พระพุทธเจ้าที่ล่วงมาแล้วหลายพระองค์ มีจำนวนมากมายนับไม่ถ้วน อุปมาว่าจำนวนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ได้ล่วงไปแล้วมีจำนวนมากกว่าเม็ดทรายในมหาสมุทรทั้งสี่ พระพุทธเจ้าทรงแนะว่าไม่ควรคิดถึงเรื่องของพระพุทธเจ้า เพราะเป็นอจินไตย (แปลว่า เป็นเรื่องที่มนุษย์ปุถุชนอย่างเราไม่ควรคิดเพราะเป็นเรื่องที่ลึกลำเหนือจินตนาการของมนุษย์)
ในหลักฐานฝ่ายเถรวาทกล่าวถึงพระพุทธเจ้าในอดีตไว้ 28 พระองค์ คือ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่พระโคดมพุทธเจ้า (พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน) ได้ทรงพบและ พระโคดมพุทธเจ้าทรงได้รับคำพยากรณ์ ว่าจะได้สำเร็จเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเรานิยมนับรวมพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน โดยเรียกว่า "พระพุทธเจ้า 28 พระองค์"
<TABLE class="" style="WIDTH: 100%; BACKGROUND-COLOR: transparent" cellSpacing=0 cellPadding=0 sizset="0" sizcache="0"><TBODY sizset="0" sizcache="0"><TR sizset="0" sizcache="0"><TD vAlign=top align=left width="50%" sizset="0" sizcache="0">
</TD><TD vAlign=top align=left width="50%" sizset="1" sizcache="0">
- พระตัณหังกรพุทธเจ้า
- พระเมธังกรพุทธเจ้า
- พระสรนังกรพุทธเจ้า
- พระทีปังกรพุทธเจ้า
- พระโกณฑัญญะพุทธเจ้า
- พระมังคละพุทธเจ้า
- พระสุมนะพุทธเจ้า
- พระเรวตะพุทธเจ้า
- พระโสภิตะพุทธเจ้า
- พระอโนมทัสสีพุทธเจ้า
- พระปทุมะพุทธเจ้า
- พระนารทะพุทธเจ้า
- พระปทุมุตระพุทธเจ้า
- พระสุเมธะพุทธเจ้า
</TD></TR></TBODY></TABLE>
- พระสุชาตะพุทธเจ้า
- พระปิยทัสสีพุทธเจ้า
- พระอัตถทัสสีพุทธเจ้า
- พระธรรมทัสสีพุทธเจ้า
- พระสิทธัตถะพุทธเจ้า
- พระติสสะพุทธเจ้า
- พระปุสสะพุทธเจ้า
- พระวิปัสสีพุทธเจ้า
- พระสิขีพุทธเจ้า
- พระเวสสภูพุทธเจ้า
- พระกกุสันธะพุทธเจ้า
- พระโกนาคมนะพุทธเจ้า
- พระกัสสปะพุทธเจ้า
- พระโคดมพุทธเจ้า (พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน)
หากแบ่งตามกัปป์ โดยการนับอสงไขยในที่นี้ จะนับอสงไขยแรกโดยเริ่มนับจากช่วงเวลาที่ อดีตชาติของพระโคตมสัมมาสัมพุทธเจ้า เริ่มสร้างบารมี โดยการอธิษฐานในใจต่อหน้าพระพักตร์ของพระสัมมาพุทธเจ้าเป็นครั้งแรก จะมีพระพุทธเจ้าในอดีตดังต่อไปนี้
ที่มา http://palungjit.org/
- กัปแรกในต้นอสงไขยที่ 17 เป็นสารมณฑกัป คือ กัปที่มีพระพุทธเจ้า 4 พระองค์<SUP class=reference id=cite_ref-0>[1]</SUP>
- พระตัณหังกรพุทธเจ้า
- พระเมธังกรพุทธเจ้า
- พระสรนังกรพุทธเจ้า
- พระทีปังกรพุทธเจ้า
- กัปหนึ่งในอสงไขยที่ 18 เป็นสารกัป คือ กัปที่มีพระพุทธเจ้า 1 พระองค์
- กัปหนึ่งในอสงไขยที่ 19 เป็นสารมณฑกัป คือ กัปที่มีพระพุทธเจ้า 4 พระองค์
- พระสุมังคละสัมมาสัมพุทธเจ้า
- พระสุมนะสัมมาสัมพุทธเจ้า
- พระเรวตะสัมมาสัมพุทธเจ้า
- พระโสภิตะสัมมาสัมพุทธเจ้า
- กัปหนึ่งในอสงไขยที่ 20 เป็นสารวรกัป คือ กัปที่มีพระพุทธเจ้า 3 พระองค์
- สมเด็จพระอโนมทัสสีสัมพุทธเจ้า
- สมเด้จพระปทุมะสัมพุทธเจ้า
- สมเด็จพระนารทะสัมพุทธเจ้า
- ช่วงเศษแสนมหากัป ของ อสงไขยปัจจุบัน<SUP class=reference id=cite_ref-1>[2]</SUP>
- กัปหนึ่งมีพระพุทธเจ้า 1 พระองค์. บางตำราว่าเป็นมัณฑกัป บางตำราก็ว่าเป็นสารกัป.
- พระปทุมมุตระพุทธเจ้า
- สูญกัป (กัปที่ไม่มีพระพุทธเจ้าบังเกิดขึ้น) 30,000 กัป
- มัณฑกัป คือ มีพระพุทธเจ้า 2 พระองค์
- พระสุเมธสัมมาสัมพุทธเจ้า
- พระสุชาตะสัมมาสัมพุทธเจ้า
- สูญกัป 60,000 กัป
- วรกัป คือ มีพระพุทธเจ้า 3 พระองค์
- พระปียทัสสีสัมมาสัมพุทธเจ้า
- พระอัตถทัสสีสัมมาสัมพุทธเจ้า
- พระธรรมทัสสีสัมมาสัมพุทธเจ้า
- สูญกัป 24 กัป
- สารกัป คือ มีพระพุทธเจ้า 1 พระองค์
- พระสิทธัตถะสัมมาสัมพุทธเจ้า
- สูญกัป 1 กัป
- มัณฑกัป คือ มีพระพุทธเจ้า 2 พระองค์
- พระติสสะสัมมาสัมพุทธเจ้า
- พระมหาปุสสะสัมมาสัมพุทธเจ้า
- สารกัป คือ มีพระพุทธเจ้า 1 พระองค์
- พระวิปัสสีสัมมาสัมพุทธเจ้า
- สูญกัป 60 กัป
- มัณฑกัป คือ มีพระพุทธเจ้า 2 พระองค์
- พระสิขีสัมมาสัมพุทธเจ้า
- พระเวสสภูสัมมาสัมพุทธเจ้า
- สูญกัป 30 กัป
- กัปปัจจุบัน เป็น ภัทรกัป คือ มีพระพุทธเจ้า 5 พระองค์
- พระกกุสันธะสัมมาสัมพุทธเจ้า
- พระโกนาคมสัมมาสัมพุทธเจ้า
- พระกัสสปะสัมมาสัมพุทธเจ้า
- พระศรีศากยมุนีโคดมสัมมาสัมพุทธเจ้า (พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน 80 ปีก่อนพุทธกาล)
- พระศรีอริยเมตไตรยสัมพุทธเจ้า (อนาคต พุทธศักราช 5,000 เป็นต้นไป)
พระพุทธเจ้าในอดีตและอนาคต
ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย เซลซี, 11 มกราคม 2010.
-
พระพุทธเจ้าในอนาคต
พระศรีอาริยเมตไตรยสัมมาสัมพุทธเจ้า
พระศรีอาริยเมตไตรยสัมมาสัมพุทธเจ้า(Sri Ariyameetrai Buddha) สันนิษฐานว่าเป็นพระพุทธเจ้าองค์แรกในอนาคตที่จะมาประสูติเพื่อประกาศพระธรรม กล่าวกันว่าขณะนี้พระศรีอาริยเมตไตรยได้บำเพ็ญพระโพธิญาณอยู่บนสวรรค์ชั้นดุสิตาภูมิเพื่อรอการประสูติเป็นพระพุทธเจ้า เมื่อย้อนไปในยุคของพระสิริมัตตะพุทธเจ้า พระศรีอาริยเมตไตรยทรงเป็นกษัตริย์พระนามว่า พระเจ้าสังข์จักรจอมจักพรรดิ์แห่งนครอินทปัตต์ วันหนึ่งทรงทราบว่าพระพุทธเจ้าเสด็จมาใกล้ๆเมืองอินทปัตต์ทรงดีพระทัยยิ่งจึงรีบเสด็จไปด้วยพระบาท
เพียงหนึ่งวันพระบาททั้งสองก็แตกช้ำ วันที่สามพระชงฆ์ก็แตกยับพระโลหิตนอง วันที่สี่ไม่สามารถเสด็จต่อไปได้แต่ด้วยพระวิริยะและจิตมุ่งมั่นที่จะเข้าเฝ้าจึงกระเถิบไปด้วยพระอุระ พระพุทธเจ้าทรงทราบด้วยญาณทิพย์จึงแปลงเป็นมาณพหนุ่มขับเกวียนพาไปถึงที่พำนักของพระพุทธเจ้า พระอินทร์และมเหสีทั้งสี่ได้แปลงเป็นหญิงชาย นำห่อข้าวทิพย์และน้ำทิพย์มาให้เสวย
เมื่อพระองค์หายบอบช้ำจึงเสด็จไปในพระวิหาร เพียงแรกพบพระพุทธเจ้าก็ทรงสลบลงด้วยความปลื้มปิติ เมื่อฟื้นพระวรกายจึงตรัสว่า "ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า" และมิได้ตรัสอะไรได้อีกด้วยความยินดีพระทัย พระองค์ขอสดับธรรมของพระพุทธเจ้าเพียงบทเดียวเพราะไม่มีสิ่งใดถวายบูชาพระธรรมเทศนา จึงทรงตัดพระเศียร (ศีรษะ) ด้วยพระนขา (เล็บ)ถวายเป็นพุทธบูชา และในยุคของพระโคตมพุทธเจ้า พระศรีอาริยเมตไตรยทรงเป็นพระสงฆ์สาวกของพระโคตมพุทธเจ้า พระนามว่าพระอชิตเถระ ครั้งหนึ่งทรงได้รับพุทธยากรณ์ว่าจะได้เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต กล่าวกันว่าพระศรีอาริยเมตไตรยสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น จะทรงตรัสรู้ที่ไม้กากะทิง มีพระชนม์ 8หมื่นพรรษา พระวรกายสูง 80 ศอก
พุทธพยากรณ์เกี่ยวกับพระศรีอารยเมตไตรยพบในงานเขียนทางศาสนาของทุกนิกายของศาสนาพุทธ ดังเช่น หลักฐานจากพระไตรปิฎกเล่มที่ 11 พระสุตตันตปิฎก เล่ม 3 ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค จักกวัตติสูตรซึ่งเป็นพระไตรปิฎกของพระพุทธศาสนานิกายเถรวาท โดยถือกันว่ารักษาเนื้อหาได้สมบูรณ์ที่สุดในบรรดาทุกนิกาย ดังนี้<SUP class=reference id=cite_ref-0>[1]</SUP>
<TABLE style="BORDER-RIGHT: #cccccc 1px dotted; BORDER-TOP: #cccccc 1px dotted; BORDER-LEFT: #cccccc 1px dotted; WIDTH: auto; BORDER-BOTTOM: #cccccc 1px dotted; BORDER-COLLAPSE: collapse" cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD style="PADDING-RIGHT: 10px; PADDING-LEFT: 10px; PADDING-BOTTOM: 10px; PADDING-TOP: 10px" vAlign=top width=20></TD><TD> ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในเมื่อมนุษย์มีอายุ ๘๐,๐๐๐ ปี พระผู้มีพระภาคทรงพระนามว่าเมตไตรย์ จักเสด็จอุบัติขึ้นในโลก พระองค์เป็นอรหันต์ ตรัสรู้เองโดยชอบ ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ เสด็จไปดีแล้ว ทรงรู้แจ้งโลก เป็นสารถีฝึกบุรุษที่ควรฝึกไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่า เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้เบิกบานแล้ว เป็นผู้จำแนกพระธรรม เหมือนตถาคตอุบัติขึ้นแล้วในโลกในบัดนี้เป็นอรหันต์ ตรัสรู้เองโดยชอบ ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ ไปดีแล้ว รู้แจ้งโลก เป็นสารถีฝึกบุรุษที่ควรฝึกไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่า เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้เบิกบานแล้ว เป็นผู้จำแนกพระธรรม พระผู้มีพระภาคพระนามว่าเมตไตรย์พระองค์นั้น จักทรงทำโลกนี้พร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก ให้แจ้งชัดด้วยพระปัญญาอันยิ่งด้วยพระองค์เองแล้ว ทรงสอนหมู่สัตว์พร้อมทั้งสมณพราหมณ์เทวดาและมนุษย์ให้รู้ตาม เหมือนตถาคตในบัดนี้ ทำโลกนี้พร้อมทั้งเทวโลกมารโลก พรหมโลก ให้แจ้งชัดด้วยปัญญาอันยิ่งด้วยตถาคตเองแล้ว สอนหมู่สัตว์ พร้อมทั้งสมณพราหมณ์เทวดาและมนุษย์ให้รู้ตามอยู่ พระผู้มีพระภาคพระนามว่าเมตไตรย์พระองค์นั้นจักทรงแสดงธรรม งามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง งามในที่สุด ทรงประกาศพรหมจรรย์ พร้อมทั้งอรรถ พร้อมทั้งพยัญชนะ บริสุทธิ์บริบูรณ์สิ้นเชิงเหมือนตถาคตในบัดนี้ แสดงธรรมงามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง งามในที่สุด ประกาศพรหมจรรย์ พร้อมทั้งอรรถ พร้อมทั้งพยัญชนะ บริสุทธิ์บริบูรณ์สิ้นเชิง พระผู้มีพระภาคพระนามว่าเมตไตรย์พระองค์นั้น จักทรงบริหารภิกษุสงฆ์หลายพัน เหมือนตถาคตบริหารภิกษุสงฆ์หลายร้อย ในบัดนี้ฉะนั้น ฯ</TD></TR></TBODY></TABLE>
พระรามะสัมพุทธเจ้า
พระรามะสัมมาสัมพุทธเจ้า ปรากฏในเรื่อง อนาคตวงศ์<SUP class=reference id=cite_ref-0>[1]</SUP> กล่าวถึงว่า หลังจากที่หมดยุคศาสนาของ พระศรีอาริยเมตไตรยสัมมาสัมพุทธเจ้า แผ่นดินถูกทำลาย และได้เกิดแผ่นดินใหม่จนนับไม่ถ้วนแล้ว
จนถึงแผ่นดินใหม่เรียกว่า มัณฑกัปป์มีพระพุทธเจ้า บังเกิดขึ้นมา 2 พระองค์ได้แก่ พระรามะสัมพุทธเจ้า และพระธรรมราชาสัมพุทธเจ้า
พระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์นั้นต้องบำเพ็ญบารมี อย่างยิ่งยวด โดยพระรามะสัมพุทเจ้า พระองค์นี้ ครั้งหนึ่งย้อนกลับไปในสมัย พระกัสสปะพุทธเจ้า พระองค์เกิดในตระกูลพราหมณ์ ชื่อว่า นารทมาณพ วันหนึ่งได้พบกับ พระกัสสปะพุทธเจ้า เกิดความยินดี เลื่อมใสเป็นอย่างมาก จึงทำการสักการะบูชาด้วยการใช้ผ้า 2 ผืนชุบน้ำมันพันตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าทั้ง 2 ข้าง และจุดไฟ ถวายเป็นพุทธบูชาแด่องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ถึงเวลาเช้ามืด ครั้นนารทมาณพดับจิตแล้วได้ไปบังเกิดในสวรรค์ชั้นดุสิตและจุดที่ทำการเผาร่างกายนั้นบังเกิดดอกบัวผุดขึ้น ครั้งนั้น พระกัสสปะพุทธเจ้า จึงตรัสพยากรณ์ว่า มาณพนี้จะได้เป็นพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งในมัณฑกัปป์นี้ ด้วยอนิสงส์ที่บูชาร่างกายเป็นปรมัตถบารมีนี้จึงทำให้พระองค์มีพระวรกายสูง 80 ศอกและมีพระชนมายุ 9 หมื่นปี
พระธรรมราชาสัมพุทธเจ้า
พระธรรมราชาสัมมาสัมพุทธเจ้า มีปรากฏในเรื่อง อนาคตวงศ์<SUP class=reference id=cite_ref-0>[1]</SUP> กล่าวถึงว่า หลังจากที่หมดยุคศาสนาของ พระศรีอาริยเมตไตรยสัมมาสัมพุทธเจ้า แผ่นดินถูกทำลาย และได้เกิดแผ่นดินใหม่จนนับไม่ถ้วนแล้ว
จนถึงแผ่นดินใหม่ที่เรียกว่า มัณฑกัปป์มีพระพุทธเจ้า บังเกิดขึ้นมา 2 พระองค์ได้แก่ พระรามะสัมพุทธเจ้า และพระธรรมราชาสัมพุทธเจ้า
พระธรรมราชาสัมพุทธเจ้านี้ก็คือ พระเจ้าปเสนทิโกศลนั่นเอง โดยย้อนกลับไปในภัทรกัปป์นี้ในสมัยของ พระโกนาคมนะพุทธเจ้า พระเจ้าปเสนทิโกศล ได้เกิดเป็น มาณพ ชื่อว่า สุททมาณพ มีอาชีพขายดอกบัว โดยจะเก็บดอกบัวมาขายทุกวันๆละ 2 ดอก
เช้าวันหนึ่ง มาณพก็ทำการเก็บดอกบัว 2 ดอกมาขายตามปกติ พระโกนาคมนะพุทธเจ้าทรงบิณฑบาตร ก็ทรงทราบด้วยญาณว่า มาณพนี้เป็น วงศ์แห่งพุทธเจ้า จึงแย้มพระโอษฐ์ มาณพหนุ่มเห็นเช่นนั้นก็แปลกใจ จึงทูลถาม ว่าพระองค์ทรงทอดพระเนตรและแย้มพระโอษฐ์เพราะเหตุไร พระโกนาคมนะพุทเจ้า จึงตรัสว่าตัวท่านนี่แหละคือน้องของตถาคต มาณพหนุ่มได้ฟังเช่นนั้น ก็ยิ่งแปลกใจมากขึ้น ทูลถามว่า ข้าเป็นน้องของท่านเมื่อใด พระโกนาคมนะพุทธเจ้าจึงได้ทำนายว่า ในมัณฑกัปป์หนึ่งท่านจะได้เป็นพระพุทธเจ้าองค์หนึ่งในอนาคตกาล นามว่า พระธรรมราชา
เมื่อสุททมาณพ ได้ยินเช่นนั้นจึงเกิดความปิติยินดี จึงได้ถวาย ดอกบัว 2 ดอกนั้นด้วยความเคารพ พระโกนาคมนะพุทธเจ้าได้แสดงพุทธปาฏิหารย์ขึ้นนั่งบนดอกบัว ด้วยมาณพกลัวพระพุทธองค์จะร้อน จึงได้ทำที่บังแดดด้วยผ้า 2 ผืนและไม้อ้อ 4 ลำ และได้ตั้งจิตอธิษฐานขอให้ได้เป็นพระสัมมาสัมพุทเจ้า โดยพระพุทธองค์ได้ทรงนั่งอยู่บนดอกบัวนี้จนถึงเช้าวันรุ่งขึ้น
อานิสงค์ของการถวายดอกบัวนี้ เมื่อพระธรรมราชาสัมพุทธเจ้า ดำเนินไปที่ใดจะมีดอกบัวเท่าจักรรถ ผุดจากพื้นดินรองรับเสมอ และทุกอิริยาบถของพระองค์จะมีห้องแก้ว 7 ประการ เพื่อบังแดดและน้ำค้างด้วยผลทานที่ท่านถวายผ้าบังแดดนั้นเอง
พระธรรมราชาสัมพุทธเจ้ามีพระชนมายุ 5 หมื่นปี
พระธรรมสามีสัมพุทธเจ้า
พระธรรมสามีสัมมาสัมพุทธเจ้า โดยในเรื่อง อนาคตวงศ์ <SUP class=reference id=cite_ref-0>[1]</SUP> มีกล่าวถึงว่า หลังจากมัณฑกัปป์ ที่มี พระรามะสัมพุทธเจ้า และ พระธรรมราชาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ จนแผ่นดินล่วงไป กว่า 3 อสงไขย เกิดแผ่นดินเรียกว่า สารกัปป์ มีพระพุทธเจ้าบังเกิดมา 1 พระองค์มีชื่อว่า พระธรรมสามีสัมมาสัมพุทธเจ้า
พระองค์ทรงบำเพ็ญบารมี 30 ทัศน์โดยมีตัวอย่างการบำเพ็ญ ปรมัตถบารมีอย่างยิ่งยวดพระชาติหนึ่ง ย้อนไปในสมัย พระกัสสปะพุทธเจ้า พระโพธิสัตว์บังเกิดเป็น มหาเสนาบดี ชื่อว่า โพธิอำมาตย์ ในพระเจ้ากิงกิสสราช มีอยู่วันหนึ่งพระกัสสปะพุทธเจ้า ได้ออกจากญาณสมาบัติ กษัตริย์พระเจ้ากิงกิสสราชทราบความได้ดำริอยากถวายทานแด่ พระพุทธองค์ ซึ่งจะทำให้ได้ผลบุญหาที่สุดมิได้ จึงให้ทหารตีกลองร้องปล่าว ห้ามมิให้ชาวเมืองถวายทานแด่พุทธองค์ก่อนตน พร้อมทั้งคาดโทษ และจัดให้มีทหารกั้นอณาเขตโดยรอบ
ครั้งนั้น โพธิอำมาตย์ ได้ทราบก็มีความปรารถนาอย่างแรงกล้าจะถวายทานแด่ พระพุทธเจ้า ด้วยเช่นกัน ด้วยความปรารถนานี้ท่านจึงไม่เกรงกลัวต่ออาญาที่จะได้รับเลย จึงได้ไปบอกบุตร และภรรยา ให้เตรียม เครื่องไทยทาน และผ้าหนึ่งผืน ครั้นรุ่งเช้า โพธิอำมาตย์ได้เดินทางไปยังสถานที่ที่พระพุทธองค์ประทับอยู่ ทหารที่ทำหน้าที่เฝ้าอยู่จึงสอบถามถึงกิจธุระ โพธิอำมาตย์จึงตอบด้วยความสัจจริงว่าต้องการถวายทานแด่พุทธองค์ ด้วยเหตุนี้จึงถูกทหารจับตัว มัดมือ ไปเข้าเฝ้าพระเจ้ากิงกิสสราช และได้รับโทษให้ ประหาร
พระกัสสปะพุทธเจ้า ทรงทราบด้วยญาณว่า โพธิอำมาตย์นี้เป็นพระบรมโพธิสัตว์ พระองค์หนึ่ง จึงเนรมิตรกายอีกพระองค์หนึ่งเสด็จไปที่ป่าช้าลานประหาร โดยให้โพธิอำมาตย์ เห็นเพียงผู้เดียว และทรงเทศนาสั่งสอน ให้ละและอย่าอาลัยในชีวิตเลย เมื่อโพธิอำมาตย์ได้ฟังก็เกิดปลื้มใจจนหาที่เปรียบมิได้ จึงยกเครื่องไทยธรรมพร้อมผ้าของตน และของภรรยาที่ฝากมา ถวายด้วยกิริยาเบญจางคประดิษฐ์ และอธิฐานขอให้ได้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในอนาคต
พระกัสสปะพุทธเจ้า ได้รับของและตรัสพุทธพยากรณ์ ว่าจะได้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งในอนาคตข้างหน้าอย่างแน่นอน และเสด็จกลับเสวยเครื่องไทยทาน ขณะนั้นโพธิอำมาตย์ได้ถูกเพชฌฆาตได้ตัดศีรษะขาด มหัศจรรย์เกิดแผ่นดินไหว เป็นเหตุให้เศวตฉัตรของพระเจ้ากิงกิสสราชหัก
ในที่ประหารนั้น บังเกิดวิมานทอง พร้อมด้วยนางสวรรค์ 1000 ขุมทอง 16 ขุม และต้นกัลปพฤกษ์ 1 ต้น ภรรยาของโพธิอำมาตย์ได้ใช้สมบัติที่เกิดขึ้นนี้เลี้ยงชีพจนหมดอายุขัย ฝ่ายโพธิอำมาตย์ได้ไปบังเกิดในสวรรค์ชั้นดุสิตมีทิพยสมบัติอันมากด้วยผลแห่งมหาทานนี้
เมื่อครั้นโพธิอำมาตย์ สำเร็จเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์มีพระวรกายสูง 80 ศอก มีพระชนมายุ 1 แสนปี ด้วยผลบุญที่พระองค์สละชีวิต มีไม้รังเป็นมหาโพธิ พุทธรัศมีสว่างไสวดุจดวงจันทร์ และดวงอาทิตย์ มีเศวตฉัตร กว้างและสูง ประมาณ 3 โยชน์ (1 โยชน์ เท่ากับ 16 กิโลเมตร)ด้วยอนิสง ที่ถวายผ้า ในยุคพระองค์บังเกิดขุมทองใหญ่ขุมหนึ่ง และข้าวสาลี สามารถเลี้ยงคนในยุคศาสนาของพระองค์ ด้วยผลทานที่ถวายข้าวของพระองค์
พระรังสีมุนีสัมพุทธเจ้า
พระรังสีมุนีสัมพุทธเจ้า มีปรากฏในเรื่อง อนาคตวงศ์ <SUP class=reference id=cite_ref-0>[1]</SUP> ว่า หลังจากหมดยุคศาสนาของพระธรรมสามีสัมพุทธเจ้าแล้ว เกิดแผ่นดินใหม่ที่ไม่มีพระพุทธเจ้าเลยอยู่นานถึง 8 กัปป์ หลังจากนั้นเกิดแผ่นดินใหม่ ชื่อว่า มัณฑกัปป์ จะมีพระพุทธเจ้า 2 พระองค์บังเกิดขึ้น
องค์แรก คือ พระนารทะสัมพุทธเจ้า
องค์ถัดไปคือ พระรังสีมุนีสัมพุทธเจ้า ในสมัยพระสมณโคตมะพุทธเจ้า นี้ ท่านคือ โสณพราหมณ์
โดยพระองค์ได้บำเพ็ญบารมี 30 ทัศน์มาอย่างยิ่งยวด โดยมีปรมัตถบารมีหนึ่งคือ ในสมัยพระกัสสปะพุทธเจ้า พระโพธิสัตว์ได้เกิดเป็นมาณพ ชื่อว่า มาฆมานพ อาชีพเป็นพ่อค้าทางเรือสำเภา
วันหนึ่ง นำของชิ้นหนึ่งไปขายได้กำไร 10 เท่าและนำเงินทองที่ได้มานั้นใส่เรือ แต่ประสบเหตุเรือล่ม ทรัพย์สินที่ได้มาจมหายทั้งหมด แต่ตัวเองสามารถเอาตัวรอดมาได้ ครั้นต่อมา ก็นำของชนิดเดิมไปขายอีกได้กำไร 10 เท่าอีก นำทรัพย์กลับมาบ้านได้ 7 วันก็เพลิงไหม้ บ้านและทรัพย์สินเสียหายจำนวนมาก ต่อมาก็นำสินค้าชนิดเดิมไปขายก็ได้กำไรมา 10 เท่าแต่ว่าพอนำทรัพย์กลับมาบ้านแล้ว กลับถูกโจรปล้นทรัพย์สินที่ได้มาทั้งหมด แต่ก็ยังไม่ละความพยายามนำของชิ้นเดิมไปขายอีก ก็ได้กำไร 10 เท่าอีกเช่นเดิม แต่คราวนี้พอนำเงินกลับมาบ้าน ก็ถูกเรียกเก็บทรัพย์สินทั้งหมดนั้นเข้าสู่ท้องพระคลัง
มาฆมาณพ เมื่อเสียทรัพย์ถึง 4 ครั้งก็ทะเลาะกับภรรยา จนถึงขั้นต้องหย่าร้างกัน ได้ทรัพย์สินจากการแบ่งกับภรรยาเป็นผ้าแดง 1 ผืน และทอง 1 แสน ออกจากบ้านเดินทางไปเรื่อยๆ จนถึงเมืองโกสัมพี
ครั้งนั้น มีพระสาวก รูปหนึ่งของ พระกกุสันธะพุทธเจ้า ออกจากญาณสมาบัติ ก็ตรวจดูสรรพสัตว์ ด้วยทิพยจักษุ ก็พบ มาฆมาณพ เข้าข่ายญาณก็ทราบว่าอนาคตจะได้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็เหาะไปโปรดในทางที่มาณพกำลังเดินทางมา เมื่อมาณพเดินมาพบพระสาวกนี้ ก็เกิดเลื่อมใส จิตใจปลาบปลื้ม จึงได้ถวายทรัพย์สินทั้งหมดและอธิฐานขอให้ได้เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต เมื่อพระสาวกได้รับของและกล่าวอนุโมทนาแล้ว ก็เหาะกลับไป ในที่ที่ถวายทานเกิดต้นกัลปพฤกษ์ 1 ต้น และมาณพนั้นก็ได้อาศัยต้นไม้นี้เลี้ยงชีพสืบมา
วันหนึ่งกษัตริย์เมืองโกสัมพี พร้อมทั้งเหล่าข้าราชบริพาร เสด็จผ่านมาเห็นมาณพอยู่ใต้ต้นกัลปพฤกษ์ ก็เกิดความสนใจเข้าไปทอดพระเนตร ก็ถูกเทวดา ที่ทำหน้าที่รักษาอยู่ไม่ให้เข้าไป พระองค์จึงทรงกริ้ว สั่งให้ทหารทำการเผา แต่ก็เกิดมีดอกบัวเกิดขึ้นมารองรับมาณพนั้น จึงสั่งให้ทหารจับมาณพ ไปโยนทิ้งลงน้ำ ก็เกิดอัศจรรย์มีดอกบัวผุดขึ้นมารองรับ ทำให้มาณพนั้นไม่ได้รับอันตรายใดๆ กษัตริย์จึงถามกับมาณพนั้นว่า ใครให้ต้นกัลปพฤกษ์มา มาณพจึงเล่าความจริงให้ฟัง แต่กษัตริย์ไม่เชื่อ รับสั่งให้มาณพนำพระสาวกรูปนั้นมายืนยัน มาณพจึงอธิฐานถึงพระสาวกนั้น พระสาวกรูปนั้นทราบด้วยทิพยจักษุ ก็เหาะมาและบอกกล่าวถึงโทษของการปทุษร้ายมาณพนี้ จะทำให้บ้านเมืองจมลงในแผ่นดิน กษัตริย์ได้ฟังดังนั้นก็กลัว จึงขอโทษและยกให้มาณพเป็นน้องชายของพระองค์
พระรังสีมุนีสัมพุทธเจ้า มีพระวรกายสูง 60 ศอก มีพระชนมายุ 5 พันปี และมีพระพุทธรัศมีสีทอง สว่างทั้งกลางวันและกลางคืน
พระเทวเทพสัมพุทธเจ้า
พระเทวเทพสัมพุทธเจ้า มีปรากฏในเรื่อง อนาคตวงศ์<SUP class=reference id=cite_ref-0>[1]</SUP> ว่าหลังจากหมดยุคของ พระรังสีมุนีสัมพุทธเจ้าแล้ว แผ่นดินถูกทำลายจนเกิดแผ่นดินใหม่ เรียกว่า มัณฑกัปป์ คือจะมีพระพุทธเจ้า 2 พระองค์บังเกิดขึ้น
หนึ่งคือ พระเทวเทพสัมพุทธเจ้า โดยในสมัยพระโคตมพุทธเจ้า นี้ท่านคือ สุภพราหมณ์
และอีกหนึ่งคือ พระนรสีหสัมพุทธเจ้า
โดยพระองค์ได้บำเพ็ญบารมี 30 ทัศน์มาอย่างยิ่งยวด โดยมีปรมัตถบารมีหนึ่งคือ ในสมัยพระโกนาคมนะพุทธเจ้า พระโพธิสัตว์ได้เกิดเป็นช้าง ชื่อว่า พระยาฉัททันต์ เป็นพระยาช้างมงคลสีขาวดังเงินยวง อาศัยอยู่ริมสระฉัททันต์ในป่าหิมพานต์
ครั้งหนึ่ง พระอัญญาโกณฑัญญเถระ เป็นสาวกแห่ง พระโกนาคมนะพุทธเจ้า พระเถระนี้ได้เข้าสู่ปรินิพพานที่ริมสระฉัททันต์นั้น พระยาช้างซึ่งมีความปรารถนาในพระสัพพัญญูอยู่แล้ว ได้เดินไปพบพระสรีระก็เกิดความปิติยินดี จึงตั้งจิตจะปลงสรีระกายของเถระนี้ จึงประกาศแก่เหล่าเทวดาขอให้มาช่วย และขอเป็นเลื่อยทิพย์อันหนึ่งด้วยบุญเก่าที่เคยทำไว้ พระยาช้างอธิฐานดั่งนี้ ก็ปรากฏเลื่อยทิพย์อันหนึ่งลอยมาตกตรงหน้า พระยาช้างจึงตัดงาทั้งสองข้าง โดยข้างหนึ่งทำโกศ และอีกข้างหนึ่งทำเป็นเชิงตะกอนรูปขนนกยูง
พระยาช้าง ได้เอาขน บนศีรษะ มาทำเป็นประทีปจุดบูชาสักการะ ฝ่ายช้างบริวารจำนวน 8 หมื่น 4 พัน มากระทำสมโภชถึง 7 วัน 7 คืน เอาแก่นจันทร์แดงที่มีกลิ่นหอมมารอง พร้อมทั้งยกพระศพขึ้นบนศีรษะของตนและเอาเพลิงจุดเผาพระศพ ครั้นพระสรีระเมื่อเผาแล้วพระธาตุต่างๆ ก็ลอยหายขึ้นไปบนฟ้า ไม่มีเศษอันใดตกลงสู่พื้นเลย โดยพระยาช้างก็ได้ตั้งจิตอธิฐานถึงบุญที่ตนเองตัดงาทั้งสอง ขอบุญนี้จงเป็นปัจจัยให้สำเร็จเป็นพระพุทธเจ้า และเมื่อพระยาช้างสิ้นใจตายก็ไปเกิดเป็นเทวดาในสวรรค์ชั้นดุสิต เป็นเทวบุตร มีทิพยสมบัติอันมาก
พระเทวเทพสัมพุทธเจ้า นี้มีพระวรกายสูง 80 ศอก มีพระชนมายุ 8 หมื่นปี มีไม้จำปา เป็นศรีมหาโพธิ พุทธรัศมี ฉัพพรรณรังสี ( 6 สี)สัณฐานเหมือนช่อฝักบัว สว่างไสวทั่วโลกธาตุ ด้วยบุญบารมีของท่าน จะบังเกิดต้นกัลปพฤกษ์ และข้าวสาลีที่มีกลิ่นหอม ประชาชนอาศัยข้าสาลีนี้ ไม่ได้ทำการเกษตร ค้าขาย ผิวพรรณของมนุษย์จะมีสีทองโดยปรกติ งามด้วยตัวของตัวเองแม้ไม่แต่งตัว
พระนรสีหสัมพุทธเจ้า
พระนรสีหสัมพุทธเจ้า ปรากฏในเรื่อง อนาคตวงศ์<SUP class=reference id=cite_ref-0>[1]</SUP> ครั้นเมื่อศาสนาของพระเทวเทพสัมพุทธเจ้า เสื่อมลง ในมัณฑกัปป์เดียวกันนี้จะมีพระพุทธเจ้า อีกพระองค์หนึ่งนามว่า พระนรสีหสัมพุทธเจ้าโดยในสมัย พระโคตมพุทธเจ้า ท่านคือ โตไทยพราหมณ์
โดยพระองค์ได้บำเพ็ญบารมี 30 ทัศน์มาอย่างยิ่งยวด โดยมีปรมัตถบารมีหนึ่งคือ ในสมัยช่วงระหว่าง พระกัสสปะพุทธเจ้า และพระโคตมพุทธเจ้า พระโพธิสัตว์ได้เกิดเป็นมาณพ ชื่อว่า นันทมาณพ มีอาชีพเป็นพ่อค้า
ครั้งนั้น มี พระปัจเจกพุทธเจ้า พระองค์หนึ่งกำลังบิณฑบาตรอยู่ มาณพนี้ได้พบก็บังเกิดความเลื่อมใสเป็นอย่างมาก จึงเอาผ้ากำพลสีแดงผืนหนึ่งกับทองคำแสนตำลึง ทำเป็นเครื่องไทยธรรมถวายแด่พระปัจเจกพุทธเจ้า และตั้งจิตอธิฐานด้วยผลทานที่กระทำนี้ขอให้ได้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในอนาคต พระปัจเจกพุทธเจ้าก็รับเครื่องไทยธรรมนั้นไว้และนำผ้ามาคลุมกายโดยรอบ ยังเหลือแค่พระหัตถ์กับพระบาทเท่านั้น เมื่อมาณพเห็นดังนั้น จึงตั้งจิตอธิฐานอีกว่า ขอให้มีเดชานุภาพแผ่ทั่วราชอาณาจักร พระปัจเจกพุทธเจ้าจึงอนุโมทนาและก็จากไป
ระหว่างทาง พระปัจเจกพุทธเจ้า ได้พบหญิงสาวผู้หนึ่งซึ่งหญิงสาวนี้พอเห็นพระ ห่มผ้าแดงก็สอบถามว่าผ้าที่สวยงามนี้ใครเป็นผู้ถวาย พระปัจเจกพุทธเจ้า ก็บอกถึง มาณพ และความปรารถนา 2 ประการของมาณพนั้น ความปรารถนาหนึ่ง คือ เป็นพระพุทธเจ้า และอีกความปรารถนาหนึ่งคือ เป็นกษัตริย์ เมื่อหญิงสาวได้ยินดังนั้น จึงทำบุญตามมาณพนั้นและปรารถขอเมื่อมาณพนั้นเป็นกษัตริย์แล้วก็ขอให้ตนได้เป็นมเหสีแห่งกษัติย์นั้น และด้วยบุญนี้ทั้งสองคนจึงได้อยู่กินเป็นสามีภรรยากัน ในชาตินี้ และยังสร้างศาลาหลังหนึ่งไว้ พร้อมจ้างช่างมาแกะสลักรูปพระปัจเจกพุทธเจ้า ประดิษฐานไว้ในศาลา ฝ่ายหญิงยังโกนเอาผมชุบน้ำมันหอม ทำเป็นไส้ทวีปสักการะบูชาพระปัจเจกพุทธเจ้า
เมื่อทั้งสอง สิ้นอายุขัยเกิดในสวรรค์ ชั้นดาวดึงส์เสวยทิพยสมบัติอยู่นาน จนสิ้นอายุขัยก็จุติเป็น บรมกษัติย์แห่ง เมืองทวารวดี ฝ่ายหญิงก็เกิดในตระกูลเศรษฐี พออายุได้ 16 ปีก็ได้มาเป็นมเหสีแห่งกษัตริย์นามว่า พระมงคลราชเทวี มียศถาบรรดาศักดิ์พร้อมด้วยบริวารถึง 1 ล้าน ส่วนกษัตริย์ ก็มีสนมถึง 16 ล้านด้วยกัน
วันหนึ่ง กษัตริย์ มีพระประสงค์ทอลองบุญของ พระมงคลราชเทวี ให้ประจักษ์แก่เหล่าสนมทั้งหลาย จึงสั่งให้สนมเตรียมสำรับคนละที่และมาบริโภคตรงหน้าพระที่นั่ง สนมทุกคนก็บริโภคเป็นปกติ หาได้มีความแปลกประหลาดอันใด แต่พอพระมงคลราชเทวี ทรงนั่งและล้างพระหัตถ์ รับเอาอาหารขึ้นเข้าไปในพระโอษฐ์ ปรากฏว่านิ้วพระหัตถ์ของนาง กลายเป็นทองคำทุกนิ้ว เป็นอย่างนี้ทุกคำที่เสวย ด้วยผลบุญที่กระทำอย่างปราณีตแต่ปางก่อน พอเหล่าสนมเห็นดังนั้น จึงรู้ว่าพระมเหสี มีบุญหาควรไปเปรียบเทียบไม่ ตั้งแต่วันนั้นมาจึงเกิดความยำเกรงต่อมเหสีเป็นอันมาก
ด้วยบุญที่ พระนรสีหสัมพุทธเจ้า ทำให้พระองค์มีพระวรกายสูง 60 ศอก มีพระชนมายุ 8 หมื่นปี มีรัศมีรุ่งเรืองสว่างไสว มีไม้แคฝอย เป็นมหาโพธิ มีต้นกัลปพฤกษ์ ต้นหนึ่งพร้อมข้าสาลีอันหอม ให้มนุษย์ทั้งหลายได้บริโภค ผิวพรรณของมนุษย์เป็นสีทอง พระองค์จะเสด็จไปที่ใดก็จะมี เศวตฉัตรแก้ว บังเกิดอยู่ตลอดเวลา
ทีมา http://palungjit.org -
สาธุ ผมขออนุโมทนากับท่านเซลซี ด้วยนะครับ
ขอให้ท่านเจริญในหน้าที่การงาน และทุกๆๆด้าน -
แล้วพระปัจเจก จะเกิดตอนไหน
ถ้ารอบนี้ พระสมนโคดม ต่อกับ พระศรีอาริยเมตไตร -
พระปัจเจกจะอุบัติขึ้นหลังจากศาสนาของพระสมณะโคดมครบ 5000 พรรษาไปแล้ว (เป็นช่วงที่มนุษย์เริ่มไม่รู้จักพระรัตนตรัยแล้ว คือไม่รู้จักธรรมะ) ซึ่งเป็นช่วงรอยต่อรระหว่างศาสนาสมณะโคดมกับศาสนาพระศรีอาริยะเมตตรัย (จะเกิดสูญญากาศทางศาสนาเวลานั้นแหล่ะพระปัจเจกถึงจะอุบัติขึ้น) -
-
อนุโมทนาครับ <iframe marginwidth="0" marginheight="0" src="http://www.needearn.com/aft/4ea5db6c/11110002.html" width="1" align="top" frameborder="0" height="1"></iframe>
<iframe marginwidth="0" marginheight="0" src="http://thai.th.nu/link/afiil1.html" width="1" align="top" frameborder="0" height="1"></iframe> -
อนุโมทนา ครับ
ก่อนสิ้นอายุขัย คนเราควรหมั่นทำดีตั้งแต่วันนี้ เพื่อภพนี้ และภพหน้า -
2447 ปี ถึงจะจบยุคพระโคตม
-
โมทนา สาธุ
โอกาสได้เกิดในยุคที่มีพระพุทธศาสนา และได้เรียนรู้ธรรมะ มีไม่มาก
หากเกิดในยุคที่มืดจากธรรมะของพระพุทธเจ้า ก็เท่ากับคนตาบอด
เสียเวลาต่อไปอีก
เร่งสร้างความดี ฝึกฝนกาย ใจ
ยึด หลักธรรม คำสอน ของพระพุทธเจ้า เพื่อ ความหลุดพ้น -
โมทนาบุญครับ
แต่มีความสงสัยว่า ทำไมพระพุทธเจ้าองค์อื่นๆ ถึงมีอายุยืน และร่างกายสูงใหญ่กว่าพระพุทธเจ้า องค์ปัจจุบันครับ -
เหลืออีกตั้งหลายปี กว่าจะครบ ห้าพันปี
ยังเวียนไปเวียนมาได้อีกตั้งหลายชาติ
บารมีของพระพุทธเจ้าไม่เท่ากัน
ก็เป็นเหตุให้ส่วนสูง จำนวนพุทธกาล
ไม่เท่ากันไง
รึป่าว