เห็นด้วยกับน้องหน่อยน่ารัก และ 16 ค่ะ เพราะอาการไบโพล่าน่าจะเป็นในช่วงปรับเปลี่ยนสถาพจิตใจเท่านั้น เมื่อสภาพจิตใจปรับเข้าสู่สมดุลย์ดีแล้วด้วยวิธีทางของพระพุทธศาสนา อาการที่ว่าก็จะค่อย ๆ ดีขึ้น เพราะศาสนาพุทธเป็นโรงพยาบาลรักษาได้ทุกโรคในทางจิตวิญญานหรือทางจิตใจ โชคดีค่ะที่ได้เกิดมาเป็นคนไทยนับถือศาสนาพุทธ ได้พบพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธองค์ แม้ว่าไม่อาจบรรลุเป็นพระโสดาบัน แต่ก็สามารถเข้าใจตนเองและเพื่อนมนุษย์ได้
ผู้บรรลุธรรมทุกขั้นห้ามพบแพทย์ทางจิต หรือแม้แต่ผู้ ที่เริ่มใหม่
ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ธรรมะชาติ, 25 มิถุนายน 2008.
หน้า 2 ของ 3
-
น้องหน่อยน่ารัก เป็นที่รู้จักกันดี
เรื่องนี้มีประโยชน์มากนะคะ เพราะบางท่านเคยมีมาแล้วว่ามีปัญหากับหมอ
หรือคนรอบข้างไม่เข้าใจค่ะ เพราะคนยุคนี้ เขาไมได้มองว่า คนที่เปลื้องผ้า
เป็นโยคีควรกราบไหว้น่ะสิคะ
สมัยนี้ ใครแก้ผ้าเข้า โดนเข้าคุก ข้อหาอนาจาร แล้วยังถูกหาว่าบ้าอีกค่ะ
จริงๆ เรื่องการทำความเข้าใจคนที่มีจิตเหนือโลกขึ้นไปแล้ว ไม่ใช่เป็นเรื่อง
ง่ายสำหรับปุถุชนเลยค่ะ
เห็นว่าผู้โพสโพสข้อความมีประโยชน์นะคะ -
แวะเข้ามาเฉย ๆ จ้า อ่านแล้วเห็นว่า แปลก เน้อ...กลิ่นมันไม่ธรรมดา..ต้องเติมโซดา(ไฟ) ไหมเนี้ย
-
รุ่นน้องเรียกมาอ่าน ก็เลยตอบเผื่อหลายๆ คนด้วยเรื่องการใช้เวลาในชีวิต ขอคุณพระคุ้มครอง
เรื่องใครมองใครถูกหรือผิด ก็เป็นเรื่องของพวกเขา เราอาจใช้วิปัสสนาเรื่องโลกธรรม 8 ได้ แต่ทำให้ผู้เข้ามาเยี่ยมชนผู้ใดไปนิพพานได้ในบัดดลหรือไม่ครับ เราใช้เวลาไปปฎิบัติธรรมอื่นๆ ดีใช้เวลากับเรื่องแบบนี้ดีไหมครับ ชีวิตเรามีเวลาน้อยมากนะครับ(smile) -
คนไม่เคยรวย ไม่รู้หรอกว่าคนรวยเป็นอย่างไร -ได้แต่คาดเดา
คนไม่เคยแต่งงาน ไม่รู้หรอกว่าชีวิตแต่งงานเป็นอย่างไร -ได้แต่คาดเดา
ปุถุชนคนมีกิเลส ไม่รู้หรอกว่าโสดาบันเป็นอย่างไร -ได้แต่คาดเดา
บุคคลใดเป็นโสดาบัน พระอริยะขั้นสูงกว่าเท่านั้นจึงบอกได้
การบอกเองโดยเทียบกับตำราว่า พระโสดาบันต้องละสังโยชน์ ได้ 3 ประการ ฉะนั้น ฉันนะเป็นแล้ว อย่างนี้เป็นอุปกิเลส<O:p></O:p>
ตามที่ได้อ่านได้ฟังมา
พระโสดาบัน มีจิตเป็นสมาธิ อย่างน้อย ปฐมฌาน ผ่านญาณ 16 โคตรภูญาณ ไม่กลัวตาย
อาการทางจิต ไบโพลาร์ (แปลว่า สองขั้ว) ไม่น่าจะเป็นได้เพราะเหมือนคนขาดสติ<O:p</O:p
เคยอ่าน ทศชาติ บารมี 10 หรือเปล่า
สมัยชาติพระเวสสันดร ก็เคยสละช้างเผือก สละลูกและภรรยา ปุถุชนก็หาว่าวิกลจริตและไม่อาจเข้าใจได้<O:p></O:p>
พระมหาชนกว่ายน้ำข้ามมหาสมุทร 7 วัน ปุถุชนไม่อาจทำได้และไม่อาจเข้าใจได้
พระภูริทัต(พญานาค) ยอมตายโดยไม่ยอมผิดศีลทำร้ายพราหมณ์ที่ บังคับทรมานท่าน ปุถุชนไม่อาจทำได้และไม่อาจเข้าใจได้
พระเตมีย์ไม่ปริปากพูด เพื่อที่จะไม่ต้องเป็นกษัตริย์ ปุถุชนไม่อาจทำได้และไม่อาจเข้าใจได้
บางคนก็ว่าเรื่องแต่งไม่เป็นจริง ก็คือปุถุชนที่ยังไม่มีสัมมาทิฐิ
เรื่องบารมี 10 คิดว่าอยู่ในพระสุตันตปิฏก ซึ่งถูกรับรองจากการสังคยานาโดยพระอริยะ ก็ควรจะเป็นเรื่องจริง
การใช้จ่ายเงินอย่างมากของพระโสดาบัน น่าจะเป็นการใช้แบบสละ บริจาค เพื่อพระศาสนาหรือประโยชน์มากกว่าที่จะใช้จ่ายเพื่อความอยาก หรือการสะสมสิ่งของ
ทางเดียวที่จะรู้ได้ต้องเป็นพระสกิทาคามี ขึ้นไป
คำเตือน ผู้เขียนก็ยังไม่ได้เป็นพระโสดาบันหรอก ข้อความข้างต้นก็คาดเดาเอาเหมือนกัน
หลวงพ่อฤๅษีลิงดำท่านเคยเตือนผู้ปฏิบัติว่า ไม่ต้องไปอยากรู้ว่าเราเป็นโสดาบันแล้วหรือยัง เพราะถ้าพลาดยังไม่เป็นแต่คิดว่าเป็นแล้ว จะลงนรก
หาอ่านเรื่องการปฏิบัติเป็นโสดาบันได้จาก หนังสือ เทป ซีดี เรื่อง วิธีหนีนรกอย่างง่าย , ทางเข้าสู่พระนิพพาน ในเว็ปนี้ก็คงมีให้ดาวน์โหลด<O:p</O:p -
เห็นด้วยอย่างยิ่งค่ะ...
ภาวะนี้ไม่ใช่วิสัยที่จะปุถุชนธรรมดาจะเข้าใจและเข้าถึงได้
หนาวแทนคนที่คิดปรามาสท่านจริงๆ...
...หนทางยังมีอยู่ ผู้เดินทางยังไม่ขาดสาย ลงมือเสียแต่วันนี้
ก่อนที่กระแสลมแห่งกาลเวลา จะพัดพารอยพระบาทของท่านหายไป
เพราะถึงเวลานั้น พวกเราก็จะต้องระหกระเหินไร้ทิศทาง ไปอีกนานแสนนาน...
(f)(f)(f)(f)(f)(f)(f)
-
ใครคนแรกที่โพสเนี้ย ตกนรก ไปอยู่กับเทวทัตขุมอเวจีที่ 8 แน่นอนครับ ไม่ต้องบอกก็รู้
มาหลบหลู่ดูมิ่น พระสงฆ์และคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าที่เขาสอนพระสงฆ์มาและให้ปฎิบัติตามได้อย่างไร ไม่เชื่อก็อย่าหล่บลู่สิ -
ผมว่าเกิดการเข้าใจผิด และทางการแพทย์เองก็ตีความอย่างผิด ๆ
ที่จริงแล้ว พระโสดาบันต่างจากคนทั่วไปในทางบวกนะครับ คือ มีสติมั่นคง เด่นชัด สำรวม กาย วาจา ใจ และบางท่านอาจจะแสดงอาการปกติออกมาแบบธรรมชาติมากคือความเป็นสมมติเบาบาง ฯลฯ ลักษณะอาการหรือการแสดงออกมาที่ว่านี้ต่างจากคนธรรมดาส่วนใญ่ทั่วไป พอท่านแปลกออกไปก็เลยไปตีความท่านว่าผิดปกติ เช่น ท่านเข้าใจรู้เห้นสิ่งต่าง ๆ ตามความเป็นจริงแต่คนธรรมดาไม่เข้าใจ ท่านจึงทำตามที่ท่านเข้าใจ แต่เราไม่เข้าใจแต่กลับไปว่าท่าน เช่น พระโสดาบันไม่มีตระหนี่ถี่เหนียวแล้ว ใครขออะไรจะให้หมดยิ่งถ้าท่านรู้นะว่าท่านใดเป็นผู้บริสุทธิ์แล้วรับรองได้ท่านให้หมดไม่มีเหลือ (พระพุทธเจ้าท่านถึงห้ามไม่ให้พระอรหันต์ไปบิณฑบาตรบ้านพระโสดาบัน เพราะท่านเกรงว่าพระโสดาบันจะให้จนหมดตัว)
แทนที่จะบอกว่าคนส่วนใหญ่ที่ใช้ชีวิตแบบโลก ๆ นั้นผิดปกติเพราะอยู่กับความวิปลาส 4 อย่าง อย่างแนบแน่จนไม่รู้ตัว และอยู่กลุกคลีและจมปรักกับสมมติทั้งปวง
ผมว่าเข้าข่ายองุ่นเปรี้ยวมะนาวหวานนะครับ -
เป็นเรื่องธรรมดาของโลก
ตามความเห็นของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าว่ามันก็เป็นเรื่องธรรมดาที่ทางการแพทย์จะมีความเห็นเป็นเช่นนั้น เพราะเขาเหล่านั้นอยู่ในสังคมโลกที่คนส่วนใหญ่ล้วนแล้วแต่มีกิเลสหนา ต้องใช้ชีวิตแบบปากกัดตีนถีบ แก่งแย่งแข่งขันกันไปซะทุกอย่างเพื่อที่จะสามารถมีชีวิตอยู่รอดในสังคมบนโลกนี้ได้ จนในปัจจุบันนี้มีสโลแกนที่สามารถบ่งบอกถึงสภาพการเป็นอยู่ของคนในปัจจุบันได้ดีก็คือ "สมัยนี้จะทำอะไรต้องคิดเร็ว ทำเร็ว" เพราะถ้าช้าชาวบ้านหรือคู่แข่งขันก็ตัดหน้าไปซะก่อน ข้าพเจ้าว่ามันบ่งบอกได้ถึงนิสัยใจคอของคนในสมัยนี้ว่าเป็นเช่นไร ก็ขอสรุปว่าผู้ที่เป็นพระโสดาบันนั้นเปรียบเสมือนชนกลุ่มน้อยที่อยู่กระจัดกระจายกันไปตามที่ต่างๆถึงจะเป็นผู้ที่มีคุณธรรมสูง มักน้อย ไม่เห็นแก่ตัว ฯลฯ ก็ตาม แต่นานๆทีจะพบคนแบบนี้สักครั้ง ซึ่งในสมัยนี้คนส่วนใหญ่มีความเห็นแก่ตัวสูงมากๆ โลภมาก เห็นแก่ตัว ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องปรกติไปแล้ว พอได้มาพบคนดีมีคุณธรรมก็เลยลงความเห็นว่าเป็นผู้ที่ผิดปรกติ เป็นโรคนั้นโรคนี้ไป(จะทำยังไงได้หละก็เพราะพระโสดาบันมีแค่หลักแสน คนมีกิเลสหนามีตั้งหลายร้อยล้าน) -
คุณหล่อกระชากวิญญาณคงจะเป็นพระสกิทาคาแล้วถึงได้วิจารณ์อย่างนี้
พระโสดาบันที่เป็นโทสะจริตไม่มีหรือ
คนโทสะจริตคงไม่ใช่คนที่จะเอื่อยเฉื่อยหรอกครับตามความเห็นของผม
ช่วยให้ความรู้ผมด้วย -
ตามที่คุณ Aqua-ma-rine<SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_1306704", true); </SCRIPT> โพสมา
ผมเห็นว่า ต่างจากพระโสดาบันลิปลับเลย
เช่น อยากใช้เงินฟุ่มเฟือย พระโสดาบันท่านเรียบง่าย อยู่ง่าย กินง่าย สมถะ
มีอารมณ์ทางเพศสูง อยากเที่ยวกลางคืน พระโสดาบันท่านห่างไกลจากกิเลสราคะโทสะมากแล้ว ถึงขั้นเกิดปุ๊บดับป๊บใช้เวลาไม่ถึงนาที ไม่ถึง 5 วิด้วยซ้ำ ท่านชอบวิเวก มีศีล 5 ครบถ้วนก็ไม่รู้จะไปเที่ยวกลางคืนทำไม
ที่บอกว่าไม่ยึดติดนั้น มันคนละอย่าง พระโสดาบันนั้น มีปัญญา รู้ตามความเป็นจริงว่าสิ่งทั้งหลายเป็นทุกขัง อนิจจัง อนัตตา ไม่ใช่ใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่าย
พระโสดาบันแทบจะอยู่กับปฐมฌาน สามารถเข้าฌานที่๑ ได้ทุกเมื่อ ดังนั้นจึงไม่มีทางเห็นพระโสดาบันมีอารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ อารมณ์แปรปรวน
ฯลฯ
สรุปอาการ ไบโพล่า ที่ว่ามา ตรงข้ามกับพระโสดาบันทุกอย่าง -
ไม่เหมือนกันแน่นอนค่ะ...อย่าเอามาเปรียบเทียบกันให้เป็น อกุศลกรรมทางกาย วาจา ใจเลย เผลอๆคนที่ศึกษามาน้อยเข้าใจผิดเพี้ยนกลายเป็นว่า...หลักคำสอนของพระพุทธเจ้าทำให้คนเป็นบ้า...สติไม่ดีไปเสียอีก
ผู้ป่วยโรคจิตชนิด bipolar ทำอะไรไปตามความรู้สึกและอารมณ์ ขาดสติสัมปชัญญะและเหตุผล เดี๋ยวดี เดี๋ยวร้าย...อารมณ์กลับด้าน เปลี่ยนแปลงง่าย
ส่วน "พระโสดาบัน" คือผู้ที่เห็นความจริง ตั้งอยู่ในหลักเหตุผล มีสติสัมปชัญญะในการกระทำ เนื่องจากมีกิเลสเบาบางลงแล้ว เมื่อใจดีทำบุญทำทาน ก็มีตั้งมั่นในกระทำว่า เป็นสิ่งดีมีประโยชน์ ...เป็นการกระทำที่ชอบแล้ว ไม่ใช่เที่ยวแจกจ่ายเงินไปทั่วโดยไร้เหตุผลเหมือนโรคจิตไบโพลาร์ ...ซึ่งพวกนี้แค่พุดจาถูกอารมณ์ ก็แจกหมด...
แพทย์ที่ออกมากล่าวเรื่องนี้...คงพุดไปโดยขาดจิตสำนึก ว่าจะมีผลกระทบอย่างไร ขาดการศึกษาอย่างแท้จริงว่า ... พระโสดาบัน คืออะไร
ส่วนในกลุ่มพระสงฆ์ที่เป็นไบโพลาร์...ก็ไม่แปลก...เพราะพระสงฆ์ คือ ปุถุชนเหมือนเรา ...อย่าเหมาว่าเป็น พระสงฆ์แล้วจะ "บรรลุโสดาบัน" ได้ทุกคน...
ขอให้ทุกคนมีวิจารณาในการอ่าน...และการแสดงความคิดเห็น
เดี๋ยวจะเป็นบาปกรรม จาบจ้วงพระอริยสงฆ์...
พระโสดาบัน ไม่ได้มีบุคลิกเหมือนกันหมด...
บางกลุ่มคือผู้ที่ปฏิบัติตนทำงานให้สาธารณชนโดยไม่หวังผลประโยชน์ใดๆตอบแทน ... จงดูที่การกระทำ ว่าผู้กระทำเจตนาอย่างไร มีสติสัมปชัญญะครบถ้วนหรือไม่...ทำเพื่อส่งเสริมกิเลสคนหมู่มาก หรือทำเพื่อบรรเทาทุกข์ ...และส่งเสริมความสุขสงบ
การใจดีแจกจ่ายเงิน ทำบุญไปทั่ว ก็ต้องดูว่าผู้กระทำเข้าข่ายศรัทธาจนงมงาย ขาดสติสัมปชัญญะ รู้เหตุรู้ผล หรือทำเพราะมีอะไรแอบแฝง ...
ขอยืนยัน...อย่านำผู้ป่วยโรคจิตที่มีการกระทำโดยขาดสติมาเปรียบเทียบพระอริยะค่ะ ... หากผู้ใดได้ชื่อว่าเป็นพระอริยะแต่ต้องรักษาด้วยยาจิตเวช...ก็ไม่ใช่พระอริยะจริง...เป็นของปลอม...หลงคิดไปเองมากกว่า...เป็นโรคจิตหลอน..หลงผิด -
สงสัยหมอจะไปตรวจผิดคน น่ะครับ....
แล้วรู้ได้งัยว่า คนที่ว่าเป็นไบโพล่า เป็นโสดาบัน
เอาอะไรมาวัด ในเมื่อหมอเองยังไม่มีญานทัศนะใดๆไปหยั่งรู้
การที่บุคคลเข้าถึงอริยะมรรค สำเร็จอริยผลขั้นใดขั้นหนึ่ง
มิใช่เกิดได้โดยบังเอิญอย่างแน่นอน
บุคคลนั้นๆจะต้องเจริญมหาสติ พิจารณาธรรมต่างๆจนเห็นจริงขึ้นในจิตใจ
จึงจะสามารถบรรลุธรรมได้เป็นลำดับไป จนกว่าจะละสังโยชน์ 10 บรรลุเป็นพระอรหันต์เจ้า
เรื่องนี้ขอให้ใช้ "โยนิโส นมัสสิการ" พิจารณาก่อนดีกว่าครับ
อย่าไปถกเถียงอะไรบนความไม่รู้เลยดีกว่า เดี๋ยวจะคิดเข้ารกเข้าพงไปเปล่าๆ
(||)(||)(||)(||)(||)(||)(||)(||)(||) -
จะบอกให้เราก่อนจะนั่งสมาธิเราเคยเป็นโรคอารมณืแปรปรวนเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายประมาณโรคเครียดตอนนี้นั่งสมาธิ ช่วยได้เยอะ (แต่ตอนรรอบเดือนมาอาจจะรายการนางมารร้ายปรากฏอยู่บ้าง)
-
อย่าไปคิดอย่าไปเดือดร้อน แทนพระโสดาบันสิครับบบ
ผมอ่านดู ยังไม่เห็นเกี่ยวข้องกันตรงไหนเลย -
แล้ว อ.เปี๊ยก อ.ทิพากร เขาบรรลุโสดาบันแล้วหรือคะ... ?? อันนิถามเพราะไม่ทราบ
-
ไอ้ที่ว่ามาทั้งหมดนั่นเขาเรียกว่า พระโสดาบันซะเมื่อไหร่ครับ เขาเรียกว่าหลงโลกหลงธรรม หลงอารมณ์หลงจินตนาการ โดยสรุปทางพุทธศาสนาแท้ๆนั้นเขาเรียกว่า ความหลง โมหะตัวเบ้งๆ ครับ ไม่ใช่โสดาบันอะไรทั้งนั้น ฉนั้นการจะเชื่ออะไรจากหนังสือก็ควรพิจารณาดีๆแล้วกันครับ
-
-
เขาก็หางานทำไปเรื่อยๆเพื่อแลกกับค่าตอบแทนในการทดลองวิจัยต่างๆ พอมันตันเขาก็เอาทฤษฏี นี่ นั่น โน่น โน้น มาหักล้างกันถกเถียงกันกินเวลานานๆ หมายถึงงานก็ยาวนานไปด้วย ก็อย่างที่เคยกล่าวไปนั่นแหล ขอบเขตุและขีดความสามารถมันอยู่ที่การสังเกตุอาการของผู้อื่น ส่วนธรรมะนั้นไม่มีขอบเขตุจำกัดว่าจะต้องเพ่งพิจารณาเฉพาะธรรภายนอก หรือ ธรรมภายใน แต่เป็นการพิจารณาธรรมรอบๆด้านทั้งภายในบ้างภายนอกบ้างสลับกันไปตามสภาพการเปลี่ยนแปลงของสภาวะจิตนั้นๆ ฯ
เราสิสำคัญที่ว่าเราได้เคยคิดไปว่าเป็นโสดาบันกันแล้วหรือยัง ? -
กระทู้ตั้งแต่ปี 2008 โน่นแน่ะ .... จขกท. ก็ไม่ได้มานานแล้ว ....
หน้า 2 ของ 3