พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย sithiphong, 23 ธันวาคม 2005.

  1. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    จากกระทู้ ขอเชิญร่วมทำบุญสร้างมณฑปครอบ "หลวงพ่อหายโศก"
    http://www.palungjit.org/board/showthread.php?t=62649




    <TABLE class=tborder id=post414494 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR><TD class=thead style="BORDER-RIGHT: #ffffff 0px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid">เมื่อวานนี้, 01:34 PM <!-- / status icon and date --></TD><TD class=thead style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 0px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid" align=right>#1 </TD></TR><TR vAlign=top><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 0px solid" width=175>นักเดินทาง<SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_414494", true); </SCRIPT>
    สมาชิก

    [​IMG]

    เข้ามาครั้งสุดท้ายเมื่อ: วันนี้ 09:02 AM
    วันที่สมัคร: Jul 2005
    อายุ: 38 ปี
    ข้อความ: 893 <!-- Start Post Thank You Hack -->
    ได้ให้อนุโมทนา 2,765 ครั้ง
    ได้รับอนุโมทนา 5,223 ครั้ง ใน 805 โพส <!-- End Post Thank You Hack -->
    พลังการให้คะแนน: 725 [​IMG]
    [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]





    </TD><TD class=alt1 id=td_post_414494 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid"><!-- icon and title -->[​IMG] ขอเชิญร่วมทำบุญสร้างมณฑปครอบ "หลวงพ่อหายโศก"

    <HR style="COLOR: #ffffff" SIZE=1><!-- / icon and title --><!-- message -->[​IMG]



    ขอเชิญท่านผู้มีจิตศรัทธาร่วมทำบุญบริจาคปัจจัย เป็นค่าใช้จ่ายในการสร้างมณฑปเพื่อประดิษฐาน "หลวงพ่อหายโศก" วัดป่าโนนจ่าหอม จ.อุบลราชธานี พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์เป็นที่สักการะของประชาชนทั่วสารทิศ ว่ากันว่าหากใครแต่งงานแล้วไม่มีบุตร ถ้าได้ไปกราบสักการะอธิษฐานขอความเมตตาจากท่าน จะได้ลูกสมปราถนาทุกรายไป หรือใครมีความทุกข์เรื่องใดแล้วไปกราบขอพรจากท่านก็มักจะประสบความสำเร็จแทบทุกราย

    [​IMG]

    ด้วยเหตุนี้พระอาจารย์ชยางกูร เจ้าอาวาสวัดป่าโนนจ่าหอม จึงมีดำริที่จะสร้างมณฑปเพื่อประดิษฐาน "หลวงพ่อหายโศก" บนอาคาร 2 ชั้น ตรงกลางระหว่างพระพุทธรูปใหญ่ 2 องค์

    [​IMG]

    โดยชั้นล่างจะเป็นห้องสมุดธรรมะ เพื่อให้พระภิกษุสงฆ์และพุทธศาสนิกชนได้ศึกษาพระธรรม

    [​IMG]

    พระพุทธรูปใหญ่ 2 องค์นี้ก็พิเศษ พระอาจารย์ชยางกูรได้นำเอาเพชรพญานาคขนาดใหญ่พิเศษ ติดไว้บนก้นหอยพระเกศาจนทั่ว และมีเพชรพญานาคสีดำขนาดประมาณฝ่ามือติดที่กลางหน้าผาก เคยมีคนถ่ายรูปแล้วติดดวงเทพมากมาย

    หากท่านใดมีปัญหาเกี่ยวกับอาการเจ็บป่วยด้วยโรคแปลก ๆ ลองไปปรึกษาพระอาจารย์ชยางกูรได้ครับ ท่านเมตตาช่วยรักษาหายมาหลายรายแล้ว

    หากท่านใดสงสัยว่าท่านได้เพชรพญานาคมาอย่างไร ก็ลองไปกราบท่านซักครั้ง ท่านยินดีจะเล่าที่มาให้ฟัง ผมเองก็เคยไปมา 1 ครั้ง ท่านเมตตาพ่นเพชรพญานาคออกมาจากปากให้ผม ตอนที่ท่านพ่นออกมาท่านเคี้ยวหมากอยู่เต็มปาก มันก็น่าแปลกว่าท่านเก็บเอาไว้ในปากได้ยังไง

    เพื่อเป็นการตอบแทนน้ำใจของท่านผู้ใจบุญ พระอาจารย์ได้มอบเพชรพญานาคสีต่าง ๆ ขนาดเล็กประมาณ 1 ซม ให้แก่ผู้ร่วมทำบุญ 500 บาท ดังนี้

    1. สีแดงรูปทรงรี ขนาด 1 ซม

    [​IMG]


    2. สีชมพูอ่อน ทรงรี 1 ซม

    [​IMG]


    3. สีขาว ทรงกลม 1 ซม

    [​IMG]

    4. สีเหลืองอำพัน ทรงรี 1 ซม

    [​IMG]

    5. สีเขียวอ่อน ทรงรี 1 ซม

    [​IMG]

    เรื่องจำนวนเพชรพญานาคนั้น ผมขอให้ไปดูในกระทู้นะครับ จะมีการupdate ตลอดครับ


    การบริจาค
    โดยการโอนเงินเข้าบัญชีของพระอาจารย์
    ชื่อบัญชี พระชยางกูร โชติช่วง
    ประเภทบัญชี ออมทรัพย์
    หมายเลขบัญชี 4750762819
    ธนาคารกรุงเทพ สาขาถนนสรรพสิทธิ์
    โทรศัพท์พระอาจารย์ 083-1254450, 084-8291852


    เมื่อโอนเงินแล้ว แจ้งชื่อที่อยู่เพื่อจัดส่งไว้ในกระทู้ หรือส่งข้อความส่วนตัวมาที่คุณนักเดินทาง หรือติดต่อคุณอนุชา 081-9665710 คุณอนุชาจะเป็นผู้จัดส่งให้ครับ

    ขอขอบพระคุณและโมทนาสาธุกับทุกท่านครับ​
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  2. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ไหว้ 5 ครั้ง<O[​IMG]</O[​IMG]
    ของสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ ( เจริญ ญาณวรเถระ )<O[​IMG]</O[​IMG]
    วัดเทพศิรินทราวาส<O[​IMG]</O[​IMG]

    <O[​IMG]</O[​IMG]
    <O[​IMG]</O[​IMG]

    [​IMG]

    คัดลอกจาก http://www.konmeungbua.com/saha/Lung...pu_armpan.html<O[​IMG]</O[​IMG]

    ในวันหนึ่งกับคืนหนึ่ง ไม่ว่าเวลาไร ตามแต่เหมาะต้องไหว้ให้ได้ 5 ครั้งเป็นอย่างน้อย ในคราวเดียวนั้น ถ้ามีดอกไม้ธูปเทียนก็บูชา ถ้าไม่มีก็มือ 10 นิ้วและปากกับใจ ควรไหว้จนตลอดชีวิต คือ<O[​IMG]</O[​IMG]
    <O[​IMG]</O[​IMG]

    ครั้งที่ 1 พึงนั่งกระโหย่งเท้าประณมมือว่า<O[​IMG]</O[​IMG]
    นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส ฯ 3 หน แล้วว่าพระพุทธคุณ คือ<O[​IMG]</O[​IMG]
    อิติปิโส ภควา อรหํ สมฺมาสมฺพุทฺโธ วิชฺชาจรณสมฺปนฺโน สุคโต โลกวิทู อนุตฺตโร ปุริสทมฺมสารถิ สตฺถา เทวมนุสฺสานํ พุทฺโธ ภควาติ ฯ<O[​IMG]</O[​IMG]
    หยุดระลึกถึงพระปัญญาคุณทรงรู้ดีรู้ชอบสิ้นเชิง พระบริสุทธิคุณทรงละความเศร้าหมองได้หมด พระกรุณาคุณทรงสงสารผู้อื่นและสั่งสอนให้ปฏิบัติตามของพระพุทธเจ้า จนเห็นชัดแล้วกราบลงหน 1 ฯ <O[​IMG]</O[​IMG]
    <O[​IMG]</O[​IMG]

    ครั้งที่ 2 ว่าพระธรรมคุณ คือ<O[​IMG]</O[​IMG]
    สฺวากฺขาโต ภควตา ธมฺโน สนฺทิฆฐิโก อกาลิโก เอหิปสฺสิโก โอปนยิโก ปจฺจตฺตํ เวทิตพฺโพ วิญญูหีติ ฯ<O[​IMG]</O[​IMG]
    หยุดระลึกถึงคุณพระธรรมที่รักษาผู้ปฏิบัติตามไม่ให้ตกไปในที่ชั่ว จนเห็นชัดแล้วกราบลงหน 1 ฯ <O[​IMG]</O[​IMG]
    <O[​IMG]</O[​IMG]

    ครั้งที่ 3 ว่าพระสังฆคุณ คือ<O[​IMG]</O[​IMG]
    สุปฏิปนฺโน ภควโต สาวกสงฺโฆ อุชุปฏิปนฺโน ภควโต สาวกสงฺโฆ ญายปฏิปนฺโน ภควโต สาวกสงฺโฆ สามีจิปฏิปนฺโน ภควโต สาวกสงฺโฆ ยทิทํ จตฺตาริ ปุริสยุคานิ อฏฐปุริสปุคฺคลา เอส ภควโต สาวกสงฺโฆ อาหุเนยฺโย ปาหุเนยฺโยทกฺขิเนยฺโย อญฺชลิกรณีโย อนุตฺตรํ ปุญฺญกฺเขตฺตํ โลกสฺสาติฯ<O[​IMG]</O[​IMG]
    หยุดระลึกถึงคุณ คือ ความปฏิบัติดี ปฏิบัติตรง ปฏิบัติถูก ปฏิบัติชอบ ของพระอริยสงฆ์ จนเห็นชัดแล้วกราบลงหน 1 ฯ<O[​IMG]</O[​IMG]
    นั่งพับเพียบประณมมือตั้งใจถึงพระรัตนตรัยเป็นสรณะไม่ถือสิ่งอื่นยิ่งกว่าจนตลอดชีวิต ว่าสรณคมน์ คือ<O[​IMG]</O[​IMG]
    พุทฺธํ สรณํ คจฺฉามิ<O[​IMG]</O[​IMG]
    ธมฺมํ สรณํ คจฺฉามิ<O[​IMG]</O[​IMG]
    สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ<O[​IMG]</O[​IMG]
    ทุติยมฺปิ พุทธํ สรณํ คจฺฉามิ <O[​IMG]</O[​IMG]
    ทุติยมฺปิ ธมฺมํ สรณํ คจฺฉามิ<O[​IMG]</O[​IMG]
    ทุติยมฺปิ สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ <O[​IMG]</O[​IMG]
    ตติยมฺปิ พุทธํ สรณํ คจฺฉามิ <O[​IMG]</O[​IMG]
    ตติยมฺปิ ธมฺมํ สรณํ คจฺฉามิ<O[​IMG]</O[​IMG]
    ตติยมฺปิ สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ <O[​IMG]</O[​IMG]
    <O[​IMG]</O[​IMG]

    ครั้งที่ 4 ระลึกถึงคุณมารดาบิดาของตน จนเห็นชัดแล้ว กราบลงหน 1 ฯ<O[​IMG]</O[​IMG]
    ข้า ฯ ขอ กราบไหว้คุณท่านบิดาและมารดา<O[​IMG]</O[​IMG]
    เลี้ยงลูกเฝ้ารักษา แต่คลอดมาจึงเป็นคน<O[​IMG]</O[​IMG]
    แสนยากลำบากกายไป่คิดยากลำบากตน<O[​IMG]</O[​IMG]
    ในใจให้กังวลอยู่ด้วยลูกทุกเวลา<O[​IMG]</O[​IMG]
    ยามกินพอลูกร้องก็ต้องวางวิ่งมาหา<O[​IMG]</O[​IMG]
    ยามนอนห่อนเต็มตาพอลูกร้องก็ต้องดู<O[​IMG]</O[​IMG]
    กลัวเรือดยุงไรมดจะกวนกัดรีบอุ้มชู<O[​IMG]</O[​IMG]
    อดกินอดนอนสู้ ทนลำบากหนักไม่เบา<O[​IMG]</O[​IMG]
    คุณพ่อแม่มากนักเปรียบน้ำหนักยิ่งภูเขา<O[​IMG]</O[​IMG]
    แผ่นดินทั้งหมดเอามาเปรียบคุณไม่เท่าทัน<O[​IMG]</O[​IMG]
    เหลือที่ จะแทนคุณ ของท่านนั้น ใหญ่อนันต์<O[​IMG]</O[​IMG]
    เว้นไว้ แต่เรียนธรรม์ เอามาสอนพอผ่อนคุณ<O[​IMG]</O[​IMG]
    สอนธรรมที่จริงให้ รู้ไม่เที่ยงไว้เป็นทุน<O[​IMG]</O[​IMG]
    แล้วจึงแสดงคุณ ให้เห็นจริงตามธรรมดา<O[​IMG]</O[​IMG]
    นั่นแหละจึงนับได้ ว่าสนองซึ่งคุณา<O[​IMG]</O[​IMG]
    ใช้ค่าข้าวป้อนมาและน้ำนมที่กลืนกิน ฯ<O[​IMG]</O[​IMG]
    <O[​IMG]</O[​IMG]

    ครั้งที่ 5 ระลึกถึงคุณของบรรดาท่านผุ้มีอุปการคุณแก่ตน เช่น พระมหากษัตริย์และครูบาอาจารย์ เป็นต้นไป จนเห็นชัดแล้วกราบลงหน 1 ฯ<O[​IMG]</O[​IMG]
    ข้า ฯ ขอนอบน้อมคุณแด่ท่านครู ผู้อารี<O[​IMG]</O[​IMG]
    กรุณาและปรานีอุตส่าห์สอนทุก ๆ วัน<O[​IMG]</O[​IMG]
    ยังไม่รู้ ก็ได้รู้ ส่วนของครูสอนทั้งนั้น<O[​IMG]</O[​IMG]
    เนื้อความทุกสิ่งสรรพ์ดีชั่วชี้ ให้ชัดเจน<O[​IMG]</O[​IMG]
    จิตมากด้วยเอ็นดูอยากให้รู้เหมือนแกล้งเกณฑ์<O[​IMG]</O[​IMG]
    รักไม่ลำเอียงเอนหวังให้แหลมฉลาดคม<O[​IMG]</O[​IMG]
    เดิมมืดไม่รู้แน่เหมือนเข้าถ้ำเที่ยวคลำงม<O[​IMG]</O[​IMG]
    สงสัยและเซอะซมกลับสว่างแลเห็นจริง<O[​IMG]</O[​IMG]
    คุณส่วนนี้ควรไหว้ ยกขึ้นไว้ ในที่ยิ่ง<O[​IMG]</O[​IMG]
    เพราะเราพึ่งท่านจริงจึงได้รู้ วิชาชาญ ฯ<O[​IMG]</O[​IMG]

    (บทประพันธ์สรรเสริญคุณมารดาบิดา และ ครูบาอาจารย์ของ ท่านอาจารย์ จางวางอยู่ เหล่าวัตร วัดเทพศิรินทราวาส<O[​IMG]</O[​IMG]

    ลิขสิทธิ์เป็นของ ท่านเจ้าคุณพระโศภนศีลคุณ (หลวงปู่หลุย พาหิยาเถร) วัดเทพศิรินทราวาส)
    <O[​IMG]</O[​IMG]
    ต่อไปนี้ไม่ต้องประณมมือ ตั้งใจพิจารณาเรื่อง และร่างกายของตนว่า จะต้องแก่ หนีความแก่ไปไม่พ้น จะต้องเจ็บ หนีความเจ็บไปไม่พ้น จะต้องตาย หนีความตายไปไม่พ้น จะต้องพลัดพรากจากของรักของชอบใจทั้งสิ้น มีกรรมเป็นของตัว คือ ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เป็นอนิจจังไม่เที่ยง ไม่แน่นอน เป็นทุกข์ลำบากเดือดร้อน เป็นอนัตตา ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของตน ฯ ครั้งพิจารณาแล้ว พึงแผ่กุศลทั้งปวงมีการกราบไหว้เป็นต้นนี้ อุทิศให้แก่ท่านผู้มีคุณมีมารดาบิดา เป็นต้น ตลอดจนชั้นสูงสุด คือพระมหากษัตริย์ ทั้งเทพยดามนุษย์และสัตว์ทั้งหลายว่า จงเป็นสุข ๆ อย่ามีเวรมีภัยเบียดเบียนกันและกัน รักษาตนให้พ้นจากทุกข์ภัยทั้งสิ้นเถิด ฯ
    <O[​IMG]</O[​IMG]
    การไหว้ 5 ครั้งนี้ ถ้าวันไหนขาด ให้ไหว้ใช้ 5 ครั้งในวันรุ่งขึ้น ถ้านั่งกระโหย่งเท้าไม่ได้ ก็นั่งพับเพียบ ถ้าไม่ได้ ก็นอนไหว้ เมื่อยกมือไม่ขึ้น ก็ปากกับใจ ถ้าทำได้อย่างนี้เป็นเครื่องพยุงตนให้เป็นคนดี ไม่ให้เป็นคนชั่ว และให้ตั้งอยู่ในที่ดี ไม่ให้ตกไปในที่ชั่ว ถ้าผู้ใดประพฤติได้เสมอตลอดชีวิต ผู้นั้นจะอุ่นใจในตัวของตัวเอง มีความเจริญงอกงามไพบูลย์ยิ่ง ๆ ขึ้นเสมอทุกคืนทุกวัน คุ้มครองป้องกันภยันตรายปราศจากความเสียหายที่ไม่เหลือวิสัย และ ตั้งตัวได้ในทางคดีโลกและทางคดีธรรม เต็มภูมิเต็มขั้นของตน ๆ ทุกประการ จบเท่านี้ ฯ

    .*********************************************.
    <!-- / message --><!-- sig -->
     
  3. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    จากกระทู้เชิญร่วมบริจาคค่าขุดบ่อบาดาล สนส บ่อเงินบ่อทอง


    <TABLE class=tborder id=post425505 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR><TD class=thead id=currentPost style="BORDER-RIGHT: #ffffff 0px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid">วันนี้, 04:17 PM <!-- / status icon and date --></TD><TD class=thead style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 0px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid" align=right>#54 </TD></TR><TR vAlign=top><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 0px solid" width=175>toe<SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_425505", true); </SCRIPT>
    สมาชิก GOLD
    สมาชิกยอดฮิต

    [​IMG]

    เข้ามาครั้งสุดท้ายเมื่อ: วันนี้ 04:24 PM
    วันที่สมัคร: Nov 2005
    สถานที่: //////////////
    ข้อความ: 1,596 <!-- Start Post Thank You Hack -->
    ได้ให้อนุโมทนา 3,221 ครั้ง
    ได้รับอนุโมทนา 11,603 ครั้ง ใน 1,472 โพส <!-- End Post Thank You Hack -->
    พลังการให้คะแนน: 1430 [​IMG][​IMG]
    [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]



    </TD><TD class=alt1 id=td_post_425505 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid"><!-- message -->ทำบุญวันขึ้นปีใหม่ 2550<O:p</O:p

    ขอเชิญร่วมสร้างนิพัทธกุศล บุญที่เกิดขึ้นทุกเวลา<O:p</O:p

    เจาะบ่อบาดาลถวายวัด<O:p</O:p


    <?xml:namespace prefix = v ns = "urn:schemas-microsoft-com:vml" /><v:shapetype id=_x0000_t202 path="m0,0l0,21600,21600,21600,21600,0xe" o:spt="202" coordsize="21600,21600"><v:stroke joinstyle="miter"></v:stroke><V:p</v:shapetype><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD style="BORDER-LEFT-COLOR: #ece9d8; BORDER-BOTTOM-COLOR: #ece9d8; BORDER-TOP-COLOR: #ece9d8; BACKGROUND-COLOR: transparent; BORDER-RIGHT-COLOR: #ece9d8">
    สงเคราะห์การศึกษาเล่าเรียน ของพระภิกษุ-สามเณร<O:p</O:p

    ด้วยน้ำใช้อุปโภค
     
  4. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ที่มา Fwd Mail ครับ

    ไลเกอร์ LIGER เป็นสัตว์ที่เกิดจากการผสมพันธ์ระหว่าง สิงห์โต กับเสือ ผมจำไม่ได้ว่าตัวผู้เป็นอะไร และตัวเมียเป็นอะไร ลองดูกันนะครับ

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • C0797596.jpg
      C0797596.jpg
      ขนาดไฟล์:
      36.8 KB
      เปิดดู:
      1,424
    • C1454075.jpg
      C1454075.jpg
      ขนาดไฟล์:
      39.1 KB
      เปิดดู:
      1,073
    • C2470433.jpg
      C2470433.jpg
      ขนาดไฟล์:
      24.9 KB
      เปิดดู:
      1,070
    • C2535725.jpg
      C2535725.jpg
      ขนาดไฟล์:
      23.2 KB
      เปิดดู:
      1,051
    • C4946030.jpg
      C4946030.jpg
      ขนาดไฟล์:
      21.4 KB
      เปิดดู:
      1,052
    • C5054797.jpg
      C5054797.jpg
      ขนาดไฟล์:
      31.1 KB
      เปิดดู:
      1,036
    • C5146831.jpg
      C5146831.jpg
      ขนาดไฟล์:
      33.1 KB
      เปิดดู:
      1,033
    • C6520459.jpg
      C6520459.jpg
      ขนาดไฟล์:
      19.8 KB
      เปิดดู:
      1,063
    • C8345952.jpg
      C8345952.jpg
      ขนาดไฟล์:
      35.9 KB
      เปิดดู:
      1,051
  5. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    เรื่องการสวดมนต์

    หลวงพ่อจรัล ฐิตธมฺโม วัดอัมพวัน จังหวัดสิงบุรี

    http://www.jarun.org/v6/th/dhamma-pray.html#1


    <!-- InstanceBeginEditable name="content" --><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG] [​IMG]
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    เราจะได้ยินการเรียกบทสวดนี้หลากหลายชื่อ ไม่ว่าจะเป็น
    พระชัยมงคลคาถา, บทสวดถวายพรพระ, พาหุงมหาการุณิโก หรือ พาหุงมหากาฯ ก็ล้วนแล้วแต่เป็นบทเดียวกันทั้งสิ้น​

    [​IMG]มูลเหตุแห่งการค้นพบพระชัยมงคลคาถา
    เมื่ออาตมาได้พบกับสมเด็จพระพนรัตน์วัดป่าแก้ว.........
    คืนหนึ่งอาตมานอนหลับ แล้ว ฝันไปว่า อาตมาได้เดินไปในสถานที่แห่งหนึ่ง ได้พบกับพระสงฆ์รูปหนึ่งครองจีวรคร่ำ สมณสารูปเรียบร้อยน่าเลื่อมใส อาตมาเห็นว่าเป็นพระอาวุโส ผู้รัตตัญญู จึงน้อมนมัสการท่าน ท่นหยุดยืนตรงหน้าอาตมา แล้วกล่าวกับอาตมาว่า
    "ฉันคือสมเด็จพระพนรัตน์ วัดป่าแก้วแห่งกรุงศรีอยุธยา ฉันต้องการให้เธอไปที่วัดใหญ่ชัยมงคลเพื่อดูจารึก ที่ฉันได้จารึกถวายพระเกียรติแด่ สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ผู้เป็นเจ้า เนื่องในวาระที่สร้างพระเจดีย์ฉลองชัยชนะ เหนือพระมหาอุปราชแห่งพม่า และประกาศความเป็นอิสระของประเทศไทย จากหงสาวดีเป็นครั้งแรก เธอไปดูไว้แล้วจดจำมาเผยแพร่ออกไป ถึงเวลาที่เธอจะได้รับรู้แล้ว"
    ในฝันอาตมารับปากท่าน ท่านก็บอกตำแหน่งที่บรรจุให้ แล้วก็ตกใจตื่นตอนใกล้รุ่ง อาตมาก็ทบทวนความฝัน ก็นึกอยู่ในใจว่า เราเองนั้น กำหนดจิตด้วยกรรมฐาน มีสติอยู่เสมอ เรื่องฝันฟุ้งซ่านเป็นไม่มี อาตมาก็ได้ข่าวในวันนั้นแหละว่า ทางกรมศิลปากรทำการบูรณะปฏิสังขรณ์พระเจดีย์ใหญ่ ในวัดใหญ่ชัยมงคล และจะทำการบรรจุพระบรมธาตุที่ยอดพระเจดีย์ อันเป็นนิมิตหมายการสิ้นสุดการบูรณะ แล้วจะรื้อนั่งร้านทั้งหมดออกเสร็จสิ้น
    อาตมาจึงได้ขอร้อง ดร.กิ่งแก้ว อัตถากร บอกนายภิรมณ์ ชินเจริญ ให้เลื่อนการปิดยอดบัวไปอีกวันหนึ่ง เพื่อที่อาตมาจะได้นำพระซุ้มเสมาชัย ซุ้มเสมาขอที่อาตมาได้สร้างขึ้น ตามแบบดั้งเดิมที่พบในเจดีย์ใกล้กับวัดอัมพวัน ซึ่งพังลงน้ำ ที่ก๋งเหล๋งเป็นคนรวบรวมเอามาให้อาตมา ตั้งแต่เมื่อเริ่มมาพัฒนาวัดใหม่ ๆ แต่แตกหัก ผุพัง ทั้งนั้น หลายสิบปี๊บ อาตมาได้ป่นเอามาผสมสร้างเป็นองค์พระใหม่ไปร่วมบรรจุไว้ที่ยอดพระเจดีย์บ้าง
    วันนั้นอาตมาเดินทางไปถึง ก็ได้เดินขึ้นไปบนเจดีย์ตอนที่สุดบันได แล้วมองเห็นโพรงที่ทางเข้าทำไว้สำหรับลงไปด้านล่าง มีร้านไม่พอไต่ลงไปภายใน ตั้งใจเด็ดเดี่ยวว่า ลงไปคราวนี้ ถ้าพลาดตกลงไปจากนั่งร้านไม้ ก็ยอมตาย คนที่ร่วมเดินทางมา เขามัวแต่ไปบนลานชั้นบน อาตมาก็ดิ่งลงไปชั้นล่าง มีไฟฉายดวงหนึ่ง เวลานั้นประมาณ ๙.๐๐ น. อาตมาลงไปภายในพบลานทองคำ ๑๓ ลาน ดังที่สมเด็จพระพนรัตน์ได้บอกไว้จริง ๆ อาตมาจึงได้พบว่า แท้ที่จริงแล้ว สิ่งที่สมเด็จพระพนรัตน์ วัดป่าแก้ว ท่านได้จารึกถวายพระพร ก็คือ บทสวดมนต์ที่เรียกว่า "พาหุง มหาการุณิโก" ท้ายของนิมิตนั้นระบุว่า "เราสมเด็จพระพนรัตน์ วัดป่าแก้ว ศรีอโยธเยศ คือผู้จารึกนิมิตรจนาเอาไว้ ถวายพระพรแด่พระมหาบพิตรเจ้า สมเด็จพระนเรศวรมหาราช"

    พาหุงมหาการุณิโก คืออะไร
    พาหุงมหากา คือ บทสวดสรรเสริญพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ แล้วก็ พรพาหุงอันเริ่มด้วย พาหุงสะหัส จนไปถึง ทุคคาหะทิฏฐิ แล้วเรื่อยไปจนถึง มหาการุณิโกนาโถหิตายะ และจบลงด้วย "ภะวะตุสัพพะมังคะลัง สัพพะพุทธา สัพพะธรรมา สัพพะสังฆานุภาเวนะ สะทา โสตถี ภะวันตุ เต" อาตมาเรียกรวมกันว่า "พาหุงมหากาฯ"
    อาตมาจึงเข้าใจในบัดนั้นเองว่า บทพาหุงนี้คือ บทสวดมนต์ที่ สมเด็จพระพนรัตน์ วัด ป่าแก้ว ได้ถวายให้พระบาทสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ไว้สวดเป็นประจำ เวลาอยู่กับพระบรมราชวัง และในระหว่างศึกสงคราม จึงปรากฏว่า พระบาทสมเด็จพระนเรศวรมหาราชเจ้า ทรงรบ ณ ที่ใดทรงมีชัยชนะอยู่ตลอดมา มิได้ทรงเพลี่ยงพล้ำเลย แม้จะเพียงลำพังสองพระองค์กับสมเด็จพระอนุชาธิราชเจ้า ท่ามกลางกองทัพพม่า ด้วยการกระทำยุทธหัตถี มีชัยชนะเหนือพระมหาอุปราชา ณ ดอนเจดีย์ปูชนียสถาน แม้ข้าศึกจะยิงปืนไฟเข้าใส่พระองค์ในตอนที่เข้ากันพระศพของพระมหาอุปราชาออกไปราวกับห่าฝนก็มิปาน แต่ก็มิได้ต้องพระองค์ ด้วยเดชะพาหุงมหากา ที่ทรงเจริญอยู่เป็นประจำนั่นเอง อาตมาได้พบตามที่นิมิตแล้วก็ไต่ขึ้นมาด้วยความสบายใจ ถึงปากปล่องที่ลงไป เนื้อตัวมีแต่หยากไย่ เดินลงมาแม่ชีเห็นเข้ายังร้องว่า หลวงพ่อเข้าไปในโพรงนั่นมาหรือ แต่อาตมาไม่ตอบ
    ตั้งแต่นั้นมา อาตมาจึงสอนการสวดพาหุงมหากาฯ ให้แก่ญาติโยมเป็นต้นมา เพราะอะไร เพราะพาหุงมหากานั้น เป็นบทสวดมนต์ที่มีค่ามากที่สุด มีผลดีที่สุด เพราะเป็นชัยชนะอย่างสูงสุดของพระบรมศาสดา จากพญาวัสดีมาร จากอาฬาวกะยักษ์ จากช้างนาฬาคีรี จากองคุลิมาล จากนางจิญมานวิกา จากสัจจะกะนิครนธ์ จากพญานันโทปนันทนาคราช และท่านท้าวผกาพรหม เป็นชัยชนะที่พระพุทธองค์ทรงได้มา ด้วยอิทธิปาฏิหาริย์ และด้วยอำนาจแห่งบารมีธรรมโดยแท้ ผู้ใดได้สวดไว้เป็นประจำทุกวัน จะมีชัยชนะ มีความเจริญรุ่งเรือง ตลอดกาลนาน มีสติระลึกได้จะตายก็ไปสู่สุคติภูมิ
    ขอให้คุณโยมช่วยประชาสัมพันธ์ให้ด้วยนะ ว่าให้สวดพาหุงมหากากันให้ถ้วนหน้า นอกจากจะคุ้มตัวแล้วยังคุ้มครอบครัวได้ สวดมาก ๆ เข้า สวดกันทั้งหลายประเทศ ก็ทำให้ประเทศมีแต่ความรุ่งเรือง พวกคนพาลสันดานหยาบก็แพ้ภัยไปอย่างถ้วนหน้า
    ไม่เพียงแต่พระบาทสมเด็จพระนเรศวรมหาราชเท่านั้น ที่พบความมหัศจรรย์ของพบพาหุงมหากา แม้พระบาทสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ได้ทรงพบเช่นกัน โดยมีบันทึกโบราณบอกไว้ดังนี้
    "เมื่อพระเจ้าตากสินมหาราชตีเมืองจันทบุรีได้แล้วก็ทรงเล็งเห็นว่า สงครามกู้ชาติต่อจากนี้ไปจะต้องหนักหนาและยืดยาว จึงทรงโปรดเกล้าให้สร้างพระยอดธงแบบศรีอยุธยาขึ้น แล้วนิมนต์พระเถระทั้งหลายมาสวดบทพาหุงมหากาบรรจุไว้ในองค์พระ และพระองค์ก็ทรงเจริญรอยตาม พระบาทสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ด้วยการเจริญพาหุงมหากา จึงบันดาลให้ทรงกู้ชาติสำเร็จ"
     
  6. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    เรื่องการสวดมนต์ (ต่อครับ)

    หลวงพ่อจรัล ฐิตธมฺโม วัดอัมพวัน จังหวัดสิงบุรี


    http://www.jarun.org/v6/th/dhamma-pray.html#1

    อานิสงส์ของการสวดพระชัยมงคลคาถา และพุทธคุณ
    ที่มาของบทสวดมนต์ชัยมงคลคาถา อาตมาได้ตำราเก่าแก่ครั้งกรุงศรีอยุธยา เป็นใบลานทองคำจารึกของ "สมเด็จพระพนรัตน์ วัดป่าแก้ว" ปัจจุบันเรียกว่า วัดใหญ่ชัยมงคล อยุธยา ได้รจนาถวายพระพรชัยมงคลคาถาแด่สมเด็จพระนเรศวรมหาราช สมเด็จพระพนรัตน์เป็นอาจารย์ของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช
    อานิสงส์ของบทสวดมนต์ชัยมงคลคาถา หรือพาหุงมหากาฯ สมเด็จพระนเรศวรมหาราชไม่เคยแพ้ทัพ สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี เจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก ไม่เคยแพ้ทัพ พระชัยหลังช้างของ ร.๑ นั้นมาจากบทพาหุงมหากาฯ
    ผู้ใดสวดมนต์ชัยมงคลคาถา หรือพาหุงมหากาฯ เป็นประจำทุก ๆ วันแล้ว มีแต่ชัยชนะทุกประการ เรียนหนังสือก็เกิดปัญญา มีแต่ความเก่งกล้าสามารถ ผู้ใดสวดทุกเช้าค่ำ คิดสิ่งใดที่ดีเป็นมงคล จะสมความปรารถนาทุกประการ
    ปฐมเหตุ ต้นพุทราในพระราชวังโบราณอยุธยา
    ขอฝาก พ.อ.ทองคำ ศรีโยธิน ไว้ด้วยว่าคัมภีร์ใบลานทองคำจารึกบทสวดมนต์ชัยมงคลคาถานั้น อาตมาให้สัญญาสมเด็จพระพนรัตน์มาจะไม่ให้ใครดู ถ้าไปให้ใครดู อาตมาก็สิ้นชีวีแน่ ๆ เหมือนอาจารย์ปถัมภ์ เรียนเมฆ ที่ให้อาตมาเล่าเรื่องพระในป่าให้ฟัง
    อาตมาบอกว่า ถ้าเล่าแล้วอาจารย์ต้องตายนะ เขาบอกว่าตายให้ตาย เพราะพระในป่าบอกว่า ตายไปแล้ว ๓ เดือนจะฟื้น และบอกว่าวันนี้จะมาสาวไส้หลวงพ่อวัดอัมพวันให้หมด
    เลยบอกว่า เอ้าตกลง โยมต้องตายนะ เลยเล่าเหตุการณ์ให้ฟังที่ร้านก๋วยเตี๋ยวปากบาง เขาอัดเทปไว้ ๕-๖ ม้วน ถ่ายรูปด้วย ขณะเล่ามีงูใหญ่โผล่ขึ้นมา ไม่มีรู หลานเขยจะตี ก็ห้ามไว้ ก็นึกว่าอาจารย์ปถัมภ์ต้องตายแน่
    พอเล่าเหตุการณ์เรียบร้อย อาจารย์ปถัมภ์เอาพระเกศพระที่หล่อที่หอประชุมภาวนา-กรศรีทิพา มาขอถ่ายกลับไปเทปก็ไม่ติด รูปก็ถ่ายไม่ติด อาจารย์ปถัมภ์ก็แน่นที่หัวใจ รุ่งเช้าถึงแก่กรรม
    ภรรยาอาจารย์ปถัมภ์ มาถามอาตมาว่า อาจารย์ปถัมภ์ จะฟื้นหลัง ๓ เดือนแล้วจริงหรือไม่ อาตมาบอกว่าโยมไปดูเสียให้ดี เลือดออกทาง หู ตา ปาก หรือเปล่า ถ้าออกแล้วไม่มีฟื้น ถ้าทวาร ๙ เปิดไม่มีฟื้นนะ
    แต่คนที่ฟื้นแบบ พ.อ.เสนาะ ไม่ใช่ตายนะ แค่สลบไป หัวใจยังเต้นทำงานอยู่ ฟื้นได้ ถ้าขาดใจตาย ไม่มีลมวิญญาณออกไปแล้วไม่มีกลับมา เลยอาจารย์ปถัมภ์ถึงแก่ความตาย ถ้าอาตมาไม่ได้รับสัญญามา จะให้คุณโยมทองคำดูให้ได้
    อย่าลืมนะเขาขึ้นไปยอดเจดีย์วัดใหญ่ชัยมงคลกัน อาตมาโดดลงบ่อ ถ้าขึ้นไม่ได้ก็ขอตายที่นี่ ที่สมเด็จพระพนรัตน์ท่านมาเข้าฝันบอก และได้ตามนั้นด้วย
    อาตมาถึงยืนยันว่า พระสงฆ์ไทยเรานี้ มีความรู้ในพระพุทธศาสนาลึกซึ้ง กรุงศรีอยุธยาไม่สิ้นคนดี พระอุบาลีที่ไปประกาศศาสนาที่ประเทศศรีลังกา ท่านแปลพระไตรปิฎกจบ สมเด็จพระพนรัตน์ วัดป่าแก้ว ท่านเป็นผู้รจนาฉันท์บาลีว่าด้วยชัยชนะของพระพุทธเจ้า ๘ บทที่เรียก พาหุงมหากา (รุณิโก) ขึ้นมา ถวายพระพรชัยมงคลแด่สมเด็จพระนเรศวร
    อาตมาจึงให้เขาสวดมนต์บท “พาหุง มหากาฯ” เป็นประจำ ถ้าเด็กมีศรัทธาสวด สอบได้ที่หนึ่งเลย ถ้าสวดไปซังกะตาย ไม่มีศรัทธาสวด รับรองไม่ได้ผล
    บท “พาหุงมหากาฯ” เป็นจารึกของสมเด็จพระพนรัตน์ วัดป่าแก้ว เอาประวัติที่พระพุทธเจ้าผจญมาร มารจนาขึ้น แล้วท่านเจ้าคุณอุบาลีฯ เอาไปเผยแผ่ที่ประเทศศรีลังกา จนได้รับยกย่องมาจนทุกวันนี้

    ปฐมเหตุต้นพุทรา ในพระราชวังโบราณกรุงศรีอยุธยา
    คุณโยมทองคำโปรดทราบ มีอีกคัมภีร์หนึ่ง เป็นคัมภีร์ฉลองวัด ฉลองศึกมหาอุปราช จารึกไว้ว่า ทำไมมีต้นพุทราที่พระราชวังมากมาย ถ้าไม่มีเหตุผลเขาไม่ปลูกไว้หรอก นี่คนโบราณ
    คัมภีร์นี้บอกไว้ชัด ตอนที่สมเด็จพระนเรศวร ยกทัพไปได้นำคัมภีร์ชัยมงคลคาถาไปด้วย พอสวดพาหุงสะหัสฯ ช้างตกน้ำมันแผลงฤทธิ์เลย แม่ทัพนายกองตามไม่ทัน เข้าไปถึงกองทัพพม่า พม่าล้อมไว้เลย
    ไปเพียงสองพระองค์กับพระเอกาทศรถ พระอนุชา พม่าจะฆ่าเสียก็ตาย แล้วเหมือนลูกไก่ในกำมือ จะบีบก็ตายจะคลายก็รอด แต่พระองค์มีบุญญาธิการเพราะมนต์บทพาหุงสะหัส
    ผลสุดท้าย มีสุนทรวาจาทักทายปราศรัย ก่อนกระทำยุทธหัตถีว่าทั้งสองฝ่ายขอสมาลาโทษต่อกัน
    พระนเรศวรตรัสว่า เจ้าพี่มหาอุปราชเอ๋ย เราเป็นพี่น้องกัน อย่าให้ทหารไพร่พลต้องล้มตาย เรามายุทธนากันตัวต่อตัวดีกว่า
    พระมหาอุปราชเห็นด้วยทันที เพราะบทสวดมนต์พาหุงมหากาฯ อิติปิโส ภควา ใครจะสู้ได้ อัญเชิญพระคุณของพระพุทธเจ้าออกไปสนทนาไปด้วยจิตเป็นเมตตา คนจึงเชื่อถือ
    ถ้าออกปากไปด้วยโทสะ คนไม่เชื่อถือ ลูกก็ไม่สนใจ นี่เรื่องจริงตรงนี้ พระนเรศวรทรงกระทำยุทธหัตถีด้วยช้างตกน้ำมัน มีกำลังเจ็ดช้างสาร มีพลังยิ่งกว่าช้างมหาอุปราช ก็พุ่งเข้าไปเลย
    “เราไม่โกรธกันนะ อย่าเอาบาปกันนะ” พระมหาอุปราชก็ตกลง
    พอพูดขาดคำปั๊บ ช้างแปร๋นเลย เสียท่าเข้าไปเลย เข้าไปทำอย่างไร มหาอุปราชฟันเลย ไปชนกันอย่างนี้จึงฟันถึง จำไว้
    พระนเรศวรเก่งมาก ทรงหมอบเลยถูกพระมาลาเบี่ยง เบี่ยงแล้วทำอย่างไร กำลังอยู่กระชั้นชิด ประวัติศาสตร์บันทึกไว้ว่า เอาของ้าวฟัน ไม่มีทาง ขอเคียงฟันได้เหรอ จะขาดไหม มันมีน้ำหนักอยู่ตรงไหน มันยาย ฟังตรงนี้นะ อยู่ในคัมภีร์เสร็จ
    พระนเรศวรหมอบ ข้างหลังส่งของ้าว ภายใน ๑ วินาที สอดเข้าไปในรักแร้เลย แล้วชักด้ามกลับ ช้างเผ่นทันที ช้างพระนเรศวรเสียหลักแล้วก็ช่วยดึงด้วย
    พระนเรศวรจับของ้าวแน่นเลย ของ้าวขึ้นมาที่คอสะพายแล่งแล้ว พอช้างดึงปั๊บ ช้างจะล้ม พระมหาอุปราชสะพายแล่งขาดลงคอช้างทันที แต่ช้างพระนเรศวรจะต้องล้ม เสียท่าทหารพม่าแน่ แต่ช้างกลับถอยหลังไปโดนต้นพุทรา เอาขายันเข้าไว้ได้ ต้นพุทราจึงมีบุญคุณต่อพระนเรศวร พระนเรศวรจึงเอาพุทราต้นนี้มาปลูก และไหว้ต้นพุทรา พระนเรศวรจึงบูชาต้นพุทรา ว่ารอดตายนี่เพราะต้นพุทราแท้ ๆ ช้างมายันต้นพุทราไว้ เพราะปฐมเหตุนี้ ต้นพุทราจึงมีมาก จนตราบเท่าทุกวันนี้ ในราชวังโบราณกรุงศรีอโยธยา
    ใครไม่เชื่อไม่เป็นไร อาตมาเชื่อหมื่นเปอร์เซ็นต์ เพราะเราฝันของเราเอง และโดดลงบ่อได้คัมภีร์นี้มา คนอื่น ๆ ขึ้นข้างบน อัญเชิญพระธาตุไปบรรจุ และนำพระเครื่องเมืองพรหมนคร พระเสมาชัย พระเสมาขอ ไปบรรจุไว้ที่วัดใหญ่ชัยมงคลด้วย
    พระเสมาขอ คือ พระนเรศวรขอเมืองคืน
    พระเสมาชัย คือ ได้ชัยชนะปลงพระชนม์พระมหาอุปราชแล้ว พระนเรศวรสร้างแล้วบรรจุไว้ที่เจดีย์วัดชัยชนะสงคราม อยู่ใต้วัดอัมพวัน
    อาตมาก็ขอบรรจุพระเสมาขอ และเสมาชัยไว้ที่วัดใหญ่ชัยมงคล เพื่อเป็นอนุสรณ์ของสมเด็จพระนเรศวรมหาราชสืบไป

     
  7. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    เรื่องการสวดมนต์ (ต่อครับ)

    หลวงพ่อจรัล ฐิตธมฺโม วัดอัมพวัน จังหวัดสิงบุรี

    http://www.jarun.org/v6/th/dhamma-pray.html#1


    เทวดา กับ การสวดมนต์
    “หลวงพ่อครับ กระผมอยากทราบความคิดเห็นของหลวงพ่อที่มีต่อเทวดาที่เขาสวดชุมนุมเทวดานั้น จะมีจริงหรือไม่”
    หลวงพ่อจรัญท่านตอบในทันทีว่า “อาตมาเชื่อ ทำไมจึงเชื่อ อาตมาจะเล่าให้ฟัง”
    แต่เดิมนั้นอาตมาไม่เคยเชื่อเรื่องเทวดา เพราะอาตมาไม่เคยสัมผัสนี่ แล้วอาตมาจะไปเชื่ออย่างไร ในเมื่อแม่ชีก้อนทอง ปานเณร อายุ ๘๗ ปี มาบอกกับอาตมาว่า เทวดามาสอนสวดมนต์
    แม่ชีมาเรียนกรรมฐาน อาตมาสอนให้เดินจงกรม ให้พิจารณาเห็นหนอ แต่แม่ชีเดินจงกรมแล้วไปคิดถึงเทวดา ไปเพ่งเทวดาเข้า เทวดาก็มา แกก็เก็บเงียบไว้ แต่แล้วในที่สุดแกก็เก็บไม่ไหวต้องการให้มีใครสักคนได้รับรู้เอาไว้ แกจึงมาบอกอาตมาว่า
    “หลวงพ่อ ดิฉันเห็นเทวดาเจ้าค่ะ มาสอนสวดมนต์ให้ด้วยเจ้าค่ะ”
    “เทวดาที่ไหนกับแม่ชีเอ๊ย อาตมาไม่เชื่อหรอก”
    แต่แม่ชีก็ว่าไม่ได้โกหก อาตมาถามว่า “เทวดามาตอนไหนเล่า” แม่ชีบอกว่า
    “พอดิฉันได้ยินนาฬิกาตี ๑๒ เป็นเวลาเที่ยงคืนเทวดาก็ปรากฏให้ดิฉันเห็นไม่ได้มาเปล่านะคะ มาสอนให้ดิฉันสวดมนต์บทเมตตาใหญ่ ดิฉันจึงสวดได้”
    อาตมาก็บอกให้แม่ชีไปถามเทวดาว่าอยู่ที่ไหน วันรุ่งขึ้นแม่ชีก็มาเล่าให้ฟังว่า
    เทวดาอยู่ที่ต้นพิกุล ต้นพิกุลที่ว่านี่ อาตมาถามผู้เชี่ยวชาญด้านต้นไม้ เช่นหลวงสมานวนกิจ อธิบดีกรมป่าไม่มาที่นี่ ในตอนที่แม่ชีเห็นเทวดา ประมาณ พ.ศ. ๒๕๐๐ หลวงสมานฯ ว่า อายุกว่า ๑,๐๐๐ ปี เทวดาบอกแม่ชีว่า เดิมอยู่บนสวรรค์ แล้วละเมิดกฎต่อนางฟ้าจึงถูกให้ลงมาอาศัยวิมานต้นพิกุลอยู่จนกว่าจะหมดกรรม แล้วก็บอกวันเวลาเอาไว้ชัดเจน อาตมาก็จดไว้แล้วก็เป็นจริง พอถึงเวลาก็เหมือนที่เทวดาให้สังเกตสังกา
    อาตมาก็ให้แม่ชีไปถามเทวดาว่า ไปชวนมนุษย์สวดมนต์ทุกบ้านหรือไม่ เพราะอาตมาเริ่มจะเชื่อ เพราะบทเมตตาใหญ่ที่แม่ชีสวดนี่ อาตมาไปหาที่ไหน ๆ ก็ไม่เจอ จนกระทั่งไปรู้ว่า สมเด็จพระสังฆราช (แพ) วัดสุทัศน์ ได้นำเอาไปต่อท้ายพุทธมนต์พุทธาภิเษก และตำรับนั้นไปตกอยู่กับ พระครูลมูล วัดสุทัศน์ฯ พระครูลมูลนี้เป็นศิษย์สมเด็จพระสังฆราชแพนะ ทำสมเด็จเนื้อผงดีมากนะ มีละก็เก็บเอาไว้ให้ดีเชียว
    อาตมาไปขอตำรับมาตรวจสอบที่วัด ท่านพระครูลมูลบอกว่าไม่ได้ๆ ตำรับนี้ของอาจารย์ อาตมาให้ใครยืมไม่ได้ อาตมาก็บอกว่าไม่ได้เอาไปเลย แต่จะเอาไปสอบทานอะไรหน่อย แล้วก็เล่าความจริงให้ท่านฟัง ท่านก็ใจอ่อนบอกว่า เอ้าเอาไปเถอะให้ยืมเจ็ดวัน แล้วเอามาส่งคืนนะ อาตมาก็เอามาเป็นตัวขอมทั้งนั้น อาตมาก็บอกแม่ชีว่า มาท่องให้อาตมาฟังหน่อย แม่ชีก็เริ่มท่อง ก็แกอายุ ๘๗ แล้วนี่นะ ก็ยานคางกว่าจะหลุดออกมาได้ตามประสาคนแก่
    โยมเชื่อไหมล่ะว่า แม่ชีก้อนทอง คนนี้เป็นคนไม่รู้หนังสือ อ่านหนังสือไม่ออก ตัวขอมยิ่งไม่กระดิกใหญ่ แล้วเมตตาใหญ่ที่แกท่อง อาตมาก็ไม่เคยเห็นมาก่อน แกท่องด้วยความมั่นใจ อาตมาสอบกับต้นฉบับขอมของท่านพระครูลมูล ปรากฏว่าไงรู้ไหมโยม
    “ตั้งแต่ตัวแรกจนตัวสุดท้ายไม่มีผิดเลย”
    อาตมาถามว่าเทวดาไปชวนคนสวดมนต์ทุกบ้านหรือเปล่า เทวดาบอกกับแม่ชีมาว่า
    “เปล่า บ้านไหนจัดที่บูชามีโต๊ะหมู่ มีพระพุทธรูปตั้งไว้ แล้วเจ้าของบ้านสวดมนต์ เทวดาก็มาร่วมสวดมนต์ด้วย พระพุทธรูปเหล่านั้น ที่ไม่ได้เข้าพิธีอะไร เช่ามาบูชาจากเสาชิงช้า หากเจ้าของบ้านเอามาสวดมนต์ไหว้พระทุกวันด้วยใจศรัทธา เทวดามาสวดมนต์ หนักเข้าก็เลยเข้าสิงรักษาองค์พระเอาไว้ ก็เลยศักดิ์สิทธิ์ใหญ่ ทำให้เกิดสิริมงคลในครัวเรือน"
    หลวงพ่อพระพุทธโสธรนั้น คนกราบไหว้บูชากันมากเลยมีเทวดามารักษา ๑๖ องค์ ทำให้เกิดอภินิหารนานาประการ พระพุทธรูปสำคัญ ๆ ก็มีเทวดารักษาทั้งนั้นแหละ
    เทวดาท่านว่าอย่างนั้นและเทวดาก็ว่าบ้านไหนมีพระพุทธรูปแค่ตั้งโชว์ เทวดาก็ไม่ไปสวดมนต์ เพราะร้อยวันพันปีไม่เคยทำวัตรสวดมนต์ เทวดาก็ไม่มา ผ่านเลยไปเลย มาไม่ลงมาสวดมนต์ คนเราก็มีเทวดารักษา คนดีมีศีลธรรม เทวดาที่เป็นบัณฑิตรักษา ถ้าคนชั่วขี้เหล้าเมายาทำชั่ว เทวดาพาลพวกมิจฉาทิฐิก็มารักษา
    อาตมาถามต่อไปว่าแล้ว “เวลาพระสัคเคกาเมจะรูเป เทวดาลงมาหรือไม่”เทวดาว่า “รีบลงมา เทวดาบัณฑิตมาก่อน พอเห็นเจ้าภาพกินเหล้าเมาหงำกันในงานบุญก็เบ้หน้าแล้วกลับ เทวดาพาลก็เข้ามาแทนที่ เลยเกิดเรื่องเกิดราวตูมตามนั่นแหละ
    คุณดอน เจดีย์ จาก น.ส.พ. มหัศจรรย์
    เขียนจากคำบอกเล่าของพระเดชพระคุณหลวงพ่อ (ครั้งยังเป็นพระครูภาวนาวิสุทธิ์)
    ชาวคริสต์กับพระพุทธคุณ
    มีชาวคริสต์คนหนึ่ง มีลูกชายคนเดียวอยู่แถวลาดพร้าว อายุ ๕๑ ปี สามีตายเป็นเศรษฐีที่ กทม. ราชาที่ดิน ที่ดินข้างคลองแสนแสบของเขาทั้งนั้น ไปจรดตลาดลาดพร้าวหลายร้อยไร่ เมื่อสมัยก่อนก็ขายได้หลายร้อยล้าน เป็นผู้มีเงิน ลูกชายเรียนหนังสือไม่เก่ง ก็ส่งลูกไม่เรียนนอก ไปเรียนปริญญาที่อเมริกา ลูกไม่เอาไหน ไปก็ไปซื้อรถเก๋ง พาจิ๊กโก๋ไปหาจิ๊กกี๋ ๓ ปีแล้ว ก็มีหนังสือมาหลอกแม่เรื่อย เรียนใกล้สำเร็จแล้วขอเงินอีก ๑ แสน อีก ๕ แสน
    แล้วในที่สุด เขาไม่รู้จะไปหาที่พึ่งที่ไหน ก็ไปหาหมอดู หมอดูก็เอาเงิน สะเดาะเคราะห์ ไปหาหมอทำก็ไม่สามารถทำให้เรียนสำเร็จได้ แต่พอดีมีคนที่สิงห์บุรีไปเป็นลูกจ้างบ้านนั้น เขาเป็นนายทุนให้ ก็พากันไปนครสวรรค์ กลับมาเขาก็เลยอยากให้อาตมาช่วย เขาก็พามาแวะ เขาบอก "อย่าแวะ" ก็เลยแกล้งเพทุบายว่า "ปวดท้องแวะเข้ามาแวะวัดนี้หน่อย จะหาห้องน้ำ" แวะเข้ามาแล้ว นายทุนคนนี้ก็เข้าห้องน้ำด้วย คนนั้นก็มาบอกกับอาตมาว่า "หลวงพ่อช่วยทีเถอะ" แต่อาตมาก็ยังไม่รู้ว่าเขาเป็นคริสต์ บอก "ช่วยหน่อยเถอะ เขามีลูกชายคนเดียว ผมก็ขอยืมเงินเขาใช้เรื่อย" เราก็นึกในใจขอดูหน้าก่อน แล้วเขาก็พามา แล้วก็บอกให้ฟังว่าลูกชายไปเรียนที่อเมริกาไม่เอาไหนเลย พอรู้ว่าเขาเรียนไม่สำเร็จ ไปเที่ยวพานักศึกษาไทยไปเสียหายกัน ฉันก็จะเป็นโรคประสาทแล้ว ท่านจะมีทางช่วยได้ไหม ดูหน้าแล้วก็รู้ว่าลูกชายต้องสำเร็จปริญญาโท แล้วจะสำเร็จปริญญาเอกด้วย แต่ทำไมเรียนไม่สำเร็จ เดี๋ยวมีวิธีแก้ เพราะลักษณะบอกให้รู้ถึงลูกด้วย ว่าลูกชายต้องเรียนสำเร็จ แต่ทำไมเรียนไม่สำเร็จ มีวิธีแก้
    อาตมาก็บอกว่า "โยมไปสวดมนต์ สวดพุทธคุณ ๕๒ จบ เพราะตอนนี้อายุ ๕๑" เขาก็บอก "ฉันสวดไม่ได้ ฉันเป็นคริสต์" "พระบิดา พระบุตร พระจิต สวดได้ไหม?" ฉันก็เป็นคริสต์แบบชาวพุทธที่สวดมนต์ไม่เป็น ไปวัดเข้าโบสถ์ก็เข้าไปอย่างนั้นเอง วันนั้นก็เจ๊าไปไม่ยอมรับ
    ก็อยู่ได้อีก ๔ - ๕ เดือน อาตมาจำหน้าได้ ทีนี้ไม่มีคนพามาเขามากันเอง ๓ คน บอกว่า "ฉันยอมจำนน" บอก "เอาอย่างนี้ โยมไปซื้อหนังสือสวดมนต์เข้าเล่มหนึ่ง" "ฉันไม่อยากให้หนังสือสวดมนต์มีในบ้านฉัน ท่านช่วยเขียนให้หน่อย" อาตมาก็ต้องเขียน พอตอนหลัง ขี้เกียจเขียน ต้องพิมพ์เป็นใบ นี่พุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ พาหุงมหากา "ฉันไม่นับถือพระ ฉันจะสวดได้หรือ" ที่นอนนั้นแหละ สวดไปก่อน อาตมาหาอุบายเลย ก็สวดพาหุงมหากา "ฉันท่องไม่ได้" "อ่านตามตัว" "แล้วฉันจะรู้ได้อย่างไรว่า อายุ ๕๑ สวด ๕๒" "ใช้ก้านไม้ขีดทิ้งเข้าซิ ทำไปก่อน" เขาเลยมั่นใจ คิดว่าจะทำได้บอกว่า "โยมสวดมนต์เสร็จแล้ว แผ่เมตตาให้ลูก อย่าด่าลูกนะ อย่าแช่งลูก ให้ลูกมีความเจริญสุข และให้ลูกมีความตั้งใจเรียนหนังสือให้สำเร็จ" พอไปสวดได้ ๓ เดือนท่องได้หมดเลย หนักเข้าไม่ต้องใช้ก้านไม้ขีดแล้ว จึงเกิดอานิสงส์ ๒ ประการ
    หนึ่ง โรคประสาทหาย กินได้นอนหลับ ชื่นอกชื่นใจนอนหลับ เมื่อนอนหลับก็ใจดี เริ่มแผ่ส่วนกุศลให้ถึงลูกแล้ว บุญกุศลของแม่จะถึงลูก ถึงตอนไหนรู้กันตอนนี้ เพราะลูกนี่เฟ้อในการเงิน ขอเงินแม่เรื่อย ไม่รู้จักบุญกุศลของแม่แต่ประการใด วันนั้นบุญกุศลของแม่ถึง ประมาณ ๖ เดือน หลังสวดมนต์ อาตมาจดไว้ วันนั้นพอดีลูกชายพานักศึกษาไทยไปส่งด้วยทุนของตัวเองไปเที่ยวขับรถ ไปชนเสาไฟฟ้า เพื่อนอยู่ข้างหลัง กระเด็นออกจากรถหมดไม่ตายไม่เป็นอะไรเลย แต่เจ้านี่ต้องไปอัดก๊อปปี้กับเสาไฟฟ้าเสาล้ม ต้องเสียเงินหลายแสน พวงมาลัยอัดหน้าอก ไปโคม่าอยู่โรงพยาบาลไม่รู้สึกตัว แล้วพอดีมีลูกพี่อยู่คนหนึ่งเป็นแพทย์อยู่ที่อเมริกา เป็นลูกพี่ลูกน้องกัน ก็ไปเยี่ยม ถ้าจะไปไม่รอด ตายแน่ ก็ให้อ๊อกซิเยน นายแพทย์อเมริกันบอกว่าไม่รอด
    วันนั้นผ่านไป รุ่งขึ้นลืมตาพอรอดมาแล้วปวดเมื่อยจะตายน้ำตาร่วงคิดถึงแม่ นี่คนเราพอมีทุกข์ถึงจะคิดถึงแม่ มันเฟ้อไปในสังคม มันจะไม่คิดถึงแม่ บางคนอายุ ๘๐ แก่จะตาย เวลาใกล้ตายหลงคิดถึงแม่ ร้องแม่จ๋า แม้กระทั่งแม่ตายไปตั้งนานแล้ว อย่างนี้แน่นอน มันทุกข์หนัก บอกปวดเมื่อยทั่วสรรพางค์กาย คุณแม่จ๋ารำพึงรำพันคิดถึงแม่
    ข้อสอง ลูกคิดถึงแม่ ถ้าแม่ทราบว่าหนูไม่ได้เรียนหนังสือแล้วแม่จะเสียใจแค่ไหน แม่ทราบเข้า ก็ดีอกดีใจ มาวัดเลย เลี้ยงเพลพระ พระสวดธรรมจักรให้ ๑ จบ ในที่สุดพอลูกชายกลับมาจากอเมริกา พาลูกมาวัดเลย อาตมาให้พระบูชาไป ๑ องค์ แม่เล่าเรื่องให้ลูกฟัง เพราะเหตุอย่างนี้ ลูกสวดมนต์ภาวนาแล้วเข้าไปวัดไทยไปนั่งวิปัสสนาที่เมืองนอก เจ้าคุณเทพโสภณ (ปัจจุบันคือ พระธรรมราชานุวัตร) หรือหลวงเตี่ย ปัจจุปันจำพรรษาอยู่ที่วัดโพธิ์ ท่าเตียน กรุงเทพฯ รู้จักแต่ไม่รู้เรื่องของวัดอัมพวัน รู้ว่าเจ้านี่มันนักกรรมฐานปริญญาเอก เดี๋ยวนี้ไม่ยอมกลับบ้าน แม่บอกหลวงพ่อให้ฉันสวดมนต์อะไรให้ลูกกลับเมืองไทย "ไม่มีกลับ" เรารู้แล้วไม่กลับแน่
    อันนี้ได้ผลแน่นอน ขอฝากไว้ว่าเด็ก หรือใครก็ตามต้องประสบทุกข์ จึงฉุกคิดถึงแม่ ถ้าไม่ประสบทุกข์ให้เงินไปมันเฟ้อ ไม่คิดถึงแม่ ต้องประสบทุกข์จึงจะเห็นตัวธรรมะ เห็นอกเห็นใจเลยเชียว เขาเล่าให้อาตมาฟัง บอกหลวงพ่อครับผมไม่คิดถึงแม่เลย ๓ - ๔ ปีที่อยู่อเมริกา แต่ก็คิดถึงแม่ ว่าอยู่กับแม่ ป้อนข้าวให้ พัดวีให้ ได้คิดอย่างนี้เลยจึงกลับ แม่ก็เลยเล่าให้ฟังว่า หลวงพ่อนี่ช่วยเอาไว้ เขาเลื่อมใสอาตมาบอกว่า "ถ้าเชื่อนะไปตัดผมเดี๋ยวนี้" เพราะผมเขายาวประบ่า เลยตัดผมที่สิงห์บุรี เจ้าคนนี้บอกว่า "แหมหลวงพ่อ ผมนี่ผลาญเงินแม่ไปหลายล้านบาท" นี่เห็นได้ชัดมาก ดังที่กล่าวมาแล้ว อาตมาก็ตั้งตำรา ถ้าคนไหนเคราะห์ร้ายสวดพุทธคุณ
    (จากหนังสือกฎแห่งกรรม - ธรรมปฏิบัติ เล่มที่ ๓ หน้า ๑๗๐)
    จ่าสอบเป็นนายร้อย
    จ่าที่ศูนย์ปืนใหญ่นี่บอกว่า หลวงพ่ออีก ๒ - ๓ ปี อายุผมเกินแล้วสอบนายทหารไม่ได้ เสียเงินไป ๒ หมื่นก็ไม่ได้ "อย่าไปพูดเรื่องเสียเงินเสียยี่ห้อทหาร สองคนผัวเมียสวดมนต์ได้มั๊ย" ต้องได้แน่ "สวดสองคนเลย" พวกทหารศูนย์ปืนใหญ่ เขาบอก สงสัยบ้านจ่านี่ถ้าจะบ้าแล้วพอผัวจะไปทำงาน "นี่แม่อีหนูมาสวดมนต์แทน ฉันจะไปทำงาน" เมียก็สวดใหญ่เพื่อน ๆ มาเยี่ยม ไปเถอะขาขาด เคยไปเล่นไพ่ด้วยกัน เลิกเล่นมานั่งสวดมนต์
    ในที่สุด สอบนายทหารได้ เดี๋ยวนี้เป็นพันตรีไปแล้ว แล้วร่ำรวยมีเงินให้นายทหารกู้ จ่าคนนี้ พอสวดมนต์ มีเงินและมีไร่ ที่อำเภอพัฒนานิคม มีสวนมะพร้าว มะพร้าวเยอะแยะ มันเป็นความจริงขึ้นมา ไม่ใช่ขลังด้วยคาถา แต่ขลังด้วยสติ สวดมนต์แล้วก็มีสติขึ้นมา ปัญญาก็เกิด สอบเขียนก็ได้เลย ตอนเสียเงิน ๒ หมื่นไม่ได้ เขาบอกข้อสอบให้ยังไม่ได้ บอกสวดพุทธคุณเข้า ได้ทุกราย อาตมาอบรมนักศึกษาที่มานี่ ติดตามโดยต่อเนื่องไม่ใช่ไปบอกขอกฐินผ้าป่า ต้องการประเมินผล ขอให้เธอทำตามบางคนบอกว่า ฉันเรียนสำเร็จวิชาครูมาทำอะไรไม่ได้ บอก หนูไม่จำเป็นต้องเป็นครู มานั่งกัมมัฏฐานสวดมนต์เข้า ไม่จำเป็นต้องวิชาที่เรียนตรงเลย มันจะเกิดมีคนอุปถัมภ์ช่วยเหลือผลักดันให้ไปจนได้โดยวิธีนี้


    โรคเบาหวานหายได้
    ท่านนายกพุทธสมาคมและสมาชิกสภาจังหวัดอุทัยธานีท่านหนึ่ง มีธุระต้องนำหนังสือเชิญคณะกรรมการพุทธสมาคม จังหวัดอุทัยธานี มาประชุมประจำเดือน จึงขึ้นรถเครื่องตระเวนไปส่งหนังสือจนครบทุกคน แล้วรีบกลับบ้าน เพื่อเตรียมวานการประชุมต่อไป ครั้นรถเครื่องวิ่งมาถึงสี่แยกไฟแดงวัดสังกัสรัตนคีรี มีรถกะบะวิ่งสวนมาอย่างรีบร้อน หักพวงมาลัยเลี้ยวขวาอย่างรวดเร็ว เป็นจังหวะที่รถของท่านกำลังวิ่งสวนมา จึงเกิดเฉี่ยวชน ถูกขาขวาของท่านหัก และมีบาดแผลที่ขาอีกหลายแห่ง กระเด็นลงไปกลิ้งอยู่กับถนน แต่ไม่มีส่วนอื่นใดอีกที่ได้รับอันตราย รถเครื่องเสียหายเพียงเล็กน้อย รถกะบะไม่เสียหายอะไรเลย ปรากฏว่าผู้ขับขี่รถยนต์กะบะ เป็นผู้หญิงออกรถยนต์มาใหม่ ๆ คาดว่าชั่วโมงการขับคงยังมีน้อย เพราะก่อนหน้าสักวันหรือสองวันก็ปรากฏว่า ขับชนกับเสาไฟฟ้ามาแล้ว คนขับเขาไม่มีเจตนาที่จะขับชน แต่เป็นเพราะท่านขับรถช้าเอง มีผู้นำส่งโรงพยาบาลอุทัยธานี วันนั้นหมอกระดูกไม่อยู่ ต้องทรมานปวดอยู่อีก ๑ วัน วันรุ่งขึ้นจึงได้เข้าเฝือก คงจะเป็นกรรมที่ขับรถชนสุนัขขาหักกระมัง
    ก่อนจะถูกรถชนครั้งนี้ เป็นเวลาหลายวันมาแล้วที่ท่านไม่มีความสบายใจ ใจคอห่อเหี่ยวและหดหู่ เห็นทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่รอบตัวเป็นสิ่งที่ไม่น่าดู เห็นผู้คนแปลกหน้าไปหมด เบื่อสังคม ดูโลกไม่สดชื่นเลย นอนก็ไม่ค่อยจะหลับ ประเดี๋ยวก็ตื่น นอนหลับไม่ถึง ๓๐ นาทีก็ตื่นแล้ว ไม่ทราบว่าเป็นอะไร จึงต้องขอพึ่งพระรัตนตรัย เข้าห้องพระ สวดมนต์ ทำสมาธิ อุทิศส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวรและแผ่เมตตา ทำให้นอนหลับในห้องพระนั้นได้บ้าง เป็นที่กังขาของแม่บ้านยิ่งนัก
    แต่ก็นับเป็นสิ่งที่แปลกมากอยู่เหมือนกัน เมื่อถูกรถชนแล้ว ใจกลับรู้สึกปลอดโปร่ง มีกำลังใจดี บอกกับบุตรภรรยาว่า อะไรจะเกิด ก็ให้มันเกิด ท่านไม่มีห่วงอะไรแล้ว แม้จะพิการหรือถึงแก่เสียชีวิตเพราะมีอายุที่ได้ใช้มาคุ้มทุนแล้ว อายุที่อยู่ในปัจจุบันเป็นส่วนของกำไร จึงขอให้ทุกคนทำใจให้ได้
    อนึ่งท่านเป็นโรคเบาหวาน ตรวจพบหลายปีแล้ว มีค่าน้ำตาลในโลหิต ๒๐๕ มิลลิกรัม ต่อ ดีแอล หมอสั่งให้รับประทานยาเป็นประจำ แต่ก็ไม่ยอมลด เข้าโรงพยาบาลครั้งนี้ นอกจากรักษาโรคกระดูกหักแล้ว ยังต้องรักษาโรคเบาหวานอีกด้วย เข้าโรงพยาบาลรักษาแผลเป็นเวลาได้ ๑ เดือน บาดแผลที่ขาก็ไม่หายและมีทีท่าว่าจะติดเชื้อ ตรวจโลหิตเบาหวานก็ไม่ยอมลด ฉายเอ๊กซเรย์กระดูกปรากฏว่า ไม่ยอมติดกันเลย จึงสอบถามนายแพทย์ชยันตร์ ตันวัฒนกุล ซึ่งเป็นหมอประจำตัวว่าจะต้องถูกตัดขาหรือไม่ หมอตอบว่ามีทางเป็นไปได้ ในระหว่างนี้อยู่ในเกณฑ์ ๕๐ หมอจึงทำการผ่าตัดโดยนำเอาเนื้อที่สะโพกไปปะที่ขาทั้ง ๓ แผล
    ในระหว่างพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลครั้งนี้ ท่านใช้เวลาให้หมดไป ด้วยการอ่านหนังสือธรรมะ มีหนังสือของหลวงพ่อที่รวบรวมไว้ หนังสือวิปัสสนากรรมฐาน ของพระธรรมธีราชมหามุนี (โชดก ญาณสิทธิ ป.ธ.๙) วัดมหาธาตุ และของท่านอื่น ๆ อีกมาก เมื่อทราบว่ามีโอกาสที่จะถูกตัดข้าทิ้งกลายเป็นคนพิการในไม่ช้านี้ ก็รำลึกถึงหลวงพ่อขอให้ท่านช่วยด้วย บังเกิดแรงดลใจ นำหนังสืออานิสงส์ของการสวดพระพุทธคุณของหลวงพ่อมาทบทวน และปฏิบัติตามทันที
    ตามปกติก่อนนอน ท่านก็สวดมนต์เป็นนิตย์ ตั้งจิตภาวนาเป็นประจำ อโหสิกรรมทุกวันอยู่แล้ว แต่ตอนนี้ เพิ่มการสวดมนต์บทพาหุงมหากาฯ คาถาชินบัญชร และสวดพุทธคุณเท่าอายุเพิ่มเข้าไปอีก ตอนนั้นท่านอายุ ๖๗ ปี สวดพุทธคุณ ๖๘ จบ จิตใจปราศจากการฟุ้งซ่าน
    เกิดปรากฏการณ์ที่น่าสนเท่ห์ คือแผลที่ขาขวา ๓ แผลนั้น แผลใหญ่ ๒ แผล เนื้อที่นำมาปะติดนั้นติดกันดี ส่วนแผลเล็กอีกหนึ่งแผล ไม่ยอมรับเนื้อใหม่ แต่แสดงอาการดีขึ้น รักษาแผลตอนนี้ ใช้เวลาอีก ๑ เดือน บาดแผลใหญ่น้อยก็หาย เมื่อไปฉายเอ๊กซเรย์ดูอีกครั้ง ปรากฏว่ากระดูกยังไม่ยอมติด เพราะบอบช้ำมาก มีบางส่วนหักป่นไปหมด จึงนำเข้าห้องผ่าตัด นำกระดูกเชิงกรานไปต่อกระดูกที่ขา และนำเหล็กไปดามกระดูกไว้ผ่าตัดครั้งนี้ มีแผลที่ ขายาว ๑๕ เซนติเมตร พอครบ ๑๐ วัน ก็สามารถตัดไหมออกได้ บาดแผลไม่มีปัญหาแต่อย่างใดเลย ท่านรักษาตัวที่โรงพยาบาลเป็นเวลา ๙๐ วันพอดี ก็ออกมาพักฟื้นอยู่กับบ้านอีก ๒ เดือน จึงทำการผ่าตัดเอาเฝือกออก ปัจจุบันสามารถเดินได้โดยไม่ต้องมีไม้ค้ำยัน แต่ยังเดินไม่ได้ดีเหมือนเก่า หมอจึงสั่งให้ทำกายภาพบำบัดต่อไปอีกสักระยะหนึ่ง
    การที่ท่านรอดพ้นจากการถูกตัดขาทิ้ง เพราะโรคเบาหวานไปได้นี้ ส่วนหนึ่งเป็นด้วยอำนาจของการสวดพระพุทธคุณเท่าอายุบวกหนึ่ง และอีกส่วนหนึ่งด้วยการดูแลของหมอโรคกระดูก และเป็นหมอประจำตัวของท่านเป็นอย่างดีด้วย
    ผู้ใดที่มีทุกข์เพราะโรคภัยเบียดเบียนก็ดี หรือทุกข์เพราะความผิดหวังก็ดี หรือทุกข์เพราะประสบกับสิ่งที่ไม่พึงปรารถนาก็ดี ขอให้ลองรำลึกถึง หลวงพ่อและสวดบทพุทธคุณเท่าอายุบวกหนึ่งเป็นประจำ อาจจะได้รับผลอย่างที่ท่านได้ปฏิบัติมา ท่านได้รับทุกข์เพราะรถชนครั้งนี้ คิดว่าเป็นกรรมที่ทำไว้ ตามมาให้ผลสมดังที่พระพุทธองค์ดำรัสว่า เราทำดีก็ตาม ทำชั่วก็ตาม เราจักเป็นผู้รับผลของกรรมนั้น กรรมเก่าเป็นของแก้ไม่ได้ เพราะแล้วไปแล้ว แต่กรรมที่จะทำใหม่ บุคคลควรละฝ่ายชั่วเสีย ทำแต่กรรมดี กิเลสนั้นเมื่อคนสำเร็จเป็นพระอรหันต์ก็หมดเรื่อง ส่วนเรื่องกรรมนั้นถึงสิ้นกิเลสเป็นพระอรหันต์แล้ว แต่ถ้ายังไม่นิพพานก็ยังต้องเสวยผลของกรรมเก่า ต่อเมื่อนิพพานแล้วจึงจบเรื่องกรรม กมฺมสฺสโกมฺหิ เราเป็นผู้มีกรรมเป็นของของตน...
    คัดย่อ จากหนังสือกฎแห่งกรรม - ธรรมปฏิบัติ เล่ม ๘ หน้า ๑๐๕​
     
  8. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    เรื่องการสวดมนต์ (ต่อครับ)

    หลวงพ่อจรัล ฐิตธมฺโม วัดอัมพวัน จังหวัดสิงบุรี

    http://www.jarun.org/v6/th/dhamma-pray.html#1



    วิธีการสวดมนต์
    วิธีในการสวดมนต์พระเดชพระคุณหลวงพ่อได้สอนไว้ว่า​

    "แผ่ส่วนกุศลทำอย่างไร อุทิศตรงไหน ทำตรงไหน และวางจิตไว้ตรงไหน ถึงจะได้ อย่าลืมนะ ที่ลิ้นปี่ หายใจยาว ๆ สำรวมเวลาสวดมนต์นั้นน่ะ ได้บุญแล้ว ไม่ต้องเอาสตางค์ไปถวายองค์โน้น องค์นี้หรอก แล้วสำรวมจิต ส่งกระแสจิตที่หน้าผาก อุทิศส่วนกุศล......"​

    " พระพุทธคุณ อาตมาสังเกตมาว่า บางคนเขาไปหาหมอดูเคราะห์ร้ายก็ต้องสะเดาะเคราะห์ ​

    อาตมาก็มาดูเหตุการณ์โชคลางไม่ดีก็เป็นความจริงของหมอดู อาตมาก็ตั้งตำราขึ้นมาด้วยสติ ​

    บอกว่าโยมไปสวดพุทธคุณเท่าอายุให้เกินกว่า ๑ ให้ได้ เพื่อให้สติดี แล้วสวด "พาหุงมหากา" หายเลย​

    สติก็ดีขึ้น เท่าที่ใช้ได้ผล สวดตั้งแต่ นะโม พุทธัง ธัมมัง สังฆัง พุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ พาหุงมหากา จบแล้วย้อนกลับมาข้างต้น เอาพุทธคุณห้องเดียว (อิติปิโส ภะคะวา จนถึง พุทโธ ภะคะวาติ) ห้องละ ๑ จบ ต่อ ๑ อายุ อายุ ๔๐ สวด ๔๑ ก็ได้ผล "​

    "โยมช่วยบอกญาติโยมด้วยนะ ว่าสวดพาหุงมหากากันให้ได้ทุกบ้าน สวดให้ได้มาก ๆ จะมีแต่ความรุ่งเรือง สวดพาหุงมหากาก่อนแล้วจึงสวดชินบัญชร เพราะชินบัญชรนั้นเจ้าประคุณสมเด็จท่านให้สวดบูชาพระอรหันต์ของท่าน ต้องสวดพาหุงมหากาก่อนแล้วจึงมาถึงชินบัญชรให้จดจำกันเอาไว้ นั่นแหละมงคลชีวิต"​

    อันที่จริงถ้าเราทำบุญ เราจะได้ยินพระสวดคาถา "พาหุงมหากา" หรือ "พุทธชัยมงคลคาถา" ให้เราฟังทุกครั้ง​

    บางทีเราจะเคยได้ยินพระสวดเจนหูเกินไปจนไม่นึกว่ามีความสำคัญ แท้จริงแล้วคาถาดังกล่าวนี้ มีของดีอยู่ในตัวให้เราใช้มากทุกบททุกตอน เป็นเรื่องของพระพุทธเจ้า อ้างอานุภาพของพระพุทธเจ้าเพื่อนำชัยมงคลมาให้แก่เรา ทุกตอนลงท้ายว่า "ตันเตชะสา ภะวะตุเต ชะยะมังคะลานิ" ​

    เวลาพระสวดให้เรา ท่านต้องใช้คำว่า "เต" ซึ่งแปลว่า "แก่ท่าน" แต่ถ้าเราจะเอามาสวดหรือภาวนาของเราเอง ​

    เพื่อให้ชัยชนะเกิดแก่ตัวเราเอง เราก็จะต้องใช้ว่า "เม" ซึ่งแปลว่า "แก่ข้า" คือสวดว่า "ตันเตชะสา ภะวะตุเม ชะยะมังคะลานิ"​

    วิธีการสวด
    • ตั้งนะโม ๓ จบ
    • สวดพุทธัง ธัมมัง สังฆัง
    • สวดพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ
    • สวดพาหุง
    • สวดมหาการุณิโก
    • สวดพุทธคุณ อย่างเดียวเท่ากับอายุ บวก ๑
    • เช่นอายุ ๒๘ ปี ให้สวด ๒๙ จบ อายุ ๕๔ ปี ให้สวด ๕๕ จบ เป็นต้น​



    บทสวดมนต์
    นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ ( ๓ จบ )​

    อิติปิ โส ภะคะวา อะระหัง สัมมา สัมพุทโธ วิชชาจะระณะสัมปันโน สุคะโต โลกะวิทู อะนุตตะโร ปุริสะทัมมะสาระถิ สัตถา เทวะมะนุสสานัง พุทโธ ภะคะวาติฯ


    สะวากขาโต ภะคะวะตา ธัมโม สันทิฏฐิโก อะกาลิโก เอหิปัสสิโก โอปะนะยิโก ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหิติฯ


    สุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ อุชุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ ญายะปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ สามีจิปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ ยะทิทัง จัตตาริ ปุริสะยุคานิ อัฏฐะ ปุริสะปุคคะลา เอสะ ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ อาหุเนยโย ปาหุเนยโย ทักขิเณยโย อัญชะลีกะระณีโย อะนุตตะรัง ปุญญักเขตตัง โลกัสสาติฯ


    พาหุงสะหัส สะมะภินิมมิตะสาวุธันตัง​

    ครีเมขะลัง อุทิตะโฆ ระสะเสนะมารัง​

    ทานาทิธัมมะวิธินา ชิตะวา มุนินโท​

    ตันเตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมังคะลานิ


    มาราติเร กะมะภิยุชฌิตะสัพพะรัตติง​

    โฆรัมปะนาฬะวะกะมักขะมะถัทธะยักขัง​

    ขันตีสุทันตะวิธินา ชิตะวา มุนินโท​

    ตันเตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมังคะลานิ


    นาฬาคิริง คะชะวะรัง อะติมัตตะภูตัง​

    ทาวัคคิจักกะมะสะนีวะ สุทารุณันตัง​

    เมตตัมพุเสกะวิธินา ชิตะวา มุนินโท​

    ตันเตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมังคะลานิ


    อุกขิตตะขัคคะมะติหัตถะสุทารุณันตัง​

    ธาวันติโยชะนะปะถังคุลิมาละวันตัง​

    อิทธีภิสังขะตะมะโน ชิตะวา มุนินโท​

    ตันเตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมังคะลานิ


    กัตตะวานะ กัฏฐะมุทะรัง อิวะ คัพภินียา​

    จิญจายะ ทุฏฐะวะจะนัง ชะยะกายะมัชเฌ​

    สันเตนะ โสมะวิธินา ชิตะวา มุนินโท​

    ตันเตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมังคะลานิ


    สัจจัง วิหายะ มะติสัจจะกาวาทะเกตุง​

    วาทาภิโรปิตะมะนัง อะติอันธะภูตัง​

    ปัญญาปะทีปะชะลิโต ชิตะวา มุนินโท ​

    ตันเตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมังคะลานิ


    นันโทปะนันทะภุชะคัง วิพุธัง มะหิทธิง​

    ปุตเตนะ เถระภุชะเคนะ ทะมาปะยันโต​

    อิทธูปะเทสะวิธินา ชิตะวา มุนินโท​

    ตันเตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมังคะลานิ


    ทุคคาหะทิฉฐิภุชะเคนะ สุทัฏฐะหัตถัง​

    พรัหมัง วิสุทธิชุติมิทธิพะกาภิธานัง​

    ญาณาคะเทนะ วิธินา ชิตะวา มุนินโท​

    ตันเตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมังคะลานิ


    เอตาปิ พุทธะชะยะมังคะละอัฉฐะคาถา โย​

    วาจะโน ทินะทิเน สะระเต มะตันที​

    หิตวานะเนกะวิวิธานิ จุปัททะวานิ​

    โมกขัง สุขัง อะธิคะเมยยะ นะโร สะปัญโญ


    มะหาการุณิโก นาโถ หิตายะ สัพพะปาณินัง ปูเรตวา ปาระมี สัพพา ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ โหตุ เต ชะยะมังคะลังฯ


    ชะยันโต โพธิยา มูเล สักยานัง นันทิวัฑฒะโน เอวัง ตวัง วิชะโย โหหิ ชะยัสสุ ชะยะมังคะเล อะปะราชิตะปัลลังเก สีเส ปะฐะวิโปกขะเร อะภิเสเก สัพพะ พุทธานัง อัคคัปปัตโต ปะโมทะติฯ สุนักขัตตัง สุมังคะลัง สุปะภาตัง สุหุฏฐิตัง สุขะโณ สุมุหุตโต จะ สุยิฏฐัง พรัมหมะจาริสุ ปะทักขิณัง กายะกัมมัง วาจากัมมัง ปะทักขิณัง ปะทักขิณัง มะโนกัมมัง ปะณิธีเต ปะทักขิณา ปะทักขิณานิ กัตวานะ ละภันตัตเถ ปะทักขิเณฯ


    ภะวะตุ สัพพะมังคะลัง รักขันตุ สัพพะเทวะตา สัพพะพุทธานุภาเวนะ สะทา โสตถี ภะวันตุ เตฯ​

    ภะวะตุ สัพพะมังคะลัง รักขันตุ สัพพะเทวะตา สัพพะธัมมานุภาเวนะ สะทา โสตถี ภะวันตุ เตฯ​

    ภะวะตุ สัพพะมังคะลัง รักขันตุ สัพพะเทวะตา สัพพะสังฆานุภาเวนะ สะทา โสตถี ภะวันตุ เตฯ


    หลังจากที่ท่านสวดมนต์ชัยมงคลถาคา (หรือถวายพรพระ) ตั้งแต่ต้น จนจบ แล้วท่านก็กราบพระ ๓ หน แล้วก็สวดเฉพาะบท “อิติปิโส ภะคะวา..................พุทโธ ภะคะวาติ” ให้ได้จำนวนจบ เท่ากับอายุของท่าน แล้วสวดเพิ่มอีกหนึ่งจบ​

    ตัวอย่างเช่น ถ้าท่านอายุ ๓๕ ปี ท่านต้องสวด ๓๖ จบ เป็นต้น​



    บทสวดมนต์ (แปล)
    พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น เป็นผู้ทรงแจกจ่ายธรรม เป็นพระอรหันต์ตรัสรู้ดีโดยชอบด้วยพระองค์เอง ทรงถึงพร้อมด้วยวิชชา และ จรณะ (ความรู้และความประพฤติ) เสด็จไปดี (คือไปที่ใดก็ยังประโยชน์ให้ที่นั้น) ทรงรู้แจ้งโลก ทรงเป็นสารถีฝึกคนที่ควรฝึก หาผู้อื่นเปรียบมิได้ ทรงเป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย ทรงเป็นผู้ตื่น ทรงเป็นผู้แจกจ่ายธรรม



    พระธรรมอันพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสดีแล้ว อันผู้ปฏิบัติเห็นชอบได้ด้วยตนเอง ไม่ประกอบด้วยกาลเวลา ควรเรียกมาดูได้ ควรนอบน้อมเข้าไปหา อันผู้รู้พึงรู้ได้ด้วยตนเอง


    พระสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาค เป็นผู้ปฏิบัติดีแล้ว พระสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเป็นผู้ปฏิบัติตรง พระสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเป็นผู้ปฏิบัติเพื่อความรู้ พระสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเป็นผู้ปฏิบัติชอบ พระสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคนั้น จัดเป็นบุรุษสี่คู่ เป็นบุคคลแปด เป็นผู้ควรบูชา เป็นผู้ควรรับทิกษิณา เป็นผู้ควรกราบไหว้ เป็นเนื้อนาบุญของโลก หาสิ่งอื่นเปรียบมิได้


    สมเด็จพระผู้มีพระภาค ผู้เป็นจอมของนักปราชญ์ ทรงชนะพญามารพร้อมด้วยเสนา ซึ่งเนรมิตแขนได้ตั้งพัน มีมือถืออาวุธครบทั้งพันมือ ขี่ช้างคิรีเมขล์ ส่งเสียงสนั่นน่ากลัว ทรงชนะด้วยธรรมวิธีมีทานบารมี เป็นต้น และด้วยเดชะของพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น ขอชัยมงคลทั้งหลายจงมีแก่ข้าพเจ้า


    สมเด็จพระผู้มีพระภาค พระจอมมุนีทรงชนะอาฬวกยักษ์ผู้โหดร้ายบ้าคลั่ง น่าสพึงกลัว ซึ่งต่อสู้กับพระองค์ ตลอดทั้งคืนรุนแรงยิ่งกว่าพญามาร จนละพยศร้ายได้สิ้น ด้วยขันติธรรมวิธีอันพระองค์ได้ฝึกไว้ดีแล้ว และด้วยเดชของพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น ขอชัยมงคลทั้งหลายจงมีแก่ข้าพเจ้า


    สมเด็จพระผู้มีพระภาค พระจอมมุนีทรงชนะพญาช้าง ชื่อ นาฬาคิรี ซึ่งกำลังตกมันจัด ทารุณโหดร้ายยิ่งนัก ดุจไฟป่าจักราวุธและสายฟ้า ด้วยพระเมตตาธรรม และด้วยเดชของพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น ขอชัยมงคลทั้งหลายจงมีแก่ข้าพเจ้า


    สมเด็จพระผู้มีพระภาค พระจอมมุนีทรงชนะมหาโจร ชื่อ องคุลีมาล ในมือถือดาบเงื้อง่าโหดร้ายทารุณยิ่ง วิ่งไล่ตามพระองค์ห่างออกไปเรื่อย ๆ เป็นระยะทางถึง ๓ โยชน์ ด้วยทรงบันดาลมโนมยิทธิ (ฤทธิ์ทางใจ) และด้วยเดชของพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น ขอชัยมงคลทั้งหลายจงมีแก่ข้าพเจ้า


    สมเด็จพระผู้มีพระภาค พระจอมมุนีทรงชนะคำกล่าวใส่ร้ายท่ามกลางชุมชน ของนางจิญจมาณวิกา ผู้ผูกท่อนไม้ซ่อนไว้ที่ท้องแสร้งทำเป็นหญิงมีครรภ์ ด้วยความจริง ด้วยความสงบเยือกเย็นด้วยวิธีสมาธิอันงาม และด้วยเดชของพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น ขอชัยมงคลทั้งหลายจงมีแก่ข้าพเจ้า


    สมเด็จพระผู้มีพระภาค พระจอมมุนีทรงชนะสัจจกนิครนถ์ ผู้เชิดชูลัทธิของตนว่าจริงแท้อย่างเลิศลอย ราวกับชูธงขึ้นฟ้า ผู้มุ่งโต้วาทะกับพระองค์ ด้วยพระปัญญาอันเป็นเลิศดุจประทีปอันโชติช่วง ด้วยเทศนาญาณวิถี และด้วยเดชของพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น ขอชัยมงคลทั้งหลายจงมีแก่ข้าพเจ้า


    สมเด็จพระผู้มีพระภาค พระจอมมุนีทรงชนะพญานาคชื่อนันโทปนันทะ ผู้หลงผิดและมีฤทธิ์มาก ด้วยทรงแนะนำวิธี และ อิทธิฤทธิ์แก่พระโมคคัลลานะ พระเถระภุชงค์ พุทธบุตร ให้ไปปราบจนเชื่อง และด้วยเดชของพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น ขอชัยมงคลทั้งหลายจงมีแก่ข้าพเจ้า


    สมเด็จพระผู้มีพระภาค พระจอมมุนีทรงชนะพรหม ชื่อ ท้าวพูกะ ผู้รัดรึงทิฏฐิ คือ ความเห็นผิดไว้แนบแน่น โดยสำคัญผิดว่าตนบริสุทธิ์มีฤทธิ์รุ่งโรจน์ด้วยวิธีวางยาอันวิเศษ คือ เทศนาญาณ และด้วยเดชของพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น ขอชัยมงคลทั้งหลายจงมีแก่ข้าพเจ้า


    แม้นรชนใดไม่เกียจคร้าน สวดก็ดี ระลึกก็ดี ซึ่งพุทธชัยมงคลคาถา ๘ บทนี้ ทุกวัน ย่อมเป็นเหตุให้พ้นอุปัทวอันตรายทั้งปวง นรชนผู้มีปัญญาย่อมถึงซึ่งความสุขสูงสุดแล สิวโมกข์นฤพานอันเป็นเอกันตบรมสุข


    สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระผู้ทรงเป็นที่พึ่งของสรรพสัตว์ทรงประกอบด้วยพระมหากรุณา ทรงบำเพ็ญพระบารมีทั้งปวง เพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่สรรพสัตว์ ทรงบรรลุพระสัมโพธิญาณอันสูงสุด ด้วยการกล่าวสัจจวาจานี้ ขอชัยมงคลทั้งหลายจงมีแก่ข้าพเจ้า


    ขอข้าพเจ้าจงมีชัยชนะในชัยมงคลพิธี ดุจพระจอมมุนีผู้ยังความปีติยินดีให้เพิ่มพูนแก่ชาวศากยะ ทรงมีชัยชนะมาร ณ โคนต้นมหาโพธิ์ทรงถึงความเป็นเลิศยอดเยี่ยม ทรงปีติปราโมทย์อยู่เหนืออชิตบัลลังก์อันไม่รู้พ่าย ณ โปกขรปฐพี อันเป็นที่อภิเษกของพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ ฉะนั้นเถิด เวลาที่กำหนดไว้ดี งานมงคลดี รุ่งแจ้งดี ความพยายามดี ชั่วขณะหนึ่งดี ชั่วครู่หนึ่งดี การบูชาดี แด่พระสงฆ์ผู้บริสุทธิ์ กายกรรมอันเป็นกุศล วจีกรรมอันเป็นกุศล มโนกรรมอันเป็นกุศล ความปรารถนาดีอันเป็นกุศล ผู้ได้ประพฤติกรรมอันเป็นกุศล ย่อมประสบความสุขโชคดี เทอญ


    ขอสรรพมงคลจงมีแก่ข้าพเจ้า ขอเหล่าเทพยดาทั้งปวงจงรักษาข้าพเจ้า ด้วยอานุภาพแห่งพระพุทธเจ้า ขอความสุขสวัสดีทั้งหลาย จงมีแก่ข้าพเจ้าทุกเมื่อ​

    ขอสรรพมงคลจงมีแก่ข้าพเจ้า ขอเหล่าเทพยดาทั้งปวงจงรักษาข้าพเจ้า ด้วยอานุภาพแห่งพระธรรม ขอความสุขสวัสดีทั้งหลาย จงมีแก่ข้าพเจ้าทุกเมื่อ​

    ขอสรรพมงคลจงมีแก่ข้าพเจ้า ขอเหล่าเทพยดาทั้งปวงจงรักษาข้าพเจ้า ด้วยอานุภาพแห่งพระสงฆ์ ขอความสุขสวัสดีทั้งหลาย จงมีแก่ข้าพเจ้าทุกเมื่อ​



     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 ธันวาคม 2006
  9. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    เรื่องการสวดมนต์ (จบครับ)

    หลวงพ่อจรัล ฐิตธมฺโม วัดอัมพวัน จังหวัดสิงบุรี

    http://www.jarun.org/v6/th/dhamma-pray.html#1


    วิธีการแผ่เมตตาและอุทิศส่วนกุศล
    "................อธิษฐานจิต หมายความว่า ตั้งสติสัมปชัญญะ ไว้ที่ลิ้นปี่ สำรวมกาย วาจา จิตให้ตั้งมั่นแล้ว จึงขอแผ่เมตตาไว้ในใจ สักครู่หนึ่ง แล้วก็อุทิศให้มารดา บิดาของเรา ว่าเราได้บำเพ็ญกุศล ท่านจะได้บุญ ได้กุศลแน่ ๆ เดี๋ยวนี้ด้วย ผมเรียนถวายนะ มิฉะนั้นผมจะอุทิศไปยุโรปได้อย่างไร.........."
    "หายใจยาว ๆ ตั้งสติก่อน หายใจลึก ๆ ยาว ๆ แล้วก็แผ่เมตตาก่อน มีเมตตาดีแล้ว ได้กุศลแล้วเราก็อุทิศเลย อโหสิกรรม ไม่โกรธ ไม่เกลียด ไม่พยาบาทใครอีกต่อไป และเราจะขออุทิศให้ใคร ญาติบุพเพสันนิวาสจะได้ก่อน ญาติเมื่อชาติก่อนจะได้มารับ เราก็มิทราบว่า ใครเคยเป็นพ่อแม่ ในชาติอดีต ใครเป็นพี่น้องของเรา เราก็ไม่ทราบ แต่แล้วเราจะได้ทราบ ตอนอุทิศส่วนกุศลนี้ไปให้ เหมือนโทรศัพท์ไป เขาจะได้รับหรือไม่ เราจะรู้ได้ทันที........"
    "ที่ผมแผ่เมตตา และอุทิศส่วนกุศลไปเข้าบ้านลูกสาวญวนที่กรุงปารีส ฝรั่งเศส ทำอย่างนี้นะ เวลาสวดมนต์ อิติปิโส ...ยาเทวตา...ตั้งใจสวดด้วยภาษาบาลีเช่นนี้ ที่หยุดเงียบไปน่ะ ผมสำรวมจิต ตั้งสติ แผ่เมตตา จิตสงบดีแล้ว จึงอุทิศไป"
    "บางองค์ไม่เอา เอามือลง ไม่อธิษฐาน ท่านจะไม่ได้อะไร แล้วสวดกันก็ไม่ได้ด้วย ที่ท่องจำโคลงกันให้ได้นะ เพื่อให้คล่องปาก ว่าให้คล่องปาก แล้วก็จะคล่องใจ คล่องใจแล้ว ถึงจะเป็นสมาธิ เป็นสมาธิแล้ว ถึงจะอุทิศได้ ไม่อย่างนั้น ไม่ได้นะ"
    "เอาตำรามาดูกัน ก็ไม่ได้ผล แต่ดูตำรา เพื่อให้ถูกวรรคตอน และให้คล่องปาก แล้วจะได้คล่องใจเป็นสมาธิ ถึงจะมีกำลังส่งอุทิศ ไม่อย่างนั้นไม่มีกำลังส่งเลยนะ......"
    "การอุทิศส่วนกุศลนี่สำคัญนะ แต่ต้องแผ่เมตตาก่อน แผ่เมตตาให้มีสติก่อน แผ่เมตตาให้มีความรู้สึกว่า เราบริสุทธิ์ ใจมีเมตตาไหม แล้วอุทิศเลย มันคนละขั้นตอนกันนะ"
    "แผ่เมตตากับอุทิศ มันต่างกัน ทำใจให้เป็นเมตตาบริสุทธิ์ก่อน ไม่อิจฉา ริษยา ไม่ผูกพยาบาทใครไว้ในใจ ทำใจให้แจ่มใส ทำให้ใจสบาย คือ เมตตาแล้วเราจะอุทิศให้ใครก็บอกกันไป มันจะมีพลังสูง สามารถจะอุทิศให้ คุณพ่อคุณแม่ ของเรากำลังป่วยไข้ให้หายจากโรคภัยไข้เจ็บได้ เช่น วีโก้ บรูน ชาวนอรเวย์ ที่เคยมาบวชที่วัดนี้ เป็นต้น..."
    "หายใจยาว ๆ ตั้งกัลยาณจิตไว้ที่ลิ้นปี่ ไม่ใช่พูดส่งเดช "จำนะ ที่ลิ้นปี่ เป็นการแผ่เมตตาจะอุทิศก็ยกจากลิ้นปี่ สู่หน้าผาก เรียกว่า อุณาโล มา ปจชายเต...."
    "ได้บรรยายให้ท่านฟังว่า แผ่ส่วนกุศลทำอย่างไร อุทิศตรงไหน ทำตรงไหน และวางจิตไว้ตรงไหน ถึงจะได้ อย่าลืมนะ ที่ลิ้นปี่ หายใจยาว ๆ สำรวมเวลาสวดมนต์นั้นน่ะ ได้บุญแล้ว ไม่ต้องเอาสตางค์ไปถวายองค์โน้น องค์นี้หรอก แล้วสำรวมจิต ส่งกระแสจิตที่หน้าผาก อุทิศส่วนกุศล......"


    บทแผ่เมตตาและอุทิศส่วนกุศล
    บทแผ่เมตตา
    สัพเพ สัตตา สัตว์ทั้งหลาย ผู้เป็นเพื่อนทุกข์ เกิดแก่เจ็บตาย ด้วยกันหมดทั้งสิ้น
    อะเวรา (โหนตุ) จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด อย่าได้มีเวรแก่กันและกันเลย
    อัพยาปัชฌา จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด อย่าได้เบียดเบียนซึ่งกันและกันเลย
    อนีฆา (โหนตุ) จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด อย่าได้มีความทุกข์กายทุกข์ใจเลย
    สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ จงมีความสุขกายสุขใจ รักษาตนให้พ้นจากทุกข์ภัยทั้งสิ้นเทอญ
    บทกรวดน้ำ (อุทิศส่วนกุศล)
    อิทัง เม มาตาปิตูนัง โหตุ สุขิตา โหนตุ มาตาปิตะโร
    ขอส่วนบุญนี้ จงสำเร็จ แด่มารดาบิดาของข้าพเจ้า ขอให้มารดาบิดาของข้าพเจ้า จงมีความสุข
    อิทัง เม ญาตีนัง โหตุ สุขิตา โหนตุ ญาตะโย
    ขอส่วนบุญนี้ จงสำเร็จ แด่ญาติทั้งหลายของข้าพเจ้า ขอให้ญาติทั้งหลายของข้าพเจ้า จงมีความสุข
    อิทัง เม ครุปัชฌายาจะริยานังโหตุ สุขิตา โหนตุ ครุปัชฌายาจะริยา
    ขอส่วนบุญนี้ จงสำเร็จ แด่ครูอุปัชฌาย์อาจารย์ของข้าพเจ้า ขอให้ครูอุปัชฌาย์อาจารย์ของข้าพเจ้า จงมีความสุข
    อิทัง สัพพะ เทวะตานัง โหตุ สุขิตา โหนตุ สัพเพ เทวะตาโย
    ขอส่วนบุญนี้ จงสำเร็จ แด่เทวดาทั้งหลาย ขอให้เทวดาทั้งหลาย จงมีความสุข
    อิทัง สัพพะ เปตานัง โหตุ สุขิตา โหนตุ สัพเพ เปตะโย
    ขอส่วนบุญนี้ จงสำเร็จ แก่เปรตทั้งหลาย ขอให้เปรตทั้งหลาย จงมีความสุข
    อิทัง สัพพะ เวรีนัง โหตุ สุขิตา โหนตุ สัพเพ เวรี
    ขอส่วนบุญนี้ จงสำเร็จ แก่เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลาย ขอให้เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลาย จงมีความสุข
    อิทัง สัพพะ สัตตานัง โหตุ สุขิตา โหนตุ สัพเพ สัตตา
    ขอส่วนบุญนี้ จงสำเร็จ แก่สัตว์ทั้งหลายทั้งปวง ขอให้สัตว์ทั้งหลายทั้งปวง จงมีความสุขทั่วหน้ากันเทอญ


     
  10. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    การเดินรังสีจิตในพระเครื่อง หรือ ศิลปการใช้พระเครื่อง ตอนที่ 4<O:p</O:p

    ปรัศนี ประชากร (เขียนเมื่อ ปี พ.ศ. 2525)<O:p</O:p
    ลิขสิทธิ์ ท่านอาจารย์ประถม อาจสาคร<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    6. มีผู้แขวนพระร่วงหลังรางปืนสนิมแดง กรุวัดพระศรีรัตนมหาธาตุ สวรรคโลกองค์ชนะการประกวดถูกยิงนัดเดียวตายคาที่พระองค์นั้นไม่ต้องบอกก็นั่งทางในตอบได้ว่าเลี่ยมอัดอย่างแข็งแรง

    <O:p</O:p7. วัยรุ่นที่จังหวัดสมุทรปราการ ได้รับพระสมเด็จวัดระฆังขนานแท้ และดั้งเดิมจากบรรพบุรุษ ซึ่งเคยมีประสบการณ์มาแล้วมากครั้ง ครั้งแรกถูกยิงด้วยปืนลูกซองพกไม่ระคายผิวหนัง ต่อมานำไปเลี่ยมอัดพลาสติกเพียงถูกสุนัขกัดเบาะ ๆ ต้องเย็บถึง 8 เข็ม
    <O:p</O:p
    8. นักเลงพระชั้นเซียนผู้หนึ่งได้พระท่าเสาเมืองกาญจน์มาหนึ่งองค์ ทดลองความเหนียวคงโดยนำพระยัดใส่ปากปลาช่อนแล้วฟันด้วยมีดอย่างแรงหลายที่ ปรากฏว่าฟันไม่เข้าจึงนำไปเลี่ยมอัดพลาสติกตามคตินิยม วันหนึ่งจะอวดของดีกับเพื่อนฝูง จึงไปซื้อปลาช่อนมาจากตลาดลองฟันดูใหม่ปรากฏว่าฟันเข้าหมดลองดูถึง 10 ตัวไม่ได้ผล จึงลองแกะพลาสติกแล้ว ไปหาปลามาทดลองฟันใหม่ปรากฏว่าฟันไม่เข้า การทดลองเช่นนี้ทำให้เพื่อนฝูงเกิดลาภปาก รับประทานปลาแป๊ะซะกันจนอิ่มหนำสำราญ วันนั้นเองเซียนพระผู้นั้นนำพระเครื่องชนิดต่าง ๆ มาแกะพลาสติกออกได้พลาสติกประมาณครึ่งกระบุง<O:p</O:p

    9. นักเลงพระชื่อวันชัย อยู่จังหวัดอยุธยามีพระสมเด็จวัดระฆังราคาแสนแขวนสร้อยห้อยคอ ถูกยิงเข้าทุกนัด นักปราชญ์ท่านยังเชียร์ว่าพระสมเด็จไม่ตายโหง เช่นนี้ถ้าถูกเอ็ม 16 ที่หน้า หน้าอาจจะไม่เละกระมังเพราะท่านไม่ตายโหง แต่ที่ตายโหงมาแล้วเหลือคณานับ นักปราชญ์ท่านแก้ว่าได้ตรวจทางในแล้ว ถึงสมเด็จฯ ปลุกเสกพระของท่าน ถึงวันละสามเวลาไม่ขาดเกิน ก็ไม่ปรากฏนิมิตว่าเหนียวคง ตรวจหลายองค์แล้ว อนิจจา หลงเล่นพระปลอมอยู่ได้<O:p</O:p

    10. ที่อำเภอธาตุพนม จังหวัดนครพนม นายตำรวจตระเวนชายแดนชายแดนคนหนึ่งชื่อ สำราญ นามสกุลจำไม่ได้ นำพระสมเด็จฯ มาให้ดู ปรากฏว่าเป็นพระสมเด็จวัดระฆังไม่มีการเลี่ยมใช้พกกระเป๋าเฉย ๆ เล่าให้ฟังว่า ใช้พระองค์เดียวถูกยิงด้วยกระสุนเจาะเกราะอย่างจังที่ขา ระยะเผาขน พอเป็นผื่นเล็กน้อยเท่านั้นเอง ใครว่าพระสมเด็จไม่เหนียว นอกจากของเก๊ ไม่รับรอง<O:p</O:p

    11. ที่อำเภอตาคลี จังหวัดนครวรรค์ มีการจ้างนักเลงทำร้ายบุคคลผู้หนึ่งผู้ดักทำร้ายล้วนเคยเป็นเสือปล้นและมีประวัติโชกโชนมาแล้วทั้งนั้น แบ่งเป็นมือปืน มือมีด มือขวาน แยกย้ายกันเป็นขั้นตอน ชั้นแรกมือปืนใช้ปืนพกขนาด 11 ม.ม. ยิงถูกท้ายทอยเต็มรัก แรงผลักดันของลูกปืนทำให้ผู้ถูกทำร้ายถึงกับกระเด็นตีลังกาจากรถเครื่อง น่าสงสารตัวเล็กนิดเดียวมองไปข้างหน้าเห็นกลุ่มดาบและกลุ่มมือขวานดักรออยู่อีก ได้สติจึงหลบมุดลงท่อน้ำข้างถนนรอดไปได้ การที่กลุ่มประหารวางแผนอย่างเข็มแข็งเช่นนี้ เพราะทราบว่าผู้ถูกทำร้ายมีพระดีเคยถูกยิงไม่ออก ความจริงคือพระสมเด็จองค์เก่า ๆ ของปู่องค์เดียวเท่านั้นใช้เลี่ยมทองเปิดหน้าเปิดหลังมาเดิมไม่มีการเปลี่ยนแปลงแต่เป็นพระสมเด็จวัดไชโยวรวิหาร จังหวัดอ่างทอง<O:p</O:p

    12. ที่จังหวัดภาคใต้ มีนายตำรวจชั้นรองผู้กำกับการภูธรกับคณะเดินทางไปราชการท้องที่โดยรถจิ๊บแลนโรเวอร์ เกิดอุบัติเหตุ รถคว่ำมีคนเจ็บและตาย ตัวท่านรองเองขาหัก ขณะที่แล่นรถเข้าตัวเมือง มีการประทับทรงเสด็จปู่ทวดเหยียบน้ำทะเลจืดอยู่ริมถนน ร่างทรงได้เรียกให้รถหยุดแล้วเข้าไปต่อว่าท่านรองฯ ว่าไปขังท่านไว้ออกมาช่วยไม่ได้ เพียงขาหักก็ดีแล้ว ปรากฏว่าคอของท่านรองฯ แขวนรูปหลวงปู่ทวดอยู่หนึ่งองค์หนึ่งจริง ๆ ต้องรีบนำไปแกะออกด่วน<O:p</O:p

    <O:p</O:p
    ท่านอาจารย์ประถม อาจสาคร สงวนลิขสิทธิ์
    (เป็นความเชื่อ
     
  11. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ที่มา http://www.jarun.org/v6/th/dhamma-course.html


    <!-- InstanceBeginEditable name="content" --><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG] [​IMG]
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    [​IMG]

    การลงทะเบียนและระยะเวลาเข้าปฏิบัติธรรม​
    แบบบุคคลทั่วไป
    การเข้าปฏิบัติธรรมที่วัด จะมีแบบ ๓ วัน และแบบ ๗ วัน ซึ่งหากเป็นผู้เข้าฝึกปฏิบัติธรรมใหม่ ขอแนะนำให้เข้ากรรมฐานแบบ ๗ วัน เพื่อที่จะได้รับผลดีที่สุด
    สำหรับการเข้าปฏิบัติธรรมแบบ ๓ วัน สามารถไปลงทะเบียนได้ที่วัด ทุกวันศุกร์ ก่อน ๔ โมงเย็น และจะลาศีล (กลับบ้าน) ก่อนบ่ายของวันอาทิตย์ครับ (อาจจะเป็นเสาร์ช่วงเย็น อาทิตย์ช่วงเช้า แล้วแต่เจ้าหน้าที่จะดูความเหมาะสมครับ)
    สำหรับการเข้าปฏิบัติธรรมแบบ ๗ วัน ก็จะสามารถไปลงทะเบียนได้ที่วัด ทุกวันโกนก่อน ๔ โมงเย็นเช่นกันครับ และลาศีลในวันโกนถัดไป (วันโกนคือวัน ก่อนวันพระ ๑ วัน)
    การลงทะเบียนเข้าปฏิบัติธรรม ไม่จำเป็นต้องจองหรือโทรไปแจ้งล่วงหน้าครับ ไปให้ตรงกับวันเวลาที่กำหนดเพียงเท่านั้นครับ
    สำหรับการพาบุตรหลานไปปฏิบัติธรรมด้วยนั้น สามารถกระทำได้ แต่ที่วัดจะไม่มีการแยกการสอน การฝึก หรือที่พักเป็นพิเศษ จำเป็นจะต้องปฏิบัติรวมกับบุคคลทั่วไปครับ
    สำหรับเยาวชนที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ จะต้องนำหนังสืออนุญาตจากผู้ปกครองนำติดไปด้วย
    แบบหน่วยงาน องค์กรหรือหมู่คณะ
    ทางวัดมีการจัดปฏิบัติธรรมเป็นหมู่คณะให้กับหน่วยงานหรือองกรณ์ต่างๆ ได้เข้าปฏิบัติธรรม ๓-๗ วันแล้วแต่นโยบายของหน่วยงานนั้นๆ โดยจะฝึกปฏิบัติแยกกับผู้ปฏิบัติทั่วๆ ไป และเมื่อครบกำหนดระยะเวลาแล้ว ผู้เข้ารับการฝึกปฏิบัติจะได้รับประกาศนีย์บัตรจากทางวัดมอบให้ด้วย
    ในการจองนั้น จะต้องไปจองด้วยตนเองที่สำนักเลขาฯ ของวัด เพื่อที่จะไปตรวจดูว่า วันและระยะเวลาที่ต้องการมาฝึกปฏิบัตินั้น มีผู้อื่นจองอยู่หรือไม่ และจะสามารถจองได้ในวันไหน ซึ่งหากเป็นไปได้วันที่จะขอเข้ารับการฝึกปฏิบัตินั้นเลือกให้ตรงกัับวันโกนก็จะดีครับ แต่พยายามหลีกเลี่ยงวันหยุดสำคัญต่างๆ จะดีมากครับ
    จากนั้นก็จะต้องทำจดหมายยืนยัน โดยนำรายชื่อของผู้ที่จะไปทั้งหมด ระบุเพศ อายุ หนังสืออนุญาต หรือหนังสือรับรองของหน่วยงานนั้นๆ แล้วไปติดต่อที่ สำนักเลขาฯ ตรงข้ามกับร้านหนังสือข้างกุฏิหลวงพ่อได้ทุกวันครับ
    สำนักงานเลขานุการวัดอัมพวัน
    วัดอัมพวัน อ. พรหมบุรี จ. สิงห์บุรี
    โทรศัพท์ ๐-๓๖๕๙-๙๓๘๑
    แบบไม่ตรงวันที่ทางวัดกำหนด
    การไปไม่ตรงวัน หรือไปในวันอื่นที่นอกเหนือจากที่มีในกฏระเบียบปฏิบัติของทางวัดนั้น อยากให้ผู้ที่จะเข้ารับการฝึกปฏิบัติ พึงพิจารณาในผลเสียต่างๆ เสียก่อน ว่าเป็นสิ่งที่สมควรหรือไม่
    • ๑. ผิดกฏระเบียบของทางวัดที่วางไว้
    • ๒. การเรียนเรียนปฏิบัติในเบื้องต้นนั้น จะต้องเรียนจากวีดีโอ ซึ่งหากเข้าปฏิบัติตามระเบียบของทางวัดจะมีพระครูเป็นผู้สอนครับ จะสามารถสอบถามได้หากติดขัด หรือเวลาไม่เข้าใจครับ ท่านก็จะสามารถปฏิบัติให้ดูซ้ำอีกครั้งได้
    • ๓. ตามปกติหากเข้าวันโกน ในวันพระหลวงพ่อท่านจะมาให้กรรมฐาน และเทศน์สอนด้วยตัวท่านเอง
      การรับกรรมฐานและได้รับการเทศน์สอนจากพระเดชพระคุณหลวงพ่อนั้น เป็นประโยชน์กับตัวผู้ปฏิบัติเองมากๆ เป็นสิริมงคล เป็นขวัญกำลังใจในการปฏิบัติอย่างยิ่ง ที่ได้เรียนจากพระเดชพระคุณหลวงพ่อโดยตรง ดังนั้นหากผู้ปฏิบัติไปไม่ตรงวันแล้ว ก็จะไม่ได้เข้าพิธีที่ว่านี้ หรือหากได้เข้า ก็จะเป็นวันที่ท่านใกล้จะกลับแล้ว ฉะนั้นช่วงก่อนหน้านั้นท่านจะได้รับประโยชน์น้อยกว่า
    • ๔. พิธีลาศีลจะไม่ตรงกับคนอื่น หรือบางทีก็อาจจะต้องลาศีลเอง หากเราไปไม่ตรงวันนั้น เมื่อเราเริ่มเข้าปฏิบัติ ผู้ที่มาเข้าปฏิบัติก่อนหน้าเรา เขาก็จะเริ่มเข้าพิธีลาศีลกันแล้ว แต่เรายังไม่ได้รับกรรมฐานเลย ซึ่งเมื่อเห็นผู้อื่นเริ่มทะยอยกันกลับท่านก็จะจิตใจวุ่นวาย อยากกลับบ้าน คิดถึงบ้านบ้าง เลยทำให้การปฏิบัติไม่ค่อยได้ผล มีแต่จิตใจที่อยากจะกลับบ้าน ซึ่งถ้าท่านฝืนใจไม่ได้แล้วกลับบ้านไป ก็จะเสียสัจจะที่ให้ไว้เสียอีกครับ
    • ๕. ในการดูแลผู้ปฏิบัติ เจ้าหน้าที่และแม่ครูจะต้องดูแลเราแยกออกจากกลุ่มคนที่เข้าในวันโกน กับวันศุกร์ เป็นการเพิ่มงานให้กับผู้ดูแลด้วยครับ
    หากพิจารณาดูแล้ว ยังจำเป็นจะต้องการไปปฏิบัตินอกเหนือจากระเบียบที่วางไว้จริงๆ ก็สามารถกระทำได้ โดยการแจ้งกับทางเจ้าหน้าที่ในวันที่เราไปที่วัด ในตอนรับสมัครครับ
    การไปเข้าปฏิบัติธรรมแบบไม่ตรงวันนั้นขอให้อยู่บนพื้นฐานที่ว่า จำเป็นจริงๆ ต้องจำเป็นจริงๆ พยายามอย่างยิ่งยวด สุดกำลังสติปัญญา้ กระทำทุกทางอย่างสุดความสามารถแล้ว ยังไม่สามารถไปให้ตรงกับวันที่ทางวัดกำหนดไว้ได้แล้ว ก็ค่อยไปไม่ตรงวันครับ
    เหตุที่เราก็ควรพยายามกระทำตามระเบียบให้มากที่สุด เพราะผลเสียทั้งหลายจะตกอยู่กับเราเอง เราไปไม่ตรงวัน ไม่อยู่ตามวันที่กำหนด เกินบ้าง น้อยบ้าง ตามแต่เราสะดวกนั้น จะทำให้เราเคยชินกับการหาเหตุผลที่คิดว่าถูกต้องมาตามใจตนเอง เริ่มต้นก็ตามใจตนเองแล้ว และเวลาปฏิบัติซึ่งเป็นการฝืนใจตนเองทั้งสิ้นนั้น ท่านจะทำได้หรือไม่โปรดพิจารณาครับ
    อย่างไรเสีย พระเดชพระคุณหลวงพ่อ แม่ครู และผู้ดูแลทุกท่านก็ให้ความเมตตารับท่านเข้าฝึกเบื้องต้นในสำนักคฤหัสถ์อย่างแน่นอนครับ ยกเว้นเป็นเหตุปัจจัยที่ดูแล้วท่านไม่สามารถปฏิบัติได้จริงๆ ผิดข้อห้ามที่สำคัญ อันมีผลต่อตัวท่านต่อการปฏิบัติจริงๆ เจ้าหน้าที่จึงไม่อนุญาตให้เข้าปฏิบัติครับ
    หากเราพยายามอย่างที่สุดแล้วสามารถกระทำได้ ก็จะทำให้จิตใจท่านเข้มแข็ง เวลาปฏิบัติก็จะมีแต่ความมั่นอกมั่นใจว่า้ถูกต้องตามระเบียบตั้งแต่เริ่ม ท่านก็จะประสบผลดีครับ


    การเตรียมตัวไปปฏิบัติธรรม
    สัมภาระต่างๆ เราก็ไม่ควรติดตัวอะไรไปมากมายครับ โดยเฉพาะทรัพย์สินหรือของมีค่ามิต้องนำไปด้วย เพราะในการเข้าปฏิบัติธรรม จะไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆเลย ไม่ว่าจะเป็นที่พัก อาหาร หลวงพ่อท่านให้ครับ ขอให้ตั้งใจปฏิบัติอย่างเดียว ดังนั้นสัมภาระต่างๆ ก็เอาเฉพาะสิ่งที่จำเป็นเท่านั้นครับ
    • ชุดปฏิบัติธรรมสีขาว ในกรณีที่ท่านไ่ม่สามารถหาชุดขาวได้ ทางวัดมีให้ยืม ครบทุกอย่าง โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายแต่อย่างใด
      • ชาย กางเกงขายาวสีขาว เสื้อแขนสั้นสีขาว
      • หญิง เสื้อแขนยาว ผ้าถุงสีขาว สไบสีขาว
      การแต่งกายของผู้เข้าปฏิบัติธรรมไม่ควรใช้เครื่องแต่งกายอื่น นอกเหนือจากที่กำหนดไว้ในระเบียบปฏิบัติของทางวัด เช่น ผู้หญิงจำเป็นจะต้องนุ่งผ้าถุงสีขาว ไม่ควรสวมกางเกง เราต้องหัดฝืนใจตนเพราะการฝึกปฏิบัตินั้น จะเป็นการฝืนใจตนเองทั้งสิ้นครับ หากตามใจตน ตามความเคยชิน ความถนัดของตนเองตั้งแต่ชุดปฏิบัติธรรมแล้ว ท่านจะปฏิบัติให้ได้ผลได้อย่างไรครับ
    • บัตรประจำตัวประชาชน หรือบัตรที่แสดงตนเฉพาะบุคคล
    • ของใช้ส่วนตัวที่จำเป็น แปรงสีฟัน ยาสีฟัน สบู่ ผ้าเช็ดตัว ชุดนอนจะใส่ชุดปฏิบัติธรรมก็ได้ ผู้หญิงสามารถใส่กางเกงได้ หากใส่ชุดอื่น หากกระทำได้ก็ควรเป็นสีขาวไม่มีลาย ควรงดเว้นการสวมใส่เครื่องประดับ การใช้เครื่องปะทินผิวทุกอย่าง เช่น แป้ง ครีม เพราะต้องรักษาศีล ๘ ครับ
    ข้อที่ควรปฏิบัติระหว่างมาเข้าวัดปฏิบัติธรรม
    • ระลึกถึงคำสอนของพระเดชพระคุณหลวงพ่อบทนี้อย่าได้ขาด
      "ถ้าท่านตั้งใจปฏิบัติธรรมโดย กินน้อย พูดน้อย นอนน้อย ทำความเพียรให้มากแล้ว
      ไม่สนใจใครทั้งหมด ตัดปลิโพธิกังวลให้หมด (พะว้าพะวัง ห่วงโน้น ห่วงนี่ ห่วงนั่น)
      ท่านจะไม่ขาดทุน"
    • ศึกษา "ระเบียบปฏิบัติสำหรับผู้ปฏิบัิติธรรม ณ สำนักปฏิบัติธรรมฝ่ายคฤหัสถ์" ให้หมดเสียก่อน
    • ไม่พูดคุยกัน ไม่คะนองวาจา ไม่โทรศัพท์ และไม่อ่านหนังสือ ตลอดเวลาที่อยู่ปฏิบัติธรรมในวัด
    • ไม่ทำเสียงดัง เดินต้องสำรวม กำหนดสติตลอดเวลา
    • เข้าฝึกตรงตามตารางไม่เกียจคร้าน
    • สำรวมตนอยู่ในเขตภาวนา อย่าไปเดินซื้อของ อย่าเดินสำรวจรอบๆ บริเวณวัด
    • ใช้หลักสติปัฏฐานสี่ในการฝึกปฏิบัติธรรม ตามที่หลวงพ่อสอนเท่านั้น
    พระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านสอนมาตลอดชีวิตของท่าน โดยมุ่งเน้นให้พวกเรา "สร้างบุญ" โดยการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน ซึ่งเป็นบุญสูงสุดในพระพุทธศาสนา ฉะนั้นในช่วงระหว่างที่ท่านปฏิบัติธรรม ขอให้ท่านกระทำกิจนี้ให้สมบูรณ์ก่อน อย่าพะวงกับการ "ทำบุญ" ในระหว่างที่ปฏิบัติธรรม เช่น การตักบาตร การสมทบทุนช่วยทางวัดในด้านต่างๆ เพราะเมื่อท่านพะวงอยู่กับสิ่งนี้แล้ว ก็เท่ากับการ "สร้างบุญ" ของท่านไม่ต่อเนื่อง ไม่ตัดปลิโพธิกังวลทั้งหลายตามที่หลวงพ่อสอน
    ขอให้ท่าน "ทำบุญ" เมื่อได้ "สร้างบุญ" จากการปฏิบัติวิปัสสนาเสร็จสิ้นตามจำนวนวันแล้ว เมื่อทำการเปลี่ยนชุดเรียบร้อยแล้วจึงค่อยมา "ทำบุญ" ในลำดับต่อไปครับ
    บางสิ่งบางอย่างที่เกิดขึ้นที่นี่อาจไม่ถูกใจเรา แต่พึงระลึกไว้เสมอว่า เรามาที่นี่เพื่อพัฒนาตนเอง หรือฝึกฝนตนเองให้เข้มแข็ง มีความอดทน และมีสติสมาธิที่แน่วแน่เพื่อให้สามารถ ลด ละ เลิกในสิ่งที่เป็นอกุศล ควรกำหนดสติตลอดเวลาครับ


    ปฏิทินการเข้าปฏิบัติธรรม
    ญาติธรรมสามารถตรวจสอบวันเข้าปฏิบัติธรรมทั้งปี ได้จากหน้า "ปฏิทินธรรม" ครับ
     
  12. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ที่มา http://www.jarun.org/v6/th/dhamma-course.html

    ระเบียบปฏิบัติสำหรับผู้ปฏิบัิติธรรม ณ สำนักปฏิบัติธรรมฝ่ายคฤหัสถ์
    ผู้ที่สมัครเข้ามาปฏิบัติธรรม ณ สำนักปฏิบัติธรรมฝ่ายคฤหัสถ์ ควรทำความเข้าใจ ในระเบียบปฏิบัติดังนี้
    ๑. ผู้ปฏิบัติธรรมจะต้องแจ้งความจำนงต่ออาจารย์ผู้ปกครอง ซึ่งทำหน้าที่เป็นผู้ดูแลอำนวยความสะดวก และรับลงทะเบียนโดยจะมีเจ้าหน้าที่อาสาสมัครสับเปลี่ยนกันมาทำหน้าที่จัดที่พัก แนะนำขั้นตอนแก่ผู้มาใหม่
    ๒. ต้องแสดงความจำนงเป็นลายลักษณ์อักษรในใบสมัคร ซึ่งทางสำนักจัดเตรียมไว้ให้ ต้องมีบัตรประชาชน หรือใบสำคัญแสดงสัญชาติ อย่างใดอย่างหนึ่งแล้วแต่กรณี เพื่อแสดงแก่อาจารย์ ผู้ปกครองของสำนักจนเป็นที่พอใจ
    ๓. จะต้องแจ้งให้เจ้าหน้าที่ทราบว่า จะอยู่ปฏิบัติกี่วัน ดังนี้
    • ผู้เข้าปฏิบัติธรรม ๗ วัน ทางสำนักจะรับสมัครในวันโกน (ก่อนวันพระ ๑ วัน) โดยต้องอยู่ปฏิบติธรรมต่อเนื่อง ๗ วัน
    • ผู้เข้าปฏิบัติธรรม ๓ วัน ทางสำนักจะรับสมัครทุกวันศุกร์ ต้องอยู่ปฏิบัติธรรม วันศุกร์ เสาร์ อาทิตย์
    • ส่วนผู้ที่มีความประสงค์อยู่ต่อ หลังจากปฏิบัติครบ ๗ วันแล้ว ให้ขออยู่ต่อเป็นกรณี ๆ ไป
    ๔. ผู้สูงอายุไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ หรือเด็กที่มีอายุต่ำกว่า ๑๕ ปี ซึ่งไม่มีผู้ปกครองมาด้วย (ยกเว้นได้รับอนุญาต) ผู้ป่วยโรคจิต โรคติดต่อ โรคที่สังคมรังเกียจ หรือมีอวัยวะไม่สมบูรณ์ และผู้ที่บวชเพื่อแก้บน ทางสำนักไม่สามารถรับไว้ปฏิบัติธรรมได้
    ๕. หากนักปฏิบัติยังไม่บรรลุนิติภาวะ ต้องได้รับอนุญาตจากมารดา บิดา สามี หรือผู้ปกครองเป็นลายลักษณ์อักษรในใบสมัคร
    ๖. สำหรับผู้ที่มาลงทะเบียน ในช่วงเช้าหรือก่อน ๑๖.๐๐ น. ควรเข้าที่พักเพื่อพักผ่อน หรือทำกิจต่าง ๆ ให้เรียบร้อยเสียก่อน เมื่อถึงเวลาห้าโมงเย็น จึงเปลี่ยนเครื่องแต่งกายเป็นชุดปฏิบัติธรรมสีขาวแบบสุภาพเรียบร้อย ไม่มีลวดลายหรือเครื่องประดับ และไม่สวมลูกประคำ เมื่อท่านแต่งชุดขาวแล้ว ห้ามออกไปนอกเขตภาวนา และห้ามไปรับประทานอาหาร
    ๗. ให้ผู้ปฏิบัติมาพร้อมกัน ณ ศาลาคามวาสี (ศาลาหลวงพ่อเทพนิมิต) อยู่ตรงข้ามศาลาลงทะเบียน เวลา ๑๘.๐๐ น. หรือที่นัดหมาย ที่เจ้าหน้าที่จัดตามความเหมาะสม เพื่อทำพิธีขอศีลแปด จากพระภิกษุที่ได้รับนิมนต์ไว้ โดยเจ้าหน้าที่จะได้จัดเตรียม ดอกไม้ธูปเทียนไว้ให้ผู้ปฏิบัติใช้ในพิธี
    ๘. ปฏิบัติธรรมแบ่งออกเป็น ๔ ช่วงในแต่ละวันดังนี้
    ช่วงแรก ๐๔.๐๐ น. - ๐๖.๓๐ น.
    ช่วงที่สอง ๐๘.๐๐ น. - ๑๑.๐๐ น.
    ช่วงที่สาม ๑๓.๐๐ น. - ๑๗.๐๐ น.
    ช่วงที่สี่ ๑๘.๓๐ น. - ๒๑.๐๐ น.
    ๙. ผู้ปฏิบัติต้องมาพร้อมกันที่ศาลาปฏิบัติของสำนัก ตามเวลาที่กำหนดโดยฟังจากสัญญาณระฆัง ใช้ศาลาเป็นที่นั่งกรรมฐาน และบริเวณรอบนอกศาลาเป็นที่เดินจงกรม
    ๑๐. ขั้นตอนการปฏิบัติ เมื่อผู้ปฏิบัติมาพร้อมกันตามเวลาในการปฏิบัติช่วงแรก ณ สถานที่ปฏิบัติแล้ว หัวหน้าจุดเทียนธูปบูชา พระรัตนตรัย นำสวดมนต์ กราบพระประธานแล้ว จึงเริ่มปฏิบัติธรรม โดยการเดินจงกรมก่อน ๓๐ นาที แล้วเปลี่ยนอิริยาบถ เข้ามานั่งกรรมฐาน ๓๐ นาที สลับกันไปจนครบเวลาปฏิบัติที่กำหนด ส่วนเวลาในการปฏิบัติ ๓๐ นาที ที่กำหนดนี้ ผู้ปฏิบัติอาจปรับ ให้มากหรือน้อยกว่า ๓๐ นาที ตามความเหมาะสมของสภาวะอารมณ์
    ๑๑. ก่อนถึงเวลาพักทุกช่วง ผู้ปฏิบัติธรรมควรอยู่ในอิริยาบถ ของการนั่งกรรมฐาน ทั้งนี้เพราะเมื่อสิ้นสุดการปฏิบัติในแต่ละช่วง จะได้แผ่เมตตาต่อไปได้ โดยไม่เสียสมาธิจิต
    ๑๒. เมื่อแผ่เมตตา (สัพเพ สัตตา...) เสร็จแล้ว นั่งพับเพียบประนมมือ เพื่ออุทิศส่วนกุศลผลบุญในการปฏิบัติธรรมแก่มารดา บิดา ญาติพี่น้อง เทวดา เปรต และสรรพสัตว์ทั้งหลาย (อิทัง เม มาติปิตูนัง โหตุ....) จากนั้นลุกขึ้นนั่งคุกเข่า สวดมนต์บูชาพระรัตนตรัย (อรหัง สัมมาสัมพุทโธ ภควา....) กราบพระประธาน
    ขั้นตอนในการปฏิบัติจะเป็นเช่นเดียวกันในทุกช่วง เว้นแต่การจุดเทียน ธูป บูชาพระรัตนตรัยในช่วยที่ ๒-๓-๔ ไม่มี เพราะได้บูชาแล้วในช่วงแรก
    ๑๓. ให้ความรู้สำหรับผู้ปฏิบัติที่มาใหม่ อาจารย์หรือหัวหน้า ผู้ได้รับมอบหมาย จะเป็นผู้ให้คำแนะนำการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานเบื้องต้น ส่วนการทดสอบอารมณ์ตลอดจนความรู้ที่ละเอียดขึ้น ทางอาจารย์ใหญ่ จะเป็นผู้ให้ความรู้หลังจากปฏิบัติธรรม ช่วงแรกเสร็จเวลาประมาณ ๐๖.๐๐ น. ผู้ปฏิบัติธรรมที่ไม่เข้าใจ หากมีข้อสงสัยใด ๆ อาจใช้ช่วงเวลานี้สอบถามขอความรู้ได้
    ๑๔. ห้ามคุย บอก หรือ ถามสภาวะกับผู้ปฏิบัติ เพราะจะเป็นภัย แก่ผู้ที่กำลังปฏิบัติทั้งต่อตนเองและผู้อื่น โดยจะทำให้อารมณ์ฟุ้งซ่าน และเพ้อเจ้อ หากมีความสงสัยในข้อวัตรปฏิบัติอย่างไรแล้ว ให้เก็บไว้สอบถามครูผู้สอน ห้ามสอบถามผู้ปฏิบัติด้วยกันเป็นอันขาด
    ๑๕. ถ้ามีความจำเป็นจริง ๆ ก็ให้พูดเบา ๆ ประกอบด้วยสติสัมปชัญญะ แต่ไม่ควรพูดนาน เพราะจะทำให้ฟุ้งซ่าน ทั้งผู้พูดและผู้ฟัง และทำให้การปฏิบัติไม่ก้าวหน้า
    ๑๖. ถ้ามีเรื่องจะพูดกันนาน ต้องออกจากห้องกรรมฐาน ไปพูดในสถานที่อื่น ห้ามใช้ห้องปฏิบัติรับแขก
    ๑๗. ขณะที่ยังอยู่ในระหว่างการปฏิบัติ ห้ามอ่านหนังสือ เขียนหนังสือ เรียนหนังสือ ฟังวิทยุ ดูทีวี ตลอดจนสูบบุหรี่ เคี้ยวหมาก
    ๑๘. ผู้ปฏิบัติจะต้องไม่เสพเครื่องดองของมึนเมา หรือ นำยาเสพติด ทุกชนิด เข้ามาในบริเวณสำนักเป็นอันขาด
    ๑๙. นักปฏิบัติต้องระลึกเสมอว่า เรามาปฏิบัติเพื่อยกระดับจิตใจ ขัดเกลากิเลสตัณหาให้เบาบางลง มิใช่มาเพื่อหาความสุข ในการอยู่ดี กินดี จึงต้องใช้ความอดทนเป็นพิเศษต่อความไม่สะดวก และสิ่งที่กระทบกระทั่ง ซึ่งสิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นเครื่องทดสอบ ความอดทนและคุณธรรมของนักปฏิบัติว่ามีอยู่มาน้อยเพียงใด
    นักปฏิบัติต้องเข้าอบรม รับศีล ประชุมพร้อมกันในอุโบสถ หรือ ศาลาที่จัดไว้ตามความเหมาะสมกับจำนวนนักปฏิบัติ ในวันพระ
    หากผู้ปฏิบัติเกิดเจ็บไข้ได้ป่วยขึ้น ให้รีบแจ้งแก่เจ้าหน้าี่โดยเร็ว เพื่อหาทางช่วยเหลือตามสมควรแก่กรณี ไม่ควรละการปฏิบัติ ในเมื่อไม่มีความจำเป็น
    ห้องหรือกุฏิที่จัดไว้เป็นห้องปฏิบัติ เฉพาะพระสงฆ์ก็ดี หรือห้องที่จัดไว้เฉพาะนักปฏิบัติที่เป็นบุรุษก็ดี สตรีก็ดี ห้ามมิให้เพศตรงข้ามเข้าไปนอน หรือใช้ห้องน้ำ ห้องส้วมนั้นเด็ดขาด
    ๒๐. ทุกวันอุโบสถ (วันพระ) ในช่วงบ่ายให้ผู้ปฏิบัติธรรมเข้าปฏิบัติธรรม ณ สถานที่ ที่เจ้าหน้าที่แจ้งให้ทราบ โดยมาพร้อมกัน ณ กุฏิอาจารย์ใหญ่ เวลา ๑๓.๓๐ น. อาจารย์ใหญ่จะเป็นผู้นำไป และเริ่มปฏิบัติตั้งแต่เวลา ๑๔.๐๐ น. - ๑๗.๐๐ น. หลังจากนั้นหลวงพ่อ พระราชสุทธิญาณมงคล จะลงสวดมนต์ทำวัตรเย็น ประกอบพิธี ให้กรรมฐานแก่ผู้ปฏิบัติที่มาใหม่ และแสดงพระธรรมเทศนา์
    ๒๑. การเข้านั่งในอุโบสถ ให้ผู้ปฏิบัติธรรมนั่งหันหน้าไปทางพระประธาน โดยสังเกตการนั่งให้เป็นแถวขนานไปกับพระสงฆ์
    ๒๒. เมื่อถึงบริเวณพิธี ให้คอยสังเกตสัญญาณการนั่ง การกราบ จากอาจารย์ผู้นำ ทั้งนี้เพื่อความพร้อมเพรียงเป็นระเบียบและเจริญตา แก่ผู้พบเห็น
    ๒๓. การออกนอกบริเวณสำนักโดยการพิธีทุกครั้ง อาจารย์ผู้ปกครองจะเป็นผู้นำทั้งไปและกลับ ให้เดินเป็นแถวตอนเรียงหนึ่ง ตามลำดับอาวุโส ด้วยอาการสงบสำรวจ
    ๒๔. นักปฏิบัติจะต้องอยู่ในบริเวณที่กำหนดให้เท่านั้น ถ้าไม่มีธุระจำเป็น ไม่ควรออกนอกสถานที่ปฏิบัติ และถ้ามีธุระจำเป็นต้องออกนอกสำนัก ต้องได้รับอนุญาตจากเจ้าหน้าที่ผู้ดูแลเสียก่อน
    ๒๕. ทางสำนักได้จัดที่พักไว้โดยเฉพาะเป็นห้อง ๆ มีไฟฟ้า น้ำ ห้องน้ำ ห้องส้วมพร้อม ขอความร่วมมือได้โปรดช่วยกันรักษาความสะอาดในห้อง หน้าห้อง ห้องน้ำ ห้องส้วม และขอให้ใช้น้ำ ไฟ อย่างประหยัด
    ๒๖. ไม่ควรเปิดน้ำ ไฟฟ้า และพัดลมทิ้งไว้เมื่อไม่อยู่ในห้องพัก
    ๒๗. เวลาว่างตอนเช้า ตอนกลางวัน หรือตอนเย็น ผู้ปฏิบัติธรรม อาจใช้เวลาว่าง ทำความสะอาดกวาดลานภายในเขตสำนักและบริเวณที่พัก เพื่อความสะอาดของสถานที่และเจริญสุขภาพของผู้ปฏิบัติ
    ๒๘. รับประทานอาหารมี ๒ เวลา และดื่มน้ำปานะ ๑ เวลาดังนี้
    ๗.๐๐ น. รับประทานอาหารเช้า
    ๑๑.๐๐ น. รับประทานอาหารกลางวัน
    ๑๗.๐๐ น. ดื่มน้ำปานะ
    ๒๙. การรับประทานอาหารและดื่มน้ำปานะทุกครั้ง ผู้ปฏิบัติธรรม ต้องมารับประทาน พร้อมกันที่โรงอาหารตรงตามเวลาที่กำหนด
    ๓๐. เมื่อตักอาหารใส่ภาชนะแล้ว ให้เข้านั่งประจำที่ให้เป็นระเบียบ ควรนั่งให้เต็มเป็นโต๊ะ ๆ ไปก่อน โดยผู้ไปถึงก่อนต้องนั่งชิด้านในก่อนเสมอ เมื่อเต็มแล้ว จึงเริ่มโต๊ะใหม่ต่อไป รอจนพร้อมเพรียงกัน แล้วหัวหน้าจะกล่าวนำ ขออนุญาตรับประทานอาหาร
    ๓๑. ขณะนั่งรอและรับประทานอาหาร ผู้ปฏิบัติธรรม ไม่ควรคุยกันหรือแสดงอาการใด ๆ ที่ไม่สำรวม
    ๓๒. เมื่อรับประทานอาหารเสร็จ ให้นั่งรออยู่ที่เดิม จนทุกคนรับประทานอาหารเสร็จ ให้ประนมมือ หัวหน้าจะให้พรผู้บริจาคอาหาร (สัพพี ฯลฯ..) ผู้ปฏิบัติธรรมสวดรับโดยพร้อมเพรียงกัน
    ๓๓. เมื่อเสร็จจากการรับประทานอาหาร ให้ผู้ปฏิบัติธรรมช่วยกันเก็บกวาดสถานที่ ทำความสะอาดภาชนะ จัดโต๊ะ เก้าอี้ ให้เรียบร้อย
    ๓๔. นักปฏิบัติจะต้องไม่นำของที่มีค่าติดตัวมาด้วย หากสูญหาย ทางสำนักจะไม่รับผิดชอบไม่ว่ากรณีใด ๆ ทั้งสิ้น
    ๓๕. นักปฏิบัติจะต้องไม่คะนองกาย วาจา หรือส่งเสียงก่อความรำคาญ หรือพูดคุยกับบุคคลอื่นโดยไม่มีความจำเป็น ถ้ามีผู้มาเยี่ยม จะต้องได้รับอนุญาตจากเจ้าหน้าที่เสียก่อน การเยี่ยมนั้นให้แขกคุยได้ไม่เกิน ๑๕ นาที ถ้าเป็นแขกต่างเพศ ให้ออกไปคุยข้างนอกสถานที่ปฏิบัติธรรม
    ๓๖. การลา เมื่อผู้ปฏิบัติธรรม ได้ปฏิบัติครบตามกำหนดที่ได้แจ้งความจำนงไว้แล้วนั้น เจ้าหน้าที่จะได้จัดเตรียมดอกไม้ ธูป เทียน เพื่อทำพิธีลาศีล และขอขมาพระรัตนตรัย ให้ผู้ปฏิบัติธรรมที่จะลาศีล พร้อมกัน ณ ที่นัดหมาย (ฟังประกาศจากเจ้าหน้าที่) โดยอาจารย์ผู้ปกครองเป็นผู้นำไป
    อนึ่ง ทางสำนักจะงดพิธีรับศีลในวันโกน และไม่มีพิธีลาศีลในวันพระ ดังนั้น ท่านที่มาลงทะเบียนเข้าปฏิบัติธรรมในวันโกน จะได้เข้ารับพิธีรับศีลในวันพระ ส่วนที่ที่จะลากลับในวันพระ หรือวันถัดจากวันพระ จะต้องเข้าลาศีลล่วงหน้า แต่คงปฏิบัติธรรมได้ตามปกติ จนถึงกำหนดวันที่ท่านได้แจ้งไว้ในใบลงทะเบียน
    ในกรณีที่มีความจำเป็นต้องลากลับก่อนกำหนดนั้น ผู้ปฏิบัติต้องแจ้งให้อาจารย์ผู้ปกครองทราบสาเหตุ และหากไม่มีความจำเป็น ไม่ควรหนีกลับไปโดยพลการ เพราะจะเป็นผลเสียต่อผู้ปฏิบัต
    ๓๗. ถ้านักปฏิบัติผู้ใด ไม่ทำตามระเบียบของสำนักที่กำหนดไว้นี้ ทางสำนักจำเป็นต้องพิจารณาเตือนให้ทราบก่อน หากยังไม่ยอมรับฟัง ทางสำนักมีความเสียใจเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องขอให้ออกจากสำนัก ทั้งนี้เพื่อมิให้เป็นเยี่ยงอย่างแก่บุคคลอื่น ที่จะเข้ามาปฏิบัติต่อไป
    ๓๘. ข้อแนะนำนี้ เป็นคู่มือให้รายละเอียดในแนวทางปฏิบัติ เพื่อความเป็นระเบียบของสำนักปฏิบัติธรรมแห่งนี้ ผู้ที่มาปฏิบัติธรรมจะได้เข้าใจ สบายใจในการอยู่อาศัยและปฏิบัติกรรมฐาน ร่วมกันอย่างสงบ ในสังคมของผู้ปฏิบัติธรรมย่อมประหยัดการพูด
    โอกาสที่ท่านจะถามระเบียบหรือโอกาสที่จะมีผู้อธิบายแนะนำแก่ท่านมีน้อย คู่มือนี้ จะช่วยท่านได้เป็นอย่างดี


    กำหนดเวลาการปฏิบัติธรรม<TABLE borderColor=#cccccc cellSpacing=0 cellPadding=5 width=450 align=center border=1><TBODY><TR><TD class=txtdate vAlign=top align=middle width=100 rowSpan=4>เช้า</TD><TD class=txt10 vAlign=top align=middle width=80>๐๓.๓๐ น.</TD><TD>ตื่นนอน พร้อมกัน ณ สถานที่ปฏิบัติธรรม
    สวดมนต์ทำวัตรเช้า (แปล)
    เดินจงกรม นั่งกรรมฐาน</TD></TR><TR><TD class=txt10 align=middle>๐๗.๐๐ น. </TD><TD>รับประทานอาหารเช้า</TD></TR><TR><TD class=txt10 align=middle>๐๘.๐๐ น.</TD><TD>สวดมนต์ เดินจงกรม นั่งกรรมฐาน ที่สถานที่ปฏิบัติ</TD></TR><TR><TD class=txt10 vAlign=top align=middle>๑๑.๐๐ น.</TD><TD vAlign=top>รับประทานอาหารกลางวัน</TD></TR><TR><TD class=txtdate vAlign=top align=middle rowSpan=2>บ่าย</TD><TD class=txt10 align=middle>๑๓.๐๐ น.</TD><TD>เดินจงกรม นั่งกรรมฐาน ที่สถานที่ปฏิบัติ</TD></TR><TR><TD class=txt10 vAlign=top align=middle>๑๗.๐๐ น.</TD><TD vAlign=top>ดื่มน้ำปานะ พักผ่อน</TD></TR><TR><TD class=txtdate vAlign=top align=middle rowSpan=3>ค่ำ</TD><TD class=txt10 vAlign=top align=middle>๑๘.๓๐ น.</TD><TD>เดินจงกรม นั่งกรรมฐาน ที่ศาลาปฏิบัติ
    สวดมนต์ทำวัตรเย็น (แปล)</TD></TR><TR><TD class=txt10 align=middle>๒๑.๓๐ น.</TD><TD>สอบอารมณ์</TD></TR><TR><TD class=txt10 vAlign=top align=middle>๒๓.๐๐ น.</TD><TD vAlign=top>พักผ่อน นอน</TD></TR></TBODY></TABLE>


    ศีล ๘ หรือ อุโบสถศีล
    การเข้าปฏิบัติธรรมนั้นเราจะต้องรักษาศีล 8 หรืออุโบสถศีล อันประกอบไปด้วยองค์แปดประการ คือ
    • ปานาติปาตา เวรมณี ข้าฯ จะเว้นจากการฆ่าสัตว์ คือไม่ทำชีวิตสัตว์ให้ตกล่วงไป เป็นการลดการเบียดเบียนซึ่งกันและกัน
    • อทินนาทานา เวรมณี ข้าฯ จะเว้นจากการลักทรัพย์ คือไม่ถือเอาสิ่งของที่เขาไม่ได้ให้ เป็นการลดการเบียดเบียน ทรัพย์สินของผู้อื่น
    • อพรหมจริยา เวรมณี ข้าฯ จะเว้นจากการประพฤติอันเป็นข้าศึกแก่พรหมจรรย์ คือ ไม่เสพเมถุนล่วงมรรคใดมรรคหนึ่ง (ถ้าไม่แตะต้องกายเพศตรงข้าม และไม่จับของต่อมือกันจะช่วยให้การฝึกสติสัมปชัญญะดียิ่งขึ้น)
    • มุสาวาทา เวรมณี ข้าฯ จะเว้นจากการพูดปด คือ พูดไม่ตรงกับความจริง
    • สุราเมระยะมัชชะปะมาทัฏฐานา เวรมณี ข้าฯ จะเว้นจากการดื่มสุราเมรัยของมึนเมาเสียสติ อันเป็นเหตุของความประมาทมัวเมา
    • วิกาลโภชนา เวรมณี ข้าฯ จะเว้นจากการดื่มกินอาหารในเวลาหลังเที่ยงไปแล้วจนถึงเช้าวันรุ่งขึ้น เป็นการลดราคะกำหนัด และลดความง่วงเหงาหาวนอน
    • นัจจคีตวา ทิตตะวิสูกะทัสสะนะ มาลาคันธวิเลปานะ ธารณะ มัณฑะนะ วิภูสะนัฏฐานา เวรมณี ข้าฯ จะเว้นจากการดูละครฟ้อนรำขับร้องประโคมดนตรี ทัดทรงดอกไม้ลูบไล้ของหอม เครื่องย้อมเครื่องทา เครื่องประดับตกแต่งต่างๆ อันปลุกเร้าราคะ กำหนัดให้กำเริบ
    • อุจจา สะยะนะ มะหาสะยะนา เวรมณี ข้าฯ จะเว้นจากการนั่งนอนเครื่องปูลาด อันสูงใหญ่ ภายในยัดด้วยนุ่นหรือสำลี และวิจิตรงดงามต่างๆ เป็นการลดการสัมผัสอันอ่อนนุ่มน่าหลงไหล อดความติดอกติดใจสิ่งสวยงาม มีกิริยาอันสำรวมระวังอยู่เสมอ
    ผู้รักษาศีล 8 นั้น สามารถรับประทานบางอย่างหลังเวลาเที่ยงได้ดังนี้
    • <LI class=dotstyle>น้ำปานะ คือ น้ำที่ทำจากผลไม้ ขนาดเล็กเท่าเล็บเหยี่ยว ขนาดใหญ่ไม่เกินส้มโอตำ หรือ คั้นผสมน้ำกรองด้วยผ้าขาวบางให้ดี 8 ครั้ง ผสมเกลือและน้ำตาล พอได้รส หรือ รับประทาน <LI class=dotstyle>เภสัช 5 อย่าง คือ เนยใส เนยข้น น้ำมัน น้ำผึ้ง น้ำอ้อย(น้ำตาล) <LI class=dotstyle>สิ่งที่เป็นยาวชีวิก ได้โดยไม่จำกัดกาล คือ รับประทานเป็นยาได้แก่ รากไม้ เช่น ขมิ้น ขิง ข่า ตะใคร้ ว่านน้ำ แฝก แห้วหมู น้ำฝาด เช่น น้ำฝาดสะเดา ใบมูกมัน ใบกระดอม ใบกะเพราหรือแมงลัก ใบฝ้าย ใบชะพลู ใบบัวบก ใบส้มลม
    • ผลไม้ เช่น ลูกพิลังกาสา ดีปลี พริก สมอไทย สมอพิเภก มะขามป้อม ผลแห่งโกฐ รวมยางไม้จากต้นหิงค์และเกลือต่างๆ
    คำอาราธนาศีล 8
    มะยัง ภันเต, วิสุง วิสุง รักขะณัตถายะ, ติสะระเณนะ สะหะ, อัฏฐะ สีลานิ ยาจามะ
    ทุติยัมปิ มะยัง ภันเต, วิสุง วิสุง รักขะณัตถายะ, ติสะระเณนะ สะหะ, อัฏฐะ สีลานิ ยาจามะ
    ตะติยัมปิ มะยัง ภันเต, วิสุง วิสุง รักขะณัตถายะ, ติสะระเณนะ สะหะ, อัฏฐะ สีลานิ ยาจามะ
    คำสมาทานศีล 8
    นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะฯ (๓ จบ)
    พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ
    ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ
    สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ
    ทุติยัมปิ พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ
    ทุติยัมปิ ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ
    ทุติยัมปิ สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ
    ตะติยัมปิ พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ
    ตะติยัมปิ ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ
    ตะติยัมปิ สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ
    ๑. ปาณาติปาตา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ
    ๒. อะทินนาทานา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ
    ๓. อะพรัหมะจะริยา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ
    ๔. มุสาวาทา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ
    ๕. สุราเมระยะมัชชะปะมาทัฏฐานา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ
    ๖. วิกาละโภชะนา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ
    ๗. นัจจะคีตะวาทิตะวิสูกะทัสสะนะมาลาคันธะวิเลปะนะธาระณะมัณฑะนะวิภูสะนัฏฐานา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ
    ๘. อุจจาสะยะนะมะหาสะยะนา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ
    อิมานิ อัฏฐะ สิกขาปะทานิ สะมาทิยามิ
    หมายเหตุ ท่อนที่ว่า เวระมะณี สิกขาปะทัง จะต้องเว้นระหว่าง เวระมะณี กับ สิกขาปะทัง ทุกครั้ง ห้ามพูดต่อกันเป็นประโยคเดียว

    การเดินทาง
    ญาติธรรมสามารถศึกษาวิธีการเดินทางมายังวัด โดยละเอียดพร้อมภาพประกอบได้ที่หน้า "การเดินทางมายังวัด" ครับ


     
  13. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ที่มา http://www.jarun.org/v6/th/dhamma-course.html



    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG] [​IMG]
    </TD></TR></TBODY></TABLE><!-- InstanceBeginEditable name="Content" -->
    [​IMG]
    "อาตมาได้ปัญหาที่วัด ถามโยมที่มาวัดว่า โยมมาทำไม เขาบอกว่ามาขอบุญ
    อาตมาบอกให้ไปฟังบนศาลา เดี๋ยวจะสอนเด็ก จะได้ไปเลี้ยงลูกรวย สวย เก่ง
    เขาบอก ไม่ฟังหรอกเจ้าค่ะ จะขอบุญสักหน่อย จะคอยอยู่ที่กุฏิ ก็จับได้เลยว่า
    คนไทยชอบทำบุญ ธรรมะไม่เอา ความสุขก็ไม่รู้แล้วจะไปเอาบุญช่วยได้ยังไง"​

    [​IMG]การเดินทางโดยรถประจำทาง
    การเดินทางไปวัดโดยรถประจำทางนั้นสามารถขึ้นรถได้หลายจุดครับ
    • ๑. หมอชิตใหม่
    • ๒. แถวสวนจตุจักรป้ายลาดพร้าว (ตรงข้าวเซ็นทรัลลาดพร้าว) เส้นวิภาวดีรังสิต
    • ๓. ป้ายรถเมล์หน้าวัดดอนเมือง ตรงที่มีทางเบี่ยงเข้าไปสำหรับรถประจำทางจอด
    • ๔. ป้ายรังสิต ตรงข้ามศูนย์การค้าใหญ่ฟิวเจอร์ปาร์ครังสิต (ฝั่งโรบินสัน)
    ๑. หมอชิตใหม่ สามารถไปซื้อตั๋วได้ที่ช่อง ๑๓ รถสิงห์บุรีครับ ราคา ๙๐ บาท หากซื้อไปกลับก็จะราคาเที่ยวละ ๗๐ บาท ครับ ไปกลับรวมเป็น ๑๔๐ บาท โดยตั๋วจะมีอายุ ๗ วัน ซื้อตั๋วได้เฉพาะที่ท่ารถสิงห์บุรีและกรุงเทพฯเท่านั้น ตอนกลับเราสามารถโทรไปบอกที่ท่ารถ ให้เขาจองที่นั่งไว้ให้ได้ พอมารับที่หน้าวัดก็จะมีที่นั่งให้ครับ โทรสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม ๐-๒๙๓๖-๓๖๖๐, ๐-๒๙๓๖-๓๖๖๖
    รถสิงห์บุรีจะออกทุก ๔๐ นาที มีรถตั้งแต่ ตี ๕ ครับ หากจะไปให้ทันลงทะเบียนให้ทัน ควรขึ้นรถจากหมอชิตก่อนบ่าย ๒ ครับ สำหรับขากลับรถออกจากสิงห์บุรีรอบสุดท้ายประมาณ ๖ โมงเย็น มาถึงหน้าวัดประมาณ ๖.๓๐ น. ครับ
    ๒. หากขึ้นรถที่ลาดพร้าว, ดอนเมือง, รังสิต หรือระหว่างทาง รถโดยสารที่สามารถขึ้นได้ก็จะเป็น สิงห์บุรี ชัยนาท ตาคลี อุทัย บางคันก็จะมีป้ายวัดอัมพวันติดไว้ที่หน้ารถเลยครับ ค่าโดยสารจะอยู่ระหว่าง ๖๐-๘๐ บาท สามารถบอกคนเก็บเงินได้เลยครับว่าจะไปวัดอัมพวัน ทุกคนจะช่วยเหลือเป็นอย่างดีครับ
    การขึ้นรถโดยสารที่หมอชิตใหม่
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=500 align=center border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD><TD>
    • มาที่สถานีขนส่งสายเหนือ (หมอชิตใหม่) หากลงรถเมล์ ก็จะเดินตามทางมาจนถึงป้ายนี้ครับ หากมาแท็กซี่ก็จะจอดบริเวณนี้เลย
    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=500 align=center border=0><TBODY><TR><TD>
    • ให้เช้าที่ ทางเข้าที่ ๑ ชั้น ๑ เมื่อเข้าไปแล้วเดินตรงไป ให้มองทางด้านขวามือครับ
    </TD><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=500 align=center border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD><TD>
    • หาช่องขายตั๋วช่องที่ ๑๓ เป็นรถปรับอากาศ ชั้น ๒ บอกเขาได้เลยครับ ว่าไปวัดอัมพวัน
    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=500 align=center border=0><TBODY><TR><TD>
    • ตั๋วราคา ๙๐ บาท ซื้อไปกลับลดเหลือ ๗๐ บาท หากไปตอนบ่าย นั่งฝั่งคนขับจะไม่ร้อนครับ ตอนเช้าก็ไม่ร้อนเท่าไรนักครับ
    </TD><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=500 align=center border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD><TD>
    • เมื่อซื้อตัวเสร็จแล้ว ให้เดินออกประตูทางด้านซ้ายมือ ทางออกที่ ๒ ชั้น ๑
    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=500 align=center border=0><TBODY><TR><TD>
    • จากนั้นเลี้ยวซ้าย เดินตรงไปเรื่อยๆ ก็จะพบกับช่อง จอดรถที่ ๑๐๒ ครับ
    </TD><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=500 align=center border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD><TD>
    • โปรดเก็บตั๋วไว้ให้พนักงานตรวจ ใช้ระยะเวลาเดินทางประมาณ ๒ ชั่วโมงครับ
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    การเดินทางโดยรถตู้
    สามารถขึ้นตู้ไปจังหวัดอุทัยธานี รถจะจอดอยู่บริเวณใต้ทางด่วนด้านพหลโยธินฝั่งสถานีโทรทัศน์ช่อง ๕ ซึ่งให้แจ้งว่าจะลงที่วัดอัมพวัน รถตู้ก็จะจอดที่เดียวกับรถประจำทาง ค่าโดยสารประมาณ ๑๖๐ บาท
    การเดินทางเข้าวัด
    รถจะจอดส่งตรงปากทางเข้าวัดพอดี จะมีวินรถมอเตอร์ไซค์อยู่ปากทางครับ ค่าโดยสาร ๑๐ บาท สะดวกปลอดภัย มีทั้งผู้ชายและผู้หญิงขี่ครับ
    หรือจะใช้วิธีการเดินเข้าไปก็ได้ ระยะทางราว ๘๐๐ เมตร ปลอดภัยทั้งกลางวันกลางคืน สองฟากข้างทางโล่ง มีบ้านคนแถวนั้นราว ๕-๖ หลัง ครับ
    เมื่อไปในวัดแล้ว สักประมาณ ๑๐๐ เมตร จะเห็น ๓ แยก ให้เลียวซ้ายครับ (หากตรงไปจะเป็นกุฏิหลวงพ่อ) แล้วเดินตามทางไป สังเกตทางแยกด้านซ้ายมือจะเป็นศาลาลงทะเบียนครับ
    การเดินทางกลับ
    สำหรับรถโดยสารขากลับเข้ากรุงเทพ เมื่อออกจากปากทางเข้าวัดมาที่ถนนใหญ่แล้ว สามารถเดินข้ามไปรถขึ้นรถที่ศาลาที่ฝั่งตรงข้ามวัด รถประจำทางจะจอดรับแทบทุกคันครับ และจะส่งเราลงได้ที่ป้ายรังสิต ท่าอากาศยานดอนเมือง ต่อจากนั้นรถก็จะเข้าไปจอดที่สถานีขนส่งเลยครับ
    [​IMG]หรือท่านจะนั่งรถสองแถวตรงศาลาหน้าวัด เข้าไปยังตัวจังหวัดสิงห์บุรี เพื่อขึ้นรถที่ต้นทางกลับก็ได้ครับ
    สำหรับขากลับรถออกจากสิงห์บุรีรอบสุดท้ายประมาณ ๖ โมงเย็น มาถึงหน้าวัดประมาณ ๖.๓๐ น. ครับ ใช้เวลาเดินทางประมาณ ๒ ชั่วโมง สถานีขนส่งจังหวัด โทร. ๐๓๖-๕๑๑-๕๔๙ และยังมีรถเอกชนวิ่งบริการ ออกเดินทางทุกวันตั้งแต่เวลาตี ๕ ถึง ๒ ทุ่ม รายละเอียดติดต่อ บริษัท ส. วิริยะทรานสปอร์ต จำกัด สำนักงานสิงห์บุรี โทร. ๐๓๖-๕๑๑-๒๕๙

     
  14. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ที่มา http://www.jarun.org/v6/th/dhamma-course.html

    การเดินทางโดยรถยนต์ส่วนตัว
    การเดินทางไปยังวัดโดยรถยนต์ส่วนตัวนั้น หากออกจากงกรุงเทพฯสามารถใช้ได้หลายเส้นทางดังนี้
    เส้นทางที่ ๑ ออกจากกรุงเทพฯโดยใช้ถนนพหลโยธิน ผ่านอำเภอวังน้อย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา จังหวัดสระบุรี เข้าไปในตัวเมืองลพบุรี มีถนนตัดผ่านไปจังหวัดสิงห์บุรี รวมระยะทางทั้งสิ้น ประมาณ ๑๗๙ กิโลเมตร
    เส้นทางที่ ๒ ออกจากกรุงเทพฯโดยใช้ถนนพหลโยธิน แยกเข้าถนนหมายเลข ๓๒ (ถนนสายเอเซีย) ผ่านจังหวัดพระนครศรี อยุธยา และจังหวัดอ่างทอง จนถึงจังหวัดสิงห์บุรี ระยะทางประมาณ ๑๔๒ กิโลเมตร
    เส้นทางที่ ๓ ออกจากกรุงเทพฯโดยใช้ถนนพหลโยธิน แยกเข้าถนนหมายเลข ๓๒ (ถนนสายเอเซีย) ผ่านจังหวัดพระนครศรี อยุธยา และเดินทางต่อด้วยเส้นทางหมายเลข ๓๐๙ จะผ่านตัวเมืองจังหวัดอ่างทอง และตรงไป จนถึงจังหวัดสิงห์บุรี ระยะทางประมาณ ๑๓๕ กิโลเมตร

    การเดินทางโดยใช้เส้นทางที่ ๒
    สำหรับเส้นถนนพหลโยธิน เมื่อผ่านฟิวเจอร์ ปาร์ครังสิตแล้ว ให้สังเกตทางด้านซ้ายมือ จะผ่าน ม.ธรรมศาสตร์ ม.กรุงเทพฯ นวนคร จนมาถึง ม.ราชภัฏวไลอลงกรณ์ ให้ออกจากทางคู่ขนาน ให้วิ่งไปตามทางหลวงหมายเลข ๓๒ ครับ (ถนนสายเอเซีย) สามารถสังเกตดูได้ที่ป้ายบอกเส้นทางของกรมทางหลวงสีเขียวด้านบน จะมีเลขที่ของถนนบอกครับ
    จะมีป้ายบอกทางหลวงหมายเลข ๓๒ ไปตลอดเส้นทางถนนสายเอเชียเลยครับ ให้สังเกตหมายเลขทางหลวงเป็นหลักครับ ส่วนจังหวัดไม่ต้องไปคำนึงถึง เพราะตามเส้นทางก็จะบอกจังหวัดต่างๆ กันไป แต่ให้เรามุ่งหน้าไปตามทางหลวงหมายเลข ๓๒ เป็นพอครับ
    เราก็จะผ่านจังหวัดพระนครศรีอยุธยา อ่างทอง เข้าอำเภอพรหมบุรี จนกระทั่งถึงป้ายแนวเขตค่ายพม่า (ซ้ายมือ) และจะเห็นป้ายวัดอัมพวัน (ซ้ายมือ) ซึ่งป้ายบอกหลักกิโลมเมตรที่ปักอยู่ริมถนนด้านขวามือ จะเป็นกิโลเมตรที่ ๑๓๐ พอดีครับ ให้ขับเลี้ยวซ้ายตรงเข้าไปเรื่อย ๆ ประมาณ ๑ ก.ม. ท่านก็จะถึงวัดอัมพวันครับ

    * ภาพถ่ายตั้งแต่ปี ๒๕๔๖-๒๕๔๙ ซึ่งปัจจุบันมีการสร้างถนนและเปลี่ยนแปลงไปบ้างครับ *
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=500 align=center border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD><TD>
    • เมื่อผ่าน ม.ราชภัฏวไลอลงกรณ์ ให้ออกจากทางคู่ขนาน แล้วมุ่งหน้าไปตามทางหลวงหมายเลข ๓๒ ครับ
    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=500 align=center border=0><TBODY><TR><TD>
    • วิธีสังเกตก็คือที่ป้ายจะมีเลข ๓๒ โดยจะมีสัญลักษณ์อยู่ ๒ รูปแบบ ตามรูปครับ
    </TD><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=500 align=center border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD><TD>
    • มุ่งหน้าไปเรื่อยๆ จะผ่าน Lotus อยุธยาไปครับ ให้เราสังเกตแต่ หมายเลขทางหลวง อย่างเดียวครับ
    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=500 align=center border=0><TBODY><TR><TD>
    • อีกสิ่งหนึ่งที่จะให้สังเกตก็คือ ป้ายบอกหลักกิโลเมตร ด้านขวาของถนนครับ วัดอัมพวันจะอยู่ กิโลเมตรที่ 130 พอดี
    </TD><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=500 align=center border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD><TD>
    • ป้ายบอกเส้นทาง จะเปลี่ยนจังหวัดไปเรื่อยๆ แต่เราจะไม่ดูชื่อจังหวัด ให้เอาหมายเลขเป็นหลักครับ
    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=500 align=center border=0><TBODY><TR><TD>
    • เมื่อเข้าเขตสิงห์บุรีแล้ว อีกไม่ไกลก็จะถึงวัดแล้วครับ ประมาณ 15 - 20 นาทีครับ
    </TD><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=500 align=center border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD><TD>
    • เมื่อถึงหลักกิโลเมตรที่ ๑๓๐ จะพบกับถนนกว้าง และมีสำนักงานทางหลวง อยู่ทางด้านขวามือครับ
    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=500 align=center border=0><TBODY><TR><TD>
    • ให้สังเกตทางเข้าด้านซ้ายมือครับ
    </TD><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=500 align=center border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD><TD>
    • เลี้ยวเข้ามาแล้ว ตรงไปประมาณ ๘๐๐ เมตร ก็จะถึงลานจอดรถครับ
    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=500 align=center border=0><TBODY><TR><TD>
    • เมื่อถึงลานช้างแล้ว สามารถเลือกไปได้สองทางครับ คือตรงเข้าไป กับเลี้ยวขวาไปตามถนน
    </TD><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=500 align=center border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD><TD>
    • หากตรงเข้ามา ก็จะเป็นที่จอดรถ เรียกว่า ลานช้าง สามารถจอดรถได้ที่นี่เลยครับ
    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=500 align=center border=0><TBODY><TR><TD>
    • หรือหากเลี้ยวขวามา ก็สามารถจอดรถไว้ริมถนนได้ ตลอดของสองฝั่งถนน รอบวัดครับ ในรูปจะเป็นทางเข้าด้านหน้าครับ
    </TD><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=500 align=center border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD><TD>
    • ตรงนี้จะเป็นบริเวณริมถนน ระหว่างสวนป่ากับโบสถ์ครับ หลังโบสถ์ก็สามารถจอดรถได้
    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    การเข้าไปลงทะเบียนปฏิบัติธรรม
    เมื่อท่านเดินทางมาถึงหน้าวัดแล้วก็ให้ไปลงทะเบียนก่อน เพื่อที่เจ้าหน้าที่จะได้กำหนดที่พักให้ครับ
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=500 align=center border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD><TD>
    • เมื่อลงจากมอเตอร์ไซต์ หรือจอดรถแล้วก็จะมาที่หน้าวัดครับ จากตำแหน่งนี้ ทางด้านซ้าย จะเป็นอาคารลานช้าง ทางด้านขวา จะเป็นเขตสวนป่าครับ
    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=500 align=center border=0><TBODY><TR><TD>
    • เมื่อเดินเข้ามาจนถึงจุดนี้ ด้านหน้าจะเป็นกุฏิหลวงพ่อ ด้านขวา จะเป็นโบสถ์และอาคารปริยัติ หากจะไปนมัสการหลวงพ่อ ก็ให้เดินเข้่าไป แล้วอ้อมไปอีกด้านหนึ่งของกุฏิครับ
    </TD><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=500 align=center border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD><TD>
    • จากจุดเมื่อสักครู่ ด้านซ้ายจะเป็น สถานที่ลงทะเบียนครับ ให้เดินตรงเข้าไปครับ แล้วสังเกตด้านซ้ายครับ
    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=500 align=center border=0><TBODY><TR><TD>
    • มาถึงศาลาลงทะเบียนแล้วครับ ให้ไปขอใบสมัครที่อาคารซ้ายมือ แล้วมากรอกที่ศาลาทางด้านขวาครับ
    </TD><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=500 align=center border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD><TD>
    • ขอใบสมัครแล้วนำมากรอกครับ
    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=500 align=center border=0><TBODY><TR><TD>
    • กรอกใบสมัครที่นี่ครับ
    </TD><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=500 align=center border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD><TD>
    • จากนั้นนำบัตรประชาชน พร้อมใบสมัคร มายื่นที่นี่ครับ ท่านจะได้คู่มือ ๑ เล่ม อ่านให้จบก่อนเปลี่ยนชุดขาวครับ เมื่อเปลี่ยนชุดแล้ว จะไม่มีการอ่านใดๆ อีก ให้นำคู่มือเล่มนี้ ติดตัวไปปฏิบัติธรรม ทุกครั้งครับ หากไม่มีชุดขาวก็สามารถยืมได้ที่นี่ จากนั้นเจ้าหน้าที่จะกำหนด สถานที่พัก และให้บัตรประจำตัวมาติดไว้ที่หน้าอกด้วยครับ
    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    เนื้อหาเขียนและรวบรวมโดย: คุณณัฐวรรธน์ ภรนรา
    ภาพประกอบ: คุณณัฐวรรธน์ ภรนรา
    ข้อมูลจาก: การท่องเที่ยวสิงห์บุรี, คุณชินวัฒก์ รัตนเสถียร, เว็บบอร์ดโดย คุณ w คุณมาลัยบัว
     
  15. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  16. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ที่มา fwd mail ครับ

    เรื่องเมื่อฉันแก่ตัวลง<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    อยากจะมอบเรื่องนี้ให้กับผู้ที่ไม่ค่อยได้อยู่ใกล้ชิดผู้เฒ่าผู้แก่ที่บ้าน <O:p</O:p
    <O:p</O:p

    เรื่องนี้เป็นเรื่องเล่าของลุกผู้ชายคนหนึ่ง
    ที่ตระเวนทั้งเรียนทั้งทำงานไปร้อยเอ็ดเจ็ดย่านน้ำ
    แม้เขาจะเติบกล้าเก่งกาจขึ้นเรื่อยๆ ความรู้เพิ่มมากขึ้น
    โลกใบนี้เริ่มเล็กลง แต่พ่อแม่ที่อยู่บ้านเดิม(ในเมืองจีน)ก็เริ่มแก่ตัวลง <O:p</O:p
    <O:p</O:p

    ลูกคนนี้ทำงานอยู่ต่างประเทศ
    ไม่ค่อยได้กลับมาเยี่ยมพ่อแม่ ได้แต่ติดต่อกันทางจดหมาย
    โชคดีต่อมามีไอพีการ์ด เลยได้คุยสดกันบ้าง
    ทุกครั้งแม่ก็จะคอยเตือนให้ระวังสุขภาพของตัวเอง
    ตั้งใจทำงาน ไม่ต้องเป็นห่วงแม่ ไม่ต้องกลับมาเยี่ยมบ่อยๆ
    เพราะจะสิ้นเปลืองเงินทอง... ยิ่งพูดก็ยิ่งซ้ำๆซากๆ
    เขารู้ดีว่าแม่เริ่มคิดถึงเขามาก <O:p</O:p
    <O:p</O:p

    จนกระทั่งปีนี้
    แม่อายุ 75 เขาจึงตั้งใจจะกลับไปเยี่ยมแม่
    โดยตั้งใจว่าจะอยู่สัก 1 เดือน จะไม่ทำอะไรเป็นพิเศษ
    แต่ขอเป็นเพื่อนแม่เพียงอย่างเดียว <O:p</O:p
    <O:p</O:p
    พอบอกข่าวนี้ให้แม่ทราบ
    แม้จะมีเวลาอีกตั้ง 2 เดือนเศษ แม่ก็เริ่มเตรียมตัวในการต้อนรับการกลับมาเยี่ยมบ้านของลูก
    แม่ดึงเอาสมุดบันทึกมาจดสิ่งที่ต้องตระเตรียม
    แม่เตรียมรายการอาหารที่ลูกชอบ ดึงเอาผ้าห่มที่ลูกเคยชอบห่มมาปะชุนใหม่...
    สำหรับคนอายุ 75 เรื่องแบบนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายๆเลย <O:p</O:p
    <O:p</O:p

    พอกลับถึงบ้าน
    ตอนอยู่บนเครื่องบิน เคยตั้งใจว่าจะขอกอดแม่ให้ชื่นใจสักครั้ง
    แต่พอมาเห็นแม่ แม่ที่ยืนอยู่ตรงหน้า ผอมแห้ง
    หน้าตาเหี่ยวย่น ช่างไม่เหมือนแม่คนก่อนหน้านี้เลย... <O:p</O:p
    <O:p</O:p

    แม่ใช้เวลาทั้งชั่วโมงเตรียมอาหารที่ลูกเคยชอบ
    โดยที่หาทราบไม่ว่า เดี๋ยวนี้ลูกไม่ได้ชอบอาหารแบบนั้นแล้ว
    และเพราะแม่ตาไม่ค่อยดี รสชาติอาหารจึงแย่มากๆ
    บางจานก็เค็มจัด บางจานก็จืดสนิท ผ้าห่มที่แม่อุตส่าห์เตรียมให้
    ทั้งหนาทั้งหยาบ ไม่สบายกายเลย แม่หารู้ไม่ว่า
    เดี๋ยวนี้ลูกนอนห้องแอร์และใช้ผ้าห่มขนแกะแล้ว
    แต่เขาก็ไม่บ่นอะไร เพราะเขาตั้งใจจะกลับมาเป็นเพื่อนแม่จริงๆ <O:p</O:p
    <O:p</O:p

    สองสามวันแรก แม่ยุ่งอยู่กับเรื่องจิปาถะ
    จนไม่มีเวลาพักผ่อน พอเริ่มได้พัก แม่ก็เริ่มพูดมาก
    สอนโน่นสอนนี่ พูดแต่ปรัชญาเก่าๆ ซึ่งปรัชญาเหล่านั้น
    10กว่าปีก่อนก็เคยพูดแล้ว พอลูกบอกให้ฟังว่า
    ปรัชญาเหล่านั้นไม่ทันสมัยแล้ว แม่ก็เริ่มนิ่งเงียบและเศร้าซึม <O:p</O:p
    <O:p</O:p

     
  17. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ที่มา ให้ร่วมกันสร้าง เราจะมาโปรดสัตว์ไม่ให้สร้างคนเดียว
    บัญชีออมทรัพย์ 2030-06304-5 บัญชี รร.พระปริยัติธรรมบ่อเงินบ่อทอง ปริยัติศึกษา บมจ.ธ.กรุงไทย สาขาพนมสารคาม

    <TABLE class=tborder id=post426738 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR><TD class=thead style="BORDER-RIGHT: #ffffff 0px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid">วันนี้, 03:54 PM <!-- / status icon and date --></TD><TD class=thead style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 0px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid" align=right> #482 </TD></TR><TR vAlign=top><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 0px solid" width=175>toe<SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_426738", true); </SCRIPT>
    สมาชิก GOLD
    สมาชิกยอดฮิต

    [​IMG]

    เข้ามาครั้งสุดท้ายเมื่อ: วันนี้ 03:54 PM
    วันที่สมัคร: Nov 2005
    สถานที่: //////////////
    ข้อความ: 1,600 <!-- Start Post Thank You Hack -->
    ได้ให้อนุโมทนา 3,221 ครั้ง
    ได้รับอนุโมทนา 11,638 ครั้ง ใน 1,475 โพส <!-- End Post Thank You Hack -->
    พลังการให้คะแนน: 1435 [​IMG][​IMG]
    [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]


    </TD><TD class=alt1 id=td_post_426738 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid"><!-- message -->โต..(กุมารน้อย) อาตมาภาพต้องการให้ญาติโยมทุกๆ ท่านที่ได้ส่งปัจจัยมาสงเคราะห์การศึกษา ของพระภิกษุ-สามเณร ได้มารู้มาเห็นด้วยตนเองเป็นอย่างมาก....จึงขอเรียนเชิญ..เลย..นะ..จ๊ะ..
    งานสืบต่อพระพุทธศาสนาเป็นงานที่พวกเราทุกท่านจะต้องช่วยกัน มีกำลังน้อยทำน้อย มีมากทำมาก...ศาสนาพุทธของเราที่อยู่สืบต่อกันมาหลายช่วงอายุคน..โดยเฉพาะในประเทศไทยของเรา..บรรพบุรุษของเราท่านได้ดูแลทำนุบำรุงพระพุทธศาสนากันมา ประเพณีชายไทยสมัยก่อนเมื่ออายุครบ 20 บริบูรณ์ จะต้องบวชเรียนแทนคุณพ่อแม่...เมื่อก่อนนี้นั้นบวชกันเป็นพรรษา (คือ 1 ปี) ให้พ่อหนึ่งพรรษา แม่หนึ่งพรรษา และต้องบวชให้หมู่ญาติอีกหนึ่งพรรษา...สึกออกมาแล้ว เราก็เป็น "ทิด" ถ้าจะเรียกชื่อผู้ที่บวชแล้วจะมีคำนำหน้าว่า "ทิด"เช่น ทิดเขียว ทิดแดง..ทิด เป็นภาษาไทย..ภาษาบาลีท่านเรียกว่า.."บัณฑิต แปลว่าผู้รู้" ท่านจะสืบต่อพระพุทธศาสนากันอย่างนี้..เมื่อครบอายุต้องบวชก่อนเบียด มิฉะนั้นจะไม่รับเป็นลูกเขย...เพราะโบราณถือว่า..ผู้ที่ยังไม่ได้บวชนั้น ยังดิบอยู่ ยังไม่สุก..เหมือนลูกไม้นั่นแหละ...
    แต่ในสมัยปัจจุบันนี้ ผู้ที่มีอายุครบบวช มาบวชเต็มที่อย่างมากก็ไม่เกิน 1 เดือน 15 วันหรือน้อยที่สุด 3 วันก็สิกขาลาเพศกันแล้ว และส่วนมากในปัจจุบันนี้ก็ถือว่าเป็นเรื่องไม่คัญเสียแล้ว อาตมาภาพในฐานะที่อยู่มานานพอสมควร จึงเห็นว่าการเปิดโรงเรียนสงเคราะห์การศึกษา เพื่อนำเอาเยาวชนของประเทศชาติเข้ามาบวชเรียนเป็นการสืบต่อพระพุทธศาสนา เหมือนบรรพบุรุษในอดีตที่ผ่านมา
    เพราะเด็กเหล่านี้ (บวชเรียน)อย่างน้อยต้องอยู่ 3 ปี หรือ 6 ปีถึงจะสึกได้ เป็นเหตุให้เขาได้เรียนรู้พระธรรม พระวินัยและพระบาลีซึ่งเป็นการลงรากฐานของพระพุทธศาสนาอีกอย่างหนึ่ง
    วัดตามบ้านนอกมีมากด้วยกันเป็นหมื่นๆวัด ภายในวัดมีแต่พระแก่ 3 รูป 4 รูปก็อยู่เฝ้าวัดเท่านั้น ไม่ได้มีการศึกษาเล่าเรียน ถ้าศาสนาของเรา มีแต่ผู้แก่ชราเข้ามาบวช การศึกษาเล่าเรียนพระธรรมวินัยก็จะไม่เกิดขึ้น
    โรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษาจึงเป็นอีกทางหนึ่งในการสืบต่อพระพุทธศาสนา จึงขออนุโมทนาในกุศลจิตที่ทุกๆท่าน ได้ส่งปัจจัยมาสงเคราะห์การศึกษาของคณะสงฆ์เป็นอย่างยิ่ง สาธุ...สาธุ ...สาธุ อนุโมทามิ..ถ้าโยมท่านใดผ่านมาทาง อ. พนมสารคาม ก็แวะมาเยี่ยมชม..หรือมาทำบุญกุศล..นะ..จ๊ะ...
    <!-- / message --><!-- sig --></TD></TR></TBODY></TABLE>

    กราบนมัสการพระคุณเจ้าครับ

    โมทนาสาธุครับ
    .
     
  18. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>เตือนกินไข่ลวก ระวัง!!ไข้หวัดนกถามหา</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย ผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=baseline align=left>23 ธันวาคม 2549 14:57 น.</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left> กระทรวงคุณหมอ เผยผลสำรวจพฤติกรรมวัยรุ่นในพื้นที่ 5 จังหวัด พบกว่า 60 %เสี่ยงติดเชื้อไข้หวัดนก เหตุนิยมกินไข่ลวก ไข่ดาวยางมะตูม และไม่ล้างมือก่อนรับประทานอาหาร โดย 1 ใน 3 ทิ้งซากสัตว์ปีกในแม่น้ำลำคลอง เร่งปรับแก้พฤติกรรม

    นพ.สุพรรณ ศรีธรรมมา โฆษกกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ขณะนี้ประเทศไทยเข้าสู่ฤดูหนาว อากาศหนาวเย็น เสี่ยงต่อการระบาดของเชื้อไวรัสไข้หวัดนกอีกได้แม้ว่าโรคนี้จะสงบมากว่า 100 วันก็ตาม ประชาชนจึงต้องป้องกันโรคนี้อย่างต่อเนื่อง หากมีไก่เป็ดหรือสัตว์ปีกป่วยตายผิดปกติต้องแจ้งเจ้าหน้าที่สาธารณสุข หรืออาสาสมัครสาธารณสุขทันที และไม่นำสัตว์ปีกที่ตายแล้วหรือกำลังป่วย สังเกตโดยมีอาการหงอย ซึม ขนยุ่ง ห้ามนำมาชำแหละอย่างเด็ดขาด เพราะเชื้อไวรัสไข้หวัดนกจะติดขณะชำแหละโดยตรง ไม่จับซากสัตว์ปีกด้วยมือเปล่า จะต้องสวมถุงมือพลาสติก หรือสวมถุงพลาสติกป้องกันทุกครั้ง

    นพ.สุพรรณ กล่าวว่า จากการติดตามพฤติกรรมสุขภาพของประชาชนในการป้องกันโรค กองสุขศึกษา กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ ได้สุ่มสำรวจพฤติกรรมป้องกันโรคไข้หวัดนกของนักเรียนระดับประถมศึกษาจนถึงมัธยมต้น อายุ 13-15 ปี รวม 1,877 คน ใน 5 จังหวัด ได้แก่ กรุงเทพฯ กำแพงเพชร พระนครศรีอยุธยา สระบุรี สุพรรณบุรี ในช่วงเดือนสิงหาคม 2549-กันยายน 2549 ผลพบว่าบ้านของนักเรียนเกือบร้อยละ 50 เลี้ยงสัตว์ปีก นักเรียนร้อยละ 63 เสี่ยงติดเชื้อไวรัสไข้หวัดนก เนื่องจากยังนิยมกินไข่ไม่สุก เช่น ไข่ลวก ไข่ดาวยางมะตูม ร้อยละ 62 ไม่ล้างมือทุกครั้งก่อนกินอาหาร ร้อยละ 65 และมีกว่า 1 ใน 3 ที่นำซากสัตว์ปีกไปทิ้งในแม่น้ำลำคลองตามสวน ทำให้โรคแพร่ระบาดได้ ส่วนในด้านความรู้โรคไข้หวัดนก เช่น อาการป่วย การกำจัดซากสัตว์ปีกอย่างถูกวิธี วิธีการป้องกัน พบว่าอยู่ในเกณฑ์ดีสูงกว่าร้อยละ 75 ขึ้นไป

    นางสาวสมบูรณ์ ขอสกุล ผู้อำนวยการกองสุขศึกษา กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กล่าวว่า ในปีงบประมาณ 2550 กองสุขศึกษาได้จัดทำโครงการอบรมแกนนำเผยแพร่การป้องกันโรคไข้หวัดนกในช่วงฤดูหนาว เน้นหนักการป้องกันพฤติกรรมเสี่ยงติดโรค 4 เรื่องหลัก ได้แก่ ความสะอาดส่วนบุคคลคือ การล้างมือให้เป็นนิสัย การกินสุก สะอาด การสัมผัสสัตว์ปีก และการแจ้งสัตว์ปีกป่วยตาย เน้นกลุ่มนักเรียนและกลุ่มชาวบ้าน ผ่านทางนักจัดรายการวิทยุชุมชน กลุ่มผู้นำนักเรียนและแกนนำชมรมสร้างสุขภาพ เบื้องต้นจะเน้น 6 จังหวัดพื้นที่เสี่ยงที่เคยพบผู้ป่วยไข้หวัดนก ได้แก่ กาญจนบุรี นครนายก นครพนม อุทัยธานี อุดรธานี และพังงา เพื่อจัดเป็นสื่อการเรียนการสอนในโรงเรียน โดยให้นักเรียนเป็นผู้คิดและพัฒนาสื่อที่จะใช้รณรงค์เอง จะทำให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายดีขึ้น
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  19. พรหมประกาศิต

    พรหมประกาศิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    1,684
    ค่าพลัง:
    +13,541
    ก็ดีอยู่ครับตอนแรกๆ ผมก็ติดตามอ่านตลอด แต่ว่าตอนหลังๆนี่ผมไม่ค่อยได้เข้าแล้วครับ เพราะผมมีสโมสรส่วนรวมอยู่ คุณสิทธิพงศ์แกจะ copy ข้อมูลหรือความรู้ต่างๆไปให้ได้อ่านและโมทนาตลอด ไปกระทู้ไหนๆก็เจอหมด จนผมกดอนุโมทนามือแทบหงิกแล้วครับ..หุ..หุ..

    ผมเข้าใจว่าพีแกพยายามรักษาเรตติ้งเพื่อไม่ให้ตกจากอันดับที่หนึ่ง แหง๋ๆ...ใช่ป่าวครับเฮียหนุ่ม...โพสอันเดียวขยายเป็นทวีคูณ..555

    (ไม่ทราบว่าทางทีมงาน มีวิธีลบข้อความเก่าที่เคยโพสไว้แล้ว และเอากลับมาโพสใหม่ ซึ่งข้อความเหมือนเดิมทุกประการหรือเปล่า ถ้ามีจะทำให้ประหยัดเนื้อที่ได้มากโขเลยครับ อันนี้ผมไม่ได้ว่าอะไรคุณหนุ่มนะครับ ผมเข้าใจดีว่าคุณอยากให้คนอื่นที่เข้ามาทีหลังได้รับทราบข้อมูลสำคัญที่คุณอยากให้เขารับรู้ โดยที่ไม่ต้องย้อนกลับไปดูของเก่า ซึ่งก็ไม่รู้ว่าอยู่หน้าไหน เพราะกระทู้นี้ยาวมากมีจำนวนหลายสิบหน้า...รู้สึกว่าจะยาวที่สุดในเว็ปครับ)

    ขนาดคุณโต้งยังบ่นเลยครับ....อ้อ ลืมถามความเห็นพี่เม้าครับ
    ส่วนสมาชิกสโมสรท่านอื่น ผมว่าขยาดไม่กล้าเข้ามาเลยล่ะครับ
    (b-oneeye)
     
  20. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948

    บางเรื่องผมเองก็ไม่นำไปลงในสโมสรครับ เรื่องที่นำไปลงในช่วงนี้เป็นเรื่องหลวงพ่อจรัลครับ ซึ่งลงซ้ำกัน และเรื่องที่เพื่อนๆ mail มาให้

    แต่เรื่องพระพิมพ์ เรื่องบทความของท่านอาจารย์ประถม ผมเองก็ไม่นำไปลงในกระทู้สโมสรแล้วครับ

    :cool:
     

แชร์หน้านี้

Loading...