๑๔. ธงมหาพิชัยสงคราม
วัตถุมงคลของหลวงพ่อที่อาตมาประจักษ์ชัดในอานุภาพมากที่สุด เชื่อมั่นติดตัวเป็นที่พึ่งสุดท้ายในยามคับขันตลอดมา คือธงมหาพิชัยสงคราม ด้วยธงเล็ก ๆ ผืนเดียวนี่แหละ ที่ช่วยอาตมารอดจากการบอมบ์ด้วยปืนใหญ่ อย่างไม่ลืมหูลืมตาของฝ่ายตรงข้ามมาแล้ว ทั้งยังรอดจากจรวดอาร์พีจี และกระสุนปืนที่ระดมมาเป็นห่าฝนยิ่งกว่าปาฏิหาริย์...!
ธงมหาพิชัยสงครามนั้นสร้างขึ้นตามตำราพระร่วง เป็นธงนำทัพในสมัยนั้น กว่าจะเขียนเสร็จกว่าจะปลุกเสกเป็นที่เรียบร้อย ก็กินเวลาเป็นเดือน ๆ แต่มีอานุภาพคุ้มกับความเหนื่อยยาก ผืนเดียวคุ้มกันได้ทั้งกองทัพ ตามตำรากล่าวว่า เพียงถือด้ามธงเข้าไปในป่า รับรองว่าไม่อดตาย ป้องกันอันตรายและเสนียดจัญไรทุกชนิด ซ้ำยังดึงดูดแต่สิ่งที่ดีมีมงคลเข้ามาสู่ผู้ใช้อีกด้วย ให้มีแต่ความสุขความเจริญทุกประการ... หลังจากอาจารย์แจง ชาวสวรรคโลกตาย หลวงพ่อก็ไปขอตำราพระร่วงที่ท่านยืมไปจากหลวงปู่ปานคืนมา เปิดดูแล้วชอบยันต์มหาพิชัยสงครามที่สุด แต่วิธีทำตามที่ระบุในตำรา มันช่างยากเย็นเหลือประมาณ นิสัยของหลวงพ่อนั้น ถ้าอะไรมันยากก็ไม่เอาซะเลยหมดเรื่อง...! จึงปล่อยทิ้งคาตำราไว้อย่างนั้นเอง...
คืนหนึ่ง...ปรากฏท้าวมหาพรหมองค์หนึ่ง เสด็จมาหาหลวงพ่อบอกว่า หลวงพ่อเป็นเชื้อสายสุดท้ายของพระร่วง ขอให้ช่วยทำธงมหาพิชัยสงครามขึ้นมา ของวิเศษชิ้นนี้จะได้ไม่สูญหายไปจากโลก ถ้าผิดจากหลวงพ่อแล้ว คนอื่นเอาไปทำเท่าใดก็ไม่เป็นผล เพราะไม่ใช่เชื้อสายกัน หลวงพ่อท่านปฏิเสธไม่ขอทำ บอกว่า ... ท่านท้าวมหาพรหมพยายามขอร้องให้หลวงพ่อทำให้ได้ ต่อรองกันจนในที่สุดท่านขอแค่ว่า ถ้ากลัวเขียนยากก็ให้ลูกศิษย์ไปจ้างเขาพิมพ์มา แล้วตั้งเครื่องบวงสรวงไว้ ท่านจะเสด็จมาทำพิธีให้เอง...! เป็นอันว่าตกลงตามนี้ หลังเสร็จพิธีท่านบอกว่า ให้หนักที่สุด อย่าให้ใครเอาไปทดลองปลุก จะทานอานุภาพไม่ไหว ถึงตายเอาง่าย ๆ ....!
ระยะแรกหลวงพ่อท่านแจกให้เฉพาะทหาร และต้องเป็นทหารที่อยู่แนวหน้าเท่านั้น อานุภาพประจักษ์ชัดเป็นที่เลื่องลือ ขนาดรถจิ๊ปโดนกับระเบิดแหลกราญหมดทั้งคัน ยังลุกขึ้นมายิงกับฝ่ายตรงข้ามได้หน้าตาเฉย ตกอยู่ในวงล้อมชนิดหนึ่งต่อร้อยยังฝ่าออกมาได้ ชนิดที่กลับถึงฐานเพื่อนเผ่นกระเจิง...นึกว่าผีหลอกเพราะจำหน่ายว่าตายไป แล้ว...! อาตมาขึ้นชายแดนคราวนั้น สิ่งเดียวที่ติดกระเป๋าไปคือธงมหาพิชัยสงครามที่รับมาจากหลวงพ่อ ภารกิจหลักอย่างหนึ่งของอาตมาคือ ๒-๓ วันต้องเข้าไปอรัญประเทศ เพื่อซื้ออาหารสดมาเลี้ยงกำลังพล ระยะทาง ๕๐ กิโลเมตร มีโจรเขมรดักปล้นทุกวัน ออกไปลำบากยากเข็ญขนาดนั้น แต่เพื่อขวัญและกำลังใจของเพื่อน ๆ ก็ต้องยอมเสี่ยงเอา...
รถขนเสบียงนั้น จ่าสิบเอกสมชัย สะอิ้งทอง รับมาจากตอนยานยนต์ มีธงมหาพิชัยสงครามติดอยู่ด้วย เก่าแก่จนแทบจะกลายเป็นสีขาว ไม่ทราบว่าใครเอามาติดไว้ตั้งแต่เมื่อไร วันเกิดเหตุนั้น อาตมากับลุงจ่าและเพื่อนทหารอีกหนึ่งนาย ออกไปรับเสบียงตามปกติ... ขาไปสะดวกราบรื่นดี ขากลับมาถึงทางช่วงสุดท้ายเลยบ้านนางามไปเล็กน้อย เป็นรอยต่อระหว่าง ร้อยร. ๙๑๐๒ กับ ร้อยร. ๙๑๐๓ ซึ่งเป็นเขตติดต่อระหว่างกองร้อยของอาตมากับกองร้อยข้างเคียง เสียงจรวดอาร์พีจีก็ลั่น...แ..ว้..ด...ด...! จุดอ่อนของจรวดทำลายรถถังชนิดนี้คือ ขณะถูกส่งออกจากลำกล้องจะมีเสียงดังให้รู้ตัวชั่วเสี้ยววินาที จ่าสมชัยกระทืบเบรคทันที เสียงตูมสนั่นฝุ่นตลบ จรวดมหาประลัยตกห่างจากหน้ารถไม่ถึง ๑๐ เมตร แรงอัดระเบิดกระแทกทุกคนผงะหงายหลัง...! ถ้าไปด้วยความเร็วเดิมรับรองเละทั้งคัน...! ไม่ทราบว่าลุงจ่าแกเหยียบคลัชเปลี่ยนเกียร์อีท่าไหน รถทั้งคันกระโจนพรวดอย่างกับเหาะ พร้อม ๆ กับเสียงแ..ว้...ด ตูม สนั่นขึ้นอีกครั้ง ตรงที่รถเพิ่งกระโจนออกมากลายเป็นหลุมมหึมา แรงอัดอากาศกระแทกจนตับไตไส้พุงแทบขย้อนออกทางปาก...! ยอดพลขับเหยียบคันเร่งจนมิด ยี.เอ็ม.ซี.คู่ใจทะยานแข่งกับเสียงจรวดที่ลั่นตามมาอีกอย่างจะไม่ให้รอดกัน เลย แถมด้วยกระสุนปืนเล็กกลแตกกราวไล่หลังมา ผู้ที่รับไปเนื้อ ๆ คือ ป่าไผ่ข้างถนน ขาดระเนนระนาดด้วยฤทธิ์อาวุธสงครามนานาชนิด...! สิงห์ทะเลทรายประจำกองร้อยของเราสวนออกมาเร็วทันใจดีเหลือเกิน เอ็ม.๖๐ผงาดร่าพ่นมัจจุราชหัวทองแดงเข้าหาฝ่ายตรงข้ามเป็นห่าฝน เท่านั้นเอง...ฟาดกันนัวไม่รู้ว่าใครเป็นใคร จนกองร้อยทหารพรานที่ตั้งอยู่ใกล้ ๆ ต้องยกกำลังมาเสริมทั้งกองร้อย...!
จ่าสิบเอกสมชัย สะอิ้งทอง กลายเป็นวีรบุรุษไปเลย แต่ลุงจ่าแกบอกอยู่คำเดียวว่า …ไม่ใช่ฝีมือผม...ผมทำแบบนั้นได้ซะเมื่อไหร่..เดชะบุญคุณพระคุ้ม แท้ ๆ ....! แต่ไม่มีใครฟังแกเลย ต่างคว้าพระที่คอของลุงจ่าไปดูกันเป็นการใหญ่ แต่สรุปไม่ได้ว่าองค์ไหนช่วย...! อีกไม่กี่วันต่อมา หมู่ปืนเล็กลาดตระเวนของสิบเอกอภิชาติ อินต๊ะรัตน์ ไปถูกล้อมกรอบที่เนิน ๔๒... สิบเอกบุญยูร ทรัพย์อุปการ ตัดสินใจขับรถปาฏิหาริย์คันนี้ ลุยเข้าไปกลางวงล้อมช่วยพรรคพวกทั้งหมดออกมา ชนิดที่รถไม่ระคายเลยแม้เท่ารอยแมวข่วน...! ทุกคนอัศจรรย์ใจเหลือที่จะกล่าว รถคันเท่าบ้านเท่าตึก ฝ่ายตรงข้ามยิงไม่ถูกซักนัด...! มีเพียงพลทหารวรรณะ ใสรังกาบาดเจ็บที่ข้อเท้าคนเดียว...!
อานุภาพธงมหาพิชัยสงครามที่เด่นชัดที่สุดที่อาตมาพบ เกิดขึ้นเมื่อฝ่ายตรงข้ามถล่มกองร้อยของอาตมาด้วยปืนใหญ่ขนาด ๑๕๕ ม.ม.เสียงระเบิดปานฟ้าผ่าปลุกทุกคนขึ้นมาตอนใกล้รุ่ง อาตมากระโดดลงหลุม ปืนกลหนักขนาด ๑๒.๗ ม.ม.ระดมยิงสวนไปอย่างหูดับตับไหม้ หมู่ ค. ๘๑ เผ่นเข้าประจำที่ ส่งกระสุนตอบโต้อย่างกับเด็กหาญสู้ผู้ใหญ่...! ตามปกติแล้วหมู่ปืนใหญ่ที่ชำนาญมาก ๆ ภายในสามวินาทีจะยิงได้ ๑ นัด อาตมาให้อย่างช้าหกวินาทีต่อนัดเลยเอ้า ...ปืนใหญ่ทั้งสามกระบอกรุมบอมบ์อยู่ ๑๕ นาที ๔๕๐ นัด...! มัจจุราชแตกอากาศ ที่รัศมีแห่งความตายของแต่ละนัดเท่ากับ ๕๐๐ เมตร ไม่ทราบว่าวิ่งชนกำแพงอะไร ตกอยู่แค่แถวหน้าฐานทั้งหมด กระทั่งข้ามฐานยังข้ามไม่ได้เลย...! ผืนเดียวคุ้มได้ทั้งฐาน.... เสียงหลวงพ่อที่บอกขณะอาตมารับมอบธงจากท่านดังก้องขึ้นในใจ อาตมาขนลุกซู่ไปทั้งตัว สาธุ...พระเดชพระคุณคุณหลวงพ่อ ถ้าไม่ได้ความเมตตาจากท่านช่วยคุ้มครอง ลูกคงตายไปหลายวาระแล้ว...!
ต่อมาภายหลัง อาตมาได้รับวัตถุมงคลรุ่นเก่าของหลวงพ่อหลายอย่าง ที่คนอื่นเขาหากันทั้งชีวิตก็ไม่ได้ เช่น เหรียญเกลียวเชือก ธงเขียว ธงแดง ลูกแก้วจักรพรรดิ มีดหมอ พระเนื้อชินตะกั่ว ยันต์ท้าวมหาชมภู ตลอดถึงพระบรมสารีริกธาตุ พระธาตุพระสีวลี เป็นต้น ไว้ในครอบครองอย่างง่ายดาย อาตมามั่นใจว่าเป็นอานุภาพของธงมหาพิชัยสงคราม ที่ดึงดูดแต่สิ่งที่ดีเข้าหาเจ้าของ ช่วยบันดาลให้เป็นไปอย่างแน่นอน...!
๒๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๓
พระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
ด้วยเหตุที่หลวงพ่อฤาษีลิงดำ ท่านเคยเป็นทหารมาก่อน (ยศเรือตรี) ท่านจึงรัก และเมตตา ทหาร ตำรวจ ท่านเดินทางไปแจกวัตถุมงคลตามชายแดนตลอด ที่ไหนมีอันตรายท่านก็ไปเพื่อเป็นกำลังใจให้เขาเหล่านั้น
“ธงมหาพิชัยสงครามเป็นธงนำทัพตั้งแต่สมัยพระร่วง อานุภาพนั้นผืนเดียวคุ้มได้ทั้งฐาน”
ผมตั้งใจว่าจะมอบผ้ายันต์มหาพิชัยสงครามให้กับทหาร หรือ ตำรวจ ที่ปฏิบัติหน้าที่ภาคใต้ และ 4 อำเภอ ของ จว.สงขลา ( ก่อนหน้านี้แจกให้ ส.ท. คนหนึ่งปฏิบัติหน้าที่ จว.ยะลา ไป 2 ผืนแล้ว) อยากขอความกรุณาลูกหลานหลวงพ่อในนี้ ช่วยบอกชื่อ หรือที่อยู่ ให้ผมทางเมล์จีพระ หรือ โทร 084-3637071 และ 085-0339144 ( หนุ่ม) อยากให้ท่านถามคนที่ท่านรู้จัก ว่าอยากได้ธงมหาพิชัยสงครามไหม หากต้องการผมอยากจะขอชื่อ ที่อยู่ สังกัด จะได้ส่งผ้ายันต์ไปให้ คนละ 2 ผืน โดยขอให้นำติดตัว 1 ผืนและ เอาไว้ที่ฐาน ( ติดบนบนธงชาติของหน่วย หรือ บนหิ้งพระ) เพราะหลวงพ่อบอกผืนเดียวคุ้มได้ทั้งฐาน และผมจะปริ๊น อานุภาพ วิธีการใช้ธงมหาพิชัยสงครามให้ไปด้วย และ ขอเบอร์โทรคนที่จะรับไปด้วยนะครับ ผมจะโทรหาสอบถามว่าธงมหาพิชัยสงคราม ได้รับหรือยัง และเขามีกรณีสงสัย จะได้คุยกันครับ
ขอบคุณทุกท่านด้วยนะครับ
ตอนนี้เตรียมไว้แล้ว 20 ผืนนะครับ ยังไม่มีเมล์มาเลยครับ ฝากประชาสัมพันธ์ เพื่อคนที่ใกล้ตัวเขารู้จักทหาร ตำรวจ ครู หรือ อื่นๆที่ทำงานภาคใต้ จะได้ส่งให้เขา รบกวนทุกท่านด้วยนะครับ.....
ปล.จะโทรมาบอกชื่อที่อยู่ หรือเมลล์ทางจีพระ หรือ noom7002@hotmail.com โทร 084-3637071 และ 085-0339144 ผมชื่อ หนุ่ม ขอบคุณครับ
เพื่อการกุศล ฝากประชาสัมพันธ์ มีพี่ท่านหนึ่งแจกผ้ายันต์พิชัยสงครามใ้ห้ทหารครับ
ในห้อง 'พระเครื่อง วัตถุมงคล' ตั้งกระทู้โดย tee5555, 17 มกราคม 2013.
-
ไฟล์ที่แนบมา:
-
-
ผ้ายันต์มหาพิชัยสงคราม
จากประสบการณ์ของ คุณหมอ พล.ต.ท.นายแพทย์สมศักดิ์ สืบสงวน
(จากหนังสือ ลูกศิษย์บันทึก เล่ม 2)
.....ส่วนหลวงพ่อ และคณะ อยู่เรือนรับรองอีก ๑ หลัง ใช้เวลาเยี่ยมตำรวจ ทหารทุกวันตั้งแต่ ๗.๐๐ น. และกลับประมาณ ๑๘.๐๐ น. โดยใช้ ฮ.เป็นพาหนะ ฮ.จะมารับที่สนามกีฬา ซึ่งอยู่ตรงข้ามกับจวนผู้ว่า (ชื่อโชดก) ฮ.จะบินไปเยี่ยมทุกฐานของทหารและตำรวจใน ๒ จังหวัดซึ่งอยู่ติดต่อกัน (นครศรีธรรมราชและสุราษฎร์ธานี)
ในขณะนั้นขวัญและกำลังใจของตำรวจ และทหาร ตกมาก พวก (ผกค) คอม. เข้ายึดหมู่บ้านไว้เป็นฐานกำลังของเขาได้หลายจุด
โดยเฉพาะที่สุราษฎร์ธานี พวกคอมเข้ามาถึงในตัวเมือง บุกยึดสถานีรถไฟ แล้วจะยึดสถานีตำรวจ ซึ่งอยู่ใกล้ๆกันด้วย แต่โดยบารมีพระคุ้มครอง กระสุนปืนที่ยิงโรงพักขึ้นข้างบนหมด ถูกแต่หลังคาโรงพักเสียหาย โชคดีที่ยังมีตำรวจที่กล้าตายต่อสู้ จนมันต้องถอนตัวกลับเข้าป่าไป
หลวงพ่อ และท่านหญิง พร้อมคณะก็ไปเยี่ยม ในขณะที่กำลังขวัญกระเจิงพอดี ตำรวจที่สถานีดีใจมาก อย่างเห็นได้ชัด เพราะทั้งหลวงพ่อ และท่านหญิง ได้พูดให้กำลังใจแก่พวกเขาให้ฮึกเหิม เกิดความรักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และปวงชนชาวไทยทั้งมวล
หลังจากนั้นท่านก็แจกธงมหาพิชัยสงครามให้ทุกๆคน และแนะนำวิธีใช้
ในขณะนั้น บังเอิญมีชายผู้หนึ่งเข้ามารับแจกธงด้วย
หลวงพ่อท่านก็ทักว่า คุณอย่าเอาไปเลย หากคุณรับไปแล้วไปใช้ในทางที่ไม่ถูกไม่ควร เช่นไปปล้น - จี้เขา หรือไปเข้ากับพวกคอม คุณจะถูกเขายิงตาย โดยจะถูกปืนยิงเข้าแสกหน้าทะลุออกด้านหลัง
เขาก็ยังยืนยันจะขอรับให้ได้
หลวงพ่อ ก็ให้ไป พอเขาไปแล้วมีตำรวจมารายงานให้หลวงพ่อทราบว่า
อ้ายนี่แหละครับตัวแสบ เป็นนก ๒ หัว เป็นแนวหน้าให้คอม มันทำชั่วได้ทุกอย่าง
ผลก็คือ ๒ - ๓ วันต่อมา ตัวแสบก็ถูกยิงตายสนิท ขณะปะทะกับตำรวจ
เพราะมันนำพวกคอมเข้าโจมตีหมู่บ้าน และถูกยิงเข้ากลางแสกหน้าทะลุท้ายทอยจริงๆ
พุทธานุภาพของธงมหาพิชัยสงคราม มีจริง อย่างไม่ต้องสงสัย
และจะไม่ป้องกันคนชั่วด้วย
พวกตำรวจหลังจากได้รับแจกผ้ายันต์ ธงมหาพิชัยสงครามแล้ว กำลังใจดีมากทุกคน
ในวันรุ่งขึ้น ตำรวจซึ่งกลัวพวกคอม และพวกที่มีอิทธิพลมากที่คุมเขาศูนย์อยู่
พวกตำรวจไม่กล้าแม้แต่จะผ่านทางนั้น แต่พอได้ของดีก็ยกกำลังขึ้นบุกเขาศูนย์เลย
(เขาศูนย์มีแร่วุลแฟรมมากมาย) ฝ่ายพวกคอมก็ยิงลงมาแบบไม่เลี้ยง แต่ปรากฏว่าไม่มีผู้ใดได้รับบาดเจ็บเลยแม้แต่คนเดียว ที่รู้กัน เพราะตำรวจรายงาน ให้ทราบ (พ.ต.ท.สุดินทร์ สิงหรา ณ อยุธยา)
คณะของหลวงพ่อ และท่านหญิง เดินทางโดย ฮ. จึงบินแวะไปเยี่ยมอีกครั้ง ปรากฏว่า เหล่าตำรวจทั้งหลายต่างแย่งกันรายงานผล ให้หลวงพ่อฟังด้วยปากของตนเองจนฟังไม่ทัน
สรุปแล้วมีใจความ
๑.การเข้ายึดเขาศูนย์ใช้เวลาเพียงไม่ถึงครึ่งชั่วโมง เพราะทุกคนไม่กลัวตาย ต่างคน ต่างดิ่งตรงเข้าไปยึดเอาดื้อๆ ไม่ทราบว่าเพราะอะไร
๒.กระสุนปืนฝ่ายตรงข้ามยิงมาหนาแน่นมาก แต่แปลกที่ไม่มีใครโดนลูกปืนเลยสักคน
๓.ความรู้สึกบอกว่า กระสุนผ่านตัวไป (เฉียดตัว) เห็นเป็นสายแต่ก็ไม่โดน เมื่อเห็นว่าตัวไม่ได้รับอันตรายจากลูกปืนแล้ว เลยไม่กลัวอีก ไม่หลบ ไม่หมอบลงกับพื้น วิ่งตรงเข้าหาผู้ที่ยิงปืนมาโดยไม่ยอมหลบ
๔.ผลก็คือยึดพื้นที่ได้และจับพวกที่ถอยหนีได้ทันหลายคน ในเวลาอันสั้น เป็นที่อัศจรรย์ยิ่งนัก
หลังจากนั้นตำรวจกองนี้ก็บุกแหลก ไม่เคยกลัวพวกคอม (ผกค) อีก
มีข่าวพวกคอมจะเข้ามาหมู่บ้านใดก็ตรงเข้าปะทะทันที และก็ตีพวกนั้นกระเจิงไปทุกครั้ง
แต่มีอยู่วันหนึ่ง ขณะที่คณะของเรากำลังบินอยู่กลางอากาศ ได้รับวิทยุแจ้งเข้ามาว่า
ตำรวจถูกยิงได้รับบาดเจ็บให้ส่ง ฮ.มารับตัวด้วย ฮ.ของเราก็บินตรงไปจุดนัดพบทันที
เมื่อลงไปเราไม่พบผู้บาดเจ็บเลย มีแต่พวกตำรวจมารุมล้อมหลวงพ่อ
หลวงพ่อ เลยถามว่า คนไหนที่ถูกยิงบาดเจ็บ
ก็มีตำรวจ ที่กำลังเกาะขาหลวงพ่ออยู่ ตอบว่า ผมเองครับ
หลวงพ่อ ถามว่า ไหนขอดูแผลหน่อย
ตำรวจ ก็ตอบว่า ถากไปนิดเดียวครับที่ขา แล้วก็ถลกขาให้ดู
ผมเห็นแล้ว เป็นเพียงแค่หนังกำพร้าถลอกเท่านั้น ผมก็เลยเกิดอารมณ์เสีย
เพราะทำให้เราต้องเสียเวลาแวะมาดู ตำรวจบาดเจ็บแค่หนังถลอกเท่านั้น
ผู้ที่วิทยุให้เรามารับคนเจ็บไม่ได้กรองข่าวเสียก่อน ก็สั่งการทันที
แต่ผมก็มีอารมณ์มาตัดบอกว่า เออ ดี หลวงพ่อ ท่านจะได้มีโอกาสให้กำลังใจตำรวจกลุ่มนี้อีกครั้ง เป็นการเพิ่มกำลังใจให้เขามั่นใจในพุทธานุภาพยิ่งขึ้นไปอีก ตำรวจทุกคนหน้าตายิ้มแย้มแจ่มใสมาก
เมื่อได้รับการชี้แจงถึงพุทธานุภาพจากธงมหาพิชัยสงครามอีกครั้ง
ด้วยเครื่องขยายเสียง ต่อหน้ากลุ่มคนจำนวนมาก
ซึ่งแน่นอนจะต้องมีพวกคอม (ผกค) ร่วมปะปนอยู่ด้วย เป็นการข่มขวัญกันไปในตัว
ขอเล่าเรื่องอานุภาพของธงมหาพิชัยสงครามที่หาดใหญ่ - สงขลาให้ฟังเสียด้วยว่า
คณะของหลวงพ่อได้แจกธงนี้ให้กับทหารกันทุกคนที่นั่นเรียงตัวโดยให้เข้าแถวรับ ผมเองก็เป็นผู้เดินแจกธงด้วย
ปรากฏว่าภาคใต้มีทหารที่นับถือศาสนาอิสลามอยู่ด้วย ดังนั้น ทหารพวกนี้เขาจะไม่รับโดยพูดว่า "ผมอิสลามครับ"
เราก็เว้น แล้วแจกรายต่อไป
หลังจากที่แจกให้ครบแล้ว
อีกประมาณ ๗ วันต่อมา แม่ทัพภาคที่ ๔ ออกตรวจเยี่ยมทหารด้วยขบวนรถ ๙ คัน
ปรากฏว่ามีพวกคอม (ผกค) ซุ่มโจมตีอยู่ข้างทาง
หลังจากปะทะกันสักครู่ เขาก็ถอยเข้าป่าไป ฝ่ายเราก็สำรวจความเสียหาย ปรากฏว่ามีทหารตาย ๙ คน
ทุกคนเป็นอิสลามหมด เพราะไม่มีธงมหาพิชัยสงคราม ติดตัว
แต่ความลับไม่มีในโลก ข่าวนี้แพร่กระจายไปทั่วกองทหารทุกกองในภาคใต้
ครั้นคณะของหลวงพ่อและท่านหญิงไปเยี่ยมทหารอีก และแจกธงให้กับหน่วยที่ย้ายเข้ามาแทนหน่วยเก่า และแจกให้กับผู้ที่ยังไม่ได้รับ
ผลมีดังนี้ครับ ทหารที่เป็นอิสลามไม่ใช่ไม่ยอมรับธง แต่แย่งจากมือผู้แจกเลย
ได้ถามความรู้สึกกับพวกเขา เขายอมรับแต่โดยดีว่า ผมกลัวธงหมดครับ ผมกลัวว่าจะไม่ได้ครับ.....
หลวงพ่อเห็นผีปอบที่ท่าลาน
"..สมัยเมื่ออาตมายังอยู่วัดบางนมโค อำเภอเสนา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เคยพบผีปอบ คราวนั้นหลวงพ่อไปเรือยนต์ขนาดเล็กไปจอดนอนพักที่ท่าลาน เพื่อไปสืบราคาค่าเหล็ก ค่าปูน ว่าราคาเท่าไร พอไปจอดก็มีคนมาทำบุญ ตอนกลางคืนเวลาตี ๒ ตื่นขึ้นมาเห็นคนผู้ชายและผู้หญิงแต่งตัวไม่ดี วิ่งมายืนที่หน้าตลิ่ง และก็มีผู้ชายคนหนึ่งนั่งห้อยขาอยู่บนหลังคาเรือยนต์ แล้วกวักมือบอกว่า "มึงเก่งจริงมาซิวะ"
ผลที่สุดพวกนั้นมองเห็นคนบนหลังคาเรือเข้าจึงวิ่งหนีไปหมดเลย จึงถามคนบนหลังคาเรือว่า "เป็นใคร" ให้ลงมา ท่านบอกว่า "ท่านชื่อพรสวรรค์" และพวกที่มาเป็นพวก "ผีปอบ" ตอนเช้าถามพวกแถวนั้นว่ามีผีปอบไหม เขาบอกว่า "มีมาก"
ผีปอบก็เป็นผีที่มีรูปร่างหน้าตาเหมือนคนธรรมดาอย่างพวกเรานี่เอง
"ผ้ายันต์แดง" คือ "ผ้ายันต์มหาพิชัยสงคราม" นี่ผีปอบหนี อาตมาเคยใช้มาแล้ว และให้ขอบารมีท่านพรสวรรค์ท่านอยู่บนพระนิพพานแล้ว ให้ท่านช่วยสงเคราะห์เพราะท่านปราบผีเก่ง.." -
อานุภาพธงมหาพิชัยสงคราม
ถาม : ....................................
ตอบ : เจ้านั่นไปเที่ยวบางแสน ๔ วันหลับมาแอร์เปิดคาอยู่ดีที่ไม่ไหม้แสดงว่ามันอึดน่าดูเลยน่ะ ๔ วัน ๔ คืนเปิดอยู่ได้ยังไง บ้านเขาติด ธงมหาพิชัยสงคราม เลย มั่นใจว่าเป็นอานุภาพของธง ลักษณะเดียวกับตอนที่ไฟมันไหม้ตึกแถว พอไหม้มาถึงบ้านที่เขาติดธงเอาไว้ไม่รู้มันกระโดดข้ามไปได้ยังไงมันไหม้ห้อง ต่อไป เว้นห้องนั้นเอาไว้ ไอ้เราก็ยังงงๆ เลยไม่ว่าจะเป็นกฏฟิสิกส์หรือหลักของอากาศพลศาสตร์อีท่าไหนก็ตาม มันไม่มีทางที่กระโดดข้ามห้องแถวที่ติดกันไปห้องหนึ่งได้หรอก แต่มันไปได้ (หัวเราะ) ไปไหม้ห้องถัดไป ตกลงคนอื่นเขาดำเป็นตอตะโกกันหมด มีขาวอยู่ห้องเดียว
งวดก่อนไปหาดใหญ่ซักสามปีมาแล้วมั้ง ตรงช่วงในเป็นห้องแถวไม้ก็ไฟไหม้ เขาเก็บของหนีกันอลหม่าน พวก ท่านแสงชัย ตอน นั้นยังไม่ได้บวช ก็ไปช่วยเขาเก็บของอะไรด้วย เก็บเสร็จก็มานั่งหอบแฮกๆ อยู่ เราก็ถามว่าที่บ้านติดธงมหาพิชัยสงครามด้วยรึเปล่า ? เขาบอกว่าติด พอถามว่าติดธงไว้รึเปล่า เขาบอกว่าติด เราก็สบายใจ ถ้ามีธงละก็ไม่เป็นไรหรอก ให้มันไหม้ไปเถอะ ไหม้ที่อื่นเดี๋ยวมันไม่มาถึงเราหรอก ปรากฏว่าคุณแสงชัยเขายกพานใส่วัตถุมงคลให้ดูอยู่นี่ครับ ผมถอดมาด้วย (หัวเราะ) แหมมันเก็บเกลี้ยงจริงๆ อยู่นี่ครับผมถอดมาด้วย ยังดีนะที่รถดับเพลิงสกัดเอาไว้อยู่ก่อน ไม่งั้นก็คงมีโอกาสโทษกันให้วุ่นไปเลย ด้วยความหวังดีเก็บให้ก็เลยเก็บมาเกลี้ยงเลย
ถาม : แสดงว่าไฟไหม้นี่ให้เหลือธงไว้ เก็บอย่างอื่นไป ?
ตอบ : อย่างอื่นเก็บไปเถอะ อันนั้นเขาเอาไว้กันโดยตรง เรื่องอย่างนี้ฟังๆ ดูแล้วเหมือนยังกับว่ามันไม่น่าเชื่อ แต่ว่ามันพิสูจน์ได้เห็นมาเยอะต่อเยอะด้วยกัน เจ้าแข กลับไปแล้วใช่มั้ย ? เจ้า ดวงแข นี่ บ้านเขาอยู่ด่านช้าง เขาทำไร่อ้อยอยู่สองร้อยกว่าเกือบสามร้อยไร่ แล้วก็มีพวกเห็นแก่ตัวมันจะเผาไร่อ้อยกันประจำเลย โดยเฉพาะโรงงานน้ำตาลมันจ้างเผา เหตุที่จ้างเผาเพราะว่า ถ้าโรงงานที่อยู่ไกลๆ ให้ราคาดีกว่าเขาจะขายให้โรงงานที่อยู่ไกลไม่ขายให้ของเขา เขาก็จะมาจ้างคนเผาไร่ อ้อยที่ผ่านการเผาไฟมาจะบูดเร็วมากเลย ไม่เหมือนกับอ้อยที่ตัดสดไป ทิ้งอยู่เป็นอาทิตย์มันอยู่ได้ แต่อ้อยเผาไฟนี่อยู่ได้วันสองวันมันจะบูด ก็เลยต้องเข้าโรงงานใกล้ๆ คือวิ่งไปเข้าโรงงานของมันนั่นล่ะ ยายนี่ประสาทกลับเลยรอบข้างมีแต่ไฟไหม้ไปหมด ก็เลยบอกให้เอาธงไปติดเอาไว้ ขนาดธงไปติดไว้มันก็ยังประสาทกินอยู่นั่นล่ะ ไฟไหม้ล้อมมาทุกด้านเลย แต่ปรากฏว่ามาไม่ถึง ใช้คำว่าบังเอิญดับซะก่อน แต่เรื่องบังเอิญนี่มันบังเอิญบ่อยจังเลย
จริงๆ แล้วธงมหาพิชัยสงครามท่านใช้คำว่าดีทุกอย่าง ตามตำราโบราณสมัย พระร่วง อยู่บอกว่า แม้แต่ถือด้ามธงเข้าป่าไปก็จะไม่อด อานุภาพถึงขนาดนั้น เพียงแต่ว่าของเราเองจิตใจยึดมั่นแค่ไหน ? วัตถุมงคลทุกชนิดเหมือนกับเครื่องส่งกำลังสูงในเมื่อเครื่องส่งๆ เต็มที่ สำคัญตรงเครื่องรับกำลังใจของเรามันเปิดรับเท่าไหร่ ถ้าหากว่ามีจิตเลื่อมใสมีการอาราธนาถูกต้องตามรูปแบบของเขา เท่ากับเอาเปิดรับเต็มที่มันก็จะได้ผลมาก คนที่เขาไม่เลื่อมใสไม่เชื่อถือผลก็จะน้อย เพราะฉะนั้นเครื่องส่ง ๆ แล้วสำคัญตรงเครื่องรับของเรานั่นล่ะ ถึงว่าทุกสิ่งทุกอย่างถ้าหากว่ามันจะดีมันต้องประกอบด้วยศรัทธาก่อน แต่ว่าศรัทธาอันนี้มันต้องมีปัญญประกอบ ไม่ใช่เชื่อหัวทิ่มหัวตำไปอย่างเดียวพิสูจน์ซะก่อน เขาบอกกันไฟได้เราก็เอาน้ำมันราดเผามันซะเองเลย ดูซิมันกันได้จริงมั้ย ? เจอข้อหาวางเพลิงบ้านตัวเองแหงๆ
ถาม : เอาธงไว้ที่ไหนในบ้านหรือเอาไว้หน้าบ้าน ?
ตอบ : ที่ไหนก็ได้แต่ว่าให้หันหน้าไปทิศเหนือหรือทิศตะวันออกผืนเดียวคุ้มได้ทั้ง สถานที่ สมมติว่าบ้านเรามีที่ดินซักพันไร่ก็คุ้มได้ทั้งพันไร่นั่นล่ะ เพียงแต่ว่าเวลาอธิษฐานขอให้ท่านป้องกันให้ครบด้วยนะ ไม่ใช่ประเภทไปถึงแปะฉับก็ทิ้งเอาไว้ทั้งปีทั้งชาติไม่เคยนึกถึงท่านเลย
ถาม : ต้องดูวันปิดมั้ยเจ้าค่ะ ?
ตอบ : ดูจ๊ะ ดูวันที่เรามีธง วันที่ไม่มีติดไม่ได้แน่เลย
ถาม : ต้องดูฤกษ์ ดูยามนี่จริงมั้ยเจ้าค่ะ ?
ตอบ : ไม่ค่อยจะจริงจ้ะ เรื่องของฤกษ์ยามมันเหมือนกับคนข้ามถนนเปรียบให้ฟังง่ายๆ ถ้าข้ามถนนในจังหวะที่ไม่มีรถมันก็ปลอดภัยแน่นอนนะ แต่ว่าคนที่เขาเก่ง ๆ เขาก็ข้ามโดยที่รถเยอะๆ เขาก็ข้ามได้ปลอดภัยดีแต่ว่ามันประมาทเกินไป สักวันหนึ่งอาจจะชราหูตาฝ้าฟางพลาดท่าให้รถชนเดี้ยงไปก็ได้ถ้าไม่เป็นการ ยุ่งยากลำบากเกินไปนักก็อาศัยฤกษ์ยามซะหน่อยหนึ่ง แต่ถ้าหากว่าเห็นว่ามันยุ่งยากมันลำบาก กำลังใจกำลังใจของเราเข้มแข็ง เกิดอะไรขึ้นรับได้อยู่แล้ว ลุยไปเลยวันไหนก็ได้
ถาม : หนูไปติดหนูก็ไม่ได้ดูวัน ?
ตอบ : ก็บอกแล้วไงว่า ถ้าเป็นวันที่มีธงก็ใช้ได้แล้วล่ะจ้ะ
ถาม : ใส่กรอบเสร็จแล้วก็ตอกตะปูแขวนหน้าบ้าน ?
ตอบ : นั่นล่ะ สะดวกที่สุด
สมัยก่อนธงมหาพิชัยสงครามจะเป็นวัตถุมงคลที่หลวงพ่อวัดท่าซุงหวงมาก เพราะ ว่าทำยากทำเย็นเหลือเกิน สมัยก่อนนี่เขาเขียนด้วยมือ ผืนหนึ่งเขียนเป็นเดือนกว่าจะเสร็จ หลวงพ่อท่านศึกษาตำราเสร็จบอกชอบใจแต่ว่าทำไม่ไหว ไม่มีเวลา ท้าวมหาชมพูที่ เป็นเจ้าของธง ท่านเคยเกิดเป็นพระร่วงมาก่อน ท่านมาบอกว่าให้ทำ หลวงพ่อบอกว่าทำไม่ไหว ท่านก็เลยผ่อนผันให้ บอกว่าให้ไปปั๊มขึ้นมาก็ได้แล้วก็นำมาเสก เอามาเสกหลวงพ่อก็บอกว่าเสกไม่ไหว คาถามันยาวเหลือเกิน ท่านก็เลยบอกว่าแกทำมาข้าเสกเอง หลวงพ่อท่านถึงได้บอกว่า เออ..อย่างนั้นพอไหว ท้าวมหาชมพูท่านบอก ถ้าไม่ใช่น้องไม่ใช่นุ่ง ไม่ใช่ลูกไม่ใช่หลาน เดี๋ยวจะอัดให้ร่วงเลย..อะไรที่ลำบากหลวงพ่อไม่เอา ท่านเอาแต่สบาย ๆ
คราวนี้การเสกธงมหาพิชัยสงครามตอนนั้นน่ะทำที่ไหนโยมรู้ไหม ? วัดบวรจ้ะ เหลือเชื่อไหม ? เพราะตอนนั้นสถานการณ์ชายเเดนไม่ดีมาก เลยต้องมีการทำวัตถุมงคลสำหรับส่งไปให้ทหารที่ชายแดน งวดนั้นเสกธงมหาพิชัยสงครามที่วัดบวรประมาณ ๑ คันรถปิ๊กอัพ แต่ว่าหลวงพ่อหวงมากใครมาขอธงจะถามว่าเป็นทหารตำรวจชายแดนหรือเปล่า แล้วถ้าไม่ใช่แนวหน้าก็ไม่ให้ด้วย
ตอนช่วงนั้นหลวงพ่อออกเยี่ยมชายแดนเป็นว่าเล่นเลย มีรายที่ประเภทเขี้ยวลากดินที่สุดก็คือผู้การประจักษ์ ผู้การประจักษ์ก็คือ พันเอกประจักษ์ สว่างจิต ยังเติร์กคนดัง ตอนนั้นเป็นผู้บังคับการกรมทหารม้าที่ ๒ อยู่ .... เขาเรียกบูรพาพยัคฆ์ คือค่ายอยู่ทางตะวันออก (วัฒนานคร) แกเล่นเอารถถังทุกคันมาให้หลวงพ่อติดธงมหาพิชัยสงคราม และเจิมให้ด้วย กะเอาชนิดที่ว่าอย่างไรกูต้องรอดแน่
ส่วนตัวแกเองเสื้อกั๊กที่ใส่อยู่เย็บเหรียญหลวงพ่อติดซะแน่นพรืด คนศรัทธามากขนาดนั้นจริง ๆ ของ ๆ หลวงพ่อนี่ชอบมากเลยอยู่ชายแดน ของยิงไม่ออกไม่ชอบหรอก ยิงออกไม่ถูก อย่าง หลวงพ่อนี่ชอบมาก มันตรงกับนิสัยของอาตมา ได้ยินเสียงดัง ๆ แล้วมันมาก พอได้ยินแล้วอยากวิ่งใส่อย่างเดียว อยู่ที่ชายแดนนี่ปลอดภัยมาก ถึงทีเรียกว่าโดนหนัก ๆ ไปเลย
มีอยู่ครั้งหนึ่งทหารญวนเฮงสัมริน เฮงสัมรินนี่ เป็นเขมรแต่ญวนสนับสนุนจะถอนกำลัง มันใช้วิธีรุกอำพรางการถอย ปืนใหญ่ ๓ กระบอกมันระดมใส่เราตั้งแต่ตี ๒ กว่า ๆ หมู่ปืนใหญ่ที่คล่อง ๆ นะ ๓ วินาทียิงได้นัดหนึ่ง เราตีว่ามันห่วยแตก ๖ วินาทียิงได้นัดหนึ่งเลยเอ้า มันยิงอยู่ ๑๕ นาทีเต็ม ๆ แผ่นดินไหวเป็นไกวเปลเลย ๓ กระบอกมันล่อไป ๔๐๐-๕๐๐ นัด แผ่นดินไหวยังไม่พอบังเกอร์มันทรุดหมด บังเกอร์เขาเรียกสั้น ๆ ว่า “เบิม” มันทรุดลงมาท่อนไม้แต่ละท่อนใหญ่ประมาณขาอ่อนไม่ต้องห่วงหรอกเท่า ๆ กันหมด เพราะว่าตอนที่อาตมาขึ้นไปสั่งลูกน้องมันตัดไม้ เราก็ชี้ที่ให้ขุดหลุมทำบังเกอร์ กว่าจะรู้มันขนมา ๒ คันรถยีเอ็มซี ไม้สักทองล้วน ๆ มันไปตัดจากสวนป่าไม้เขา (หัวเราะ) งวดนั้นเคลียร์กันแทบตายกว่าป่าไม้เขาจะเชื่อว่าเราไม่ได้เจตนา ลูกน้องมันมักง่าย มันเจอสวนไม้สักทองมันก็ลุยเข้าไปเอาเลย ต้นเท่า ๆ กันดีด้วย ขนาดเจ้านายต้องการพอดีเลยใช่ไหม โห...มันล่อมา ๒ ยีเอ็มซีนั่นแหละ เบิมทรุดหมดเลย เรานึกถึงคำพูดหลวงพ่อท่านว่า ผืนเดียวคุ้มได้ทั้งฐาน
คราวนี้เราใส่กระเป๋าเสื้อเครื่องแบบของเราอยู่จะไปกลัวอะไรนอนตีพุง คนอื่นอพยพกันให้เจี๊ยวไปหมด นอนอยู่ตรงนั้นแหละ นอนฟังดูว่าเสียงปืนมันเพราะดี ปรากฏว่าปืนใหญ่นี่เขาจะมีผู้ตรวจการหน้า เขาเรียก ผตน. ผู้ตรวจการหน้านี่เป็นตัวแสบที่สุด มันจะบอกเป้าหมาย ไม่เกิน ๓ นัดจะลงกลางเป้า ปรากฏว่างวดนั้น ๔-๕๐๐ นัดนี่มันตกมาแค่หน้าฐาน ข้ามฐานยังข้ามไม่ได้เลย มันเหมือนยังกับชนกำแพงตกลงมายังหน้าฐานหมด
หลวงพ่อบอกผืนเดียวคุ้มได้ทั้งฐานครั้งนั้นเห็นคาตาเลยจริง ๆ คุ้มได้จริง ๆ ปืนใหญ่นี่รัศมีฉกรรจ์มัน ๕๐๐ เมตร ครึ่งกิโลนะ รัศมีฉกรรจ์หมายถึงโดนนี่ตายแน่ รัศมีฉกรรจ์มันครึ่งกิโลสมัยที่ฝึกใหม่ ๆ เราก็อยากดังใช่ไหม ? บอกมันประเภทซ้าย ๒๐ ลด ๒๐๐ มันด่าว่าลดหาพ่อมึงหรือ ๒๐๐ ลด ๒๐๐ คือ ๒๐๐ เมตร รัศมีมัน ๕๐๐ เมตร สั่งลด ๒๐๐ เมตร ลดไปทำไม มันด่ามาเลย คือมันเชื่อขนาดที่ว่าแค่นั้นโดนแน่ ๆ อยู่แล้ว เพราะฉะนั้นไม่เกิน ๓ นัดลงแหง ๆ เลย ๓ กระบอกมันยิงกับประมาณ ๑๕ นาที คงไม่ต่ำกว่า ๔-๕๐๐ นัด
กระทั่งข้ามฐานยังข้ามไม่ได้ บอกมอบกายถวายชีวิตเลยหลวงพ่อ... ของดีขนาดนี้ และตั้งแต่นั้นมาไม่กลัวอะไรเลย ถูกใจมาก ยิงไม่ออกนี่ไม่ชอบมันไม่ได้ยินอะไร ยิงออกไม่ถูกนี่ชอบจริง ๆ มันมาก ได้ยินเสียงปืนมันอยากวิ่งใส่ตอนนั้นเลย วัตถุมงคลทุกอย่างหลวงพ่อบอกฉันไม่รับรองว่าจะเหนียวเพราะว่าบางคนมันถึงที่ตายนะ ถ้าถึงที่ตายเหนียวก็เข้า
ดังนั้นท่านบอกว่าท่านไม่รับรองให้ใคร แต่ว่าสิ่งที่ท่านทำมาท้าวมหาราชท่านรับรองว่าถ้าเพื่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ต่อให้หมดอายุจริง ๆ ก็ให้มาตายที่บ้าน ท่านเอาขนาดนั้น ตอนแรก ๆ ที่ท่านทำท่านบอกว่าหนังแตกได้แต่ห้ามกระดูกหัก ไป ๆ มา ๆ ท่านให้ถึงขนาดว่าหมดอายุขัยจริง ๆ ก็ให้มาตายที่บ้าน แสดงว่าเทวดาจริง ๆ เหนื่อยกว่าเราเยอะ..ใช่ไหม ? ทหารออกรบ ๑ กองร้อยพกพระไป ๑ กองพล..! แต่ละคนพวงเบ้อเริ่มเลย มีเราพกธงอยู่ผืนเดียว คนอื่นเขาไม่เชื่อถือกันหรอก เขาคลำคอแล้วไม่มีพระสักองค์ มีธงหลวงพ่อผืนเดียว ตอนนั้นไม่ใช่ธงเปล่า ๆ อย่างนี้ จะติดธงชาติเล็ก ๆ อยู่ด้วย พอพับ ๆ เสร็จแล้วก็จะคล้าย ๆ ผ้าเช็ดหน้าผืนหนึ่งใส่กระเป๋าอยู่ คนอื่นเขาก็รู้แค่เรามีของดี แต่ไม่รู้ว่ามีอะไร
มีอยู่งวดหนึ่งเบิกเบี้ยเลี้ยง อยู่ชายแดนนี่รวยมาก จะมีเบี้ยเลี้ยงปกติ เบี้ยเลี้ยงสนาม เบี้ยกันดารแล้วก็เงินเดือน โห... รวยอย่าบอกใครเลย แต่ว่าพอถึงเวลาไม่มีการปะทะก็เบื่อ มหรสพทุกอย่างไม่มีมันก็เขย่าไฮโล เบี้ยเลี้ยงเท่าไหร่ก็หมด..ใช่ไหม ? ของเราเองเราไม่ค่อยเบิก ไม่ได้ใช้อะไรนี่ ถึงเวลาไม่มีการมีงานเราก็นั่งภาวนาของเรา
ปรากฏว่าวันนั้นเบิกมาพอดีถึงงวดออกเบิกมา ๘,๐๐๐ บาท ใส่มากระเป๋าตุง เผลอถอดเสื้อไปอาบน้ำหน่อยเดียวกลับมาหายเกลี้ยงทั้ง ๘,๐๐๐ เงินหายกูไม่ว่า แต่ถ้าเอาธงพ่อจะตามล่าจนกว่าจะได้คืน คือคนอื่นเขาไม่รู้ว่าธงดีอย่างไร..ใช่ไหม ? เขารู้อยู่อย่างเดียวว่าเขาจะเอาเงิน ก็ ๘,๐๐๐ บาทให้มันไป ไม่ว่ากัน นึกว่าขอกันกิน
สนทนากับพระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
เดือนกรกฏาคม ๒๕๔๔
ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ
(พล.ต.ยุทธศิลป์ เกสรศุกร์ นั่งเป็นลำดับที่ 2 ทางด้านขวาของหลวงพ่อ)
ในสมัยนั้น ผกค. มีอิทธิพลสูงมาก ได้ยึดเทือกเขาภูพานเป็นฐานใหญ่ของเขา และยังท้าทายฝ่ายทหารว่า หากจะตีเขาได้ จะต้องใช้กำลังหลายกองพล และใช้เวลาหลายเดือนจึงจะสำเร็จ พล.ต. ยุทธศิลป์ เกสรศุกร์ (ยศในขณะนั้น ปัจจุบันมียศ พล.ท.) ซึ่งเป็รองแม่ทัพ จึงได้นำเรื่องนี้มากราบเรียนหลวงพ่อ หลวงพ่อท่านเป็นพระ จะไปรบกับเขาก็ไม่สมควร แต่ท่านก็มีวิธีการให้กำลังให้กับทหารได้ ดังนี้
๑. ท่านเดินทางไปพร้อมกับคณะเพื่อทำพิธีบวงสรวงก่อน ที่ฐานทัพของทหาร
๒. แจก ผ้ายันต์ธงพิชัยสงคราม ให้กับทหารในหน่วยนั้น ทุกคน (ผ้ายันต์สีแดง)
๓. ให้ฤกษ์แก่ฝ่ายทหาร ทั้งนี้หมายถึงให้ฤกษ์ดีว่าเป็นมงคล ไม่ได้ระบุให้เข้าไปตีรบกัน เพราะไม่ใชกิจของสงฆ์ ส่วนเขาจะไปทำอะไรนั้น พระต้องวางอุเบกขา
ผมจำได้ว่า หลวงพ่อทำพิธีตั้งแต่เช้ามาก เพราะจากรูปถ่ายที่ นาวาตรี ประชา สิกขวานิช ร.น. ถ่ายไว้ ปรากฏพุทธนิมิตเป็นฉัตร ๕ ชั้น ทอดมาตามแสงแดดครอบคลุมองคืหลวงพ่อท่านนั้น ยังทำมุมน้อยมาก (มีรูปถ่ายที่บ้านสายลม และที่วัดท่าซุง)
หลังพิธีแล้ว ฝ่ายทหารก็นำ หลวงพ่อ หลวงปู่ธรรมชัย และคณะเข้าห้องยุทธการ เพื่อฟังบรรยายสรุปของฝ่ายทหาร เมื่อบรรยายจบ ปรากฏว่ามีนายทหารที่ฉลาดถาม ได้ถามหลวงพ่อกับหลวงปู่ว่า ขณะนี้พวก ผกค. เขาอยู่ที่ไหนบ้าง โดยให้ท่านเอาไม้เท้าช่วยชี้ไปที่แผนที่ทหาร
ปรากฏว่าท่านชี้จุดให้ทันทีทันใด โดยไม่ต้องคิดหรือต้องเสียเวลา เหล่าทหารต่างร้องฮือ พร้อมๆ กันหลายคน และบอกว่าตรงจุดเป๋งเลยครับหลวงพ่อ บางท่านไม่ฉลาดถาม ก็ถามวิธีเข้าโจมตี หลวงพ่อท่านก็ปฏิเสธ เพราะไม่ใช่กิจของสงฆ์ ส่วนวิธีถามที่ฉลาดผมขอสงวนไว้ก่อนครับ...
หลังจากหลวงพ่อและคณะได้เยี่ยมให้กำลังใจกับทหาร ตามหน่วยต่างๆ แล้ว ก็กลับไป กทม. และจากนั้นอีกไม่กี่วัน พล.ต. ยุทธศิลป์ ก็สั่งทหารแค่ ๑ กองร้อยเข้าโจมตีที่มั่นของ ผกค. เป็นการหยั่งเชิง โดยมีตัวท่านเป็นผู้สั่งการอยู่บนเครื่องบิน ผลปรากฏว่าได้ผลดีเกินคาดหมาย แต่มีรายงานทางวิทยุว่ามีทหารเสียชีวิต ๑ นาย
ท่านเกิดสงสัยว่ามันตายได้อย่างไร เพราะท่านมั่นใจว่าทหารของท่านต้องไม่มีใครตาย ท่านให้แค่บาดเจ็บเท่านั้น จึงสั่งลงมาจากเครื่องบินให้ค้นตัวทหารที่ตายว่า พบอะไรติดตัวบ้าง โดยเฉพาะผ้ายันต์แดง ธงพิชัยสงคราม ทหารก็รายงานว่า ไม่พบผ้ายันต์แดงเลยในตัว
ท่านรู้สึกผิดหวังมาก ที่เขาไม่พกผ้ายันต์แดงไปด้วย ทั้งๆ ที่สั่งแล้ว เมื่อถอนตัวจากฐานทัพ ก็สอบข้อเท็จจริงเรื่องพลทหารที่ตายว่าชื่ออะไร อยู่หน่วยไหน ทำไมจึงไม่มีผ้ายันต์แดง ก็พบว่าเป็นทหารที่เพิ่งย้ายกลับมาเมื่อวานนี้เอง จากหน่วยทหารราชบุรี (อ. ปากท่อ) ท่านจึงถึงบางอ้อ
วันที่ ๒ ท่านเพิ่มหน่วยจู่โจมเป็น ๒ กองร้อย ผลปรากฏว่ามีตาย ๒ คน และก็มีสาเหตุ จากไม่มีผ้ายัน์แดงติดตัวเช่นกัน เพราะเพิ่งย้ายเข้ามาจากหน่วยอื่น ความลับไม่มีในโลก ทั่วทั้งกองทัพรู้ข่าว รู้อิทธิปาฏิหาริย์ของ "ผ้ายันต์ธงพิชัยสงคราม" กันหมด
ผลก็คือ ทหารทุกคนที่ไม่มีผ้ายันต์แดงจะไม่ยอมออกโจมตีในวันต่อไป จึงเดือดร้อนถึงท่านรองแม่ทัพ ดังนั้น เพื่อขวัญและกำลังใจของลูกน้อง ท่านรองจึงต้องบินมาหาหลวงพ่อในคืนนั้น เพื่อขอผ้ายันต์แดงไปแจกลูกน้องให้ครบทุกคน....
วันที่ ๓ ทุกคนมีขัวญกำลังใจเต็ม ๑๐๐ % ใช้กำลังเป็น ๓ กองร้อย ปรากฏผลว่า สามารถยึดฐานใหญ่ และฐานย่อยของภูพานได้ทั้งหมด ชนิดที่ ผกค. ขัวญกระเจิงไม่ยอมสู้ด้วย เพราะวันที่ ๓ นี่ ทหารทุกคนถือปืนวิ่งเข้ายึดฐานโดยไม่มีใครยอมหมอบ หรือวิ่งเข้าหาที่กำบังเหมือน ๒ วันแรก ทุกคนดาหน้าเข้ายึดเอาดื้อๆ โดยไม่กลัว ไม่ยอมหลบลูกปืนสักคน จึงยึดได้ด้วยช่วงเวลาอันสั้น และไม่มีใครเสียชีวิตเลย
ผมนึกภาพเอาเองนะครับว่า หากผมเป็น ผกค. ผมก็คงต้องวิ่งหนีเอาตัวรอด เพราะยิงเท่าใดก็ไม่โดนตัว หรือโดนก็ไม่เข้า คงดาหน้าเข้ามาเต็มไปหมด เหมือนกับยิงทหารที่มาจากหุ่น (เหมือนในสมัยขุนแผน ท่านเป็นแม่ทัพ เสกหุ่นให้เป็นทหารรบที่ไหนก็ชนะหมด) พอหลวงพ่อทราบข่าวจากท่านรองแม่ทัพ ท่านพร้อมคณะก็ไปเยี่ยมทหารหน่วยนั้นในวันต่อมา
หลังจากได้คุยกับทหารหน่วยรบพิเศษนี้แล้ว ผมพอสรุปย่อๆ ได้ดังนี้
๑. ขณะที่ฝ่าย ผกค. ยิงปืนเข้าใส่พวกเรานั้น ส่วนใหญ่บอกว่าไม่โดน แต่เฉี่ยว หรือเฉียดตัวไป รู้สึกว่าลูกปืนมันวิ่งมาเต็มไปหมด แต่ไม่ยักโดนตัว
๒. บางคนบอกว่า บางครั้งก็โดน แต่ไม่เข้า ไม่รู้สึกเจ็บ มีความรู้สึกคล้ายๆ มีแมลงหรือผึ้งบินเข้ามาชนตัวเท่านั้น
๓. มีอยู่ ๑ ราย ที่เล่ว่า ขณะที่ดินไปบ้าง วิ่งไปบ้าง ยิงปืนใส่ข้าศึกบ้าง รู้สึกหิวจึงเอามือล้วงมาม่า (เส้นหมี่) กินไปด้วย แต่แปลกใจว่า ทำไมมาม่ามันถึงแข็งและเหนียวนัก เลยคลายออกมาจากปากดู ปากฏว่ามันไม่ใช่มาม่า แต่เป็นลูกปืนที่ข้าศึกยิงมาโดนตัวต่ไม่เข้า ลูกกระสุนแบนเหมือนถูกบี้ แล้วจึงหล่นลงไปในกกระเป๋าเสื้อที่มีมาม่าอยู่
๔. บางคนเล่าว่า ขณะวิ่งไปยิงไปนั้นบางครั้ง ก็มองเห็นข้าศึก ที่ซุ่มอยู่ข้างทาง แต่มันไม่ยักยิง เห็นมันตาค้างคล้ายกับหุ่นหรือคนตกใจ ข้อนี้ขออนุญาตวิจารณ์ว่า คงเป็นเพราะอานุภาพของผ้ายันต์แดง ทำให้เกิดอาการ "นะ จัง งัง" ขึ้น หรือเพราะมันตกใจจริงๆ ที่ไม่เคยเห็นคนที่ไม่หลบลูกปืน จึงมีสภาพคล้ายเห็นผี แล้วตกใจตาค้าง
๕. เรายึดได้ฐานใหญ่มาก จนไม่น่าเชื่อ เพราะฐานนี้ มีโรงพยาบาลแลเวชภัณฑ์มากมาย มีโรงพลศึกษา สนามบาส โรงรัวขนาดใหญ่ พร้อมเสบียงกินได้เป็นปี อาวุธมากมาย เครื่องปั่นไฟและน้ำมัน โดยเฉพาะราวตากผ้า ท่านรองบอกว่า ต้องใช้รถ ๑๐ ล้อทั้งคันอาจจะขนไม่หมด แสดงว่ามันมีกำลังพลไม่ใช่น้อยเกินกว่าที่เราคาดคะเนไว้อีก และมีการทดน้ำไว้ใช้ด้วย แสดงว่าเขาอยู่มานานหลายปี
๖. เนื่องจากเราใช้กำลังพลน้อยแค่ ๓ กองร้อย หากยึดพื้นที่ไว้ ก็เสี่ยงเกินไป เพราะตอนกลางคืน มันอาจหวนกลับมาใหม่ก็ได้ จึงสั่งทำลายและเผาให้หมด สำหรับผมคิดเอาเองว่าหากผมเป็น ผกค. ก็ไม่ขอยอมหันหลังกลับมาตียึดคืนแน่ๆ เพราะเข็ดไปจนตาย จะไม่ขอพบทหารผี (ทหารหุ่น) เหล่านี้อีก
๗. เป็นจริงตามคาดหมาย เพราะตั้งแต่รั้งนั้นเป็นต้นมา ผกค. ก็หายซ่าไปเลย...
เรื่องของหลวงพ่อท่าน ยังมีอีกมากยากที่ผมจะเล่าให้ฟังทั้งหมดได้ และโดยธรรมแล้ว อะไรก็ตามที่มันมากเกินไป ผลมันแทนที่จะมากตามส่วน กลับไม่ได้ผล หรือกลับเป็นผลเสีย เช่น ยาทุกชนิดหากใช้เกินขนาดล้วนเป็นโทษแก่ผู้ใช้ทั้งสิ้น ร่างกายของคนก็เช่นกัน หากส่วนใดเจริญมากไปก็กลายเป็นมะเร็ง
สมจริงตามคำสอนของพระพุทธองค์ที่ตรัสไว้ใน "ปฐมเทศนา" ความว่าอย่าตึงไป (เครียดเกินไป) อย่าหย่อนเกินไป (อยากมากเกินไป ขี้เกียจมากเกินไป) จะไม่มีผลให้เดินสายกลาง ผมจึงขอจบเรื่องไว้อีกตอนหนึ่งเพียงแค่นี้ แต่ก่อนจะจบขอสรุป เรื่องผ้ายันต์แดง ธงมหาพิชัยสงคราม ไว้เพื่อเตือนความจำดังนี้
๑. ความศักดิ์สิทธิ์ ของธงมหาพิชัยสงครามมีมากมาย เขียนอีก ๒-๓ ตอนก็ไม่จบ ที่เล่าให้ฟังนี้ เป็นเพียงตัวอย่างบางเรื่องเท่านั้น
๒. ผู้นำไปใช้ หากนำไปใช้ในทางที่ไม่ถูกต้อง เช่น เป็นโจร - ปล้น - ฆ่าเขา - ขโมยเขา ธงนี้จะไม่คุ้มครอง ซ้ำยังให้ผลร้ายกับผู้นั้นด้วย หากถูกยิง ลูกปืนจะเข้าแสกหน้าทะลุท้ายทอยทุกราย (เรื่องนี้ลุง. ศ ก็ได้ยินหลวงพ่อพูดด้วยกับหูครับ)
๓. ธงมหาพิชัยสงคราม ไม่ใช่ ไสยศาสตร์ แต่เป็นพุทธศาสตร์ จึงไม่เสื่อม (หากใช้ในทางที่ดี)
๔. เวลาทำ พิธีพุทธาภิเษกนั้น ธงแดงมหาพิชัยสงคราม กับผ้ายันต์เกราะเพชรซึ่งมีรูปหลวงพ่อปาน และรูปยันต์เกราะเพชรนั้นทำเหมือนกัน มีคุณภาพ (อานุภาพ) เหมือนกันทุกประการใช้แทนกันได้
๕. เรื่องป้องกันหรือบรรเทาอุบัติเหตุ ไฟไหม้บ้าน พายุใหญ่หรือวาตภัย มีผู้เล่าเสมอว่ามีผลดีอย่างอัศจรรย์ ส่วนเรื่องอื่นๆ ต้องอธิษฐานขอ และผลขึ้นอยู่ที่ความมั่นคงของจิตแต่ละคนด้วย
หมายเหตุ : ที่ลง.ศ นำเรื่องนี้มาลงมีจุดประสงค์เพื่อ เพิ่มความมั่นคง - ศรัทธาที่ดี ซึ่งมีอยู่แล้ว ของบรรดาลูกศิษย์หลวงพ่อ (และผู้ศรัทธา) ให้มั่นคงยิ่งๆ ขึ้น ซึ่งจะส่งเสริมผลดีต่อการปฏิบัติอีกด้วย อย่างน้อยก็เป็นพุทธานุสติกรรมฐาน สังฆานุสติกรรมฐาน กสิณ ฯลฯไฟล์ที่แนบมา:
-
-
ความรู้เรื่องธงมหาพิชัยสงคราม เเละความหมายของยันต์บนผืนธง
ความรู้เรื่อง ธงมหาพิชัยสงคราม
พระเดชพระคุณหลวงพ่อฯ ท่านกรุณาเล่าให้ฟังว่า เป็น ธงออกศึกของพระร่วง ในสมัยก่อน
พระเดชพระคุณหลวงพ่อฯ ได้ตำราการทำยันต์ธงมหาพิชัยสงครามนี้ มาจาก อ.แจง ชาวสวรรคโลก
ซึ่ง อ.แจงนี้ เป็น ฆราวาส แต่ ทรงสมาบัติ 8
ธงมหาพิชัยสงครามนี้ หากนำทัพเข้าสู่สงครามจะไม่ประสบกับความพ่ายแพ้ พระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านเคยกรุณาบอกไว้ว่า
ผืนเดียวคลุมทั้งฐาน หมายถึง ถ้ามีผ้ายันต์นี้ ผืนเดียวสามารถคุ้มครองได้ทั้งฐานทัพครับ ไม่ว่าจะสร้างเป็นค่าย หรือแค่ บังเกอร์?
ตัวอย่างมีเยอะครับพี่ๆ ทหารที่เคยไปรบด้านตาพระยา น่าจะรู้ซึ้งถึง พระพุทธคุณของธงมหาพิชัยสงครามนี้ดี
มีเกร็ดอยู่อีกหน่อยว่า พระเดชพระคุณหลวงพ่อฯ ท่านสั่งห้ามว่า ถ้าได้ธงผืนนี้ไปแล้ว ห้ามปลุกโดยเด็ดขาด เพราะ อานุภาพสูงมาก ถ้าไปปลุกธงมหาพิชัยสงครามนี้? อาจถึงตายได้ครับ ในตำราสมุดพระร่วงได้จารึกตำราสร้างธงมหาพิชัยสงครามนี้
เเละยังรวมไปถึงวิธี การเป่ายันต์เกราะเพชรของสายพระเดชพระคุณหลวงปู่ปาน และ พระเดชพระคุณหลวงพ่อฤาษี
ปัจจุบัน ตำรานี้ พระเดชพระคุณหลวงพ่อฤาษี ท่านได้ถวายในหลวงไปตั้งแต่ปี พ.ศ.2520 แล้ว เพราะหลวงพ่อฯ ท่านเป็นลูกหลานคนสุดท้ายของตระกูลพระร่วงที่สืบเขื้อสายมา ในส่วนของตำราพระร่วงนี้ ถ้าบุคคลอื่นได้ตำรานี้ไป
ก็ไม่สามารถทำวัตถุมงคลต่างๆ ได้ถึงอานุภาพสูงสุด อย่างเก่งก็ไม่เกิน 10 %
เพราะท่านเจ้าของตำราคือ ท่านผกาพรหม ท่านไม่อนุญาติ
ดังนั้น ตามคติคนเรียนวิชาแต่โบราณ ถ้าสิ้นสุดสายการสืบทอดวิชา
ถ้าจะเริ่มวิชาใหม่ ต้องไปขอต่อพระเจ้าแผ่นดินให้พระเจ้าเเผ่นดินครอบครูให้ พระเดชพระคุณหลวงพ่อฤาษีท่านทราบข้บบังคับนี้
ท่านจึงถวายตำรานี้แด่ ในหลวงครับ
............ในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ซึ่งได้ส่งเจ้าพระยาโกษาปาน ไปทำสัมพันธ์ไมตรีกับพระเจ้าหลุยส์ ที่ ๑๔
ซึ่งได้มีบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ว่า
?...........เมื่อเรือสำเภาอันจะเข้าสู่กรุงฝรั่งเศสนั้น จะต้องผ่านวังน้ำอันวนเชี่ยวใหญ่ เรือสินค้ามากมายถูกดูดลงสู่วังน้ำวน จมลงนับร้อย เรือสำเภาอันเจ้าพระยาโกษาปานราชทูตโดยสารมานั้น จะถูกดูดเข้าวังวน ปะขาวอาจารย์ของเจ้าพระยาโกษาปาน ได้ตั้งพิธีขึ้น ระลึกถึงพุทธานุภาพ ทำอาโปกสิณ บัดหนึ่งก็เกิดลมสลาตันยกเรือสำเภาของพระยาโกษาปาน ข้ามผ่านวังน้ำวนนั้นไปเป็นที่อัศจรรย์ ...........ในเวลาเที่ยง พระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ ได้ทรงให้ทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์แม่นปืนสองหมู่ หมู่หนึ่งชุดแต่งกายแดงร้อยคน หมู่หนึ่งชุดแต่งกายดำร้อยคน ตั้งกองอยู่ตรงข้ามกัน ห่างกันสักสี่สิบห้าสิบวา ฝ่ายทหารชุดแต่งกายแดงทั้งร้อยคน ยิงปืนไปยังหน่วยทหารแต่งกายดำ ลูกปืนเข้าสู่ลำกล้องของทหารแต่งกายดำทั้งร้อยกระบอก พระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ ทรงตรัสว่า พระเจ้าแผ่นดินสยาม มีทหารแม่นปืนเช่นนี้หรือไม่ ? เจ้าพระยาโกษาปานตอบว่า ในเมืองสยามไม่มีทหารแม่นปืน เหมือนเช่นในฝรั่งเศส เพราะอาวุธปืน ไม่อาจทำอันตรายทหารสยามได้ จึงไม่มีความจำเป็น ในการตั้งกองทหารปืน
พระเจ้าหลุยส์ ที่ ๑๔ จึงตรัสว่า มีเหตุเช่นนั้นจริงหรือ ?
.........เจ้าพระยาโกษาปานจึงกราบทูลตอบว่า ?ข้าพระพุทธเจ้า จะขอแสดงให้ทอดพระเนตรในวันพรุ่ง โดยขอให้หน่วยทหาร ทั้งชุดแดงและชุดดำ เป็นผู้ยิงปืน?
...........ในวันรุ่งขึ้น ปะขาวได้ตั้งศาลเพียงตา แลวางสายสิญจน์รอบปักธงธวัชแล้ว ให้กลาสีเรือชายสยามทั้งร้อย เข้าไปอยู่ภายในวงรอบสายสิญจน์ มลฑลพิธี ภายนอกห่างไปสักยี่สิบวา ทหารชุดแต่งกายแดง และทหารชุดแต่งกายดำ พร้อมปืนยืนรออยู่ เมื่อปะขาวผู้ทรงศีลให้สัญญาณ เจ้าพระยาโกษาปาน จึงกราบทูลให้พระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ รับสั่งให้ทหารปืนทั้งหมด เล็งยิงไปยังกลาสีเรือชายสยามทั้ง ๑๐๐ คนนั้น ...................เสียงปืน ๒๐๐ กระบอก ดังสนั่นหน้าพระที่นั่ง ควันปืนอบอวลคลุ้งกระจาย ลูกกระสุนปืนทั้ง ๒๐๐ นัด มิได้ระคาย แม้ชายเสื้อทหารสยามทั้งหลาย เป็นที่อัศจรรย์ พระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ จึงทรงตรัสถามเจ้าพระยาโกษาปานว่า สมเด็จพระนารายณ์มหาราช มียอดทหารเช่นนี้อีกเท่าใด? เจ้าพระยาโกษาปานกราบทูลตอบว่า ?ชายสยามเหล่านี้ เป็นเพียงประชาชนชาวบ้านธรรมดาทั่วๆ ไป ที่เกณฑ์มาเป็นกลาสีเรือเท่านั้น ส่วนทหารของสมเด็จพระนารายณ์มหาราชเจ้านั้น เยี่ยมยอดกว่านี้มากมาย (ความจริงแล้ว กลาสีเรือทั้ง ๑๐๐ คนนี้ คือหน่วยอาทมาต ที่ได้ศึกษา วิชาชาตรี เจนจบในตำหรับพิชัยสงครามมาเป็นอย่างดีแล้ว) ..........พระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ ตรัสสรรเสริญ สมเด็จพระนารายณ์มหาราช ว่ามีบารมี ที่มีทหารหาญ ที่แกร่งกล้าและคงทนแก่ศาสตราวุธ จึงสามารถรักษาประเทศสยาม ให้เป็นเอกราชไว้ได้..........?
..........ธงมหาพิชัยสงครามนี้จะเป็น ธงที่ใช้ในการออกรบในสมัยพระร่วงเจ้า ได้รับชัยชนะต่อข้าศึกทั้งหลาย..........
...........ภายในธง ประกอบด้วย พระบารมี แห่ง พระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยะสงฆ์เป็นหลัก..........
...........ดังในยอดธง มี พุทธะสังมิ ซึ่งเป็น คำย่อของ พุทธัง ธัมมัง สังฆัง คัจฉามิ เป็นการสรางความมั่นคงต่อ พระรัตนะตรัย เป็นการประกาศขอยึดเป็นสรณะที่พึ่งอันสูงสุด ...........
............ถัดมา คือ อะ สัง วิ สุ โล พุ สะ พุ ภะ ซึ่งเป็นคำย่อ ของพุทธคุณ อันมี ตั้งแต่ อะระหัง จนถึงภควาติ...........
............เป็นการนำใจที่เคารพแล้ว เข้าถึงความเป็นพุทธะ คือความสะอาด สว่าง สงบ ตามที่องค์สมเด็จพระจอมไตรได้ตรัสสั่งและสอน............
............ถัดมาอีกในวงกลมแต่ล่ะวง นับได้ 10 วง เปรียบถึง บารมี 10 ประการ ภายในวงใหญ่ ได้อัญเชิญรูปภาพเปรียบแทนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อยู่ตรงการภายในวงกลม คือองค์สมเด็จองค์ปฐมต้นสุด รอบมีรูปองค์พระทั้ง 28 พระองค์ตามปรากฏในพระคัมภีร์ต่างๆ เช่น คัมภีร์พระไตรปิฎก เป็นต้น รอบกลับบัวมี คาถาบารมี 30 ทัศ ซึ่งกลับบัวเทียบเสมือนรัศมีแห่ง พระพุทธคุณ พระบารมี ที่แผ่กระจาย ปกคลุมผู่ที่ได้ครอบครอง และทั่วไปโดยรอบด้าน..........
...........กล่าวโดยสรุป ธงมหาพิชัยสงครามนี้ มีคุณทั้งทางโลกและทางธรรม ในทางโลกเป็นไปตามโลกธรรมต่างๆ ส่วนในทางธรรมแล้ว เปรียบประมาณค่ามิได้ คือ การเข้าถึงไตรสรณะคมส์ การบำเพ็ญบารมี 10 ให้สมบูรณ์บริบูรณ์ เพื่อละสังโยชน์ 10 ประการ เป็นทางแห่ง มรรคผล พระนิพพานในที่สุด...........
........... ภายในดอกบัวใหญ่ที่ปรากฏภาพพระพุทธเจ้านั้น เป็นพระนามของพระพุทธเจ้าทั้ง 28 พระองค์ กลีบบัวใหญ่บรรจุด้วยพระคาถาอาวุธพระพุทธเจ้านั่นคือ บารมี 10 ประหนึ่งว่าวงกลมทั้ง 10 วงบนยันต์ ก็คือบารมี 10 นั่นเอง ที่ยอดพุ่มของธง เป็นคำย่อของบท อิติปิโสฯ และบนยอดธงบรรจุคาถา พุท ธะ สัง มิ คือคำย่อของไตรสรณาคม ในวงย่อยแต่ละวง มีคำว่า พุท ธะ มะ อะ อุ นะ โม พุท ธา ยะ อยู่ด้วย ที่บัวดอกเล็กเป็นคาถา บารมี 30 ทัศ บทว่า อิ ติ ปา ระ มิต ตา ติง สาฯ ...........
............ยันต์นี้ไม่เพียงแต่มีชัยในทางโลกธรรม หากแต่เป็นเครื่องหมายเตือนพระโยคาวจรทั้งหลายว่า หัวใจของการชนะกิเลสทั้งปวงอาศัยบารมี 10 เป็นเครื่องประหาร เมื่อสามารถทรงบารมีทั้ง 10 ประการครบถ้วน ท่านก็ชนะหมดโลก คือ ชนะกิเลสในใจของท่านทั้งหลายนั่นเอง ............
.............จึงถือได้ว่าพุทธานุภาพของยันต์พิชัยสงครามนี้ เป็นคุณแก่ท่านที่มีไว้ครอบครองแท้จริง ............
.............สงครามที่เหลืออยู่คือสงครามที่ท่านรบกับใจตัว ขอท่านทั้งหลายจงเป็นผู้ชนะสมดังปรารถนาเถิด. .............
.............หมายเหตุ : *มะ อะ อุ - อุ อะ มะ - อะ มะ อุ
* หลวงปู่มหาอำพัน วัดเทพศิรินทราวาส ได้เมตตาเขียนไว้ดังนี้ .............
อะ - อรหัง สัมมาสัมพุทโธ
อุ - อุตตะมัง ธัมม มัชฌะคา
มะ - มหาสังฆัง ปะโพเธสิ อิจเจตังรตนัตตะยัง
ยอดธง
พุท-ธะ-สัง-มิ
ย่อมาจากไตรสมณคมณ์-พุทธังสรณังคัจฉามิ ธรรมมังสรณังคัจฉามิ สังฆังสรณังคัจฉามิ
บนพานใต้เสาธง
อะ
สังอะ
วิสังอะ
สุวิสังอะ
โลสุวิสังอะ
ปุโลสุวิสังอะ
สะปุโลสุวิสังอะ
พุสะปุโลสุวิสังอะ
ภะพุสะปุโลสุวิสังอะ
ยันต์กลม 1
ธา ลัง ถะ
ตัง มะ ติ
ตะ โน ยา
กลมดำ 2
ล้อมด้วย
ระมิติงสา-พัญญูมาคะ-ตาธิมนุปัตโต-โสจะเตนะโม
แถวกลาง
ปิ
ติ
โพติ อิ ติธา
ติ
สัพ
ถอดพิศดารมากจาก
อิติปาระมิตาติงสา อิติสัพัญญูมาคะตา อิติโพธิมนุปปัตโต อิติปิโสจะเตนะโม
วงกลมแถว 3
วงซ้าย นะโมพุทธายะมะอะอุ แบบตาหมากรุก(ม้า)อนุโลม
วงขวา นะโมพุทธายะมะอะอุ แบบตาหมากรุก(ม้า)ปฏิโลม
กลมแถว 4
กลมซ้าย
จะ ติ ยา
ลัง มะ นา
ธา ตัง ตะ
กลมขวา
ชิ ติ ยา
โส มะ เต
เน นา ชิ
อะ เต สะ ตา สะ มะ เต ถุ
ถะ ภะ สิ โล เพ วิ ติ มา
ติน วะ ภะ ธา ชุ นุ นา มา
ตะ นิ สะ เถ นิ รุ เม จะ
แม้มึงจะเหลือแค่เศษเนื้อแค่นี้ กูก็จะพามึงกลับบ้าน ไปหาลูกหาเมียหาแม่มึง เพื่อนเอ๋ย..
******************************************
มันสะเทือนใจ
ด้วยเหตุที่หลวงพ่อฤาษีลิงดำ ท่านเคยเป็นทหารมาก่อน (ยศเรือตรี) ท่านจึงรัก และเมตตา ทหาร ตำรวจ ท่านเดินทางไปแจกวัตถุมงคลตามชายแดนตลอด ที่ไหนมีอันตรายท่านก็ไปเพื่อเป็นกำลังใจให้เขาเหล่านั้น
ผมตั้งใจว่าจะมอบผ้ายันต์มหาพิชัยสงครามให้กับทหาร หรือ ตำรวจ ที่ปฏิบัติหน้าที่ภาคใต้ และ 4 อำเภอ ของ จว.สงขลา ( ก่อนหน้านี้แจกให้ ส.ท. คนหนึ่งปฏิบัติหน้าที่ จว.ยะลา ไป 2 ผืนแล้ว) อยากขอความกรุณาลูกหลานหลวงพ่อในนี้ ช่วยบอกชื่อ หรือที่อยู่ ให้ผมทางเมล์จีพระ หรือ โทร 084-3637071 และ 085-0339144 อยากให้ท่านถามคนที่ท่านรู้จัก ว่าอยากได้ธงมหาพิชัยสงครามไหม หากต้องการผมอยากจะขอชื่อ ที่อยู่ สังกัด จะได้ส่งผ้ายันต์ไปให้ คนละ 2 ผืน โดยขอให้นำติดตัว 1 ผืนและ เอาไว้ที่ฐาน ( ติดบนบนธงชาติของหน่วย หรือ บนหิ้งพระ) เพราะหลวงพ่อบอกผืนเดียวคุ้มได้ทั้งฐาน และผมจะปริ๊น อานุภาพ วิธีการใช้ธงมหาพิชัยสงครามให้ไปด้วย และ ขอเบอร์โทรคนที่จะรับไปด้วยนะครับ ผมจะโทรหาสอบถามว่าธงมหาพิชัยสงคราม ได้รับหรือยัง และเขามีกรณีสงสัย จะได้คุยกันครับ
ขอบคุณทุกท่านด้วยนะครับไฟล์ที่แนบมา:
-
-
เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี (พระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ )
พระอาจารย์เล่าว่า "ประสบการณ์เกี่ยวกับวัตถุมงคลทั้งหมดที่เคยพบมา ในส่วนที่อาตมามั่นใจมากที่สุด คือ ธงมหาพิชัยสงครามของหลวงพ่อวัดท่าซุง เพราะสมัยนั้นอยู่ชายแดนที่ตาพระยา หลวงพ่อเมตตาไปมอบธงมหาพิชัยสงครามให้ทหารที่อยู่แนวหน้า
จริง ๆ แล้ว ธงมหาพิชัยสงครามเป็นธงนำทัพตั้งแต่สมัยพระร่วง อานุภาพนั้นผืนเดียวคุ้มได้ทั้งฐาน สำหรับอาตมาเป็นของมงคลอย่างเดียวที่ติดตัวอยู่ในช่วงนั้น
ปกติแล้วกำลังพลจะผลัดเปลี่ยนกันฐานละสี่เดือน เป็น ๑ ฐานแนวหน้า ๒ ฐานสนับสนุน แต่ละฐานจะหมุนเวียนกัน แต่อาตมาไปติดอยู่ที่ฐานหน้า ตา พระยา ๕-๖ เดือน เพราะมีการปะทะกันอยู่ทุกวัน ไม่สามารถที่จะเปลี่ยนกำลังได้ ในช่วงที่การรบติดพันอยู่ ถ้าเราเคลื่อนย้ายกำลังหรือถอนกำลังเพื่อให้พวกเราเข้ามาแทน ถ้าฝ่ายตรงข้ามเบียดเข้ามาจะอันตรายมาก
ช่วงนั้นที่โนนหมากมุ่นนั้น เขาตีฝ่าแนวเข้ามาได้ ปะทะกันหนัก เสียชีวิตไปสามร้อยกว่าศพ ห้าเดือนกว่าที่อยู่แนวหน้า มีการปะทะใหญ่ ๆ เล็ก ๆ ๒๖ ครั้ง สูญเสียเพื่อนร่วมสนามไป มีร้อยเอกหนึ่งนาย ร้อยตรีหนึ่งนาย นายสิบแปดนาย ที่เหลือเป็นพลทหารอีก ๒๐ กว่านาย
ถามว่าเรื่องใหญ่ขนาดนี้ทำไมไม่มีข่าว ? สมัยนั้นถ้าหากว่าการรบเราไม่เสียพื้นที่ เขาถือว่าขอกันกิน..! จะไปรู้อีกทีก็ตอนงานพระราชทานเพลิงศพที่วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ ส่วนใหญ่ปีละประมาณ ๔๐๐-๕๐๐ กว่าศพ แต่ของทหารเราจะรู้ว่าเสียไปกี่ศพ เพราะทุกครั้งที่เพื่อนตาย เขาจะหักเบี้ยเลี้ยงเพื่อเอาไปช่วยงานศพเพื่อน
การปะทะ ๒๖ ครั้งนั้น ทุกครั้งเกิดเหตุอัศจรรย์ แคล้วคลาดจากอันตรายได้อย่างเหลือเชื่อ บางครั้งตกอยู่ในกลางวงล้อมของเขา กระสุนมาเป็นห่าฝนเลย แต่ด้วยความมั่นใจในวัตถุมงคลหลวงพ่อ โดยเฉพาะท่านบอกว่า ใช้วัตถุมงคลของท่านจะกลัวไม่ได้ ถ้าด้านไหนกระสุนมาหนักที่สุด ให้ฝ่าออกด้านนั้น"
"เป็นอะไรที่ชอบมาก เพราะถูกกิเลส อาตมาพอได้ยินเสียงปืนแล้วอยากวิ่งใส่ทันที..!
ครั้งที่หนักที่สุด โดนทหารญวนเฮงสัมริน บอมบ์ด้วยปืนใหญ่ ๓ กระบอก เป็นระยะเวลาประมาณ ๑๕ นาที หมู่ปืนใหญ่ที่มีความคล่องตัวมาก ๆ ประมาณ ๓ วินาทีจะยิงได้นัดหนึ่ง แล้วนาทีหนึ่งจะยิงได้กี่นัด และนี่สามกระบอกรวมกัน เฉลี่ยแล้ววันนั้นโดนไปประมาณ ๔๐๐ นัดเห็นจะได้
ถามว่าปืนใหญ่อันตรายแค่ไหน ? รัศมีฉกรรจ์ ๕๐๐ เมตร รัศมี ฉกรรจ์คือโดนแล้วตายทันที ผตน. (ผู้ตรวจการหน้า) ที่เก่ง ๆ นี่ เขาสั่งการปืนใหญ่ไม่เกินสามนัดจะลงกลางเป้าแน่นอน เขาบอกให้ลดระยะหรือให้เพิ่มระยะ ไปซ้ายเท่าไร ขวาเท่าไร แล้วจะลงกลางเป้าพอดี
ตอนนั้นกระสุนปืนใหญ่บอมบ์มาขนาดนั้น อย่าว่าแต่ลงฐานเลย แค่ข้ามฐานก็ยังไม่ข้าม เหมือนกับชนกำแพงตกลงข้างหน้าฐานหมด แต่แผ่นดินไหวเป็นไกวเปลเลย และเบิร์ม(บังเกอร์ทหาร)ทรุดลง ความรู้สึกของอาตมาตอนนั้นไม่ได้กลัวเลย ทั้ง ๆ ที่ เพื่อน ๆ คว้าข้าวคว้าของ เผ่นกันอุตลุด ที่อาตมาไม่กลัวเพราะว่าเชื่อมั่นในวัตถุมงคลของหลวงพ่อว่า ผืนเดียวคุ้มได้ทั้งฐาน ของอยู่ในกระเป๋าเสื้อของเราแล้วทำไมจะคุ้มเราไม่ได้"
"นั่นเป็นครั้งที่หนักที่สุด รองลงมาอีกสองสามครั้ง ช่วงที่อยู่ชายแดนนั้น อาตมารู้สึกสงสารกำลังพลเพราะว่าเสบียงทหารแย่จริง ๆ อาหารหลักคือปลาทูเค็ม และปลาทูเค็มที่เขาส่งมาจะบางเป็นกระดาษเลย เขาเอาใส่เข่งแล้ววางทับ ๆ กันไป ตัวข้างล่างแบนเป็นกระดาษ ถึงเวลาจะกินทีต้องบีบมะนาวใส่แล้วเอาช้อนขูด ๆ ให้เนื้อฟูขึ้นมา แล้วค่อยกินได้
เห็นทหารกินแล้วสงสาร จึงคุยกันว่า เราไปหาอาหารสดมากันดีไหม ? เขาถามว่าจะทำอย่างไร ? อาตมาบอกว่า วิ่งเข้าไปเอาที่อรัญประเทศ ระยะทาง ๕๐ กว่ากิโลเมตร ถ้าพวกเราตกลงกันได้ ข้าจะไปเอง..!
ตอนช่วงนั้นรถเสบียงจะโดนปล้นทุกวัน ถ้าไม่บ้าพอก็ไม่มีใครกล้าไป ตกลงกันว่า หักเบี้ยเลี้ยงคนละ ๑๑ บาทต่อวัน เพื่อไปซื้ออาหารสดมาประกอบเลี้ยงกำลังพล วิ่งเข้าวิ่งออกอยู่ทุกสามวัน วันร้ายคืนร้าย ระหว่างที่วิ่งกลับ บรรทุกเสบียงมาเต็มคัน ตรงระหว่างรอยต่อของร้อยสามกับร้อยสอง จะเป็นช่วงว่างพอดี ทหารเขมรมาแอบซุ่มอยู่ พวกเราก็ไม่รู้ เพราะสุดเขตตรวจการของทั้งสองฝ่ายพอดี เขาแอบเจาะเข้ามา
พอพวกเราผ่าน เขาก็เล่นด้วยอาร์พีจี อาร์พีจีตอนนั้นมีสองประเภท คือ อาร์พีจี ๒ จะเก่าหน่อย และอาร์พีจี ๗ จะใหม่หน่อย อาร์พีจีเป็นเครื่องยิงจรวดต่อสู้รถถังโดยเฉพาะ
อาร์พีจีมีจุดอ่อนอยู่อย่างหนึ่ง เวลายิงเสียงจะดังก่อน เสียงดังแว้ดมาก่อนค่อยส่งลูกออกไป ตอนนั้นพลขับคือ จ่าสิบเอกสมชัย สะอิ้งทอง ไม่รู้ว่าจ่าแกกระทืบเบรกท่าไหน รถหยุดกึ้กเลย อาร์พีจีตกตูมลงข้างหน้ารถ ห่างไม่ถึงสิบเมตร แรงปะทะขนาดนั้นเล่นเอาพวกเราหงายหลังติดเบาะ บอกไม่ถูกว่าหนักแค่ไหน รู้แต่ว่าตับไตไส้พุงแทบจะพุ่งออกทางปาก..!"
"นั่นเป็นครั้งที่หนักที่สุด รองลงมาอีกสองสามครั้ง ช่วงที่อยู่ชายแดนนั้น อาตมารู้สึกสงสารกำลังพลเพราะว่าเสบียงทหารแย่จริง ๆ อาหารหลักคือปลาทูเค็ม และปลาทูเค็มที่เขาส่งมาจะบางเป็นกระดาษเลย เขาเอาใส่เข่งแล้ววางทับ ๆ กันไป ตัวข้างล่างแบนเป็นกระดาษ ถึงเวลาจะกินทีต้องบีบมะนาวใส่แล้วเอาช้อนขูด ๆ ให้เนื้อฟูขึ้นมา แล้วค่อยกินได้
เห็นทหารกินแล้วสงสาร จึงคุยกันว่า เราไปหาอาหารสดมากันดีไหม ? เขาถามว่าจะทำอย่างไร ? อาตมาบอกว่า วิ่งเข้าไปเอาที่อรัญประเทศ ระยะทาง ๕๐ กว่ากิโลเมตร ถ้าพวกเราตกลงกันได้ ข้าจะไปเอง..!
ตอนช่วงนั้นรถเสบียงจะโดนปล้นทุกวัน ถ้าไม่บ้าพอก็ไม่มีใครกล้าไป ตกลงกันว่า หักเบี้ยเลี้ยงคนละ ๑๑ บาทต่อวัน เพื่อไปซื้ออาหารสดมาประกอบเลี้ยงกำลังพล วิ่งเข้าวิ่งออกอยู่ทุกสามวัน วันร้ายคืนร้าย ระหว่างที่วิ่งกลับ บรรทุกเสบียงมาเต็มคัน ตรงระหว่างรอยต่อของร้อยสามกับร้อยสอง จะเป็นช่วงว่างพอดี ทหารเขมรมาแอบซุ่มอยู่ พวกเราก็ไม่รู้ เพราะสุดเขตตรวจการของทั้งสองฝ่ายพอดี เขาแอบเจาะเข้ามา
พอพวกเราผ่าน เขาก็เล่นด้วยอาร์พีจี อาร์พีจีตอนนั้นมีสองประเภท คือ อาร์พีจี ๒ จะเก่าหน่อย และอาร์พีจี ๗ จะใหม่หน่อย อาร์พีจีเป็นเครื่องยิงจรวดต่อสู้รถถังโดยเฉพาะ
อาร์พีจีมีจุดอ่อนอยู่อย่างหนึ่ง เวลายิงเสียงจะดังก่อน เสียงดังแว้ดมาก่อนค่อยส่งลูกออกไป ตอนนั้นพลขับคือ จ่าสิบเอกสมชัย สะอิ้งทอง ไม่รู้ว่าจ่าแกกระทืบเบรกท่าไหน รถหยุดกึ้กเลย อาร์พีจีตกตูมลงข้างหน้ารถ ห่างไม่ถึงสิบเมตร แรงปะทะขนาดนั้นเล่นเอาพวกเราหงายหลังติดเบาะ บอกไม่ถูกว่าหนักแค่ไหน รู้แต่ว่าตับไตไส้พุงแทบจะพุ่งออกทางปาก..!"
"สมัยก่อนพวกเราอยู่ชายแดน ใครบาดเจ็บถือว่าโชคดีนะ บาดเจ็บน้อยได้ชั้นสอง พ่อแม่ได้รักษาฟรี บาดเจ็บมากได้ชั้นหนึ่ง รักษาพ่อแม่ลูกเมียได้หมดบ้านเลย เป็นสวัสดิการที่ตอบแทนให้ทหารที่ออกรบ แต่ถ้าเขาบอกว่าสามหมื่นก็แปลว่าตายแล้ว พอตายแล้วสายใจไทยจ่ายให้ก่อนสามหมื่นบาท หลังจากนั้นก็ไปตามจากองค์การทหารผ่านศึก
ดังนั้น..อาตมาเองมั่นใจในธงมหาพิชัยสงครามของหลวงพ่อ เป็นพิเศษ โดยเฉพาะที่ชอบที่สุด คือ ยิงออก นิสัยแบบนี้ค่อนข้างจะบวม ๆ ไม่ค่อยเหมือนชาวบ้านเขา คือ ปืนที่ยิงออกเสียงดัง ได้ยินแล้วมันในอารมณ์ ถ้ายิงไม่ออกเลยนี่ไม่สนุก ชอบใจของหลวงพ่อที่ยิงออกแต่ไม่ถูก โดยเฉพาะที่ท่านบอกว่า ถ้าเสียงปืนด้านไหนแน่นที่สุด ให้ฝ่าออกทางด้านนั้น
ตอนที่อยู่ชายแดนนั้น รู้แน่ ๆ คือ อาตมาพกอยู่หนึ่งผืน แล้วก็รถยีเอ็มซีของจ่าสมชัยติดรถอยู่หนึ่งผืน ที่ปลอดภัยมาหลายต่อหลายครั้งด้วยกัน ส่วนหนึ่งก็คือธงพิชัยสงครามที่ติดอยู่กับรถ เพราะนั่งหน้ารถเป็นเป้าแน่นอนอยู่แล้ว ถ้าเขายิงเขาจะยิงพลขับหรือไม่ก็คนคุ้มกันก่อน ทีนี้ทหารคนคุ้มกันไม่มีใครกล้าไป เนื่องจากว่าออกไปมีสิทธิ์ตายได้ทุกวัน อาตมาก็ต้องไปเอง
อยู่แนวหน้าห้าเดือนกว่า ปะทะใหญ่ ๆ เล็ก ๆ ๒๖ ครั้ง ยังปลอดภัยจนทุกวันนี้ จึงยืนยันได้ว่า ถ้าวัตถุมงคลสายหลวงพ่อฤๅษีด้วยกันแล้ว ที่มีประสบการณ์มากที่สุดในการสู้รบคือธงมหาพิชัยสงคราม"
"ในฐานะที่เคยเป็นทหารมาก่อน เคยออกรบอยู่แนวหน้ามาก่อน จึงเข้าใจความรู้สึกของทหารทุกคน อยู่แนวหน้ามาปีกว่า มีคนไปเยี่ยมแค่สี่ครั้ง ทั้งสี่ครั้งไม่เคยได้เห็นหน้าคนเยี่ยมเลย เพราะจะมีคำสั่งให้ออกไปบล็อกพื้นที่เพื่อป้องกันอันตรายไม่ให้เกิดแก่ผู้ ที่มาเยี่ยมเรา กลับมาแล้วจึงจะได้เห็นว่า มีของที่แนวหลังอุตส่าห์จัดส่งไปให้พวกเรา ก็เอามาแจกจ่ายกัน
ส่วนใหญ่จุดยุทธศาสตร์สำคัญจะเป็นยอดเขา ถ้าฝ่ายตรงข้ามยึดได้เราจะเสียเปรียบ มีอยู่ช่วงหนึ่งเข้าเวรอยู่บนยอดเขา มีรุ่นน้องคือ สิบตรีสุรสิทธิ์ ด่านบางภูมิ ตอนนี้ท่านเป็นจ่าสิบเอกอาวุโส อยู่ที่จังหวัดตาก ตอนนั้นก็อยู่เวรกันอยู่สองคน ก็คือจะมีนายด่านกับลูกน้องผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกัน
หมู่สุรสิทธิ์ชี้มือไปไกลลิบเลย ชี้ไปที่ตัวเมืองตาพระยา มีแสงมีสี โดยเฉพาะไฟทางหลวง เขาบอกว่า "พี่..พวกนั้นเขาจะรู้ไหมว่า ในขณะที่เราลำบากกันแทบตาย แล้วพวกเขาสบายกันอย่างนั้น" ก็ได้บอกไปว่า "เขาจะรู้หรือไม่รู้ก็ตาม นี่เป็นหน้าที่ซึ่งเราต้องทำอยู่แล้ว"
แต่ตอนที่ตอบเขาไปนั้น รู้สึกว่าคอหอยตัน เพราะว่าขณะที่พวกเรามาลำบากกันแทบล้มประดาตาย กอดปืนยืนหนาวทั้งง่วง ทั้งหิว ทั้งเหนื่อย พวกเขากลับอยู่กับแสงสี อยู่กับความสนุก ถ้าไม่ใช่กำลังใจที่คิดว่า เราเป็นทหารของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เราเป็นรั้วของชาติ มีหน้าที่จะต้องดูแลรักษาความสงบเรียบร้อยของประเทศชาติ เพื่อประเทศชาติบ้านเมืองของเราสงบสุข สถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์จะได้ตั้งมั่นอยู่ได้
ถ้าไม่มีกำลังใจตรงจุดนี้ คิดว่าคงจะคิดเตลิดเปิดเปิงเหมือนกัน แต่คราวนี้ตระหนักว่า นั่นเป็นหน้าที่ของเรา เราต้องทำหน้าที่นั้นให้ดีที่สุด ถึงจะมีคนเห็นหรือไม่มีคนเห็นก็ตาม อย่างที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวตรัสว่า ให้ปิดทองหลังพระ ถ้าหากปิดไปนาน ๆ ทองล้นมาข้างหน้า คนเขาก็จะเห็นเอง"
"จากความรู้สึกที่ตัวเองเจอมา จึงสามารถเข้าใจได้ว่า ทหารตำรวจที่อยู่แนวหน้าทุกคนมีความรู้สึกอย่างไร โดยเฉพาะตอนที่มีคนไปเยี่ยมจะดีใจเป็นอย่างมาก สิ่งหนึ่งที่เป็นเครื่องสนับสนุนกำลังใจในสมัยนั้นก็คือ จดหมายจากแนวหลัง
ถ้ามีจดหมายไป ก็ชะเง้อคอมองหาว่าจะมีของเราหรือเปล่า ? บางคนรู้ว่าไม่มีญาติเลย แต่ก็มีจดหมายมา พอถึงเวลาแอบไปดู ปรากฏว่าเขาเขียนจดหมายถึงตัวเอง จะว่าน่าสงสารก็น่าสงสาร จะว่าน่าขำก็น่าขำ แต่เวลาที่คนอื่นได้จดหมายแล้วดีใจเพราะได้ข่าวจากทางบ้าน ส่วนตัวเองไม่มี เป็นอะไรที่รู้สึกว่าเศร้ามาก ด้วยความที่รับผิดชอบต่อหน้าที่ ก็เลยทำให้ทุกคนสามารถที่จะยืนหยัดอยู่ได้ จนกระทั่งเปลี่ยนเวร ผลัดให้กองพลอื่นขึ้นไปรับผิดชอบหน้าที่แทนพวกเราบ้าง
เมื่อเป็นดังนั้น จึงอยากจะบอกกับทหารตำรวจที่อยู่แนวหน้าทุกคนว่า ในฐานะที่อาตมภาพบวชเป็นพระสงฆ์แล้ว เปลี่ยนจากทหารของทางโลกมาเป็นธรรมเสนา คือทหารในทางธรรม แต่ก็ยังระลึกถึงความดีของทหารหาญทุกคน ที่เสียสละเพื่อประเทศชาติ เพื่อความสงบสุขของประชาชน เพื่อในหลวงที่พวกเรารัก ดังนั้น..จึงขอโอกาสนี้อาราธนาคุณพระศรีรัตนตรัย มีพระพุทธรัตนะ ธรรมรัตนะ สังฆรัตนะ และหลวงปู่หลวงพ่อที่ทุกท่านยึดมั่นเป็นที่ยึดเหนี่ยวทางจิตใจ
ขอได้โปรดดลบันดาลอภิบาลรักษา ให้ทุกท่านมีความปลอดภัยในที่ทุกสถาน ในกาลทุกเมื่อ แม้ว่าประสงค์จำนงหมายสิ่งใดที่ไม่เกินวิสัยแล้ว ก็ขอให้สิ่งที่ท่านทั้งหลายปรารถนานั้นจงสำเร็จทุกประการ โดยเฉพาะให้ทุกท่านปลอดภัย ได้กลับบ้าน ไปอยู่กับครอบครัวของตนโดยถ้วนหน้ากันทุกท่าน ทุกคนเทอญ
ขอยืนยันว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ออกจากกำลังใจจริงของตน ทุกวันนี้ที่สวดมนต์ทำวัตรปฏิบัติกรรมฐานอยู่ ก็อธิษฐานขอให้ทุกท่านที่ช่วยดูแลปกปักรักษาประเทศชาติของเรา มีความสุขความเจริญมีความปลอดภัยอยู่ตลอดเวลา ขออำนวยอวยพรให้ทุกท่านมีความปลอดภัย มีความสมหวังในสิ่งที่ปรารถนาทุกคน"
เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๔ - กระดานสนทนาวัดท่าขนุนไฟล์ที่แนบมา:
-
-
ถ้าจะให้กุศลนี้ถึงมือทหารที่เป็นผู้ปฏิบัติการโดยตรง
ขอให้พยายามดูในหนังสือพิมพ์ ถ้ามีการถูกโจมตี ถูกวางระเบิด
เราก็จะทราบว่า หน่วยใด ที่ไหน .....ท่านก็ส่งทางไปรษณีย์
ให้กับหัวหน้าหน่วยนั้น โดยตรง จะถึงมือผู้ที่ออกไปเสี่ยงภัยอย่างแท้จริง