคราะห์แล้ว ช่วงเวลานี้นับเป็นช่วงที่เขาใจจดใจจ่อกับดาวอังคารด้วยใจจดจ่อ เนื่องจากขณะนี้มียานอวกาศที่อยู่ในระหว่างการเดินทางไปสู่ดาวอังคารถึง 4 ลำ <DD>ยานทั้งสี่นี้เป็นของนาซาสองลำ จากองค์การอวกาศยุโรปหนึ่งลำ และของญี่ปุ่นอีกหนึ่งลำ </DD></TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=10 width=760 bgColor=#ffffff border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=300><TABLE border=0><TBODY><TR width="100%"><TD align=middle><TABLE><TBODY><TR><TD vAlign=bottom></TD><TD vAlign=bottom>
</TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TR><TD>ยานมาร์สเอกซ์พลอเรชันโรเวอร์</TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD vAlign=top width=460><DD>ยานของนาซาทั้งสองลำเป็นยานฝาแฝด ลำหนึ่งชื่อ สปิริต และ ออปพอร์ทูนิตี อยู่ภายใต้ภารกิจเดียวกันชื่อมาร์สเอกซ์พลอเรชันโรเวอร์ ออกเดินทางไปตั้งแต่เดือนมิถุนายนและกรกฎาคมตามลำดับ ยานสปิริตมีกำหนดถึงดาวอังคารในวันที่ 4 มกราคม 2547 ส่วนยานออปพอร์ทูนิตี จะไปถึงในวันที่ 25 มกราคม 2547 </DD></TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=10 width=760 bgColor=#ffffff border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=300><TABLE border=0><TBODY><TR width="100%"><TD align=middle><TABLE><TBODY><TR><TD vAlign=bottom></TD><TD vAlign=bottom>
</TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TR><TD>ยานมาร์สเอกซ์เพรส</TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD vAlign=top width=460><DD>ในขณะที่นักวิทยาศาสตร์ของนาซาอาจมีประสบการณ์กับยานสำรวจดาวอังคารมาแล้วหลายลำ แต่สำหรับนักดาราศาสตร์ขององค์การอวกาศยุโรป ยานมาร์สเอกซ์เพรส ซึ่งได้ปล่อยสู่อวกาศไปเมื่อวันที่ 2 มิถุนายนนั้น กำลังจะสร้างประวัติศาสตร์เป็นยานสำรวจดาวอังคารลำแรกขององค์การ ยานลำนี้จะเดินทางไปถึงดาวอังคารก่อนใครเพื่อนในวันคริสต์มาสปีนี้ <DD>อย่างไรก็ตาม จากการทดสอบอุปกรณ์หลังจากมาร์สเอกซ์เพรสได้ขึ้นสู่อวกาศแล้วพบว่า มีปัญหาเกิดขึ้นกับระบบส่งกำลังของยาน แม้ปัญหานี้จะไม่ร้ายแรงถึงขั้นทำให้ภารกิจล้มเหลว แต่ก็ทำให้กำลังของยานลดลงถึง 30 เปอร์เซ็นต์ </DD></TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=10 width=760 bgColor=#ffffff border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=300><TABLE border=0><TBODY><TR width="100%"><TD align=middle><TABLE><TBODY><TR><TD vAlign=bottom></TD><TD vAlign=bottom>
</TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TR><TD>ยานโนะโซะมิขององค์การอวกาศญี่ปุ่น</TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD vAlign=top width=460><DD>ในเดือนมกราคมปี 2546 หากไม่มีปัญหาใด ๆ ญี่ปุ่นก็จะเป็นประเทศแรกในเอเชียที่ส่งยานอวกาศไปสำรวจดาวเคราะห์เป็นผลสำเร็จ เมื่อยานโนะโซะมิเดินทางไปถึงดาวอังคาร ความจริงยานลำนี้ควรจะไปถึงดาวอังคารตั้งแต่ปี 2542 แล้ว แต่เกิดปัญหาระหว่างทาง ทำให้ต้องมีการปรับเปลี่ยนแผนงานใหม่รวมถึงเส้นทางการเดินทางใหม่ ปัญหาในครั้งนั้นร้ายแรงจนเกือบถึงกับเป็นหายนะเลยทีเดียว ไม่เพียงแต่เวลาที่ต้องเสียไปถึงสามเท่า งบประมาณที่ต้องใช้ในการดูแลก็มากขึ้นเป็นเงาตามตัว <DD>แต่อุปสรรคยังคงตามรังควาญโนะโซะมิอย่างไม่เลิกรา เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา การลุกจ้าของดวงอาทิตย์ครั้งหนึ่งได้ทำลายระบบสื่อสารและระบบส่งกำลังของโนะโซะมิไป พลังงานที่สูญเสียไปทำให้ระบบรักษาอุณหภูมิหยุดทำงาน เชื้อเพลิงจึงเริ่มเยือกแข็ง ขณะนี้เจ้าหน้าที่ภาคพื้นดินกำลังเร่งพยายามทำให้ระบบรักษาอุณหภูมิกลับมาทำงานเหมือนเดิมก่อนที่ยานจะเดินทางไปถึงดาวอังคาร หากทำไม่ทัน ยานจะไม่พลังงานมากพอที่จะปรับเส้นทางเข้าโคจรรอบดาวอังคารได้ <DD>หากมองในแง่ดีว่ายานทุกลำจะประสบความสำเร็จ เราจะมียานที่สำรวจดาวอังคารหลายลำที่ปฏิบัติงานในเวลาเดียวกัน การสำรวจดาวเคราะห์ดวงเดียวกันจากยานหลายลำ ณ ตำแหน่งต่าง ๆ กันมีประโยชน์มากกว่าการสำรวจต่างเวลากัน เพราะแต่ละลำจะสนับสนุนการทำงานซึ่งกันและกัน โดยเฉพาะการศึกษาปรากฏการณ์บางอย่างที่เป็นปรากฏการณ์พิสัยใหญ่เช่นพายุฝุ่น หรือการเปลี่ยนฤดูกาล ไม่เพียงแต่สี่ลำนี้เท่านั้น เพราะขณะนี้ก็มียานอวกาศปฏิบัติภารกิจบนดาวอังคารรออยู่แล้วถึงสองลำนั่นคือ ยานมาร์สโกลบัลเซอร์เวเยอร์กับยาน 2001 มาร์สโอดิสซีย์ รวมกันแล้วก็จะรวมเป็น 6 ลำ นับเป็นมหกรรมสำรวจดาวเคราะห์ที่คึกคักที่สุดครั้งหนึ่งนับตั้งแต่เริ่มยุคอวกาศเลยทีเดียว <DD>ต่อไปนี้คือรายละเอียดที่น่าสนใจของยานสำรวจ 4 ลำที่กำลังจะไปถึงดาวอังคาร </DD></TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=10 width=760 bgColor=#ffffff border=0><TBODY><TR><TD width=300></TD><TD width=460>| ตอนที่ 2 : มาร์สเอกซ์เพรส >></TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=10 width=760 bgColor=#ffffff border=0><TBODY><TR><TD width=300 bgColor=white>.</TD></TR></TBODY></TABLE> -
เห็นด้วยกับคุณชยุตครับ ผลงานของ อ.ปริญญา ตันสกุล ผมก็ติดตามอ่านมาเกือบทุกเล่มเห็นว่ามีข้อมูลหลายอย่างไม่ถูกต้อง และขัดแย้งกับทางพุทธศาสนาอย่างมาก แต่ข้อมูลบางอย่างก็มีเหตุมีผลที่รับฟังได้ เนื่องจาก อ.ปริญญาได้บอกว่าท่านได้รับข้อมูลเหล่านี้ผ่านเข้ามาในความคิด ในขณะที่ใจเป็นสมาธิ จึงไม่อาจสรุปได้แน่นอนว่าผู้ส่งผ่านข้อมูลเหล่านี้มาเป็นใคร อาจจะเป็นมนุษย์ต่างดาวในกาแลคซี่อื่นๆ ก็ได้เพราะเท่าที่ผมอ่านผลงานของท่านมา ดูจะอธิบายเรื่อง ดวงดาว, เรื่องจักรวาล, เรื่องมนุษย์ต่างดาว,เรื่องโครงสร้างของร่างกายมนุษย์ทางกายภาพ โครงสร้างของจิตวิญญาณ อยู่มาก อย่างไรก็ดีข้อมูลเหล่านี้ก็ได้ตอบคำถามที่ทางวิทยาศาสตร์ในโลกของเรายังไปไม่ถึงอีกมาก ในทางต่างประเทศก็มีผู้ได้รับการติดต่อทางความคิดแบบ อ.ปริญญา อีกหลายท่าน และให้ข้อมูลทำนองเดียวกันนี้เช่นกัน ก็ขอให้เรารับฟังเอาไว้ก่อน แล้วค่อยเอามาพิจารณาว่ามีเหตุมีผลควรเชื่อถือมากน้อยเพียงไร......
-
สัญญาณวันสิ้นโลก(เก่า)?
ที่วัดพระนอน เมืองแพร่มีการค้นพบคัมภีร์ภาษาโบราณชุดหนึ่ง ซึ่งเชื่อว่าได้เขียนไว้ในสมัยก่อนกรุงศรีอยุธยาแตกครั้งที่ 2 ( พ.ศ. 2310) เมื่อนำมาแปลโดยพระครูนิภัทร กิจอาทร ปรากฎว่าเป็นเรื่องของคำทำนายชะตาของโลก ตรงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบันและตรงกับคำทำนายของนอสตราดามุส มีใจความบางตอนดังนี้:-<O:p</O:p
<O:p</O:p
-
ติดตามค้นหาพระศรีอารย์ในตำนาน(ต่อ)
การมาปรากฎตัวของพระศรีอารย์
ศาสนาคริสต์ได้กล่าวถึง "วันพิพากษาโลก ( The Last of Judgement ) เพื่อให้มนุษย์ได้ตระหนักถึงอำนาจของพระผู้เป็นเจ้า และเกรงกลัวต่อการกระทำความชั่ว วันนี้เป็นวันสำคัญของศาสนาคริสต์ที่พระบุตรจะเสด็จกลับมาโลกนี้อีกครั้งหนึ่ง เพื่อพิพากษามนุษย์ในมาระโกบทที่ 13 ข้อ 24-27 ของหนังสือพระคริสตธรรมคัมภีร์ ( พระคริสตธรรมคัมภีร์. 1993 : 108) ได้กล่าวถึง วันสิ้นพิภพและการเสด็จมาพิพากษาโลกของพระเยซูคริสต์เจ้า ความว่า
"............ ภายหลังเมื่อคราวลำบากนั้นพ้นไปแล้ว ดวงอาทิตย์จะมืดไป และดวงจันทร์จะไม่ส่องแสงดวงดาวทั้งปวงจะตกจากฟ้า และบรรดาสิ่งซึ่งมีอำนาจในท้องฟ้าจะสะเทือนสะท้าน เมื่อนั้นเขาจะเห็นบุตรมนุษย์เสด็จมาในเมฆ ทรงฤทธานุภาพ และพระสิริเป็นอันมาก เมื่อนั้นพระองค์จะทรงใช้เหล่าทูตสวรรค์ทั้งสี่ทิศนั้น ตั้งแต่ที่สุดปลายแผ่นดินโลกถึงที่สุดของฟ้า................"
เราอาจกล่าวได้ว่า ศาสนาคริสต์เป็นศาสนาแห่งประวัติศาสตร์การที่พระเยซูคริสต์เจ้าจะเสด็จกลับมาพิพากษาโลกอีกครั้งหนึ่งในวันสิ้นโลก ผู้ชอบธรรมเท่านั้น ที่จะถูกตัดสินให้ขึ้นสวรรค์ตลอดชั่วนิรันดร ส่วนคนอธรรมจะถูกปรับโทษให้ลงนรกนิรันดร
@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@
ในตำนานพระศรีอารย์จุติ ได้กล่าวไว้ว่า
ผู้มีบุญนั้นเป็นคนหลายเชื้อชาติ เกิดในปีขาล บ้านเกิดอยู่ปลายหล้าน้ำ ที่เกิดมีเรือน๓หลัง ทางตะวันออกมีลำคลอง ทางตะวันตกมีภูเขารูปร่างคล้ายครกกระเดื่อง บิดามารดาเป็นชาวนาและช่างทอหูก เมื่อเริ่มเติบใหญ่ได้ศึกษาศิลปวิทยาการต่างๆแล้ว บัดนั้นไปก็บวชๆสึกๆอยู่๗หน เคยบวชเป็นฤาษีชีป่า
เมื่อบวชอยู่เพื่อนนักบวชก็รุมชัง เมื่อสึกออกมาเป็นฆราวาส ฆราวาสก็รุมชัง สมณะชีพราหมณ์ตลอดจนฝูงท้าวพระยาที่มีใจหนาแน่นไปด้วยบาปต่างก็ไม่คบค้าสมาคมด้วย อยู่ที่ไหนไม่มั่นพลันหนีเพราะมีศีลธรรมและความประพฤติผิดกับคนทั้งหลาย จึงคบค้าสมาคมกับคนที่มีใจบาปหยาบช้าไม่ได้นาน
เมื่อเป็นทารกนอนดั่งลิงลม เมื่อบวชเรียนอยู่นอนดั่งนกกาน้ำ เมื่อสึกออกมาเป็นฆราวาสแล้วนอนดั่งพญาช้างสาร และเมื่อปรากฏเป็นพระเจ้าบรมจักรธรรมิกราชแล้ว นอนดั่งพญาสีหะ
ตำหนิรูปพรรณสัณฐานนั้น รูปร่างลักษณะท่าทางเหมือนดังครุฑ จมูกดังยักษ์ ใบหน้าดังครุฑ มีฟันเหมือนฟันม้า ตัวกลม ตาลึก ท้องใหญ่เล็กน้อย อกเต็ม ไหล่ขด มือและเท้ายาว นิ้วมือเบื้องซ้ายกิ่วคอดเป็นแผลเป็นหนึ่งแห่ง ที่ไหล่ซ้ายมีขนยาวหนึ่งเส้น ฝ่าเท้าเบื้องขวามีปานแดง บนศีรษะมีแผลเป็นลักษณะไม่สูงไม่ต่ำไม่ดำไม่ขาว สีผิวเนื้อขาวเหลือง ยามเจรจามีเสียงแลบออกจากไรฟัน พูดจามั่นเที่ยงไม่กลับกลอก กระแสเสียงแจ่มใสไพเราะและก้องกังวาน
เมื่อบวชอยู่ในเพศบรรพชิตนั้นมักมีรัศมีพุ่งออกจากศีรษะเสมอ และมักมีดวงแสงสว่างขนาดลูกมะพร้าวบ้าง ส้มบ้าง เป็นท่อเป็นลำยาวบ้าง ปรากฏแก่สายตาประชาชนอยู่ไม่ขาด นอกจากนั้นก็มักมีเสียงดนตรีและฆ้องกลองประหลาดที่ไม่เห็นผู้บรรเลงปรากฏอยู่ครึ้มเครือ
มีปัญญาดุจมโหสถ มีความเพียรดุจมหาชนก มีสัจจะดั่งวิธุรบัณฑิต มีขันติดุจขันติวาทีดาบส มีความกล้าหาญดุจสุรยักษ์ มีใจเบาและรวดเร็วดังลิงลม มีไมตรี รักคนใจบุญและสัตย์ซื่อ เมตตากรุณาต่อคนทุกข์ไร้อนาถา ไม่ถือตัวไม่ถือชั้นวรรณะ แก่กล้าด้วยศีลและทานจนตกทุกข์ได้ยาก เมื่อเริ่มจะปรากฏเป็นที่พึ่งแก่โลกนั้นจึงได้นามสมัญญาอีกอย่างว่า -
ขุมทรัพย์ทั้ง 4 ในตำนานพระศรีอาริย์ (โดยรหัสยญาณ)
เมื่อปรากฏภัย ๑๐ ประการ
1. ราชภัย ท้าวพระยาจะบังคับเบียดเบียนพลเมือง
2. โจรภัย จะบังเกิดโจรผู้ร้ายปล้นสะดมทั่วไป
3. อัคคีภัย ไฟจะไหม้บ้านเมืองไม่ขาดสาย
4. อสุนีบาต ฟ้าจะผ่าสัตว์และคนล้มตายบ่อย ๆ
5. เมทนีภัย แผ่นดินจะไหวสะท้านและแยกออกจากกัน
6. วาตภัย จะเกิดลมพายุพัดพาบ้านเมืองพินาศ
7. อุทกภัย น้ำท่วมบ้านเรือนและเรือกสวนไร่นา
8. ทุพภิกขภัย จะเกิดข้าวยากหมากแพงและอดอาหาร
9. พยาธิภัย จะเกิดโรคระบาดคนและสัตว์ล้มตาย
10. สัตถภัย จะรบราฆ่าฟันกันล้มตายร้ายแรง
หนาแน่นขึ้นก็จะปรากฏผู้เฒ่าผมขาวหนวดเครายาวขี่ม้าขาวเหาะลอยมายังท่ามกลางเมืองเชียงใหม่ นั่นคือองสมเด็จพระศรีอริยะเมตไตรยมาปรากฏเป็นที่พึ่งแก่โลกแล้ว อย่าสงสัยเลย
หลังจากนั้นไม่นานขุมทรัพย์ทั้ง 4 ของพระศรีอาริย์ก็จะปรากฎเกิดขึ้นในสุวรรณภูมิ ระหว่างเชียงราย ฝาง เชียงใหม่ ลำพูน เพราะขุมทรัพย์อันมหาศาล คือแก้วแหวนเงินทองจะระเบิดออกในภาคเหนือของประเทศไทย ดอยเงินดอยคำและเพชรนิลจินดาจะแตกออกทั้งลูกดอย และจะมีหลายลูกด้วยกัน กองทัพจะเข้าแย่งชิงสมบัติเหล่านี้ มืดมัวไปทั้งสี่ทิศ ทหารของชาติต่างๆ จะล้มตายไปถึง 3 ใน 4 ส่วน คงเหลืออยู่เพียงส่วนเดียวเลือดจะไหลนองเป็นห้วยน้อย จนถึงกับพวกหนูต้องว่ายข้ามต่างก็จะยิงกันจนเหลวแหลก เพราะโลภตัณหา จะรบกันถึง 7 ชาติ แต่ขุนศึกสำคัญนั้นมี 3 คน คือ
1.พญาลายตีนเป็นกงจักร
2.พญาแขนสั้นราว (คืนแขนสั้นข้างยาวข้าง)
3.พญาลิ้นกาฬ (ลิ้นดำ)
ในตำนานพระศรีอาริย์จุติ ซึ่งพระอิศวรผู้เป็นเจ้าไปนิมนต์มาเกิดนั้นกล่าวไว้เป็นปัญหาว่า"ฤทธิ์เดชของพระยาแขนสั้นยาวนั้นมากมายเหลือหลาย เหล็กกลม 7 กำยาว 4 ศอก นั่งหย่องเยาะ เอามือซ้ายขว้างไปไกลได้ถึง 7 - 8 ไร่นา" ผู้เขียนขอวิจารณ์ว่า "เหล็กกว้าง 7 กำยาว 4 ศอกนั้นคงไม่ใช่เหล็กธรรมดา คงเป็นลูกระเบิดขนาดใหญ่นั่นเอง" แก้วแหวนเงินทองนั้นใครๆ ก็อยากได้ด้วยกันทุกคน ถ้ามันมีมากขนาดเท่าภูเขาเลากา และมันเกิดประเทศใด ประเทศนั้นก็ต้องตกเป็นจุดยุทธศาสตร์ขนาดล้างโลก และนั่นก็เป็นวันตัดสินโลก(Doomsday) ได้มาถึงแล้วโดยไม่มีปัญหา
แหล่งที่มา หนังสือพระศรีอาริย์เจ้าโลก โดยรหัสยญาณ สำนักพิมพ์ลานอโศกเพรสกรุ๊ป โรงพิมพ์สหธรรมิก)
สงครามแย่งชิงภูเขาทองคำ
ท่านรซูลของอัลลอฮ ได้กล่าวไว้ว่า
อบูฮุรอยเราะฮ รายงานว่า **ชั่วโมงสุดท้ายจะยังไม่มาถึง จนกว่า ยูเฟรติส จะเปิดเผยให้เห็น ภูเขาทองคำ ..อันจะทำให้ผู้คนต่อสู้กัน เก้าสิบเก้าในร้อยคนของพวกเขาจะถูกสังหาร แต่ทุกคนในหมุ่พวกเขาจะกล่าวว่า..บางทีฉันอาจเป็นคนหนีงที่หนีรอดไปได้**โดย มุสลิม
คัดลอกมาจาก http://www.muslimthai.com/board/sho...f21780e19e792d7
<!-- / message --><!-- / message -->
<!-- / message --> -
พระโอวาทพระบิดา ครั้งที่ 17เรื่อง"พระบิดาแห่งจิตวิญญาณ"
ประทานเมื่อวันที่ 6 เดือน สิงหาคม พ.ศ.2543เวลา 14.00 น.- 18.00 น. สื่อการถ่ายทอดพระโอวาทโดย อ.ปริญญา ตันสกุล ณ. ห้องประชุมโรงพยาบาลสำโรง จ.สมุทรปราการ (คัดลอกมาเพียงบางส่วนโปรดใช้วิจารณญาณในการรับรู้)
เพราะฉะนั้น ขั้วโลกเหนือที่นักวิทยาศาสตร์ค้นพบว่าน้ำแข็งละลาย ถูกต้องครับ ต่อไปอุณหภูมิของขั้วโลกเหนือจะไม่ติดลบต่ำกว่าศูนย์ครับ แต่มันจะเป็น 25.4 องศาเซลเซียส ขั้วโลกใต้จะกลายเป็นหนาแน่นด้วยน้ำแข็ง จะเย็นจัดแทนขั้วโลกเหนือ ต่อไปโลกเราจะหนาวอยู่ด้านเดียว คือ ด้านขั้วโลกใต้ ประเทศไทยประเทศญี่ปุ่นของเรา ประเทศญี่ปุ่นขณะนี้ที่ยังอยู่นะ แต่เราบอกแล้วว่ามันจะไม่อยู่ พูดอีกแล้วนะ จะร้อนขึ้นเพราะเราอยู่เหนือเส้นศูนย์สูตรถูกต้องหรือไม่ พอโลกก้มหัวลงให้กับดวงอาทิตย์มากขึ้น แน่นอนครับก็บริเวณของเราอยู่แถวหน้าผากโลก ใช่หรือเปล่าครับ พอก้มลงมาเป็นไงครับ หันหาดวงอาทิตย์เลยร้อนขึ้น เพราะฉะนั้นต่อไปดาวเคราะห์โลกเราจะหนาวครับ ปีหนึ่งแค่ครั้งเดียว เพราะต้องเวลาหมุนไปอยู่ตรงข้ามดวงอาทิตย์เท่านั้น ถึงจะเป็นฤดูหนาว
เพราะฉะนั้นต่อไปประเทศไทยของเราจะได้ฤดูหนาวกลับคืนมา แถวยุโรปตอนกลางๆ แถวอังกฤษเดนมาร์กแถวนั้น ต่อไปจะมีแค่สองฤดูเท่านั้นก็คือ ฤดูร้อนกับฤดูหนาว จะไม่มีสปริงจะไม่มีอ็อดท่อมอีกต่อไป อุณหภูมิจะเริ่มเปลี่ยนเข้าสู่ระบบที่กล่าวนี้ และประเทศไทยเราจะไม่มีฤดูประหลาดๆ เช่นนี้เดี๋ยวร้อนเดี๋ยวหนาว ฤดูสลับร้อนสลับหนาวเรามี ต่อไปจะสมดุลแล้วนะ จะคืนความสมดุลกลับมาให้ ขณะเดียวกันพวกคุณก็ต้องช่วยกัน จิตสำนึกต้องดีด้วย อากาศวิปริตแปรปรวนเพราะจิตมนุษย์มัน "แปรปรวน"
พระบิดาทรงเตือนผ่านธรรมชาติ แต่มนุษย์เราไม่รู้จักสังเกต ไม่รู้จักพิจารณาเองเพราะฉะนั้นตอนนี้โลกเรา ก้มหัวให้ดวงอาทิตย์มากขึ้น เพราะฉะนั้นใครบอกว่าระนาบการโคจรตามแกนหมุนของโลกทำมุมกับระนาบวงโคจร 66.5 องศาอยู่ดังเดิม แสดงว่าคนนั้นคิดผิด มันจะเป็น 32 องศาเหลือแค่ 32 องศา
สิ่งดีงามที่จะเกิดขึ้นเมื่อสิ้นยุคพลังงานเก่า รหัส 11-11 คือ 11 พฤศจิกายน แล้วไปถามนักวิทยาศาสตร์โลกดูว่า เดี๋ยวนี้เขาค้นพบจุดดับบนดวงอาทิตย์กี่จุดครับ 11 จุด จริงๆ แล้วจุดดับบนดวงอาทิตย์ไม่ใช่จุดดับ พระบิดาบอกเอาเป็นว่าเรียกตามนักวิทยาศาสตร์โลกก่อน ไม่เช่นนั้นอธิบายแล้วยาว จริงๆ แล้วครั้งหนึ่งมีแค่ 6 จุดแค่นั้นเองครับ แต่ตอนนี้มีพิเศษต้องเพิ่มอีก 5 ครับเป็น 11 เพื่อกระทำต่อดาวเคราะห์โลก ชำระนะไม่ใช่ชำเรา ชำระโลกอย่าคิดผิดนะครับ
ภายหลังจากการชำระโลก
1. มนุษย์จะมีจิตใจดีงาม เปี่ยมด้วยคุณธรรม และมีเมตตาต่อกัน
2. มนุษย์จะเลิกทานเนื้อสัตว์ จะเลิกเบียดเบียนกันโดยอัตโนมัติ
3. มนุษย์จะใช้สมองซีกขวาสูการหยั่งรู้ ได้ด้วยปัญญาญาณง่ายขึ้น
4. ประเทศไทยจะเป็นอู่ข้าวอู่น้ำของโลก
5. ประเทศไทยจะสร้างยูเอฟโอท่องจักรวาล ได้เป็นชาติเดียวในโลก
6. ศาสดาศรีอาริยะเมตไตรย จะปรากฎพระองค์ขึ้นบนแผ่นดินไทยในไม่เกิน 6 ปี หลังวันสิ้นยุคพลังงานเก่า
ไม่เกิน 6 ปี ณ วันนี้ ( 6 สิงหาคม พ.ศ.2543 ) ถึงวันนั้นอาจจะมีการเปลี่ยนแปลง เพราะวันสิ้นยุคพลังงานเก่าก็เปลี่ยนมาเรื่อย เพราะว่างานด้านเทคนิคด้านพลังงานของพระบิดาเยอะมาก บางครั้งกำหนดไว้มนุษย์นั่นแหละเป็นตัวทำให้เปลี่ยนแปลง มันก็จะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ณ วันนี้ถือว่า 6 ปีแต่ถึงวันสิ้นสุดของวันนั้น อาจจะบวกไปอีกเล็กน้อยก็ได้ อย่าหาว่าอาจารย์กล่าวผิดสัจจะก็แล้วกัน เป็นสิ่งที่อยากจะบอกเครื่องยนต์แห่งกรรมของพวกคุณ ให้เห็นเป็นรูปธรรมเท่านั้น เพราะฉะนั้นใครที่บอกว่าอยากเกิดเป็นศิษย์ของพระศาสดาศรีอาริยะเมตไตรย ต้องทำบุญบารมีสูงๆ โอกาสดีมาถึงแล้ว รีบทำเสียครับพระองค์จะปรากฎพระองค์ขึ้น ในแผ่นดินไทยนี้และขณะนี้( พ.ศ.2543 ) พระองค์ก็มาจุติอยู่บนแผ่นดินไทยเรียบร้อยแล้ว แต่ไม่ใช่ผมนะครับรีบบอกก่อนเดี๋ยวหาว่าผมพูดเข้าตัว มนุษย์ชอบคิดอุตริ พระองค์จุติ ตอนนี้( พ.ศ.2543 )เป็นเณรอยู่ครับ
เพราะฉะนั้น ถ้าไม่บอกอย่างนี้แล้วเดี๋ยวบอกว่า อาจารย์รู้ได้อย่างไร? ว่าอีก 6 ปีไม่รู้มาเกิดหรือยังก็ไม่รู้หลายคนคิด บอกแล้ว เกิดแล้วเป็นเณรอยู่อีก 6 ปีพระองค์ก็เป็นหนุ่มแล้ว ใช่ไหมครับ แต่ถึงแม้พระศาสดาศรีอาริยะเมตไตรย จะมาโปรดพวกเรามาเยียวยาหัวใจที่บอบช้ำ จากการที่ถูกชำระพี่ๆ น้องๆ ของเราที่เหลวไหลไม่เอาถ่านของเราถูกชำระก็จริง แต่พระศาสดาศรีอาริยะเมตไตรย พระองค์ท่านก็ต้องใช้คัมภีร์จักรวาลของพระบิดาเป็นแกนกลางหรือเป็นสื่อนำ ที่จะสื่อสอนมนุษย์ชาติต่อไป พระองค์จะไม่มาสร้างสิ่งอะไรใหม่ๆ นอกเหนือไปจากคัมภีร์ของพระบิดาทั้งสิ้น
7. หน้าที่การบันทึกคัมภีร์เป็นหน้าที่ของผม หน้าที่ในการเยียวยาปลุกปลอบหัวใจของเพื่อนมนุษย์คือ พระศาสดาศรีอาริยะเมตไตรย โปรดรับทราบไว้ตามนี้ด้วย
8. มนุษย์จะมีอายุยืนยาวมากขึ้นกว่าเดิม อำนาจแม่เหล็กโลกเพิ่มขึ้นจาก 14 เก๊าส์ เป็น 22 เก๊าส์ ร่างกายคุณแข็งแรง สุขภาพพลานามัยดีขึ้นโดยอัตโนมัติ
คัดลอกมาจาก;- หนังสือพระโอวาทแห่งองค์จิตจักรวาล ครั้งที่ 17 เรื่องพระบิดาแห่งจิตวิญญาณ สื่อการถ่ายทอดพระโอวาทโดย อ.ปริญญา ตันสกุล MBA.,M.S. PARINYA TANSAKUL
-
อืมแล้วปู่ NiNe คิดว่าเป็นพระองค์ไหนล่ะ ปานนี้คงเป็นพระแล้วล่ะ ตอน 6 ปีก่อนเป็นเณร วารปู่นายตอบหน่อยครับ
-
เรียนคุณChayutt
คุณกําลังพูดถึงหนังสือเล่มเดียวกับ rep #238
ฉะนั้น
กรุณากลับไปอ่าน rep238 กับrep 239 ในกระทู้นี้ด้วย
( คิดว่าได้ช่วยชีวิตคุณสุดๆแล้วนะ ) -
การใช้คำพูดข่มขู่ให้ผู้อื่นเกิดความหวาดกลัว มันเป็นบาปนะคุณมดเขียววีสาม เรื่องของคุณนฤดลนั้นผมเคยนำมาโพสไว้จริง แต่เมื่อทราบว่าเจ้าของบทประพันธ์ไม่อนุญาติให้นำมาเผยแพร่ ผมก็ได้ลบข้อความที่โพสนั้นไปแล้ว เรื่องที่คุณชยุตนำบทประพันธ์นี้มาโพสไว้อีกก็ด้วยไม่ทราบเรื่องดังกล่าว คุณมดเขียววีสามควรบอกด้วยความสุภาพว่าเจ้าของไม่อนุญาตให้นำมาเผยแพร่ ก็จะเป็นการรักษาน้ำใจกัน เนื่องด้วยความจริงที่ว่าผู้ไม่รู้ย่อมไม่ผิด หรือเจตนาคือตัวกรรมนั่นเอง...........
หน้า 7 ของ 1646