พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย sithiphong, 23 ธันวาคม 2005.

  1. Shinray01 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,675
    ค่าพลัง:
    +2,309


    การนอนหลับหลังกินข้าวทำให้อ้วนจริงหรือ?

    น้ำหนักร่างกายขึ้นอยู่กับปัจจัยมากมาย และทั้งรูปแบบการใช้ชีวิตและพันธุกรรมมีบทบาทสำคัญในเรื่องนี้มาก หลักสำคัญของการควบคุมน้ำหนักก็คือ การทำให้พลังงานที่รับและพลังงานที่ใช้มีความสมดุลกัน

    ซึ่งเป็นความสัมพันธ์ที่เรารู้จักกันในชื่อ สมการสมดุลพลังงาน (energy balance equation)

    พลังงานที่รับได้มาจากอาหารและเครื่องดื่มที่เราบริโภคมักจะวัดกันเป็นหน่วยกิโลแคลอรี่ (kcal) กระทรวงเกษตรสหรัฐได้กำหนดระดับแคลอรี่ตามเพศ อายุ และกิจกรรมของแต่ละคนไว้ ปริมาณแคลอรี่ที่รับจะมีค่าตั้งแต่ 3,000 กิโลแคลอรี่สำหรับผู้ชายอายุระหว่าง 19-20 ปีที่ชอบทำกิจกรรมจนถึง 2,000 กิโลแคลอรี่สำหรับชายอายุ 76 ปีขึ้นไปที่ชอบนั่ง (ในส่วนผู้หญิงจะมีค่าอยู่ที่ 2,400 กิโลแคลอรี่ และ 1,600 กิโลแคลอรี่ตามลำดับ) เมื่อพลังงานที่รับมากกว่าพลังงานที่ใช้ไป ร่างกายเราจะเก็บพลังงานส่วนเกินในรูปของไขมัน ไม่ว่าพลังงานส่วนเกินนั้นจะมาจากไขมัน คาร์โบไฮเดรต หรือแม้แต่แอลกอฮอล์

    พลังงานที่ใช้จะมีด้วยกัน 3 ประเภทใหญ่ๆ คือ resting metabolic rate (BMR) ซึ่งเป็นพลังงานที่ร่างกายคุณใช้ให้ทำงานได้ปกติตลอดทั้งวัน, diet induced thermogenesis (DIT) เป็นพลังงานที่ใช้ในการย่อยอาหาร ดูดซึม ขนส่ง ย่อยสลาย และเก็บอาหารและเครื่องดื่ม และกิจกรรมทางร่างกาย ในคนชราแต่ละคนจะมีค่า BMR ประมาณ 60-70% ของพลังงานที่ใช้ไป ค่า DIT คิดเป็นประมาณ 10% และกิจกรรมทางร่างกายจะอยู่ประมาณ 10-25% (คนที่ไม่ชอบอยู่นิ่งจะมีสัดส่วนของพลังงานที่ใช้ไปมากกว่ากิจกรรมทางร่างกาย) ร่างกายของเราจะใช้พลังงานตลอดเวลาแม้แต่ขณะกำลังหลับ ร่างกายก็ต้องการพลังงานในการทำหน้าที่ที่ซับซ้อนหลายอย่างเพื่อทำให้เรามีชีวิตอยู่

    ไขมันร่างกาย 1 ปอนด์จะให้พลังงานประมาณ 3,500 กิโลแคลอรี่ สมการสมดุลพลังงานแสดงให้เห็นว่าถ้ามีการเพิ่มขึ้นของอาหารที่บริโภคหรือการลดลงของพลังงานที่ใช้ไปเท่ากับ 3,500 กิโลแคลอรี่จะทำให้เรามีน้ำหนักเพิ่มขึ้น 1 ปอนด์ ถึงแม้ว่านี่อาจจะเป็นการคำนวณอย่างง่ายในการคาดคะเนทั้งน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นหรือลดลงก็ตาม แต่ยังมีความแตกต่างในแต่ละบุคคลที่สมการสมดุลพลังงานไม่สามารถนำมาคิดได้ การเปลี่ยนแปลงของน้ำหนักเป็นกระบวนการที่ค่อนข้างช้าคือมันต้องใช้เวลานานกว่าสองสามนาที ชั่วโมง หรือวัน ตัวอย่างเช่น การเพิ่มของน้ำหนักเกี่ยวข้องกับภาวะที่การรับปริมาณแคลอรี่มากกว่าการใช้มากเป็นระยะเวลานาน

    และคำตอบของคำถามนี้ไม่ใช่คำตอบที่ตายตัวถึงแม้ว่าเราจะรู้ปัจจัยทั้งหมดของการใช้ชีวิตของคนๆ หนึ่ง แน่นอนว่าคนที่เดินเร็วๆ จะต้องใช้พลังงานมากกว่าการงีบในตอนกลางวัน

    อย่างไรก็ตาม การนอนหลับไม่ใช่สาเหตุของน้ำหนักที่เพิ่มขึ้น อย่างที่เราอ่านมาแล้ว หลักสำคัญคือความสมดุลของพลังงานในระยะยาว แต่ในปัจจุบันโดยเฉพาะคนสหรัฐอเมริกาจำนวนมากกำลังรับพลังงานมากกว่าที่ร่างกายของพวกเขาใช้ ซึ่งนำไปสู่ภาวะที่ทำให้คนมากกว่า 1 ใน 3 เป็นโรคอ้วน

    ที่น่าสนใจก็คือมีการศึกษาสองสามอัรที่บ่งชี้ว่าคนแต่ละคนที่นอนไม่พอและได้นอนในเวลาที่กำจัดจะมีน้ำหนักเพิ่มขึ้นได้ง่ายกว่าคนที่นอนเพียงพอ การนอนหลับไม่เพียงพอจะทำให้การหลั่ง ฮอร์โมนเลปติน (leptin) ลดลง ฮอร์โมนตัวนี้ถ้ามีระดับสูงจะทำให้เรารู้สึกอิ่ม แต่ถ้ามีระดับต่ำจะทำให้เรารู้สึกหิวได้ กระนั้น การนอนหลับไม่เพียงพอจะเพิ่มระดับฮอร์โมนเกรห์ลิน (grehlin) ซึ่งทำให้คนรู้สึกหิว
     
  2. Shinray01 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,675
    ค่าพลัง:
    +2,309
    ~~~ไข่: มีประโยชน์หรือโทษมหันต์?~~~


    ถ้ามีแบบสำรวจถามว่า " ไข่เป็นแหล่งคอเลสเตอรอลที่ทำให้เส้นเลือดอุดตันหรือเป็นอาหารที่สมบูรณ์ไปด้วยสารอาหารที่มีประโยชน์?"

    คุณจะเลือกอันไหนกันครับ ผมเชื่อว่าจะต้องมีคนตอบว่ามันเป็นแหล่งคอเลสเตอรอลที่ทำให้เส้นเลือดอุดตันมากกว่าแน่นอน เราลองมาดูเรื่องจริงและเรื่องเท็จเกี่ยวกับไข่กันดีกว่าครับ

    เรื่องจริง: ไข่เป็นแหล่งสารอาหารต่างๆ ที่ดี ไข่หนึ่งฟองในราคาไม่ถึงบาท คุณจะได้โปรตีนในปริมาณ 6 กรัม ไขมันไม่อิ่มตัวบางชนิด และวิตามินและแร่ธาตุอีกเล็กน้อย ไข่ยังเป็นแหล่งของคลอลีน (choline) ที่ดี ซึ่งมีส่วนช่วยให้การรักษาความจำ และลูเตอิน (lutein) และเซียแซนธิน (zeaxanthin) ที่อาจช่วยรักษาสายตาได้

    เรื่องจริง: ไข่มีคอเลสเตอรอลมาก ไข่ฟองใหญ่หนึ่งฟองมีคอเลสเตอรอลโดยเฉลี่ย 212 มิลลิกรัม แต่เมื่อเปรียบเทียบกับอาหารประเภทอื่นเช่นตับ กุ้ง และเนื้อเป็ดแล้ว มันมีคอเลสเตอรอลในปริมาณเพียงน้อยนิดเท่านั้น

    เรื่องหลอก: คอเลสเตอรอลทั้งหมดจะเข้าสู่กระแสเลือดและตรงไปยังเส้นเลือดแดงใหญ่ (arteries) แต่มันไม่ได้เช่นนั้น โดยเฉลี่ยในคนเรานั้น มีเพียงคอเลสเตอรอลจากอาหารปริมาณน้อยที่เข้าสู่กระแสเลือดโดยตรง ตับจะเป็นผู้ผลิตคอเลสเตอรอลส่วนใหญ่ที่ไหลเวียนอยู่ในกระแสเลือดเพื่อตอบสนองต่อไขมันอิ่มตัวและไขมันแปรรูปที่เรียกว่า trans fat ในอาหารที่คุณกินเข้าไป การศึกษาในปี 1950 ที่ทำขึ้นโดยนักหทัยวิทยา (cardiologist) แห่งมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดชื่อพอล ดัดลีย์ ไวท์ (Paul Dudley White) และผู้ร่วมงานแสดงให้เห็นว่าปริมาณคอเลสเตอรอลในอาหารมักจะมีผลต่อคอเลสเตอรอลในเลือดเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

    เรื่องหลอก: การกินไข่ไม่ดีต่อหัวใจของคุณ การศึกษาใหญ่เพียงอันเดียวที่ตรวจสอบผลกระทบของการบริโภคไข่ต่อการเกิดโรคหัวใจ (ไม่ใช่ระดับคอเลสเตอรอล) ไม่พบความสัมพันธ์ระหว่างสองสิ่งนี้ ในการศึกษานี้ ผู้ชายและผู้หญิงที่มีสุขภาพดีที่กินไข่หนึ่งฟองต่อวันหรือมากกว่าจำนวนเกือบ 120,000 คนเป็นระยะเวลา 14 ปีมีโอกาสที่จะมีอาการหัวใจวายหรือภาวะเส้นเลือดอุดตันหรือตายจากโรคเกี่ยวกับหลอดเลือดหัวใจเลยน้อยกว่าคนที่กินไข่น้อยกว่าหนึ่งฟองต่อสัปดาห์ กระนั้น ในคนที่เป็นโรคเบาหวาน คนที่กินไข่หนึ่งฟองต่อวันจะมีโอกาสเป็นโรคหัวใจน้อยกว่าคนที่นานๆ กินไข่ทีหนึ่ง


    ชื่อเสียงของไข่ว่าเป็นแหล่งอาหารที่ดีถูกทำลายในช่วงปี 1960 เมื่อนักวิจัยได้สร้างความสัมพันธ์ระหว่างโรคหัวใจและระดับคอเลสเตอรอลในเลือดขึ้น

    สมาคมโรคหัวใจแห่งอเมริกา (American Heart Association, AHA) และองค์กรที่น่าเชื่อถืออื่นได้ตั้งปริมาณขั้นสูงของปริมาณคอเลสเตอรอลที่บริโภคในแต่ละวันไว้ที่ 300 มิลลิกรัมต่อวัน (200 มิลลิกรัมสำหรับคนที่เป็นโรคหัวใจ) และเตือนคนอเมริกาในหลีกเลี่ยงการกินไข่แดง คำเตือนในการบริโภคไข่มาจากข้อสมมติฐานทางตรรกะ(ที่ไม่ถูกต้องนัก)ว่าคอเลสเตอรอลในอาหารจะไปเพิ่มระดับคอเลสเตอรอลในเลือดได้โดยตรง

    ชื่อเสียของไข่ได้ยุติลงแล้ว ในปี 2000 สมาคมโรคหัวใจแห่งอเมริกาได้ยกเลิกคำเตือนเกี่ยวกับไข่แล้ว แทนที่จะแนะนำจำเพาะลงไปว่าเราควรหลีกเลี่ยงหรือกินไข่จำนวนหนึ่งต่อสัปดาห์ แต่คู่มือของสมาคมกลับมุ่งเน้นไปที่การจำกัดอาหารที่มีปริมาณไขมันอิ่มตัวสูงและรักษาระดับการรับคอเลสเตอรอลให้ต่ำกว่า 300 มิลลิกรัมต่อวันแทน สมาคมยังรับรองว่าคุณสามารถทำตามคำแนะนำนี้ได้แม้จะกินไข่และหอยเป็นระยะๆ ก็ตาม

    โชคร้ายที่คู่มือไม่ได้มุ่งเน้นไปที่คนแต่ละคน สำหรับหลายๆ คน คอเลสเตอรอลในอาหารแทบจะไม่มีผลต่อปริมาณคอเลสเตอรอลในเลือด แต่บางคนกลับมีผลมาก

    ปัญหาก็คือมันไม่มีวิธีง่ายๆ เพื่อตรวจสอบว่าคุณเป็นพวกตอบสนองหรือไม่ตอบสนองต่อคอเลสเตอรอลในอาหารหรือไม่ คุณทำได้เพียงเช็คปริมาณคอเลสเตอรอลหลังจากหยุดกินไข่เป็นเวลาหลายเดือน และเช็คอีกครั้งหลังจากกินไข่วันละฟองเป็นเวลาสองสามอาทิตย์เท่านั้น

    นั่นก็ทำให้คนส่วนใหญ่ที่มีปริมาณคอเลสเตอรอลทั้งหมดและคอเลสเตอรอลเลว (LDL) ในระดับปกติตายได้มากแล้ว ถ้าคุณชอบกินไข่ล่ะก็ คุณควรกินไข่วันละฟองหรือชดเชยด้วยวิธีอื่นๆ ดังนี้

    1. ทำลายตัวการ : หยุดกินอาหารที่มีไขมันอิ่มตัวหรือไขมันแปรรูปที่เรียกว่า trans fat และมีผลในการเพิ่มระดับคอเลสเตอรอลของคุณซะ

    2. เว้นวรรรค : ถ้าไข่ดาวหนึ่งฟองบนจานข้าวหรือไข่เจียวใส่ผักไม่ทำให้คุณอิ่มแล้วล่ะก็ ลองกินไข่สองฟองหนึ่งวัน และวันต่อมาก็ไม่กินไข่เลยดูสิครับ

    3. ไม่เอาไข่แดง : คอเลสเตอรอลทั้งหมดอยู่ในไข่แดงครับ ถ้าคุณทำไข่คน คุณควรใส่ไข่หนึ่งฟองโดยใช้ไข่ขาวล้วนๆ ปัจจุบันร้านค้าส่วนใหญ่มีผลิตภัณฑ์ที่ปราศจากไข่แดงวางจำหน่ายแล้ว

    คุณจำเป็นต้องมีไข่ในอาหารของคุณทุกมื้อหรือไม่?

    ก็ไม่เชิงครับ คุณสามารถมีสุขภาพแข็งแรงได้โดยปราศจากมัน แต่มันเป็นแหล่งโปรตีนที่มากและยังมีสารอาหารที่มีประโยชน์อื่นๆ นอกจากนี้ มันยังกินง่าย และราคาไม่แพงอีกด้วยครับ

    แปลและเรียบเรียงจาก: "Eggs: Dietary friend or foe?". HEALTHbeat online. Harvard Health Publication. June 23, 2006.
     
  3. Shinray01 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,675
    ค่าพลัง:
    +2,309
    เผย...เคล็ดลับ!!! ความจำดี-อ่านและรู้แล้ว ให้ "รีบนอนให้หลับ" / Have a nice day

    เคล็ดให้ความจำระยะยาวฝังหัว พอรู้แล้วให้งีบ หลับกลางวันเสีย มีข้อแนะนำกับผู้ที่อ่านข่าวเรื่องนี้ว่า หากอยากจะจดจำให้ได้แม่น เที่ยงนี้ ให้นอนงีบหลับสักพักนะ

    นักวิจัยสมองของมหาวิทยาลัยไฮฟาของอิสราเอล ได้สำรวจพบวี่แววว่า การนอนช่วยเก็บงำความจำระยะยาวที่บางครั้งบางคราวมักจะผ่านไปเร็วให้ โดยเฉพาะหากได้ นอนกลางวันได้นาน 90 นาที จะได้ผลดีที่สุด นายอาวี คาร์นี นักวิทยาศาสตร์ยอมรับว่า “เราก็ยังไม่รู้กลไกของขบวนการความจำที่เป็นไปตอนนอนหลับชัดเจนเหมือนกัน แต่ผลการวิจัยส่อว่า มันอาจจะเป็นไปได้ว่าช่วยเร่งฝังหัวไว้ให้เร็วขึ้น” ความจำระยะยาว หมายถึงความจำที่คงอยู่กับเราได้แรมปี อย่างเช่น การได้รับอุบัติเหตุทางรถ หรือความจำในวิธีการต่างๆ เช่น การฝึกตีกลอง

    เขารายงานผลการศึกษาวิจัยในวารสาร “ประสาทวิทยาศาสตร์ธรรมชาติ” ของสหรัฐฯว่า ได้ทำการศึกษาโดยการบอกให้กลุ่มตัวอย่าง 2 กลุ่ม จดจำวิธีการบางอย่าง หลังจากนั้นให้กลุ่มที่หนึ่งงีบตอนบ่ายไปนาน 1 ชม. พบว่ากลุ่มที่ได้งีบ แสดงให้เห็นว่าทำงานได้ดีขึ้นกว่าเดิมมาก ทั้งยังพบด้วยว่า การหลับชั่ว 90 นาที ช่วยให้สมองเก็บงำความจำระยะยาวได้เร็วขึ้นมาก ดร.คาร์นีกล่าวชี้ว่า “การนอนงีบกลางวัน จะช่วยย่นระยะเวลาของการเก็บงำความจำ แทนที่ต้องใช้เวลาตั้ง 6-8 ชม. สมองสามารถบีบอัดความจำ ชั่วในเวลาหลับแค่ 90 นาที เอาไว้ได้”.
     
  4. Shinray01 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,675
    ค่าพลัง:
    +2,309
    ~~~อ่านหนังสือในที่มืดทำให้สายตาเสียจริงหรือ?~~~


    หลายคนคงเคยอ่านหนังสือแบบว่างไม่ลงแม้จะอยู่ในที่ที่มีแสงน้อยหรือในที่มืดกันนะครับ และแน่นอนว่าคุณต้องเคยได้ยินคำกล่าวที่ว่า "อ่านในที่มืดๆ ระวังสายตาเสียนะ"

    ว่าแต่...มันเป็นเรื่องจริงไหมหนอ?

    คำตอบก็คือการอ่านหนังสือในที่มืดนั้นมีผลไม่มากต่อสายตาครับ แพทย์หลายคนพยายามหาคำตอบในเรื่องนี้มานาน แต่ก็นักวิทย์บางคนเชื่อว่าปัจจัยทางสิ่งแวดล้อมในวัยเยาว์อาจเป็นสาเหตุส่วนหนึ่งของสายตาสั้น (myopia)

    เมื่อที่ดวงตาปรับให้เข้ากับระดับแสงต่ำ มีหลายสิ่งที่เกิดย้อนกลับไปมาได้เกิดขึ้น กล้ามเนื้อรอบม่านตา (iris) จะคลายและปล่อยให้ลูกตาดำ (pupil) เปิดกว้างเพื่อให้แสงผ่านไปยังด้านหลังตามากขึ้น ส่วนหลังตานี้เองที่มีตัวรับแสง (photoreceptor) ที่เรียกว่า เซลล์รูปกรวย (cone) และเซลล์รูปแท่ง (rod) ที่ทำหน้าที่เปลี่ยนแสงให้เป็นข้อมูลสำหรับสมอง เมื่อแสงลดต่ำลง เซลล์รูปกรวยและแท่งจะเพิ่มความสามารถในการแปลงแสงให้เป็นข้อมูล(กระแสประสาท) การปรับลักษณะนี้จะเกิดขึ้นเมื่อคุณเปลี่ยนจากที่มืดไปนยังที่สว่างหรือตรงข้ามกันนั่นเอง

    อย่างไรก็ตาม การอ่านหนังสือหรือเพ่งมองวัตถุที่อยู่ใกล้ในที่มืดทำให้ตาคุณล้าได้ ในที่ที่มีแสงน้อย ระดับความเปรียบต่าง (contrast) จะลดลงระหว่างตัวอักษรสีดำที่อยู่บนหน้ากระดาษสีขาว และเพื่อทำให้คุณอ่านได้ชัด คุณอาจจะต้องเขยิบหนังสือเข้าใกล้ตาของคุณ ขณะที่คุณทำเช่นนี้ กล้ามเนื้อตา (ciliary muscles) รอบเลนส์ตาจะหดตัวทำให้เลนส์เปลี่ยนรูปร่างไปส่งผลให้เข้าไปยังจุดโฟกัสมาก(ในทางอ้อม) ที่อยู่ด้านหลังตา ขณะที่ลูกตาทำการปรับด้วยกระบวนการเหล่านี้นั้น คนหลายรายรายงานว่าตนเองมีอาการปวดหัวรวมถึงคลื่นไส้ แต่เหตุผลที่จริงของอาการปวดหัวนั้นมักมาจากการเกร็งของกล้ามเนื้อจากการทำงานหักโหมมากกว่าจากการใช้สายตา สาเหตุของอาการดังกล่าวไม่ได้เกิดมาจากการระดับความมืดที่เราจ้องวัตถุอย่างใกล้ๆ แต่อย่างใด

    แพทย์ส่วนใหญ่กล่าวว่าอาการดังกล่าวไม่มีอันตรายแต่อย่างใด มีเพียงแพทย์บางคนเท่านั้นที่กล่าวว่ามันอาจจะไปเพิ่มโอกาสสายตาสั้นในเด็กเล็กได้ถ้ากล้ามเนื้อตาของพวกเขาทำงานหนักเกินไป พวกเขาชี้ไปยังการศึกษาต่างๆ ที่เชื่อมโยงโอกาสการเกิดสายตาสั้นที่สูงกับวัฒนธรรมที่ส่งเสริมการอ่านและการศึกษาในตอนเด็ก

    การศึกษาหนึ่งกล่าวว่าความล้า(ของตา)ในการอ่านหนังสือโดยเฉพาะการอ่านในที่มืดอาจจะทำให้ตามีการเจริญที่ผิดปกติไป การพัฒนารูปร่างตามีความสำคัญมากเนื่องจากสายตาสั้นเกิดขึ้นเมื่อตาขยายยาวมากเกินไป เดกทารกแทบทุกคนเกิดมามีสายตายาวเนื่องจากตาของพวกเขายังไม่มีการพัฒนาในมีรูปร่างเหมาะสม ในช่วงสิบปีแรกของชีวิต ดวงตามีการเปลี่ยนขนาดและรูปร่างเพียงเล็กน้อย ซึ่งส่งผลอย่างมาจากต่อการปรับโฟกัสของตา

    สิ่งที่นักวิทย์ยังไม่ทราบในตอนนี้คือปัจจัยใดที่ส่งผลโดยตรงกับตาในช่วงเจริญที่สำคัญนี้ ข้อมูลส่วนใหญ่แสดงให้เห็นว่าพันธุกรรมมีบทบาทอย่างมาก ซึ่งคล้ายกับว่าโอกาสการมีสายตาสั้นจะเพิ่มมากขึ้นถ้าพ่อแม่ของเด็กสายตาสั้น

    แต่งานวิจัยในสัตว์เบื้องต้นบ่งชี้ว่าอาจจะปัจจัยทางสิ่งแวดล้อมเกี่ยวข้องด้วยเช่นกัน มันเป็นไปได้ที่ว่าขณะที่ดวงจากำลังเจริญอยู่นั้น มันกำลังทดลองปรับโฟกัสให้ถูกต้อง แพทย์หลายคนตั้งทฤษฎีที่ว่าถ้าคุณทำให้ตาเกิดอาการล้าในช่วงนี้โดยการเพ่งมองวัตถุที่อยู่ใกล้ๆ แล้ว กระบวนการเจริญอาจจะผิดพลาดได้

    ถึงแม้ว่าการอ่านหนังสือในที่มืดจะส่งผลต่อสายตาไม่มาก อย่างไรก็ตาม เมื่อคุณอยากอ่าน...คุณก็ควรจะเปิดไฟอ่านอย่างสบายใจดีกว่าครับ
     
  5. Shinray01 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,675
    ค่าพลัง:
    +2,309
    ~~~วิจัยกินช็อกโกแลตดำ-ลดโรคเพลีย~~~


    บีบีซีรายงานว่า การกินช็อกโกแลตดำในปริมาณพอเหมาะเป็นประจำจะ ช่วยลดอาการอิดโรยเหนื่อยล้า หรือโรคฟาทีก ซินโดรม ได้ เพราะอาจมีส่วนช่วยกลไกการผลิตฮอร์โมนในสมอง

    นักวิจัยวิทยาลัยแพทย์ฮัลล์ ยอร์ก ประเทศอังกฤษ นำโดย ศาสตราจารย์สตีฟ อัตคิน ผู้เชี่ยวชาญด้านต่อมไร้ท่อ พบว่า เมื่อกินช็อกโกแลตดำที่มีปริมาณโกโก้สูงกว่าช็อกโกแลตทั่วไป ผู้ป่วยในกลุ่มทดลองนำร่องมีภาวะอ่อนเพลียเรื้อรัง หรือ ซีเอฟเอส ลดลง ซึ่งภาวะดังกล่าวคือ อาการที่กล้ามเนื้ออ่อนล้า หลังผ่านการออกกำลังทางกายมาอย่างหนัก

    ผู้เชี่ยวชาญ กล่าวว่า ช็อกโกแลตดำอุดมด้วยโพลีฟีนอลที่ช่วยลดความดันเลือดได้ โดยไปช่วยปรับระดับฮอร์โมนซีโรโทนินในสมอง ซึ่งเกี่ยวข้องกับภาวะอ่อนเพลียเรื้อรัง แต่เตือนว่า ควรรับประทานในขนาดที่เหมาะสม เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาโรคอ้วนตามมา แนวคิดการทดลองดังกล่าวเกิดจากผู้ป่วยระบุว่า รู้สึกดีขึ้นหลังเปลี่ยนจากกินช็อกโกแลตนมไปเป็นช็อกโกแลตดำ แพทย์จึงศึกษาเปรียบเทียบการกินช็อกโกแลตดำ และช็อกโกแลตปกติ วันละ 45 กรัม เป็นเวลา 2 เดือน ในผู้ป่วย 10 คน แล้วพบว่ากลุ่มที่กินช็อกโกแลตดำอ่อนเพลียเหนื่อยล้าน้อยกว่าอีกกลุ่ม

    ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: หนังสือพิมพ์ข่าวสด
     
  6. Shinray01 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,675
    ค่าพลัง:
    +2,309
    คนวัยทำงาน 1 ใน 5 คน เสี่ยงป่วย ออฟฟิศซินโดรม


    แพทย์ ระบุ คนวัยทำงาน 1 ใน 5 มีอาการปวดเรื้อรัง ถ้าคนไหนมีอาการปวดต่อเนื่อง 3 เดือน รีบพบแพทย์วินิจฉัยด่วน และคนวัยทำงานเสี่ยงเป็น "ออฟฟิศซินโดรม" เพราะนั่งหน้าจอคอมพ์นาน นั่งผิดท่า เตือนผู้ป่วยกินยาแก้ปวดอาจมีผลกับกระเพาะ ไต หัวใจ ความดัน


    ที่โรงแรมโฟร์ซีซั่น
    .พญ.สมศรี เผ่าสวัสดิ์ ที่ปรึกษาสมาคมการศึกษาเรื่องความปวดแห่งประเทศไทย กล่าวในการเสวนาเรื่อง "เมื่อความปวดเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตและแนวทางการรักษา" ว่า อาการปวดเรื้อรังเป็นปัญหาสุขภาพอันดับต้นๆ ของโลก ทั้งนี้ ผลการวิจัยล่าสุด ระบุว่า ประชากรวัยทำงาน 1 ใน 5 คน มักจะมีอาการปวดเรื้อรังโดยเฉพาะคนที่อยู่ในสังคมเมือง ซึ่งมีวิถีชีวิตที่เร่งรีบ มีความเครียดสูง ส่งผลให้ปัญหาทางกาย จิตใจ ซึ่งส่งผลต่อคุณภาพชีวิตของประชาชนเป็นอย่างมาก และยังรวมไปถึงความสูญเสียทางเศรษฐกิจ

    สอดคล้องกับข้อมูลของมูลนิธิความปวดแห่งชาติสหรัฐอเมริกา พบว่า ความปวดเรื้อรังก่อให้เกิดความสูญเสียโดยรวมปีละประมาณ 100,000
    ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 3.5 ล้านล้านบาท ความสูญเสียนี้ได้รวมค่าใช้จ่ายในทางการแพทย์ การหยุดงาน และค่าชดเชยสำหรับคนตกงานอีกด้วย


    ขณะที่รศ.นพ.ประดิษฐ์ ประทีปะวณิช นายกสมาคมการศึกษาเรื่องความปวดแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ความปวดส่งผลกระทบทั้งทางร่างกาย จิตใจ และสังคม ความเจ็บปวดถือเป็นสัญญาณเตือนภัยว่ามีความผิดปกติเกิดขึ้น โดยเฉพาะถ้ามีอาการนานกว่า 3 เดือนจัดอยู่ในประเภทปวดเรื้อรัง โรคนี้เกิดขึ้นได้กับทุกเพศทุกวัย ผู้ที่เป็นจะทรมาน ความปวดแบ่งได้เป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ

    1.
    ความปวดจากการอักเสบ ที่พบบ่อย คือโรคข้อ ได้แก่ ข้อเสื่อมพบมากในคนอายุ 60 ปีขึ้นไป โดยพบในผู้ชายร้อยละ 9.6 ผู้หญิงร้อยละ 18 โรครูมาตอยด์ ร้อยละ 1 และ

    2.
    ความปวดที่เกี่ยวเนื่องกับระบบประสาท พบได้ร้อยละ 6 เช่น การบาดเจ็บของเส้นประสาท กระดูกสันหลังทับเส้นประสาท การปวดเส้นประสาทในผู้ป่วยเบาหวานและผู้ป่วยเอดส์

    รศ
    .นพ.ประดิษฐ์ กล่าวต่อว่า ปัจจุบันเราพบผู้ป่วยซึ่งอายุยังน้อยและอยู่ในวัยแรงงาน มีอาการปวดเนื่องจากพฤติกรรมการดำเนินชีวิต การนั่งอยู่หน้าจอคอมพ์เป็นเวลานาน นั่งผิดท่า เราเรียกว่า ออฟฟิศซินโดรม อย่างไรก็ดี ผู้ป่วยกลุ่มนี้สามารถแก้ไขได้ โดยให้ผู้ป่วยต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรม เช่น ไม่ใส่รองเท้าส้นสูง ไม่นั่งหลังโค้งงอ หรือนั่งหน้าจอคอมพ์ติดต่อเป็นเวลานาน ๆ และหมั่นออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ถ้าพบว่าตนเอง หรือคนใกล้ชิด มีอาการปวดที่เรื้อรังนานกว่า 3 เดือน ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยและรักษาด่วน

    ด้าน ผศ.พญ.ศิวาพร จันทร์กระจ่าง คณะแพทยศาสตร์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ แนะวิธีการสังเกตความปวดที่เกี่ยวเนื่องกับระบบประสาท ว่า จะมีอาการเฉพาะที่สังเกตง่าย ๆ คือ จะมีอาการเจ็บแปลบเรื้อรัง หรือเป็น ๆ หาย ๆ หรือบางครั้งมีอาการเจ็บ ๆ คัน ๆ คือ อาการปวดที่แปลก ๆ ขอให้นึกถึงเรื่องเส้นประสาท เช่น ผู้ป่วยโรคเบาหวานเจ็บปวดบริเวณเท้า ผู้ป่วยโรคงูสวัด ปวดบริเวณหน้าอก นอกจากนี้ ผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการเจ็บแปลบบนใบหน้า จมูก ตา ริมฝีปาก และหู

    ส่วน รศ
    .ดร.จุฑามณี สุทธิสีสังข์ ประธานฝ่ายวิชาการสมาคมการศึกษาเรื่องความปวดแห่งประเทศไทย บอกว่า กินยาแก้ปวดถือเป็นทางเลือกหนึ่งในการรักษาอาการปวด แต่ผู้ป่วยต้องเข้าใจด้วยว่า ยาบางกลุ่มอาจมีผลกระทบต่อร่างกาย เช่น มีผลต่อกระเพาะอาหาร ไต ความดันโลหิตสูง และอาจทำให้หัวใจล้มเหลว ดังนั้น ผู้ป่วยที่กินยาแก้ปวดต้องระมัดระวังผลกระทบเหล่านี้ด้วย


    ที่มา : bangkokHealth
     
  7. Shinray01 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,675
    ค่าพลัง:
    +2,309
    สาเหตุของการมีพุง อาจมิใช่เพราะไขมัน


    สาเหตุของการมีพุง อาจมิใช่เพราะไขมัน
    คย เป็นบ้างไหมว่า แม้เราจะลดน้ำหนักสักแค่ไหน หน้าท้องของเราก็ยังป่องไม่เรียบตึงเช้งกะเด๊ะซะที คุณควรรู้ไว้ว่า สาเหตุของพุงป่องไม่ใช่จากการรับประท านเพียงอย่างเดียว และคนพุงป่องก็ไม่ได้แปลว่าอ้วนด้วย แต่อาจเป็นเพียงอาการบวมน้ำเท่านั้น ลองเรียนรู้สักนิดเพื่อหาทางกำจัดพุงป่องๆ แบบถาวรกันดีกว่า

    1. การแพ้อาหาร


    บางครั้งอาการท้องบวมอาจเกิดจากอาการระคายเคืองหรือก ารติดเชื้อของระบบย่อยอาหารในช่องท้อง หรืออาจรวมถึงการรับประทานยาบางชนิดที่ทำให้บวมน้ำแล ะยังรวมไปถึงการมีรอบเดือนด้วย แต่ถ้าคุณรู้สึกว่าหน้าท้องของคุณบวมขึ้นผิดปกติหลัง ทานอาหารบางชนิด ให้สันนิษฐานได้ว่าคุณน่าจะมีอาการแพ้อาหารเข้าให้แล ้ว จากสถิติพบว่าอาหารจำพวกแป้งและนมมีโอกาสทำให้เกิดอา การแพ้และบวมมากที่สุด

    2.อาหารลดน้ำหนัก

    คนที่ชอบหวังพึ่งอาหารลดน้ำหนักจำพวกโลว์-แฟ้ต หรือแฟ้ต-ฟรีมักจะมีปัญหาพุงป่อง เนื่องจากคุณจะคิดว่ามันเป็นอาหารแคลอรี่ต่ำ จึงสามารถกินมากกว่าปกติ อาหารพวกนี้อาจมีพลังงานน้อยกว่าปกติ แต่มันก็ไม่ได้น้อยขนาดนั้น ทางที่ดีหันมารับประทานผักผลไม้ให้มากขึ้นจะดีกว่า รวมทั้งรับประทานอาหารที่มีเอนไซม์ช่วยย่อย อาทิ น้ำมะนาว น้ำส้มสายชูสกัดจากแอ๊ปเปิ้ล หรือผักสดต่างๆ

    3.กินช้าๆ แต่บ่อยๆ

    เลิกนิสัยรีบกินรีบไปซะที ค่อยๆ เคี้ยวอาหารช้า ๆ เพื่อให้ประสาทรับรู้ของเราค่อยๆ รู้สึกอิ่ม และในแต่ละมื้ออย่ากินให้เยอะจนอิ่มแน่นท้อง คุณควรแบ่งมื้ออาหารออกเป็นมื้อย่อย ๆ แต่อย่ากินขนมจุบจิบจำพวกขนมนมเนยต่าง ๆ เลือกกินผลไม้หรือธัญพืช เมื่อหิวระหว่างมื้อจะดีกว่า

    4.ขจัดสารพิษ

    แอลกอฮอล์ คาเฟอีน และนิโคตินในบุหรี่มีผลร้ายต่อระบบเผาผลาญอาหารของร่ างกาย ส่งผลให้ร่างกายบวมน้ำและยังก่อให้เกิดเซลลูไลท์อีกด ้วย ดังนั้นเมื่อรู้เหตุดังนี้แล้วก็แค่ลดละเลิกการดื่มเ ครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และคาเฟอีนต่าง ๆ และเลิกสูบบุหรี่ไปซะด้วยเลยในเวลาเดียวกัน

    5.หัดกินสักนิด


    ในกระเพาะของเราจะมีแบคทีเรียอาศัยอยู่เพื่อช่วยในกา รย่อยอาหาร แต่บางครั้งแบคทีเรียเหล่านี้ก็อาจถูกกำจัดไปจากสภาว ะต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการเจ็บป่วยหรือการรับประทานอาหารบางชนิ ด แนะนำให้คุณรับประทานโยเกิร์ตรสธรรมชาติเป็นประจำเพื ่อปรับสมดุลแบคทีเรียกลุ่มที่เป็นประโยชน์ จะช่วยทำให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้ดีขึ้นและช่วยให้หน ้าท้องของคุณบวมน้อยลงด้วย

    6.ดื่มน้ำให้มาก

    น้ำเป็นเสมือนขุมทรัพย์แห่งความงามจริงๆ รวมไปถึงอาการบวมน้ำนี้ด้วยคุณควรดื่มน้ำให้ได้อย่าง ต่ำ 8 แก้วต่อวัน แต่วิธีการดื่มนั้นอย่าดื่มหมดแก้วในคราวเดียวควรจิบ น้ำบ่อยๆ เรื่อยๆ เพราะการที่คุณดื่มน้ำแก้วใหญ่ในคราวเดียว จะทำให้กระเพาะปัสสาวะของคุณขยายใหญ่ ถ้าจะให้ดีลองเลือกดื่มขาสมุนไพร อาทิ ชาเป็ปเปอร์มินต์ หรือชาคาโมไมล์แทนน้ำเปล่า โดยเฉพาะการดื่มในช่วงหลังอาหาร จะช่วยให้อาหารที่คุณรับประทานเข้าไป ย่อยได้ดีขึ้นด้วย

    7. บริหารกล้ามเนื้อหัวใจ

    ผู้หญิงหลายคนเชื่อว่าการซิตอัพทุกวันจะช่วยให้หน้าท ้องแบนเรียบแต่จริง ๆ แล้วไม่ใช่เลย แม้ว่าการซิตอัพจะช่วยสร้างกล้ามท้อง แต่ถ้าร่างกายของคุณนั้นยังปกคลุมด้วยชั้นไขมันแล้วล ่ะก็ หน้าท้องเรียบตึงก็จะไม่มีวันโผล่มาให้เห็นหรอก ดังนั้นจึงจำเป็นที่คุณจะต้องออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอ เป็นประจำอย่างน้อย 30 นาทีต่อวัน อย่างต่ำ 3 วันต่อสัปดาห์เพื่อให้ร่างกายได้เผาผลาญไขมันออกไป ผนวกกับการซิตอัพ คราวนี้แหละสวยตึงแน่นอน

    8. หายใจลึกๆ


    เมื่อคุณหายใจเข้าออกแบบลึกๆ จะช่วยให้ร่างกายจะคลายความตึงเครียดออกมา รวมทั้งยังช่วยในการเติมอ็อกชิเจนและพลังชีวิตให้ร่า งกายด้วย ทุกครั้งที่คุณหายใจให้พยายามหายใจให้ลึกเข้าไปยังท้ อง อย่าหยุดเพียงแค่เก็บลมไว้ในช่องอกการหายใจเข้าออกจา กท้องเป็นนิสัยจะช่วยกระชับให้กล้ามเนื้อหน้าท้องแข็ งแรงมากยิ่งขึ้น

    9. นวดกระชับหน้าท้อง

    ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าการนวด ช่วยได้ จริงๆ เนื่องจากการนวดท้องนั้น ช่วยไล่ลมที่กักเก็บไว้ในช่องท้องได้ และช่วยทำให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้ดีขึ้นด้วย ณ วิธีการนวดก็ไม่ยาก เพียงวางฝ่ามือลงบนท้องแล้วนวดวนตามเข็มนาฬิกา ถ้าอยากเห็นผลลัพธ์เร็วขึ้น คุณอาจใช้ครีมจำพวกกระชับกล้ามเนื้อหน้าท้องร่วมด้วย ก็ได้
     
  8. sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ผมแจ้งใน pm แล้วครับ
     
  9. sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    อ้างอิง:
    คืออย่างนี้ เรื่องของอิทธิบาท 4 ที่เคยเล่าต่อกันมามากมาย ว่า จะทำให้มีอายุยืนเท่าไรก็ได้นั้น เป็นคนละเรื่องกับเรื่องอิทธิบาท 4 ครับ


    อิทธิบาท

    จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี


    อิทธิบาท หรือ อิทธิบาท 4 เป็นศัพท์ในพุทธศาสนา หมายถึง ฐานหรือหนทางสู่ความสำเร็จ หรือ คุณเครื่องให้ถึงความสำเร็จ คุณเครื่องสำเร็จสมประสงค์ ทางแห่งความสำเร็จ คุณธรรมที่นำไปสู่ความสำเร็จแห่งผลที่มุ่งหมาย มี ๔ ประการ คือ
    • ฉันทะ (ความพอใจ) คือ ความต้องการที่จะทำ ใฝ่ใจรักจะทำสิ่งนั้นอยู่เสมอ และปรารถนาจะทำให้ ได้ผลดียิ่งๆขึ้นไป
    • วิริยะ (ความเพียร) คือ ขยันหมั่นประกอบสิ่งนั้นด้วยความพยายาม เข้มแข็ง อดทน เอาธุระไม่ท้อถอย
    • จิตตะ (ความคิด) คือ ตั้งจิตรับรู้ในสิ่งที่ทำ และทำสิ่งนั้นด้วยความคิด เอาจิตฝักใฝ่ ไม่ปล่อยใจให้ฟุ้งซ่านเลื่อนลอยไป
    • วิมังสา (ความไตร่ตรอง หรือ ทดลอง) คือ หมั่นใช้ปัญญา พิจารณาใคร่ครวญ ตรวจหาเหตุผล และตรวจสอบข้อยิ่งหย่อนในสิ่งที่ทำนั้น มีการวางแผน วัดผล คิดค้นวิธีแก้ไขปรับปรุง เป็นต้น
    อ้างอิง
    ดึงข้อมูลจาก "http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AD%E0%B8%B4%E0%B8%97%E0%B8%98%E0%B8%B4%E0%B8%9A%E0%B8%B2%E0%B8%97".

    หมวดหมู่: หลักธรรมในพุทธศาสนา | ธรรมหมวด 4


    ดังที่ว่าไว้นั้น ไม่เกี่ยวกับเรื่องของการดำรงอายุนะครับ

    ส่วนครูบาลุ่ม เคยมีผู้มาถามในกระทู้ ผมตอบในกระทู้นี้แล้ว ไม่อยากนำมาตอบอีก แต่สำหรับคนที่สนิทกับผม เคยไปพบปะกัน จะทราบว่า ครูบาลุ่ม ปัจจุบันอยู่ที่ไหน และเกิดจากสาเหตุอะไร พี่ขอเรื่องครูบาลุ่ม อย่านำมาลงนะครับ

    ส่วนเรื่องอื่นๆ ก็แล้วแต่ความเชื่อ ความคิดเห็นนะครับ


    __________________

    __________________

    __________________

    อิทธิบาท 4 มีเพียงเรื่องเดียวเท่านั้นครับ

    ไม่เกี่ยวกันการดำรงอายุขัยครับ

    .
     
  10. sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ขอแก้ไขครับ

     
  11. ake7440 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,528
    ค่าพลัง:
    +405
    ขอบพระคุณที่แก้ไขให้ถูกต้องครับ สรุปว่าต่างกันตรงช่องสุดท้ายอย่างเดียว คือเป็นเฉพาะสี ไม่เกี่ยวกับปาง ใช่ไหมครับ
     
  12. sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ใช่ครับ

    .
     
  13. nongnooo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    4,139
    ค่าพลัง:
    +9,446
    เป็นไงครับท่านปาทาน วันนี้ได้รับของขวัญวันเกิดล่วงหน้า เป็นพระพิมพ์พระรอดพิมพ์ใหญ่ยุคพระนางจามเทวีพบห่างจากกรุวัดมหาวัน เพียงเล็กน้อย ดีมั้ยครับ แรงมั้ยครับ หุ หุ
     
  14. guawn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    10,642
    ค่าพลัง:
    +42,113
    นี้หรือเวปพระพุทธศาสนาอันดับ 1 ยกย่องพวกขายพระกินไม่เสียภาษีว่า Premium member หึ หึ
     
  15. sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    เครื่องดื่มบำรุง ช่วยให้รุ่งหรือร่วง?
    http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9510000124166
    โดย ผู้จัดการออนไลน์19 ตุลาคม 2551 16:47 น. เรื่องโดย... นพ.กฤษดา ศิรามพุช, พบ.(จุฬาฯ) ผู้อำนวยการศูนย์เวชศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติ

    เมื่อพูดถึงเรื่องการหาอาหารเสริมรูปแบบต่างๆมาบำรุงร่างกายนั้นผมมักจะนึกถึงสองอย่างขึ้นมาในหัวพร้อมกัน หนึ่งเลยคือเคยได้สนทนากับอาจารย์ สง่า ดามาพงศ์ ผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนวิทยาแห่งกระทรวงสาธารณสุข ท่านบอกว่าคนเดี๋ยวนี้อยากเป็นมนุษย์อวกาศกันกินอาหารเป็นเม็ดๆดูไม่น่าเอร็ดอร่อยนัก ส่วนอีกเรื่องหนึ่งที่ผุดขึ้นมาในหัวคือคำพูดติดปากชาวอิตาเลียน ที่ว่า “โดลเช่ ฟา เนียนเต้ (Dolce far niente)” แปลงเป็นภาษาอังกฤษ ว่า “Sweet to do nothing” หรือช่างสุขเสียนี่กระไรที่ไม่ต้องทำอะไรเลย! ก็นับเป็นภาษิตที่ฮิตพอดูครับและก็บ่งบอกถึงนิสัยการเป็นชนชาติ “ปล่อยวาง” ของชาวอิตาเลียนได้อย่างหนึ่ง

    ก็เอาเป็นว่าความคิดอยากกินสิ่งใดก็ได้ง่ายๆสักเม็ดนั้นเป็นความตั้งหวังอย่างหนึ่งอยู่ในใจมนุษย์ตั้งนานแล้ว อาจเป็นหนึ่งในสัญชาตญาณดิบด้วยก็ได้ แล้วพอมีสิ่งใดที่มากระตุ้นอาสวกิเลสอันนี้ให้ฟุ้งขึ้นมาก็จะรีบไปหาซื้อมาสนองให้ต้องใจทันที นี่ก็คือกลเม็ดของอาหารเสริมนานาชนิดที่จับใจคน (ขี้เกียจกิน) ได้ส่วนใหญ่ไม่เว้นแม้เครื่องดื่ม

    โดยเฉพาะถ้าเป็นเครื่องดื่มนี้ยิ่งดีใหญ่ ด้วยใส่ปากเข้าไปซดอักๆเข้าก็จบเรื่องกันแล้ว มีความสุขไปหนึ่งวัน วันนั้นจะกินแต่ขาหมู อยู่นอนดึก คึกกินเหล้า หรือเอาหัวหกก้นขวิดอย่างไรก็ไม่กลัวตัวเสื่อมแล้ว ด้วยว่ามีเครื่องดื่มวิเศษเสริมอาหารด้วยเข้าไปปูท้องเป็นเกราะป้องกันอวิชชาต่างๆ

    แต่ อนิจจัง อนิจจา ด้วยว่าแท้จริงแล้วหาเป็นเช่นนั้นไม่ เพราะเครื่องดื่มอาหารเสริมต่างๆก็ต้องทำงานร่วมกับอาหารสดด้วยเป็นอย่างดี มิเช่นนั้นตัวมันหัวเดียวกระเทียมลีบนี้ก็คงจะเซย์กู๊ดบายละลายออกมาเป็นกากอาหารพาลช้ำใจให้เสียตังค์โดยเปล่าประโยชน์ การทำงานเป็นทีมของอาหารเสริมเหล่านี้สำคัญมาก มันจะทำงานร่วมใจกันไล่ “สนิมแก่” ตัวแย่ๆ ออกไปโดยให้อิเล็กตรอนซึ่งกันและกันเป็นวงจร ไม่ปล่อยให้สนิมแก่ครองตัวเราเผาเรือนกาย ไร้ความชอบธรรมในการบริหาร เอ๊ย...ในการที่จะบริการให้เราสามารถที่จะดำรงชีวิตอยู่ได้ แต่ถ้าเมื่อไรเรากินหนักตัวใดตัวหนึ่งเพียงตัวเดียวนั้น มันก็จะพากันประท้วงไม่ยอมทำงานพาลป่วยการเมือง ด้วยขาดการรับอิเล็กตรอนจากตัวอื่น แล้วท้ายสุดคนที่ต้องช้ำก็คือตัวเราเอง

    ชนิดของเครื่องดื่มอาหารเสริม
    ที่ผ่านมาคือต้องการย้ำว่า เครื่องดื่มอาหารเสริมที่ได้มาตรฐานนั้นค่อนข้างปลอดภัยกินได้นะครับ แต่อยากให้อย่าลืมว่าต้องกินร่วมกันอาหารสดด้วย เช่นดื่มสารอาหารบำรุงสมองนี้แล้วหนึ่งอึกก็อยากให้กินถั่วเหลืองให้ได้อีกหนึ่งช้อนด้วย มันจะได้ทำงานช่วยกัน และที่จริงก็ยังมีเครื่องดื่มอาหารเสริมหรือเดี๋ยวนี้เรียกให้เก๋ว่า “เครื่องดื่มฟังก์ชันนัล (Functional diet)” อีกมากพอดู ซึ่งจะขอปูพื้นให้ฟังกันพอไม่เวียนหัวว่าเครื่องดื่มบำรุงชื่อดังใต้ฟ้าเมืองไทยตอนนี้มีอะไรบ้าง ไล่ตั้งแต่ยอดฮิตติดหูกันไปเลยครับ

    1) โคเอนไซม์คิวเท็น
    2) เพปไทด์ถั่วเหลือง
    3) แอลคาร์นิทีน
    4) คอลลาเจน
    5) ชาเขียว
    6) สมุนไพรหลายชนิด


    โดยโคเอนไซม์คิวเท็นพระเอกสำคัญท่านแรกนั้นหลายท่านคงติดหูกันดี ที่จริงทางอายุรวัฒน์เราใช้กันมานานแล้วด้วยเป็นตัวที่ช่วยชะลออายุได้และมีงานวิจัยว่าช่วยให้เซลล์อณูกายที่แก่แล้วกลับฟื้นคืนมาหนุ่มสาวอีกครั้ง แต่ไม่ต้องไปหาซื้อแพงๆ ครับ ในตัวเราก็มีผลิตเองเพียงแต่แก่แล้วมันน้อยลงก็อาจกินจากเนื้อสัตว์ที่มีมาก เช่น ไก่ ปลา หรือ ผักใบเขียวจัด เช่น คะน้าหรือบร็อกโคลี ดูก็ได้

    ส่วนเพปไทด์ถั่วเหลืองนั้นก็หาใช่ของใหม่ไม่เคยรู้จักมาก่อนในปฐพีนี้ด้วยมีอยู่ในทั้งน้ำเต้าหู้ นมถั่วเหลือง เต้าส่วน ถั่วกวน ถั่วแปบ และผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลืองทุกอย่าง แม้แต่ในอาหารเสริมขององค์การเภสัชฯเราก็มีเช่นกันครับ ท่านจะรับจากเครื่องดื่มอาหารเสริมที่โฆษณาก็ได้หรือจากอาหารสดก็ได้ดีไม่มีแพ้กันครับ

    ถัดมาได้แก่แอลคาร์นิทีนนี้เป็นกรดอะมิโน มีชาติตระกูลดี เหมาะกันคนที่กำลังโตแต่ติดโผยังไม่ออก เอ๊ย...แต่ติดว่ามีอนุมูลอิสระมากเล่นงานอยู่ ด้วยว่า คาร์นิทีนมีดีช่วยต้านสนิมแก่ในสมองไม่ให้มีตะกรันไขมันอนุมูลอิสระไปเกาะ นอกจากนั้นยังช่วยคุมน้ำตาลไม่ให้เบาหวานระรานคุณมาก ถ้าอยากลดน้ำหนักคาร์นิทีนก็อาจมีส่วนบ้างนิดหน่อยแต่อย่าไปคล้อยตามมากด้วยว่ายังไม่มีงานวิจัยฟันธงลงมา หาคาร์นิทีนรับประทานได้จากเนื้อทั้งหลายไม่ว่าจะเป็นเนื้อแดงเนื้อขาว หรือถั่วต่างๆ ทั้งเมล็ดฟักทอง, ทานตะวัน, งา อาหารผักเขียวทั้งหลายครับ

    สำหรับคอลลาเจนที่เล่นกันมามากทั้งในเครื่องดื่มรังนกยกซดหรือบดเป็นเม็ดนั้น มันมาจากหน้าที่สำคัญอันหนึ่งคือเป็นเหมือน “โครงกระดูกของผิว” ให้ยังคงความเต่งตึงดึงยืดหยุ่นได้ไม่แก่เร็ว แต่การกินเข้าปากไปอาจไม่ใช่ทางเติมคอลลาเจนที่ดีนัก ด้วยมันอาจถูกน้ำย่อยกัดเสียจนไม่เป็นรูปเมื่อถูกสูบเข้าไปในร่างกายแล้วก็เหลือไปช่วยผิวอีกเพียงกระผีกริ้น ฉะนั้นถ้าอยากกินคอลลาเจนดีๆก็มีทางเลือกอีกมาก เช่น กระดูกอ่อน, เอ็น หรือขาไก่บ้าง นอกจากนั้นยังต้องกินวิตามินซีเข้าไปให้คอลลาเจนมีคุณภาพดีอีกด้วยช่วยเสริมกัน

    ในเรื่องของชาเขียวชวนเปรี้ยวปากหลายคนจนติดกันทั่วเมืองนั้นก็มีสารสำคัญที่มักถูกสกัดมาเป็นเม็ดบ้างหรือใส่ลงไปในเครื่องดื่มอาหารเสริมบางอย่างบ้างนั่นคือ คาเทชิน และ เอพิแกลโลคาเทชินกัลเลท โดยสารสองตัวนี้ช่วยต้านความชราพามะเร็งไปไกล มีมากทั้งในชาเขียว ชาขาว ชาจีนอู่หลงและชาชงแบบฝรั่งนักซดโฮกอืออยู่ตามเพิงกาแฟ แต่มีข้อเสียอยู่ 2 ประการที่พึงระวังไว้ว่าถ้าเป็นเครื่องดื่มชาเขียวประเภทกินง่ายคลายจุกขวดแล้วดวดเลยนั่นคือ เรื่องคาเฟอีน ที่อาจบีบสมองและห้องหัวใจ กับน้ำตาลที่หวานเสียจนคนติดกันทั่วเมือง

    ส่วนเรื่องสุดท้ายคือเครื่องดื่มสมุนไพรนั้น ไม่ว่าจะเป็นของดีเพียงใด ราคาใกล้ทองคำปัจจุบันแค่ไหนก็อย่าเพิ่งวางใจครับ ด้วยว่าสมุนไพรนั้นเป็นของดีแต่ที่เอามาสกัดใส่ขวดขายก็ไม่ใช่ว่าจะดีเหมือนของธรรมชาติทุกประการไป ด้วยว่าสมุนไพรบางอย่างก็เหมาะกันคนบางอายุบางโรค เข้าทำนองลางเนื้อชอบลางยา เช่นว่าโสมที่ดีถ้าคนมีอายุกินมากก็อาจไปกระตุ้นจนหนักหัวใจไม่สบายได้ หรือฟ้าทะลายโจรที่มีฤทธิ์ลดไข้แก้อาการอักเสบดีนักก็อาจหักหาญเข้าไปทำลายตับได้เช่นกัน ดังนั้น จึงอยากให้หลักไว้ก่อนใส่ปากว่าต้องดูอยู่สองอย่างคือ “ตับดีและมีส่วนประกอบชัดเจน”

    1) ตับดีมีแรงพอรับฤทธิ์สมุนไพร
    2) มีส่วนประกอบบอกชัดเจนไหม

    ด้วยว่าสองประการนี้ช่วยให้คุณรู้ทั้งเราคือตัวตับว่ายังพอไหวไหม ไม่ใช่ตับก็ทำงานหนักอยู่แล้วมีไวรัสตับอักเสบบีมีไขมันเกาะชุ่มฉ่ำ แล้วยังนำสมุนไพรเข้าไปให้ตับช่วยกรองต้องทำงานหนักอีก ส่วนประการที่สองคือส่วนประกอบนั้นสำคัญมากด้วยว่าหลายบริษัทมัก “บอกความจริงไม่หมด” คือ บอกเฉพาะชื่อส่วนประกอบแต่ไม่บอกปริมาณบ้าง หรืออะไรเทือกนี้ด้วยอ้างว่าเป็นความลับของทางบริษัทขัดนโยบายพ่นน้ำลายไปเรื่อยๆ แต่ถ้าจะให้จริงใจที่สุดนั้นเขาต้องบอกคุณหมดครับ ไม่อย่างนั้นถ้าเกิดปัญหาขึ้น คนรักษาก็จะยิ่งงงหนักกว่าหาที่มาแกสน้ำตาไม่เจออีก

    ดื่มอาหารเสริมแล้วต้องเติมอาหารสดด้วย
    ถึงตอนนี้สิ่งที่อยากบอกกับท่านที่รักเกี่ยวกับเครื่องดื่มอาหารเสริมนี้ก็คือ ถึงไม่มีเขาเราก็ไม่ขาด (อาหาร) ถ้าเรากินอาหารสดเพียงพอไม่ได้รอแต่อาหารมนุษย์อวกาศอย่างเดียว ด้วยว่าสารต่างๆ ที่ขนใส่กันไว้ในอาหารเสริมนั้นก็ล้วนแล้วแต่เป็นสารอาหารที่มาจากธรรมชาติทั้งนั้น เพียงแต่เขารู้ว่าเรามักไม่ค่อยได้หากินกัน หรือถึงกินกันก็ไม่ทันครบโดสนัก เช่นกินปลาแค่เดือนละครั้งแล้วหวังจะให้ได้โคคิวเท็นหรือคอลลาเจนก็ต้องนั่งฝันกันหนักหน่อยเหมือนคอยค่าน้ำมันลด (ซึ่งมักอดเสมอ) ทางบริษัทเขาจึงตั้งโฆษณาออกมาเป็นธีมเลยว่าให้จับกลุ่มคนทำงานไม่ค่อยมีเวลา จึงดูเหมือนว่าเป็นอาหารของคนรุ่นใหม่ใช้แทนอาหารสดได้ แต่แท้จริงอย่าไปใช้แทนกันเชียวนะครับ เดี๋ยวพอถึงเวลาเกิดหน้าแก่ขึ้นมาไม่ใสได้ใจอย่างในหนังแล้วจะต้องมานั่งครวญให้ถึงหูว่า ดู ดู๊ ดู ดูเธอทำ ให้ช้ำจิตกันอีกรอบนะครับ

    อ้างอิง:
    http://www.mayoclinic.com/health/alternative-medicine/PN00001
    http://www.mayoclinic.com/health/energy-drinks/AN01303
    http://www.nutraingredients-usa.com...-don-t-follow-indications-reports-Mayo-Clinic
    http://www.mayoclinic.com/health/herbal-supplements/SA00044
    http://www.mayoclinicproceedings.com/Abstract.asp?AID=4359&Abst=Abstract&UID=
    http://www.brown.edu/Student_Services/Health_Services/Health_Education/atod/energydrinks.htm

     
  16. sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    เป็นไปตาม ()รรม ดีที่สุดครับ

    .
     
  17. sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ขอบคุณครับ

    บอกแล้วว่า เช็คว่าแรง หรือไม่แรง ไม่เป็นครับ เนื้อดินยิ่งแล้ว ดูไม่ค่อยรู้เรื่องครับ

    ไม่รู้ว่า แรงหรือเปล่า แต่ดีและมีคุณค่ามากๆครับ ขอบคุณครับ

    .
     
  18. sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    http://palungjit.org/showthrea...=68899&page=75

    http://palungjit.org/showthrea...89#post1590189

    18-09-2008, 07:04 PM #1465 sira
    สมาชิก



    เข้ามาครั้งล่าสุด: 09-10-2008 12:18 PM
    วันที่สมัคร: Feb 2005
    อายุ: 34
    ข้อความ: 170
    ได้ให้อนุโมทนา: 25
    ได้รับอนุโมทนา 1,498 ครั้ง ใน 172 โพส
    พลังการให้คะแนน: 160



    กำหนดการทอดกฐินของสำนักสงฆ์ผาผึ้งครับ
    ผมขอนำใบบอกบุญการทอดกฐินของสำนักสงฆ์ผาผึ้งมาบอกบุญกับผู้ร่วมบุญทุกๆๆท่านครับผม





    http://palungjit.org/showthrea...=68899&page=74


    __________________
     
  19. sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ใครทำอะไร ต้องได้เช่นนั้น

    กรรมใดใครก่อ ต้องรับผลนั้น

    พระโมคคัลลานะ ท่านยังหนีกรรมไม่พ้น

    องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามสมณโคดม พระองค์ท่านยังหนีกรรมไม่พ้น

    ดังที่ผมเคยนำลงในกระทู้นี้แล้ว

    โมทนาสาธุครับ

    .
     
  20. sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    __________________

    ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด ไปเจอกันที่ สนส.ผาผึ้ง ในงานมหากฐินนะครับ

    ยกเว้น เพื่อนผมไม่ไปครับ

    โมทนาสาธุครับ
     

แชร์หน้านี้