-
ปฏิสนธิจิตในภูมิมนุษย์ กับ ปฏิสนธิจิตในอบายภูมิ
เป็น ผลของกรรม ที่ต่างกัน.
.
ผู้ที่ปฏิสนธิในอบายภูมิ นั้น
ปฏิสนธิจิตของบุคคลนั้น เป็น อกุศลวิบากจิต
ซึ่ง เป็นผลของอกุศลกรรม ที่ได้กระทำแล้ว
จึงเกิดใน อบายภูมิ ๔
คือ
นรกภูมิ ๑.
ปิตติวิสัยภูมิ (เปรต) ๑.
อสุรกายภูมิ ๑.
ดิรัจฉานภูมิ ๑.
.
ปฏิสนธิจิต ของผู้ที่เกิดเป็นมนุษย์ หรือ เทวดาชั้นต่าง ๆ
เป็น กุศลวิบากจิต
ซึ่งเป็น ผลของกุศลกรรมที่ได้กระทำแล้ว
จึงทำให้เกิดใน สุคติภูมิ.
.
แม้ว่า การเกิดในมนุสภูมิ เป็นกุศลวิบาก ก็จริง
แต่บางบุคคล ก็พิการตั้งแต่กำเนิด.
เพราะกุศลวิบากจิต ที่ทำกิจปฏิสนธินั้น
เป็น ผลของกุศลกรรม ที่ไม่มีปัญญาเกิดร่วมด้วย
และ เป็นผลของกุศลกรรมอย่างอ่อนมาก.
กุศลวิบากจิตที่ทำปฏิสนธิกิจ
ของบุคคลผู้พิการตั้งแต่กำเนิด นั้น
จึงไม่ประกอบด้วย โสภณเจตสิก
คือ อโลภเจตสิก
อโทสเจตสิก ปัญญาเจตสิก
เมื่อเป็นผลของกรรมอย่างอ่อนมาก
อกุศลกรรม ซึ่งได้เคยกระทำไว้
จึงเบียดเบียน ให้เป็นผู้พิการตั้งแต่กำเนิด.
.
ผู้ที่เกิดเป็นมนุษย์ ซึ่งไม่พิการตั้งแต่กำเนิด
ล้วนเกิดมาแตกต่างกัน โดย สกุล
ยศศักดิ์
บริวาร ฯลฯ
เพราะ กุศลวิบากที่ทำกิจปฏิสนธินั้น
ต่างกัน ตามกำลังของกุศลกรรมที่เป็น "เหตุ"
ถ้าปฏิสนธิจิต ของบุคคลนั้น
เป็นผลของกุศลกรรม ที่ประกอบด้วยปัญญาเจตสิก อย่างอ่อน
และ ไม่มีปัญญาเจตสิกเกิดร่วมด้วย.
ก็หมายความว่า
ปฏิสนธิจิต ที่เป็นกุศลวิบาก นั้น
เกิดร่วมกับ โสภณเจตสิก และ เหตุ
๒
คือ
อโลภเจตสิก และ อโทสเจตสิก
เกิดเป็น "ทวิเหตุกบุคคล"
หมายความว่า
ปฏิสนธิจิตของบุคคลนั้น
ไม่มีปัญญาเจตสิกเกิดร่วมด้วย
บุคคลนั้น
จึงไม่สามารถบรรลุฌาน หรือ โลกุตตรธรรม ได้
ในชาตินั้น.
.
ผู้ที่ปฏิสนธิจิต เป็นผลของกรรม ที่ประกอบด้วยปัญญา
และ ปฏิสนธิจิต มีปัญญาเกิดร่วมด้วย
เป็น "ติเหตุกบุคคล"
เพราะมีเหตุ เกิดร่วมด้วย
๓ เ หตุ
คือ
อโลภเจตสิก
อโทสเจตสิก
ปัญญาเจตสิก (อโมหเหตุ)
เมื่อบุคคลนั้น ได้ฟังพระธรรม
ก็สามารถพิจารณาและเข้าใจพระธรรม
สามารถอบรมเจริญปัญญา จนบรรลุฌาน
หรือ รู้แจ้งอริยสัจธรรม
๔
บรรลุมัคค์ ผล
นิพพาน เป็น พระอริยบุคคล
ในชาติที่เกิดนั้นได้
ตามควรแก่การสะสม ของเหตุปัจจัย.
แต่ก็ไม่ควรประมาท.!
เพราะว่า
บางท่าน เป็นผู้ที่มีสติปัญญา
และ ปฏิสนธิจิตเป็นติเหตุกะ ก็จริง
แต่ถ้าประมาทในการเจริญกุศล และ ประมาทในการฟังธรรม
ก็จะเป็นผู้ที่ฉลาดแต่ในทางโลก ในวิชาการต่าง ๆ
แต่ เมื่อไม่มีการอบรมเจริญปัญญา....ในทางธรรม
จึงไม่รู้ลักษณะของสภาพธรรมตามความเป็นจริง.
สำหรับคำพยากรณ์ที่ว่า
พุทธศาสนาจะมีอายุ
๕,๐๐๐
ปีนั้น
มี
กล่าวไว้ใน
ทุติยสมันตปาสาทิกา
อรรถกถาพระวินัยปิฎก
แต่ถ้าพิจารณา
ถึงเหตุการณ์ของโลกจะเห็นได้ว่า
ยุคนี้ยังไม่ถึง ๕,๐๐๐ ปี
เพียง ๒,๕๐๐
กว่าปี
มีผู้ศึกษาพุทธศาสนามาก
หรือน้อย
ซึ่งเราก็พอจะพิจารณาได้ว่า
พระพุทธศาสนาจะคงอยู่ถึง ๕,๐๐๐ ปีหรือไม่
พระพุทธศาสนาจะค่อย ๆ อันตรธาน
ไปตามลำดับของพระไตรปิฎก
คือ
พระอภิธรรมปิฎกคัมภีร์สุดท้าย
คือ
"คัมภีร์ปัฏฐาน"
ซึ่งแสดงปัจจัย
ของสภาพธรรมทั้งหลายอย่างละเอียด
ลึกซึ้งมาก
จะอันตรธานก่อน
และ
ถอยไปเรื่อย ๆ
จนถึงพระสุตตันตปิฎก
จนถึงพระวินัยปิฎก
พระพุทธศาสนาจะดำรงอยู่ได้ต่อเมื่อมีผู้ศึกษา
และเข้าใจพระธรรม
คำสอนอย่างถูกต้อง
ถ้ามีพระไตรปิฎก และอรรถกถา
แต่ไม่มีใครศึกษา
ไม่มีใครเข้าใจพระธรรมวินัยที่พระผู้มีพระภาค ฯ ทรงพระมหากรุณาแสดงไว้
เลย
ก็ไม่ชื่อว่าพระพุทธศาสนายังดำรงอยู่ <?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
ดังนั้น
พระพุทธศาสนาจะเสื่อมจากพระธรรมก่อน
แล้วพระวินัยจึง
เสื่อม
จนถึงกาลสมัยที่ภิกษุจะมีแต่เพียงผ้ากาสายะพันคอ หรือ ห้อยหูเป็น
เครื่องหมายแสดงว่าเป็นบรรพชิตเท่านั้นเอง
แต่ความเป็นบรรพชิตที่แท้จริง
นั้น
มิได้อยู่ที่ผ้ากาสายะ
แต่อยู่ที่การประพฤติปฏิบัติตามพระวินัยบัญญัติ
พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย ปัญจก-ฉักกนิบาต เล่ม ๓ - หน้าที่ 446
๑. กิมพิลสูตร
ว่าด้วยเหตุปัจจัยทำให้ศาสนาเสื่อม
[๒๐๑]
สมัยหนึ่ง
พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่
ณ
พระวิหารเวฬุ-
วันใกล้เมืองกิมิลา
ครั้งนั้น
ท่านพระกิมพิละได้เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า
ถึงที่ประทับถวายบังคมแล้ว
นั่ง
ณ
ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง
ครั้นแล้วได้ทูลถาม
ว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
อะไรหนอแลเป็นเหตุ
เป็นปัจจัยเครื่องให้พระ
สัทธรรมไม่ดำรงอยู่นาน
ในเมื่อพระตถาคตปรินิพพานแล้ว
พระผู้มีพระภาค-
เจ้าตรัสว่า
ดูก่อนกิมพิละ
เมื่อตถาคตปรินิพพานแล้ว
พวกภิกษุ
ภิกษุณี
อุบาสก อุบาสิกา ในธรรมวินัยนี้เป็นผู้ไม่มีความเคารพ ไม่มีความยำเกรงใน
ศาสดา เป็นผู้ไม่มีความเคารพ ไม่มีความยำเกรงในธรรม เป็นผู้ไม่มีความ
เคารพไม่มีความยำเกรงในสงฆ์
เป็นผู้ไม่มีความเคารพ
ไม่มีความยำเกรง
ในสิกขา
เป็นผู้ไม่มีความเคารพ
ไม่มีความยำเกรงกันและกัน
ดูก่อน
กิมพิละนี้
แลเป็นเหตุเป็นปัจจัยเครื่องให้พระสัทธรรมไม่ดำรงอยู่นาน
ในเมื่อตถาคตปรินิพพานแล้ว.