เรื่องโดย วุฒิพงศ์ ถายะพิงค์
เวลาประมาณห้าโมงเย็นของวันหนึ่งในปลายฤดูฝนต้นฤดูหนาว ผู้เขียนและเพื่อนเดินทางไปกราบสักการะพระอนุสาวรีย์พระราชชายา เจ้าดารารัศมี พระมเหศสีองค์หนึ่งในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ณ พระตำหนักดาราภิรมย์ค่ายดารารัศมี อำเภอริม จังหวัดเชียงใหม่
เมื่อผู้เขียนจุดธูปเทียนบูชาเรียบร้อยแล้วก็นั่งพับเพียบ ยกมือไหว้ พร้อมทั้งครุ่นคิดถึงพระกรณียกิจนานัปการที่พระองค์ทรงมีต่อนครเชียงใหม่ ตั้งแต่ทรงเสียสละอย่างใหญ่หลวงด้วยการจากนครเชียงใหม่ไปถวายตัวรับราชการฝ่ายใน ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ตั้งแต่มีพระชันษาเพียง 13 ปี ในฐานะองค์สายสัมพันธ์ของสองแผ่นดิน คือ สยามกับนครเชียงใหม่และประทับ ณ พระบรมมหาราชวัง กรุงเทพมหานคร เป็นเวลา 23 ปีเศษ พร้อมทั้งคิดคำนึงถึงพระกรณียกิจทั้งทางด้านศาสนา การศึกษา ศิลปวัฒนธรรม และการพัฒนาการเกษตรที่มีต่อนครเชียงใหม่
และแล้วผู้เขียนก็สะดุดตาเมื่อมองเห็นผ้าสไบแบบภาคกลางมีตัวอักษรปักชื่อนายทหารคนหนึ่ง ซึ่งเป็นผู้นำมาถวายและห่มพระอนุสาวรีย์ไว้ ผู้เขียนรู้สึกทันทีว่าไม่สมควรและพระองค์จะต้องไม่โปรด เพราะถ้าจะทรงห่มสไบแบบภาคกลางก็คงทรงห่มมาตั้งแต่สมัยนั้นแล้ว จากการศึกษาพระประวัติพบว่า พระราชชายาทรงอนุรักษ์การแต่งกายแบบชาวเหนือไว้ตลอดพระชนมชีพ วัฒนธรรมกรุงเทพฯ ไม่สามารถกลืนความเป็นเจ้านายฝ่ายเหนือผู้ทรงอนุรักษ์นิยมล้านนาไปได้
ผู้เขียนใคร่ครวญแล้วจึงตัดสินใจขอประทานพระอนุญาตนำสไบออกจากพระอนุสาวรีย์ แล้วนำมาพับวางไว้ใกล้ๆ กับพระบาท ในตอนนั้นเอง ท่ามกลางแดดอ่อนๆ เกิดมีสายฝนเป็นละอองฝอยโปรยลงมาเบาๆ ผู้เขียนและเพื่อนหันมามองหน้ากันและเกิดอาการขนลุกน้ำตาไหลคลอที่เบ้าตา ต่างรีบก้มลงกราบแทบพระบาทของพระอนุสาวรีย์ ผู้เขียนรับรู้ด้วยจิตว่า พระองค์ทรงสื่อสารมาถึงเราว่าทำถูกต้องแล้ว และละอองฝนเป็นเสมือนการพรมน้ำมนต์ให้นั่นเอง
ที่ผู้เขียนรู้สึกอัศจรรย์ใจมากยิ่งขึ้นก็คือ ขณะนั่งอยู่ที่ลานพระอนุสาวรีย์นั้นผู้เขียนได้ระลึกถึงคนที่เคยรู้จักเมื่อประมาณสามเดือนที่ผ่านมา ยังรู้สึกประทับใจในตัวเขา ผู้เขียนต้องการที่จะพูดคุยกับเขา แต่ไม่สามารถติดต่อได้ ขณะที่กราบพระอนุสาวรีย์เพื่อจะลากลับจึงได้ขอบารมีของพระราชชายาช่วย ทันใดนั้นเสียงโทรศัพท์ติดตามตัวก็ดังขึ้น เมื่อรับสายปรากฏว่าคือคนที่ผู้เขียนระลึกถึงนั่นเอง
ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ คือผู้เขียนได้เจริญสมถกรรมฐานที่เรียกว่าเทวตานุสติ
ปรากฏการณ์ดังกล่าว ถ้าอธิบายด้วยวิทยาศาสตร์ก็เป็นไปได้ว่าฝนโปรยลงมาในช่วงปลายฝนต้นหนาวนั้น เกิดจากร่องความกดอากาศต่ำหรือมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ ซึ่งอาจเกิดขึ้นในเวลาใดก็ได้ และการที่ผู้เขียนได้รับโทรศัพท์จากคนที่ระลึกถึงก็อาจเป็นความบังเอิญ แต่ถ้าอธิบายในระดับอภิปรัชญา (วิชาที่ไม่สามารถสัมผัสได้ด้วยประสาทสัมผัสทั้งห้า คือ ตา หู จมูก ลิ้น และกายสัมผัส) หรือตามหลักพุทธปรัชญา ซึ่งเทพหรือเทวดาเป็นธรรมชาติที่มีอยู่จริงและสามารถสื่อสารถึงมนุษย์ได้หลายรูปแบบ ความบังเอิญก็จะไม่มี มีแต่สิ่งที่เป็นเหตุปัจจัยต่อกันทั้งสิ้น เพียงแต่คงต้องตั้งข้อสังเกตหาความสัมพันธ์ของเหตุปัจจัยแห่งการปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นกับตัวเองอย่างละเอียด แยบยล ซึ่งแต่ละคนอาจรับรู้ได้ต่างกัน
ผู้คนจำนวนหนึ่งมักจะบ่นว่า เมื่อไปขออะไรจากองค์เทพต่างๆ แล้ว ไม่เห็นได้อะไรเลย ทั้งนี้น่าจะเป็นเพราะการขอเต็มไปด้วยความอยากหรือเป็นกิเลสที่พลุ่งพล่าน เป็นจิตฝ่ายอกุศล จึงไม่ส่งผลดีอะไรต่อผู้ขอ แต่การขอที่มีประสิทธิผลนั้น ต้องเป็นการขอที่อยู่ในการเจริญเทวตานุสติ ด้วยวิธีการปฏิบัติดังต่อไปนี้
ต้องสักการะด้วยความนอบน้อมจากจิตใจและใคร่ครวญตระหนักรู้ในคุณงามความดี สำนึกในคุณค่านานัปการขององค์เทพที่เรากราบไหว้ เพราะขณะที่เรากราบไหว้และใคร่ครวญสำนึกในคุณค่าขององค์เทพนั้น ความรู้สึกชื่นชมและปีติยินดีจะเกิดขึ้นและจะต้องมีจิตนิ่ง มีสติอยู่กับการใคร่ครวญคุณค่าหรือคุณงามความดีขององค์เทพเท่านั้น บางคนอาจเกิดความปีติจนน้ำตาไหลหรือขนลุก นั่นเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นได้จริง แต่ต้องเริ่มจากการใคร่ครวญคุณค่าก่อน
ภาษาบาลีเรียกว่าการกระทำเช่นนี้ว่า “วิตกและวิจารณ์” คือการหยิบยกเอาคุณงามความดีขององค์เทพที่เราเคารพมาเป็นอารมณ์สมถกรรมฐาน เมื่อใคร่ครวญสำนึกในคุณค่าครั้งแล้วครั้งเล่าจะเกิด ปีติ คือ ความรู้สึกอิ่มใจ จากนั้นจะเกิด ความสุข ที่สงบ เมื่อไรที่รู้สึกปีติและสงบสุข แล้ว เมื่อนั้นสารเอนดอร์ฟิน สารเคมีแห่งความสุขในสมองก็จะหลั่งออกมามาก ความสุขสบายทั้งกายและใจก็เกิดขึ้น ภาวะนี้ในอภิปรัชญาเป็นภาวะที่เปิดรับการสื่อสารกับสรรพสิ่งรายล้อมต่างมิติได้ดี โดยเฉพาะสัญญาณจิตจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ทวยเทพเทวาต่างๆ พร้อมด้วยเทวตานุภาพ จึงดลบันดาลให้คลื่นความถี่จากจิตกว่านั้น หากบุคคลผู้นั้นมีคุณงามความดีสั่งสมมาด้วย ก็จะยิ่งเป็นพลานุภาพที่เป็นทิพย์เพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ และนี่คือการเจริญเทวตานุสติ ซึ่งเป็นหนึ่งในการเจริญอนุสติ 10 และเป็นหนึ่งใน 40 วิธีของการเจริญสมถกรรมฐานที่ทำให้จิตสงบและเกิดพลัง
ดังนั้นไม่ว่าท่านจะสักการะพระราชานุสาวรีย์ใดๆ นั่นคือท่านกำลังเจริญสมถกรรมฐานที่เรียกว่าเทวตานุสตินั่นเอง เพราะพระราชาเหล่านั้นถือเป็นสมมุติ เทพขณะยังมีพระชนมชีพ และเมื่อสิ้นพระชนม์ไปแล้วก็คือถือเป็นอุปัตติเทพนั่นเอง
ในพระพุทธศาสนาได้กล่าวถึงเทพหรือเทวดาไว้ 3 กลุ่ม ดังนี้สมมุติเทพ คือ พระราชา พระราชินี พระราชโอรส และพระราชธิดา อุปัตติเทพ คือ เทพหรือเทวดาที่สถิตอยู่ในสรวงสวรรค์ต่าง ๆ และวิสุทธิเทพ คือ พระอรหันต์นั่นเอง ดังนั้นเมื่อใคร่ครวญในคุณงามความดีของสมมุติเทพและอุปัตติเทพที่ท่านนับถือ แล้วควรประกอบคุณงามความดีเช่นเทพที่ท่านสักการะด้วย เพราะการเชื่ออะไรบางอย่างแล้วไม่นำมาปฏิบัติในชีวิต นั่นเป็นการคดโกงอย่างหนึ่ง ดังคำกล่าวของมหาตมะคานธี ส่วนปาฏิหาริย์อันสัมพันธ์จากจิตขณะที่ปีติและสงบสุขนั้น เป็นสิ่งที่ท่านต้องใช้ความเพียรพยายามจึงจะได้ผล และต้องเป็นการสร้างเหตุโดยไม่หวังผล เพราะการหวังผลเป็นกิเลส เป็นจิตฝ่ายอกุศลเราควรมุ่งสร้างเหตุดีไปเรื่อยๆ แล้วผลดีในขณะจิตสงบพร้อมการอธิษฐานที่แน่วแน่จะเกิดขึ้นเอง ถึงตอนนั้นก็จะพบความอัศจรรย์จากการเจริญเทวตานุสติ
การเจริญเทวนานุสติเป็นหนึ่งใน 10 วิธีของการเจริญอนุสติหมายถึง การตามระลึกถึง ซึ่งก็คือการระลึกถึงคุณงามความดีหรือคุณค่าของสิ่งที่นำมาเป็นอารมณ์กรรมฐานนั่นเอง สมถกรรมฐานกลุ่มนี้ก่อให้เกิดกำลังสมาธิไม่เสมอกัน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับจริตหรืออุปนิสัยพื้นฐานจิตใจของแต่ละบุคคลและความเพียรพยายามที่แตกต่างกัน
การเจริญอนุสติประเภทที่เหมาะสมมากที่สุดสำหรับผู้ที่มีจริตแบบ ศรัทธาจริต คือมีอุปนิสัยที่มีความชื่นชม ศรัทธาอย่างแรงกล้า เป็นที่ตั้ง 6 วิธี คือ การเจริญพุทธานุสติ ซึ่งก็คือ ระลึกถึงคุณสังฆานุสติ คือ การระลึกถึงคุณของพระสงฆ์ สีลานุสติ คือ การระลึกถึงคุณของการรักษาศีล จาคานุสติ คือ การระลึกถึงคุณของการบริจาคทาน และเทวตานุสติ คือ การะลึกถึงคุณความดีของเทพเทวดา เช่นเดียวกับที่ประชานระลึกถึงคุณความดีในพระปิยมหาราช และผู้เขียนระลึกถึงคุณความดีของพระราชชายาเจ้าดารารัศมี ดังที่ได้เล่าให้ฟังมาข้างต้น
อนึ่ง การเจริญสมถกรรมฐานทั้งหกวิธีดังกล่าว สามารถทำให้เกิดกำลังสมาธิสูงถึงขั้นอุปจารสมาธิ และสูงเป็นพิเศษจนอาจถึงขั้นปฐมฌานได้ หากมีความเพียรพยายามอย่างสูง แต่ต้องอย่าลืมว่าเป้าหมายสูงสุดและแท้จริงของการเจริญอนุสติ คือ การทำให้มีจิตใจสงบสุข มิใช่อิทธิปาฏิหาริย์ หากเข้าใจและปฏิบัติได้ถูกต้อง จะช่วยส่งเสริมสุขภาพจิตได้เป็นอย่างดี
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=7&t=29839
ปาฏิหาริย์แห่งการเจริญเทวตานุสติ
ในห้อง 'ประสบการณ์ ผลของการสวด' ตั้งกระทู้โดย HONGTAY, 5 เมษายน 2010.
-
-
โมทนาสาธุครับ....
ดีจัง น่าเป็นแบบอย่างที่ดีครับ -
สาธุ
ผู้เขียนอธิบายได้อย่างชัดเจน
นี่คือ อนุสาสนีปาฏิหาริย์ ที่เที่ยงแท้แน่นอน
ผลที่ได้เกิดจากการตกผลึกทางปัญญาพิจารณาอย่างรอบคอบมีเหตุผล
ในพระพุทธศาสนาโลกนี้ไม่มีอะไรที่เกิดขึ้นมาลอยๆ ด้วยความบังเอิญ
ตามกฏอิทัปปัจจัยตา เพราะสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี -
ขออนุโมทนาด้วยครับ
เป็นอีก 1 เสียงมาช่วยสนับสนุนในความคิดเห็น
ที่สอดคล้องกับ จขกท ครับ
เพราะเคยประสบกับสถานการณ์คล้ายกันนี้
และได้ส่งผลงอกงามคล้ายกันด้วยเช่นกัน
ซึ่งผลก้กำลังเกิดขึ้นในขณะนี้ครับ
(และหลายครั้งในอดีตเช่นกัน)
แน่นอนว่า ช่วงไหนที่เราบกพร่องไป
จากหน้าที่ของชนพึงกระทำในทางดี
ช่วงนั้น เราก็ต้องรับผลการกระทำของตนเอง
ซึ่งข้าพเจ้าก็ผ่านช่วงรับผลนั่นมาอย่างแสนหนักหน่วง
เช่นเดียวกัน ก่อนที่จะเริ่มได้รับผลในทางบวกแบบ"ทวีคูณ"
เกิดขึ้นมาในช่วงเพียง 1 อาทิตย์เท่านั้นครับ
ขออนุโมทนาอีกครั้ง สำหรับการเพียรทำความชอบ
ต่อผู้อื่น และต่อตนเองครับ -
ขออนุโมทนา สาธุ ๆ
กับท่านทั้งหลายที่ได้ร่วมทำบุญ
สร้างกุศลทุกอย่างในกาลนี้ด้วยครับ
นิพพานัง ปัจจโย โหตุ