ผลของกรรมที่ต่างกัน

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย รสมน, 15 กันยายน 2009.

  1. รสมน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,451
    ค่าพลัง:
    +2,047
    ปฏิสนธิจิตในภูมิมนุษย์ กับ ปฏิสนธิจิตในอบายภูมิ

    เป็น ผลของกรรม ที่ต่างกัน.


    .


    ผู้ที่ปฏิสนธิในอบายภูมิ นั้น

    ปฏิสนธิจิตของบุคคลนั้น เป็น อกุศลวิบากจิต

    ซึ่ง เป็นผลของอกุศลกรรม ที่ได้กระทำแล้ว

    จึงเกิดใน อบายภูมิ ๔

    คือ

    นรกภูมิ ๑. ปิตติวิสัยภูมิ
    (เปรต) ๑.

    อสุรกายภูมิ ๑. ดิรัจฉานภูมิ ๑.


    .


    ปฏิสนธิจิต ของผู้ที่เกิดเป็นมนุษย์ หรือ เทวดาชั้นต่าง ๆ

    เป็น กุศลวิบากจิต

    ซึ่งเป็น ผลของกุศลกรรมที่ได้กระทำแล้ว

    จึงทำให้เกิดใน สุคติภูมิ.


    .


    แม้ว่า การเกิดในมนุสภูมิ เป็นกุศลวิบาก ก็จริง

    แต่บางบุคคล ก็พิการตั้งแต่กำเนิด.



    เพราะกุศลวิบากจิต ที่ทำกิจปฏิสนธินั้น

    เป็น ผลของกุศลกรรม ที่ไม่มีปัญญาเกิดร่วมด้วย

    และ เป็นผลของกุศลกรรมอย่างอ่อนมาก.



    กุศลวิบากจิตที่ทำปฏิสนธิกิจ

    ของบุคคลผู้พิการตั้งแต่กำเนิด นั้น

    จึงไม่ประกอบด้วย โสภณเจตสิก

    คือ อโลภเจตสิก อโทสเจตสิก ปัญญาเจตสิก

    เมื่อเป็นผลของกรรมอย่างอ่อนมาก

    อกุศลกรรม ซึ่งได้เคยกระทำไว้

    จึงเบียดเบียน ให้เป็นผู้พิการตั้งแต่กำเนิด.


    .


    ผู้ที่เกิดเป็นมนุษย์ ซึ่งไม่พิการตั้งแต่กำเนิด

    ล้วนเกิดมาแตกต่างกัน โดย สกุล ยศศักดิ์ บริวาร ฯลฯ

    เพราะ กุศลวิบากที่ทำกิจปฏิสนธินั้น

    ต่างกัน ตามกำลังของกุศลกรรมที่เป็น "เหตุ"



    ถ้าปฏิสนธิจิต ของบุคคลนั้น

    เป็นผลของกุศลกรรม ที่ประกอบด้วยปัญญาเจตสิก อย่างอ่อน

    และ ไม่มีปัญญาเจตสิกเกิดร่วมด้วย.



    ก็หมายความว่า

    ปฏิสนธิจิต ที่เป็นกุศลวิบาก นั้น

    เกิดร่วมกับ โสภณเจตสิก และ เหตุ ๒

    คือ

    อโลภเจตสิก และ อโทสเจตสิก

    เกิดเป็น "ทวิเหตุกบุคคล"



    หมายความว่า

    ปฏิสนธิจิตของบุคคลนั้น

    ไม่มีปัญญาเจตสิกเกิดร่วมด้วย

    บุคคลนั้น

    จึงไม่สามารถบรรลุฌาน หรือ โลกุตตรธรรม ได้

    ในชาตินั้น.


    .


    ผู้ที่ปฏิสนธิจิต เป็นผลของกรรม ที่ประกอบด้วยปัญญา

    และ ปฏิสนธิจิต มีปัญญาเกิดร่วมด้วย

    เป็น "ติเหตุกบุคคล"

    เพราะมีเหตุ เกิดร่วมด้วย ๓ เ หตุ คือ

    อโลภเจตสิก อโทสเจตสิก ปัญญาเจตสิก
    (อโมหเหตุ)



    เมื่อบุคคลนั้น ได้ฟังพระธรรม

    ก็สามารถพิจารณาและเข้าใจพระธรรม

    สามารถอบรมเจริญปัญญา จนบรรลุฌาน

    หรือ รู้แจ้งอริยสัจธรรม ๔

    บรรลุมัคค์ ผล นิพพาน เป็น พระอริยบุคคล

    ในชาติที่เกิดนั้นได้

    ตามควรแก่การสะสม ของเหตุปัจจัย.



    แต่ก็ไม่ควรประมาท.!



    เพราะว่า

    บางท่าน เป็นผู้ที่มีสติปัญญา

    และ ปฏิสนธิจิตเป็นติเหตุกะ ก็จริง

    แต่ถ้าประมาทในการเจริญกุศล และ ประมาทในการฟังธรรม

    ก็จะเป็นผู้ที่ฉลาดแต่ในทางโลก ในวิชาการต่าง ๆ

    แต่ เมื่อไม่มีการอบรมเจริญปัญญา
    ....ในทางธรรม

    จึงไม่รู้ลักษณะของสภาพธรรมตามความเป็นจริง.

    สำหรับคำพยากรณ์ที่ว่า พุทธศาสนาจะมีอายุ ๕,๐๐๐ ปีนั้น มี
    กล่าวไว้ใน ทุติยสมันตปาสาทิกา อรรถกถาพระวินัยปิฎก แต่ถ้าพิจารณา
    ถึงเหตุการณ์ของโลกจะเห็นได้ว่า ยุคนี้ยังไม่ถึง ๕,๐๐๐ ปี เพียง ๒,๕๐๐
    กว่าปี มีผู้ศึกษาพุทธศาสนามาก หรือน้อย ซึ่งเราก็พอจะพิจารณาได้ว่า
    พระพุทธศาสนาจะคงอยู่ถึง ๕,๐๐๐ ปีหรือไม่

    พระพุทธศาสนาจะค่อย ๆ อันตรธาน ไปตามลำดับของพระไตรปิฎก

    คือ พระอภิธรรมปิฎกคัมภีร์สุดท้าย คือ "คัมภีร์ปัฏฐาน" ซึ่งแสดงปัจจัย
    ของสภาพธรรมทั้งหลายอย่างละเอียด ลึกซึ้งมาก จะอันตรธานก่อน และ
    ถอยไปเรื่อย ๆ จนถึงพระสุตตันตปิฎก จนถึงพระวินัยปิฎก

    พระพุทธศาสนาจะดำรงอยู่ได้ต่อเมื่อมีผู้ศึกษา และเข้าใจพระธรรม

    คำสอนอย่างถูกต้อง ถ้ามีพระไตรปิฎก และอรรถกถา แต่ไม่มีใครศึกษา

    ไม่มีใครเข้าใจพระธรรมวินัยที่พระผู้มีพระภาค ฯ ทรงพระมหากรุณาแสดงไว้

    เลย ก็ไม่ชื่อว่าพระพุทธศาสนายังดำรงอยู่ <?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>

    ดังนั้น พระพุทธศาสนาจะเสื่อมจากพระธรรมก่อน แล้วพระวินัยจึง
    เสื่อม จนถึงกาลสมัยที่ภิกษุจะมีแต่เพียงผ้ากาสายะพันคอ หรือ ห้อยหูเป็น
    เครื่องหมายแสดงว่าเป็นบรรพชิตเท่านั้นเอง แต่ความเป็นบรรพชิตที่แท้จริง
    นั้น มิได้อยู่ที่ผ้ากาสายะ แต่อยู่ที่การประพฤติปฏิบัติตามพระวินัยบัญญัติ

    พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย ปัญจก-ฉักกนิบาต เล่ม ๓ - หน้าที่ 446

    ๑. กิมพิลสูตร ว่าด้วยเหตุปัจจัยทำให้ศาสนาเสื่อม

    [๒๐๑] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระวิหารเวฬุ-

    วันใกล้เมืองกิมิลา ครั้งนั้น ท่านพระกิมพิละได้เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า

    ถึงที่ประทับถวายบังคมแล้ว นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้ทูลถาม

    ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อะไรหนอแลเป็นเหตุ เป็นปัจจัยเครื่องให้พระ

    สัทธรรมไม่ดำรงอยู่นาน ในเมื่อพระตถาคตปรินิพพานแล้ว พระผู้มีพระภาค-

    เจ้าตรัสว่า ดูก่อนกิมพิละ เมื่อตถาคตปรินิพพานแล้ว พวกภิกษุ ภิกษุณี

    อุบาสก อุบาสิกา ในธรรมวินัยนี้เป็นผู้ไม่มีความเคารพ ไม่มีความยำเกรงใน

    ศาสดา เป็นผู้ไม่มีความเคารพ ไม่มีความยำเกรงในธรรม เป็นผู้ไม่มีความ

    เคารพไม่มีความยำเกรงในสงฆ์ เป็นผู้ไม่มีความเคารพ ไม่มีความยำเกรง

    ในสิกขา เป็นผู้ไม่มีความเคารพ ไม่มีความยำเกรงกันและกัน ดูก่อน

    กิมพิละนี้ แลเป็นเหตุเป็นปัจจัยเครื่องให้พระสัทธรรมไม่ดำรงอยู่นาน

    ในเมื่อตถาคตปรินิพพานแล้ว.
     

แชร์หน้านี้