พออ่านว่าให้ใช้ เสียงของนก เป็นอุปกรณ์ในการฝึก เย้ๆๆ เลยค่ะ เพราะเคยฝึกเล่นๆกับเสียงนกมาบ้างแล้วน่ะค่ะ ครั้งแรก ตอนที่ฝูงนกพากันเกาะอยู่บนต้นไม้ ส่วนครั้งที่สอง ตอนฝูงนกพากันเกาะอยู่บนริมระเบียงบ้านชั้นสอง(หลบฝน) แรกๆเราจะได้ยินเสียงนกร้อง(คุยกัน)เจี๊ยวจ๊าว พอหยุดกิริยาจิตแล้วเป็นสภาวะรู้ เราจะรู้เสียงนกที่ร้องออกมาแต่ละตัว แบบว่าแยกเสียงได้ตัวไหนเป็นตัวไหน และเสียงของนกทุกตัวจะแตกต่างกัน ทุกตัวเลยค่ะ แต่ถ้าฟังรวมๆ เสียงจะคล้ายกัน
+++ คุณ จิตวิญญาณ เพิ่งได้ "ของเล่นใหม่" สงสัยจะ "หาเบรกไม่เจอ" ในระยะนี้นะสิ อิอิ
ท่าจะจริงค่ะ หาเบรกไม่เจอ เพราะตั้งแต่ฝึกมา เสียงคลื่นของฝนแต่ละเม็ด มันส์ที่สุดเลย
ฝึก กรรม-ฐาน ด้วยภาษาที่เข้าใจง่าย
ในห้อง 'ประสบการณ์อภิญญา' ตั้งกระทู้โดย ธรรม-ชาติ, 16 ตุลาคม 2013.
หน้า 29 ของ 69
-
-
-
-
+++ มาถึงตรงนี้ก็คง "รู้แจ้ง" ได้ชัดเจนแล้วนะว่า ผู้ที่กล่าวว่า "มหาสติปัฏฐาน 4" เป็นของ "สุขขะวิปัสโก" นั้นรู้จัก "สติ" ได้ดีแค่ไหน หรือ ยังไม่รู้เลยว่า "สติ" คืออะไรกันแน่ นะครับ -
พี่คะ
เมิลลอง Map จิตดูแล้วคะ ไม่รู้ทำถูกไหม ยังไม่ค่อยเข้าใจขันธ์ประธานกับขันธ์บริวาร เมิลทำแบบนี้คะ
1.เมิลเรียกเหตุการณ์ตอนที่กำลังมองนิ้วที่เจ็บอยู่ขึ้นมา
2.ตรึงความรู้สึกตอนมองนิ้วไว้
3.แล้วถึงได้รู้ว่ามีการทำงานเชื่อมโยงกันอยู่ระหว่าง นิ้วที่เจ็บจริงของเมิล กับ ความจำที่เคยอ่านหนังสือแล้วมีคำพูดว่า “นิ้วเจ็บมาก” ของพระป่าท่านหนึ่งที่โยมถามท่านว่า เจ็บนิ้วมากไหม แล้วท่านตอบว่า นิ้วเจ็บมาก
4.จึงออกมาเป็น “เวทนาอยู่ไหน เราอยู่ไหน”
5.แยกตัวออกจากเวทนาทันที
6.ถึงสรุปเหตุการณ์เป็นคำพูดว่า "เออนิ้วโป้งที่เจ็บอยู่ไม่ใช่เรานี่หว่า"
7.สรุปว่าเป็นตัวพูดมากของเมิลเองคะ
เมิลลองขยายตื่น ผลคือขันธ์ถูกผลักให้ออกไปอยู่ข้างนอก ทำแบบนี้เหมือนกันกับที่พี่บอกว่า "ขยายกายเวทนา ออกไปภายในวาระจิตเดียว” ใช่ไหมคะ -
+++ สรุปสั้น ๆ คือ ขันธ์ที่ถูกเลือก คือ ประธาน ส่วนขันธ์ที่เกิดใหม่ เป็น บริวาร
+++ จากนั้น "วางขันธ์เก่า" (ดับไป) แล้ว "ย้ายเข้ามาอยู่" กับ "ตัวพูดมาก จากอดีตอันไกลโพ้น" (กลายเป็น ขันธ์ประธาน)(ขันธ์ประธาน ก่อให้เกิด ขันธ์บริวาร บรรยากาศเก่า สิ่งแวดล้อมเก่า ภพเก่า)
+++ "ตัวพูดมาก จากอดีตอันไกลโพ้น" ร่นเวลามาสู่ อดีต ที่เพิ่งเกิด (Teleport ระหว่าง กาลเวลา)
+++ ในระหว่า "จุติ" ตัวพูดมากจากอดีตอันแสนไกล ก็ "หมดอายุ" (หมดหน้าที่)(อาสัญญกรรม)" แล้วมันก็ดับไป
+++ การ "จุติใหม่" บรรยากาศใหม่ สิ่งแวดล้อมใหม่ (ภพใหม่) เกิดขึ้น
+++ การเกิดในภพนี้ "เกิดบนรถเมล์" มี "ตน ตัวดู อัตตาจิต" เป็นประธาน มี "เวทนาที่นิ้ว" เป็น ขันธ์บริวาร แห่งขณะนั้น ส่วน "ตัวพูดมาก" เป็นขันธ์บริวาร ที่เกิดใหม่
+++ ในขณะที่ยัง ปัฏฐาน ในตัวดู "ตัวพูดมาก" กล่าวว่า “เวทนาอยู่ไหน เราอยู่ไหน”
+++ ทั้งหมดนี้ยังเป็นการอธิบาย "การ Map จิต" แบบหยาบ ๆ เท่านั้น แต่ก็น่าจะเพียงพอต่อความเข้าใจถึง "อดีต-อนาคต-กาล" "ขันธ์เกิด-ดับ" "ภพ-ภูมิ" การเดินจิต "อยู่-ย้าย" ต่าง ๆ ได้จากการ "สังเขปสภาวะธรรม" ตรงนี้้
+++ ให้เมิล "เข้าปัฏฐาน" ให้ดี ก่อนทำการ เรียกขันธ์ Map จิต เมื่อปัฏฐาน ชัดเจนแล้ว จึงค่อย Map จิตใหม่อีกครั้ง ครั้งนี้ก็จะเข้าใจชัดเจน ในทุกขณะมากยิ่งขึ้น ทุกอากับกิริยาอาการ จาก วงจร สู่ วงจร แต่ละวงจร มี ประธาน บริวาร อยู่-ย้าย เกิด-ดับ การเชื่อต่อ กาลเวลา อดีต-ปัจจุบัน-อนาคต ทุกอย่างที่เรียนรู้ได้จากการ Map จิต นี้เมื่อถึงที่สุด ก็สามารถนำมา "ประยุกต์ใช้" ได้ในหลายสถานการณ์
+++ การเดินจิตใน "มหาปัฏฐาน" นี้ หากใช้ "ตัวดู" ทำปัฏฐาน มันก็จะเกิดปรากฏการแบบเดียวกันกับ "การถอดจิต" แล้วเคลื่อน "ทั้งตัว" ไปใน "ภพภูมิ - กาลเวลา - มิติ" ต่าง ๆ
+++ หากทำ "สภาวะรู้เป็นใส้เทียน" สภาวะและปรากฏการณ์ต่าง ๆ จะเคลื่อนตัวไปมา โดยที่ สภาวะรู้ "ไม่ได้เคลื่อน"
-
++ ต่อไปให้ "ได้ยินให้เท่ากันทั้ง 2 ข้าง" เพื่อปรับ "ตัวดู" ให้ทำงานได้เต็มที่ ไม่งั้น "นิสัยตรงนี้" จะทำให้ "เดินจิตไม่ได้" และจะเป็น "อุปสรรค" ในอนาคต.....
พอเอาเรื่องเสียงน้องหมามาถามอาจาร์ย จะฝึก(ปั)ปรับเสียงให้เท่ากันทั้ง2ข้าง ปรากฏว่าตอนนี้เสียงเค๊าเห่าเป็นเสียงธรรมดาเพราะอะไร..........ต้องเข้าสมาธิจึงจะเป็นเสียงก้องแบบเดิม ลักษณะการได้ยินแบบนี้คืออาการอะไร.......เอาไปปรับหรือฝึกกับการรับหรือการสื่อสารแบบอื่นได้มั้ยคะ
++ ให้สังเกตุในเวลาก่อนที่ "จิตครูบาอาจารย์" จะปรากฏ ในขณะนั้น "ความรู้สึก" เป็นอย่างไร หรือ ก่อนที่ จิตอื่นชั้นสูงจะปรากฏ "ความรู้สึก แบบเพื่อน" มีอยู่ด้วยใช่หรือไม่ ดังนั้น "ผู้ฝึกในกระทู้นี้" ควรเลียนแบบและหมั่นสังเกตุ "มารยาท" ตรงนี้ให้เรียบร้อยเอาไว้ด้วย เพราะตรงนี้ "เป็นมารยาทสากล" ในการติดต่อ "ข้ามภพภูมิ"
จิตครูบาอาจาร์ยสื่อสาร นอกจากนิมิตร ส่วนใหญ่จะมาเป็นแบบไหนอีกบ้างคะ -
+++ 1. "ทำสติ" จะใช้ "ความรู้ตัว หรือ รู้สึกตัว" ก็ได้ แต่ "ต้องทำทั้งตัว"
+++ 2. เมื่อทำได้แล้ว "เสียง" จะได้ยิน ตามความเป็นจริง ทั้ง 2 ข้างเท่ากัน (เมื่อมีสติ ทุกอย่างจะ ถูกต้อง ตามธรรมชาติของมันเอง)
+++ 3. จากนั้น "ทดลอง" ฟังเสียง ด้วยหู "ซ้าย-ขวา" สลับไปมา และ "พยายาม ปรับ จนได้เสียงก้อง" อย่างที่เคยได้ยิน
+++ 4. หากทำได้ ก็จะรู้ได้ว่า "ในขณะที่ได้ยินเสียงก้อง" ณ ขณะนั้น "จิตมีการวางตัว ในขณะฟัง" อย่างไร
+++ 5. จากนั้น ให้ "เดินจิต ขยับการฟัง" ระหว่าง "เสียงปกติ กับ เสียงก้อง ไปมา" ก็จะรู้ชัดเจนได้เองว่า "การฟังตรงไหน ให้ผลอย่างไร" (ตรงนี้เป็น "ธัมมวิจยะ" ใน "โพธิปักขิยธรรม")
+++ 6. เมื่อเข้าใจชัดเจนแล้ว ว่าอะไรเป็นอะไร "จิตมันจะวางได้เอง" และเมื่อยามใดที่ต้องการ "นำมาใช้ ก็จะใช้ได้ ตามปรารถนา"
-
++ หลัก ๆ ก็จะมาเป็น "เสียง" มักจะมาแบบ "ประโยคสั้น ๆ" และมักจะมา "ชี้นำ และ แก้ไข หรือ บอกเหตุการณ์สำคัญ ๆ" เท่านั้น ทุกอย่างมาแบบ "ตรงประเด็น" ไม่มี ยืดยาด ฟุ่มเฟือย ชวนคุย เล่านิทาน ฯลฯ สรุปคือ หลัก ๆ จะเป็นคำพูด "ประโยคเดียว" ยาวเต็มที่ "ไม่เกิน 3 ประโยค" ถ้าเกินกว่านี้ออกไป ให้รีบพิจารณาได้เลยว่า "ตนกำลังฟุ้งซ่าน" นะครับ ตรงนี้ทำให้คิดถึงเมื่อหลายเดือนก่อนตอนมีเรื่องที่ทำงานใจมันคิดอยู่นั่นแหละเป็นทุกข์ซ้ำไปซ้ำมาหลายวันก็วางไม่ได้(ที่พี่ธรรมชาติบอกไม่ต้องไปหาเหตุหรอกเค้าหวงจิตที่เป็นแบบนั้น) ตอนนอนหลับอยู่ปากมันพูดออกมาประมาณว่า คิดให้ทุกข์ทำไมวางมันเถอะ เราก็เอ๊ะ งง สรุปวางเลยค่ะมันโล่งโปร่งสบาย เบาไปเลย เคยสงสัยว่าจิตมันสอนตัวเองหรือหลวงพ่อมาบอกเรา(เพราะก่อนหน้าที่จะเกิดเรื่อง 1 เดือนไปหาหลวงพ่อ คำแรกที่ท่านพูดออกมาคือ แพ้เป็นพระชนะเป็นมาร เราก็งงท่านบอกใครหว่า ตอนที่เกิดเรื่องมาพิจารณาถึงได้รู้ว่า อ๋อบอกเรานี่เองเพราะถ้าเราจะเอาคืนจะแสบสันต์กันไปหลายคนเลยค่ะ หลวงพ่อเป็นพระที่ขุดกิเลสในใจเราออกมาครั้งแรกที่เจอท่าน บอกวิธีการนั่งที่ตรงจริต ) แต่ ณ ตอนนั้นคิดถึงพระพุทธเจ้าขึ้นมาแว๊บแรกว่าท่านมาบอกเราใจมันซาบซ่านแล้วก็วางเลยค่ะ พี่ธรรมชาติคะอีกอย่างนึงที่เคยถามเรื่องเหตุก่อนกระตุกที่พี่เคยบอกว่าไม่ใช่อะไรที่วูปเข้า สังเกตุว่าช่วงนึงเป็นบ่อยมาที่เป็นดวงๆผุดเข้ามาหาตัวเรา อีกอย่างนึงค่ะใช้โทรศัพท์ในการเข้าเวปไปเผลอกดถูกไม่เห็นด้วยหลายอันอย่าว่ากันนะคะ อิอิ โดยส่วนตัวอนุโมทนาสาธุกับทุกท่านที่ปฏิบัติได้รู้สึกสุขใจไปด้วย ช่วงนี้ไม่มีอะไรฝึกจิตเคลื่อนร่างไปและสังเกตุการแผ่ดันออกไปทั้งตัว
-
พี่คะ สงสัยเหมือนเคยได้ยินว่าทุกอย่างมันเกิดที่ลิ้นปี่เราเหมือนตอนนี้กำลังสังเกตุอาการอยู่
-
+++ ตรงไหนที่ยังไม่ถูก ก็ควรแก้ไขให้มันถูกซะ วิธีแก้ไขอยู่ในลิ้งค์ข้างล่างนี้
+++ http://palungjit.org/threads/วิธีลบ-ไม่เห็นด้วย-ออก-ในกรณีกดผิด.243069/
-
พี่ครับ ผมอ่านบทความดูแล้ว น่าสนใจมากเลยคับ ผมขอเรียนด้วยคนได้มั้ยคับ
-
+++ ทุกอย่างเป็นเรื่องของการ "ดำรงค์สติมั่น" เมื่อทำได้แล้วจึงทำให้ "รู้ปรากฏการณ์ ที่เกิดขึ้น ณ ขณะนั้น ๆ" (รู้ธรรมเฉพาะหน้า)
+++ ส่วนการ "เรียนรู้ สภาวะธรรม (ปรากฏการณ์)" ต่าง ๆ ก็ใช้วิธี "เดินจิต" ตรวจสอบ ซึ่งคำศัพท์ตรงนี้้คือ "วสี 5" เท่านั้นเอง
+++ ลองฝึกดู ได้เลยครับ -
ขอถามเป็นความรู้นะคะ
ตรงนี้เคยมีประสบการณ์ค่ะ ตอนที่มีของหล่นทับนิ้วเต็มๆ ตอนนั้นรู้สึกได้ทันทีว่า ความเจ็บปวด(เจ็บจี๊ดๆ) จะเป็นลักษณะเหมือนเป็นเส้นเล็กๆ พุ่งจี๊ดจากนิ้วที่โดนทับขึ้นมาถึงบริเวณครึ่งเข่า หลังจากนั้น ความเจ็บปวดก็ขยายออกเต็มครึ่งเข่า ตอนที่ยังรู้สึกปวดมากๆอยู่ในขณะนั้นน่ะค่ะ คิดยังไงไม่รู้ ลองถอยออกมาจากบริเวณที่ปวด สังเกตุสักพัก อาการปวดจางคลายหายไปเลยน่ะค่ะ หลังจากนั้นก็นานเหมือนกันกว่าเล็บเก่าจะหลุด ตอนนี้เล็บใหม่งอกเต็มแล้ว แต่แปลกใจตรงที่ว่า ตั้งแต่ลองถอยออกมาแล้ว ไม่รู้สึกปวดอะไรเลยน่ะค่ะ ลักษณะนี้เรียกได้ว่า “แยกขันธ์แบบคาหนังคาเขา” ไหมคะ? -
+++ อาการทางกาย ความเจ็บปวด หรือ "บริเวณที่ถูกกระทำ จะกินพื้นที่บริเวณหนึ่ง" และ พื้นที่บริเวณนั้น "เกิดความแตกต่างแบบกระทันหัน ต่างไปจาก พื้นที่ปกติ" ตรงนี้ "สติ" (ไม่ใช่ระลึกรู้ แต่เป็น รู้อยู่แล้ว) รู้ความแตกต่างในทันทีว่า "เกิดความผิดปกติ และ เกิดหย่อมเวทนา ที่ผิดไปจาก เวทนาส่วนรวม" (เกิดมิติผิดปกติ จาก มิติรวม)
+++ อาการทางจิต "ตัวดู" ย่อมเกิดอาการ "เพ่ง หรือ ดู" อย่างรุนแรง (พุ่งวาบเข้าไปยังเวทนา) จนเกิดการ "ยึดและต่อติด" กับเวทนานั้น (สำหรับผู้ที่ไม่ได้ฝึกมหาสติ ตัวดู จะยึดเวทนานั้น เป็น กาย) ตรงนี้ใช้ภาษาที่ง่าย ๆ ได้ว่า "เกิดอาการ ปวดหนึบ"
+++ ทางวิทยาศาสตร์ วัตถุที่ถูกกระแทกอย่างรุนแรง (ขันธ์) จากภายนอก "บีบเข้า" ย่อมเกิดกิริยาต่อต้านจากภายใน (อะตอม อณู โมเลกุล) "ขยายออก" (Balance ธาตุขันธ์ตามธรรมชาติ) ตรงนี้กลายมาเป็น Action = Reaction ส่วนกระแสของ Reaction นั้นเป็นอาการ "อัดกระแทกออก" ไปยังบริเวณพื้นผิว (มิติ) ของขันธ์ ส่วน "การส่งต่อแนวแรง" หากตรงไหน "มีช่องว่าง รอยโหว่" (Door Way) อาการของ Reaction ก็จะกระแทกออกไปยัง Door Way ที่สะดวกกว่าก่อน ในที่นี้ "Door Way" คือ ระบบเส้นประสาท จึงเกิดอาการที่เรียกว่า "อาการ จี๊ดๆ" พุ่งกระแทกออกมา ส่วนอาการ "ปวดชา ที่ไม่ใช่ จี๊ดๆ" คืออาการของ Reaction ที่แผ่ซึมออกมาโดยไม่มี Door Way ให้ผ่าน จึงช้ากว่า พื้นที่ของ Reaction นั้นกินบริเวณมาถึง ครึ่งเข่า (Star Burst กลายมาเป็นพื้นที่ Nebular)
-
+++ ใช่ ต่อไปให้ "กำหนดที่แกนของความรู้สึก" และยกที่ "แกน" นั้น แรก ๆ อาาจบังคับให้มันไปทาง ซ้าย-ขวา ก่อนเมื่อชำนาญแล้ว จึงค่อยไป บน-ล่าง ทีละข้าง จากนั้นจึงทำทั้ง 2 ข้าง และค่อย ๆ เพิ่มไปเรื่อย ๆ จนได้ทั้งตัว จากนั้นจึงเปลี่ยนมาเป็น "นั่งคุกเข่า" แล้วใช้ "จิตเคลื่อนร่าง ทำการ กราบพระ" แล้วจะรู้ได้อย่างชัดเจนว่า "เวลา เทพหรือพรหม กราบพระ" นั้น มีลักษณะอาการ รวมทั้งความสวยงามและสง่างาม อย่างไร
พี่คะเมื่อเราทำได้แล้วจะทำอย่างไรต่อไปคะ แต่ยังไม่ ๑๐๐ % คือ ลงไปแต่ตัวมือยังไม่ลง (รู้สึกดีมากๆ อิอิ ) แต่พยายามจะทำให้ได้สังเกตุว่าร้อนมากเหงื่อเต็มตัวเลยค่ะ -
+++ เมื่อได้แล้ว ที่ว่า "(รู้สึกดีมากๆ อิอิ )" นั้น "ยังเทียบไม่ได้" กับของใหม่ที่จะกลายเป็น "(สุดยอดมาก .. มากๆ อิอิ )" เลยทีเดียว
+++ แรก ๆ "ร้อนมากเหงื่อเต็มตัว" นั้นถูกแล้ว ตอนนี้คงพอเข้าใจได้บ้างแล้วนะว่า คำว่า "กำลังภายใน" หมายถึงอะไรกันแน่
+++ ยามใดที่คุ้นเคยแล้ว เคลื่อนร่างได้ในระดับ "วาระจิต" มันจะเปลี่ยนเป็น "เย็นสบาย แผ่วพริ้ว" เข้ามาแทนที่ (คล้าย ๆ กับโฆษณาในหนัง) นั่นแหละ -
เห็นอาจารย์พูดเรื่องเคลื่อนร่างอยู่พอดี ผมมีประสบการณ์เรื่องนี้โดยบังเอิญ เผื่อเป็นประโยชน์ต่อผมและท่านอื่นๆครับ
1.เมื่อประมาณ 20 กว่าปีที่แล้วกำลังนั่งรื้อถ้วยชามที่มุมห้องในห้องเก็บของ จะเอ๋กับงูในระยะห่างประมาณ1 ศอก วูบเดียวผมถอยหลัง 4ก้าวถึงพื้น
ก้าวแรกถอยหลังถึงประตู ชำแรกผ่านประตูชึ่งแง้มอยู่ประมาณ1คืบกว่า ตอนแทรกผ่านประตูเหมือนลอยอยู่ รู้สึกถึงชายผ้าที่พริ้วโดนลมเป็นเนื้อเดียวร่างกาย
ก้าวสองผ่านประตู
ก้าวสามถึงนอกชานซึ่งยกสูงประมาณหัวเข่า
ก้าวสี่ ถึงพื้น(ระยะทางก็ประมาณ 4 เมตร)
เป็นความรู้สึกวูบเดียวต่อเนื่องกัน พริ้ว สบายดี จับรายบะเอียดตอนเริ่มวูบไม่ได้เท่านั้นครับ
2.ก็สิบกว่าปีเหมือนกัน กำลังเดินอยู่คิดโน้นดิดนี้เรื่อยๆ รู้สึกได้ว่าได้ปะทะกับแรงๆหนึ่ง วูบเดียวคล้ายกับผมถูกผลัก(อุ้ม)กระเด็นถอยหลังไปประมาณ 2 วา ก้มดูถึงรู้ว่าเป็นงูชื่งถ้าไม่เจอแรงนี้คงเหยียบ
ไม่แน่ใจในสภาวะแต่ความรู้สึกตอนนั้นเหมือนกับมีสนามแม่เหล็กที่มีความแรงเท่ากันผลักกันมากกว่าครับ -
+++ เรื่อง "จิตเคลื่อนร่าง" กับเรื่อง "ย่นระยะทาง" นั้น ไม่น่าจะเหมือนกัน เพราะ "จิตเคลื่อนร่าง" ใช้เจตนาในการเคลื่อน และ ไม่มีอาการกระชากแบบ "ย่นระยะทาง" ส่วนเรื่องที่เล่ามาข้างบนนั้น มีส่วนเกี่ยวข้องกับ "ย่นระยะทาง" มากกว่า
+++ ให้สังเกตุการฝึกที่ "เกาะพงัน" โฉลกหลำ ดู ตอนนั้นคือการฝึก "จิตเคลื่อนร่าง" ส่วนอาการที่เล่ามาข้าางบนนั้น "ต่างกันอย่างไร" ลองสังเกตุดูนะ
+++ ตัวอย่างเรื่อง "ย่นระยะทาง" เคยโพสท์ไว้นานแล้ว อยู่ที่นี่
http://palungjit.org/posts/6898810
หน้า 29 ของ 69