พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย sithiphong, 23 ธันวาคม 2005.

  1. sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ประโยชน์ดื่มได้จาก "น้ำข้าว"
    http://www.manager.co.th/Travel/View...=9510000150689

    โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์
    23 ธันวาคม 2551 15:15 น.



    เทคโนโลยีหลายๆอย่างช่วยทำให้ชีวิตง่ายขึ้น "108 เคล็ดกิน" ขอยกตัวอย่างหม้อหุงข้าวไฟฟ้า ที่ช่วยให้แม่บ้านสะดวกสบายขึ้นมาก เพียงแค่ซาวข้าวใส่น้ำ แล้วยกใส่หม้อเสียบปลั๊ก รอไม่นานข้าวก็สุกหอมน่ากิน แต่ก็น่าเสียดายที่หม้อหุงข้าวไฟฟ้านั้นทำให้เราไม่มี "น้ำข้าว" เอาไว้ดื่ม

    "น้ำข้าว" นั้นได้มาจากการหุงข้าวแบบเช็ดน้ำ ซึ่งเป็นการหุงข้าวบนเตาถ่านหรือเตาแก๊ส โดยหลังจากที่นำข้าวไปต้มให้เดือดจนเมล็ดข้าวเริ่มสุกแล้วจึงรินน้ำออก น้ำที่รินออกมานี้เรียกว่าน้ำข้าว ซึ่งมีคุณค่าและประโยชน์นานาชนิด

    บางคนเรียกน้ำข้าวอย่างล้อเลียนว่าเป็น "กาแฟหมา" เพราะน้ำข้าวเหล่านี้บางบ้านไม่ได้ใช้ประโยชน์ จึงเทให้หมากินแทน เจ้าหมาจึงได้รับประโยชน์ไปเต็มๆ เพราะในน้ำข้าวนั้นจะมีวิตามินที่ละลายมากับน้ำและความร้อน โดยเฉพาะมีวิตามินอีสูง และมีคุณสมบัติเป็นยาเย็นช่วยบำรุงร่างกาย รวมถึงแก้ร้อนในและใช้ถอนพิษผิดสำแดง และช่วยขับปัสสาวะด้วย

    อีกทั้งน้ำข้าวยังเหมาะสำหรับผู้ป่วยหรือผู้ที่เพิ่งฟื้นไข้ ที่ต้องกินอาหารอ่อนๆ เพราะน้ำข้าวย่อยง่าย ไม่ทําให้ท้องอืด ท้องเสีย และร่างกายสามารถดูดซึมสารอาหารและซ่อมแซมร่างกายส่วนที่สึกหรอได้ทันที รวมไปถึงผู้ที่มีอาการท้องเสีย โดยเฉพาะเด็กๆ ก็สามารถดื่มน้ำข้าวผสมเกลือแทนน้ำเกลือเเร่ได้ด้วยเช่นกัน
    <!-- / message --><!-- sig -->
     
  2. sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    โครงการ"ธนาคารความดี"
    โดยคุณ :::เพชร:::
    14-11-2008, 02:15 PM (หน้า) 1213

    โครงการ"ธนาคารความดี"
    รางวัลที่ ๑

    -พระบรมสารีริกธาตุสัณฐานที่พระพุทธกัสสปพระพุทธเจ้าองค์ที่ ๓ ของภัทรกัปป์นี้อธิษฐานจิตไว้ จำนวน ๓๐ องค์ ๓๐ เฉดสี

    -พระวังหน้ามากกว่า ๔ องค์ ประกอบไปด้วย
    ๑)พระพิมพ์ฝีพระหัตถ์พระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว บรรจุน้ำประสาน และลูกปัดทราวดี ปีพ.ศ. ๒๔๐๘ มอบให้ ๑ ใน ๘ พิมพ์พิเศษจำนวน ๑ องค์

    ๒)พระสมเด็จปัญจสิริ พิมพ์เก๋งจีนไตรโลกอุดร ๑ องค์(ต้องแจ้งวันเดือนปีเกิดเพื่อเฉดสีที่เหมาะกับผู้ที่ได้รับพระพิมพ์นี้)

    ๓)พระปิดตา ๒ หน้า เนื้อสีขาว ผสมเครื่องหอมในราชสำนัก ๑ องค์(ยังไม่เคยมอบให้ผู้ใดมาก่อน)


    ๔)พระสมเด็จเนื้อปูนสอแบบพิเศษ ๑ องค์ที่คุณnongnooo จะมอบให้


    ๕)พระนางพญานครไทยพิมพ์กลาง เนื้อเขียว ๒ หน้ามีอยู่องค์เดียวอายุ ๗๐๐ กว่าปี คุณnongnooo ตั้งใจมอบให้(ไม่มีภาพ)

    ๖)รายการที่ ๖ นี้ คุณหนุ่ม sithiphong อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนาม สมณโคดม ,พระบรมสารีริกธาตุ พระปัจเจกพุทธเจ้า ,พระสมเด็จ(เนื้อผงยาวาสนา) ๑ ชุด ๑๐ องค์(ไม่มีภาพ)

    ๗) รายการที่ ๗ นี้มากมายจริงๆ คุณnewcomer มอบพระบรมสารีริกธาตุ สัณฐานเพชร ๕ องค์+พระสมเด็จองค์ปฐม+พระรอดจากวัดพระมหาชินธาตุเจ้าดอยตุง ๑ องค์+ภาพหลวงปู่จันทา ถาวโร ๑ ภาพ+พระผงที่หลวงพ่อสิริสร้างบูชาครูบาอาจารย์ จำนวน ๔ องค์











     
  3. sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    รางวัลที่ ๒
    -พระธาตุพระอนุรุทธะพระอรหันต์สาวกที่เลิศทางด้านตาทิพย์ จำนวน ๑๐ องค์

    -พระวังหน้าวังหลวงมากกว่า ๕ รายการ ประกอบไปด้วย

    ๑)พระรูปเหมือนหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเดินจงกรมของวังหน้าพิมพ์ใหญ่ ๒ องค์(ลงรักแดง และปิดทอง ๑ องค์ และสีน้ำตาล ๑ องค์) พิมพ์เล็ก ๕ องค์ ๕ สี(น้ำตาลแดง-ฟ้า-เขียว-ดำ-ขาวนวล) รวม ๗ องค์(พระชุดนี้ได้อาราธนาพระบารมีองค์พระสิวลีเถระเจ้า ,พระอนุรุทธะเถระเจ้า พระอุปคุตเถระเจ้า และหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรทั้ง ๕ พระองค์ ในเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๐)

    ๒)พระสมเด็จวังหน้า พิมพ์หลังประทุนตามจำนวนสมาชิกในครอบครัว

    ๓)พระสมเด็จเขียวก้านมะลิ ๑ องค์

    ๔)พระปิดตาวังหน้าเนื้อหลวงพ่อแก้ว วัดเครือวัลย์บรรจุกริ่ง ๑ องค์

    ๕)พระเบญจภาคี เนื้อปัญจสิริ สร้างปีพ.ศ. ๒๔๕๑ จำนวน ๑ ชุดมี ๕ องค์ และพระลีลาปัญจสิริอีก ๑ องค์


    ๖)พระสมเด็จเนื้อปูนสอ ๑ องค์ที่คุณnongnooo จะมอบให้

    ๗)รายการที่ ๗ คุณหนุ่ม sithiphong มอบพระสมเด็จวังหน้า 3 องค์

    ๘)รายการที่ ๘ คุณnewcomer มอบพระผงศาสดา ญสส. วัดบวรนิเวศวิหาร ๑ องค์+พระรอดจากวัดพระมหาชินธาตุเจ้าดอยตุง ๑ องค์+ภาพหลวงปู่จันทา ถาวโร ๑ ภาพ+พระผงที่หลวงพ่อสิริสร้างบูชาครูบาอาจารย์ จำนวน ๓ องค์












     
  4. sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    รางวัลที่ ๓
    -พระธาตุพระสีวลีพระอรหันต์สาวกที่เลิศทางด้านลาภ จำนวน ๕ องค์ สัณฐานประกายเพชรจากถ้ำแห่งหนึ่งในจังหวัดกาญจนบุรี

    -เทียนสะเดาะเคราะห์-สืบชาตา—บูชาโชค จากพระธาตุดอยตุงจำนวน ๑ เล่มแบบ three in one พิเศษสุดคือจะจารชื่อนามสกุล และวันเดือนปีเกิด เวลาเกิดของผู้ครอบครองด้วยเหล็กจารที่พระอภิญญาใหญ่หลายๆองค์เคยใช้มาก่อน โดยได้ขออนุญาต ขอขมา และขอพระเมตตาจากทุกๆพระองค์แล้วในกิจที่เป็นกุศลแล้ว


    -เทียนพระมหาสีวลี"เศรษฐีทั้ง ๕" มหาชัยมงคล วัดโขงขาว ซึ่งจัดสร้างตามกรรมวิธีของล้านนา ๑ ชุด(๓ เล่ม) พิเศษสุดคือจะจารชื่อนามสกุล และวันเดือนปีเกิด เวลาเกิดของผู้ครอบครองด้วยเหล็กจารที่พระอภิญญาใหญ่หลายๆองค์เคยใช้มาก่อน โดยได้ขออนุญาต ขอขมา และขอพระเมตตาจากทุกๆพระองค์แล้วในกิจที่เป็นกุศลแล้ว

    -พระวังหน้าวังหลวงมากกว่า ๕ รายการ ประกอบไปด้วย
    ๑)พระเบญจภาคี สร้างปีพ.ศ. ๒๔๕๑ จำนวน ๑ ชุดมี ๕ องค์ และพระลีลาอีก ๑ องค์

    ๒)พระสมเด็จเนื้อปูนสอ ๑ องค์ที่คุณnongnooo จะมอบให้

    ๓)รายการนี้ คุณหนุ่ม sithiphong มอบพระสมเด็จวังหน้า ๑ องค์

    )รายการที่ ๔ นี้ คุณnewcomer มอบพระเสาร์ ๕ พลังจิต ๑ องค์+พระรอดจากวัดพระมหาชินธาตุเจ้าดอยตุง ๑ องค์+ภาพหลวงปู่จันทา ถาวโร ๑ ภาพ+พระผงที่หลวงพ่อสิริสร้างบูชาครูบาอาจารย์ จำนวน ๓ องค์









     
  5. sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    โครงการ "ธนาคารความดี"
    โดย คุณ:::เพชร:::
    19-11-2008, 02:12 PM
    http://palungjit.org/showthrea...2445&page=1227
    http://palungjit.org/showthrea...51#post1672251
    หน้า 1227


    หมายเหตุ สำหรับความดีที่ให้ทำนั้น คุณsithiphong มีรางวัลพิเศษ ซึ่งถ้าคุณsithiphong(เฉพาะคุณsithiphong) เห็นควรว่า ความดีที่ทำนั้น ดีเลิศ(ในทัศนะความคิดเห็นของคุณsithiphong) คุณsithiphongมอบพระสมเด็จ(อัศจรรย์โกลาฤกษ์) ให้ 1 องค์ด้วย

    ***อายุโครงการที่ได้รับรางวัล จะเริ่มกิจกรรมกระทำความดีตั้งแต่เช้าตรู่ของวันเสาร์ที่ ๑ พ.ย. ๒๕๕๑(ตั้งแต่ ๖ โมงเช้าของวันที่ ๑ พ.ย. ๒๕๕๑) จนถึงวันพุธที่ ๓๑ ธ.ค. ๒๕๕๑ (ก่อน ๖ โมงเช้าของวันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๒)สุดท้าย จำนวน ๖๑ วัน หากล่วงเลยกำหนดเวลานี้ไป ทุกท่านก็ยังคงสามารถจะกระทำความดีกันได้อย่างต่อเนื่อง แม้ว่าจะไม่มีรางวัลมอบให้แล้วก็ตามนะครับ ***

    ผู้ที่ได้รับรางวัลข้างต้นนี้ทั้งหมดจะต้องนัดวันเวลามารับเองโดยตรงแม้ว่าท่านจะอยู่นอกเขตกรุงเทพและปริมณฑลก็ตาม ผมจะไม่จัดส่งทางไปรษณีย์ให้ครับ เนื่องจากมีพระบรมสารีริกธาตุ และพระธาตุอรหันต์อยู่ด้วย เริ่มต้นด้วยความดี แต่จบท้ายโครงการด้วยการปรามาสแบบนี้ไม่ดีแน่ครับ...

    คณะกรรมการจะใช้เวลาประมาณ ๑๔ วันในการสรุปความประทับใจ จึงจะประกาศผลผู้ได้รับรางวัลข้างต้นนี้ในวันเด็กแห่งชาติ(วันเสาร์ที่ ๑๑ มกราคม ๒๕๕๒) เพื่อให้เป็นอนุสติว่า หากเราท่านมีเวลาตั้งต้นทำความดีตั้งแต่เยาว์วัย ก็จะสามารถเป็นกำลังของประเทศชาติเราได้ เริ่มจากความดีเล็กๆ ไปจนถึงคุณความดีที่เราท่านประมาณค่าไม่ได้...

    ผู้ที่เข้ามาชมภายหลังจากวันที่ ๑ พ.ย. ๒๕๕๑ ไปแล้ว คือระหว่างอายุโครงการ ท่านก็สามารถจะร่วมกระทำความดีได้ แม้..วันสุดท้ายของการปิดโครงการจะเป็นวันที่ท่านเริ่มต้นสะสมความดีไว้ใน"ธนาคารความดี"แล้วก็ตามที เพียง ๑ ความดีที่สร้างความประทับใจให้กับคณะกรรมการ ท่านก็มีโอกาสได้รับรางวัลแล้วครับ..

    ท่านจะไปกระทำความดีที่ไหนของโลกก็ได้ทั้งนั้นครับ ไม่จำกัดว่าต้องเป็นที่ประเทศไทยเท่านั้น และจะกระทำความดีในรูปแบบซ้ำๆกันในแต่ละวันก็ไม่ว่าอีกเช่นกัน...

    ขยายความเรื่องของการกระทำความดีในโครงการ"ธนาคารความดี"

    กระทู้นี้ผมอยากให้พี่ๆน้องๆเพื่อนๆได้มีโอกาสพิจารณากันนะครับว่า


    การกระทำ+ความดี


    นั้นคืออะไร ?


    สิ่งที่กระทำอยู่ที่วี่ทุกวันเป็นนิจสินเราสงสัยหรือไม่ว่า เรากำลังทำอะไร เรากำลังทำความดีอยู่หรือเปล่า หรือไม่แน่ใจ หรือไม่กล้าตอบ หรือทำไปวันๆ ทำเป็นอาชีพ เพื่อแลกกับเงิน ด้วยความที่เราไม่ได้ไปพิจารณาว่า สิ่งที่เรากระทำนั้นเพียงแลกกับปัจจัยที่โลกมนุษย์กำหนดเป็นตัวเงินเท่านั้น แล้วภาระนี้เมื่อไหร่จะจบลง หรือจะหมดลงไปกับเวลาที่เราเหลืออยู่ในโลกมนุษย์นี้เท่านั้น โดยที่เราเองก็ยังไม่แน่ใจว่า เราได้มีโอกาสทำความดีบ้างแล้วหรือยัง และหากเกิดใหม่เราก็ยังจะกระทำแบบเดิมๆ ตามสัญญาเดิมๆ กระทู้นี้ผมไม่ได้พูดถึงเรื่องการทำงานแลกกับเงินเลย ซึ่งบางเหตุการณ์ บางอาชีพ อาจจะหาประโยชน์ได้ทั้งความดี และได้ทั้งเงินไปพร้อมๆกัน ขึ้นอยู่กับ"วิธีคิด"ของเราเองว่า ปรัชญาการดำเนินชีวิตของเราเองคืออะไร การเขียนหนังสือเล่มหนึ่งของนโปเลียน ฮิวส์ ชื่อ"หลักปรัชญาชีวิตสู่ความสำเร็จ"ซึ่งได้สร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้คนมากมายในช่วงศตวรรษที่ผ่านมา ผมเชื่อว่าหากมีโอกาสได้อ่านกัน จะรู้สึกว่าความสำเร็จในชีวิตกับการกระทำความดีนั้นมีอยู่จริงๆ

    การใช้ความรู้สึก กับ การใช้ความคิด ผมคิดว่าต่างกันครับ หากเราใช้ความรู้สึกเป็นเรื่องของอารมณ์ ซึ่งเราจะมีความสุขในทุกการกระทำ แต่ยังบอกไม่ได้ว่าการกระทำนั้น ดี หรือไม่ดี แต่การใช้ความคิด เป็นเรื่องของเหตุผล แต่อาจจะไม่มีความสุขในการกระทำก็ได้ กระทู้นี้ผมเปิดกว้างไว้มากเพื่อให้เกิดความเรียบง่าย กลับกลายเป็นเรื่องยากไป ต้องขออภัยจริงๆครับ

    ปรับการกระทำความดีให้รู้สึกว่าเหมาะกับอาชีพของเรา ให้รู้สึกว่าง่ายๆ ใครๆก็กระทำได้ และมีความสุขที่ได้กระทำ อยู่ที่ว่าจะกระทำกันหรือเปล่า และกรรมการทั้ง ๓ ท่านก็คงจะหนักใจไปด้วยระหว่างการใช้ความรู้สึก และการใช้เหตุผล คง balance กันยากมากครับ...
     
  6. ake7440 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,528
    ค่าพลัง:
    +405


    อ่า รับคำสั่งครับ เท่าที่อ่านข้อมูลค่อนข้างดีครับ ขอเป็นการเสริมมากกว่าวิจารณ์ครับ


    อันนี้บอกตรงๆว่าผมไม่กล้าฟันธงครับ ว่าแพทย์แผนปัจจุบันดีที่สุด ศาสตร์โบราณนั้นผมให้ความเคารพอย่างสูงครับ เพราะผมเจอแปลกๆมาหลายครั้งแล้ว
    เนื่องจากภูมิปัญญาของบรรพบุรุษนั้นลึกล้ำจริงๆ ปัญหาอยู่ที่การถ่ายทอดและการจัดระเบียบในการศึกษาครับ
    ความรู้ดีแต่ถ่ายทอดไม่ดี ก็สูญหายและเสื่อมไปในที่สุด ซึ่งผมมองว่านี่เป็นข้อด้อยที่สำคัญของการถ่ายทอดสืบต่อกันมาครับ
    ดังนั้นแล้ว ผมเชื่อว่าภูมิปัญญาโบราณนั้นดีแน่ แต่คุณต้องหาผู้ที่รู้จริงๆให้เจอ (ซึ่งอาจจะไม่เหลือแล้วก็ได้)
    และนี่ไม่ได้เกี่ยวกับความรู้กลุ่มใหม่ที่ดูเหมือนจะอิงกับความรู้สมัยก่อนนะครับ อันนี้แค่เป็นการหยิบเอาภูมิปัญญาบรรพบุรุษมาผสมกับความรู้ยุคปัจจุบัน
    ซึ่งอันนี้บางอันก็ดูจะดี บางอันก็ดูออกทะเล อย่างชีวจิตที่พี่หนุ่มบอกนั่นแหละครับ เอามารักษาโรคมันคงไม่ได้

    สรุปนะครับ กลัวจะกลายเป็นเข้าใจว่าผมเชียร์แพทย์ทางเลือก ในปัจจุบันผมว่าแพทย์แผนปัจจุบันค่อนข้างปลอดภัย มีมาตรฐานครับ
    ส่วนแผนอื่นๆถ้าคุณโชคดีได้เจอปรมาจารย์ อันนี้ก็ถือว่าโชคดี และผมเชื่อว่าสุดยอดเช่นกันครับ แต่ผมว่าโอกาสยากมากครับที่จะเจอ
    -------------------------------------------------------------

    คุณรู้จริงหรือไม่ กับการปฐมพยาบาลเบื้องต้น

    http://hilight.kapook.com/view/32225



    ในสถานการณ์ฉุกเฉินที่ต้องการความช่วยเหลือโดยด่วน เช่น อุบัติเหตุ ไฟไหม้ เป็นต้น สิ่งสำคัญอันดับแรกที่ต้องทำก็คือ ต้องตั้งสติให้ได้และอย่าตกใจ การปฐมพยาบาลเบื้องต้นเป็นอีกเรื่องถัดมาที่คุณควรเรียนรู้และฝึกปฏิบัติให้ถูกต้อง เพราะอุบัติเหตุที่ไม่คาดคิดอาจเกิดขึ้นกับตัวคุณหรือคนรอบตัวได้

    คำถามต่อไปนี้จะทดสอบว่าคุณรู้วิธีรักษาพยาบาลเบื้องต้นดีเพียงใด โดยลองคิดและตอบคำถามเหล่านี้อย่างรวดเร็วว่าถูกหรือผิด ดังนี้ค่ะ​

    คำถาม : วิธีการรักษาแผลสดที่ดีที่สุด โดยการใช้น้ำยาฆ่าเชื้อโรค อย่างแอลกอฮอล์ ไฮโดรเยนเปอร์ออกไซด์ เช็ดทำความสะอาดบาดแผล และปล่อยทิ้งไว้ให้แห้ง อย่าถูกน้ำ (ถูก หรือ ผิด) ​

    คำตอบ : ผิด การใช้แอลกอฮอล์ ไฮโดรเยนเปอร์ออกไซด์ อาจทำลายเชื้อโรคที่ดีไปด้วยและทำให้การสมานแผลช้าลงได้ ทางที่ดีคุณจึงควรล้างทำความสะอาดบาดแผลสดด้วยน้ำและสบู่อ่อนๆ ก่อนปิดแผลด้วยพลาสเตอร์ยาแบบเจล ซึ่งจะทำให้แผลชุ่มชื้นและหายเร็วกว่าแบบแห้ง ​

    หมอเอก : แอลกอฮอล์ ไฮโดรเยนเปอร์ออกไซด์ หรือแม้แต่ เบตาดีน มีฤทธิ์กัดกร่อน และสร้างความระคายเคืองให้แผล ทำให้แผลหายช้า
    การรักษาแผลแนวใหม่นั้นจะพยายามไม่ใส่สารเหล่านี้โดยตรงที่แผล แต่ข้อควรระวังคือต้องทำแผลนั้นให้สะอาดจริงๆ ไม่งั้นเชื้อก็จะเจริญเติบโต
    ดังนั้นถ้าเป็นแผลโดยทั่วไป แนะนำให้ใช้เบตาดีนใส่ หลังจากล้างด้วยน้ำสบู่อ่อนๆครับ
    การเอาแอลกอฮอล์ราดแผล นอกจากแสบแล้ว ยังไม่ควรทำเป็นอย่างยิ่งครับ
    ส่วนพลาสเตอร์ยาแบบเจล ผมว่ามันเปลืองครับ ใช้ภายใต้คำสั่งแพทย์ดีกว่าครับ มันเว่อร์

    คำถาม : หากมีแผลไฟไหม้ ให้ใช้น้ำแข็งประคบ (ถูก หรือ ผิด)​

    คำตอบ : ผิด น้ำแข็งช่วยให้เลือดแข็งตัว ซึ่งทำให้แผลหายช้าและยังปวดมากอีกด้วย ควรใช้น้ำเย็นประคบแผลอย่างน้อย 10 นาที เพื่อให้บริเวณที่ไหม้เย็นลง แล้วจึงดูลักษณะแผล หากพองและไหม้เกรียมให้ไปพบแพทย์โดยทันที ​

    หมอเอก : ข้อนี้ประเด็นก็คือ ความเย็นนั้นดีครับ เป็นหลักการที่ถูกต้อง เพียงแต่แผลไฟไหม้ หรือจริงๆแล้วแม้แต่เนื้อเยื่อที่อ่อนบาง เมื่อถูกความเย็นจัด มีโอกาสทำให้เกิดการไหม้ จากความเย็นเช่นกัน (น้ำแข็งกัดนั่นเองครับ) จึงไม่ควรใช้น้ำแข็งครับ แต่หากหาไม่ได้ ให้เอาผ้าหนาๆห่อน้ำแข็งใช้แทนก็พอได้อยู่ครับ

    คำถาม : ถ้าฟันแท้หลุด ให้เก็บฟันซี่ที่หลุดไว้ในน้ำนม (ถูก หรือ ผิด)​

    คำตอบ : ถูก เพราะแร่ธาตุในน้ำนมและระดับความเข้มข้นใกล้เคียงกับในช่องปาก จึงช่วยคงสภาพของฟันไว้ได้ และเพื่อช่วยให้ฟันซี่นั้นยังใช้การได้ ควรรีบไปพบทันตแพทย์ภายใน 45 นาที

    หมอเอก : นมจืดนะครับ อย่าใส่นมรสอื่นเด็ดขาด ไปพบเร็วที่สุดเพราะสามารถใส่กลับได้ครับ
    จริงๆสามารถช้าสุดได้ประมาณ 24 ชั่วโมงครับ แต่โอกาสสำเร็จก็จะลดลงเรื่อยๆครับ

    คำถาม : การใช้น้ำผึ้งถูเบาๆ บริเวณบาดแผลที่ถูกน้ำร้อนลวกจะช่วยเยียวยาอาการดังกล่าวได้ (ถูก หรือ ผิด)​

    คำตอบ : ถูก จากการวิจัยในสหรัฐยืนยันว่า ในน้ำผึ้งมีเอนไซม์ช่วยต่อต้านเชื้อแบคทีเรีย จึงช่วยฆ่าเชื้อโรคจากแผลที่ถูกน้ำร้อนลวกได้ และทำให้บาดแผลหายเร็วขึ้นด้วย ​

    หมอเอก : อันนี้จริงครับ ที่ศิริราชก็มีใช้ใส่แผลให้หายเร็วครับ ใช้หนอนก็มีนะครับ หนอนแพงมากด้วยครับ
    แต่ต้องระวังน้ำผึ้งปลอมนะครับ มีแต่น้ำตาล งานนี้แผลจะแย่ลงไปอีก เพราะน้ำตาลเป็นอาหารของแบคทีเรีย
    ผมไม่แนะนำการใส่น้ำผึ้งสำหรับแผลทั่วไปที่ไม่ได้รับการอนุญาตจากแพทย์ผู้ชำนาญครับ

    คำถาม : แผลยาวเกิน 2.5 เซนติเมตรเท่านั้นที่จำเป็นต้องเย็บ (ถูก หรือ ผิด)​

    คำตอบ :ผิด แผลที่ถูกบาดอาจเล็กน้อยแต่ลึกและจำเป็นต้องดูแลเป็นพิเศษ หากเห็นรอยบาดลึกลงไปหรือเลือดไหลเกิน 15 นาทีหลังจากกดแผล ให้รีบไปพบแพทย์​

    หมอเอก : แผลที่ลึกนั้นอันตรายกว่าแผลยาวแต่ตื้นอีกครับ ถึงแม้แผลยาวจะทำให้มีปัญหาด้านความสวยงาม
    แต่แผลลึกนั้นอันตรายในด้านโอกาสติดเชื้อสูงกว่าและรุนแรงกว่า เพราะเชื้อที่โตโดยไม่ใช้ออกซิเจนนั้นรุนแรงกว่าครับ
    อีกปัญหาก็คือปากแผลปิดก่อนก้นแผล จะทำให้เกิดโพรง แล้วหนองไปขังอยู่สุดท้ายก็จะพุและแตกออกใหม่ กลายเป็นแผลเรื้อรังไม่หายสักทีครับ
    ส่วนกรณีเลือดไหลไม่หยุดต้องระวังว่าแผลนั้นไปโดนเส้นเลือดเข้าครับ ให้รีบพบแพทย์โดยด่วนเพราะเส้นเลือดบางตำแหน่งมีขนาดใหญ่จนทำให้เสียเลือดมากจนช็อคได้ในเวลาอันสั้นครับ
    ระหว่างทางให้กดบาดแผลให้แน่น ถ้าเป็นตำแหน่งใหญ่ๆเช่นต้นขาอาจทำเหมือนการขันเชนาะเพื่อป้องกันพิษงูได้ครับ

    พูดถึงเรื่องพิษงู ปัจจุบันการแพทย์ไม่แนะนำให้ขันเชนาะแล้วนะครับ รีบส่งแพทย์ให้เร็วที่สุดก็พอครับ
    และอย่าดูดพิษนะครับ ถ้าปากเรามีแผล หรือ ฟันผุ หรืออุดแล้วแต่ที่อุดมันเสื่อม พิษจะเข้ากระแสเลือดได้เร็วมากครับ จากพระเอกหนังไทยจะกลายเป็น หนังผีแทนครับ

    ทางที่ดีที่สุด ยึดหลักสั้นๆ ง่ายๆ "มีสติและไม่ประมาท" ที่ใช้ได้เสมอในทุกเวลาและทุกสถานการณ์ค่ะ​




    ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก

    [/quote]
     
  7. sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    [/quote]

    เรื่องแพทย์แผนไทย เป็นสิ่งที่ดี
    แต่การรักษาโรค ที่เป็นไม่มาก การรักษาไม่ยุ่งยากซับซ้อน ใช้แพทย์แผนไทยดีครับ

    แต่ถ้าเป็นมะเร็งอย่างเพื่อนผม แล้วใช้ชีวจิตรักษา รักษาได้ดีมากครับ แค่ปีเดียวจริงๆ หายเลยครับ หายไปจากโลกนี้จริงๆ ลบชื่อออกจากโลกมนุษย์ครับ

    ของจริงต้องพิสูจน์ได้ ถ้าชีวจิตดีจริงๆ ต้องรักษาคนที่เป็นมะเร็งหายได้ทุกคน หากเป็นเมื่อก่อนนี้ ผมใช้คำพูดแรงกว่านี้มาก ตอนที่ผมด่าหมอและด่าโรงพยาบาล ผมใช้วิธีการโทร.ไปหาเพื่อน แล้วก็ให้เพื่อนช่วยถือหูไว้ เพื่อนก็ตกลงร่วมด้วยช่วยกัน มีอยู่คำพูดนึงผมบอกว่า ถ้าโรงพยาบาลนี้รักษาคนไข้แบบนี้ ถ้าหมอรักษาคนไข้แบบนี้ คนไข้ไม่มีทางหายจากโรคได้ แต่หายไปจากโลกนี้ เดิมพันลูกปืนคนละนัด ระบุไปเลยว่า รักษาแบบไหน อย่างไร นานแค่ไหนจะหาย

    โรคที่เพื่อนเป็น โรคมะเร็ง (ถ้าจำไม่ผิด อยู่ระยะที่ 2 ) ผมบอกให้ไปสถาบันมะเร็ง เพื่อนผมก็ไม่เชื่อ เชื่อหมอชีวจิต ความเชื่อพาเขาไปตายครับ

    แม่เพื่อนก็เป็นมะเร็ง (มะเร็งเต้านม) รักษาที่สถาบันมะเร็ง อยู่ได้ 10 กว่าปี ทั้งๆที่การรู้ว่าเป็นมะเร็ง อยู่ในระยะเดียวกันครับ

    ขอบคุณนะครับน้องหมอ สำหรับความเห็นเพิ่มเติมครับ

    .
     
  8. sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ตร.ทั่วประเทศ ลุยแบงก์ปลอม
    http://www.matichon.co.th/khaosod/vi...MHhNaTB5TXc9PQ==
    ชาวบ้านผวาหนัก ไม่กล้ารับใบละพัน




    แบงก์เก๊- ชาวบ้านนำแบงก์พันปลอมมาส่องแดดเทียบกับแบงก์ของจริง ซึ่งจะพบว่าแบงก์ปลอมไม่มีลายน้ำพระบรมฉายาลักษณ์ ขณะที่พล.ต.อ. เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ รองผบ.ตร.มีคำสั่งตำรวจทั่วประเทศกวาดล้างแก๊งแบงก์ปลอมอย่างเร่งด่วน


    "เพรียวพันธ์"สั่งตร.ทั่วประเทศกวาดล้างแบงก์ปลอม โดยเฉพาะแบงก์ พันที่ระบาดหนักหลายจังหวัดพ่อค้าแม่ค้าผวาไม่รับแบงก์พันกันแล้ว จะรับเฉพาะแบงก์ 500-100 แทน บางรายต้องซื้อเครื่องตรวจแบงก์มาไว้ประจำร้าน พ่อค้าวอนหน่วยงานภาครัฐเร่งให้ความรู้การตรวจสอบแบงก์ปลอมอย่างลึกซึ้งให้กับประชาชน พร้อมจี้ตร.เร่งกวาดล้างในช่วงเทศกาลปีใหม่ ที่มหาชัยจับหนุ่มใช้แบงก์ปลอม ค้นในตัวเจออีกกว่า 2 หมื่นบาท

    เมื่อวันที่ 22 ธ.ค. ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ งานป้องกันและปราบปรามอาชญา กรรม 1 (รองผบ.ตร.ปป.1) มีบันทึกข้อความ ที่ 0001 (ปป1)/8928 ลงวันที่ 19 ธันวาคม ถึง ผบช.น. ผบช.ก. ผบช.ภาค 1-9 และผบก.กองพัฒนาการป้องกันและควบคุมอาชญากรรม (กพป.) ให้เร่งรัดป้องกันและปราบปรามการแพร่ระบาดของธนบัตรปลอมในพื้นที่ต่างๆ โดยเฉพาะธนบัตรชนิดราคา 1,000 บาท

    คำสั่งดังกล่าวระบุว่า ในช่วงเทศกาลปีใหม่ ที่ประชาชนจับจ่ายใช้สอยเป็นจำนวนมาก อาจมีผู้ฉวยโอกาสนำธนบัตรปลอมมาปะปนใช้ซื้อสินค้าและบริการ จึงให้แจ้งสถานีตำรวจทุกแห่ง ประชาสัมพันธ์แจ้งเตือนประชาชน ผู้ประกอบการ ให้รับทราบสถานการณ์ระมัดระวังและเข้มงวด ตรวจสอบการรับธนบัตรชนิดต่างๆ โดยอาจใช้สถานีวิทยุชุมชนเป็นช่องทางการประชาสัมพันธ์ ทั้งนี้ ให้จัดพิมพ์ข้อมูลวิธีการตรวจสอบธนบัตร ติดประกาศตามสถานที่ต่างๆ เช่น ศูนย์การค้า ตลาด ชุมชน ฯลฯ เพื่อให้ประชาชนมีความรู้เบื้องต้นในการตรวจสอบธนบัตร โดยสืบค้น ข้อมูลจากกองสารนิเทศ หรือธนาคารแห่งประเทศไทย หรือสาขาในพื้นที่ แล้วรายงานตร.ทราบภายในวันที่ 25 ธันวาคม

    "ให้เพิ่มความเข้มในการสืบสวนจับกุมแหล่งปลอมธนบัตร ผู้ค้า ผู้จำหน่าย และผู้ฉวยโอกาสใช้ธนบัตรปลอม และกรณีพบผู้กระทำผิด ให้ดำเนินคดีโดยเฉียบขาดทุกราย โดยให้ผู้บังคับบัญชาทุกระดับชั้น ให้ความสำคัญกับปัญหาดังกล่าว และควบคุมกำกับ ดูแลการปฏิบัติงานของหน่วยอย่างใกล้ชิด"

    ที่บช.น. เวลา 11.20 น.วันเดียวกัน พล.ต.ต.อำนวย นิ่มมะโน รองผบช.น./รองโฆษกบช.น.แถลงข่าวเรื่องกรณีธนบัตรปลอมแพร่ระบาดเวลานี้ว่า เป็นการบ่อนทำลายความมั่นคงของประเทศ มีอัตราโทษสูงมาก ก่อนหน้าธนาคารแห่งประเทศไทย และผบช.สนว.ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้ออกมาชี้แจงในเรื่องการสังเกตความแตกต่างของธนบัตรจริงกับปลอม ส่วนเรื่องที่ยังไม่ชี้แจง บช.น.มีความเป็นห่วงเป็นใยมาก ขอชี้แจงข้อกฎหมายอัตราโทษ ผู้ใดทำปลอมขึ้นซึ่งเงินตรา ไม่ว่าจะปลอมเหรียญกษาปณ์ ธนบัตร ที่รัฐบาลออกหรือให้อำนาจออก มีความผิดตาม ป.อาญา ม.240 อัตราโทษ จำคุกตลอดชีวิต แม้จะเพียงแค่นำเข้ามาไม่ได้ปลอมเองก็มีอัตราโทษเดียวกัน, ผู้ใดมีไว้เพื่อนำออกใช้ อัตราโทษจำคุกตั้งแต่ 1-15 ปี ขอเรียนว่าใครทราบเรื่องที่มาของธนบัตรปลอมขอให้แจ้งเบาะแสแก่ตำรวจด้วย

    พล.ต.ต.อำนวย กล่าวถึงกรณีที่ประชาชนหากได้ธนบัตรปลอมมาจากการเบิกจากตู้เอทีเอ็ม ว่า ถือว่าซวยไป ซวยยังไงหรือ เพราะถ้าประชาชนคนนั้นรู้ว่าเป็นของปลอมแล้วยังเอาไปจะมีความผิดทันที ซึ่งมีอัตราโทษสูงเป็น 10 ปี แนะนำให้เอาไปแจ้งความกับตำรวจทันทีเพื่อจะได้ดำเนินคดี

    ส่วนกรณีที่ได้รับมาจากบุคคลอื่น เช่น มีการทอนเงิน หรือเอามาชำระหนี้ จะต้องพิสูจน์กัน นอกจากนี้ การปฏิเสธไม่รับชำระหนี้ด้วยธนบัตรไม่ได้ มีความผิดเช่นกัน

    ที่ตลาดสดเขตเทศบาลเมืองศรีราชา อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี บรรดาแม่ค้าพ่อค้าต่างกังวลหลังทราบข่าว การแพร่ระบาดของแบงก์พันปลอมเกือบทั้งประเทศ เริ่มระมัดระวังตัวมากขึ้น ซึ่งตอนนี้แบงก์ปลอมมีมาก และตอนนี้ปลอมได้เหมือน ดูแทบไม่ออก ขนาดส่องไฟตรวจสอบแล้วยังเหมือนของจริงทุกอย่าง และแบงก์ที่ปลอมส่วนใหญ่จะทำมาลอตเดียวกัน ใช้เลขเดียวกันทั้งหมด พ่อค้าแม่ค้าบางคนซื้อเครื่องตรวจแบงก์ปลอมมาใช้กันแล้ว

    ที่จ.สมุทรสาคร เวลา 14.49 น. พ.ต.ท.ธารา ศรีพรมคำ สวป.สภ.เมืองสมุทรสาคร นำกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจสายตรวจ สภ.เมืองสมุทรสาคร ออกตรวจพื้นที่บริเวณริมถนนสรศักดิ์ ข้างคิวรถตู้มหาชัย-ฟิวเจอร์ พาร์ค ต.มหาชัย อ.เมือง จ.สมุทรสาคร พบชายไทยอายุประมาณ 30 ปี ท่าทางมีพิรุธ จึงขอเรียกตรวจค้น

    จากการตรวจค้นในกระเป๋ากางเกงพบธนบัตรรัฐบาลไทยฉบับละ 1,000 บาท จำนวน 5 ใบ ธนบัตรฉบับละ 500 บาท 29 ใบ ธนบัตรฉบับละ 100 บาท 20 ใบ ธนบัตรฉบับละ 50 บาท 9 ใบ และธนบัตรฉบับละ 20 บาท 6 ใบ รวมทั้งหมดเป็นเงินจำนวน 22,070 บาท ตรวจสอบแล้วพบว่าเป็นแบงก์ปลอม จึงรายงานให้ พ.ต.ท.ชัยชาญ ปุราธนานนท์ รองผกก.ป.สภ.เมืองสมุทรสาครทราบ และนำตัวมาสอบสวนที่สภ.เมืองสมุทรสาคร ทราบชื่อคือนายกฤษดาวุฒิ สูตรสุข อายุ 28 ปี อยู่บ้านเลขที่ 15/6 หมู่ 9 ต.หนองแขม อ.โคกสำโรง จ.ลพบุรี

    สอบสวนนายกฤษดาวุฒิ ให้การรับสารภาพว่าซื้อเครื่องถ่ายเอกสารสีมา 1 เครื่อง ในราคา 4,500 บาท แล้วลองนำธนบัตรจริงมาถ่ายเอกสาร ซึ่งก็ดูเหมือนธนบัตรจริงมาก จึงคิดรวยทางลัด นำธนบัตรจำนวนต่างๆ ถ่ายเก็บไว้ และเตรียมนำออกไปใช้จับจ่ายซื้อของ โดยเพิ่งทำเป็นครั้งแรก ยังไม่ทันได้นำออกมาใช้ กระทั่งถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจค้นและจับกุมตัวได้ดังกล่าว

    ที่ตลาดสดแม่กิมเฮง เขตเทศบาลนครนครราชสีมา หลังจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของธนบัตรปลอมโดยเฉพาะธนบัตรใบละ 1,000 บาท ส่งผลให้ขณะนี้บรรดาพ่อค้าแม่ค้าจำเป็นที่จะต้องหามาตรการในการป้องกันการถูกหลอกลวงจากกลุ่มมิจฉาชีพ แม่ค้าบางรายถึงกับไม่รับธนบัตรใบละ 1,000 บาท จากลูกค้าเพราะหวั่นเกรงว่าจะเป็นธนบัตรปลอม รวมทั้งบรรดาพ่อค้าแม่ค้ายังร่วมกันตรวจสอบธนบัตรใบละ 1,000 บาท ที่ลูกค้านำมาซื้อสินค้าอีกด้วยเพื่อเป็นการป้องกัน ซึ่งที่ผ่านมาภายในตลาดสดแม่กิมเฮง มีบรรดาพ่อค้าแม่ค้าถูกแก๊งมิจฉาชีพหลอกซื้อสินค้าด้วยธนบัตรใบละ 1,000 บาท ปลอมมาแล้ว 2-3 ครั้งติดต่อกัน ทำให้ขณะนี้บรรดาพ่อค้าแม่ค้าต่างพากันผวากับธนบัตรปลอมเป็นอย่างมาก

    ที่จ.นครศรีธรรมราช นายภาณุ อุทัยรัตน์ ผวจ. นครศรีธรรมราช กล่าวว่า จัดชุดเจ้าหน้าที่ออกตรวจสอบย่านเศรษฐกิจ และตลาดสดในพื้นที่ต่างๆ ทั้ง 23 อำเภอ เพื่อเฝ้าระวังการกระทำผิดกฎหมาย กรณีที่มีการลักลอบผลิตและใช้ธนบัตรชนิด 1,000 บาท และ 500 บาทปลอม ในพื้นที่ 2 อำเภอใน จ.นครศรีธรรม ราช แม้ว่าทางเจ้าหน้าที่จะสามารถจับกุมผู้กระทำผิดได้แล้วก็ตาม แต่จากสภาพเศรษฐกิจตกต่ำที่ส่งผลกระทบไปทั่วโลก อาจส่งผลให้มีกลุ่มผู้กระทำผิดซ้ำ หรือรายใหม่ขึ้นได้ ซึ่งทางจังหวัดนครศรีธรรมราชจะใช้ข้อกำหนดตามกฎหมายอย่างเคร่งครัดกับผู้กระทำผิดทั้งผู้ค้าและผู้ใช้ธนบัตรปลอมทุกชนิด ทั้งนี้ สำหรับประชาชนทั่วไปให้ระมัดระวังอย่าตกเป็นเหยื่อของกลุ่มผู้กระทำผิดดังกล่าว หรือหากพบเบาะแส หรือพบเห็นการกระทำผิด ให้แจ้งโดยตรงได้ที่ผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราช หมายเลขโทรศัพท์ 08-0088-8308 หรือที่สายด่วน 1567 ตลอด 24 ชั่วโมง

    ที่จ.ยโสธร แก๊งค้าแบงก์ปลอมขับรถปิกอัพนิสสันแค็บสีเขียวหัวเป็ด แวะเติมน้ำมันที่ปั๊มเอสโซ่ พญาแถน ตั้งอยู่ริมถนนแจ้งสนิท เขตเทศบาลเมืองยโสธร ซึ่งมีนายสุนทร เวชกามา อายุ 34 ปี อยู่บ้านเลขที่ 203 ม.2 ต.ย่อ อ.คำเขื่อนแก้ว จ.ยโสธร เด็กปั๊มประจำหัวจ่ายน้ำมันดีเซล ซึ่งชายคนดังกล่าวรูปร่างสูงขาว อายุประมาณ 40 ปี สวมแว่นดำปิดบังใบหน้า ซึ่งนั่งมาในรถคนเดียวสั่งเติมน้ำมันดีเซล 500 บาท ระหว่างเติมน้ำมันอยู่นั้น ชายคนขับได้ชวนตนคุยเรื่องแบงก์ 1,000 ปลอมกำลังระบาด แนะนำให้ตนระวังจะโดน หลังเติมน้ำมันเสร็จได้ยื่นธนบัตรฉบับละ 1,000 บาทให้ตน โดยพับเอาทางพระฉายาลักษณ์ออกด้านนอก ตนจึงเอาแบงก์ 500 บาททอนให้ นึกเอะใจจึงคลี่ธนบัตรใบนั้นออกมาดู โดยเอามือลูบบริเวณเส้นสีเงินด้านซ้ายมือดูเห็นนูนผิดสังเกต จึงรีบวิ่งเอาแบงก์ฉบับดังกล่าวไปคืนเจ้าของรถซึ่งบังเอิญโชคดี ที่รถคันดังกล่าวยังจอดติดอยู่ถนนทางเข้าปั๊ม เพราะช่วงเช้าถนนแจ้งสนิทรถติดมาก จึงเคาะประตูเรียก ชายคนดังกล่าวจึงลดกระจกลงและยอมเปลี่ยนธนบัตรฉบับละ 1,000 ใบใหม่ให้ ซึ่งนายสุนทร บอกอีกว่าในกระเป๋าชายดังกล่าวมีเงินฉบับละ 1,000 บาทอีกจำนวนมาก

    ที่จ.เชียงราย นายบุญธรรม ทิพย์ประสงค์ ประธานหอการค้า อ.แม่สาย จ.เชียงราย เปิดเผยว่า กรณีธนบัตรฉบับละ 1,000 บาท ตกเป็นข่าวระบาดอย่างหนักนั้น ยอมรับว่าได้มีการระบาดในพื้นที่ชายแดนไทย-พม่า ด้าน อ.แม่สาย เช่นกันแต่ยังไม่ถึงกับมากนัก โดยมีคนพบเห็นเพียงประปราย สาเหตุที่ทราบเพราะได้รับแจ้งจากนักธุรกิจบางรายที่ทำธุรกิจจำหน่ายสินค้าทั้งฝั่งไทยและฝั่งพม่า เมื่อค้าขายได้ก็นำเงินไปฝากกับธนาคารแต่ปรากฏว่าธนาคารตรวจสอบแล้วพบว่าเป็นธนบัตรปลอม แสดงว่ามีการนำธนบัตรปลอมไปใช้ทั้งฝั่งไทยและพม่าแล้ว ดังนั้น จึงอยากให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งตรวจสอบข้อมูล เพื่อตัดต้นตอของการแพร่ระบาดโดยเร็ว ก่อนที่จะส่งผลเสียต่อระบบการเงินมากกว่านี้

    ที่จุดผ่านแดนถาวรบ้านหาดเล็ก อ.คลองใหญ่ จ.ตราด ซึ่งเป็นจุดผ่านแดนติดต่อกับ จ.เกาะกง ประเทศกัมพูชา และติดต่อกับบ่อนกาสิโนเกาะกง ซึ่งมีประชาชนทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศเดินทางเข้า-ออกวันละกว่า 2,000 คน โดยมีหน่วยเฉพาะกิจนาวิกโยธินที่ 182 (บ้านหาดเล็ก) จุดตรวจศุลกากร อ.คลองใหญ่ และจุดตรวจของตรวจคนเข้าเมือง อ.คลองใหญ่ และจุดตรวจของตรวจคนเข้าเมือง อ.คลองใหญ่ ตั้งอยู่ได้มีการเข้มงวดตรวจสอบการเดินทางเข้า-ออกของนักท่องเที่ยวชาวต่างประเทศ ชาวกัมพูชา และชาวไทยอย่างเข้มงวด และตรวจค้นบุคคลที่ต้องสงสัย ที่อาจจะมีการซุกซ่อนของผิดกฎหมายเข้ามายัง จ.ตราด โดยเฉพาะธนบัตรไทยปลอม เนื่องจากได้รับรายงานจากส่วนราชการส่วนกลางว่า มีการแพร่ระบาดในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชาเป็นจำนวนมาก อีกทั้งในตลาดชายแดนหาดเล็กตอนเช้า และท่าเรือประมงหาดเล็ก มีพ่อค้า-แม่ค้าชาวเกาะกง นำธนบัตรทั้งไทยและเงินเรียล (ของกัมพูชา) มาซื้อสินค้าอุปโภค-บริโภค ทุกวัน จึงต้องระมัดระวังเป็นกรณีพิเศษ

    ที่จ.ขอนแก่น ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขณะนี้มีแบงก์ปลอมฉบับละ 1,000 บาท ระบาดมากในตลาดบางลำพู หน้าสภ.เมืองขอนแก่น ถ.กลางเมือง ในเขตเทศบาลนครขอนแก่น พ่อค้า-แม่ค้าจึงเขียนป้ายประกาศเตือนไว้ที่หน้าร้าน "ไม่รับแบงก์ 1,000 บาท ปลอม" โดยมีนายภาสภาดร เนียมประดิษฐ์ ผจก. ตลาดบางลำพู พาไปตรวจสอบตามร้านค้าต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มขายกิฟต์ช็อป เสื้อผ้า รองเท้า ผักสด ขายเนื้อหมู เนื้อวัว และอาหารสำเร็จรูป-ตามสั่ง พ่อค้าแม่ค้าต่างมีป้ายเขียนเตือนให้ระวังแบงก์ฉบับละ 1,000 ปลอม นอกจากนี้ ยังมีป้ายขนาดใหญ่แขวนไว้กลางตลาดตรงหน้าร้านขายอาหารสำเร็จรูปว่า "คำเตือน พ่อค้า แม่ค้า ลูกค้า ที่ตลาดบางลำพู โปรดระวังแบงก์ฉบับละ 1,000 ปลอมระบาด"

    นายเลอศักดิ์ จุลเทศ ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า สำหรับธนาคารออมสินยังไม่ได้รับรายงานการตรวจพบธนบัตร 1,000 บาทปลอม จากธนาคารสาขา โดยเฉพาะจากพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคเหนือซึ่งมีการระบาดหนัก อีกทั้งในตู้เอทีเอ็มต่างๆ ก็ยืนยันได้ว่าไม่มีธนบัตรปลอมใดๆทั้งสิ้น เนื่องจากที่ผ่านมาธนาคารออมสินได้ส่งเจ้าหน้าที่และพนักงานประจำสาขาต่างๆ เข้ารับการอบรมการตรวจดูธนบัตร ทั้งการแลกเปลี่ยน ชำรุดและเสียหายกับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ดังนั้น ก่อนที่จะมีธนบัตร 1,000 บาท ผ่านเข้าออกธนาคารไม่ว่าจะผ่านเคาน์เตอร์ หรือตู้เอทีเอ็ม จะต้องตรวจสอบอย่างละเอียดถี่ถ้วน เพื่อมิให้เกิดความเสียหายเกิดขึ้นกับประชาชนและเศรษฐกิจ

    "เรายืนยันได้ว่าการตรวจสอบธนบัตรของเราเข้มงวดมาก พนักงานมีความเชี่ยวชาญ ฉะนั้น โอกาสพลาดจึงแทบไม่มี จึงอยากให้ประชาชนเชื่อมั่นธนบัตร 1,000 บาท ที่ออกมาจากธนาคารออมสินทุกสาขาและทุกตู้เอทีเอ็ม พร้อมกันนี้เราไม่มีนโยบายห้ามรับหรือแลกเปลี่ยนธนบัตรใบละพันแต่อย่างใด ยังเป็นการดำเนินธุรกรรมใดๆ ตามปกติ โดยเฉพาะการไปรับเงินฝาก-ถอนจากแม่ค้าพ่อค้าในตลาด" นายเลอศักดิ์กล่าว

    ตร.ทั่วประเทศ ลุยแบงก์ปลอม
    http://www.matichon.co.th/khaosod/vi...MHhNaTB5TXc9PQ==
     
  9. sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    เศรษฐกิจ"51 ปีแห่งความผันผวน ปีหน้าเตรียมเข้าสู่ภาวะ "ยากลำบาก"
    http://www.matichon.co.th/prachacha...g=02sup01221251&day=2008-12-22&sectionid=0218

    ภาวะเศรษฐกิจโลกในปี 2551 เปลี่ยนแปลงค่อนข้างเร็วและผันผวนค่อนข้างมาก โดย ช่วงครึ่งแรกของปี 2551 ทุกประเทศทั่วโลกยังหวั่นวิตกกับปัญหาราคาน้ำมันแพง สินค้าโภคภัณฑ์ สินค้าเกษตรปรับเพิ่มขึ้น ซึ่งทำลายสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ครั้งแล้วครั้งเล่า ในขณะนั้นทุกประเทศทั่วโลก ต่างเป็นห่วงเรื่องปัญหา "เงินเฟ้อ" (Inflation) ที่มีสาเหตุจากต้นทุนราคาสินค้าเพิ่มขึ้น

    แต่ช่วงครึ่งหลังของปี 2551 เศรษฐกิจโลกเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิงจาก "หน้ามือเป็นหลังมือ" เลยทีเดียว เพราะวิกฤตการเงินในสหรัฐและยุโรปที่มีสาเหตุมาจากปัญหาสินเชื่อด้อยคุณภาพในภาคอสังหาริมทรัพย์ (ซับไพรม) ได้ส่งผลกระทบต่อสถาบันการเงินในสหรัฐและยุโรปรุนแรงกว่าที่คาดการณ์ และลุกลามไปสู่ภาคเศรษฐกิจจริงของประเทศอุตสาหกรรมหลักของโลก ทั้งสหรัฐ ยุโรป และญี่ปุ่นอย่างรวดเร็วจนเศรษฐกิจของประเทศหลักๆ ออกอาการ "ถดถอย" ขยายตัวติดลบและขยายวงกว้างกระทบเศรษฐกิจทั่วโลก

    สถานการณ์เศรษฐกิจการเงินโลก ดังกล่าวกลายเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้ราคาน้ำมัน ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ และสินค้าเกษตรปรับลดลงอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะราคาน้ำมันในตลาดโลกลดต่ำลงอย่างรวดเร็ว จากที่อยู่ระดับ 147 ดอลลาร์ ร่วงลงมาอยู่ระดับต่ำกว่า 50 ดอลลาร์/บาร์เรล ตามการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก จนทุกประเทศเริ่มเป็นห่วงว่าจะเกิดปัญหา "เงินฝืด" หรือ "Deflation" ไม่ได้กลัวปัญหาเงินเฟ้อเหมือนช่วงต้นปีที่ผ่านมา

    "ประเทศไทย" เป็นหนึ่งในประชาคมโลกและเชื่อมโยงกับเศรษฐกิจโลกอย่างแนบแน่น เพราะพึ่งพาการส่งออกสูงถึง 70% ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ได้รับผลกระทบผันผวนไปทิศทางเดียวกับเศรษฐกิจโลก ซึ่งครึ่งแรกของปีนี้ประเทศไทยเผชิญปัญหาเงินเฟ้อเหมือนทุกประเทศทั่วโลก โดยในเดือนกรกฎาคม 2551 เงินเฟ้อของไทยพุ่งสูงขึ้นไปถึง 9.2% แต่พอถึงเข้าสู่ ครึ่งหลังของปีนี้เงินเฟ้อเริ่มปรับลดลงเร็วและแรง โดยเดือนพฤศจิกายน 2551 เงินเฟ้อขยายตัวเพียง 2.2%

    ผลกระทบจากเศรษฐกิจการเงิน ต่างประเทศต่อเศรษฐกิจไทยไม่ค่อยรุนแรงมากเมื่อเทียบกับประเทศต่างๆ ในภูมิภาค เพราะภาคการเงินไทยได้รับผลกระทบไม่มากจากวิกฤตการเงินโลกครั้งนี้ ขณะที่ภาคการส่งออกของไทยในปีนี้ขยายตัวได้ดีเกินคาดหมายค่อนข้างมาก โดยหลายสำนักประมาณการว่า การส่งออกในปีนี้จะขยายตัวสูงกว่าปี 2550 ที่ขยายตัว 17.5% เนื่องจากผู้ส่งออกสามารถปรับตัวได้ดีและขยายตลาดส่งออกใหม่ๆ ได้เพิ่มขึ้น ที่สำคัญภาคการส่งออกได้รับอานิสงส์จากราคาสินค้าในตลาดโลกที่ปรับสูงขึ้นในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ โดยเฉพาะราคาสินค้าเกษตรและสินค้าโภคภัณฑ์ซึ่งเป็นสินค้า ส่งออกสำคัญของไทย

    แต่ปัจจัยขับเคลื่อนเศรษฐกิจภายในประเทศกลับไม่ดีตามคาด ทั้งการบริโภค การลงทุนภาคเอกชน และการใช้จ่ายภาครัฐ ชะลอตัวจากพิษเศรษฐกิจโลกและการเมืองป่วน โดยช่วงที่เงินเฟ้อสูงกำลังซื้อผู้บริโภคตก นักลงทุนไม่กล้าขยายการลงทุนหรือเพิ่มการลงทุนใหม่เพราะกังวลต้นทุนแพง
    <TABLE cellSpacing=5 cellPadding=1 width="20%" align=right border=0><TBODY><TR bgColor=#f8b8cb><TD>

    </TD></TR></TBODY></TABLE>


    พอจะลืมตาอ้าปากได้บ้างจากราคาน้ำมันปรับลดลง ต้นทุนต่ำลง ผู้บริโภคพอจะมีกำลังซื้อเพิ่มขึ้นบ้าง รวมถึงการลงทุนก็น่าจะขยับได้บ้างเช่นกัน ก็มีอันต้อง "สะดุด" อย่างไม่เป็นท่าเพราะปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองที่ "บั่นทอน" ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและนักลงทุน เท่ากับเป็นการซ้ำเติมปัญหาที่แย่ลงอยู่แล้วเพราะปัจจัยเสี่ยงเศรษฐกิจโลกชะลอตัว ทำให้ความเชื่อมั่น ผู้บริโภคและนักลงทุน "ดิ่ง" ลงต่อเนื่อง

    จากการสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคของมหาวิทยาลัยหอการค้าไทยล่าสุดเดือนตุลาคม 2551 ยังปรับลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 72 ขณะที่จากการสำรวจของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เกี่ยวกับดัชนีความเชื่อมั่นทางธุรกิจในเดือนเดียวกัน พบว่าความเชื่อมั่นทางธุรกิจในเดือนตุลาคมและความเชื่อมั่นทางธุรกิจในอีก 3 เดือนปรับลดลงต่ำสุดนับตั้งแต่มีการจัดทำดัชนีในปี 2543 หรือต่ำสุดในรอบ 9 ปี และคาดว่าในช่วง 2 เดือนที่เหลือของปีนี้ก็จะลดลงต่อเนื่องอีก เพราะมีเหตุการณ์ปิดสนามบินสุวรรณภูมิเมื่อต้นเดือนธันวาคม 2551

    ขณะที่การใช้จ่ายภาครัฐที่หวังจะให้เป็นพระเอกดูแลกระตุ้นเศรษฐกิจในยามคับขันก็ไม่สามารถดำเนินการได้อย่างเต็มที่ เพราะปัญหาเงินเฟ้อตั้งแต่ต้นปี และปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองได้ส่งผลกระทบต่อการใช้จ่ายและการลงทุนของภาครัฐ โดยโครงการลงทุนต่างๆ ไม่สามารถเปิดประมูลได้ตามกำหนด ต้องเลื่อนออกไป และการเบิกจ่ายงบประมาณโดยเฉพาะงบฯลงทุนก็ต่ำและล่าช้ากว่าที่ประมาณการ

    เมื่อการขับเคลื่อนของภาครัฐเป็นง่อยจึงส่งผลให้การบริโภคและการลงทุนอ่อนแอลงอย่างชัดเจน โดยเฉพาะการลงทุนที่ค่อนข้างน่าเป็นห่วง เพราะชะลอตัวต่อเนื่องมา 2-3 ปีแล้ว และหากไม่สามารถพลิกฟื้นกลับมาได้ภายใน 1-2 ปีนี้จะทำให้เศรษฐกิจไทยต้องเสียโอกาสถ้าเศรษฐกิจโลกกลับมาฟื้นตัวอีกครั้ง

    จึงอาจกล่าวได้ว่า ปัญหาการเมืองในประเทศคือปัจจัย "ซ้ำเติม" ที่ทำให้เศรษฐกิจไทยในปี 2551 "บอบช้ำ" และย่ำแย่กว่าที่ควรจะเป็น โดยเฉพาะปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองที่รุนแรงจนถึงขั้นปิดสนามบินสุวรรณภูมิที่อาจกล่าวได้ว่าเป็น "ฟางเส้นสุดท้าย" ที่ฉุดให้เศรษฐกิจทรุดลงอย่างหนัก เนื่องจากภาคการส่งออกและการท่องเที่ยวได้รับผลกระทบค่อนข้างสาหัส

    ทั้งนี้ธนาคารโลกและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ได้ประเมินผลกระทบจากการปิดสนามบินสุวรรณภูมิทำให้เกิดความเสียหายกระทบต่ออัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจหรือจีดีพีลดลงถึง 2%

    ขณะที่หน่วยงานพยากรณ์เศรษฐกิจสำนักต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น สศช. ธปท. สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) และธนาคารโลก รวมถึงภาคเอกชน ต่างทยอยปรับจีดีพีในปี 2551 จากที่คาดว่าโตได้ถึง 5% ก็ปรับลดลงเหลือต่ำสุดอยู่ที่ 3% และสูงสุดอยู่ที่ 4.5%

    อย่างไรก็ตามแม้เศรษฐกิจในปี 2551 จะขยายตัวไม่ถึง 5% แต่ท่ามกลางความผันผวนของเศรษฐกิจการเงินโลกและปัญหาการเมืองในประเทศ เศรษฐกิจยังขยายตัวได้ระดับ 3-4% ก็นับว่า "โชคดี" แล้วที่สามารถฝ่ามรสุมเศรษฐกิจและการเมืองมาได้

    แต่ปี 2552 เศรษฐกิจไทยอาจไม่โชคดีเหมือนที่ผ่านมา เพราะมี "พายุ" ที่เกิดจากการตกต่ำของเศรษฐกิจโลกรออยู่ข้างหน้า โดยสำนักที่ประมาณการเศรษฐกิจส่วนใหญ่มองในทิศทางเดียวกันว่า ปีหน้าเศรษฐกิจไทยจะย่ำแย่ ขยายตัวในอัตราที่ต่ำมาก ซึ่งอาจเป็นปีที่เศรษฐกิจไทยต่ำที่สุดในรอบ 11 ปี นับตั้งแต่วิกฤตการเงินปี 2540

    หน่วยงานพยากรณ์เศรษฐกิจที่สำคัญๆ ประมาณการว่าจีดีพีปีหน้าอาจขยายตัวได้เพียง 1% กว่า และอย่างดีที่สุดไม่เกิน 3% โดยอยู่บนสมมติฐานที่ว่า เศรษฐกิจโลกไม่แย่ไปกว่านี้ และการเมืองไม่เลวร้ายลงกว่าที่เป็นอยู่ รวมถึงมีการเบิกจ่ายงบฯกลางปีเพิ่มขึ้น 100,000 ล้านบาท

    โดยเฉพาะการประมาณการของ ทีดีอาร์ไอที่ดูเหมือนจะมองโลกแง่ร้ายกว่าใคร โดยบนสมมติฐานดังกล่าวทีดีอาร์ไอคาดว่าจีดีพีปีหน้าจะโต 1.9% นี่ยังไม่นับรวมผลกระทบจากการปิดสนามบินสุวรรณภูมิ ซึ่งหากรวมผลกระทบดังกล่าวเข้าไปด้วย ทีดีอาร์ไอคาดว่าจีดีพีปีหน้าอาจไม่ขยายตัวหรือถึงขั้นติดลบ และมีคนตกงานเป็นล้านคน นอกจากนี้ยังคาดว่าเงินเฟ้อปีหน้าจะติดลบ 0.6% ขณะที่สำนักอื่นๆ ยังให้เป็นบวกประมาณ 2-2.5%

    เพราะฉะนั้นเศรษฐกิจไทยอาจไม่ "ฟลุก" โชคดีเหมือนที่ผ่านมา และการจะฝ่าฟันเศรษฐกิจการเงินโลกในปีหน้าไม่ใช่เรื่องง่าย เนื่องจากมีการคาดการณ์กันว่าในปีหน้าภาวะถดถอยของเศรษฐกิจโลกจะทวีความรุนแรงมากขึ้น โดยธนาคารโลกคาดว่าเศรษฐกิจโลกในปีหน้าจะโตเพียง 0.9% ซึ่งต่ำที่สุดเมื่อเทียบกับการประมาณการของสำนักอื่นๆ เป็นการบ่งชี้ว่าปีหน้าการค้าโลกจะชะลอตัวลงอย่างมาก ที่สำคัญเศรษฐกิจประเทศหลัก ได้แก่ สหรัฐ ยุโรป ญี่ปุ่น มีการคาดการณ์ว่าจะหดตัวลง และกว่าจะฟื้นตัวต้องใช้เวลาอย่างน้อย 2-3 ปี

    นั่นคือปัจจัยเสี่ยงต่อเศรษฐกิจไทยจะถูกกระแทกอย่างแรงผ่านการชะลอตัวของการส่งออก ดังนั้นจะหวังพึ่งพาภาคการส่งออกให้เป็นพระเอกช่วยเศรษฐกิจเหมือนที่ผ่านมาคงยาก โดยการประมาณการส่งออก ปีหน้าของสำนักพยากรณ์ต่างๆ มองร้ายสุดคือส่งออกหดตัว เช่น ทีดีอาร์ไอคาดว่า ส่งออกจะหดตัว 12% ส่วนสำนักอื่นๆ คาดว่าส่งออกยังขยายตัวได้แต่ในอัตราต่ำไม่ถึง 10% ซึ่งไม่สดใสเหมือนที่ผ่านๆ มา

    เมื่อเศรษฐกิจไทยพึ่งพาความต้องการในต่างประเทศ หรือการส่งออกไม่ได้ ก็ต้องหันมาพึ่งความต้องการในประเทศแทน แต่การจะเพิ่มการใช้จ่ายในประเทศเพื่อทดแทนการส่งออกที่ชะลอได้นั้น ต้องใช้พลังขับเคลื่อนภายในประเทศอย่างมาก เพราะเครื่องยนต์ขับเคลื่อนเศรษฐกิจตอนนี้เกือบจะ "ดับ" หมดทุกตัว ไม่ว่าจะเป็นการบริโภคที่มีแนวโน้มขยายตัวได้ไม่มาก เนื่องจากมีการคาดการณ์ว่าในปีหน้าจะมีแรงงานตกงานเป็นล้านคน นั่นคือกำลังซื้อจะหายไปเป็นจำนวนมาก

    ส่วนการลงทุนจะหวังให้เอกชนเป็นผู้นำในภาวะความเสี่ยงมากมายคงยาก เพราะฉะนั้นเหลือเพียงความหวังเดียวคือการลงทุนและการใช้จ่ายของภาครัฐซึ่งจะมีบทบาทสำคัญมากในปีหน้า เพราะหาก ภาครัฐเดินหน้าลงทุนในโครงการต่างๆ ที่วางไว้ได้จะช่วยฟื้นความเชื่อมั่นให้กลับคืนมาและดึงดูดให้ภาคเอกชนลงทุนตามได้ หากการลงทุนภาคเอกชนฟื้นและแข็งแรงพอขับเคลื่อนเศรษฐกิจไปได้จะเป็นผลดีต่อเศรษฐกิจไทยทั้งในระยะสั้น กลาง และยาว เพราะพระเอก

    ตัวจริงในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจคือ "การลงทุนภาคเอกชน"

    แต่การใช้จ่ายภาครัฐจะขับเคลื่อนและผลักดันโครงการหรือนโยบายที่สำคัญเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจให้ฟื้นตัวและขยายตัวต่อเนื่องได้ จำเป็นต้องมีรัฐบาลที่มีเสถียรภาพ แม้ปัญหาการเมืองในขณะนี้จะคลี่คลายในทางที่ดีขึ้น แต่ก็ยังมีความไม่แน่นอนว่ารัฐบาลจะมีเสถียรภาพเพียงพอหรือไม่ ที่สำคัญต้องมีการบริหารจัดการโครงการต่างๆ และการใช้เม็ดเงินที่มีประสิทธิภาพด้วย

    ภายใต้ข้อจำกัดมากมายและความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นทั้งปัจจัยภายนอกและภายในประเทศจึงอาจกล่าวได้ว่า ปีหน้าเป็นปีแห่งความท้าทายของภาครัฐ และวัดฝีมือคนที่จะมาบริหารประเทศด้วย เพราะหากบริหารจัดการเศรษฐกิจปีหน้าได้ไม่ดีและฝ่าฟันพายุวิกฤตการณ์ครั้งนี้ไม่ได้ โอกาสที่เศรษฐกิจไทยจะขยายตัว "ติดลบ" หรือ "หดตัว" ลงจะมีโอกาสความเป็นไปได้สูงขึ้น และยังเสี่ยงที่จะเกิดภาวะเงินฝืดหรือเงินเฟ้อติดลบด้วย ซึ่งเป็นปัญหาที่น่ากลัวกว่าปัญหาเงินเฟ้อ

    เพราะฉะนั้นเศรษฐกิจปี 2552 น่าจะเป็นปีแห่งความ "ยากลำบาก" ที่สุดก็ว่าได้ โดยเฉพาะกลุ่มคนที่ได้รับผลกระทบเดือดร้อนมากที่สุดคือ กลุ่มผู้ใช้แรงงานและกลุ่มผู้มีรายได้น้อย ซึ่งเป็นปัญหาตรงกันข้ามกับ ปี 2540 ที่ผู้ได้รับผลกระทบคือมนุษย์เงินเดือนที่ส่วนใหญ่เป็นชนชั้นกลาง ทำงานในสถาบันการเงิน

    ดังนั้นอย่านิ่งนอนใจ เพราะหากผ่านความลำบากนี้ไปไม่ได้ โดยไม่เร่งแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและเตรียมดูแลเพื่อบรรเทาปัญหาให้ผู้ได้รับผลกระทบไม่ทันท่วงที อาจก่อให้เกิด "ปัญหาสังคม" ตามมา จะยิ่งเป็นการซ้ำเติมเศรษฐกิจมากขึ้นและยากที่จะเยียวยาแก้ไข (หน้าพิเศษ สรุปภาวะเศรษฐกิจปี 2551)
     
  10. nongnooo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    4,139
    ค่าพลัง:
    +9,446
    ว่ากันว่าเริ่มปีหน้าปลายไตรมาสที่1 ของปี2552 บริษัทยักษ์ใหญ่ของอเมริกัน จะเริ่มฝืดเคืองมีปัญหาเพิ่มขึ้นเรื่อยๆครับ...
     
  11. sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    10 เรื่องกระทบไทย

    http://www.posttoday.com/stockmarket.php?id=24160

    สัปดาห์นี้ เป็นสัปดาห์เกือบสุดท้ายของปี 2551 แล้ว ดังนั้น ผมจึงอยากจะนำเสนอความเห็นในเรื่องเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงที่คิดว่ามีความสำคัญในปี 2552

    และอาจมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจ สังคม การเมืองของโลก และของไทย 10 ประการ ผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่าท่านผู้อ่านทุกท่าน จะสามารถเตรียมตัวล่วงหน้าต่อการเปลี่ยนแปลงนี้

    <TABLE class=content_caption cellSpacing=0 cellPadding=2 width=130 align=right border=0><TBODY><TR><TD class=""></TD></TR><TR><TD class="">โอบามา </TD></TR></TBODY></TABLE>ประธานาธิบดีโอบามา กับความเปลี่ยนแปลงของสหรัฐอเมริกา

    ประธานาธิบดีโอบามา คือ ตัวแทนของความต้องการของประชาชนสหรัฐ ที่ต้องการจะเห็นการเปลี่ยนแปลงนโยบายรัฐบาลที่ให้ความสำคัญกับชีวิตความเป็นอยู่ของชาวสหรัฐ โดยเฉพาะการมุ่งหน้าแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจในประเทศ มากกว่าการทำสงครามและกิจการระหว่างประเทศ
    สหรัฐจะหันมาเน้นบทบาทของรัฐในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ ดังจะแสดงในหัวข้อการล่าถอยของระบบทุนนิยม การฟื้นฟูความสัมพันธ์กับประเทศต่างๆ ทั่วโลก หลังจากที่เสื่อมทรามลงในช่วงการทำสงครามต่อต้านการก่อการร้าย การเน้นบทบาทของการเจรจาในการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งมากกว่าการใช้กำลังทหาร ซึ่งจะมีผลทำให้ความเสี่ยงทางภูมิศาสตร์การเมือง (Geo-Politics) ในตะวันออกกลางลดลง
    นโยบายด้านพลังงานทดแทนคาดว่าจะเป็นรูปธรรมมากขึ้นกว่ายุคของประธานาธิบดีบุช

    การล่าถอยของระบบทุนนิยม และโลกาภิวัตน์
    สภาพคล่องทางการเงินทั่วโลก จะลดลงจากการกำกับดูแลภาคการเงินอย่างเข้มงวด (Re-Regulate) โดยเฉพาะการควบคุมการใช้ตราสารอนุพันธ์ไม่ให้ผิดวัตถุประสงค์ ที่เน้นการบริหารความเสี่ยงไม่ใช่การเก็งกำไร การควบคุมพฤติกรรมและความโปร่งใสของกองทุนต่างๆ เพื่อมิให้เกิดเรื่องอื้อฉาวดังเช่นการฉ้อโกงของ
     
  12. sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ปีนี้คงลาพักร้อนไม่ได้แล้ว

    เก็บไว้ปีหน้า ไว้ลาไปกินกัน

    ปล. หวังไว้ขออีกแค่ 2 ถ้วยก็พอ ถ้วยยูฟ่า แชมเปี้ยนลีก กับถ้วยพรีเมียร์ ก็พอ ไม่โลภมากน๊ะ.......จากเด็กผีรุ่นโบราณ
     
  13. Shinray01 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,675
    ค่าพลัง:
    +2,309

    อนุโมทนาครับอ่านแล้วผมคึกคะนองเลย อิอิผมก็อดทนเวลางานเยอะคิดแต่ทำเราได้ทำประโยชน์ให้คนอื่นก็แล้วกันทำๆไปมันก็ไม่เหนื่อยแต่คนอื่นทั้งที่เป็นเขาเขากลับไม่สนใจผมมานั่งทำแทนไม่สนใจเงินก็ต้องออกให้ผมกะเพื่อนอีกคนก็มาช่วยทำเอาแต่ห่วงเรื่องของตัวเองจนไม่ทำงานเขาห่วงแต่ว่าจะเอาคะแนนสอบดีๆแต่ไม่ทำงานให้เพื่อนทำให้ ผมก็อดทนทำเพื่อเพื่อนและที่ผมเสียความรู้สึกกับเขาคือมีงานของเพื่อนห้องทั้งหายไป 1 แผ่น เขาบอกผมว่า เออชั่งมันส่งไปเหอะส่งๆครูไป ผมบอกเขาว่ามันเป็นคะแนนของเพื่อนถ้าเป็นเราเราก็ต้องไปหามาทำใหม่ คนผมไปก็อปมานั่งทำใหม่เขียนชื่อให้เขาจนเสร็จแล้วไปส่ง ผมได้ยินคำที่เขาพูดเสียความรู้สึกมากแล้วถ้าเป็นของเราหายมั่งละ
    ส่วนเพื่อนคนนี้เรียนข้อนสอบได้คะแนนรวมๆดีกว่าผมทางพวกคนิต ตกชีวะตลอด ส่วนผมคนิตไม่ค่อยเท่าไหร่ แต่ผ่านชีวะตลอดไม่เคยตก ตั้งแต่ ม.5
    เพราะม.4 ผมได้เกรด 2.1 แต่ตอนม.5 ได้ 2.8 จะตามเขาทันแล้วแต่ต้องรอปรับสภาพไปเรี่อยๆเพื่อนผมคนนี้เขาได้2.9อีกนิดเด๋วก็จะตามทันแล้วคนคนนี้เขาจะออกแนวขี้อิจฉาไม่อยากให้เพื่อนได้คะแนนเยอะกว่า ผมก็ไม่คิดไรทำแต่ความดีของเขาเราอาจจะเป็นเก่งเท่าเขาแต่ถ้าเราพยายามอาจจะตามทันก็ได้คนเราเรียนเก่งใช่จะเป็นคนดี เก่งแล้วโกงกินนี่สิผมกลัว ผมก็จะพยายามทำแต่ความดีบางครั้งผมอ่านหนังสือพระเขาก็หาว่างมงายก็มี แต่ความสุขของผมอิอิ
     
  14. ake7440 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,528
    ค่าพลัง:
    +405
    555 อย่าพูดดังไปพี่ เดี๋ยวทีมอื่นเขาอิจฉา ว่าแต่ใช้ชื่อนี้เลยเหรอครับ
    ของผมเอาชื่ออะไรก็ได้ อย่าเรียก หมอผี ละกันนะคร้าบ
     
  15. katicat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กันยายน 2008
    โพสต์:
    1,112
    ค่าพลัง:
    +524
    เรื่องแพทย์แผนไทย เป็นสิ่งที่ดี
    แต่การรักษาโรค ที่เป็นไม่มาก การรักษาไม่ยุ่งยากซับซ้อน ใช้แพทย์แผนไทยดีครับ

    แต่ถ้าเป็นมะเร็งอย่างเพื่อนผม แล้วใช้ชีวจิตรักษา รักษาได้ดีมากครับ แค่ปีเดียวจริงๆ หายเลยครับ หายไปจากโลกนี้จริงๆ ลบชื่อออกจากโลกมนุษย์ครับ

    ของจริงต้องพิสูจน์ได้ ถ้าชีวจิตดีจริงๆ ต้องรักษาคนที่เป็นมะเร็งหายได้ทุกคน หากเป็นเมื่อก่อนนี้ ผมใช้คำพูดแรงกว่านี้มาก ตอนที่ผมด่าหมอและด่าโรงพยาบาล ผมใช้วิธีการโทร.ไปหาเพื่อน แล้วก็ให้เพื่อนช่วยถือหูไว้ เพื่อนก็ตกลงร่วมด้วยช่วยกัน มีอยู่คำพูดนึงผมบอกว่า ถ้าโรงพยาบาลนี้รักษาคนไข้แบบนี้ ถ้าหมอรักษาคนไข้แบบนี้ คนไข้ไม่มีทางหายจากโรคได้ แต่หายไปจากโลกนี้ เดิมพันลูกปืนคนละนัด ระบุไปเลยว่า รักษาแบบไหน อย่างไร นานแค่ไหนจะหาย

    โรคที่เพื่อนเป็น โรคมะเร็ง (ถ้าจำไม่ผิด อยู่ระยะที่ 2 ) ผมบอกให้ไปสถาบันมะเร็ง เพื่อนผมก็ไม่เชื่อ เชื่อหมอชีวจิต ความเชื่อพาเขาไปตายครับ

    แม่เพื่อนก็เป็นมะเร็ง (มะเร็งเต้านม) รักษาที่สถาบันมะเร็ง อยู่ได้ 10 กว่าปี ทั้งๆที่การรู้ว่าเป็นมะเร็ง อยู่ในระยะเดียวกันครับ

    ขอบคุณนะครับน้องหมอ สำหรับความเห็นเพิ่มเติมครับ

    .[/quote]


    อันนี้ขอแสดงความเห็นต่างนะคะ พอดีคนใกล้ขิดรอบตัวหลายคนเป็นมะเร้งค่ะ จนตัวเองทำประกันภัยโรคมะเร็งเต็มแม็กซ์ตั้งแต่สิบกว่าปีแล้วเพราะมั่นใจว่าตัวเองเป็นแน่ๆ และยังบอกแฟนไว้ด้วยว่าถ้าเป็นจะเลือกไม่รักษาด้วยเคมีบำบัดหรือผ่าตัด

    ก่อนอื่น มะเร็งมีหลายประเภทไม่เหมือนกัน มะเร็งไม่ใช่โรคจึงไม่สามารถบอกได้100%ว่าหาย แม้แต่คนที่ไม่แสดงอาการแล้วก็ตาม หมอจะใช้คำว่าระยะเฝ้าดู ไม่มีใครกล้ารับรองว่าเป็นแล้วจะไม่เป็นอีก ในทางกลับกันเป็นแล้วมีโอกาสเป็นอีกค่อนข้างแน่นอน มะเร็งคือเซลล์ที่ผิดปกติของตัวเราเอง สาเหตุของการเกิดได้แต่สันนิษฐานเอา เช่นสูบบุหรี่มีโอกาสเป็นมะเร็งปอด บางคนสูบวันละหลายซองจนแก่แต่ตายเพราะโรคอื่นก็เยอะค่ะ

    ดังนั้นต้องยอมรับว่าเซลล์มะเร็งเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายเราเอง แต่มันเติบโตในลักษณะที่ผิดปกติ การักษาโดยเคมีบำบัดจะฆ่าเซลล์เหล่านี้ แต่มันก็ฆ่าเซลล์ชีวิตอื่นๆของเราด้วย ทั้งการผ่าตัดและเคมีบำบัดผู้ป่วยจะต้องมีสุขภาพแข็งแรงพอ มีหลายคนเสียชีวิตหลังรับการบำบัดดังกล่าวในไม่ถึง1เดือน เป็นญาติของหนูเอง

    หากทำการบำบัดโดยการผ่าตัดหรือเคมีบำบัดแล้วยังกลับมาใช้ชีวิตในแบบเดิมๆ กินอาหารแบบเดิม แน่นอนว่าเซลล์ลักษณะนี้จะกลับมาเยี่ยมอีกแน่นอนค่ะ

    ผู้คนส่วนมากยังไม่ค่อยเข้าใจเรื่องชีวจิตอย่างลึกซึ้งเท่าไหร่(รวมทั้งตัวหนูเองด้วยค่ะ) แต่ชีวจิตเป็นศาสตร์ของการดำรงชีวิต ไม่ใข่แค่การรักษาโรค การทำดีทอกซ์ ดื่มน้ำอาร์ซี อย่างที่เข้าใจกัน สิ่งเหล่านี้เป็นแค่ส่วนประกอบหนึ่งเท่านั้น
    หลักชีวจิตแท้จริงแล้วคล้ายกับธรรมะมาก เพราะเน้นเรื่องธรรมชาติ การกินการอยู่ใช้ชีวิตแบบธรรมชาติ พึ่งพาการแปรรูปและสังเคราะห์น้อยที่สุด เพื่อให้ธาตุขันธ์ทั้ง4ของเราได้ปรับสมดุลย์ นอกจากนั้นวิถีชีวิตแบบเรียบง่ายทำให้ได้เจริญสติและสมาธิ เช่นการดื่มน้ำอาร์ซี ที่ต้องต้มธัญพืชจำนวนมากมายหลายชนิดด้วยตัวเอง การทำมีขั้นตอนต้องใช้ทั้งสติและสมาธิ ไม่ใช่เพียงเพื่อประโยชน์ที่กล่าวอ้างโดยแยบคายว่าต้มแล้วดื่มทันทีมีประโยชน์กว่า หากแต่แฝงไว้ด้วยปรัชญาการดำเนินชีวิตในวิถีพุทธ แทนที่เราจะทำอะไรรีบร้อนสำเร็จรูปก็เริ่มกลับมาค่อยๆมีเวลาพิจารณาทีละขั้นตอน

    มีเพื่อนสองคนเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลืองระยะ3 รักษาโดยเปลี่ยนวิถีชีวิตแบบชีวจิต ปัจจุบันอยู่ในระยะปลอดโรคมาสิบปีแล้วค่ะ เพื่อนอีกคนเป็นมะเร็งรังไข่รักษาโดยผ่าตัดและเคมีบำบัด แต่side effectจากการรักษามาก ปัจจุบันใช้วิถีชีวจิตเช่นกัน น้องอีกคนเป็นมะเร็งเต้านมผ่าตัดและทำคีโมเป็นครั้งที่2ในรอบ3ปี และตรวจวิพบเซลล์ผิดปกติครั้งที่3 เลยเปลี่ยนมาใช้ถีชีวจิตและธรรมะบำบัด ปัจจุบันไม่พบเซลล์ผิดปกตินั้นแล้วค่ะ

    แต่ต้องยอมรับว่าสำหรับมะเร็งตับและปอดนั้นยังไม่เคยพบการรักษาในแบบใดที่รอดชีวิตได้เลย

    การรักษาแต่ละวิธีขึ้นกับการตัดสินใจของผู้ป่วยนะคะ ไม่ใช่หมอเป็นคนเลือกให้
    แม้แต่หมอแผนปัจจุบันก็ไม่มีแม้แต่คนเดียวที่กล้ารับประกันว่ารักษาแล้วจะหายหรือไม่ตาย ที่คุณสิทธิพงศ์บอกว่าถ้าชีวจิตดีจริงต้องรักษาหายทุกคน หมอแผนปัจจุบันก็รักษาไม่หายทุกคนหรอกนะคะ

    อยากจะบอกว่าจริงๆแล้วบุญกรรมเป็นผู้กำหนดไว้แต่แรกแล้วค่ะ เพราะถึงเพื่อนคุณสิทธิพงศ์รักษาแผนปัจจุบันก็อาจเสียชีวิตเช่นกัน เกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นเรื่องธรรมชาติค่ะ พระพุทธองค์จึงตรัสว่าให้เรานึกถึงความตายทุกลมหายใจเข้าออก พวกเราเองต่างหากคิดว่าอายุเท่านั้นเท่านี้ยังไม่ควรตาย

    ขอโทษนะคะที่แสดงความเห็นต่าง ตัวเองก็ไม่ได้ชีวิตแบบชีวจิตเต็มที่หรอกค่ะ แต่เห็นว่าเป็นทางเลือกที่ดีอีกทางหนึ่ง
     
  16. ake7440 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,528
    ค่าพลัง:
    +405
    คืนนี้ได้ดูรายการ บางอ้อ ไปค้นหาว่าจริงๆแล้วซีอุยฆ่าทุกศพจริงหรือไม่ ดูแล้วก็น่าสนใจดีครับ เลยนำมาให้พี่ๆชมเผื่อไม่ได้ดูกัน ที่นำมาลงนี้เป็นตอนที่ 1 ครับ
    ส่วนตอนจบนั้น คงต้องรอเขานำมาลงให้ก่อนครับ

    http://hiptv.mcot.net/viewFlv.php?flvId=19688
     
  17. sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948

    อันนี้ขอแสดงความเห็นต่างนะคะ พอดีคนใกล้ขิดรอบตัวหลายคนเป็นมะเร้งค่ะ จนตัวเองทำประกันภัยโรคมะเร็งเต็มแม็กซ์ตั้งแต่สิบกว่าปีแล้วเพราะมั่นใจว่าตัวเองเป็นแน่ๆ และยังบอกแฟนไว้ด้วยว่าถ้าเป็นจะเลือกไม่รักษาด้วยเคมีบำบัดหรือผ่าตัด

    ก่อนอื่น มะเร็งมีหลายประเภทไม่เหมือนกัน มะเร็งไม่ใช่โรคจึงไม่สามารถบอกได้100%ว่าหาย แม้แต่คนที่ไม่แสดงอาการแล้วก็ตาม หมอจะใช้คำว่าระยะเฝ้าดู ไม่มีใครกล้ารับรองว่าเป็นแล้วจะไม่เป็นอีก ในทางกลับกันเป็นแล้วมีโอกาสเป็นอีกค่อนข้างแน่นอน มะเร็งคือเซลล์ที่ผิดปกติของตัวเราเอง สาเหตุของการเกิดได้แต่สันนิษฐานเอา เช่นสูบบุหรี่มีโอกาสเป็นมะเร็งปอด บางคนสูบวันละหลายซองจนแก่แต่ตายเพราะโรคอื่นก็เยอะค่ะ

    ดังนั้นต้องยอมรับว่าเซลล์มะเร็งเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายเราเอง แต่มันเติบโตในลักษณะที่ผิดปกติ การักษาโดยเคมีบำบัดจะฆ่าเซลล์เหล่านี้ แต่มันก็ฆ่าเซลล์ชีวิตอื่นๆของเราด้วย ทั้งการผ่าตัดและเคมีบำบัดผู้ป่วยจะต้องมีสุขภาพแข็งแรงพอ มีหลายคนเสียชีวิตหลังรับการบำบัดดังกล่าวในไม่ถึง1เดือน เป็นญาติของหนูเอง

    หากทำการบำบัดโดยการผ่าตัดหรือเคมีบำบัดแล้วยังกลับมาใช้ชีวิตในแบบเดิมๆ กินอาหารแบบเดิม แน่นอนว่าเซลล์ลักษณะนี้จะกลับมาเยี่ยมอีกแน่นอนค่ะ

    ผู้คนส่วนมากยังไม่ค่อยเข้าใจเรื่องชีวจิตอย่างลึกซึ้งเท่าไหร่(รวมทั้งตัวหนูเองด้วยค่ะ) แต่ชีวจิตเป็นศาสตร์ของการดำรงชีวิต ไม่ใข่แค่การรักษาโรค การทำดีทอกซ์ ดื่มน้ำอาร์ซี อย่างที่เข้าใจกัน สิ่งเหล่านี้เป็นแค่ส่วนประกอบหนึ่งเท่านั้น
    หลักชีวจิตแท้จริงแล้วคล้ายกับธรรมะมาก เพราะเน้นเรื่องธรรมชาติ การกินการอยู่ใช้ชีวิตแบบธรรมชาติ พึ่งพาการแปรรูปและสังเคราะห์น้อยที่สุด เพื่อให้ธาตุขันธ์ทั้ง4ของเราได้ปรับสมดุลย์ นอกจากนั้นวิถีชีวิตแบบเรียบง่ายทำให้ได้เจริญสติและสมาธิ เช่นการดื่มน้ำอาร์ซี ที่ต้องต้มธัญพืชจำนวนมากมายหลายชนิดด้วยตัวเอง การทำมีขั้นตอนต้องใช้ทั้งสติและสมาธิ ไม่ใช่เพียงเพื่อประโยชน์ที่กล่าวอ้างโดยแยบคายว่าต้มแล้วดื่มทันทีมีประโยชน์กว่า หากแต่แฝงไว้ด้วยปรัชญาการดำเนินชีวิตในวิถีพุทธ แทนที่เราจะทำอะไรรีบร้อนสำเร็จรูปก็เริ่มกลับมาค่อยๆมีเวลาพิจารณาทีละขั้นตอน

    มีเพื่อนสองคนเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลืองระยะ3 รักษาโดยเปลี่ยนวิถีชีวิตแบบชีวจิต ปัจจุบันอยู่ในระยะปลอดโรคมาสิบปีแล้วค่ะ เพื่อนอีกคนเป็นมะเร็งรังไข่รักษาโดยผ่าตัดและเคมีบำบัด แต่side effectจากการรักษามาก ปัจจุบันใช้วิถีชีวจิตเช่นกัน น้องอีกคนเป็นมะเร็งเต้านมผ่าตัดและทำคีโมเป็นครั้งที่2ในรอบ3ปี และตรวจวิพบเซลล์ผิดปกติครั้งที่3 เลยเปลี่ยนมาใช้ถีชีวจิตและธรรมะบำบัด ปัจจุบันไม่พบเซลล์ผิดปกตินั้นแล้วค่ะ

    แต่ต้องยอมรับว่าสำหรับมะเร็งตับและปอดนั้นยังไม่เคยพบการรักษาในแบบใดที่รอดชีวิตได้เลย

    การรักษาแต่ละวิธีขึ้นกับการตัดสินใจของผู้ป่วยนะคะ ไม่ใช่หมอเป็นคนเลือกให้
    แม้แต่หมอแผนปัจจุบันก็ไม่มีแม้แต่คนเดียวที่กล้ารับประกันว่ารักษาแล้วจะหายหรือไม่ตาย ที่คุณสิทธิพงศ์บอกว่าถ้าชีวจิตดีจริงต้องรักษาหายทุกคน หมอแผนปัจจุบันก็รักษาไม่หายทุกคนหรอกนะคะ

    อยากจะบอกว่าจริงๆแล้วบุญกรรมเป็นผู้กำหนดไว้แต่แรกแล้วค่ะ เพราะถึงเพื่อนคุณสิทธิพงศ์รักษาแผนปัจจุบันก็อาจเสียชีวิตเช่นกัน เกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นเรื่องธรรมชาติค่ะ พระพุทธองค์จึงตรัสว่าให้เรานึกถึงความตายทุกลมหายใจเข้าออก พวกเราเองต่างหากคิดว่าอายุเท่านั้นเท่านี้ยังไม่ควรตาย

    ขอโทษนะคะที่แสดงความเห็นต่าง ตัวเองก็ไม่ได้ชีวิตแบบชีวจิตเต็มที่หรอกค่ะ แต่เห็นว่าเป็นทางเลือกที่ดีอีกทางหนึ่ง
    [/quote]

    ---------------------------------------------------------------------

    ยินดีครับ

    แต่โดยส่วนตัว ยังไม่เชื่อครับ เป็นคนที่เชื่ออะไรยาก ต้องพิสูจน์ให้เห็นว่า ใช่ และ จริงก่อน จึงจะเชื่อครับ

    เพื่อนผมเป็นมะเร็ง บริเวณหน้าอกครับ เพื่อนเป็นผู้ชาย มีก้อนเนื้อปูดออกมาบริเวณกลางหน้าอก ซึ่งใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ จนใหญ่กว่ากำปั้นสองข้างรวมกัน

    โรคมะเร็ง มีรุ่นพี่เป็นผู้หญิง เป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลืองในระยะแรก ก็รักษาหายจากสถาบันมะเร็งครับ

    แต่ผมเองเชื่อนะครับว่า เป็นเรื่องของกรรม กรรมคือ การกระทำของตนเอง และสิ่งแวดล้อมครับ

    .
     
  18. sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    วันนี้ มาทำงานหลังจากพักร้อนไป 2 วัน แต่เดี๋ยวต้องไปข้างนอกแล้วครับ กว่าจะกลับมาก็น่าจะเป็นช่วงบ่ายแก่ๆ (แต่ยังไม่ชรา)

    สำหรับพระสมเด็จ(หลวงปู่สรวง) ผมว่าจะถ่ายรูปมาให้ชมกันอีกครั้งนะครับ
     
  19. sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    อ้างอิง:
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ sithiphong
    ปีนี้คงลาพักร้อนไม่ได้แล้ว

    เก็บไว้ปีหน้า ไว้ลาไปกินกัน

    ปล. หวังไว้ขออีกแค่ 2 ถ้วยก็พอ ถ้วยยูฟ่า แชมเปี้ยนลีก กับถ้วยพรีเมียร์ ก็พอ ไม่โลภมากน๊ะ.......จากเด็กผีรุ่นโบราณ
    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    ถ้าเป็นหมอผี ต้องแคเมอรูนครับ 5555

    สมัยก่อน ตอนรู้จักผีแดงครั้งแรก ตอนนั้นที่บ้านเชียร์ลิเวอร์พูล ผมก็เลยเชียร์อีกฝั่ง เป็นนัดชิงชนะเลิศปี 1977 ครับ

    ไหนๆก็ไหนๆแล้วครับ นำมาลงให้อ่านรายละเอียดเกี่ยวกับถ้วย FA Cup ครับ

    ถ้วยแห่งโชค เอฟเอ คัพ สุดยอดตำนานลูกหนัง
    http://www.geocities.com/hotlinesports/page7p2.html


    อะไรจะต้องวุ่นวายขนาดนั้น มันก็แค่ถ้วยเงินใบเดียวเอง? ถ้วยชนะเลิศใบนี้คือเป้าหมายที่ตั้งอยู่ ณ สุดสายปลายรุ้งของบรรดาทีมฟุตบอลต่างๆ ซึ่งดูเหมือนว่าจะไม่มีทางเปลี่ยนแปลงไปเป็นอื่นได้ เช่นเดียวกับสภาพอากาศที่ชื่นแฉะของประเทศอังกฤษ อย่างไรก็ตามงานเลี้ยงอาหารเย็นที่เปรียบเสมือนความฝันงานนี้ก็ยังคงมีเรื่องเล่าที่ได้รับการกล่าวขวัญสือทอดต่อกันมา
    ถ้วยชนะเลิศเอฟเอ คัพ มีทั้งสิ้น 4 แบบด้วยกัน โดยถ้วยต้นแบบถูกสร้างขึ้นโดย มาร์ติน ฮอลล์ชาวกรุงลอนดอน ซึ่งมีความสูงเพียง 40 ซม. และถูกใช้งานในช่วงปี 1872-1895ซึ่ง วันเดอเรอร์ส ควรจะได้ครองถ้วยใบนี้เป็นกรรมสิทธิ์หลังจากคว้าแชมป์ถึง 3 ครั้งติดต่อกันแต่ก็เก็บเอา ไว้ได้แต่เพียงถ้วยจำลองเท่านั้น ก่อนที่แอสตัน วิลล่า แชมป์ปี 1895 จะนำถ้วยใบดังกล่าวไปแสดงที่ตู้กระจกหน้าร้านค้าในเมืองเบอร์มิงแฮม จากนั้นก็ไม่มีใครเห็นถ้วยใบนั้นอีกเลยจนกระทั่งทุกวันนี้
    ถ้วยใบที่สองเป็นถ้วยจำลองของถ้วยแรก และได้ถูกนำมาใช้ในพิธีอำลาตำแหน่งในสมาคมฟุตบอลอังกฤษ(เอฟเอ) ของ ลอร์ค คินเนียร์ด ในปี 1911 โดยในปีเดียวกัน ถ้วยใบที่สามก็ได้ถูกสร้างขึ้นโดยฝีมือการออกแบบของ แฟ็ตโตรินี่ จากเมือง แบร็ดฟอร์ด และในปีนั้นเอง ชาวเมืองบ้านเกิดของ แฟ็ตโตรินี่ ก็ได้ส่งถ้วยใบนั้นเดินทางมายังกรุงลอนดอน ซึ่งเป็นการเดินทางที่เปล่าประโยชน์พวกเขาต้องล้มเลิก แผนการและนำถ้วยใบนั้นกลับไปยังเมืองแบร๊ดฟอร์ตามเดิม
    ถ้วยใบที่สามถูกใช้ต่อมาเป็นเวลา 8 ปี โดยไม่มีเหตุร้ายมาแผ้วพานแต่อย่างใด แต่ในปี 1947จิมมี่ ซีต ผู้จัดการทีมชาร์ลตัน แอธเลติก ทำถ้วยหล่นลงบนพื้น ซึ่งทำให้ฝาครอบหัก อย่างไรก็ตามช่างฟิตประจำอู่ซ่อมรถยนต์ในท้องถิ่นได้เชื่อมส่วนที่แตกหักเข้าด้วยกัน ก่อนที่จะถึงมือช่างเครื่องเงินตัวจริง และในปี 1958 ชายชราวัย 83 ปี ได้ออกมาสารภาพว่า เป็นคนที่ขโมยถ้วยต้นแบบ โดยอ้างว่าขโมยเพื่อนำไปหลอมทำเป็นเหรียญปลอม ทั้งนี้ถ้วยใบที่สามได้ถูกปลดเกษียณเลิกใช้งานปี 1992 หลังจากที่เนื้อโลหะบางลงจนเปราะหักง่ายไม่เหมาะสมที่จะนำมาใช้อีกต่อไป
    ถ้วยจำลองใบที่สี่ได้ถูกนำออกมาใช้เป็นครั้งแรกในปี 1992 โดยลิเวอร์พูลเป็นทีมที่ได้ถ้วยใบนี้ไปครองเป็นทีมแรกก่อนที่จะถูกทำหล่นในวันสำคัญวันแรกด้วยฝีมือ "ฟิล ธอมป์สัน" โค้ชทีมสำรองจนทำให้ฝาครอบมีรอยบุบ และยังคงครอบถ้วยได้ไม่สนิทนักจนกระทั่งทุกวันนี้1950 อาร์เซน่อล 2 ลิเวอร์พูล 0
    สนามแข่งขัน : เวมบลีย์ ผู้ชม 100,000 คน เดนิส และเลสลี่ คอมป์ตัน นักเตะอาร์เซน่อลไม่ใช่พี่น้องคู่แรกและคู่สุดท้ายที่ได้ลงเล่นในนัดชิงชนะเลิศ เดนิสเป็นนักคริกเก็ตชาวอังกฤษคนสุดท้าย1951 นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด 2 แบล๊คพูล 0
    บิลลี่ สเลเตอร์ นักเตะแบล๊กพูล เป็นนักเตะสมัครเล่นคนสุดท้ายที่ได้เล่นในนัดชิงชนะเลิศในขณะที่ สแตน ซีมัวร์ เป็นคนแรกชูถ้วยในฐานะนักเตะก่อนที่จะทำได้อีกครั้งในฐานะผู้จัดการทีม1952 นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด 1 อาร์เซน่อล 0
    นิวคาสเซิ่ลกลายเป็นทีมแรกแห่งศตวรรษที่สามารถป้องกันแชมป์เอาไว้ได้สำเร็จ1953 แบล๊คพูล 4 โบลตัน 31954 เวสต์บรอมวิช อัลเบี้ยน 3 เปรสตัน 21955 นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด 3 แมนเชสเตอร์ ซิตี้ 1
    ประตูแรกของนิวคาสเซิ่ลที่ทำได้ในเวลาแค่เพียง 45 วินาที กลายเป็นประตูที่เร็วที่สุดในนัดชิงชนะเลิศ ทั้งนี้นิวคาสเซิ่ลเข้าชิงชนะเลิศ 10 ครั้ง และคว้าแชมป์ 6 ครั้ง1956 แมนเชสเตอร์ ซิตี้ 3 เบอร์มิ่งแฮม 11957 แอสตัน วิลล่า 2 แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 1
    นายทวารของแมนฯ ยูไนเต็ด ต้องออกจากสนามเนื่องจากกระดูกกรามหัก โดยที่ไม่ได้รับอนุญาตให้มีการเปลี่ยนตัวทำให้ แจ๊คกี้ บลานช์ฟลาวเวอร์ เซนเตอร์ฮาล์ฟต้องไปเฝ้าเสาแทน1958 โบลตัน 2 แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 0
    สนามแข่งขัน : เวมบลีย์ ผู้ชม 100,000 คน แมนฯ ยูไนเต็ดสูญเสียนักเตะกำลังสำคัญไปหลายคนจากเหตุการณ์เครื่องบินตกที่นครมิวนิค ทั้งๆ ที่ได้รับการสนับสนุนจากแฟนบอลอย่างล้มหลามแต่พวกเขากลับกลายเป็นทีมแรกที่แพ้ในนัดชิงชนะเลิศติดต่อกัน1959 น็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ 2 ลูตัน 11960 วูล์ฟส์ 3 แบล๊คพูล 01961 ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ 2 เลสเตอร์ 0
    สเปอร์สคว้าดับเบิลแชมป์ได้สำเร็จเป็นทีมแรกในศตวรรษนี้อย่งไม่น่าประหลาดใจ เพราะพวกเขาชนะรวดจนถึงนัดที่ 11 และยังไม่แพ้ใครจนกระทั่งถึงนัดที่ 171962 ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ 3 เบิร์นสลี่ย์ 11963 แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 3 เลสเตอร์ 11964 เวสต์แฮม 3 เปรสตัน 21965 ลิเวอร์พูล 2 ลีดส์ 1
    อัลเบิร์ต โยฮั่นเนสตัน เป็นนักเตะผิวดำคนแรกที่ได้ลงเล่นนัดชิงชนะเลิศในนามทีมลีดส์ส่วนลิเวอร์พูลคว้าถ้วยชนะเลิศสำเร็จเป็นครั้งแรก ทั้งๆ ที่ เจอร์รี่ เบิร์น กองหลังกระดูกไหปลาหัก1966 เอฟเวอร์ตัน 3 เชฟฟิลด์ เว้นส์เดย์ 21967 ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ 2 เชลชี 1
    นัดเป็นครั้งแรกที่สองทีมจากลอนดอนได้เข้าชิงชนะเลิศในเวมบลีย์ รวมทั้งยังเป็นครั้งแรกที่อนุญาตให้มีการเปลี่ยนตัวผู้เล่นแม้กระนั้นก็ตามก็ยังคงไม่มีทีมไหนเปลี่ยนตัวผู้เล่นทั้งนี้การแบ่งแยกทีมจากลอนดอนเหนือและทีมจากแดนใต้ยังคงมีอยู่1968 เวสต์ บรอมวิช อัลเบี้ยน 1 เอฟเวอร์ตัน 0
    นับเป็นครั้งแรกที่มีการถ่ายทอดการแข่งขันทางโทรทัศน์ในระบบภาพสีและเป็นครั้งแรกที่มีการเปลี่ยนตัวผู้เล่นโดยฝ่ายดับเบิ้ลยูบีเอส่ง เดนนิส คล้าร์ก ลงไปเล่นแทน จอห์น เคย์1969 แมนเชสเตอร์ ซิตี้ 1 เลสเตอร์ 01970 เชลชี 2 ลีดส์ 1
    สนามแข่งขัน : โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด ผู้ชม 62,078 คน นัดแรกเสมอ 2-2 เป็นคู่ชิงชนะเลิศที่ต้องมีการเล่นนัดรีเพลย์เป็นหนแรกในรอบ 58 ปี และเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 1923 ที่ต้องแข่งขันนอกสนามเวมบลีย์ โดยเชลชีเป็นฝ่ายตามหลัง 3 ครั้งจาก 2 นัด1971 อาร์เซน่อล 2 ลิเวอร์พุล 11972 ลีดส์ 1 อาร์เซน่อล 0
    ครบรอบ 100 ปีของศึกฟุตบอลเอฟเอ คัพ แต่ไม่ใช่ครั้งที่ 100 เนื่องจากสงครามโลก1973 ซันเดอร์แลนด์ 1 ลีดส์ 01974 ลิเวอร์พูล 3 นิวคาสเซิ่ล 0
    เควิน คีแกน ยิง 2 ประตู บรรลุถึงซูเปอร์สตาร์ไป นิวคาสเซิ่ลสามารถทำลายสถิติด้วยการเข้าชิงชนะเลิศมากที่สุดถึง 11 ครั้ง1975 เวสต์แฮม 2 ฟูแล่ม 0
    1976 เซาแธมป์ตัน 1 แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 01977 แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 2 ลิเวอร์พูล 1สนามแข่งขัน : เวมบลี่ย์ ผู้ชม 100,000 คน ทอมมี่ โดเฮอร์ตี้ ได้สัมผัสกับถ้วยชนะเลิศได้สำเร็จ หลังจากที่ล้มเหลวในการเป็นนักเตะของเปรสตัน เมื่อปี 1954 รวมทั้งการเป็นผู้จัดการทีมเชลชี และแมนฯ ยูไนเต็ด เมื่อปี 1976 ก่อนที่จะถูกไล่ออกจากตำแหน่งเนื่องจากเป็นชู้กับภรรยาของนักกายภาพบำบัด1978 อิปสวิช 1 อาร์เซน่อล 01979 อาร์เซน่อล 3 แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 21980 เวสต์แฮม 1 อาร์เซน่อล 0
    อาร์เซน่อลเป็นทีมเดียวในศตวรรษนี้ที่ผ่านเข้าชิงชนะเลิศได้สำเร็จถึง 3 ปีติดต่อกันในขณะที่ แพ็ต ไรซ์ กลายเป็นนักเตะคนเดียวที่เข้าชิงชนะเลิศได้ถึง 5 ครั้งในศตวรรษนี้1981 สเปอร์ส 3 แมนเชสเตอร์ ซิตี้ 2
    สนามแข่งขัน : เวมบลีย์ ผู้ชม 92,000 คน นัดแรกเสมอ 1-1 นัดชิงชนะเลิศครั้งที่ 100และเป็นครั้งแรกที่เตะนัดรีเพลย์ ริคกี้ วีญ่า ยิงประตูชัยในนัดรีเพลย์ด้วยประตูที่น่าตื่นตาใจและออสวัลโด้ อาร์ดิเลส ยังเป็นนักเตะอาร์เจนตินาสองคนแรกที่คว้าแชมป์เอฟเอ คัพ1982 สเปอร์ส 1 ควีนส์ปาร์ค 0
    นัดแรกเสมอ 1-1 สเปอร์สป้องกันแชมป์ได้สำเร็จเป็นครั้งที่สองและทำสถิติชนะเลิศ 6 ครั้งโดยที่อาร์ดิเลสและวิล่าถูกกีดกันไม่ให้ลงเล่น เนื่องจากสงครามเกาะฟอล์คแลนด์1983 แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 4 ไบรท์ตัน 0
    ผู้ชม 100,000 คน นัดแรกเสมอ 2-2 คู่นี้กลายเป็นนัดรีเพลย์ที่แข่งขันในวันธรรมดาที่มียอดสูงสุด นอร์แมน ไวท์ไซด์ วัย 18 ปี กลายเป็นนักเตะที่อายุน้อยที่สุดที่ยิงประตูได้1984 เอฟเวอร์ตัน 2 วัตฟอร์ด 01985 แมนเชสเตอร์ ยุไนเต็ด 1 เอฟเวอร์ตัน 0 1986 ลิเวอร์พูล 3 เอฟเวอร์ตัน 1
    หลังฟาดแข็งกันมามากกว่า 100 ปี ศึกเมอร์ซี่ย์ไซด์ ดาร์บี้แมตช์ เป็นครั้งแรก1987 โคเวนทรี 3 สเปอร์ส 2
    สเปอร์สลงเตะในครึ่งแรกด้วยการสวมเสื้อผิดตัว กลายเป็นทีมแรกที่ลงเล่นนัดชิงชนะเลิศด้วยการสวมชุดทีมที่แตกต่างกันสองชุด 1988 วิมเบิลตัน 1 ลิเวอร์พูล 0
    จอห์น อัลดริดจ์ กลายเป็นนักเตะคนแรกที่ยิงจุดโทษพลาดในนัดชิงชนะเลิศ ทำให้เดฟ บีเซนต์ ต้องรับบทเป็นนายทวารคนแรกที่เซฟลูกโทษได้สำเร็จและเป็นนายทวารคนแรกที่ชูถ้วยชนะเลิศในฐานะเป็นกัปตันทีมอีกด้วย1989 ลิเวอร์พูล 3 เอฟเวอร์ตัน 2
    การแข่งขันต้องล่าช้าออกไป แข่งขันในวันที่ 20 พฤษภาคม เนื่องจากเกิดเหตุการณ์โศกนาฎกรรมที่ฮิลส์โบโร่ และยังเป็นครั้งแรกที่ตัวสำรองของทั้งสองทีมสามารถทำประตูได้โดย เอียน รัช ยิงให้ลิเวอร์พูล และสจ๊วร์ต แม็คคอลล์ ยิงให้เอฟเวอร์ตัน1990 แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 1 คริสตัล พาเลซ 0
    นัดแรกเสมอ 3-3 เอียน ไรท์ ถูกเปลี่ยนตัวลงมาก่อนที่จะยิง 2 ประตูให้คริสตัล พาเลซในนัดแรกและไรท์ยังยิงประตูให้กับอาร์เซน่อลได้อีกในนัดชิงชนะเลิศปี 19931991 สเปอร์ส 2 น็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ 11992 ลิเวอร์พูล 2 ซันเดอร์แลนด์ 01993 อาร์เซน่อล 2 เชฟฟิลด์ เว้นส์เดย์ 1(นัดแรกเสมอ 1-1)1994 แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 4 เชลชี 0
    สนามแข่งขัน : เวมบลีย์ ผู้ชม 79,634 คน แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ทำดับเบิ้ลแชมป์พร้อมกับทำสถิติชนะเลิศเอฟเอ คัพ เทียบเท่ากับสเปอร์ส โดยที่ เอรก คันโตน่า เป็นนักเตะชาวฝรั่งเศสคนแรกที่ได้ลงเล่นในนัดชิงชนะเลิศและยังเป็นคนแรกที่ยิง 2 ประตูจาก 2 จุดโทษ1995 เอฟเวอร์ตัน 1 แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 01996 แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 1 ลิเวอร์พูล 0
    ผู้ชม 79,007 คน นับเป็นนัดชิงชนะเลิศที่ไม่มีอะไรน่าประหลาดใจนอกจาก ขัอเท็จจริงที่ว่าแมนฯ ยูฯ เพิ่มสถิติคว้าแชมป์ไปได้อีกหนึ่งครึ่ง ในขณะที่ลิเวอร์พูลแสดงรสนิยมด้านเสื้อผ้าได้อย่างน่าเกรงขาม ก่อนที่จะหวนกลับไปใช้ชุดทีมเยือนสีเหลืองอีกครั้ง1997 เชลชี 2 มิดเดิ้ลสโบรช์ 01998 อาร์เซน่อล 2 นิวคาสเซิ่ล 01999 แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 2 นิวคาสเซิ่ล 0
    สนามแข่งขัน : เวมบลีย์ ผู้ชม 79,101 คน แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ทำสถิติเป็นแชมป์หนที่ 10ได้สำเร็จ ซึ่งถือว่ามากที่สุดในประวัติศาสตร์ของเอฟเอ คัพ แม้จะเริ่มต้นเกมได้อย่างชนิดที่ทำให้กองเชียร์ "เร้ด อาร์มี่" ต้องใจหายใจคว่ำจากการที่ รอย คีน กัปตันทีมได้รับบาดเจ็บจนเล่นต่อไม่ไหว ต้องออกจากสนามไปตั้งแต่นาทีที่ 9 แต่แล้ว เท็ดดี้ เชอริงแฮม ที่ถูกส่งตัวลงมาแทนที่แผลงฤทธิ์การเป็นสุดยอดตัวสำรองด้วยการเบิกประตูแรกให้ "ปีศาจแดง" ขึ้นนำ 1-0 ทั้งๆ ที่เพิ่งลงสนามมาได้แค่เพียง 2 นาทีเท่านั้นก่อนที่ พอล สโคลส์ จะยิงประตูที่สองตอกย้ำชัยชนะในนาทีที่ 53 และยังเป็นประตูตอกย้ำความเจ็บปวดเป็นคำรบที่สองติดต่อกันให้กับเหล่าสาลิกาดง2000 เชลชี 1 แอสตัน วิลล่า 0วันเสาร์ที่ 12 พฤษภาคม 2001 ลิเวอร์พูล 2 อาร์เซน่อล 1
    สนาม มิลเลนเนียม, คาร์ดิฟฟ์ ผู้ชม 72,500 ที่นั่ง ศึกเอฟเอ คัพ นัดชิงชนะเลิศปีนี้นับเป็นครั้งแรกในรอบ 79 ปี ที่ไม่ได้จัดที่สนาม เวมบลีย์ และเป็นครั้งแรกในรอบ 129 ปีในประวัติศาสตร์ของฟุตบอลถ้วยรายการนี้ที่มาจัดเกมชิงดำนอกอังกฤษ ผู้ทำประตู 1-0 ลุงเบิร์ก น. 72, 1-1 โอเว่น น.83, 2-1 โอเว่นน. 88 หงส์คว้าเอฟเอ คัพ สมัยที่ 6 2002 อาร์เซน่อล 2 เชลชี 02003 อาร์เซน่อล 1 เซาแธมป์ตัน 02004 แมนฯ ยูไนเต็ด 3 มิลล์วอลล์ 0
    ผู้ทำประตู : 1-0 โรนัลโด้ นาที44, 2-0 ฟานนิสเตลรอย นาที65, 3-0 ฟาน นิสเตลรอย นาที81แมนฯยูไนเต็ด : ฮาเวิร์ด(คาร์โรลล์ 84), แกรี่ เนวิลล์,บราวน์, ซิลแวสต์,โอเชีย,โรนัลโด้(โซลชา84),เฟล้ทเชอร์(บัตต์ 84), คีน, กิ๊กส์, สโคลส์, ฟาน นิสเตลรอยสำรองไม่ได้ใช้ : ฟิล เนวิลล์, เฌมบ้า-เฌมบ้า ผู้ชม : 71,350 สนาม : สนามมิเลนเนียม สเตเดี้ยม2005 อาร์เซน่อล 0 แมนฯ ยูไนเต็ด 0
    เกมนัดชิงชนะเลิศ เอฟเอ คัพ ที่มิลเลนเนียม เป็นเดิมพันความสำเร็จของทั้งอารเซน่อลและแมนฯยูไนเต็ด ซึ่งก็ไม่เรื่องแปลกว่านักเตะทั้งสองฝั่งจะสู้กันแบบเอาเป็นเอาตาย 90 นาทียังไม่มีผู้ชนะแม้ว่าทางปีศาจแดงจะโหมบุกใส่แทบพับสนาม แต่ก็ได้แค่หวาดเสียวเฉี่ยวไปเฉี่ยวมา ซึ่งก็เหมือนกับการห้ำหั่นช่วงต่อเวลาพิเศษอีก 30 นาที การดวลจุดโทษ คือ บทสรุปที่ใช้ตัดสินหาผู้ชนะ - โดยเพชรฌฆาตทั้ง 10 คน (ฝั่งละ 5) มีเพียง "มัจจุราชหัวแดงเพลิง" พอล สโคลส์ ที่ยิงไม่เข้า และนั่นก็เท่ากับผลลัพธ์อันสุดโหดร้ายที่ฟ้องว่าแมนฯ ยูไนเต็ด ต้องมือเปล่าในปีนี้ ซึ่งสีหน้าของเซอร์ อเล็กซื เฟอร์กูสัน และขุนพลอสูรทุกคน ย่อมบ่งบอกถึงอารมณ์โศกเศร้าได้อย่างชัดเจนที่สุด
    </PRE>ทำเนียบแชมป์ลีก คัพ
    1961 แอสตัน วิลล่า
    | 1962 นอริช ซิตี้ | 1963 เบอร์มิงแฮม ซิตี้
    1964 เลสเตอร์ ซิตี้
    | 1965 เชลซี | 1966 เวสต์บรอมวิช อัลเบี้ยน
    1967 ควีนปาร์ค เรนเจอร์ส
    | 1968 ลีดส์ ยูไนเต็ด | 1969 สวินดอน ทาวน์
    1970 แมนฯ ซิตี้ | 1971 ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ | 1972 สโต๊ค ซิตี้
    1973 ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ | 1974 วูล์ฟ แฮมป์ตัน | 1975 แอสตัน วิลล่า
    1976 แมนฯ ซิตี้ | 1977 แอสตัน วิลล่า | 1978 น็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์
    1979 น็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ | 1980 วูล์ฟแฮมป์ตัน | 1981 ลิเวอร์พูล
    1982 ลิเวอร์พูล | 1983 ลิเวอร์พูล | 1984 ลิเวอร์พูล
    1985 นอริช ซิตี้ | 1986 อ๊อกซ์ฟอร์ด ยูไนเต็ด | 1987 อาร์เซน่อล
    1988 ลูตัน ทาวน์ | 1989 น็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ | 1990 น็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์
    1991 เชฟฟิลด์ เว้นส์เดย์ | 1992 แมนฯ ยูไนเต็ด | 1993 อาร์เซน่อล
    1994 แอสตัน วิลล่า | 1995 ลิเวอร์พูล | 1996 แอสตัน วิลล่า
    1997 เลสเตอร์ ซิตี้ | 1998 เชลชี | 1999 ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์
    2000 เลสเตอร์ ซิตี้ | 2001 ลิเวอร์พูล | 2002 แบล๊คเบิร์น 2003 ลิเวอร์พูล 2004 มิดเดิ้ลสดบรซ์ 2005 เชลชี

    </PRE>เวทีพรีเมียร์ชิพ สำหรับน้องใหม่
    |
    เทคนิคและแท็กติกแตกต่างอย่างไร |
    |ประวัติ F.A.CUP หน้า 1 |
    |ประวัติ F.A.CUP หน้า 3 |
    </TD>
     
  20. sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    สโมสรฟุตบอลแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด

    http://th.wikipedia.org/wiki/สโมสรฟุตบอลแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด
    จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี


    ไปที่: ป้ายบอกทาง, ค้นหา
    <!-- start content --><TABLE class=toccolours style="CLEAR: right; FLOAT: right; MARGIN: 0px 0px 0.5em 1em"><CAPTION style="FONT-SIZE: larger; MARGIN-LEFT: 1em">แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด</CAPTION><TBODY><TR style="VERTICAL-ALIGN: top"><TD align=middle colSpan=2></TD></TR><TR style="VERTICAL-ALIGN: top"><TD>ชื่อเต็ม</TD><TD>Manchester United Football Club</TD></TR><TR style="VERTICAL-ALIGN: top"><TD style="PADDING-RIGHT: 1em">ฉายา</TD><TD>ปีศาจแดง</TD></TR><TR style="VERTICAL-ALIGN: top"><TD>ก่อตั้ง</TD><TD>ค.ศ. 1878</TD></TR><TR style="VERTICAL-ALIGN: top"><TD>สนาม</TD><TD>โอลด์แทรฟฟอร์ด
    แมนเชสเตอร์
    </TD></TR><TR style="VERTICAL-ALIGN: top"><TD>ความจุ</TD><TD>76,212 คน</TD></TR><TR style="VERTICAL-ALIGN: top"><TD>ประธาน</TD><TD>เดวิด กิลล์
    โจเอล เกลเซอร์
    </TD></TR><TR style="VERTICAL-ALIGN: top"><TD>ผู้จัดการ</TD><TD>เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน</TD></TR><TR style="VERTICAL-ALIGN: top"><TD>ลีก</TD><TD>เอฟเอ พรีเมียร์ลีก</TD></TR><TR style="VERTICAL-ALIGN: top"><TD style="PADDING-RIGHT: 1em">2007-08</TD><TD>ชนะเลิศ</TD></TR><TR><TD class=toccolours style="PADDING-RIGHT: 0px; PADDING-LEFT: 0px; BACKGROUND: #ffffff; PADDING-BOTTOM: 0px; PADDING-TOP: 0px; TEXT-ALIGN: center" colSpan=2><TABLE style="WIDTH: 100%; TEXT-ALIGN: center"><TBODY><TR><TD><TABLE style="BACKGROUND: #fff; MARGIN: 0px auto; WIDTH: 90px; TEXT-ALIGN: center" cellSpacing=0 cellPadding=0><TBODY><TR><TD bgColor=#e20e0e></TD><TD bgColor=#e20e0e></TD><TD bgColor=#e20e0e></TD></TR><TR><TD bgColor=#ffffff colSpan=3 height=36></TD></TR><TR><TD bgColor=#000000 colSpan=3></TD></TR><TR><TD colSpan=3> </TD></TR><TR><TD colSpan=3>ชุดทีมเหย้า</TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD><TABLE style="BACKGROUND: #fff; MARGIN: 0px auto; WIDTH: 90px; TEXT-ALIGN: center" cellSpacing=0 cellPadding=0><TBODY><TR><TD bgColor=#ffffff></TD><TD bgColor=#ffffff></TD><TD bgColor=#ffffff></TD></TR><TR><TD bgColor=#003399 colSpan=3 height=36></TD></TR><TR><TD bgColor=#ffffff colSpan=3></TD></TR><TR><TD colSpan=3> </TD></TR><TR><TD colSpan=3>ชุดทีมเยือน</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>สโมสรฟุตบอลแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด (Manchester United Football Club) เป็นสโมสรฟุตบอลที่มีชื่อเสียงของอังกฤษ มีสนามเหย้าคือโอลด์แทรฟฟอร์ดในเมืองแมนเชสเตอร์ แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดเป็นสโมสรที่ประสบความสำเร็จสูงสโมสรหนึ่ง โดยชนะเลิศแชมป์ลีก 17 ครั้ง (เอฟเอ พรีเมียร์ลีก/ดิวิชัน 1) ชนะเอฟเอคัพ 11 ครั้ง ลีกคัพ 2 ครั้ง ยูโรเปี้ยนคัพ/ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก 3 ครั้ง และชนะ ยูฟ่า คัพ วินเนอร์สคัพ อินเตอร์เนชันแนลคัพ และ ยูโรเปียนซูเปอร์คัพ อย่างละ 1 ครั้ง แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดเป็นสโมสรกีฬาที่ได้รับความนิยมสูง โดยมีผู้สนับสนุนถึง 50 ล้านคนทั่วโลก<SUP class=reference id=cite_ref-0>[1]</SUP>โดยแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดมีสถิติผู้เข้าชมมากที่สุดในฟุตบอลอังกฤษตลอด 34 ฤดูกาล ยกเว้นในฤดูกาล 1987-89 ที่ปรับปรุงสนามโอลด์แทรฟฟอร์ด<SUP class=reference id=cite_ref-1>[2]</SUP> แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดเป็นสโมสรหนึ่งในกลุ่มจี-14
    ตั้งแต่ปีพ.ศ. 2534 สโมสรได้ดำเนินกิจการในรูปแบบบริษัทจำกัดมหาชน อย่างไรก็ตาม ในปีพ.ศ. 2548 มัลคอล์ม เกลเซอร์ได้เทคโอเวอร์แบบไม่เป็นมิตรเป็นผลสำเร็จ และนำสโมสรออกจากตลาดหลักทรัพย์ลอนดอน<SUP class=reference id=cite_ref-takeover_2-0>[3]</SUP>

    <TABLE class=toc id=toc summary=เนื้อหา><TBODY><TR><TD>เนื้อหา

    [ซ่อน]
    </TD></TR></TBODY></TABLE><SCRIPT type=text/javascript>//<![CDATA[ if (window.showTocToggle) { var tocShowText = "แสดง"; var tocHideText = "ซ่อน"; showTocToggle(); } //]]></SCRIPT>
    [แก้] ประวัติศาสตร์สโมสร

    <TABLE width="100%"><TBODY><TR><TD style="PADDING-RIGHT: 0.5em; PADDING-LEFT: 0.5em; PADDING-BOTTOM: 0.5em; PADDING-TOP: 0.5em" vAlign=top noWrap width=60>
    </TD><TD style="PADDING-RIGHT: 0px; PADDING-LEFT: 0px; PADDING-BOTTOM: 0.5em; PADDING-TOP: 0.5em" vAlign=center width="100%">บทความนี้ต้องการแหล่งอ้างอิงเพิ่มเติม เพื่อให้บทความน่าเชื่อถือและสมบูรณ์ยิ่งขึ้น
    <SMALL>คุณสามารถช่วยพัฒนาวิกิพีเดีย โดยเพิ่มแหล่งอ้างอิงที่เหมาะสม - การอ้างอิงแหล่งที่มาวิธีการเขียนบทความคัดสรร และ นโยบายวิกิพีเดีย</SMALL>​
    </TD></TR></TBODY></TABLE>​
    <SMALL>อ้างอิงตามชื่อฤดูกาล ซึ่งเป็นปี ค.ศ.</SMALL>

    [แก้] สโมสรในช่วงแรก (1878-1945)

    สโมสรแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดก่อตั้งโดยกลุ่มพนักงานของสถานีรถไฟเมืองแมนเชสเตอร์ เมื่อปี 1878 ในชื่อ นิวตันฮีธ (แลนแคเชียร์ แอนด์ ยอร์ดเชียร์เรลเวย์) ต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเหลือเพียง นิวตันฮีธ ได้เป็นสมาชิกผู้ร่วมก่อตั้งสมาคมฟุตบอลในตอนนั้น ในปี 1889 และยังได้เข้าเล่นในฟุตบอลลีก 1892
    ในปี 1902 สโมสรได้ประสบปัญหาทางด้านการเงิน เจ.เอช.เดวีส์ ได้เข้ามาช่วยแก้ปัญหาการเงินให้แล้วเปลี่ยนชื่อสโมสรเป็น แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด และยังเปลี่ยนสีประจำสโมสร จากสีเขียว-ทอง มาเป็นแดง-ขาว ซึ่งสีแดง-ขาวนี้ได้ใช้มาจนถึงปัจจุบัน ภายใต้ความช่วยเหลือของเดวีส์นี้ สโมสรได้แชมป์ฟุตบอลลีกสมัยแรกในปี 1908 และได้ย้ายสนามจาก แบงก์ โร้ด ไปยังโอลด์ แทรฟฟอร์ด ในปี 1910 จนถึงปัจจุบัน
    ทีมได้มีปัญหาอีกครั้งระหว่างสงครามโลกครั้งที่หนึ่งถึงสงครามโลกครั้งที่สอง โดยช่วงสงครามโลกครั้งที่สองเริ่มต้นขึ้น สนามโอลด์แทรฟฟอร์ดถูกทิ้งระเบิดจนใช้การไม่ได้ จึงต้องมีการไปขอเช่าสนาม เมนโรดของคู่ปรับร่วมเมือง แมนเชสเตอร์ซิตี้ โดยในช่วงนั้นทีมมีหนี้อยู่ 70,000 ปอนด์

    [แก้] ยุคของเซอร์ แมตต์ บัสบี้ (1945-1969)

    แมตต์ บัสบี้ได้เข้ามาคุมทีมในปี 1945 เขาได้นำความสำเร็จมาสู่สโมสรได้อย่างรวดเร็ว โดยได้อันดับสองของฟุตบอลลีกในปี 1947 และชนะเลิศเอฟเอ คัพในปีต่อมา
    บัสบี้เป็นคนที่ดึงนักเตะจากทีมเยาวชนขึ้นมาหลายคน จนได้แชมป์ลีกในปี 1956 ด้วยอายุเฉลี่ยของนักเตะเพียง 22 ปีเท่านั้น ในปีต่อมา เขาก็ได้พาทีมเป็นแชมป์ลีกอีกครั้ง และยังเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศเอฟเอ คัพ แต่ไปไม่ถึงดวงดาวโดยการแพ้ต่อแอสตัน วิลลา แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดเป็นทีมแรกของอังกฤษที่ได้เข้าร่วมแข่งขันฟุตบอลยูโรเปี้ยนคัพ และยังได้เข้าถึงรอบรองชนะเลิศอีกด้วย
    ในปี 1958 ได้เกิดโศกนาฏกรรมครั้งยิ่งใหญ่ของสโมสร เมื่อเครื่องบินที่บรรทุกนักเตะและทีมงานของสโมสร ที่กลับจากการไปแข่งขันยูโรเปียนคัพรอบก่อนรองชนะเลิศกับทีมเรดสตาร์ เบลเกรด ซึ่งแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดสามารถผ่านเข้าสู่รอบรองชนะเลิศแล้วได้ประสบอุบัติเหตุที่สนามบินในเมืองมิวนิค หลังจากแวะพักเครื่องบินที่เมืองมิวนิค ในวันที่ 6 กุมภาพันธ์ เวลาประมาณบ่าย 3 โมง เหตุการณ์ครั้งนั้นได้คร่าชีวิตนักเตะของทีมไปถึง 8 คน รวมถึงทีมงานสต๊าฟโค้ชและผู้โดยสารคนอื่นอีก 15 คน รวมเป็น 23 คน หนึ่งในคนที่เสียชีวิตในครั้งนี้ คือ ดันแคน เอ็ดเวิร์ด นักเตะดาวรุ่งพรสวรรค์สูงสุดในขณะนั้น จากเหตุการณ์ครั้งนี้ มีผู้คาดว่าจะเป็นจุดตกต่ำของแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด แต่จิมมี เมอร์ฟีได้เข้ามาเป็นผู้จัดการทีมในช่วงที่บัสบี้กำลังรักษาอาการบาดเจ็บ และใช้ตัวผู้เล่นแก้ขัดไปหลายตำแหน่ง แต่ทีมก็ยังสามารถเข้าชิงชนะเลิศ เอฟเอ คัพได้อีกครั้ง โดยครั้งนี้พ่ายต่อโบลตันทำให้ได้เพียงรองแชมป์เท่านั้น
    หลังจากรักษาตัวเองแล้ว บัสบี้ได้ปรับปรุงทีมในช่วงต้นของทศวรรษ 60 โดยการเซ็นสัญญาคว้านักเตะอย่าง เดนิส ลอว์ กับ แพท ครีแลนด์มาเสริมทีม แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดก็ชนะเลิศฟุตบอลเอฟเอ คัพในปี 1963 และได้แชมป์ฟุตบอลลีกในปี 1965 และ 1967 นอกจากนี้ ยังได้แชมป์ฟุตบอลยูโรเปี้ยนคัพเป็นสโมสรแรกของอังกฤษในปี 1968 ซึ่งเป็นระยะเวลาเพียง 10 ปี เท่านั้นหลังจากเกิดเหตุโศกนาฏกรรมที่มิวนิค ที่ทำให้ทีมต้องสูญเสียผู้เล่นตัวหลักไปถึง 8 คน และจากความยอดเยี่ยมของทีมชุดนี้ ทำให้มีนักเตะ 3 คนด้วยกัน ที่สามารถคว้ารางวัลนักเตะยอดเยี่ยมของยุโรป (บัลลงดอร์) ได้แก่เดนิส ลอว์ ได้รับรางวัลในปี 1964 คนที่สองคือบ๊อบบี้ ชาร์ลตันได้รับในปี 1966 หลังจากพาทีมชาติอังกฤษคว้าแชมป์ฟุตบอลโลกครั้งแรกและครั้งเดียวของพวกเค้า และจอร์จ เบสต์ได้รับรางวัลในปี 1968 หลังจากโชว์ฟอร์มอันยอดเยี่ยมพาแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดคว้าแชมป์ฟุตบอลยูโรเปียน คัพเป็นครั้งแรกของสโมสรและครั้งแรกของอังกฤษ
    บัสบี้ได้ลาออกจากการเป็นผู้จัดการทีมในปี 1969 โดยมีวิฟ แมคกินเนสโค้ชทีมสำรองทำหน้าที่แทน

    [แก้] 1969-1986


    สัญลักษณ์สโมสรในช่วง 1970


    สโมสรได้พยายามหาตัวแทนที่เหมาะสมของบัสบี โดยใช้ผู้จัดการทีมไปหลายคน ได้แก่ วิฟ แมคกิวเนส, แฟรงค์ โอนีล ก่อนที่ ทอมมี โดเคอร์ตี้เข้ามาคุมทีมในปี 1972 เขาได้ช่วยทีมให้รอดจากการตกชั้น แต่อย่างไรก็ดี ทีมก็ได้ตกชั้นลงไปในปี 1974 แต่สโมสรก็ได้เลื่อนชั้นขึ้นมาทันทีในปีถัดไป และยังได้เข้าชิงชนะเลิศ เอฟเอ คัพในปีต่อมาอีกด้วย จากนั้นก็ได้เข้าชิงชนะเลิศอีกครั้งในปี 1977 โดยครั้งนี้สามารถคว้าแชมป์ได้โดยการเอาชนะทีมลิเวอร์พูล เป็นการดับความหวังการคว้าสามแชมป์ในปีเดียวกันของหงส์แดงลงไป ถึงเขาจะทำหน้าที่ได้ดี แต่ก็ถูกไล่ออกหลังจากรอบชิงชนะเลิศปีนั้นเนื่องจากมีข่าวพัวพันกับภรรยาของนักกายภาพบำบัด
    เดฟ เซกซ์ตันได้เข้ามาเป็นผู้จัดการทีมต่อในฤดูกาล 1977-1978 และเปลี่ยนระบบการเล่นของทีมให้เน้นเกมรับมากขึ้น ระบบนี้ทำให้แฟนบอลไม่ค่อยพอใจมากนัก หลังจากทำทีมไม่ประสบความสำเร็จ เขาถูกไล่ออกในปี 1981
    รอน แอคคินสันได้เข้ามาทำหนาที่นี้แทน เมื่อเขาเข้ามาก็ได้ทำลายสถิติซื้อขายสูงสุดของอังกฤษโดยการคว้าตัวไบรอัน ร็อบสัน มาจากเวสต์บรอมวิช รวมถึง การคว้าตัว เจสเปอร์ โอลเซน และกอร์ดอน สตรัคคั่น ในขณะที่มีนักเตะอย่างมาร์ค ฮิวจส์ และนอร์แมน ไวท์ไซด์ที่ขึ้นมาจากทีมเยาวชนของสโมสร แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดได้แชมป์เอฟเอ คัพในปี 1983
    ปี 1985 แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดทำผลงานได้ดีในช่วงเปิดฤดูกาลโดยการชนะ 10 นัดรวด ทำให้มีคะแนนนำทีมอื่นถึง 10 คะแนนตั้งแต่ต้นฤดูกาล แต่อย่างไรก็ตาม หลังจากนั้นทีมทำผลงานได้ไม่ดีและจบฤดูกาลด้วยอันดับ 4 ของลีก ผลงานในปีต่อมาก็ไม่ได้ดีขึ้น ทีมต้องหนีการตกชั้น ทำให้รอน แอคคินสันถูกไล่ออกไป
     

แชร์หน้านี้